สิ่งที่เป็นของโลก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 11 สิงหาคม 2012.

  1. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    สิ่งที่เป็นของโลกนั้น ไม่มีใครสามารถไปเปลี่ยนแปลงได้

    ซึ่งสิ่งนี้หาคนที่ยอมรับได้น้อย และ ชอบเอาชนะ

    อย่างเช่น น้ำต้องไหลลงที่ต่ำ มนุษย์เกิดแล้วย่อมโตเป็นผู้ใหญ่

    สิ่งก่อสร้างย่อมทรุดโทรม ยุคสมัยย่อมเปลี่ยนไป

    สิ่งทั้งหลายนี้เป็นของๆโลก มีอยู่ในโลก

    ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

    แต่มนุษย์ก็ยังจะสรรหา ดิ้นรน พยายาม แสวงหา

    เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลง ด้วยการนึกคิดในรูปแบบต่างๆ

    นำมาซึ่งความเป็นทุกข์ ยิ่งอำนาจแห่งเงินตรานั้น ทำให้มนุษย์เป็นทุกข์อย่างมากมาย

    หากได้เข้าไปหลงยึดติด ทั้งที่เงินนั้นเป็นของๆโลก เป็นสิ่งที่มีในโลก อยู่บนโลก

    มนุษย์นั้นเกิดมากี่ครั้ง ก็ได้พบเจอในสิ่งเหล่านี้เสมอ ซึ่งจะพบเจอกันแต่ละรูปแบบ

    การปฎิบัติธรรมภาวนานั่งกรรมฐาน เป็นหนทางเดียวที่จะก้าวข้ามการวนเวียนนี้

    เมื่อสงบแล้ว จิตไม่มีการดิ้นรนแม้แต่ในขณะ ที่ไม่ได้นั่งกรรมฐาน สงบนิ่งอยู่นั้น

    จิตจะเกิดการรับรู้ในอีกรูปแบบ ที่มนุษย์ไม่ได้สัมผัสเลยในชีวิต รับรู้ด้วยสติปัญญา

    ที่ไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งใดๆ รับรู้ และ ยอมรับ ถึงความเป็นจริงของโลก

    นั่นคือ " หนทางแห่งการหลุดพ้นจาก กระแสแห่งกาลเวลา "

    สาธุครับ
     
  2. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    อืมม...
    อ่านหัวข้อ ..ผม นึกว่า จะ กล่าว เรื่อง ของ ที่เป็นของโลก..ในเชิง ปรมัตถ์ ซะอีก...แวะมาอ่าน ก้ ไม่ใช่

    ก็ ยังดีครับ...สิ่งที่แสดง เป็นไปเพื่อ การละ อุปาทาน..
    แม้ ไม่ถึง ปรมัตถ์สัจจะ แต่ ก็ ได้ อรรถ ในจเบื้องต้น..

    สาธุๆๆๆๆ
     
  3. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ผมไม่ได้เล่าเรียนตำราครับ ผมกล่าวจากสิ่งที่ผมได้เห็นครับ ความเป็นปกตินี้เอง ที่เป็นหนทางครับ

    นำพาให้มนุษย์เข้าใจในกระบวนการ การทำงานของสภาพชีวิต ส่วน " ปรมัตถ์ " นั้น

    ผมไม่ทราบว่าจะบอกกล่าวอย่างไร ผมรู้แค่ว่าเมื่อยอมรับความเป็นไปของโลกแล้ว

    จะเกิดการละวางในการยึดมั่น ถือมั่น ลดละความอยากได้นั้นลงครับ ไม่สนใจในการกระทำทุกชนิด

    ทำไปตามสิ่งที่ควรกระทำ โดยไม่มุ่งหวัง หรือ มุ่งเน้น ในสิ่งนั้นๆ อย่างที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกันครับ

    สิ่งที่มุ่งมั่นมีเพียงอย่างเดียวครับ คือ แยก กาย ใจ จิต ออกจากกัน เมื่อแยกกายออกจากจิตได้

    การยึดติดด้วยตัวตนจะหายไปครับ แต่ยังหลงเหลือทิฎฐิด้วยการยึดมั่นอยู่ครับ เป็นเหตุให้ต้อง

    แยกใจออกจากจิตครับ เมื่อไม่รับรู้ความรู้สึกที่มีเกิดขึ้นมานั้น การยึดด้วยทิฎฐิจะหายไปครับ

    สิ่งที่เป็นของโลกก็จะไม่มีอะไรให้อาลัยอาวรณ์ครับ เมื่อนั้นความเข้าใจในการเกิดจะมีให้เห็นครับ

    สาธุครับ
     
  4. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    คุณโอ๊ทธิเดชครับ คุณบอกเองว่าคุณไม่อ่านตำรา คุณปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองโดยไม่มีครูอาจารย์ หรือไม่อ่านตำรามาก่อน ก็บอกตามตรงว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านก็เรียนก็อ่านมาก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด ท่านเรียนมาเป็นร้อยๆวิชา เทียบกับปัจจุบันอาจจะอนุมานได้ว่าจบปริญญาเอก 100 กว่าใบ นั่นคือพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าท่านเกิดในสกุลกษัตริย์ ท่านได้รับมอบราชสมบัติจากพระบิดาคือพระเจ้าสุทโทธนะ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ออกบวช และท่านก็เรียนจบสารพัดศาสตร์มาก่อน แต่อย่าเอามาเปรียบเทียบกับปัจจุบัน ในสมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ เครื่องบิน ตู้ATM ศูนย์การค้า สนามบิน เป็นต้น ย้อนมาถึงเรื่องของคุณ คุรกล่าวมาแนวนี้ผมรู้เลยคุณปรารถนาพุทธภูมิ แต่การมองโลกของคุณมันตื้นเกินไป กว่าคุณจะได้เป้นพระพุทธเจ้าอาจจะไม่ใช่องค์สุดท้ายเลยเหรอ คุณต้องปรับทรรศนะคติหรือความคิดของคุณใหม่ คือคิดให้เหมือนชาวบ้านเขา อย่ามีทิฏฐิและความอยากที่จะเป็นนั่นเป็นนี่ อย่ากลัวว่าปัจจุบันนี้เรายังไม่ใช่พระอริยะ ในเมื่อยังไม่ใช่คุรก้แค่ยอมรับตัวเองเท่านั้นแหละว่ายังเป้นคนธรรมดาอยู่ แต่ความคิดน่ะไม่อยู่กับร่องกับรอย ให้อ่านก่อนครับ อ่านด้วย ถามผมนี่ผมอ่านพระไตรปิฎกจบแล้วจึงออกภาคปฏิบัติ ผมชอบธรรมะของท่านพุทธทาส หลวงตาบัว หลวงปู่ชา หลวงปู่เณรคำ และหลวงปู่บุดดา เป็นต้น เน้นว่าอ่านให้แตกฉานก่อนนะครับ เพราะเมื่อคุณอ่านคุณจะได้รู้ในสิ่งที่คุณยังไม่รู้ สนทนาธรรมกับใครก็ได้ที่คุณคิดว่าเขายินดีสนทนาด้วย และเรื่องทุกข์เรื่องโลกอะไรตามความคิดคุณนั้น ในตำราท่านไม่ได้กล่าวอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงความทุกข์คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ สรุปโดยย่อการมีอุปาทานในขันธุ์5 นี้แหละเป็นทุกข์ ทำสมาธิคุณต้องออกภาคปัญญาคือท่านเรียกว่าวิปัสสนากรรมฐานด้วยนะครับ ไม่งั้นจิตคุณสงบเพราะคุณอยู่ที่สมาธิที่ท่านเรียกสมถะมันก็จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานช้า เพราะคุณไม่ออกภาคปัญญา ในส่วนท้ายๆนี้ลอกมาจกคำสอนของหลวงตาบัวนะครับ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เชื่อจริงๆ แค่นี้นะครับ สาธุ สาธุ สาธุ...
     
  5. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ก็ดีครับ..แต่ยังน้อยไป นะครับ...
    ธรรมมะ หาก ไม่มีพระพุทธเจ้ามาไขความจริงโลกนี้ ยังมืดสนิทแน่นอน.พระปัจเกจก เองก็เถอะ แม้ท่านจะ สามารถ ละ อุปาทานได้ ละวางขันธ์ได้ แต่ พระปัจเจก ท่านไม่สามารถแสดธรรม แบบแตกฉานเฉกเช่นพระพุทธเจ้าได้...คุณ บอกว่าคุณ ให้ การปฏิบัติแบบของคุณ และมองโลก ให้เห็นเป็น อนิจจัง..โดยไม่ได้ ร่ำเรียน พระปริยัติ จากพระไตรปิฏก..ผม ว่า คุณอาจ เผลอลืมไป ก็ได้ การอ่านผ่านตา ในเรื่องธรรม หลายๆอย่างตามหนังสือทั่วๆไป..ที่มี คนหรือ พระ ต่างๆนำมาลงไว้ ที่แท้ ก็ ลอกมา หรื อจำเอามาจาก พระไตรปิฏก ทั้งนั้น หาก คุณ ไปอ่านผ่านตามา แล้ว ชอบ คำกล่าวนั้นๆ จน นำมาหัดปฏิบัติเอง แล้ว สรุปว่า ไม่ได้อ่านพระไตรปิฏก และอ้างว่า ปกิบัติเอาเอง...

    ดู ออกจะ เชื่อมั่น ตนเองมากไปครับ...เป็นไปไม่ได้ครับ...
    อย่างน้อยๆ คุณ ต้องเคยสะดุดใจ ในคำสอน ที่อ่าผ่านตา มา จากที่ไหนๆ ที่ไม่ใช่ พระไตรปิฏก แต่ขอให้รู้ไว้ว่า สิ่งที่คุณอ่านผ่านตา นั้น มีที่มา จากคำสอนของพระพุทธองค์ ครับ

    อีกอย่างนะครับ....การปกิบัติ พุทธธรรมนั้น หาก ไม่ศึกษาปริยัติ ตาม คัมภีร์ ควบไปด้วย แต่ฟังจากครูบาอาจารย์ ชั้นหลังอย่างเดียว ..ผม กล้าพูด เลยว่า หลง ทางแน่ๆ...หากเราเข้าใจคำสอนของครูบาอาจารย์ แล้ว ควรลิงปฏิบัติ และ หา คำสอนในพระไตรปิฏก เทียบด้วยว่า ตรงกันมั้ย...กับสภาวะธรรม ที่ปรากฏ ..อันเกิด จาก การปฏิบัติของเรา...

    หาก ตรงกัน ก็ ถือว่าใช้ได้ ครับ.....
     
  6. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    เจ้า ลัทธิ ต่างๆ ที่ไม่ใช่ศาสนา พุทธ เขา ก็ เชื่อมั่นในแบบ ของเขา และ เพระเขาเกิด ความเชื่อ ตา ที่เขาคิด กับสิ่ง ที่เขา ประสบตรงหน้า...เขาพยายามหา คำอธิบาย สิ่งที่เขาพบตรงหน้า และ วางกฏ สำหรับการดำรงชีพ ของเขา ตามคสวามคิด ของเขา จด บันทึกไว้ เป็น คำสอน ในแบบ ที่เขาคิดๆ กัน..ดังเช่น ศาสนา อื่นๆ.ที่มีในโลก...ทุกๆศาสนา..คุณ รูมั้ยว่า

    ทุกๆศาสนา ยกเว้น ศาสนาพุทธ ไม่มี ศาสนาใด เลย ที่ สอนเรื่อง อนัตตา
    ทุกๆศาสนาในโลก สอนแต่เรื่องอัตตา..สอน ที่สุด ของ จิตวิญญาณ คือ สรวงสวรรค์ ที่สุดของ ความ สุข ของ มนุษย์ คือ สวรรค์ เท่านั้น ..มีศานาไหน มั้ย ที่สอนว่า ที่สุด ของมนุษย์ นั้น อยู่เหนือ สวรรค์ ไปอีก...

    ไม่มีเลย คุณ ลองค้นดูได้ ..มีศาสนา พุทธ ศาสนาเดียว ที่สอน ว่า ที่สุด แห่งความเป้ฯ ตัวตน นั้นไม่มี และ พึงละสิ่ง ยอดปรารถนาทั้งปวงไป เสียได้..จึงจะพบ สิ่ง ที่เป้น ยอด อมตะสุข...

    ซึ่ง มี การ บัญญัติ ชื่อ นิพพาน......
     
  7. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    กระทู้ สิ่ง ที่เป็นของโลก...จึง ไม่ใช่ เราแน่ๆ..เพระ ที่สุด แล้ว แม้โลก ก็ไม่มี

    หาก จะว่า ตาม หลักวิทยาศาสตร์ แล้ว...นัก วิทยาศาสตร์ เอง ยังค้นพบว่า..โลกที่หมุนๆ นี้ เกิด จาก บิ๊กแบงค์ เมื่อ หลายล้านปีก่อน..มนุษย์มาเกิด ทีหลัง
    เพราะ ความเหมาะสมของ สภาวะ แวดล้อม อากาศ และ ส่วนปะกอบ อื่นๆ ล้วนเหมาะสม มี น้ำ มีดิน มีพืช มีลม และ ธาตุต่างๆ ครบ..จึงเกิด มีสิ่งมีชีวิตขึ้น..คน และ สัตว์ เกิด มาจากไหน ไม่มี คำอธิบาย แน่ชัด...วิทยาศานตร์ ยังให้คำตอบไม่ได้ แต่...พระพุทธองค์ ท่าน ให้คำตอบมานานแล้ววว่า...

    มนุษย์ เกิดจาก ธาตุรู้ ที่มาจาก นอกโลก..ธาตุรู้ ที่ หลง ใน อวิชชา ธาตุรู้ ที่ปรุงแต่ง เพระ อวิชชา เข้ามา ส่ ดวงดาว ที่ มีความเหมาะสม จาก สภาวะ ที่พร้อม ดวง นี้ เรียกว่าโลก...มีการ พัฒนา การ เติบโต ไปตา เหตุปัจจัย มาเรื่อยๆ เกิดแล้ว ตายแล้วเกิด โยเริ่มแรก มาจาก พรหม ที่มาหลง ในดวงดาว มีการเสพง้วนดิน..ก่อน และ เกิด ขันธ์ ขึ้นตามกาลเวลา ต่อมา..ด้วย ธาตุรู่ สร้าง ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ประกอบกันเป็นกาย ขึ้น..เป็นพัฒนาการ ของ โลก มาตามลำดับ..

    ต่อมามีการสร้างกรรม ต่อเนื่องจนสืบภพ สืบชาติมาไม่สิ้นสุด
     
  8. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    มนุษย์ คือ ขันธ์ 5....

    แม้ ที่สุดแล้ว คำสอนของพระพุทธองค์ ท่านกล่าวว่า..ขันธ์ 5 นี้เป็นของโลก..ไม่มีเรา ในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา..การวางขันธ์ 5 ได้ จึงนับเป็น การ สิ้นสุดภพชาติ..การจะวาง ขันธ์ 5 ให้ได้

    ไม่ใช่ การ คิดๆเอา ไม่ใช่การ นั่ง สมาธิ จน จิตสงบ แล้ว..มา พิจารณา เรื่องขันธ์ 5 ..แล้วสรุปเอาว่า มันไม่ใช่เรา.. แบบนี้ ไม่มีทางพ้นได้แน่ๆ....
    การ พิจารณา ด้วยความคิด ไม่มี ทาง ที่ธาตุรู้ จะยอมรับความจริงได้...
    ธาตุรู้ นั้น มีคุณ สมบัติ2 อย่างคืด แส่ส่าย และ รับรู้ อารมณ์ ที่ปรากฏ ตรงปัจจุบันเสมอๆ..ดังนั้ร หาก ธาตุรู ไม่ปล่อยวางเอง การคิดๆเอา มันไม่ใช่การรู้ แบบรู้ปรากฏ ตรงหน้า มันการรู้ แบบ ปรุงแต่ง โดย อาศัย สังขารเจตสิก เป็นตัวการดำเนินไป มันยังไม่พ้น สัจธรรม จริง...ต้องหให้ ธาตุรู้ เจอ กับตัวมันเอง บ่อยๆ...ด้วยการ เห็น หรือ ให้ มันยแส่ไป รับรู้ ว่า เหตุ ที่เกดตรงหน้า เกิด และ ดับลงไป เสมอๆ

    ธาตุรู้ หาก เห็น บ่อยๆว่า สรรพสิ่งเกิดๆ ดับๆ อันเกิด จาก ความเพียร ของ การเจริญสติ มันจึง จะ เชื่อ และ ปรับตัวมันเองว่า ที่มันแส่ส่ายไปเรื่อยๆ ก็ เห็น แต่เกิดๆ และ ดับ เรื่อยๆ เห้นเอง รู้เอง เพราะ มันโดน การเจริญสติ ตัดขาดไป..เอง..สุดท้ายมันจะ ปล่อยวาง การแส่ส่าย ได้ และ เกิด ความตั้งมั่นได้..เมื่อไร ที่มั่นตั้งมั่น เพราะ ไม่ ยึด และไม่ส่าย มัน จะรู้ เองว่า นี่คือ ความสุข เพระ มันหยุด แส่ และมัน ตั้งมั่น ได้ เลย สุขสบายกว่า การแส่ไป รับอารมณ์ เป็น ไหนๆ

    สรรพสิ่ง ล้วนเป้นของโลก ทั้งสิ้น ไม่มีอะไร ที่เป็นของใครหรือใครๆเลย
    ทุกสิ่ง ล้วนเกิดจาก การยึดติด ทั้งสิ้น....ของจิต ที่ยังแส่ส่าย..เอวัง
     
  9. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณควรจะบอกตัวคุณเองนะครับในส่วนนี้ เพราะคุณไม่อยู่กับร่อง กับรอย

    สาธุครับ
     
  10. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    พระอาจารย์บางท่าน ไม่ได้นำสิ่งที่ท่านสอนมาจากพระไตรปิฎก ก็มีครับ

    และ ยังบอกกล่าวไว้ว่า ธรรมนั้นหากไม่ได้เข้าใจด้วยตนเองแล้ว

    ย่อมไม่มีธรรมในตนเอง ผู้ที่นำเอาความรู้จากการอ่าน การศึกษาแต่เพียงถ่ายเดียว

    ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจครับ ผมเห็นหลายอย่างตรงกับพระอาจารย์ท่านหลายรูป

    การยึดถือที่เป็นอยู่นี้ บางคนยังมองไม่เห็นเลยครับ ยึดถือเพราะความไม่มั่นใจในตนเอง

    จึงจะต้องหาบางสิ่ง บางอย่างให้พึ่งพิง สิ่งใดที่เป็นของโลกไม่มีใครนำไปได้ครับ

    คำสอนของพุทธองค์นั้น ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกจริงๆนั้น หาได้ไม่มากแล้วครับ

    หากนึกคิดว่ารู้ว่าคำกล่าวใดเป็นของพระพุทธองค์ ก็คงไม่ต้องอ่านพระไตรปิฎกแล้วครับ

    เพราะบ่งบอกว่ารู้หมดแล้วในพระไตรปิฎก ผมบอกกล่าวแค่นี้คงเข้าใจนะครับ

    สาธุครับ
     
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณคงไม่ได้อ่านที่ผมอธิบายใช่ไหมครับ เรื่องการแยก กาย ใจ จิต เพื่ออะไร

    ผมไม่ค่อยได้กล่าวเรื่อง สวรรค์ นรก หรือ ชั้นพรหม สิ่งที่ผมปราถนา คือ การไม่กลับมาเกิด

    ผู้ที่รู้ต้นเหตุแห่งการเกิด ย่อมดับการเกิดนั้นเสียได้ ผู้ที่ไม่หวังที่จะกลับมาเกิด

    จะเอาบุญไปทำอะไรครับ ชาติหน้าไม่มาเกิดอีก จะใช้ผลแห่งบุญนั้นอย่างไร

    ผมได้บอกกล่าวมากเกินไปแล้วครับ ผมขอจบการอธิบายไว้แค่นี้ครับ

    สาธุครับ
     
  12. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ธรรมะ เพียงบทความเดียว หากตั้งใจปฎิบัติอย่างจริงจัง แม้ไม่รู้ข้อธรรมอื่น ก็มรรคผลนิพพานได้

    ผู้ที่รู้ธรรมจนเจนจบพระไตรปิฎก แต่ไม่สามารถปฎิบัติได้ ก็ไม่อาจที่จะสำเร็จมรรคผลนิพพานได้

    ดิ้นรนมากเพียงใด แสวงหามากเพียงไหน รู้ทุกตัวอักษรในพระไตรปิฎก ก็ยังไม่อาจสำเร็จมรรคผลนิพพานได้

    สาเหตุของถ้อยคำ หรือ บทความนี้ มากจากอะไรครับ ลองตอบดูหน่อยสิครับ

    สาธุครับ
     
  13. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ธรรม สภาวะธรรมทั้งหลาย ล้วนเป็นของจริง อุปาทานทั้งหลายนั้นต่างหาก ที่ไม่มีสิ่งใดจริง
     
  14. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    สั้นแต่ได้ใจความครับ
     
  15. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อุปาทานทั้งหลายก็ของจริง
    สิ่งใดไม่จริงพระพุทธเจ้าจะไม่เอามากล่าวไว้เลย
     
  16. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    อันนี้ก็สั่น แต่ได้ใจความเช่นกัน
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    คำสอนของพระพุทธเจ้ามี ตั้ง แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันต์ ๘๐,๐๐๐ ไม่มีใครถูกและผิด ทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ ย่อมมีผิดแน่นอนครับ มีถูกก็มีผิดอยู่ในนั้น มีผิดก็มีถูกอยู่ในนั้นครับ ถ้าคุณได้ความรู้ จากใครก็ได้ นะตัวโมตัว ก็ถือว่า เรียนมาแล้ว คนที่เป็นครูคนแรกคือพ่อกับแม่คุณ ไปเรียนหนังสือ คุณก็มีครู คุณอาจจะ ยังไม่เข้าใจหมด

    หรือบอกไม่หมด ใครไม่ผิดพาดเลยไม่มีหรอกครับ ที่คุณทำอยู่ มันก็คำสอนของพระพุทธเจ้า คุณบอก แยกกายกับจิต ออกจากกัน ถ้าคุณได้จริง นั่น มันต้องคนที่เข้าถึง ฌาณ ๔ แล้ว ทำได้ด้วย คนอื่นเขาทำไม่ถึงเขาไม่เข้าใจ อันนั้นต้องยกยอดไป ไม่ใช่ผมทำได้นะ แต่พอจะอนุมาณว่า ได้จริง คนได้แค่ อุปจาระสมาธิ จะไปรู้ คนที่ได้ ฌาณ ๑-๒-๓-๔-ได้อย่างไร ถึงเอาตำรามากลาง อธิบายอย่างไร ก็เข้าใจยาก ต้องอธิบายหลายครั้ง จึงจะเข้าใจ

    คนมีฤทธิ ถ้าฌาณ โลกีย จะรู้อารมย์ พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอารมย์พระอรหันต์ นี่ว่าตามตำราครับ แต่ว่า เคยได้กราบ พระสุปฏิบันโน พระโพธิสัตว์ ทั้งผู้หญิงผู้ชาย แม้แต่ สัตว์ก็ยังได้สัมผัส มาแล้วไม่ต่ำกว่า ๕๐ พระองค์ ของในชาตินี้ คนที่ได้แล้ว จะรู้คนที่ต่ำกว่าครับ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    :cool:({) ที่คุณพูดมานี้ ยากที่คนจะเข้าใจ แต่ผมได้อ่าน ทุกถ้อยกระทง ความของคุณแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้ง แต่จำได้ไม่หมด ถ้าเป็นดั่งว่า ขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ให้ไปถึงแดน สวรรค์ ๖ ชั้น พรหม ๑๖ ชั้น ฟ้า จนถึงนิพพานครับ :cool: ทุกอย่างมันคุมหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องอธิบายอีกครับ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    กล่าวด้วยเหตุ-ผล ย่อมพูดคุยกันได้เสมอครับ ที่ผมบอกว่าไม่ได้เรียนตำรามานั้น

    หมายถึงผมไม่ได้เรียนพระไตรปิฎกมาครับ ผมจึงไม่สามารถบอกกล่าวตามคำสั่งสอนที่มีในพระไตรปิฎก

    คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีไม่มากหลอกครับ แต่กาลเวลาที่ผ่านมานั้น

    ได้สร้างคำสั่งสอนให้เพิ่มขึ้นมาอีกมากมายครับ แรกเริ่มเดิมทีนั้นเน้นหนักที่การปฎิบัติครับ

    ให้รู้ด้วยตนเอง โดยไม่สนใจการนึกคิดที่ตนมี แต่ในยุคนี้กลับสนใจการนึกคิดของตนเป็นหลัก

    ของๆโลกก็เป้นของๆโลก ไม่มีใครไปสร้างได้ ไม่มีใครไปทำลายได้ ถึงแม้จะสร้างได้ก็อยู่ในโลก

    ถึงแม้ทำลายได้ก็อยู่ในโลก ไม่ได้หายไปจากโลกใบนี้ ที่มีก็มีแต่การนึกคิดเท่านั้นครับ

    ที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ คำพูดของผมหากมีการนึกคิดเข้าร่วมด้วย ก็จะไม่เข้าใจ

    เพียงแค่อ่านแล้วรับรู้ไว้แค่นั้นไม่นึกคิดต่อ ก็จะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

    สาธุครับ
     
  20. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    พากันปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น ในการปฎิบัตินั้นไม่มีอะไรที่วิเศษ ที่เลอเลิส

    มีแต่ความเป็นธรรมดา และ รู้จักย่อมรับความเป็นจริง เข้าใจตามสภาวะของการมีชีวิต

    หากยิ่งปรุงแต่ง ก็จะเป็นไปตามกระแสแห่งกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดหมุน

    สาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...