มาเกิดเพราะจิตเดิมแท้ยังมีอวิชชา

ตัดคำว่าถ้าออก ความหมายมันจะเปลี่ยนไหมคับ เพราะว่า ไม่ต้องใช้ก็ได้ครับ ที่ลุงพูดถูกแล้ว ต่อให้ไม่เคยสัมผัส ถ้าเราตั้งสติได้ตามที่กล่าวเราก็น่าจะรู้ได้ไหมครับ และใจที่มืดบอดมันก็คงไม่ได้เป็นเพราะไม่เคยพบเจอหรอก ผมว่าเป็นเพราะไม่ตั้งสติพิจารณามากกว่า ผมไม่ใช่พวกเหยียดอะไร ทิฐินั้นไม่มี หรือมีน้อยมาก ปกติไม่มี เว้นเสียว่า ขาดสติ

 

ขอบคุณคับ
ถ้ากระทู้นี้มีสาระธรรมที่
ทำให้ท่านเบิกบานขึ้นบ้าง
แม้น้อยนิดก็
ขออนุโมทนาด้วยคับ

 

ครับ
พระพุทธเจ้าออกบวช
ก็เพื่อหาสาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
นี้แหละครับ

เอาชีวิตเอาแลกจึงได้รู้ว่าอะไรพาเกิด..

 

ยังงัยก็ตาแต่ละคนที่รู้จักคำว่า
รูป นาม กาย จิต เวทนา ฯ ต้องเคยได้ยิน
ได้ฟังพระธรรมมาแล้วทั้งสิ้น
ถึงแม้ผู้นั้นกำลังจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็ตามคับ

 

ไปดีกั่ววววววววว

 

เป็นเพราะมหาปัญญาของ
พระองค์ท่าน เพื่อประโยชน์สูงสุด
ของพระองค์ท่าน
และของสัตวโลก

 

อันที่จริงผมก็สงสัยเล็กน้อย ระหว่างพุทโธกับรู้ทั้งหมด สมัยโบราณเขาจะทำเหมือนฝรั่งไหมก็ไม่รู้ ฝรั่งชอบว่า โอ้พระเจ้า ของเราสมัยก่อนน่าจะโอ่พุทโธ แล้วคำนี้ รูป นาม กาย จิต เวทนาของลุงที่จริงคือ รูป กับ นาม ( รูป จิต เจกสิก) ใช่ไหมครับ

 

เดี้ยวสิลุง รีบไปไหน

 

ขอบคุณครับที่คุยด้วย มาที่ตัวกระทู้ดีกว่า ผมสนับสนุนหัวข้อกระทู้นี้ครับ เพราะว่า ดีกว่าไม่รู้ว่ามาได้ยังไง

 

รวมถึงคำว่าสติ ด้วย
มันเกิดมีได้ในทุกคนแต่ไม่รู้ว่ามันเรียก
ว่าอย่างไร และจะใช้มันยังงัย
สั่งให้ สติมันเกิด ได้มั้ย หรือตั้งสติได้มั้ย
ถ้าเหตุปัจจัยไม่พร้อมก็ "ตั้งสติ" ไม่ได้หรอกคับ
ที่"ตั้งสติ"กันได้ก็เพราะเหตุปัจจัยมันพร้อม
ณ เวลานั้นๆ คับ

 

แล้วถ้างั้น อย่างไรจึงเรียกว่า ตั้งสติได้ละครับ หรือ อย่างไรถึงเรียกว่า สั่งให้สติเกิด อะไรคือเหตุปัจจัยคับ จึงจะสั่งจึงจะมีได้

 

ใช่ ครับ
แต่การถามยกเข่ง และตอบแบบยกเข่ง
มันได้ความกระจ่างแจ้งน้อยมากคับ
ต้องรู้จักทีละคำ ทีละตัว
มันจะค่อยๆ เข้าใจทีละน้อยๆ
และชัดเจนในภาพรวมในที่สุด
(โดยเฉพาะเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์นะคับ
เป็นไฟท์บังคับ เป็นกระดุมเม็ดแรก
อีกแล้วคับทั่น
( ฮา))

 

เป็นงานยากสำหรับลุงแมวคับ
ท่านปราบต้องมาร่วมเสวนา
ด้วยกันคับงานนี้

 

ผมก็ชอบนะคับ มันเป็นคำที่เหมือนการสะกดจิต กระดุมเม็ดแรก แล้วมันเป็นยังไงครับ ลุงตอบผมหน่อยสองคำถาม 1 ทำไมลุงไม่ใช้อันเดียวกันตอบทั้งสองคำตอบ 2 คนที่ผิดติดกระดุมผิดเขาจะไม่มีวันติดถูกเลยเหรอ

 

ตั้งแต่ มาเวปพลังจิตใหม่ๆ ส่วนมาก ก้คุยแต่เรื่อง สตินี่แหล่ะ คุยแล้วคุยอีก

ได้ เรื่อยๆ จะกี่ปีกี่ปี ก้เน้นแต่เรื่องสติ

 

ลุงลองตอบเองเลยคับ ไม่ต้องรอน้องณุ ตอบหรอก ลองแบบนิ่มๆ แต่หนักแน่นดูสิครับ คิดเสียว่า โปรดหรือให้โอกาส ซึ่งกันและกัน ถามกลับได้คับ แต่อย่าถามคำถามเดียวกันที่ถามไป

 

มาเกิดเพราะจิตเดิมแท้ยังมีอวิชชา
​

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค


๙. วิญญาณสูตร​

[๒๒๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ ในธรรม
ทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ วิญญาณก็หยั่งลง เพราะวิญญาณเป็น
ปัจจัย จึงมีนามรูป ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการ
อย่างนี้ ฯ
[๒๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่มีรากหยั่งลงและแผ่ไปข้างๆ ฯลฯ
แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนืองๆ ในธรรมทั้งหลาย
อันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์ วิญญาณก็หยั่งลง ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะวิญญาณ
เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วย
ประการอย่างนี้ ฯ
[๒๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็นโทษเนืองๆ ในธรรมทั้งหลาย
อันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ วิญญาณก็ไม่หยั่งลง เพราะวิญญาณดับ นามรูป
จึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๒๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่อย่างนั้น ทีนั้นบุรุษ
เอาจอบและภาชนะมา ฯลฯ ไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
ภิกษุเห็นโทษเนืองๆ ในธรรมทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งสังโยชน์อยู่ วิญญาณ
ก็ไม่หยั่งลง ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ฯลฯ ความดับ
แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

ที่มา https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=16&A=2447&Z=2467

สังโยชน์ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวของตน
๒. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
๓. สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นศีลพรต
๔. กามราคะ ความติดใจในกามคุณ
๕. ปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ได้แก่
๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปธรรมอันประณีต
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปธรรม
๘. มานะ ความถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่
๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
๑๐. อวิชชา ความไม่รู้จริง;
พระโสดาบัน ละสังโยชน์ ๓ ข้อต้นได้,
พระสกิทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ ๔ และ ๕ ให้เบาบางลงด้วย,
พระอนาคามี ละสังโยชน์ ๕ ข้อต้นได้หมด,
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อ;

ที่มา https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%D1%A7%E2%C2%AA%B9%EC

 

ท่านก็สาธยายตามพระอภิธรรมอีก
สักรอบซิท่านลุงแมวไม่เก่งตัวเลข
เลยคับ

 

ถ้าท่านตอบได้ว่าทำไมถึง "อยากรู้"
และตอบได้ว่า"อยากรู้ไปเพื่ออะไร"
ขณะนั้นๆ แหล่ะ"สติเกิด" แล้ว และมันก็ดับ
ในเวลาต่อๆมา
เป็นยังงี้เรื่อยๆไปคับ

 

คือ มาแบบ ลอยๆแบบนี้
มันต้องมี จังหวะสมควรในการจะพิมพ์

มาลอยๆแบบนี้ พิมพ์ได้แต่ ชก ลม อะฮับ