ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 หน้า 149 ของข้าพเจ้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย montrik, 1 กันยายน 2018.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    FB_IMG_1609329575888.jpg
    แปะไว้ก่อน
    การขอพรพระคำข้าว

    พระอาจารย์กล่าวว่า "พระของหลวงพ่อเราจะมีสมเด็จคำข้าว สมเด็จคำข้าวนี่ท่านอนุญาตให้ว่า ภายในชีวิตหนึ่งขอได้ไม่เกิน ๓ ครั้ง จะต้องประเภทลำบากชนิดเลือดตากระเด็นจริง ๆ

    ท่านบอกให้หากุหลาบ ๓ สี คือ สีขาว สีเหลือง สีแดง อย่างละ ๑๐ ดอก จัดใส่แจกันบูชาพระ ตั้งพานปูผ้าขาว เอาสมเด็จคำข้าววางบูชาบนพาน หลังจากนั้นสวด อิติปิ โสฯ บูชา เสร็จแล้วให้ภาวนาคาถาเงินล้านประมาณ ๑ ชั่วโมง ทำอย่างนี้ติดต่อกัน ๗ วัน ต้องเปลี่ยนดอกไม้ทุกวันด้วยนะ พอวันสุดท้ายทำเรียบร้อยแล้วให้อธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนา

    แต่ท่านบอกเอาไว้ว่า ถ้าไม่ถึงขนาดเลือดตากระเด็นจริง ๆ อย่าเพิ่งไปขอ เพราะว่าโควตามีแค่ ๓ ครั้งเท่านั้น ไม่ใช่ว่า

    กูมี ๓๐ องค์ ก็ล่อเสีย ๙๐ ครั้ง..! ๓๐ องค์ก็ ๓ ครั้งเหมือนกัน อาตมายังไม่เคยขอสักครั้ง รู้สึกว่าคุณแสงชัยจะขอไปทีหนึ่งแล้ว

    ถาม : ได้ไหมครับ ?
    ตอบ : ได้...ทำไมจะไม่ได้

    ถาม : มีคนจะทำ แต่หาดอกไม้ได้ไม่พอ ?
    ตอบ : นั่นแหละ ก็ถ้าหากว่าจะซื้อ ให้ซื้อมาตุนไว้เลย ตุนไว้ใส่ถุงพลาสติก แล้วก็แช่เอาไว้ในตู้เย็น คงไม่เหี่ยวหรอก ต้องใช้ ๗ วันติดกัน เดี๋ยวหาไม่ได้จะยุ่ง สีแดงหาได้เป็นปกติหรอก แต่สีไหนหายากก็ตุนไว้ก่อน ต้องทำ ๗ วันต่อเนื่องกัน ภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้า ๆ ทำด้วยความเคารพต่อเนื่องประมาณ ๑ ชั่วโมง จะกี่จบก็ช่าง ๗ วันติดกัน เท่ากับว่าบังคับให้เราแลกด้วยความดีสูงสุดเลยคือ ทาน ศีล ภาวนา

    ถาม : ต้องถือศีล ๘ ไหมครับ ?
    ตอบ : ทำอะไรก็ได้ ยิ่งบริสุทธิ์เท่าไร ผลก็ยิ่งเกิดง่ายเท่านั้น เพราะฉะนั้น..กรณีนี้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จำเอาไว้ก็พอ เอาไว้สั่งเสียลูกหลานต่อ ๆ ไป

    ........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ........................................
    #รู้ว่าดีก็ทำ #รู้ว่าชั่วก็ละ #ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
     
  2. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หาชมได้ยาก

    ฟันหลวงปู่ดู่
    อาจารย์ศุภรัตน์ได้รับฟันของหลวงปู่ดู่ ซึ่งท่านมอบให้โดยกล่าวว่า "เก็บไว้ให้ดี ถ้าหายไปก็ไม่มีของแทนแล้ว ลองตรวจดูซิว่าใช้ประโยชน์ทางไหนได้บ้าง"อาจราย?ศุภรัตน์ตอบท่านว่า " ไม่หรอกครับ เสกมาไม่รู้กี่ปีแล้ว " หลวงปู่กล่าวว่า "ไม่ใช่ อยากรู้เคล็ดลับว่ามีอะไร " อาจารย์ศุภรัตน์จึงตอบท่านว่า "ที่รู้ๆก็คือพระธาตุ " หลวงปู่สรุปว่า "เรื่องพระพระธาตุน่ะ แน่นอนอยู่แล้ว "
    ฟันที่ได้มาครั้งแรก เมื่อดูด้วยสายตายังแสดงการเป็นพระธาตุไม่ชัดเจน แต่หลังจากที่นำมาบูชาได้ ๒ ปีจึงมีสีเหลืองสวย ส่วนขาวของหันมีความแวววาวเหมือนมุก ส่วนรากฟันเกิดความใส สวยงามมาก ซึ่งแสดงถึงสัจธรรมในความเป็น พระอริยะผู้บรรลุธรรมขั้นสูงของท่าน
    นพรัตน์ ปี ๒๕๓๑
    FB_IMG_1609388952612.jpg FB_IMG_1609388955267.jpg FB_IMG_1609388957702.jpg FB_IMG_1609389005426.jpg FB_IMG_1609389007801.jpg FB_IMG_1609389012363.jpg FB_IMG_1609389042943.jpg
     
  3. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    1609419164947.jpg
     
  4. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    1609427238247.jpg 1609422199377.jpg
     
  5. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    1609432014491.jpg

     
  6. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    1609435257406.jpg
     
  7. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    น้อยคน จะรู้คาถานี้ครับ

    พระคุณหลวงปู่ปานท่านบอกว่า ใช้คาถาของท่านนะ เอาบทสั้น ๆ ก็ได้ว่า...

    ..."เจจะตัง"...

    อันนี้แคล้วคลาดหมด ภัยอันตรายก็ดี โรคภัยก็ดี อะไรที่จะถึงตัว
    ท่านบอกแคล้วคลาดหมด ท่านบอกว่าไม่ใช่เฉพาะอันตรายอย่างเดียว ทุกอย่างที่เป็นภัย เป็นความไม่สบายใจทั้งหลายนะ

    ให้ภาวนาเป็นสมาธิสัก ๓ นาที ๕ นาที
    หรือภาวนาเรื่อยไป เดินทางไปไหนที่สุ่มเสี่ยงนะ

    ✍ ถ้า ๓ ตัวยังจำไม่ได้ ก็จนใจ จนใจจะแนะนำนะ
    ก่อนที่พระอาจารย์จะลงมาในศาลานี่ ท่านบอกว่า ให้ภาวนาไว้จะได้ปลอดภัยกัน
    สำคัญนะ ของที่พระที่ครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์นี่ แหม๋...ว่านิดเดียว ขลังเลย
    คาถาก็ดี การภาวนาก็ดี ถ้าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์นะ..ว่าคำเดียวก็ขลังเลย
    ถ้าไปคิดเอง ว่าหลายคำก็ไม่ขลัง

    เพราะฉะนั้นนี่เรามีพ่อแม่ เรามีครูบาอาจารย์นะ
    ไล่มาตั้งแต่ครูบาอาจารย์ทางธรรมของพระอาจารย์นี่ก็มี หลวงพ่อวัดท่าซุงนะ เป็นที่สุด
    ถ้าไม่มีหลวงพ่อวันนั้น...ไม่มีเราวันนี้ ไม่มีใครมานั่งพูดอยู่ตรงนี้ ไม่มีวัดพุทธพรหมยานแห่งนี้เกิดขึ้น หมดกำลังใจไปนานแล้ว
    แต่ที่มีวันนี้ เพราะว่าบุญเก่าและบารมีของพระคุณลวงพ่อวัดท่าซุง จึงทำให้เรารู้ว่าควรจะเดินอย่างไร และทำอย่างไร...แบบไหนนะ

    ▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎▪︎✍
    #พระธรรมเทศนา
    #งานไหว้ครูประจำปี ๒๕๖๓ : ตอนที่ ๙
    ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๓

    #พระอาจารย์เอกลักษณ์ #ปญฺญาคโม
    #วัดพุทธพรหมยาน
    #ธรรมะลูกนอกวัง
    #ลูกนอกวังวัดพุทธพรหมยาน
    #พระพุทธศาสนาช่วยสังคม
    #สมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน
    #พระอุโบสถแก้ว
    #ศิษย์ลูกนอกวัง
    #ชาติ #ศาสนา #พระมหากษัตริย์
    #พระคาถาเงินล้าน
    #พิธีไหว้ครู๒๕๖๓
    FB_IMG_1609804718175.jpg
     
  8. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เมื่อ ๔๒๙ ปีที่แล้ว

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาใน “สงครามยุทธหัตถี” เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๑๓๕

    ในปี ๒๑๓๕ พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชานำกองทัพทหาร ๒๔๐,๐๐๐ คน มาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศ ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลัง ๑๐๐,๐๐๐ คนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทอง และตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย

    เช้าวันจันทร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง ปี ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศ ทรงช้างศึก นามว่า “เจ้าพระยาไชยานุภาพ” ส่วนพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า “เจ้าพระยาปราบไตรจักร” ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปในแดนพม่า มีเพียงทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาทเท่านั้นที่ติดตามไปทัน

    สมเด็จพระนเรศ ทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชา ทรงพระคชสาร อยู่ในร่มไม้ จึงทราบได้ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของสมเด็จพระนเรศ ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้างเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า

    “...พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว...”

    พระมหาอุปราชา ได้ยินดังนั้นจึงไสช้างนามว่า “พลายพัทธกอ” เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาเข้าที่อังสะขวา สวรรคตอยู่บนคอช้าง นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลา อีกยาวนาน

    แต่ในพงศาวดารของพม่ากลับมีความแตกต่างไปจากในประวัติศาสตร์ไทย ดูได้จาก “มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า” ที่ได้กล่าวถึงเหตุการณ์การสวรรคตของพระมหาอุปราชา ซึ่งเกิดขึ้นในเดือน ๑๐ จุลศักราช ๙๕๕ (กันยายน ๒๑๓๖) ไว้ว่า

    “…เวลานั้นพลทหารของพระนเรศก็เอาปืนใหญ่ยิงระดมเข้ามา กระสุนก็ไปต้องพระมหาอุปราชา ก็สิ้นพระชนม์ที่คอช้างพระที่นั่งนั้น ในเวลานั้นตุลิพะละพันท้ายช้างเห็นว่าพระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์ก็ค่อยประคองพระมหาอุปราชพิงไว้กับอานช้างเพื่อมิให้พระนเรศรู้แล้วถอยออกไป…”

    อาจสรุปได้ว่า “การทำยุทธหัตถี” นั่นเกิดขึ้นจริง แต่ประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์พม่า ต่างเล่าเรื่องที่แตกต่างกันในรายละเอียด แสดงให้เห็นว่าบทบาทของประวัติศาสตร์ ต่างฝ่ายต่างเขียนแบบฉบับของตน เช่นเดียวกับมุมมองของแต่ละคนที่อาจต่างหรือคล้ายคลึงกัน

    และไม่ว่าวัน เวลา สถานที่ หรือเหตุการณ์จะต่างกัน แต่ข้อมูลที่พอมีน้ำหนักคือ เหตุการณ์การทำยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศกับพระมหาอุปราชนั้น เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น (เมื่อพิจารณาจากหลักฐานการบอกเล่าต่างๆ ที่สอดคล้องกันทั้งสองฝ่าย) อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดแล้วยังคงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไปตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์

    ที่มาส่วนหนึ่งจาก https://bit.ly/2G1jrnB

    FB_IMG_1610933825528.jpg FB_IMG_1610938407791.jpg IMG_20210118_084056.jpg
     
  9. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    #กงล้อธัมจักร
    #ต้นแบบอยู่พาราณสี
    #มีจำนวน24ชี่
    #เก็บไว้ที่พิพิธภันฑ์สารนารถ
    #สร้างสมัยพระเจ้าอโศก
    โดยคำเเนะนำของพระอรหันต์ชื่อว่าโมคคัลลีบุตรติสสะ อาจารย์ของสามเณรนิโครธ

    จักร ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ย่อมหมายถึง ล้อรถแห่งรถศึกใช้ในการ
    สงครามเพื่อขยายอาณาจักรเพื่อให้แผ่นดินได้แผ่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งขึ้น อันได้แสดงถึงแคว้นแห่งมหาอํานาจ
    แห่งการปกครอง และมีการบูรณการโดยใช้จักรนี้เพื่อความพัฒนาตามบริบทแห่งการแผ่อํานาจให้ได้ซึ่งความ
    ยิ่งใหญ่แห่งอาณาเขตแห่งการการปกครองยิ่งขึ้น โดยผู้วิจัยขอเริ่มต้นประวัติที่มาแห่งการใช้จักรนั้นอันเปรียบ
    ด้วยกงล้อในช่วงก่อนพุทธกาลในยุคอารยธรรมลุ่มแม่น้ําสินธุ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2,000-900 ปี ก่อน
    พุทธศักราช เป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในยุคสัมฤทธิ์ในบริเวณลุ่มแม่น้ําสินธุ (Phra Brahmagunabhorn
    (P.A. Payutto), 2009) ซึ่งมีความรู้ความชํานาญแห่งการสร้างเกวียน รถศึก อาวุธ จึงได้ถูกยกย่องความเป็น
    ช่างไม้ ช่างโลหะแห่งยุค เพราะมีความนิยมแห่งการแข่งรถศึกในสมัยั้น และต่อมาชาวอารยันเข้ามาบุกรุก
    และปกครองยึดอาณาเขตตลอดลงไปจนถึงแม่น้ําคงคาด้วยเครื่องมือรบอันแข็งแกร่งจากการใช้เหล็กอันทัน
    สมัยกว่าชนพื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้รถศึกอันทรงอานุภาพแห่งการประชัดบานในการสู้รบ
    ซึ่งประกอบไปด้วยซี่ล้อและกงล้อรถศึกในการล่ายึดอาณานิคมหรืออาณาจักรอันอยู่ภายใต้จักรวรรดิของ
    จักรพรรดิผู้ทรงเป็นประมุขตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนาในเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิทรงมีจักรแก้วทิพย์
    ทรงพลานุภาพแห่งความวิเศษที่นําชัยชนะทั่วปฐพีซึ่งมิอาจมีใครๆ ที่จะต่อสู้ต้านทานได้ จึงเปรียบได้ด้วย
    อํานาจแห่งกงล้อของรถศึกหมุนไปชนะ ณ ที่ใดนั้น ย่อมสามารถยึดได้ ณ ที่นั้นเช่นกัน จึงกลายมาเป็น
    อาณาจักรที่ได้ถึงขยายอาณาเขตการปกครองของพระราชาที่ได้แผ่ขยายด้วยเหตุแห่งกงล้อรถศึกนั้นเอง
    (Phramaha Udorn Suddhiñãno, 2011)
    2. ธรรมจักรที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา
    ผลการวิจัยพบว่า ธรรมจักรได้ปรากฏอย่างแพร่หลายในพระไตรปิฎกถึง 30 แห่ง โดยแบ่งได้เป็น
    2 แห่งในพระวินัยปิฎก, 26 พระสูตรในสุตตันตปิฎก และ 2 แห่งในพระอภิธรรมปิฎก ตลอดช่วงในแสดง
    พระสัจธรรมแห่งการการประกาศพระธรรมจักร หรือพรหมจักร 45 พรรษา กล่าวโดยสรุป จากการปรากฏ
    คําว่า “ธรรมจักร” ในพระไตรปิฏกอย่างแพร่หลาย และบางพระสูตรได้มีการกล่าวซ้ํา และมีความสัมพันธ์
    อันเกี่ยวเนื่องแห่งนัยความหมายของธรรมจักร โดยผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตและการสามารถจําแนกเป็นหมวด
    หมู่ได้ดังนี้

    Journal of MCU Peace Studies Vol.5 No.3 (September-December 2017) 189

    1) การประกาศพระธรรมจักรแห่งอริยสัย 4 ซึ่งเป็นการแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น
    เปรียบด้วยการประกาศสัจจะแห่งปฏิจจสมุปบาทเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความดับเห่งสักกายะแห่งขันธ์ 5
    2) การแสดงปฐมเทศนาแห่งการประกาศพระธรรมจักร ย่อมเกิดแสงสว่างอันเจิดจ้าแผ่นดินไหว
    อย่างรุ่นแรงอันเป็นปรากฏการณ์เหนือวิสัยธรรมชาติ และยังเป็นสถาณที่ประกาศพระธรรมจักรเป็น 1 ตําบล
    ในสังเวชนียสถาน 4 ตําบล ซึ่งควรค่าแก่การสักการะและการสังเวชโดยแท้
    3) การประกาศพระสัทธรรมแห่งธรรมราชา ย่อมเปรียบด้วยการประกาศธรรมจักรอันครอบคลุม
    เวไนยสัตว์ทั้งหมดจึงเป็นธรรมจักรหมุนไปอันยอดเยี่ยม ซึ่งพระผู้มีพระภาคเปรียบดังพระเจ้าจักรพรรดิแห่ง
    ธรรมราชาผู้ทรงมีธรรมเป็นใหญ่ จึงทรงหมุนพระธรรมจักรให้เคลื่อนได้ เฉกเช่นเดียวกับพระสารีบุตรดุจ
    พระราชโอรสองค์ใหญ่ ผู้เป็นธรรมทายาทก็หยั่งให้จักรหมุนได้ฉันนั้น
    4) การเริ่มต้นแห่งพุทธทํานายเพื่อสืบทอดพุทธวงศ์ โดยมีเนื้อหาเริ่มต้นจากพระทีปังกรพุทธเจ้า
    จนกระทั้งถึงพระโคดมพุทธเจ้ารวมทั้งหมดมีพระพุทธเจ้า 25 พระองค์ที่ทรงได้ “ประกาศพระธรรมจักร”
    5) ความตั้งปรารถนาพุทธสาวก ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาแห่งการ “ประกาศพระธรรมจักร”
    และตั้งธรรมจักรข้างหน้าพุทธอาสน์ อันเป็นปัจจัยแห่งความเป็นพระอรหันต์
    ธรรมจักร ได้มีนิยามความหมายอันประกอบแห่งโพธิปักขิยธรรม 37 ประการแห่งอริยมรรคซึ่ง
    ประกอบไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และอริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมอันเดียวกันซึ่งเชื่อมถึงกันได้
    หมด อันเปรียบด้วยสายน้ําถึงมีจะมีหลายสาย แต่จะต้องไหลสู่มหาสมุทรเป็นที่สุด คือพระนิพพาน และท่าน
    ผู้ประกาศพระธรรมจักรให้ทั้งธรรมและจักรหมุนไปได้นั้น ก็เปรียบประดุจการบันลือสีหนาทของพญาราชสีห์
    ซึ่งเป็นการแสดงธรรมจักรหรือพรหมจักรอันครอบคลุมเวไนยสัตว์ทั้งหมด อันเป็นธรรมจักรหมุนไปอย่างยอด
    เยี่ยมอันไม่มีใครๆ ที่จะทัดทานได้
    3. วิเคราะห์ธรรมจักรในฐานะสัญลักษณ์แห่งธรรมในพระพุทธศาสนา
    ผลการวิจัยพบว่า การถือกําเนิดสัญลักษณ์แห่งรูปธรรมโดยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราช
    ศรัทธาสร้างสัญลักษณ์นี้ขึ้นเป็นวงล้อพระธรรมจักรบนหัวสิงห์ 4 หัว แบบหินทรายขัดมันลอยตัวที่มีอายุเก่า
    แก่ที่สุด ซึ่งกงล้อพระธรรมจักรมีกํา 32 ซี่ อันเปรียบด้วยหลักธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายเกิด 12 ข้อ ฝ่าย
    ดับ 12 ข้อ รวมเป็น 24 ข้อ และมรรค มีองค์ 8 รวมเท่ากับ 32 ข้อ ตามเนื้อหาในนครสูตร ว่าด้วยนคร
    (Tripitaka, 16/65/126-129) เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระธรรมคําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงมี
    พระมหากรุณาธิคุณประกาศต่อเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้มีดวงตาเห็นธรรมเพื่อข้ามวัฏสงสารไปได้ และ
    นําไปสู่คติการสร้างกงล้อธรรมจักรสืบต่อเรื่อยมา โดยมีมีผลการวิเคราะห์ธรรมจักรในฐานะสัญลักษณ์แห่ง
    ธรรมในพระพุทธศาสนาได้ดังนี้
    1) องค์ประกอบของสัญลักษณ์กงล้อธรรมจักร ประกอบไปด้วย 3 ส่วน คือ กําแห่งจํานวนซี่
    กงล้อ และดุม เปรียบด้วยหลักธรรมขององค์พระบรมศาสดาได้ดังนี้

    190 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2560)

    1.1 กําแห่งจํานวนซี่ตั้งแต่ 8 ขึ้นไปอันเปรียบด้วยอริยมรรคมีองค์ 8, 12 ซี่ เปรียบด้วยองค์ธรรม
    แห่งอริยสัจวน 3 รอบแห่งสัจจญาณ กิจจญาณ และกตญาณ (Thanit Yupho, 1965), 24 ซี่ เปรียบด้วย
    องค์ธรรมแห่งปฏิจจสมุปบาท 24 คือ สายเกิด 12 ข้อ และสายดับ 12 ข้อ และ 37 ซี่ เปรียบด้วยโพธิปักขิย
    ธรรม 37 ประการ เป็นต้น
    1.2 กงล้อ เปรียบด้วยวัฏสงสาร คือ การเวียนว่ายตายเกิดอันไม่มีที่สิ้นสุดแห่งสังสารจักร ซึ่งกงล้อ
    นี้นั้นได้กําลังหมุนตามเข็มนาฬิกา คือ การเวียนทักษินาวัตร อันเปรียบด้วยการหมุนเข้าไปสู่แกนกลางแห่งดุม
    เปรียบด้วยการหมุนอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นและการกระทําที่สุดแห่งทุกข์ ในทางตรงกันข้ามการหมุน
    ทวนเข็มนาฬิกา เปรียบด้วยการหมุนแห่งการทําลายล้างและคลายออกไปอันเป็นวัฏสงสารที่ไม่มีที่สิ้นสุด
    1.3 ดุม เปรียบด้วยพระนิพพาน คือมีลักษณะรูปทรงกลมคล้ายเลขศูนย์โปร่งไม่ทึบ เปรียบได้ด้วย
    สัญลักษณ์ความว่างอันเป็นปรมัตถสัจจะที่สูงสุดแห่งสภาวะของสัญญาเวทยิตนิโรธด้วยความหลุดพ้นแห่ง
    ผัสสะ 3 อันมีลักษณะแห่งนิพพาน คือ สุญญตะ คือ ความว่าง, อนิมิตตะ คือ ความไม่มีนิมิต และอัปปณิหิตะ
    คือ ความไม่ที่ตั้ง (Tripitaka, 18/369/449-450) ด้วยการน้อมจิตเข้าสู่กระแสพระนิพพานเป็นอารมณ์อัน
    เป็นที่ตั้งแห่งความว่างเปล่า หรือ ความไม่มีนิมิต หรือ ความไม่มีที่ตั้ง อันเปรียบด้วยดุมทรงกลม มีลักษณะ
    โปร่งเท่านั้น จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งสภาวะความหลุดพ้นและเป็นอสังขตธาตุอันเป็นธาตุอันปราศจากปรุงแต่ง
    แห่งสังขารใดๆ
    สัญลักษณ์กงล้อธรรมจักร จึงสามารถวิเคราะห์ความหมายตามหลักธรรมได้ทั้งสิ้นอันมีหลัก
    ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมแห่งอริยมรรค มีองค์ 8 อันประกอบด้วยมีองค์ธรรมแห่งศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อ
    เป็นปัจจัยแห่งความผาสุกในปัจจุบัน สุคติสวรรค์เป็นที่หวังได้ และมีพระนิพพานเป็นที่สุด จึงได้กลายเป็น
    สัญลักษณ์แห่งธรรมอันทรงคุณค่าในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของชาวโลก และได้สืบสานคติการสร้างพระ
    ธรรมจักรอันทรงคุณค่าในสังคมไทยต่อไป
    2) หลักโพธิปักขิยธรรม 37 ประการในธรรมจักร มีเนื้อหาหลักธรรมตามในอากาสสูตร ว่าด้วย
    อุปมาด้วยอากาศ ได้กล่าวถึงการเปรียบการเจริญโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ดังลมที่ย่อมก่อตัวจากทิศทั้ง
    4 ก็ดี และย่อมมีอานุภาพที่ได้รวมตัวพัดในทิศทางเดียวกันนั้น ก็ย่อมเป็นกําลังในเจริญโพธิปักขิยธรรม 37
    ประการ ให้อริยมรรค มีองค์ 8 ที่บริบูรณ์ด้วยกําลังและอานุภาพยิ่งขึ้นไปเท่านั้น สมดังพุทธดํารัสที่ได้ทรง
    ตรัสว่า

    “เมื่อเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ทําอริยมรรคมีองค์ 8 ให้มาก สติปัฏฐาน 4 ประการถึง
    ความเจริญเต็มทีบ้าง สัมมัปปธาน 4 ประการถึงความเจริญเต็มที่บ้าง อิทธิบาท 4 ประการถึงความ
    เต็มที่บ้าง อินทรีย์ 5 ประการถึงความเต็มที่บ้าง พละ 5 ประการถึงความเต็มที่บ้าง โพชฌงค์ 7
    ประการถึง ความเต็มที่บ้าง” (Tripitaka, 19/155/84)

    Journal of MCU Peace Studies Vol.5 No.3 (September-December 2017) 191

    เหล่าธรรมทั้งปวงที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระธรรมอันเป็นที่รวบรวมได้ถึง 84,000
    พระธรรมขันธ์ ล้วนแล้วจะต้องประพฤติปฏิบัติด้วยการเจริญอริยมรรค มีองค์ 8 ให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้นไป อันเป็น
    เหตุปัจจัยในการเจริญธรรมแห่งโพธิปักขิยธรรม 37 ย่อมถึงความบริบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้นเช่นกัน ก็เป็นเหล่า
    ธรรมที่ล้วนต่างหยั่งลงในอริยมรรค มีองค์ 8 อันมีกําลังและอานุภาพแห่งการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา มากยิ่ง
    ขึ้นจนถึงความบริบูรณ์อันเป็นเหตุปัจจัยเพื่อความหลุดพ้นทั้งสิ้นนั้นเอง จึงเป็นหัวข้อธรรมที่มีหลักธรรมอัน
    กว้างขวางมาก เพราะด้วยพระสัพพัญญุตญาณจึงทรงทราบชัดในธรรมทั้งปวง อย่างไม่มีขอบเขตจํากัดอย่าง
    ไม่ติดขัดในเหตุและที่มาแห่งธรรมทั้งปวง และที่สุดแห่งธรรมคือบรมธรรมนั้นเอง
    3) พัฒนาการแห่งสัญลักษณ์ธรรมจักรในสังคมไทย ได้แสดงถึงคุณค่าคตินิยมการใช้เครื่องหมาย
    สัญลักษณ์ธรรมจักรอันแฝงไปด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างเป็นที่แพร่หลายที่ได้ส่งเสริมสังคมไทย
    ตลอดจนถึงสถาบันการศึกษาและการส่งเสริมจริธรรมได้ดังนี้
    3.1 ด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี จากหลักฐานสําคัญกงล้อหินศิลาธรรมจักรและกวางหมอบเป็น
    จํานวนมากตั้งแต่ยุคสมัยทวารดีช่วงพุทธศัตวรรษที่ 12 - 16 ได้บ่งบอกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์โบราณคดี
    แห่งอารยธรรมทวารวดี ซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองจากการติดต่อค้าขายทางทะเลกับประเทศอินเดียจาก
    การค้นพบตราประทับดินเผารูปเรือเดินทะเล และภาพปูนปั่นเรื่องเล่าชาดกแสดงบุคคลพายเรือ เป็นต้น
    (Fine Arts Department, 2005) และมีพัฒนาการทางสังคมในประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยเป็นเวลา
    ช้านาน
    3.2 ด้านพุทธศิลปะแห่งประติมากรรม จากการค้นพบวงล้อพระธรรมจักรมีลวดลายไทยจาก
    หลักฐานสําคัญยิ่งทางโบราณคดีที่ได้มีการค้นพบกงล้อหินศิลาธรรมจักรแบบลอยตัวทรงกลม มีทั้งฉลุซี่ล้อ
    แบบโปร่งและทึบ โดยมีฐานลายกลีบบัวคว่ําบัวหงาย (Fine Arts Department, 2005) และกําของธรรม
    จักรอันมีลวดลายจําหลักโค้งขมวดคล้ายดังเกศรขนาบทั้งสองข้างในแต่ละปลายซี่ให้มีความสวยงามมากยิ่ง
    ขึ้น เปรียบดังฉัพพรรณรังสีดังรูปภาพหินสลักดอกบัวมีรัศมีฉัพพรรณรังสีล้อมรอบ ศิลปะภารหุตสมัยสุงคะ
    พ.ศ. 300-400 (Buddhadasa Bhikkhu, 2009) ให้เกิดเอกลักษณ์แห่งศิลปะยุคทวารวดีอย่างแท้จริง
    ซึ่งเป็นการกําเนิดงานศิลปะทางด้านประติมากรรมอันเป็นเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย และได้มีการสืบทอด
    งานประติมากรรมและสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าดังตัวอย่างการสร้างกงล้อธรรมจักรแบบลอยตัวขนาด
    ใหญ่ ที่วัดเขาถ้ําเสือ จังหวัดสุพรรณบุรี และวงล้อธรรมจักร 32 ซี่ และ 5 แท่นหินนั้งที่พุทธมณฑล จังหวัด
    นครปฐม เป็นต้น
    3.3 ด้านหลักพุทธธรรม ด้วยการจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี แห่งอาการ 12 บนฐานรอง
    พระธรรมจักร คาถา เย ธมฺมา บนเสาศิลาแปดเหลี่ยมที่ใช้ฐานรองพระธรรมจักร ที่หมู่บ้านซับจําปา
    อําเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี (Sompong Santisukhwanta, 2007) ซึ่งเป็นปัจจัยเหตุที่มาของเหล่าธรรม
    อันได้แก่ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจ 4 ได้ขยายไปยังหมวดธรรมอื่นๆ ได้อีก อาทิเช่น
    ปัญญาคือแสงสว่างของโลกได้อัญเชิญไว้ในตราสัญลักษณ์ธรรมจักรของ มจร. เป็นต้น

    192 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2560)

    3.4 ด้านวัฒนธรรมและประเพณี พระธรรมคําสั่งสอนให้หมั่นทําบุญตักบาตรได้สะท้อนวีถีชีวิตอัน
    งดงามจากการทําบุญเข้าวัดตามเทศกาลสําคัญๆ ทางพระพุทธศาสนา จึงได้เกิดการสืบสานประเพณีการ
    ตักบาตรเทโว ประเพณีขนทรายเข้าวัด สงกานต์เพื่อรดน้ําพระพุทธรูปและผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ อันก่อให้
    เกิดวัฒนธรรมอันดีงามล้วนแล้วเป็นคติความเชื่ออันยาวนานซึ่งรักษาไว้ซึ่งความดีงามอันเป็นเอกลักษณ์แห่ง
    ความเป็นไทยจากการค้นพบงานเขียนหินชนวนแผ่นสลักภาพชาดกเรื่องโคชานิยชาดก เป็นรูปเขียนม้าสินธพ
    อาชาไนยพระโพธิสัตว์ได้นั้งบนธรรมจักรศิลปะสุโขทัย ต้น-กลางพุทธศตวรรษที่ 20 (Fine Arts

    Department, 2012) ซึ่งมีคุณค่าตามคติความเชื่อในการสร้างสัญลักษณ์ธรรมจักรเพื่อสืบทอดอายุพระพุทธ-
    ศาสนาสืบต่อไป

    3.5 ด้านรัฐศาสตร์การปกครอง สร้างสัญลักษณ์กงล้อพระธรรมจักรแบบลอยตัวขนาดใหญ่ได้
    สะท้อนให้ทราบว่าพระราชาทรงปกครองประเทศแบบธรรมราชา ซึ่งแสดงถึงสัญลักษณ์แห่งความความเป็น
    พระเจ้าจักรพรรดิและธรรมราชาผนวกเข้ารวมกัน (Fine Arts Department, 2012) อันป็นต้นแบบแห่งการ
    ปกครองจักรวรรดิที่ได้สืบสานมาหยั่งยาวนาน นําเป็นสู่คติความเชื่อในการดํารงชีวิตและความเป็นอยู่อย่าง
    สงบตั้งแต่ยุคสมัยดินแดนสุวรรณภูมิคือดินแดนแห่งแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง (Rangsi Suthon. 2013)
    ก็ย่อมแสดงให้ทราบว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวยังคงรักษาคุณค่าทางการปกครองตามหลักธรรมเพื่อความเป็นอยู่
    อย่างพาสุกของประชาชนอีกด้วย จนกระทั้งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเป็นปฐม

    กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ในสมัยรัตนโกสินตร์และได้แสดงตราสัญลักษณ์จักรและตรี (Phra Brahma-
    gunabhorn P.A. Payutto, 2009) และทรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมราชาด้วยการทรงอุปถัมภ์การทําสังคายนา

    พระไตรปิฎกครั้งที่ 2 ในราชอาณาจักรไทย (Fine Arts Department, 2012) ซึ่งผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตกงล้อ
    จักรจากสัญลักษณ์ธรรมจักรในยุตปัจจุบันนิยมสร้างเป็นรูปจักรแห่งพระนารายญ์ ย่อมแสดงถึงยุคปัจจุบัน
    แห่งการปกครองในราชวงศ์จักรี จนกระทั้งถึงการปกครองแบบประชาธิไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
    พระประมุข ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช แห่งธรรมราชิราช ที่พสกนิกรชาว
    ไทยได้สมัญญาพระนามแห่งกษัตริย์ผู้ทรงเป็นธรรมยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวง King of the King (Fine Arts
    Department, 2012) เพราะทรงไว้ทศพิธราชธรรม ตั้งแต่ทรงได้ขึ้นครองราชย์ ทรงมีพระปฐมบรม
    ราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุข เเห่งมหาชนชาวสยาม” (Thanaporn
    Sighaneul, 2012) ก็ย่อมสะท้อนให้ได้เห็นถึงสัญลักษณ์ธรรมจักรในสมัยปัจจุบัน จากการสร้างพระธรรม
    จักรที่พุทธมณฑลโดยมีกงล้อธรรมรอบนอกเป็นรูปทรงจักรเช่นเดียวกัน เปรียบได้กับการทรงประกาศให้ชาว
    โลกทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ โดยทรงยกย่องให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจําชาติ และทรง
    ประพฤติอยู่ในธรรมเช่นกัน
    3.6 ด้านการศึกษาและส่งเสริมจริยธรรม นอกเหนือจากสัญลักษณ์ธรรมจักรได้กลายเป็น
    สัญลักษณ์สําคัญทางพระพุทธศาสนาแล้วนั้น ยังได้เป็นต้นแบบแห่งการผสมผสานการใช้ตราสัญลักษณ์ธรรม
    จักรเป็นอย่างที่แพร่หลาย อาทิเช่นการใช้อักษรบาลี ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต อันมีเนื้อหาตามในอาภาสูตร
    ว่าด้วยแสงสว่าง หมายถึง ความรู้ทางปัญญาเปรียบดังแสงสว่างที่เลิสที่สุดของโลก (Tipataka, 21/141/209)

    Journal of MCU Peace Studies Vol.5 No.3 (September-December 2017) 193

    โดยได้มีการใช้ตราสัญลักษณ์ธรรมจักรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นต้น เพื่อแสดงถึง
    คุณค่าแห่งปัญญาความรู้และการส่งเสริมจริยธรรมคุณงามความดีให้ตั้งมั่นในจิตใจของคนไทย เพื่อพัฒนา
    ความเจริญความก้าวหน้าของประเทศชาติไทยนั้นเอง
    กล่าวโดยสรุป ในสังคมไทยได้มีความผูกพันกับสัญลักษณ์ธรรมจักรมาอย่างช้านาน และได้นิยมใช้
    เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนาแห่งการประกาศพระธรรมจักรในการเผยแผ่พระธรรมคําสั่ง
    สอนขององค์พระบรมศาสดา ซึ่งได้มีการหมุนกงล้อแห่งพัฒนาการธรรมจักรเข้ามาสู่ในจิตใจของคนไทยอย่าง
    แนบแน่น อันแสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางพุทธศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์แห่งความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ชาติ
    ไทย ซึ่งได้สะท้อนในรูปแบบทางด้านงานประติมากรรม วัฒนธรรม ประเพณี และคุณค่าคตินิยมการใช้ธรรม
    จักรทางพระพุทธศาสนา ซึ่งสัญลักษณ์ธรรมจักรย่อมแสดงนัยสําคัญของทั้งคุณค่าการปกครองแบบธรรม
    ราชาและคุณค่าหลักธรรมที่ได้แสดงให้ประชาชนได้ศึกษาเพื่ออยู่รวมกันในสังคมอย่างสงบสุข รวมถึงคุณค่า
    การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังนานาประเทศอีกด้วย ย่อมมีนัยแสดงให้ทราบว่าพระมหากษัตริย์ย่อมทรง
    ปกครองแผ่นดินโดยธรรม และทรงค้ําชูพระพุทธศาสนาเปรียบเสมือนศาสนาประจําชาติมาหยั่งยาวนาน
    ตลอดรัชสมัยแห่งการปกครองในประเทศไทย รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ ได้ใช้ตราสัญลักษณ์ธรรมจักร
    เป็นอย่างที่แพร่หลายเพื่อส่งเสริมความรู้คู่จริธรรมอันดีงามในสังคมไทยสืบต่อไป
    ข้อเสนอแนะ
    1. ข้อเสนอแนะสําหรับงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
    ธรรมจักร มีความหมายที่ครอบคลุมเหล่าธรรมทั้งที่เป็นกุศลธรรมทั้งหมด รวมทั้งความความไม่ยึด
    มั่น ถือมั่นอะไรๆ ในโลกทั้งสิ้น ซึ่งนิยามแห่งธรรมจักร โดยคนทั่วไปเพียงแค่ทราบถึงความหมายแห่งการ
    แสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร หรืออริยสัจ 4 เท่านั้น แต่ความหมายที่แท้จริงนั้นยังรวมถึงหลักธรรมอื่นๆ อีก
    อาทิเช่น ปฏิจจสมุปบาททั้งสายเกิดและสายดับ ขันธ์ 5 อายตนะ เป็นต้น อันเป็นไปเพื่อหยั่งให้ธรรมและจักร
    ตั้งหมุนอยู่ไปได้อันอาศัยโพธิปักขยธรรม 37 ประการ หรือ โดยย่อเพียงอริยมรรค มีองค์ 8 อันเป็นไปเพื่อนํา
    ไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ทั้งสิ้น
    สัญลักษณ์ธรรมจักร ย่อมเป็นรูปธรรมแห่งความหมายทางพระพุทธศาสนาที่ครอบคลุมเหล่าธรรม
    แห่งทั้งนามธรรมและรูปธรรมอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมจักรให้หมุนไป
    เพื่อการแสดงพระสัทธรรมเปรียบดังเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และมิอาจที่จะมี
    สัญลักษณ์ใดที่จะมีความหมายทางพระพุทธศาสนาที่ยิ่งไปกว่านี้อีก เพราะมีทั้งหลักธรรมและข้อปฏิบัติแห่ง
    โพธิปักขยธรรม 37 ประการ และอริยมรรคอันเปรียบได้กับกําแห่งจํานวนซี่ และกงล้อแห่งวัฏสงสาร เพื่อ
    หมุนเข้าสู่พระนิพพานแห่งดุม
    ในการศึกษาทําใหได้เกิดการวิเคราะห์หลักธรรมแห่งมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นองค์ธรรมแห่งไตรสิกขา 
    คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อหยั่งลงในกําแห่งจํานวนซี่ของพระธรรมจักรเพื่อใหเกิดพละแห่งการหมุนกงล้อ
    ธรรมจักรเข้าไปสู่ดุมแห่งความรูความเขาใจมากยิ่งขึ้น

    194 วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม 2560)
    FB_IMG_1612258413838.jpg
     
  10. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    lg.jpg
    หลวงพ่อเดิมนั้น เกิดเมื่อวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 3 ปีวอก ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2403 และยังพี่น้องร่วมท้องอีก 5 คนคือ นางทองคำ คงหาญ, นางพู ทองหนุน, นายดวน ภู่มณี, นางพันธ์ จันทร์เจริญ, และ นางเปรื่อง หมื่นนราเดชจั่น
    lg.jpg

    161 ปี ชาตกาล หลวงพ่อเดิมฯ

    สาธุ สาธุ สาธุ
    https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/414957
     
  11. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ท่านอาจารย์ศุภกฤษณ์ชัยวงษ์ (ศุภรัตน์) แสงจันทร์ ให้พรปีใหม่ไทย 2564 กับทุกท่านครับ

    FB_IMG_1618299163247.jpg
     
  12. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ตามกระแส
    ในแบบฉบับวัดท่าซุง

    เรื่องจริง ขุนแผน ..แต่นอกตำนาน
    หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุงท่านเล่าไว้ดังนี้

    "...เดินทางมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี พอรถเลี้ยวจากฝั่งนี้ข้ามไปฝั่งตะวันตก เห็นวัดพระธาตุแล้ว เห็น วัดป่าเลไลย์ ตอนนี้ใจหายวาบ เพราะปรากฏ "ภาพของบุคคลกลุ่มหนึ่ง" ไม่ใช่คนเดียว เป็นคนกลุ่มใหญ่ แต่งตัวสวยสดงดงาม มาถึงก็ยกมือไหว้ มองไปเห็นเป็นคนสำคัญคือ ขุนช้าง

    "ขุนช้าง" ท่านเป็นเทวดา คือ เจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จึงถามท่านว่า หน้าตาของท่านเวลานี้สวย แต่ตามนิยายเขาบอกว่า ท่านหัวล้านน่ะ ไม่รู้ว่าหัวใคร แต่หัวผมจริงๆ มันไม่ล้านครับ เป็นหัวเถิกง่ามถ่อ ธรรมดาๆ เท่านั้น ถามท่านว่า สมัยนั้น เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ใช่ไหม

    ท่านบอกว่า ใช่..แล้วก็รับราชทินนามเป็น "ขุน" ก็เป็นเรื่องน่าแปลก ก็เลยถามว่า เรื่อง "วันทอง" เรื่อง "ขุนแผน" กับท่านนี่ ดูแล้วมันเลวจริง ๆ ก็อยากจะทราบว่า เรื่องแห่งความเป็นจริงนั้นมันยังไง เลวทรามขนาดนั้น ก็แสดงว่า บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปดู เหมือนว่าพระราชาไม่มีความหมาย

    ท่านขุนช้างฟังแล้วท่านก็ยิ้ม บอกว่ามันแย่จริงๆ เรื่องราวในคราวก่อนนี้ ผมกับขุนแผนไม่เคยมีเรื่องร้าย เพราะ เป็นเพื่อนเล่นกันมา ตั้งแต่อยู่วัดเป็นเด็กๆ แล้วต่อมา ก็เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน ถ้าผมบังเอิญจะไปแย่งเมียขุนแผนอย่างนั้น ผมคิดว่าผมคงจะตายไม่รู้ว่าแบบไหน จึงถามว่าเป็นเพราะอะไร..?

    ท่านบอกว่าขุนแผนนี้ มีความรู้ ร้ายกาจมาก ถ้าปรารถนาจะฆ่าคน อย่างผมนี้มันไม่ยาก ไม่ต้อง ใช้อาวุธ เป็นแต่เพียงแกหยิบเอาต้นหญ้าขึ้นมาต้นเดียว ต้องการให้ต้นหญ้านั้นเข่นฆ่าผม ผมก็ตายแล้ว
    ท่านขุนช้างนี่ ท่านเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านมาให้เห็น ไม่ใช่ว่าผู้เห็นจะใช้ฌานสมาบัติใช้ฌานอะไร เป็นอานุภาพของเทวดาแสดงให้เห็น อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า "ผีหลอก" คนถูกผีหลอก เขาเข้าฌานสมาบัติหรือก็เปล่า

    ถามท่านขุนช้างว่า ก็เมื่อท่านเป็นเพื่อนกับขุนแผน แล้วเรื่องร้ายทั้งหลายแหล่ ที่คนเขียนขึ้นนั้นมันมาได้ยังไง ท่านก็กล่าวว่า เวลานั้นเป็นสมัยราชาธิปไตย คนที่อยู่ในสมัยราชาธิปไตยต้องเป็นคนดี มีจริยาดี ทั้งสองคนเป็น "ขุน"

    ขุนช้างเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีความรู้ดี ขุนแผนเป็นคนจน แต่ก็จนอย่างขุนแผน ไม่ใช่จนอย่างยาจก เป็นคนที่มีวิชาความรู้ดี คำว่า "จน" ก็หมายถึงว่าไม่ได้มีเงินอย่างเหลือล้นนั่นเอง และขุนแผนเป็นคนมีลูกน้องมาก นอกจากเบี้ยหวัดเงินปีที่พระราชาให้ ขุนแผนก็ต้องล้วงเงินในกระเป๋าของตนเลี้ยง คนทั้งหลายที่มีกำลังดี เก็บเอาไว้ต่อสู้กับฆ่าศึก ขุนแผนเป็นลูก "ขุนไกร"

    ท่านบอกว่า ความจริงขุนแผนกับขุนช้างไม่มีเรื่องอะไร มีความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ตอนที่ขุนแผนไปตีเมืองจอมทอง มีคนเขามาแกล้งแย่งความดีของขุนช้าง คิดจะให้ขุนช้างถูกขุนแผนฆ่าตาย จึงเอากระดูกคนมาแสดงว่า เวลานี้ขุนแผนตายแล้ว และขุนแผนก็สั่งว่า สำหรับวันทองซึ่งเป็นเมียเล็ก เห็นว่าไม่คู่ควรกับใคร ขอมอบไว้กับขุนช้างปกครองด้วย ช่วยรักษาเธอให้มีความสุข

    นี่เห็นไหม..เห็นว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขียนกันไปน่ะ มันลอกเปลือกกันมาก ถามท่านขุนช้างว่า เวลาท่านตายทำไมจึงไม่ไปเป็นสัตว์นรก ท่านก็ยิ้มแล้วชี้หน้าว่า ท่านล่ะตัวท่านเองทำไมจึงไม่ไปเป็นสัตว์นรก ก็เลยบอกว่า ฉันระลึกชาติไม่ออกนี่ ท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ก็บอกซี

    ท่านบอกว่า สมัยนั้นท่านขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี (พระบำราบหรินทร์ก็ดี พระยากาญจนบุรีก็ดี สามชื่อนี้ ได้แก่ "ขุนแผน" คือ พลายแก้ว) คนสมัยนั้นทั้งหมด เขาเป็นนักบุญกัน ท่านก็ชี้จุดต่าง ๆ ให้ดูว่าเมืองสุพรรณ มันดาดาษไปด้วยวัดวาอาราม กรุงศรีอยุธยาก็ดาดาษไปด้วยวัดวาอาราม วัดติดๆ กัน นั่นแสดงว่าคนสมัยนั้นจิตเขาเป็นมหากุศล ทำบุญ ทำกุศล สวดมนต์ ใส่บาตรไหว้พระ เจริญสมถะวิปัสสนากันเป็นปกติ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขุนแผน ถามขุนช้างว่า จริง ๆ ราชทินนามของท่านก่อนที่ท่านจะตายน่ะ มีราชทินนามว่ายังไง บรรดาศักดิ์น่ะ ท่านบอกว่าบรรดาศักดิ์ของผมจริง ๆ ก็เป็นพระยา มีนามว่า พระยาภานุมาศ

    เอ๊ะ..ภานุมาศ ก็ช้างซี ? ใช่แล้ว..พระยาภานุมาศอยู่กับเมืองหลวง มีหน้าที่ควบคุมช้างสำหรับขุนแผนนั้น ได้แก่ พระยากาญจนบุรี แต่เนื้อแท้จริง ๆ เป็น "เจ้าพระยา" ในตอนสุดท้าย แต่ทว่า ประวัติศาสตร์หายไปทั้งสองคน เวลาที่รับราชการอยู่ก็ชอบทำบุญ ตอนพ้นจากราชการก็ไปจำศีลกันในเขา

    บั้นปลายชีวิต

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนแผน ไปอยู่ที่ เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนท่านขุนช้าง ปรากฏว่า หลบไปอยู่ทาง เขาราวเทียน ภูเขาราวเทียนนี่อยู่ทางหลังอำเภอหันคา สองคนจำศีลภาวนาได้ฌานสมาบัติ ตายจากความเป็นคน ขุนช้างไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่สำหรับขุนแผน เวลาตายก็เข้าฌานตาย เพราะมีกำลังใจใหญ่ ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม

    แล้วท่านก็บอกว่า ขุนแผนขยันเกิด เพราะมีนิสัยชอบยุ่ง เขาถือว่าคนไทยที่มีน้ำใจดี เป็นคนของเขา เขาถือว่าเป็นพี่เป็นน้องเขา ตายจากสมัยนั้น แล้วก็มาเกิดในสมัย พระนารายณ์มหาราช มี นามว่า นายเหล็ก สมัยรัตนโกสินทร์ก็มาเกิดอีก แล้วก็ชอบยุ่งตามเคย อย่ารู้เลยว่าเป็นใคร

    นี่เป็นเรื่องของขุนช้างขุนแผน ตามที่เทวดา "ขุนช้าง" ท่านเล่า จริงเท็จอยู่กับท่าน ท่านแถมท้ายว่า อย่าเชื่อประวัติว่าขุนช้างเป็นคนหัวล้าน นั่นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นนิยายที่เขาเขียนขึ้นมาว่า ขุนช้างเป็นคนเลว ความจริงขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เวลานั้นท่านบอกว่า เป็นสมัยพระเจ้าพันวัสสาหรือ ที่เรียกกันว่า "พระเจ้าสามพระยา" นั่นเอง

    ขุนแผนนั้น ถ้าจะเอาความร่ำรวยกันจริง ๆ แล้ว มันก็รวยกว่าผม แต่ว่าเงินที่มันสะสมไว้มีน้อย ก็เพราะว่ามันแจกเขามาก ขุนแผนจึงรู้สึกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ในตนจนจริง ความจริงคำว่า "ขุนแผน" นี้ ไม่มีในทำเนียบของราชการ ชาวบ้านเขาตั้ง ขุนแผนก็ดีขุนช้างก็ดี ชาวบ้านเขาตั้ง ที่เรียกคนเผ่านี้ว่า "เผ่าขุนช้าง"

    ที่มาของคำว่า "ขุนแผน"

    สำหรับ "ขุนแผน" ก็เหมือนกัน ที่เรียกว่า "ขุนแผน" ก็เพราะมันเป็นคนออกแบบออกแผนจู้จี้จุกจิก เห็นอะไรไม่ดีก็จัดสรร กราบบังคมทูลพระเจ้าพันวัสสา พระองค์ก็เห็นด้วยทุกประการ อาศัยที่มันเป็นคนวางแผน ชอบเปลี่ยนแปลง ชอบจัดระบบให้สมดุลย์อยู่เสมอ ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ขุนแผน"

    ขุนแผนหรือ "ไอ้แก้ว" ที่มันมีเมียเป็นปี๊บ ๆ น่ะ ความจริงไม่ใช่ว่ามันจะเป็นคนเจ้าชู้วิ่งหาผู้หญิง แต่ความจริงเจ้าแก้วกับผมลักษณะมันต่างกัน นี่ผมยืนให้ท่านดู ดูมาดนายช้างเสียบ้าง นายช้างน่ะ เป็นคนมาดดี สง่าผ่าเผย ตาผ่องใส แล้วก็หน้ารูปไข่นิด ๆ แต่ว่าหน้าเป็นหน้าของผู้ชาย ไม่ใช่รูปไข่ของผู้หญิง ลักษณะท่าท่างองอาจ นี่ท่านจะว่าละซี ว่าหน้าตาคงเหมือนช้าง ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ?

    ท่านอย่าว่าซิ นี่คนคุมช้างมันก็ต้องสง่าผ่าเผย มีกำลังเหมือนช้าง แต่ว่าช้างตัวนี้ มันเป็นตัวที่มีศักดิ์ศรี แต่ว่าเจ้าแก้วมันมีรูปร่างอีกอย่างหนึ่ง เจ้าแก้วนี่ถ้าจะดูลักษณะจริง ๆ มันก็เป็นคนสมส่วนสมสัด ท่าทางทะมัดทะแมง แต่ผิวเจ้าแก้วมันขาวกว่าผม ผมเป็นค่อนข้างขาว อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า เป็นคนขาว

    แต่ว่าเวลาเดินเดินแรง เพราะคุมช้างนี่ต้องเดินแรง เวลาทำงานผมช้าไม่ได้ ไอ้แก้วมันเรียกผมว่า "ไอ้โคล้งๆ" ชื่อจริง ๆ มันก็ไม่เรียก ผมชื่อ ศรี นะ ชื่อผมจริง ๆ ว่า "ศรี" เขาแปลว่า มิ่งขวัญ
    ไอ้แก้วน่ะชื่อจริง ๆ เขาว่า พลายแก้ว พลายแก้ว คือ ช้างแก้ว ช้างที่มีกำลังใหญ่ ช้างตัวประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ ที่เขาให้ชื่อว่า "พลายแก้ว" ก็เพราะมันออกมาฤกษ์ดี โหรพยากรณ์ว่า เจ้าเด็กคนนี้จะมีอำนาจมาก สามารถจะปราบปรามข้าศึกได้ทุกทิศ โดยที่จะใช้กำลังคน เข้าประชิดกับข้าศึกด้วยกำลังไม่มาก

    ผมสวยสู้ไอ้แก้วมันไม่ได้ ไอ้แก้วมันสวยมาก ท่าทางมันดี กิริยาก็แช่มช้อยกว่า ผู้หญิงปัจจุบัน ผู้หญิงสมัยนี้น่ะ มันเป็นผู้ชายเสียมากกว่าผู้หญิง ผู้หญิงสมัยโน้นน่ะ เขาเป็นคนเก็บตัว มีจริยามารยาทดีพูดน้อย เห็นผู้ชายไม่ใช่ว่าจะวิ่งเข้าไปคุยจะไปควงกับผู้ชาย มีแต่จะเก็บตัวตามจารีตประเพณี เป็นคนน่ารัก แต่ลักษณะการย่อง ๆ หนีไปหาคู่รัก เวลาพ่อแม่เผลอ มันก็มีเป็นของธรรมดา แต่ว่าจริยาท่าทาง หน้าบ้านเขาดี ที่เจ้าแก้วมันมีเมียมากเพราะ...

    1. รูปร่างหน้าตามันดี สวยเก๋ มีเสน่ห์
    2. เป็นคนอ่อนโยน
    3. เป็นคนกตัญญูรู้คุณ
    4. มีจิตใจเผื่อแผ่ มันไม่ค่อยเก็บสตางค์ ไปที่ไหน มันก็จ่าย ให้ลูกน้องดะ เห็นคนยากจนเข็ญใจ มันก็สงเคราะห์ให้ตามสมควร มีอะไรพอที่มันจะช่วยเหลือได้ มันช่วยทุกอย่าง

    เวลานั้นบ้านเมืองมันกว้าง คนก็น้อย การทำไร่ไถนาก็เป็นของไม่ยาก เหมือนกับชาวเขาเวลานี้ อยากจะไปฟันป่าตรงไหนก็ไปกัน ทำกันได้ตามชอบใจ ใครไม่มีทุน ไม่มีรอน เจ้าแก้วมันก็ให้ ความจริงผมก็ไม่ยอมแพ้มันนะ ใครมาขอ ผมก็ให้เหมือนกัน แต่ว่า สู้มันไม่ได้ มันเที่ยวเก่ง มันพูดเก่งกว่า มีคนรู้จักมากกว่า ก็เลยมีคนมาไถมันมาก

    ในเมื่อมีคนมาไถมันมาก ผมมีคนมาไถน้อยกว่า ลูกไอ้แก้วก็เลยมาไถผม ต่อไปขึ้นมาบนบ้านบอก คุณพ่อไอ้นี่ดี คุณพ่อไอ้นั่นดี มันอยากว่าดีผมก็เลยให้มัน ลูกไอ้แก้วมันเรียกผมว่า "พ่อ" ทุกคนแหละ มันรักผมเหมือนพ่อ ผมก็รักมันเหมือนลูก ฉะนั้นตามนิยายปรัมปราที่เล่ากันมา มันทำเสียไปหมด คนขนาดเป็นขุนน้ำขุนนางเป็นพระยาแบบนั้น ใครจะเลวแบบนั้น เลิกพูดกันทีนะ..เรื่องไอ้แก้วกับไอ้ช้าง..!"

    ต่อมาเรื่องของ "นางบัวคลี่" นี้ หลวงพ่อได้เล่าที่ใต้ต้นไทรงาม อำเภอพิมาย จ.นครราชสีมา เมื่อ วันที่ 21 มีนาคม 2522 มีใจความว่า

    วันนั้นหลังจากที่หลวงพ่อพร้อมคณะนั่งฉันเพลใต้ต้นไทรงามเสร็จแล้ว ในขณะนั้น มีนางรุกขเทพธิดาองค์หนึ่ง (ผู้อารักขาต้นไทรงาม) ได้มาแสดงภาพให้หลวงพ่อเห็น โดยแต่งกายด้วยชุดเขียว ๆ แบบไทยโบราณมาเล่าว่า ตนเองชื่อ "บัวคลี่" ตายตั้งแต่สมัย ขุนช้างขุนแผน แล้วมาเป็นรุกขเทวดาสิงสถิตอยู่ที่นี่

    ท่านบอกว่า มีความรู้สึกเสียดายที่เป็นพระอริยะเบื้องต้น หากได้รับการสั่งสอนทีดี ก็คงจะบำเพ็ญไปนิพพาน เสียตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์

    หลวงพ่อได้ถามถึงเรื่อง "กุมารทอง" ที่ต้องผ่าท้องออกมานั้น ปรากฏว่าจริงๆ แล้ว บัวคลี่ไม่ได้ตายเพราะถูกขุนแผนผ่าท้องเอาลูกไปทำลูกกรอก ความจริงลูกกรอกเขาเกิดมาเพื่อให้คุณแก่พ่อแม่ และมีลักษณะพิเศษ คือ เวลาท้องนั้นท้องโตได้ยุบได้ บัวคลี่คลอดลูกออกมาเป็นลูกกรอก แล้วต่อมาอีก 3-4 เดือน จึงได้ตายด้วยโรคภัยธรรมดา

    เรื่องจริงๆ ที่หลวงพ่อเล่าก็มีเพียงแค่นี้ ด้วยเหตุนี้ ต่อมาภายหลังหลวงพ่อจึงได้ตั้งชื่อรถยนต์ของวัด ตามตัวบทในเรื่องขุนช้างขุนแผนเกือบทุกคัน เพื่อเป็นยานพาหนะใช้ในงานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ เช่น รถบัสใหญ่ 2 คัน ชื่อ "ขุนช้าง" และ "ขุนแผน" ส่วนรถเล็กรองลงมาก็มีชื่อว่า "สีหมอก" "พลายเพชร" และ "กุมารทอง" เป็นต้น

    #ในฉบับวรรณคดีที่นำมาสร้างหนังสร้างละคร

    ขุนช้างขุนแผน เป็นนิยายพื้นบ้านของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ภายหลังกลายเป็นวรรณคดีที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้รัตนกวีในสมัยของพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้นเป็นร้อยกรอง ใช้กลอนสุภาพเพื่อขับเสภา เรียกว่า "กลอนเสภา" #เชื่อว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา

    สำหรับลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นที่รู้กันว่าอดีตชาติของหลวงพ่อ ท่านเคยเป็นบุคคลสำคัญเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ชาติไทยมาทุกชาติ เป็นใครบ้างไม่ขอเล่าให้มิจฉาทิฏฐิเอาไปปรามาส เดี๋ยวจะเพิ่มคนลงนรกกันไปอีก ละเอาไว้ให้เข้าใจกันแต่เพียงเท่านี้
    FB_IMG_1619104016845.jpg
     
  13. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    วัตถุมงคลยอดนิยม หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    ร่มโพธิ์ เล่มที่ 68 เดือนธันวาคม พ.ศ. 2538
    โดย อาจารย์เพียรวิทย์ จารุสถิติ
    ***********************************************************
    ได้มีผู้สนใจประวัติและวัตถุมงคลโทรไปหาผม บอกว่าให้ช่วยหาความกระจ่างเรื่อง พระร่วงรัตนฤทธิ์ และหนุมานหลวงปู่ทิม ในฉบับนี้ ผมจะขอกล่าวถึงเรื่องนี้เลย
    พระร่วงรัตนฤทธิ์ และหนุมานนั้น คุณชินพร สุขสถิตย์ เป็นผู้สร้าง ความจริงพระเครื่องชุดนี้ คุณชินพรสั่งทำนานแล้วแต่ด้วยความล่าช้าของช่าง จึงทำให้พระเครื่องชุดนี้มาไม่ทันปลุกเสกในวันฉลองอายุครบ 8 รอบของหลวงปู่ทิม เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2518 เมื่อฉลองอายุหลวงปู่ผ่านไปแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้ติดตามผล จนช่างนำวัตถุมงคลชุดนี้มาให้ก่อนวันเข้าพรรษา คุณชินพรจึงตั้งใจจะให้หลวงปู่ปลุกเสกตลอดพรรษา
    เมื่อหลวงปู่เห็นหนุมาน ท่านหยิบมาดูแล้วพูดว่า ให้ไปเจาะรูที่ก้นเพื่อจะได้นำมาอุดผง และให้ลงเหล็กจารที่ใต้ฐานด้วยหัวใจหนุมานทุกตัว หลังจากจัดการลงและอุดผงเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่เกิดอาพาธและไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีราชาและท่านได้สั่งให้เอาวัตถุมงคลชุดนี้ไปด้วย เพื่อจะทำการปลุกเสกให้หลวงปู่ได้ปลุกเสกแค่เสาร์เดียวเท่านั้น เพราะคุณหมอโกวิท อนันตล เจ้าของไข้ ได้ขอร้องทุกคนไม่ให้รบกวน เพราะต้องการให้หลวงปู่ท่านได้รับการพักผ่อนมากๆ
    วัตถุมงคลชุดนี้สร้างมาไม่ครบ มีแต่เนื้อเงิน, เนื้อนวโลหะ, เนื้อพิเศษ (เฉพาะหนุมาน) ส่วนเนื้อชินตะกั่วมาไม่ทัน ตอนหลังจึงให้หลวงปู่แก้วปลุกเสกต่อให้ครบอีก 8 เสาร์ ส่วนพระร่วงรัตนฤทธิ์ ทุกเนื้อไม่ทันหลวงปู่ทิมเสก แต่ได้ให้หลวงปู่แก้วปลุกเสกในภายหลัง หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับความกระจ่างจากเรื่องนี้แล้วนะครับ
    ส่วนเหรียญหลวงปู่ทิม รุ่นที่วัดแม่น้ำคู้เก่าสร้างนั้น หลวงปู่ทิมไม่ได้ปลุกเสก เนื่องจากท่านมรณภาพเสียก่อน จะมีที่ท่านปลุกเสกให้ก็คือ ผ้ายันต์มหาอำนาจ, เมตตาค้าขาย เพราะวันที่ อาจารย์ทวน อดีตเจ้าอาวาสไปหาหลวงปู่ เพื่อขออนุญาตสร้างผ้ายันต์ไว้แจกให้แก่ผู้มีพระคุณที่ได้มาสร้างวัดกับท่าน หลวงปู่ยังให้ผมหยิบตำราในห้องนอนของท่านนำมาให้ท่านดู ท่านยังเปิดตาราและชี้ยันต์ต่างๆ ให้อาจารย์ทวนดูว่าจะเอาแบบไหน เมตตาหรือแคล้วคลาด ทางอาจารย์ทวนก็บอกว่าแล้วแต่หลวงปู่จะเห็นสมควร แต่อยากให้มีมหาอำนาจและค้าขายดีประกอบอยู่ด้วย
    หลวงปู่จึงให้ยันต์ครอบจักรวาลมา และกำชับให้อาจารย์ทวนรีบทำไวๆ เพื่อท่านจะได้ทำพิธีปลุกเสกให้ อาจารย์ทวนจึงนำไปพิมพ์ที่วัดของท่านพิมพ์มาได้ประมาณ 2,000 ผืน (สองพันผืน) และได้ตีตราวัดแม่น้ำคู้เก่าไว้ที่ผ้ายันต์ด้วย หลวงปู่ได้ทำการปลุกเสกให้อย่างเต็มที่ประมาณ 1 เดือน จึงให้คนไปตามอาจารย์ทวนเอากลับคืนไปไว้ที่วัดแม่น้ำคู้เก่า เพื่อนำไปแจกญาติโยม
    เมื่ออาจารย์ทวนได้รับแล้ว ท่านยังนำไปให้ หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า ซึ่งเป็นพระร่วมยุคเดียวกับหลวงปู่ทิมให้ช่วยปลุกเสกอีกทีหนึ่ง (เนื่องจากอาจารย์ทวนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทิมและหลวงพ่อชื่นก็เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านด้วย) ซึ่งหลวงพ่อชื่นเห็นผ้ายันต์ชุดนี้เข้า ท่านไม่ยอมทำการปลุกเสกให้ ท่านบอกว่า หลวงปูทิมทำดีเยี่ยมแล้ว แต่อาจารย์ทวนได้แย้งว่า ผ้ายันต์นี้ได้พิมพ์ชื่อของหลวงปู่ทิม และหลวงพ่อชื่นร่วมกันปลุกเสก ท่านไม่อยากให้มีชื่อว่าหลอกลวงผู้อื่น จึงชี้แจงให้หลวงพ่อชื่นเข้าใจในเจตนาดีของท่าน หลวงพ่อชื่นจึงยอมรับผ้ายันตุ์ชุดนี้ และท่านบอกว่า “ฉันไม่เก่งเหมือนท่านพ่อทิมหรอก ฉันปลุกเสกทับลงไปไม่ได้ เพราะท่านพ่อทำมาดีแล้ว แต่ฉันจะใช้วิธีอธิษฐานจิตเชิญคุณพระพุทธเจ้า , พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า เมื่อเวลาฉันทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็นหรือเวลาที่ฉันสวดมนต์” ทำความปิติยินดีให้แก่ท่านอาจารย์ทวนที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อชื่นเป็นอย่างยิ่ง
    ส่วนเหรียญแม่น้ำคู้เก่า ได้ทำการปลุกเสกในพิธียกช่อฟ้าพระอุโบสถที่วัด โดยนิมนต์เกจิอาจารย์ในครั้งนั้นมาร่วมกันทำพิธีปลุกเสก มีหลวงปู่แก้ว เกสาโร เป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย เท่าที่ผมจำได้ก็มี
    1. หลวงปู่แก้ว วัดละหารไร่ จ.ระยอง
    2. พลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกระเฌอ จ.ชลบุรี
    3. หลวงพ่อสำลี วัดห้วยยาง จ.ชลบุรี
    4. หลวงพ่อชื่น วัดมาบข่า จ.ระยอง
    5. หลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่ จ.ระยอง
    6. หลวงพ่อนาค วัดหนองพะงา จ.ระยอง
    7. หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง
    8. หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จ.จันทบุรี
    9. หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก จ. ระยอง เป็นผู้ดับเทียนชัย
    พิธีนี้ได้ทำการปลุกเสกตั้งแต่ 3 ทุ่ม จนถึงตี 2 จึงเลิก นับว่าเป็นพิธีที่มีความขลังเป็นอย่างมากก็มีประสบการณ์สูง ดังที่ได้มีผู้ไปประสบพบเจอมากับตนเองก็มีมาก ตอนนั้นผมได้ยินคนเล่าให้ฟังอย่างมาก แต่ระยะนั้นไม่ได้สนใจทำประวัติก็เลยขาดข้อมูลที่จะนำอ้างอิงให้ท่านผู้อ่าน แต่ต่อไปนี้ผมจะพยายามจดเหตุการณ์ต่างๆ ที่ใครๆ ต่างประสพมาและจะขอถ่ายรูปมาให้ผู้อ่าน เพื่อเป็นหลักฐาน เพราะจะทำให้หนังสือพระเครื่องเล่มนี้สามารถเก็บไว้อ้างอิงและมีคุณค่าในตัวเอง
    ***********************************************************
    FB_IMG_1619220180970.jpg
     
  14. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    หลวงพ่อจิตโตให้เตรียมทำใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2562 ขึ้นไป จนถึง2567 เช่นความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ การใช้วาจาประทุษร้ายการใช้อาวุธสงครามประทุษร้ายหรือเรื่องการทำสิ่งที่ไม่ดีของคนต่างๆนานาและอีกหลายๆเรื่อง ที่มันจะเปลี่ยนแปลง อย่าตื่นตระหนกตกใจ ให้วางใจให้เป็นกลาง และพิจารณาทุกข์ที่เกิดมาบนโลก

    ท่านให้พกยันต์พิชัยสงคราม ถ้าไม่มี ก็เป็นธงแดงท้าวมหาชมพู หรือธงม่วงกรมหลวงชุมพร ใช้แทนกันได้ เราแกะคำพูดของพ่อมาให้นิดหน่อย สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาฟัง แต่ถ้าจะฟังไฟล์ฉบับเต็มด้านล่างสุด หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า(17.กค .62)
    **นับแต่นี้เป็นต้นไปนะทุกคน ตลอดเวลา 5 ปีหลังจากนี้ ระวังจิตใจเรา อย่าคล้อยตามคนที่มีความประพฤติไม่ดี อย่าไปตื่นตระหนกกับเรื่องราวของคนไม่ดี เขาจะเข่นฆ่าห้ำหั่น ประทุษร้ายด้วยวาจากันก็ดี หรือจะห้ำหั่นกันด้วยสงครามเศรษฐกิจ สงครามประสาท แล้วก็ยังมีสงครามค้าขาย สงครามอาวุธ สารพัดที่มันจะเกิดอีกมากมาย แต่ระยะต้นเนี่ย สิ่งที่เกิดขึ้นอันดับแรกคือว่า

    *ความแปรปรวนของธรรมชาติ มันจะไม่เป็นปรกติ ที่ไม่เคยเกิดก็จะเกิด ที่ไม่เคยเดือดร้อนก็จะเดือดร้อน ที่ไม่เคยน้ำท่วมมากก็มาก อะไรอย่างนี้เป็นต้น
    มันจะเกิดขึ้นมา เขาอยู่ที่ไหนของโลกก็ตามแต่ ก็ต้องทำใจทุกคนแม้แต่บ้านเรา ก็ต้องทำใจ

    5 ปีนี้นะ5 ปีแป๊บเดียว ไวจะตาย นั้นเวลา 5 ปีมันอาจจะไม่เยอะแยะอะไรหรอก แต่ให้รับรู้เอาไว้ ว่ามันจะมีค่อยๆเข้ามาเกิดขึ้น โรคเก่าๆมันจะย้อนกลับมาหา โรคเก่าๆมันจะไปเบียดเบียน กับคนที่มีจิตใจอย่างที่พูดให้ฟัง หลังจากนั้นจะถูกบีบคั้นให้แต่ละคนก็ไม่อาจจะสามารถทน การบีบคั้นของคนอื่นไหว เขาก็เริ่มที่จะใช้ของหนัก อาวุธกัน

    รุ่นเราโชคดีได้เห็น(ท่านหยอก) ไม่ดีรึ ตื่นเต้นดีออก ฉันจำได้ว่าในสมัยปี 2534 สมัยอิรักโดนอเมริกาถล่ม หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่( หลวงพ่อวัดท่าซุง) ฉันมีหน้าที่อยู่ที่ ประมาณก่อนเพลซัก 10โมงครึ่งได้ ไอ้ตรงที่เขาเป็นห้องสำหรับรับโทรศัพท์ ที่ใครจะติดต่อทางวัดนะ เขามีโทรศัพท์ พอดีพระเขาดูข่าวพอดี ฉันก็เลยเข้าไปดูด้วย ดูมันยิงกันไง สมัยนั้น แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไร

    แต่สมัยนี้สื่อสารมันไว ทุกเรื่องทุกราว มันเกิดให้เราเห็นได้เหมือนอย่างกับตาเราไปเห็นเอง แต่ถ้าเราเป็นคนที่ขี้กลัววิตกกังวล เธอก็สวดมนต์เยอะๆ ทำบุญมากๆภาวนาบ่อยๆ แล้วหาสุ่มไก่ครอบไว้ เอายันต์แปะสุ่มไก่ให้หมดเลย(หัวเราะ)ดีมั้ย

    **รอบนี้ธงมหาพิชัยสงครามที่วัดก็หมดแล้ว ก็เหลืออยู่ตามบ้านเธอเยอะแยะ คนที่เคยมีนะ เก็บไว้ใช้เถอะ ถ้าไม่มีก็เอาธงของ ท่านลุงมหาชมพูก็ได้ธงแดง แล้วก็ธงของท่านลุงกรมหลวงชุมพรก็ได้ เอาไปก็ได้ ไปติดเอาไว้ ติดให้รอบบ้านเลย

    *ยกธงขึ้นสูงเลยนะ แปะติดธงไว้ บ้านอื่นไป บ้านกูห้ามมา(หัวเราะ) เชื้อโรคก็ดีที่นี่ไม่ต้อนรับ ระบ่งระเบิด กูก็ไม่ต้อนรับ พวกที่ล่องลอยมาทางอากาศเช่นกัมมันตภาพรังสีเราก็ไม่ต้อนรับ โบกไปให้หมดไปบ้านไหนก็ไป บ้านกูอย่ามา ท่านลุงท่านว่าอย่างนั้น

    **ต้องทำนะทุกคน ทำเอาไว้ เรามีพระเป็นที่พึ่ง เราก็พึ่งพระ อย่าไปติดเรื่องเงินเรื่องทองมันมาก เมืองไทยไม่ลำบากหรอกค่าใช้จ่าย

    *คนไทยมีนิสัยขี้ตื่นกลัว หลวงพ่อท่านบอกปกครองเมืองไทยไม่ยาก ด่ามันไปเถอะ เดี๋ยวก็ยอม เพราะว่าคนไทยกลัวคนบ้า คนดีๆไม่ค่อยกลัว พอบ้าเข้ามาหน่อยเดียวหงอ

    *ผียังกลัวเลย ผีไทยอ่ะ พอเจอคนบ้า มึงมาแล้ว กูไปดีกว่า (มีบ้านหลังหนึ่งโดนผีเข้าก็เลยไปเชิญคนบ้ามาผีเลยหนี) ยันต์อะไรมันก็ไม่กลัว น้ำมนต์กูก็ไม่ไป พระสงฆ์องค์เจ้ากูก็ไม่กลัว คนบ้ามากูไปดีกว่า

    งั้นทำใจอย่าไปกลัวอะไร ฝึกจิตให้มันแก่กล้าเอาไว้ สมาธิศีลจะคุ้มครองเรา ส่วนทานที่เราทำเราจะไม่อดไม่ลำบาก. ไม่เดือดร้อน เราจะหาได้ เสื้อผ้าหาได้ เงินทองยังใช้ได้ก็ยังกินอยู่ได้ ที่ปลอดภัยเรามี เราไม่ต้องกังวลใจ ที่นี่ก็พออยู่อาศัยกันได้

    **แต่ไอ้ภัยอื่นๆอย่าไปตกใจกลัวน้ำจะท่วม รื้อบ้านรื้อช่อง ย้ายไปอยู่ที่สูง เปล่า!! แห้งแล้งโดนดินถล่มตายห่าก่อน น้ำไม่ยังทันท่วมเลย ตายซะก่อน เชื่ออะไรโมเมง่ายเกินไป งมงายเกินไป ไม่ดีนะทุกคนนะ เอาแต่พอประมาณอย่าโง่นักอายเค้า

    เราเป็นศิษย์มีอาจารย์ โง่ไม่ดีเสียชื่อ เที่ยวไปตื่นโน่นตื่นนี่ตื่นนั่น ไม่ได้ความ

    ก็เลยเล่าให้ฟังไว้ก่อนว่า เตรียมกำลังจิตกำลังใจให้เข้มแข็งไว้ เตรียมรับรู้ในสิ่งที่มันมีแต่ความไม่แน่แปรปรวน เตรียมความทุกข์ให้ทุกคนได้พิจารณาว่าเกิดมาเป็นทุกข์กันเหลือเกิน ชดใช้กรรมกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าคนเรามันเลวมากหยาบมาก มีความชั่วในจิตมากเท่าไหร่ โลกก็เล่าร้อนมากเท่านั้น ใช่ไหมล่ะ มันตรงไหม ? ตรง!!

    ถ้าคนในโลกนี้เยือกเย็น พากันเป็นมิตรไมตรีมัน
    ก็เยือกเย็นสงบ ธรรมชาติมันก็ไม่เป็นเหตุให้ทุกคนต้องเดือดร้อน แต่นี่เดือดร้อนกันไปทั่ว แต่เราก็โทษใครไม่ได้นะ เราเลือกมาเกิดเองในเวลาแบบนี้ ทั้งๆที่เธอไม่ควรจะมาก็ได้

    **บุญเธอมันสามารถไปเกิดในช่วงเวลาที่ดีกว่านี้ก็เยอะแยะไป แต่จะไม่มายังไงอ่ะ พ่อมา (หลวงพ่อวัดท่าซุง )สำคัญตอนนี้อ่ะสิ ที่ต้องมาก็เพราะว่า ถ้าไม่มา พระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเนื่องไม่ได้

    ก็ต้องเอาสิ่งนี้สำคัญกว่าความเดือดร้อนที่เราได้รับผล ก็เชื่อว่าลูกหลานทุกคนน่ะคงมีน้ำใจที่ช่วยกันรักษาพระศาสนา มันก็ต้องอดทนเข้มแข็ง เผชิญกับเรื่องราวที่บีบคั้นจิตใจเราเยอะ ทั้งๆบุญเราก็มากพอไม่ต้องมาอดทนแบบนี้ก็ได้ แต่ก็เป็นความตั้งใจที่ทุกคนยอมเสียสละ แล้วเราก็ยังได้เจอจริงๆ

    *คือได้เจอพ่อเราจริงๆ เจอคำสอนแท้ๆ ได้มีที่พักใจ เราก็ยังทำความดีอยู่ ถึงเราจะต้องมีทุกข์ เธอก็คิดว่า ดีกว่าเราเกิด

    **จงภูมิใจเถิดเกิดเป็นลูกหลวงพ่อ หรือเป็นคนศรัทธาผู้ที่ควรศรัทธา ติดตามท่านมานาน ห่างบ้างไกล้บ้าง ไม่จำเป็นหรอกจะเป็นใครเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขหรือไม่ก็ไม่จำเป็น ท่านไม่สนใจเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษหรอก

    ท่านสนใจให้ทุกคนน่ะช่วยกัน ช่วยรักษาความดีของพระพุทธเจ้าเอาไว้ ช่วยอีกหลายๆคนเขาจะได้ยังประโยชน์ในพุทธศาสนาของพระองค์ต่อไป

    คลิกฟังไฟล์ฉบับเต็มได้ที่ด้านล่าง

    เคดิต:ปานิสรา ศิลางาม
    FB_IMG_1620165138653.jpg
     
  15. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องละเอียดอ่อน ที่ศิษย์ควรทราบ และปฎิบัติ ด้วยความเคารพ

    การเรียกชื่อท่าน
    (โดยศาสตราจารย์ ดร. ปริญญา นุตาลัย)

    ทุกครั้งที่มีคนเอ่ยถึง หรือเรียกชื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า “ฤาษีลิงดำ” ผู้เขียนไม่เคยชอบใจเลย ชื่อ “ลิงดำ” นั้น เป็นชื่อที่หลวงปู่ปานเรียกลูกศิษย์ของท่าน ก็พวกเราเป็นใครกันเล่าจึงจะไปเรียกท่านอย่างนั้นบ้าง ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง หลวงพ่อบางครั้งก็เรียกผู้เขียนว่า ไอ้เบื๊อกบ้าง ไอ้ด๊อกบ้าง ผู้เขียนมีความรู้สึกปลื้มใจว่าท่านเมตตาเป็นพิเศษทุกครั้งที่ท่านเรียก แต่ถ้าคนอื่นมาเรียกผู้เขียนอย่างนั้นบ้าง อาจจะถูกไล่เตะเอา

    เวลานี้หลวงพ่อของเราท่านเป็นเจ้าคุณทรงสมณศักดิ์ ที่ พระราชพรหมยาน พวกเราจะเรียกท่านว่า หลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่วัดท่าซุง ก็เรียกตามอัธยาศัย แต่ชื่อที่หลวงปู่ท่านเรียกหลวงพ่อ คนอื่นขออย่าใช้เลยครับ ดูก้ำเกินจริงๆ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้ปรารภเกี่ยวกับชื่อ “ฤาษีลิงดำ” ไว้เมื่อ 10 กันยายน 2519 ความว่าดังนี้

    เกี่ยวกับชื่อ “ฤาษีลิงดำ”

    “มีคนเป็นจำนวนมาก ไม่ทราบประวัติของคำ “ฤาษีลิงดำ” แล้วใช้ความเข้าใจของตนเอง แปลไปในทางที่ตนชอบ เช่น หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเขียนลงไปว่า “พระสัปดนมีชื่อเหมือนสัตว์” อย่างนี้ก็มี ความจริงมีอยู่ว่าศิษย์ของอาตมาขอร้องให้อาตมาเขียนบันทึกพฤติการณ์ต่างๆเกี่ยวกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    เมื่ออาตมาบันทึกให้แล้ว เขาก็เอาไปพิมพ์โรเนียวแจกกันอ่าน ต่อมาคุณอรอนงค์ คุณเกษมมาขอไปพิมพ์แจกงานศพคุณหลวงอรรถไกรวัลวที บิดาของเธอ อาตมาก็อนุญาต แต่เนื่องจากบันทึกนี้มีเรื่องของฤทธิ์ต่างๆ ของหลวงพ่อปานผู้มีวิสัยอภิญญา 6 อยู่ด้วย จึงอาจทำให้เกิดผลร้าย 2 ประการ คือ

    ประการแรก ถึงแม้ว่าฤทธิ์จะเป็นสิ่งธรรมดาสามัญ และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกว่าสมควรทำให้เกิดมี เพื่อความเลื่อมใสของผู้อื่น (แต่ไม่ใช่เอาไปเที่ยวแสดงอวดชาวบ้าน) พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็มักจะมีความเคลือบแคลงว่าไม่เป็นของจริง เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็อาจจะหาว่าอาตมาโกหก ก็ถ้าอาตมาพูดตามความเป็นจริงที่ประสบมา แต่ผู้อ่านหาว่าพระโกหก ผลร้ายก็ย่อมจะเกิดแก่ตัวเขา

    ประการที่สอง สำหรับผู้ที่เชื่อ ต่างก็จะพากันมาหาอาตมาด้วยหวังจะให้ช่วยเขาให้เกิดลาภสักการะต่างๆ บ้าง ให้ทำนายทายทักบ้าง ถามถึงบรรดาญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วบ้าง เป็นการลำบากต่ออาตมาเป็นอันมาก

    ดังนั้นคณะศิษย์จึงขอไม่ให้ใช้ชื่อจริง ซึ่งอาตมาก็ระลึกถึงหลวงพ่อปาน อาจารย์ของอาตมาที่ท่านเคยเรียกอาตมาจนติดปากว่า “ไอ้ลิงดำ” ส่วน “ฤาษี” นั้นก็ใส่นำหน้าสำหรับแสดงเครื่องหมายว่า เป็นคนและเป็นผู้บำเพ็ญ

    โดยสรุป คำนี้เป็นนามปากกาเท่านั้น มิได้ตั้งขึ้นมาเพื่อความหมายอื่นเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความเด่นแก่ตัวเองแต่ประการใด อันที่จริงกลับเป็นเครื่องให้คนเอาไปว่าเสียด้วยซ้ำ ถ้าเจตนาของอาตมาในการใช้นามปากกานี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ ถูกแปลเป็นอย่างอื่น ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้”

    ผู้เขียนขอถือโอกาสนี้ขอร้องอีกครั้งเถิดนะครับว่า ลูกหลานศิษยานุศิษย์ และท่านที่เคารพนับถือในองค์หลวงพ่อพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานทุกๆ ท่าน ขอความกรุณาอย่าเรียกท่านว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ถ้าไม่รู้จะกล่าวถึงท่านอย่างไร ขอให้เรียกท่านว่า “หลวงพ่อวัดท่าซุง” นะครับ

    (คัดลอกบางส่วนจากเรื่อง หลวงพ่อของเรา ,หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 4 หน้า 362-363)

    ที่มาเวปวัดท่าซุง
    FB_IMG_1620271347515.jpg
     
  16. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    รวบรวมไว้
    อ่าน ฟัง กี่รอบ ก็ไม่เบื่อ
    ช่วยปลุกตัวเองให้ตื่นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    สาธุ สาธุ สาธุ

    #อดีตชาติหลวงพ่อวัดท่าซุง 13 ชาติ..

    #ที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร #จนถึงรัตนโกสินทร์...

    ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี

    เรื่อง อดีตชาติหลวงพ่อฤาษี 13 ชาติที่เกิดตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี
    นี้
    ผมอ่านพบข้อมูลจาก กลุ่มพุทธภูมิ ซึ่งนำข้อมูลมาจาก คุณปานิสรา ศิลางาม ซึ่งย่อตอนนี้มาได้กระชับดีมาก เข้าใจง่าย ถ้าท่านใดต้องการอ่านฉบับเต็ม ผมลงเพจที่จะค้นหาไว้ให้แล้วในตอนท้าย
    เนื้อหามีอยู่ว่า

    นำเรื่องราวของ หลวงพ่อวัดท่าซุง ในการเกิด 13 วาระตั้งแต่สมัยโยนกนคร จนถึงรัตนโกสินทร์ ลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็นปึกแผ่น และเพื่อช่วยเหลือคนไทย และช่วยให้พระพุทธศาสนามีอายุครบ 5000 ปี ตามพุทธทำนาย ถ้าอยากอ่านให้ครบก็ไปหา หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษมาอ่าน หลวงพ่อพูดได้ละเอียดและลึกซึ้งกว่านี้มาก อันนี้เราบอกคร่าวๆนะ เกิดเป็นใครบ้างก็ลองอ่านดู

    #วาระที่ 1 เกิดเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ 2 แห่งโยนกนคร เป็นลูกชายพระเจ้าอชุตราช ในชาตินั้นท่านเป็นผู้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าที่ดอยตุง โดยการนำมาของพระมหากัสสปะพร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์

    #วาระที่ 2 เกิดสมัยโยนก เป็นเณรน้อยอายุ 7 ปีทรงฌานสมาบัติ แต่ได้ถูกขอมดำกระทำย่ำยี เวลานั้นขอมดำมายึดเมืองโยนกนครได้แล้ว แล้วทำการกดขี่ข่มเหงรังแกคนไทย
    เณรจึงเข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า เกิดคราวหน้าขอให้ได้เกิดมาเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม
    มิไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส "พอตั้งจิตอธิษฐานก็ไม่ถอนจากฌานสมาบัติ ก็นั่งทรงฌานอย่างนั้นจนตาย แล้วไปเกิดเป็นพรหม ชั้นที่ 11

    #การเกิดครั้งที่3 หลังจากตายจากเณรน้อย ไปเป็นพรหมชั้นที่11ได้เพียง1ปีเศษ ก็ลงมาเกิดเป็น "พระเจ้าพรหม มหาราช" เป็นโอรสของพระเจ้าพังคราช รัชกาลที่ 37 ในสมัยโยนกนคร มีพี่ชายชื่อทุกภิขะ( บริเวณพระธาตุจอมกิตติ ดอยตุง เป็นเขตเมืองโยนกนคร) เกิดพร้อมสหชาติที่เป็นพรหม เทวดา ลงมาเกิดพร้อมกัน 250คน ทั้ง250คน เกิดเป็นผู้ชายทั้งหมด พรหมอีกองค์นึงเกิดเป็นช้างประกายแก้ว ช้างคู่บารมีพระเจ้าพรหม ลงมาเกิดเพื่อกู้ชาติให้พ้นความเป็นทาสจากขอมดำ และทำสำเร็จด้วย ทุกวันนี้วันอาสาฬหบูชาที่วัดท่าซุงก็มีการแห่ชัยชนะพระเจ้าพรหมทุกๆปี

    #การเกิดในวาระที่4 หลังจากที่ตายจากการเป็นพระเจ้าพรหมสมัยโยนก แล้วเข้าฌาณตาย กลับไปเป็นพรหม เวลาผ่านไปอีก 800 ปีลงมาเกิดเป็นพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตอนเด็กมีนามว่าอรุณกุมาร เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีวิชาอาคม มีวาจาสิทธิ์ สามารถเสกขอมให้เป็นหินได้ และขยายอาณาเขตของประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่เป็นเทศไทย )กว้างใหญ่ไพศาล ยึดมอญ พม่าขอมไว้ได้หมด อาณาจักรยาวเหยียด เวลานั้นคือก่อนเมืองสุโขทัย 700 ปีเศษ ก่อนหน้าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ 700ประมาณปีเศษ

    #วาระที่5 เกิดเป็น"พ่อขุนศรีเมืองมาน"( เป็นพ่อของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งอณาจักรสุโขทัย)
    ตายจากพระร่วงโรจนฤทธิ์ก็เข้าฌานตาย กลับไปเป็นพรหมเช่นเดิม กลับมาเกิดวาระที่5 เป็นพ่อขุนศรีเมืองมาน มีสหชาติเกิดมาด้วยคือ พ่อขุนน้าวนําถม
    ลงมาช่วยกู้ชาติไทยจากขอมดำ ขยายอาณาเขตประเทศไทยไปถึงสิงคโปร์ มีภรรยาชื่อพรรณวดีศรีโสภาศ เป็นเมียเอก และมีเมียราษฏร์อีก 29 คน พอเมียเอกตาย ก็บวชไม่สึกอีกเลย เข้าฌานตายแล้วไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    #วาระที่6 "ขุนหลวงพระงั่ว" รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงศรีอยุธยา
    ต่อมาคนไทยเกิดแบ่งเป็น 2 พวก จึงต้องลงมาเกิดเพื่อรวมไทยให้เป็น1
    เดียว ลงมาเกิดในราชวงศ์อู่ทอง เป็น"ขุนหลวงพระงั่ว" มาปลุกจิตสำนึกคนไทยให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงนิมนต์พระสงฆ์มาร่าง"ไตรภูมิพระร่วง
    ไตรภูมิพระร่วง พระร่วงไม่ได้ทำ
    ท่านเป็นเพียงแต่ศาสนูปถัมภ์
    ไตรภูมิพระร่วง เป็นการร่วมมือกันระหว่างสุโขทัยและกรุงศรี
    และยังได้ร่วมกันสร้างพระพุทธชินราชพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศากยมุนีขึ้นมาเป็นมิ่งขวัญของเมืองไทย เป็นการแสดงสัญลักษณ์ว่าประเทศไทยจะทรงตัวได้ด้วยเหตุ 3 อย่างด้วยกัน
    คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินราช หมายถึง พระมหากษัตริย์
    พระพุทธชินสีห์ หมายถึง พระศาสนา
    พระศากยมุนี หมายถึง ชาติ
    การสร้างครั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของท้าวโกสีย์สักกะเทวราชให้พระวิษณุกรรมมาช่วย ขุนหลวงพระงั่วได้มารวมสุโขทัยกับอยุธยาเป็นประเทศเดียวกัน

    #เกิดวาระที่7 ต่อมาลงมาเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงศรีฯ ครั้งนี้เป็นลูกชาวบ้าน แต่เป็นลูกมหาเศรษฐี มีแม่ชื่อปิ่นทอง พ่อชื่อกองแก้ว ท่านเองเป็นลูกชายชื่ออำไพ ลงมาช่วยคน ให้เงินให้ทอง ให้ที่ทำกิน ช่วยการเกษตร ช่วยทุกสิ่งทุกอย่าง ให้การศึกษา จนคนไทยเป็นปึกแผ่นแน่นหนาพอ ประชาชนมีความสุข และท่านก็ตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม

    #วาระที่ 8 เกิดมาในตระกูลของแม่ทัพสมเด็จพระพันวสา คือสมเด็จพระอินทราธิราช มีนามว่า "ขุนไกร" (#ขุนแผน) เป็นอันว่าชาตินี้ขุนแผนต้องรวบรวมไทยอาศัยที่มีวิชาการมาก เป็นนักรบเก่ง
    ล่องหนหายตัวได้ สะเดาะกลอนได้
    ทำหุ่นพยนต์ได้ ทำอะไรได้แปลกๆ
    การยกทัพไปก็ไม่ต้องใช้กำลังคนมาก
    ก็สามารถจะสู้ข้าศึกได้
    #วาระที่ 9 เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ มีนามว่าพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อพระบรมไตรโลกนาสวรรนคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมไม่ช้าไม่นานก็ต้องเสด็จลงมาเกิดอีก

    #วาระที่10 เกิดสมัยพระนารายณ์ ท่านลงมาเกิดเป็น"ขุนเหล็ก"
    หรือพระยาโกษาเหล็ก เกิดควบคู่กับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รุ่นราวคราวเดียวกัน เป็นเพื่อนเล่นกัน ขุนเหล็กมีน้องชายชื่อว่าขุนปาน หรือพระยาโกษาปาน ทั้งสองพระองค์ เป็นที่ไว้วางใจของสมเด็จพระนารายณ์มาก
    #บั้นปลายชีวิตลากิจราชการไปจำศีลเจริญภาวนาวิปัสสนาญาณ ให้ทาน ตายจากเจ้าพระยาโกษาเหล็ก ก็เข้าฌานกลับไปเป็นพรหมตามเดิม
    (#ท่านไม่ได้ตายตามประวัติศาสตร์เขียนไว้หรอกนะ)

    #วาระที่11 ลงมาเกิดมาเป็นขุนดาบคู่ใจของพระเจ้าตากสินมหาราช คือพระยาศรีสิทธิสงคราม อยู่ในกองทัพหลวงประจำองค์พระเจ้าตากสินมหาราชสมัยกรุงธนบุรี
    ก่อนกรุงศรีจะแตก เป็นกำนันจัน ชื่อว่า
    #จันหนวดเขี้ยว เป็นที่รักของประชาชน
    ต่อมาค่ายบางระจันแตก
    #นายจันหนวดเขี้ยวไม่ได้ตายไปตามประวัติศาสตร์ที่เขียน
    นายจันหนวดเขี้ยวจึงมารวมกำลังกับพระเจ้าตากสินกู้ชาติ
    ต่อมาพระเจ้าตากสินจึงเปลี่ยนชื่อให้จากกำนันจัน มาเป็นพระยาศรีสิทธิสงคราม ประจำกองทัพหลวง
    (ด้วง- นายจันหนวดเขี้ยว- พระยาศรีสิทธิสงคราม -เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก-และ #สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็คือคนๆเดียวกัน เพียงแต่ว่า หน้าที่การงานและตำแหน่งมันต่างวาระ ทำให้ชื่อต่างกัน แต่ก็คือคนๆเดียวกันนั่นเอง)

    #วาระที่12 มาเกิดเป็น รัชกาลที่... แห่ง กรุงรัตนโกสินทร์ สร้างคุณประโยชน์ใหญ่ไว้มากมายต่อแผ่นดิน (คิดเอาเองไม่บอก)

    #วาระที่13 ชาติสุดท้ายเกิดมาเป็นหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุง ไปนิพพานเรียบร้อยแล้ว
    หาอ่านเพิ่มได้จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ อันนี้เราเขียนแค่คร่าวๆ
    แต่ถ้าอ่านทั้งเล่มเราจะรักชาติ ศาสนาพระมหากษัตริย์ จะรู้สึกรักบรรพบุรุษของเรามาก เพราะกว่าจะมีไทยทุกวันนี้บรรพบุรุษของเราแลกมาด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
    *#ถ้าใครไม่เชื่อก็เลื่อนผ่านไป อย่าคิดดูหมิ่นและเหยียดหยาม จะเป็นการปรามาสพระป่าวๆ ถ้าไม่เชื่อก็ข้ามไปเลยจ้า ไม่ได้ให้บังคับให้เชื่อ แต่ว่าเอามาเล่าสำหรับคนที่ศรัทธา และคนที่เนื่องตามกันมาจ้า
    อันนี้เอาเฉพาะสมัยโยนกถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยพุทธกาล ของสมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านก็เกิดนะ เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล มีมเหสีชื่อท่านแม่มัลลิกาเทวี
    คัดลอกมาจากเนื้อหาบางส่วนจาก
    ปานิสรา ศิลางาม

    หนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ หลวงพ่อฤาษี หาอ่านได้จากที่นี่ครับ
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=39139

    ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก
    ข้อมูลจาก กลุ่มพุทธภูมิ
    FB_IMG_1620285372922.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2021
  17. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    จัดว่าเป็นพระกำลังแผ่นดินได้ไหม?
    พิธีใหญ่ น่าสนใจ
    แปะไว้ก่อน



    ฝ“ผบ.ทร.”
    บวงสรวง และเททองหล่อนำฤกษ์
    “พระพุทธศรีราชนาวี มงคลสามัคคีประสิทธิ์”พระพุทธรูปบูชา กองทัพเรือ
    “ สมเด็จพระสังฆราช” ประทานแผ่นทอง นาก เงิน ที่ทรงอธิษฐานจิต และลงอักขระ ให้
    สัญลักษณ์เปี่ยมความหมาย

    .
    พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี บวงสรวง และพิธีเททองหล่อนำฤกษ์ “พระพุทธศรีราชนาวี มงคลสามัคคีประสิทธิ์”พระพุทธรูปบูชา กองทัพเรือ ณ ลานหน้าอาคารกองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม

    โดยมี สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

    ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน แผ่นทอง นาก เงิน และได้รับพระเมตตาจาก สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานแผ่นทอง นาก เงิน ที่ทรงอธิษฐานจิต และลงอักขระ ให้กับ พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ เพื่อเป็นชนวนในการจัดสร้างในครั้งนี้

    โดยในพิธีมีพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญพระพุทธมนต์ จำนวน ๑๐ รูป ประกอบพิธีเททองหล่อนำฤกษ์ ได้แก่ พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาสวรวิหาร พระพรหมวิสุทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร พระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร พระธรรมรัตนดิลก เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวารารามราชวรมหาวิหาร พระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยารามราชวรวิหาร พระเทพปริยัติมุนี เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวรวิหาร พระเทพสุวรรณเมธี เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร พระราชปัญญารังสี เจ้าอาวาสวัดชิโนรสารามวรวิหาร พระพิมลภาวนาพิธาน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และพระครูสุวิมลธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัดอินทารามวรวิหาร และพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณผู้ประกอบพิธีบวงสรวง และพิธีเททองหล่อนำฤกษ์

    และที่ผ่านมา พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ และพลเรือเอก ทรงวุฒิ บุญอินทร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างพระพุทธรูปบูชา กองทัพเรือ พร้อมด้วยคณะกรรมการฯ เข้ารับพระราชทานแผ่นทอง นาก เงิน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เข้ารับแผ่นทอง นาก เงิน ที่อธิษฐานจิต และลงอักขระ จากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดโสมนัสราชวรวิหาร สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี (เจ้าคุณธงชัย) วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาทวัดยานนาวาพระอารามหลวง สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
    และรวบรวมแผ่นทอง นาก เงิน ที่อธิษฐานจิต ลงอักขระ และมวลสาร พร้อมทั้งประกอบพีที่วัดสำคัญในแต่ละพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ จากเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ จำนวน ๑๐๙ รูป

    สำหรับพิธีพุทธาภิเษก จะกระทำในช่วง กรกฎาคม ๒๕๖๔ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร โดยมี มี สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
    การจัดสร้างสร้างพุทธรูปบูชา กองทัพเรือ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสที่เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อกองทัพเรือ เพื่อให้ส่วนราชการในสังกัดกองทัพเรือ ข้าราชการทหาร และลูกจ้างในสังกัดกองทัพเรือ ได้นำไปสักการบูชา รวมทั้งใช้ประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน อันบังเกิดความเป็นสิริมงคล และแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเพื่อเป็นการบำรุงขวัญทหารและเสริมสร้างศรัทธายึดมั่นในพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์
    สำหรับรูปแบบของพระพุทธรูปบูชา
    องค์พระพุทธรูป เนื้อทองเหลืองรมดำ หล่อเต็มองค์ ผสมแผ่นทองคำแท้ แผ่นนากแท้ แผ่นเงินแท้ ที่ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระสุหร่าย ทรงเจิม และผสมแผ่นทอง ที่พระเกจิอาจารย์ทั่วประเทศ ลงอักขรเลขยันต์แล้ว
    พระพุทธศรีราชนาวี มงคลสามัคคีประสิทธิ์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย แบบสุโขทัย อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ บนฐานรูปบัวบาน พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา (ตัก) พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ (หัวเข่า) นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณี ในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้ ซึ่งมารในที่นี้คือกิเลสนั่นเอง พระวรกายโค้งเว้า ลำพระกรกลมกลึง และพระหัตถ์งดงามตามองค์ประกอบของประติมากรรมพระพุทธรูปสุโขทัย พระพักตร์ค่อนข้างกลมอวบอิ่ม แย้มมุมพระโอษฐ์เล็กน้อย มีพระนลาฏ (หน้าผาก) กว้าง แบบพระพุทธสิหิงค์ ที่พระเศียรมีเม็ดพระศก (เส้นผม) ที่ขมวดเป็นก้นหอยปกคลุมเรียงเป็นระเบียบ มีพระอุษณีษะหรือพระรัศมี (ส่วนที่โป่งนูนกลางพระเศียร) เชื่อมต่อพระเกตุมาลารัศมีเปลว

    ฐานพระพุทธรูป เป็นรูปบัวบาน แถวบนเป็นกลีบบัวหงาย จำนวน ๓๕ กลีบ แถวล่างเป็นกลีบบัวคว่ำ จำนวน ๓๔ กลีบ รวม ๖๙ กลีบ เท่ากับพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปีที่จัดสร้างพระพุทธรูปดอกบัวเป็นดอกไม้ประจำศาสนาพุทธ มีความหมายอยู่ ๒ นัย คือ ๑. ความบริสุทธิ์ หมายถึงดอกบัวเกิดในโคลนตมใต้น้ำแต่สามารถเติบโตผ่านความสกปรกของโคลนตมโผล่พ้นน้ำมาอวดความสวยงามได้โดยไม่มีความสกปรกของโคลนตมอันเป็นแหล่งกำเนิดติดมาด้วย เหมือนคนเราแม้จะเกิดในสิ่งแวดล้อมไม่ดี แต่ถ้าบุคคลนั้นมีจิตใจที่ดีและเป็นคนดีแล้วนั้นก็จะรักษาความดีในตัวเอง

    และ ๒. ความมีปัญญา หมายถึงดอกบัวเป็นดอกไม้ที่ผลิดอกแล้วได้ผลพร้อมกัน เมื่อดอกร่วงโรยผลบัวในฝักบัวจะสุกงอมให้เก็บกินต่อไป เปรียบเสมือนคนเราเกิดมาพร้อมกับสมองที่มีปัญญา รอพัฒนาจนมีสติปัญญาเต็มที่ไว้แก้ปัญหาให้แก่ชีวิต ใต้กลีบบัวเป็นขาสิงห์ สำหรับกึ่งกลางด้านหน้าผ้าทิพย์จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเชิญอักษร
    พระปรมาภิไธย ว.ป.ร. มาประดิษฐาน มีลวดลายดอกประดู่ที่เป็นสัญลักษณ์ของทหารเรือ จำนวน ๕ ดอก เปรียบเสมือนพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ อยู่บริเวณชายผ้าใต้อักษรพระปรมาภิไธย ว.ป.ร. มีความหมายว่ากองทัพเรือจะปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือเกล้าตลอดไป ที่ฐานด้านหน้าใต้ชายผ้าทิพย์จารึกพระนามพระพุทธรูป ด้านหลังฐานประดับตราสัญลักษณ์กองทัพเรือ จารึกปีที่จัดสร้าง และหมายเลขประจำองค์พระ เพื่อเป็นการบำรุงขวัญทหารและเสริมสร้างศรัทธายึดมั่นในพระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

    ทั้งนี้กองทัพเรือได้จัดสร้างพระพุทธศรีราชนาวี มงคลสามัคคีประสิทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๙.๑๐ นิ้ว และขนาดหน้าตักกว้าง ๕ นิ้ว โดยจะมอบให้แก่หน่วยราชการสังกัดกองทัพเรือ ตั้งแต่ระดับกองร้อยขึ้นไป
    กองทัพเรือได้เปิดให้ข้าราชการกองทัพเรือได้ร่วมบริจาคบูชาในการจัดสร้าง “พระพุทธศรีราชนาวี มงคลสามัคคีประสิทธิ์” ขนาดหน้าตัก ๙.๑๐ นิ้ว จำนวน ๕๐๐ องค์ บริจาคบูชาองค์ละ ๘,๙๙๙ บาท และขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว จำนวน ๑,๔๐๐ องค์ บริจาคบูชาองค์ละ ๔,๙๙๙ บาท โดยสามารถสั่งจองได้ที่กรมกิจการพลเรือนทหารเรือ โทร.๐๒ ๔๗๕ ๔๙๖๐ โทร. ๐๘ ๐๖๖๔ ๔๘๙๑ และเป็นไอดีไลน์ในการสั่งจอง
    FB_IMG_1623202367384.jpg FB_IMG_1623202369688.jpg
     
  18. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ลอกเขามา ด้วยความเคารพ


    วันนี้ 8 กรกฎาคม #วันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ท่านเป็นผู้รับรองแก่ศิษยานุศิษย์ของท่านว่า หลวงเทพโลกอุดรนี้ มีจริง เป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีมาในทางพุทธภูมิ ต่อมาได้ถอนอธิษฐานการบำเพ็ญออกมา เป็นพระอรหันตสาวกมีบุญฤทธิ์-อิทธิฤทธิ์พิเศษ ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์

    โดยที่ในสมัยพระพุทธเจ้าศรีศากยมุนีโคดมนี้ หลวงปู่เทพโลกอุดร ก็คือ พระอรหันต์ในสายของหลวปู่ใหญ่พระมหากัสสัปปะ หลวงปู่พระอุตระเถระ เป็นต้น และมีพระอรหันต์อีกหลายพระองค์ที่อธิษฐานรวมพลังบารมีกันในนามหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร

    คุณูปการของหลวงปู่ฤๅษีลิงดำนี้ ทำให้พระเกียรติคุณของหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดร ถูกรื้อฟื้นเป็นที่เชื่อถือรับรองเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

    ดังนั้นเนื่องในวาระวันคล้ายวันเกิดของท่าน จึงขอเชิญชวนลูกหลานหลวงปู่ใหญ่ทุกคนได้โปรด ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตั้งจิตอธิษฐานถึงหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ เพื่อให้ท่านประสิทธิพรให้เรา ให้พ้นทุกข์ พ้นภัยพิบัติทุกประการ ให้รอดปลอดภัย ให้เจริญรุ่งเรือง ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน เทอญ ฯ
    --------------------
    [คณะทำงานถวายหลวงปู่ใหญ่] เพจ #หลวงปู่เทพโลกอุดร

    สาธุ สาธุ สาธุ

    FB_IMG_1625719469453.jpg FB_IMG_1625719473530.jpg
     
  19. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    ถ้าไม่เชื่อ ก็อย่าเพิ่งตายนะ


    ✨หลวงพ่อเล่าเรื่องสังขารพระมหากัสสปเถระ✨

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    ผู้ถาม : เอ หลวงพ่อครับ พระมหากัสสปะ ท่านนิพพานแล้ว แต่ได้ยินดีเขาบอกว่า ศพของพระมหากัสสปะยังอยู่ที่ "เมืองราชคฤห์" แล้วจะเผาได้ต่อเมื่อ พระศรีอาริย์ มาตรัสรู้ และเผาบนมือด้วย อันนี้เป็นเหตุไฉนและข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ศพของพระมหากัสสปะไม่ได้อยู่เมือราชคฤห์นี่ อยู่ที่เชียงตุง เดาส่งแล้ว

    ผู้ถาม : อยู่ไทยนี่เองเองเหรอครับ ?

    หลวงพ่อ : ไทยใหญ่

    ผู้ถาม : ไม่ใช่อยู่อินเดียหรือครับ?

    หลวงพ่อ : ปัดโธ่...จะอยู่อินเดียตะพึดเลยนะ ยกยอดให้อินเดีย ตะบัน..ท่านอยู่ตรงนี้ พระมหากัสสปะท่านมีงานอยู่แถวนี้ ระหว่างเชียงตุง เชียงราย แล้วก็ประเทศ จีน ที่พระพุทธเจ้าส่งให้มาประกาศศาสนา ถ้าต่ำลงมานั้นเป็นเขตของ พระมหากัจจายนะ จากลำพูนลงมาก็เป็นเขตของพระโมคคัลลาน์ ก็ว่าตามเขต แล้วท่านก็นิพพานแถวนี้ ถ้าถามว่า "ศพของพระมหากัสสปะมีจริงไหม?

    ขอยืนยันว่ามีจริงยังอยู่ ดอกไม้ที่เขาบูชาก็ยังอยู่ ธูปกับเทียนที่เขาบูชาก็ยังอยู่ แต่ว่าเวลาปกตินี่เราเข้าไม่ได้ เพราะเขาลูกเล็กๆ สองลูกข้างหน้าต่ำเคลื่อนมาติดกัน เมื่อปีกึ่งพุทธกาลน่ะเข้าได้ เขาลูกเล็ก ๆ มันขยายตัวออก เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ จนกระทั่งฝรั่งเข้าไปถ่ายภาพได้ ฉันได้ภาพที่ฝรั่งถ่ายประมาณ ๑๐ ภาพ

    ในปีนั้นนะ เขาพิมพ์ขาย ไอ้ฉันน่ะไม่ได้ซื้อ เขามาให้แล้วก็เอาภาพนั้นไปให้ หลวงพ่อเล็กดู ถามว่า

    "การนั่งอยู่ การเข้าสมาธิเป็นของไม่แปลก แต่ธูปกับเทียนที่เขาบูชาทำไมจึงไม่เศร้าหมองยังสด ธูปเทียนก็ยังติดอยู่"

    หลวงพ่อเล็ก (หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค) ก็เลยบอกว่า

    คำอธิษฐานของพระอรหันต์ จะให้เป็นอะไรก็ได้ ใครไม่เชื่อก็ไปดู พวกที่ได้ มโนมยิทธิไปดูก็ได้นี่ ไม่ต้องรอให้เขาเปิดเข้าได้

    ผู้ถาม : แล้วที่ว่าจะเผาต้องเผาบนมือพระศรีอาริย์ล่ะครับ?

    หลวงพ่อ : ตามท่านว่ามา ถ้าเราไม่เชื่อเราอย่าเพิ่งตาย รอดูก่อน..จนกว่าพระศรีอาริย์จะนิพพาน!!"

    ผู้ถาม : โอ้โฮ?

    หลวงพ่อ : อ้าว...ถ้าพูดเวลานี้ก็เถียงกันไม่จบ บางคนว่า"ฉันไม่เชื่อหรอก เป็นพระพุทธเจ้า แล้วกฎแห่งกรรมย่อมสิ้นไป มันเป็นเช่นนั้นจริง..!! ตามเรื่องมีว่า

    สมัยก่อนโน้น พระมหากัสสปะท่านเป็นช้าง รูปร่างท่านจึงใหญ่โตคล้ายช้าง แล้วพระศรีอาริย์ท่านเป็นเจ้าของ และก็มีการพนันกันว่า ช้างตัวนี้สามารถจะหยิบอะไรก็ได้ ก็บังเอิญคนพนันมันเกเร มันเอาเหล็กเผาจนแดงโชนให้อม ที่แรกเจ้าของยอมแพ้ ยอมให้ถูกปรับดีกว่า ไม่ยอมให้ช้างหยิบ ช้างก็รักษาศักดิ์ศรี อาศัยที่รักเจ้าของก็เอางวงหยิบ หยิบได้ฝ่ายนั้นก็ต้องแพ้ แต่ช้างก็ต้องตาย

    เพราะอาศัยกรรมอันนี้หน่อยเดียว เวลาที่พระศรีอาริย์จะนิพพานท่านก็เอาศพพระมหากัสสปะใส่พระหัตถ์ อธิษฐานเตโชธาตุเผา เมื่อเผาแล้วก็อาศัยเหตุนี้เป็นปัจจัยพระองค์จึงนิพพาน แต่อย่าลืมนะ ไฟที่ใช้กำลังใจให้เกิดขึ้นมันไม่ร้อนหรอก ท่านจะร้อนก็ได้ ไม่ร้อนก็ได้

    โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

    จากหนังสือตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่มที่ ๖ หน้าที่ ๒๑-๒๓

    ขอขอบคุณ
    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=626
    FB_IMG_1626700037591.jpg
     
  20. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    เรื่องเล่าของหลวงพ่อบัวลอย ต่อ

    สืบทอดวิชาสายสำเร็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์

    ราวปี 2524 หลวงพ่อได้เรียนวิชาความรู้จากหลวงปู่เชื้อ จนเจนจบแล้ว หลวงปู่เชื้อได้บอกให้หลวงพ่อบัวลอย เดินทางไปศึกษาวิชาเพิ่มเติมกับหลวงปู่ทอง พระทรงอภิญญาประเทศลาว โดยให้เดินทางไปที่นครพนม เมื่อเดินทางถึงนครพนม หลวงพ่อได้เดินทางไปกราบนมัสการองค์พระธาตุพนม แล้วหลวงพ่อกำลังนั่งคิดว่าแล้วจะเจอหลวงปู่ทองได้ยังไง เดินออกมาจากพระธาตุพนม ก็เจอพระชรานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ดูน่าเสื่อมใส ได้เดินเข้าไปกราบสนทนา เมื่อหลวงพ่อกราบเสร็จ พระชรารูปนั้นได้พูดว่าท่านเชื้อมาฝากให้รับท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อจึงได้กราบขอเป็นศิษย์ หลวงปู่ทองท่านรับหลวงพ่อเป็นศิษย์ แล้วพาเดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปยังประเทศลาว วัดที่หลวงปู่ทองพักอยู่แถวริมแม่น้ำโขงฝั่งประเทศลาว หลวงพ่อได้อยู่ศึกษาวิชากับหลวงปู่ทองอยู่ประมาณ 2 ปี หลวงปู่ทองท่านทำวิชาเทียนเสริมดวงหนุนดวงให้กับลูกศิษย์ที่เป็นคนดีแต่มีฐานะยากจน เพื่อให้เค้ามีเงินมาดูแลครอบครัวและหมู่บ้าน หลวงพ่อท่านได้เรียนวิชานี้มาอย่างเจนจบ เมื่อศึกษาวิชาความรู้กับหลวงปู่ทองเรียบร้อยแล้ว ก็ขอหลวงปู่ออกเดินธุดงค์กลับประเทศไทย

    หลวงปู่ทองบอกหลวงพ่อไว้ว่าดารทำวัตถุมงคลให้คงกระพัน แคล้วคลาด เป็นเรื่องธรรมดาของผู้มีวิชาอาคม ดังนั้นการทำวัตถุมงคลต้องทำให้ช่วยหนุนดวงให้ลูกศิษย์ จากร้ายให้กลายเป็นดี จากที่ดีก็ให้ดีตลอดไป อันนี้สิถึงเรียกว่าดีจริง

    หลวงปู่บอกกับหลวงพ่อว่า "เราตายได้แต่ลูกศิษย์ตายไม่ได้"

    หลวงพ่อท่านก็ยึดคำสอนของท่านมาตลอด

    ศิษย์หางแถว
    FB_IMG_1627081163717.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...