มหาสุญญตา ความว่างอันสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 4 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    726
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    98116835_2666951313587445_6834696885370880000_n.jpg

    เมื่อเราศึกษาจิตด้วยการเฝ้าดู เฝ้ารู้ จนติดต่อ จนรู้แจ้งแทงตลอดในเรื่องของจิต กระทั่งหมดความผูกพันยึดมั่นเป็นเจ้าของจิต ไม่หลงตนว่าเป็นผู้เสวยอารมณ์ จิตก็เข้าถึงภาวะ ว่างอยู่ รู้อยู่ !! อันเป็นเนื้อแท้แห่งธรรมชาติเดิมของจิต
    .
    ในสภาวะดังกล่าวนี้ จะไม่มีธรรมเหล่าใดเลยที่จิตจะเข้าเกี่ยวข้องผูกพัน ไม่มีแม้แต่ตัวสติปัญญา หรือธรรมเหล่าใดที่จะปรากฏริ้วรอยให้เห็น หรือแม้ตัวจิตเองก็ไม่มี แท้จริงมีเพียงธรรมชาติหนึ่ง ที่มีสภาวะ "รู้" ล้วนๆ ที่บริสุทธิ์อยู่เท่านั้น เป็นสภาวะสะอาด ว่าง อย่างหมดสิ้น
    .
    เมื่อในภายใน ว่างบริบูรณ์เต็มที่แล้ว ความว่างดังกล่าว ก็ไหลไปผสมผสานกับความว่างภายนอก ซึ่งเป็นธรรมชาติของความว่างเดิมที่มีอยู่แล้ว ความว่างทั้งสองดังกล่าว จึงผนึกแนบแน่น รวมเป็นเนื้อหาเดียวกัน หาร่องรอยต่อเชื่อมแม้มิติหนึ่งก็ไม่มี กลายเป็นความว่างอันสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ นั่นคือมหาสุญญตา หรือนิพพานนั่นเอง ถ้าจะกล่าวโดยสรุปรวบยอดเป็นปรมัตถ์ ก็อาจจะกล่าวได้ว่า ธรรมะที่แท้จริงไม่มีธรรมะ ไม่มีธรรมะนั่นแหละเป็นธรรมะ ที่สะอาดบริสุทธิ์ที่แท้จริง !!
    .
    โปรดจำไว้เสมอว่า การเข้าถึงสภาวะเหล่านี้ได้ จะต้องเข้าถึงด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง สม่ำเสมอเท่านั้น ที่ผมเคยพูดให้ท่านฟังอยู่บ่อยๆ ว่า "อย่าให้จิตมันก่อรูปความคิดใดๆ ขึ้นมา"ฯลฯ นั่นแหละเป็นที่สุดของความสิ้นแห่งสังขาร หมายถึงในสภาวะนี้ สติจะต้องบริบูรณ์เพียบพร้อมเต็มที่ และในทุกอิริยาบถ จะต้องเพียรเฝ้าดู เฝ้ารู้จิต ชนิดติดต่อสืบเนื่อง
    .
    และโปรดจำไว้ว่า การดูจิตจะต้องดูเบาๆ ดูนุ่มๆ หรือว่าจะพูดให้ชัด ก็อาจเรียกได้ว่า "ชำเลืองดู" เพราะจิตเป็นธรรมชาติที่ประหลาด ไม่ปรากฏริ้วรอยรูปรอยใดๆ จะให้เราหยิบฉวยหรือเกาะกุมในทางการสัมผัสเพื่อจะเข้าถึงมันได้
    .
    เนื่องจากมันเป็นธรรมชาติที่พิเศษดังกล่าว เราจะต้องใช้ความเพียรที่ฉลาด และนุ่มนวล ที่จะเพียรพยายาม ที่จะคอยย้อนเข้ามามองด้านในอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งเกิดความเป็นกันเองกับพฤติกรรมนี้ เราก็จะได้เห็น(เห็นด้วยปัญญา)ธรรมชาติเดิมที่แท้จริงของจิต
    .
    บอกใครพูดให้ใครฟังถึงภาพลักษณ์ตัวจริงของจิตก็ไม่ได้ เพราะมันไม่มีริ้วรอยที่จะให้เราหมายมั่นคาดคั้นยัดเยียด ว่ามันถูกกำหนดในร่องรอยเรียกขานว่ารูปหรือนามที่แท้จริง ส่วนการที่นักปราชญ์ผู้รู้ทั้งหลาย กำหนดให้มันตกอยู่ในครรลองของฝ่ายนามธรรมนั้น เพื่อตะล่อมให้ผู้ปฏิบัติศึกษามีขอบเขต ในการจะทำความรู้จักกับมันอย่างกว้างๆ เท่านั้นเอง แท้จริงมันเป็นอมตะธาตุ อมตะธรรมที่ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่ไปไม่มา มีเพียงสภาวะ "รู้" บริสุทธิ์ล้วนๆ
    .
    สรุปควรจะลงมือทำให้จริงจัง ต่อเนื่อง ชนิดเฉียดเป็นเฉียดตาย จึงจะเข้าถึงสภาวะนี้ ไม่ใช่เพียงแต่มานั่งกระดิกเท้า เฝ้าแต่ใช้ "จินตนาการ" เท่านั้น
    .
    แต่ไม่ใช่เครียดเคร่ง หรือหักโหมรุนแรงต่อการดูจิต ถ้าเคร่งเครียด หรือตั้งใจทำจนตกขอบ จะไม่เข้าถึงสภาวะดังกล่าวนี้เลย
    .
    ค่อยๆ ทำด้วยอาการนุ่มนวล แต่มั่นคง แล้วก็ต้องไม่คลุกคลีกับหมู่พวกจนมากเกินไปด้วย หัดทำคนเดียว อยู่คนเดียว กินคนเดียว ฯ แล้วจะค่อยๆ รู้จักจิตของเจ้าของดีขึ้นเป็นลำดับ.

    -หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร-
     

แชร์หน้านี้

Loading...