ว่า ด้วย เรื่อง คาบ?????

มีเรื่องสงสัย ค่ะ เรื่องคาบ

1. คาบ คืออะไร
2. แล้วทำไท่อง 3 คาบ 7 คาบ คืออะไร

 

ไปอ่านเรื่องคาบได้คับ ที่เวป คาถาอาคม หัวข้อเคล็ดวิชา ผมได้ตอบเอาไว้แล้ว คุณคงเข้าใจได้ไม่มากก็น้อยคับ

 

เรื่องคาบที่อ่านจากคุณอ่อนหัด แล้ว ก็ถือว่าใช้ได้ ดี เมื่อนำมาทดสอบ ด้วยคาถา 16 พระองค์ในการรักษาอาการปวด

แต่ ผมเคยเจอวิธีที่ดีกว่า ซึ่งผมเคยโพสในเวป คาถา-อาคมแล้ว ซึ่งได้ผลดีมากๆ แต่ เจ้าที่ในเวปนั้น ต่างเห็นเป็นเรื่องไรสาระ
ทั้งที่ไม่ได้ทดสอบอะไรเลย แถมชวนทะเลาะ ซะส่วนใหญ่ ใครสนใจไปหาความรู้ได้ ชื่อ กกกกก ผู้เขียนกระทู้เก่าๆ

 

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆนะครับ พี่ๆทั้งหลาย

 

ธรมมดาน่ะท่าน เจ้าที่แรง ผมยังเคยเจอเลย แต่คิดว่าคงยังไม่แรงเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ออกมาเป็นตัวเป็นตน หากมาจิงๆผมคงเอาเจ้าที่ท่านมาเป็นฝักมีดหมอหลวงพ่อเดิม 555+ ไม่เป็นไรครับ สำหรับความรู้ ผมรู้ผมก็ตอบ ผมไม่รู้ก็ไม่ตอบ ง่ายๆดีคับ เราโง่ก็บอกว่าโง่ เราทราบก็ชี้แนะบอกต่อๆกันไป คนที่เค้าเอาไปใช้พอเค้าได้ผล เค้าก็ย่อมนึกถึงเรา มันเป็นกุศลดีน่ะ

 

ดีคับ เปิดเผยจริงใจดี ถ้าเรามัวแต่รักษาฟรอม์ ไม่ได้ไม่รู้ แล้วฝืน บอกไปโกหกไป ภายหลัง เขารู้เข้า กลับมาด่าเราดูถูกเราภายหลัง เหมือนเวปคาถา ที่ ทะเลาะกันไม่เลิกอยู่

 

ผมก็คนหนึ่งที่เคยไปทะเลาะ และ รองของทำของใส่กันอยู่ ยอมรับว่ามีอยู่คนที่มีของกันดีมาก ผมจะถนัดด้านคาถาสาปแช่ง เบิกทางยากมากๆ และเขาเอง ทำอะไรผม ไม่รู้สึกเลยแถมรู้สึกแข็งแรงมากขึ้นเป็นพิเศษอีกตางหากอันนี้ไม่คุยจริงๆ จำได้ที่คืนนั้น ลูกผมคนเล็ก ร้องทั้งคืน จนต้องพาไปหาหมด แต่ ก็ไม่เป็นไรมากนัก เมื่ออยู่ในเวปนี้สักระยะก็ได้รู้ว่า เจ้าที่คนหากินหลอกลวงมันเฝ้าอยู่ สังเกต ไม่ยาก เพราะข้อความมันซำๆกัน อยู่ แรกๆที่เข้าไปก็เชื่อสุดใจนึกว่าจะเจอคนเก่งรู้ลึกจริงๆเพราะพูดอะไรมาเราแทบไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย กะว่าจะได้แชร์ความรู้กันแต่ก็เหลวพวกเล่นจับผิด ซะกระดิกตัวไม่ได้เลยสักนิด เคยคุยสายตรงกับเหล่าเจ้าที่ก็พอรู้ว่า โดนศิทย์ หักหลัง ดูถูกสารพัด เนื่องด้วยไม่ยอมสอนหรือสอนแล้ว ศิทย์ทำไม่ได้นานเข้า จึงเกิดศิทย์ล้างครูเพราะครู คาดว่าศิษท์คงผิดหวัง เนื่องจากอาจารย์ท่านคุยซะเยอะไม่ยอมรับความจริงน่าจะเป็นได้

ผมตั้งกระทูหลายครั้งที่ผมคุยด้วยดี แต่ก็เหลว พี่ท่านกับพักพวกชวนทะเลาะซะวงแตกทุกที ไม่อยากสะแดงความคิดเห็นใดๆอีก เพื่อตัดปัญหาการทะเลาะ และ ให้คนในเวปตัดสินกันเอง

คุณมาที่นี่ก็ดีแล้ว คงไม่มีพวกเกเรมาเท่าที่นั้น อย่างมากก็แค่ คนหวงวิชาไม่พูดไม่จาแล้วก็เงียบหายกันไป

การที่เราได้คบหาคนวงการเดียวกัน มันย่อมดีกว่าฝึกคนเดียวแน่นอนทั้งกระตุ้นและพัฒนา ตัวเราเอง ที่ดีที่สุด

คุณเพทยา คิดว่าถูกต้องหรือไม่
คุณเคยศึกษามาจากไหน ช่วยเล่าให้รู้หน่อยนะคับ และ สำเร็จ อะไรบ้าง ที่มั่นใจ
ถ้าในนี้ตอบไม่สะดวก เมลมาคุยกันเล่นก็ดี

 

ขอบคุณสำหรับความรู้นะครับ

อ่านแล้ว พอจะเข้าใจบ้างนะครับ แต่ยังไม่ค่อยกระจ่างซักเท่าไหร่

แค่อยากจะอ่านและศึกษาไว้ ไม่ได้คิดจะลองของแต่อย่างใดครับ

 

ผมอ่านที่คุณอ่อนหัด(เพทยาธร)แล้ว ไม่ค่อยแน่ใจในการสรุปว่าจะตรงกันไม๊ เอาเป็น ว่า คุณก็ช่วยสรุป ณ.ที่นี้เลยแล้วกัน จะเป็นการดีต่อผู้อื่นด้วย แล้วกัน ถ้าผมสรุปเองก็คือ1.ท่องรวดเดียวไม่ต้องหายใจ 3คาบ5คาบ เสร็จแล้วค่อยหายใจออก2.ท่องบทยาวๆ ไม่ต้องสนหายใจ ท่องเสร็จ แล้ว ค่อยรวบทีเดียวเป่า

 

คาถาสำหรับข้าพเจ้าแล้วคิดว่าเป็นเพียงตัวสื่อกับครูบาอาจารย์ที่รักษาวิชาเท่านั้น
เมื่อเราภาวนาจนจิตละเอียดสื่อกับท่านได้ท่านก็ส่งพลังมาช่วยเสริมให้สัมฤทธิ์ผล
หรือเรียกกันว่าแรงครู ที่ส่งพลังมาช่วยให้เกิดผลไปตามวิชาที่ใช้

ส่วนเรื่องท่อง กี่จบๆ แล้วค่อยเป่ากี่ที นั้นข้าพเจ้าจะดูที่พลังมากกว่า เป่าให้พลังที่เกิดจากเราที่ภาวนาเอาไว้ ขณะนั้นออกไป จึงไม่ได้สนใจว่า ท่องกี่จบ เป่ากี่ที พอภาวนาจนเกิดพลังแล้วก็เป่าออกมาพร้อมพลัง จนหมดเท่านั้นเอง ต่อให้ท่อง 10จบ เป่า 3 ครั้งแต่ขณะท่องไม่มีพลังเลยมันจะได้ผลได้อย่างไร...

 

ตามใจท่าน som ยอดยาใจนะคับ เอาตามที่ผมได้ศึกษาค้นคว้าแล้วก็ใช้มาจวบจนปัจจุบันนี้เลยนะคับ ในเรื่องของเวทมนต์คาถา หากจะใช้คาถาหรือมนต์ใดๆให้ขลังหรือสัมฤทธิ์ผลนั้น และสร้างสมาธิเพื่อที่จะทำให้กระแสจิตนั้นมีกำลัง ต้องภาวนาเกาะเกี่ยวกับเนื้อมนต์คาถาที่เราท่องอยู่ ท่านจึงได้วางวิธีการบริกรรมภาวนาคาถาหรือมนต์ต่างๆ ซึ่งวิธีดังกล่าว ก็กล่าวติดปากกันมาก็คือ คำว่า คาบ นั่นเอง ซึ่งในเรื่องของคาบนั้น จากประสบการณ์ที่ผาดโผนในยุทธภพมา มี คาบลม คาบทรงและคาบคาถา แล้วก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายแยกกันให้ออกเลยนะคับว่า "คาบ" กับ "จบ" นั้น คนละเรื่องกันเลย ซึ่งแต่ละคาบนั้นก็จะมีความหมายวิธีการบริกรรมและนำไปใช้ในด้านต่างๆซึ่งผมจะกล่าวให้ฟังดังนี้คับ
1.คาบคาถา คือ เป็นคาบหรือวิธีการบริกรรมภาวนาเวทมนต์คาถา โดยใช้ลมหายใจเข้า-ออก เป็นตัวกำหนด คือ เมื่อบริกรรมภาวนาคาถา เวลาหายใจเ้ข้าท่องได้กี่จบ เวลาหายใจออกก็ต้องได้เท่านั้นจบ ซึ่งตรงนี้เราต้องท่องคาถานั้นๆได้อย่างคล่องแคล่วด้วยนะคับไม่ติดขัดประดุจกับท่องสูตรคูณแม่สอง เวลาที่เราเอามาใช้บริกรรมภาวนาเป็นคาบเมื่อหายใจเข้า-ออกจะไม่ติดขัดเลย ในกรณีที่ผู้ที่ไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อนในการหัดทำหรือฝึกครั้งแรกๆจะติดขัดไม่ค่อยโล่งเท่าไหร่ แต่พอทำไปซักระยะอาการดังกล่าวก็จะหายผสมกลมกลืนกับลมหายใจเข้า-ออกได้เป็นอย่างดี ถ้าจะหัดหรือฝึกคาบคาถานี้ ผมแนะให้ใช้ บทพระพุทธคุณ คือตั้งแต่อิติปิโสจนถึงภควาติฯ เวลาหายใจเข้าก็ท่องให้จบพอดีแล้วเมื่อหายใจออกก็ท่องให้จบพอดี แต่ต้องพึงระลึกเสมอว่าเข้าได้กี่จบ ออกก็ต้องได้เท่านั้นจบนะคับ คาบคาถานั้นเป็นคาบที่นำมาใช้ได้ทั้งปลุกและเสก ซึ่งตรงปลุกกับเสกนี้คุณๆพี่ๆน้องๆทั้งหลายก็ต้องแยกกันให้ออกอีกนะคับ ตรงคาบคาถานี้ถ้าจะใช้ในทางเสกเป่าให้ทำอย่างนี้นะคับ ตรงนี้ผมจะอธิบายเรื่องของคำว่า "บริกรรม-ภาวนา" ควบเข้าไปด้วยให้คุณที่รักทั้งหลายได้เข้าใจว่า "บริกรรม-ภาวนา" เป็นยังไง เวลาไปคุยกับใครเค้าเราจะได้รู้ว่าใครเป็นอาจารย์จริงหรืออาจมเทียมกันแน่ เวลาที่หายใจเข้าภาวนาคาถาได้กี่จบ ที่นี้เนี่ยเวลาตอนหายใจออกให้เปลี่ยนจากหายใจออกมาเป็นการเป่าแทนคือ เวลาที่เป่าออกมาก็ให้บริกรรมคาถานั้นออกมาด้วยจนสุดพอดีกับลมหายใจออก สังเกตุมั้ยคับ ภาวนาคือท่องเวลาที่หายใจเข้า บริกรรมคือท่องคาถาตอนเป่าลมออกมาพร้อมๆกัน แต่ตรงนี้ถ้าหากว่าเวลาที่เราท่องคาถาแล้วเป็นเพียงแต่การหายใจเข้า-ออก ไม่มีการเป่าลมออกมาทางปาก ตรงนี้ขอให้เข้าใจไว้เลยคับ ว่าคือ การภาวนา ถ้ามีการเป่าลมออกมาทางปากคือ การบริกรรม แล้วที่นี้ถ้าจะมากล่าวถึงคำว่า ปลุก-เสก นั้น ก็คือ การปลุกคือการภาวนานั่นเอง การเสกคือการบริกรรมนั่นเอง ปลุกคือการวางอารมณ์ เสกคือการถ่ายทอดกระแสจิตของเราลงไปในวัตถุหรือของที่เราทำ นี่ล่ะคับคาบคาถา และคำว่า "บริกรรม-ภาวนา" แล้วก็คำว่า "ปลุก-เสก"
คาบคาถานั้น นิยมเอาไปใช้ปลุกเสกวัตถุมงคลให้มีพลังและความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ซึ่งตรงคาบคาถานี้เป็นที่นิยมมากๆในเรื่องของการเสกวัตถุมงคลประเภทเมตตา-มหาเสน่ห์ ลำดับต่อมา
2.คาบลม คือการกลั้นใจแล้วท่องคาถาทำเหมือเวลาที่เราดำน้ำนั้นแหละคับ ตรงคาบลมนี้ เป็นคาบที่สำหรับเอาไว้ใช้โดยเฉพาะเป็นการกระทำที่เร่งด่วน เช่น เสกฝุ่นทาตัวเพื่อความคงกระพัน เป็นต้น เพราะว่าเป็นคาบที่รวมจิตได้เร็วทำให้จิตผูกพันกับจุดๆนึงไม่ไปไหน ตรงคาบลมนี้ ให้เราหายใจเข้าไปกลั้นเอาไว้ หากในตำราท่านบอกให้ท่องคาถา 7 คาบ ก็ให้ท่องคาถานั้น 7 จบ โดยที่ไม่ต้องหายใจ ทีนี้เวลาที่เราเป่าลมออกมาให้เป่าลมออกมาพรวดทีเดียวเลย แล้วก็เอาฝุ่นนั้นไปทาตัวแล้วเข้าไปสัปยุทธ หรือวิชามหาอุดก็ใช้คาบลมรวมทั้งวิชาแคลัวคลาดบางประเภท โดยมากคาบลมนี้เป็นคาบที่เหมาะกับการใช้บริกรรมภาวนา คาถาที่เป็นจำพวกหัวใจต่างๆ เนื่องจากคาถาจำพวกหัวใจนั้นสั้น แต่ตรงเรื่องของหัวใจนั้นผมจะมาแนะในเรื่องของวิธีการ "บริกรรม-ภาวนา" ว่ามีวิธีปฏิบัติอย่างไร ทีนี้คงทีคำถามที่ค้างคาใจท่านแน่ๆ แล้วคาถาที่ยาวมากๆเช่น โองการต่างๆเรามีวิธีการภาวนายังไง
3.คาบทรง ในการท่องคาถาที่ยาวมากๆ หรากจะให้เอาลมหายใจเข้า-ออก หรือกลั้นใจท่อง คงไม่ได้แน่นอน การที่ภาวนาคาถาที่ยาวๆนั้น ท่านให้ว่าเนื้อมนต์หรือคาถาบทดังกล่าว ให้มีจังหวะที่สม่ำเสมออย่าให้เร็วบ้างหรือช้าบ้างเป็นอันขาด ดวงจิตจึงจะเป็นสมาธิได้ การภาวนาในลักษณะดังกล่าวนี้ เรียกว่า คาบทรง
เอาล่ะคับคงเข้าใจกันไม่มากก็น้อยนะคับ ผมเอามาแนะให้ทราบเนี่ยก็เพราะว่าอยากให้ท่านทั้งหลายได้ทราบกัน เวลาปฏิบัติจะได้ทำถูก อีกทั้งเวลาไปคุยกับใครที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์จอมขมังเวทย์หรือนักเวทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะได้รู้ว่าเค้าจริงหรือเทียม เราจะได้ไม่ถูกเค้าหลอก อีกอย่างคนที่อยากรู้เรื่องนี้ ผมคิดว่าคงมีอยู่ไม่น้อยแต่คนที่รู้ก็ไม่อยากที่จะถ่ายทอดเพราะว่าหวงหรือไม่อย่างนั้นก็รู้ไม่จิง หรือรู้จิงแต่ไม่จัง เลยบอกไม่หมดทำให้ไม่ได้รับความกระจ่างหรือความรู้อย่างแท้จริง ผมไม่หวงคับเพระว่าไม่รู้จะหวงไปทำไม บางคนรู้นิดหน่อยก็คุยอวดทำเป็นยกตนข่มท่าน เอาความรู้ที่มีน้อยนิดไปข่มคนอื่น พอเค้าถามก็ตอบไม่ได้แล้วอ้างว่า ที่ไม่สอนเพราะว่าเหตุผลต่างๆนา เพื่อนสมาชิกเอาไปใช้ปฏิบัติดูนะคับ ผมพิสูจน์แล้วลองแล้วได้ผลถึงมาแนะนำแล้วก็จึงเชื่อ ตามหลักกาลามะสูตร 10 ข้อ แต่อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราจะตั้งใจมากน้อยเพียงใด หากสงสัยตรงไหนผมจะเข้ามาตอบให้อีกเอาให้หมดทั้งสังขารเลย ตามความสามารถของสติปัญญาที่น้อยนิดของผม ผมรู้เท่าไหนก็ตอบได้เท่านั้น หากไม่รู้ผมก็ไม่ตอบคับ สุดท้ายก็โชคดีคับ
ขอแสดงความนับถือ
เพทยาธร

 

ขอบคุณ
j147852<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_1846271", true); </SCRIPT>
ที่ให้ความคิดเห็นคับ
ส่วนคุณ เพทยาธร ต้องบอกว่า เราไม่ใช่คนรักกันนะคับ เป็นเพียงเพื่อน ที่ชอบ เรียนวิชา ฝึกฝนคาถานะคับ เดียวคนอื่นจาเข้าใจผิด 55555

ตอนนี้ผมกำลังเร่งงานอยู่ ขอ print ไป ทำความเข้าใจตอนทำงานเสร็จนะคับ

ขอบคุณมากๆเลยคับ

 

ไม่เป็นไรหรอกคับ ท่าน som บอกเค้าไปเถอะคับว่าเรารักกัน พยานรู้เห็นตั้งเยอแยะนิ แต่ในฐานะของคนที่จิงใจต่อกันไม่มีการแอบแฝงอะไรทั้งสิ้น ขอบอกตามตรงว่าเคยไม่รู้มาก่อน ตั้งใจเอาว่าถ้าหาหเราพอที่จะได้รู้หรือทราบ อยากจะแนะำนำคนที่เค้าเชื่ออยากศึกษา ให้รู้เหมือนกับผม ขอบอกเลยคับว่าคิดอย่างนี้จิงๆ ไม่ได้คิดมาอวดโชว์ภูมิความรู้ แต่แนะนำด้วยความบริสุทธิ์ใจจิงๆคับ เหมือนความจิงใจที่มีให้ท่าน som ไง ไปแก้ข่าวเอาเองนะท่าน เอิ้กๆ

 

ก็นี่ล่ะคับ วิธีการที่ว่า ท่องยังไงให้มีพลัง ถ้าใครได้ลองทำดู จะสังเกตุได้อย่างชัดเจนเลยว่า จิตของเราจะเกาะเกี่ยวที่เนื้อมนต์คาถาอย่างแน่นแฟ้น ทั้งลมหายใจเข้าและออกเลย ไอ้การภาวนาก็คือการปลุกหรือการสร้างพลังนั่นแหละคับ ส่วนการเสกหรือเป่าก็คือการส่งกำลังจิตที่เรารวบเอาไว้ออกมา เหมือนกับเวลาที่ครูอาจารย์มักจะมีคำนึงในเวลาที่เสกของคือ เพี้ยง นั่นไง สำหรับผม ผมคิดว่าสำคัญคับ ว่าเข้าได้กี่จบ ออกต้องได้เท่านั้นจบ เพราะจิตเราจะถูกกำกับกำหนดให้เกาะเกี่ยวอยู่ตลอดเวลา มีการระลึกรับรู้อยู่เสมอ เมื่อจิตไม่ว่อกแว่ก ก็จะเกิดพลังขึ้นมา ผมเคยทดลองให้ลูกพี่ลูกน้องผมทำดู ว่าเวลาที่เข้าให้ท่อง 5 จบ ส่วนออกท่อง 3 จบ ผมสังเกตุเห็นเลยว่าเค้ากระสับกระส่าย เพราะว่าจำนวบจบเวลาที่ท่องเข้ากับออกไม่เท่ากัน ลมหายใจอัสสาสะกับปัสสาสะหรือลมหายใจเข้า-ออกนั่นแหละ มันไม่สม่ำเสมอ ทำให้จิตไม่นิ่งเพราะว่าในช่วงที่หายใจออกต้องเร่งปราณ หรือลมหายใจให้ทันสม่ำเสมอกับลมหายใจเข้า ลองดูก็ได้คับว่าเป็นอย่างที่ผมพูดมั้ย เอาง่ายๆเลย ท่อง นะโมพุทธายะ เข้า 5 จบ แล้วออก 3 จบดูสิคับ จิตจะกระสับกระส่ายมั้ย ทีนี้มาลอง เวลาเข้าท่อง 5 จบ แล้วออกท่อง 5 จบดูสิคับ จิตจะรู้สึกลื่นไหลดีกว่าเดิมมั้ย เนี่ยเห็นมั้ยคับในขณะที่ท่องจิตยังไม่สงบเลย แล้วจะเอาพลังจากจิตที่ไหนมาใช้คับ ไม่งั้นครูบาอารย์สมัยก่อนท่านคงไม่ถอดเอาอักขระของหัวใจเอามา ภาวนาบริกรรม ทีละตัว หรือแบบอนุโลมปฏิโลมและแบบนารายณ์ตรึงไตรภพจักรคลายจักรหรอกคับ เนื่องจากการกระทำอย่างนี้เวลาที่ท่องบ่นบริกรรมภาวนาจิตจะแน่นแฟ้นมากกว่า ไม่ว่อกแว่ก ทำให้จิตนิ่งสงบและบังเกิดกำลังแก่จิตเป็นอย่างดี แม้แต่ท่าน บูรพาจารย์อาจารย์ปู่ ฟ้อน ดีสว่าง ท่านยังบอกกับศิษย์รุ่นแรกๆของท่านเลย คือ ท่าน อาจารย์ เต็ง ยิ้มสวัสดิ์(มีอีกหลายคนแต่ผมจำชื่อได้ไม่หมด) ว่า หากจะใช้พระเวทย์ให้บังเกิดความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นต้องรู้จัก "ตับคาบปลา กาคาบไข่" ซึ่งในส่วนของวลีนี้ก็คือคาบลมนั่นเอง ลองเอาไปทำความเข้าใจแล้วปฏิบัติดูนะคับ หากตรงไหนที่คนความรู้น้อยอย่างผมได้กล่าวผิดพลาดไปต้องขออภัยไว้ด้วยคับ
ขอแสดงความคารวะอย่างสุดซึ้ง
เพทยาธร

 

ขอแก้ไข ตรงที่ว่า
แบบอนุโลมปฏิโลมและแบบนารายณ์ตรึงไตรภพจักรคลายจักร
แก้เป็น
แบบอนุโลมปฏิโลมและแบบนารายณ์ตรึงไตรภพและนารายณ์คลายจักร

 

เออท่าน som ผมว่าจะบอกลำดับวิธีการหนึ่งของการใช้คาถามาบอกกล่าวท่านเหมือนกัน แต่ก็ลืมอยู่หลายครั้งหากท่านรู้แล้วคงไม่ว่าผมนะ กลัวว่าจะสอนหนังสือเจ้าอาวาส คริคริ หากท่านยังไม่รู้ลองเอาวิธีการนี้ไปลองปฏิบัติดูนะคับ พื้นของท่านฝึกมาดี ผมว่าท่านทำได้แน่นอนเลย ลำดับของการใช้คาถานั้น มีลำดับดังนี้
"สร้างมโนโตด้วยคาบคาถาแล้วสมปราถนาด้วยคาบลม" ท่านลองเอาไปตีความดูนะ แต่ผมจะบอกท่านแน่นอน ไม่ได้ลองนะท่าน แต่อยากให้เอาไปคิดก่อน พอผมอธิบายให้ฟังผมรับรองท่านอ๋อแน่นอน ไม่โกรธนะท่าน som นะ ไม่โกรธไม่งอนผมนะท่าน som ยอดยาใจ

 

เป็นความรู้ที่ดีมาก

 

รอผม สรุปทำความเข้าใจ และ ทดสอบก่อน แล้วจะมาบอกผลนะคับ ไงก็ขอบคุณมากๆที่แบ่งปันความรู้ให้กัน ส่วน


สร้างมโนโตด้วยคาบคาถาแล้วสมปราถนาด้วยคาบลม

สร้างมโนโต
ใช่อย่างเดียวกับมโนภาพไม๊ อย่างเคล็ดนึ่งที่ผมเคยใช้ ให้สร้างมโนภาพตัวใหญ่โตมโหฬาล และทำการบีบอัดตัวลงมา และ ท่องคาถา ด้วยจิตที่กลมกลืนแห่งกระจิตอันน้อยนิดแต่ค่อยเพิ่มจนจบมนต์คาถา
.
.
วิธีนี้
ผมเคยใช้รักษา แผลปวดอักเสบตอนนั้นแม้แต่แตะยังไม่ได้ ท่องแค่ครั้งเดียว กดบีบยังไงๆ ก็ไม่รู้สึกอีกเลย จนข้าคืน อาการจึงกลับมาอีก แต่ก็ไม่เท่าไรแล้ว อันนี้เดิมทีเข้าใจว่าเป็นการสะกดจิตตัว แต่เมื่อรอง รักษาอาการปวดท้องให้ลูก โดยใช้เคล็ดอืนไม่ลดลงเท่าไร แต่พอใช้เคล็ดนี้กลับหายได้เลย ทดสอบแล้ 2 - 3 ครั้งจนแน่ใจว่าไม่ใช่สกดจิตตัวเอง แต่เป็นเทคนิค การ เค้นกระแสจิต

 

..........