สร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง เอาไว้สู้กับงาน

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 ธันวาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    5E5DDAC0-4676-4BDF-BFA1-6F56646121F2.jpeg

    สร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง เอาไว้สู้กับงาน

    สมัยที่บวชอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุงใหม่ ๆ ท่านให้ปฏิบัติให้มากเข้าไว้ ท่านบอกว่าในช่วงแรกเราต้องสร้างกำลังใจของตัวเอง ให้เข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะสร้างได้ ถ้าหากว่ามีงานเข้ามาเมื่อไร จะได้มีกำลังไว้สู้กับงาน

    ตอนนั้นอาตมาเป็นคนที่ค่อนข้างจะพลังงานเหลือเฟือ ให้ปฏิบัติอย่างเดียวรู้สึกไม่ชอบใจ อยากมีงานในรับผิดชอบเร็ว ๆ ในเมื่อไม่มีงานอื่นทำก็หางานทำเอง

    งานแรกที่เท่ากับเป็นความผิดชอบก็คือ กวาดถูศาลานวราชบพิตร เพราะว่าเป็นศาลาที่หลวงพ่อท่านจะต้องลงรับสังฆทานทุกวัน ปรากฏว่าถูศาลาอย่างมีความสุขได้ไม่กี่วัน มีคนมาแย่งทำ เขาคงเห็นว่าพระรูปนี้ขยันอะไรนักหนา ถูอยู่ได้ทุกวัน

    ในเวลาทำงานเรากำหนดความรู้สึกตามไปด้วย เวลากวาด เวลาถู ไม้ถู..ไม้กวาด ไปข้างหน้า ไปข้างหลัง แรงหรือเบา ยาวหรือสั้น กำหนดรู้ไปด้วย ก็เท่ากับเราปฏิบัติกรรมฐานไปด้วย ในขณะที่ทำงานตอนนั้นก็คิดว่า กำลังของเราสามารถที่จะทำงานได้

    มาในระยะหลัง พอออกจากวัดไปทำงานด้วยตนเอง จึงพอที่จะเข้าใจที่หลวงพ่อท่านว่ามา เพราะว่าการทำงานต่าง ๆ เช่น งานก่อสร้างก็ดี การบริหารวัดวาอารามต่าง ๆ ก็ดี จะมีปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาในลักษณะที่เป็นแรงกระทบอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของเราไม่มั่นคงก็จะพังในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้าเราสะสมกำลังเอาไว้เพียงพอ ก็จะสามารถที่จะยืนหยัดต่อสู้กับกิเลสได้

    คราวนี้ในปัจจุบัน อย่างการบริหารวัดวาอารามต่าง ๆ หรืองานรับผิดชอบ เวลามอบให้คนอื่นทำหน้าที่แทนเวลาเราไม่อยู่ ตัวอย่างชัดที่สุดก็คือ พระครูน้อย (พระครูสังฆรักษ์วิฑูรย์ จนฺทวํโส) พออาตมากลับไปทีไร ท่านเหมือนกับวางโลกลงไปได้ หายใจได้สะดวกสักที กลายเป็นว่าการที่ท่านต้องไปรับหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ เพื่อที่จะบริหารวัดให้ดีแค่นั้นของอาตมา ในความรู้สึกของท่าน คือ เกินกำลังที่จะรับไหว..!

    ในส่วนที่กล่าวถึงนี้ อยากจะบอกต่อไปอีกว่า ถ้าหากว่าตราบใดที่กำลังใจของเรา ยังไม่สามารถที่จะละ รัก โลภ โกรธ หลง บางส่วนไปได้ บางทีการตัดสินใจในหน้าที่การงานต่าง ๆ เราก็จะทำไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เต็ม ๆ ซึ่งโอกาสเสียก็จะมีมากกว่าดี เพราะว่าเป็นการใช้อารมณ์มากกว่าใช้เหตุผล

    จากที่คิดว่าเราแน่ อยากมีงานรับผิดชอบเร็ว ๆ มาตอนนี้พยายามเลี่ยงการรับผิดชอบให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ กลายเป็นคนละอารมณ์กัน

    พอออกจากวัดท่าซุงมา ทางวัดต้องหาพระไปแทนที่อาตมาทำงานซึ่งอยู่คนเดียว ไม่มากไม่มาย แค่ ๕ ท่านเท่านั้นเอง..! ก็เลยสงสัยว่านี่อาตมารับงานไว้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ ? จากงานที่เราเคยทำ ที่รู้สึกว่าคนเดียวก็ไม่เกินกำลัง กลายเป็นว่าต้องใช้ถึง ๕ คน ถึงมารับผิดชอบงานนั้นได้

    การทุ่มเทให้กับงาน เป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งว่า กำลังใจของเราเข้าถึงธรรมมากน้อยเท่าไร ถ้ายังไม่ทุ่มเทจริงจัง ยังกลัวเหนื่อย ยังกลัวลำบากอยู่ ก็แปลว่ากำลังใจเรายังรักยังห่วงร่างกายนี้อยู่มาก ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะเข้าถึงธรรมจริง ๆ ก็ยาก

    ฉะนั้น..กลับไปใหม่ งานที่เคยรับผิดชอบลองกลับไปทุ่มให้เต็ม ๆ เสียที ให้เอาอย่างทหาร เขาปฏิญาณตนอยู่ทุกวัน เช้า ๆ เย็น ๆ ทหารเขาต้องตะโกนว่า "ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่ ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ไหว ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ทัน"

    ตะโกนอยู่ทุกวัน ตะโกนจนซึมเข้าเนื้อไปเลย จนกระทั่งมารู้สึกว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง ลักษณะนี้เป็นมโนมยา คือสำเร็จด้วยใจ ตะโกนกรอกหูอยู่ทุกวัน เลยพลอยคิดว่าเราทำได้จริง ไปลองสะกดจิตตัวเองอย่างนี้ดูบ้างสิ
    .....................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...