ภวสูตร มหานิทานสูตร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูๆปลาๆ, 9 มีนาคม 2018.

  1. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
    อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต
    [​IMG]
    ภวสูตร

    [๕๑๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ภพ ภพ ดังนี้ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงไร พระเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
    ดูกรอานนท์ก็กรรมที่อำนวยผลให้ในกามธาตุจักไม่มีแล้ว กามภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ

    ท่านพระอานนท์ทูลว่า
    ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ


    พ. ดูกรอานนท์ เหตุนี้แล
    กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา
    วิญญาณชื่อว่าเป็น พืช
    ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง
    เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว
    เพราะธาตุ อย่างเลวของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น
    มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้
    จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก

    ดูกรอานนท์
    ก็กรรมที่อำนวยผลให้ในรูปธาตุจักไม่มีแล้ว รูปภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ฯ

    อา. ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ


    พ. ดูกรอานนท์
    เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา
    วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช
    ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง
    เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว
    เพราะธาตุอย่างกลางของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น
    มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้
    จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก

    ดูกรอานนท์
    ก็กรรมที่อำนวยผลให้อรูปธาตุจักไม่มีแล้ว อรูปภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ฯ

    อา. ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ

    พ. ดูกรอานนท์
    เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา
    วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช
    ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง
    เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว
    เพราะธาตุอย่างประณีตของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น
    มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้
    จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์ ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล ฯ
     
  2. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
    ทีฆนิกาย มหาวรรค
    [​IMG]
    ๒. มหานิทานสูตร (๑๕)

    [๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุนามว่า กัมมาสทัมมะ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลความข้อนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุปบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็แหละถึงจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
    เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้นอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก

    ดูกรอานนท์
    เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุง
    กระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร


    ดูกรอานนท์
    เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่าชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่าชาติมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า ภพมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า อุปาทานมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า ตัณหามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า เวทนามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย
    เมื่อเธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
    ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

    ดูกรอานนท์
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
    เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป
    เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ
    เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
    เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ
    เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ


    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ


    [๕๘] ก็คำนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
    เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ

    ดูกรอานนท์
    ก็แลถ้าชาติมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน
    คือ มิได้มีเพื่อความเป็นเทพแห่งพวกเทพ
    เพื่อความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์
    เพื่อความเป็นยักษ์แห่งพวกยักษ์เพื่อความเป็นภูตแห่งพวกภูต
    เพื่อความเป็นมนุษย์แห่งพวกมนุษย์
    เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า
    เพื่อความเป็นปักษีแห่งพวกปักษี
    เพื่อความเป็นสัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน

    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าชาติมิได้มีเพื่อความเป็นอย่างนั้นๆ แห่งสัตว์พวกนั้นๆ เมื่อชาติไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชราและมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชรามรณะก็คือชาตินั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบข้อความนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
    เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ

    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าภพมิได้มีแก่ใครๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ
    กามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อภพไม่มีโดยประการทั้งปวง
    เพราะภพดับไป ชาติจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชาติก็คือภพนั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
    เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ

    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าอุปาทานมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ
    กามุปาทาน
    ทิฏฐุปาทาน
    สีลัพพตุปาทาน
    อัตตวาทุปาทาน
    เมื่ออุปาทานไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะอุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งภพก็คืออุปาทานนั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
    เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน

    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ
    รูปตัณหา
    สัททตัณหา
    คันธตัณหารสตัณหา
    โผฏฐัพพตัณหา
    ธรรมตัณหา
    เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะตัณหาดับไป อุปาทานจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งอุปาทานก็คือตัณหานั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เรากล่าวอธิบายไว้ดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
    เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา

    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าเวทนามิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ
    เวทนาที่เกิดเพราะจักษุสัมผัส
    โสตสัมผัส
    ฆานสัมผัส
    ชิวหาสัมผัส
    กายสัมผัส
    มโนสัมผัส
    เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งตัณหาก็คือเวทนานั่นเอง ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2018
  3. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    [๕๙] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ
    เพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหา
    เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา
    เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ
    เพราะอาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ
    เพราะอาศัยการตกลงใจจึงเกิดการรักใคร่พึงใจ
    เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง
    เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ
    เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่
    เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน
    เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้น

    อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อยคือ
    การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จย่อมเกิดขึ้นคำนี้เรากล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้แล

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้เหมือนที่เราได้กล่าวว่า เรื่องในการป้องกันอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือ
    การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น


    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าการป้องกันมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหนเมื่อไม่มีการป้องกันโดยประการทั้งปวง
    เพราะหมดการป้องกัน อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือ
    การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาทการกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการพูดเท็จ จะพึงเกิดขึ้นได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกเหล่านี้ คือ
    การถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การกล่าวคำส่อเสียด และการพูดเท็จก็คือการป้องกันนั่นเอง ฯ



    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน
    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าความตระหนี่มิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน
    เมื่อไม่มีความตระหนี่โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่
    การป้องกันจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการป้องกัน ก็คือความตระหนี่นั่นเอง ฯ


    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่
    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าความยึดถือมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความยึดถือโดยประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้ ความตระหนี่จะพึงปรากฏ
    ได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ
    ตระหนี่ ก็คือความยึดถือนั้นเอง ฯ



    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการพะวงมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการพะวงโดยประการทั้งปวง
    เพราะดับการพะวงเสียได้ ความยึดถือจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความยึดถือ ก็คือการพะวงนั่นเอง ฯ


    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า
    เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง

    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าความรักใคร่พึงใจมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความรักใคร่พึงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความรักใคร่พึงใจเสียได้ การพะวงจะพึง
    ปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการพะวงก็คือความรักใคร่พึงใจนั่นเอง ฯ


    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ
    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าความตกลงใจมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความตกลงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความตกลงใจเสียได้ ความรักใคร่พึงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยความรักใคร่พึงใจ ก็คือความตกลงใจนั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ
    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าลาภมิได้มีแก่ใครๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง เพราะหมดลาภความตกลงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความตกลงใจ ก็คือลาภนั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการแสวงหามิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการแสวงหาโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหาลาภจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของลาภก็คือ การแสวงหานั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้มีแก่ใครๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ
    กามตัณหา
    ภวตัณหา
    วิภวตัณหา
    เมื่อไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง เพราะดับตัณหาเสียได้ การแสวงหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการแสวงหาก็คือตัณหานั่นเอง ฯ
    [๖๐] ดูกรอานนท์
    ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดยส่วนสอง ด้วยประการดังนี้แล ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้มีแก่ใครๆในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ
    จักษุสัมผัส
    โสตสัมผัส
    ฆานสัมผัส
    ชิวหาสัมผัส
    กายสัมผัส
    มโนสัมผัส
    เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง เพราะดับผัสสะเสียได้เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนาก็คือผัสสะนั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ
    ดูกรอานนท์
    การบัญญัตินามกายต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์
    การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศเมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะพึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์
    การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศนิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์
    การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศเมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้นๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะก็คือนามรูปนั่นเอง ฯ

    ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้

    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป
    ดูกรอานนท์
    ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไปนามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์
    ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่
    จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ

    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป
    ก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ


    ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้
    ดูกรอานนท์
    เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณจักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึงปรากฏต่อไปได้บ้างไหม ฯ
    ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ
    ก็คือนามรูปนั่นเอง
    ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์
    วิญญาณและนามรูปจึงยังเกิด แก่ ตาย จุติ หรืออุปบัติ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุติ ทางแห่งบัญญัติทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังสาร ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ๆ ความเป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือนามรูปกับวิญญาณ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2018
  4. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    [๖๑] ดูกรอานนท์
    บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยเหตุประมาณเท่าไร

    ก็เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตา
    มีรูปเป็นกามาวจร
    ย่อมบัญญัติว่าอัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร
    เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้
    ย่อมบัญญัติว่าอัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้
    เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร
    ย่อมบัญญัติว่าอัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร
    เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้
    ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ฯ


    ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น
    ผู้ที่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร
    นั้นย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือ
    บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือ
    มีความเห็นว่าเราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ
    เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้
    อานนท์
    การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้
    เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

    ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น
    ผู้มีบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้
    หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมีความเห็นว่า
    เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ
    เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้
    อานนท์
    การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้
    เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ


    ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น
    ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้
    หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือมีความเห็นว่า
    เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ
    เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้
    อานนท์
    การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

    ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น
    ส่วนผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปทั้งหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้
    หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้นหรือมีความเห็นว่า
    เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้
    อานนท์
    การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดาน ผู้มีอรูป เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย ฯ

    ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตาย่อมบัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่า
    นี้แล ฯ


    [๖๒] ดูกรอานนท์
    บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
    อานนท์
    ก็เมื่อบุคคลไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร
    ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร
    เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีรูปอันหาที่สุดมิได้ย่อมไม่บัญญัติว่า
    อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้ หรือเมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มี
    รูปเป็นกามาวจร ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาจร เมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้

    อานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น
    ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจรนั้นย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย


    ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้
    หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น
    หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ
    เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาหาที่สุดมิได้
    ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย

    ส่วนผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาล
    บัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพ
    อันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า
    อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควร
    กล่าวไว้ด้วย

    ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้
    หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอัน
    ไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า
    อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควร
    กล่าวไว้ด้วย ฯ

    ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมีประมาณ
    เท่านี้แล ฯ


    [๖๓] ดูกรอานนท์
    บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร
    ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า
    เวทนาเป็นอัตตาของเรา
    ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว
    อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา
    อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า
    เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย
    จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่
    อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่
    เพราะฉะนั้นอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา

    อานนท์
    บรรดาความเห็น ๓ อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า
    เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถามอย่างนี้ว่า
    อาวุโส เวทนามี ๓ อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา
    บรรดาเวทนา ๓ ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็นอัตตา
    อานนท์
    ในสมัยใด อัตตาเสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น
    ไม่ได้เสวยทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา

    คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
    ในสมัยใดอัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้ เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น
    ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา
    ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนาไม่ได้เสวยทุกขเวทนา คงเสวยแต่อทุกขมสุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

    ดูกรอานนท์
    เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี
    แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี
    แม้ที่เป็นอทุกขมสุขก็ดี

    ล้วนไม่เที่ยง เป็นเพียงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น มีความสิ้นความเสื่อม ความคลาย และความดับไปเป็นธรรมดา

    เมื่อเขาเสวยสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า
    นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อสุขเวทนาอันนั้นดับไป
    จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว
    เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า
    นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป
    จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว
    เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า
    นี้เป็นอัตตาของเรา ต่ออทุกขมสุขเวทนาอันนั้นแลดับไป
    จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว
    ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่าเวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น
    เมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยง
    เกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์ มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุนั้นแหละ

    อานนท์
    ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่าถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า ในรูปขันธ์ล้วนๆ ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ในรูปขันธ์นั้น ยังจะเกิดอหังการว่าเป็นเราได้หรือ ฯ
    ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์
    ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว
    อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา
    แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตาของเรา ไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า
    อาวุโส ก็เพราะเวทนาจะต้องดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์นั้นๆ ดับไปแล้ว ฯ

    ไม่ได้ พระเจ้าข้า ฯ

    เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์
    ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ฯ

    [๖๔] ดูกรอานนท์
    คราวใดเล่า ภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา
    ไม่เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่
    ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวยเวทนาอยู่
    เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา
    ภิกษุนั้น เมื่อเล็งเห็นอยู่อย่างนี้ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก
    และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทกสะท้าน
    เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน
    ทั้งรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

    อานนท์ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า
    ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตายสัตว์ไม่มีอยู่
    ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มีอยู่ด้วย
    ว่าเบื้องหน้าแต่ตายสัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้
    กะภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ การกล่าวของบุคคลนั้นไม่สมควร ฯ


    ข้อนั้น เพราะเหตุไร
    ดูกรอานนท์
    ชื่อทางแห่งชื่อ
    ทางแห่งนิรุติบัญญัติ
    ทางแห่งบัญญัติการแต่งตั้ง
    ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา
    วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตราบใด
    วัฏฏสงสารยังคงหมุนเวียนอยู่ตราบนั้น

    เพราะรู้ยิ่ง วัฏฏสงสารนั้น
    ภิกษุจึงหลุดพ้น ข้อที่มีทิฐิว่า
    ใครๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็นภิกษุผู้หลุดพ้น เพราะรู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้นนั้นไม่สมควร ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2018
  5. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    [๖๕] ดูกรอานนท์
    วิญญาณฐิติ ๗ อายตนะ ๒ เหล่านี้
    วิญญาณฐิติ ๗เป็นไฉน คือ

    ๑. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวกเทพ
    บางพวก พวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑

    ๒. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่อง
    ในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ นี้เป็นวิญญาณ
    ฐิติที่ ๒

    ๓. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้นอาภัสสร
    นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓

    ๔. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ
    ชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔

    ๕. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุด
    มิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆะสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา
    โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕

    ๖. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุด
    มิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖

    ๗. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
    เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗

    ส่วนอายตนะอีก ๒ คือ
    อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ ๑)
    และข้อที่ ๒คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ


    ดูกรอานนท์
    บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง ๗ ประการนั้น
    วิญญาณฐิติข้อที่ ๑ มีว่า
    สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน
    ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบางพวกพวกวินิบาตบางพวก
    ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ
    รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
    และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น
    เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ ฯ

    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯฯลฯ..............ฯลฯ

    วิญญาณฐิติที่ ๗ มีว่า
    สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร
    เพราะล่วงชั้นวิญญาณณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น
    รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น
    และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น
    เขายังจะควรเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ

    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ

    ดูกรอานนท์
    ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง ๒ นั้นเล่า
    ข้อที่ ๑ คือ
    อสัญญีสัตตายตนะ ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
    รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
    และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น
    เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตายตนะนั้นอีกหรือ ฯ

    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ
    ส่วนข้อที่ ๒ คือ
    เนวสัญญานาสัญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
    รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
    และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้น
    เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ ฯ

    ไม่ควร พระเจ้าข้า ฯ
    ดูกรอานนท์
    เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและโทษและอุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ เหล่านี้
    ตามเป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น

    อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียกว่าปัญญาวิมุตติ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2018
  6. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    [๖๖] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ

    ๑. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑

    ๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒

    ๓. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓

    ๔. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔

    ๕. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ ๕

    ๖. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖

    ๗. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗

    ๘. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘

    ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล
    วิโมกข์ ๘ ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้
    เป็นอนุโลมบ้าง
    เป็นปฏิโลมบ้าง
    เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง
    เข้าบ้างออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ
    ตามสิ่งที่ปรารถนา
    และตามกำหนดที่ต้องประสงค์

    จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
    เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน

    อานนท์ ภิกษุนี้
    เราเรียกว่าอุภโตภาควิมุตติ
    อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีตไปกว่าไม่มี

    พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
    ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...