สิ่งที่เรียกว่า "ผีอำ"

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย bandamee, 22 มกราคม 2016.

  1. bandamee

    bandamee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +112
    เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยเกิดอาการที่เรียกว่า "ผีอำ" กันมาบ้างไม่มากก็น้อย
    ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้ หรืออธิบายไม่ได้ก็ตาม
    เราขอนำประสบการณ์ที่เรียกว่าโดนผีอำ เท่าที่พอจำได้มาเล่าสู่กันฟังนะคะ

    ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนยังเป็นวัยรุ่น
    จำได้ว่าตอนนั้นกลับจากไปเที่ยวต่างจังหวัดกับที่บ้าน
    ถึงบ้านก็ดึกแล้ว ด้วยความที่เหนื่อยและง่วงนอนมาก
    ก็ขึ้นมาชั้นสองและเข้าห้องนอนทันทีโดยไม่ได้ปิดประตู
    จากนั้นก็หลับไปนานเท่าไหร่จำไม่ได้
    ความรู้สึกคือเห็นเงาร่างคนสีดำๆ ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้อง
    และเดินเข้ามาหาที่เตียง ในใจก็นึกว่าคงเป็นแม่เข้าห้องมานอนเหมือนกัน
    แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองขยับไม่ได้ จะตะโกนเรียกแม่ก็ไม่มีเสียงออกมา
    พยายามลืมตาก็ลืมไม่ได้ แขนขาก็ขยับไม่ได้
    ได้แต่ตกใจอยู่อย่างนั้น เผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
    ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว ลงไปถามแม่ข้างล่างว่าเมื่อคืนแม่ขึ้นมาบนห้องรึเปล่า
    แม่ก็บอกว่าเปล่า เมื่อคืนเค้านอนข้างล่างกับญาติๆ
    แล้วเงาสีดำนั่นคือใครกันหนอ?

    ครั้งที่สองเป็นวัยทำงานแล้ว ตอนนั้นหนีน้ำท่วมไปอาศัยบ้านญาติที่ต่างจังหวัด
    คืนแรกจำได้ว่ากว่าเราจะหลับก็ดึกแล้ว
    พอนอนไปได้ซักพักก็รู้สึกว่าตัวเองขยับตัวไม่ได้
    แต่หูได้ยินเสียงเพลงมาจากที่ไกลๆ เหมือนเพลงจากงานวัด
    แยกไม่ออกว่าเป็นเพลงไทยหรือเป็นเพลงแขก
    เสียงเพลงมหรสพบรรเลงแว่วมาเราได้ยินชัดเจน นอนได้ยินเสียงไปขยับตัวไม่ได้ไป
    เหมือนเดิมอาการเดิมๆ พยายามลืมตาก็ลืมไม่ได้ แขนขาก็ขยับไม่ได้
    เราก็พยายามทำทุกวีธี สวดมนต์ก็แล้ว สงบใจก็แล้ว
    จนซักพักก็หลุดและรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าทุกอย่างเงียบสนิท
    ไม่มีเสียงเพลงใดๆทั้งสิ้น เราก็คิดในใจ อีกแล้วสินะ
    จากนั้นก็พยายามนอนหลับไปจนเช้า พอเช้ามาก็เล่าให้แม่กับญาติฟัง
    ญาติก็บอกว่าแถวนี้ไม่มีวัดนะ และช่วงนี้ก็ไม่มีงานวัดด้วย
    แล้วเสียงเพลงที่เราได้ยินคืออะไร?

    ครั้งที่สาม เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 59 นี้เอง
    เป็นวันที่เราย้ายบ้านมานอนที่บ้านใหม่คืนแรก
    ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้านเช่า ไม่รู้ว่าไม่มีคนอยู่มานานหรือยัง
    หลังจากย้ายของจัดของอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาเข้านอนพักผ่อน
    กลางดึกคืนนั้นเรานอนตะแคงซ้ายหันหน้าเข้ากำแพง สามีก็นอนกรนอยู่ข้างๆ
    เรารู้สึกว่าเราหลับตาอยู่ แต่ตาเรามองเห็นทะลุกำแพงที่อยู่ตรงหน้าเรา
    เห็นกระทั่งลายกำแพงทั้งๆที่ตาหลับอยู่นี่แหละ ตัวขยับไม่ได้แต่หูได้ยินทุกอย่าง
    จากนั้นก็ได้ยินเสียงอะไรซักอย่างกำลังวิ่งมาแต่ไกล
    เสียงดังคึ่กๆๆ เหมือนรถม้าหรือเสียงสัตว์วิ่งเคลื่นจากข้างๆเราไปที่ปลายเตียงของเรา
    พอเสียงนั้นมาหยุดที่ปลายเตียง จากนั้นอะไรซักอย่างก็ขึ้นมาบนเตียง
    จากนั้นเตียงก็สั่นแรงมากเหมือนมีคนมาเขย่า หรือมีอะไรกำลังสู้กันอยู่
    ในใจเราก็นึกกลัวไม่กล้าหันไปดูที่ปลายเท้า พยายามขยับตัวให้ได้
    โชคดีที่สามีขยับตัวพอดี เราเลยรู้สึกตัวขยับตัวได้ รีบมองไปที่ปลายเตียง
    ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่มีอะไรทั้งนั้น ในใจก็คิด เอาอีกแล้วคืนแรกก็เล่นตูซะละ
    เช้ามาก็มานั่งคิดว่าเมื่อคืนมันคืออะไร ปรากฏว่านึกขึ้นได้ว่า
    เรามีวัวธนูซึ่งเอาใส่ไว้ในกระเป๋าพระ หนุนไว้ใต้หมอน
    เป็นไปได้มั้ยว่าเมื่อคืนนี้อาจจะมีแขกยามวิกาลมาเยี่ยม วัวธนูเลยออกมาป้องกัน
    หรือวัวธนูจะโกรธที่เราย้ายบ้านแต่ไม่ได้บอกกล่าว
    พอเรานึกได้อย่างนั้นก็ทำการบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางขอนำวัวธนูเข้าบ้าน
    และบอกวัวธนูว่าตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่ใหม่แล้วให้ตามมาดูแลรักษาด้วย

    ครั้งที่สี่ เกิดเมื่อคืนนี้ 21 มกราคม 59
    แต่ครั้งนี้เป็นฝันซ้อนฝัน หลังจากตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกประมาณตีหนึ่งครึ่ง
    พอกลับมาเราก็นอนภาวนาจนหลับไป จากนั้นก็ฝันว่าเรานอนหลับอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง
    คล้ายโรงนา นอนอยู่บนเตียงมีมุ้งกางอยู่บนเพดาน เราหลับแต่ตาเห็นทะลุไปถึงมุ้ง
    และเห็นไปถึงหลังคาไม้ ในฝันเรากำลังสู้กับอะไรบางอย่างที่พาเรามานอนที่นี่
    เราพยายามลืมตาให้ได้แต่ตาหนักเหลือเกิน
    เรานึกถึงพระคุณบิดามารดาแล้วก็ลืมตาแต่ก็ลืมได้ประเดี๋ยวเดียวตาก็ปิดอีก
    นึกถึงพระพุทธพระธรรมพระสงค์ก็เหมือนเดิมลืมได้ประเดี๋ยวเดียวตาก็ปิดอีก
    ครั้งที่สามจำไม่ได้ว่านึกถึงอะไรแต่หลุดทำให้เราตื่นขึ้นและรู้สึกตัว
    พอตื่นก็รีบดูรอบๆตัวก็ปกติดีไม่มีอะไร จากนั้นก็พยายามนอนให้หลับจนถึงเช้า

    เท่าที่เราสังเกตุเวลาที่เราจะเกิดอาการ "โดนผีอำ"
    จะเป็นช่วงที่ร่างกายเหนื่อยหรือเพลียมากๆก่อนเข้านอน
    หรือเป็นเฉพาะคืนแรกที่เราไปนอนต่างถิ่นแปลกที่
    ถ้าไปที่ไหนแล้วนอนไม่หลับ หรือตื่นขึ้นมากลางดึกคนเดียวนี่
    รู้ละว่าที่นี่ต้องมีอะไรแปลกๆแน่นอน

    เราเคยทำความตกลงกับผีว่า ถ้าจะมาขอส่วนบุญให้มาเข้าฝันได้เท่านั้น
    ไม่ต้องมาให้เห็นเป็นตัว หรือมาทำให้ตกใจกลัว
    ถ้าใครมาไม่ดีแบบนั้นนอกจากเราจะไม่แผ่ส่วนกุศลให้แล้วยังจะแช่งอีกด้วย
    ซึ่งก็ถือว่าได้ผลดีค่ะ มีเสียง มีฝัน มีได้กลิ่น มีขนลุกซู่ๆบ้าง
    แต่ไม่เคยมาให้เห็นหรือทำให้ตกใจกลัว

    สำหรับเรา เราเชื่อนะว่าผีมีจริง และอาการผีอำ
    ก็อาจจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผีอยากติดต่อสื่อสารด้วย
    ถ้าหากท่านใดมีประสบการณ์ก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เล่าให้ฟังพอขำๆนะครับ
    เงาดำๆนั่นอยู่มานานมากแล้วไม่ได้มาร้าย
    มีความเมตตาบ้าง มาช่วยป้องกันภัยให้
    เราเห็นได้เพราะว่าจิตเรามีความเปนทิพย์ชั่วคราว
    แบบไม่ได้ตั้งใจ อาการคล้ายสะลึมสะลือ บวกกับ
    การเพลียของร่างกายร่วมด้วยนั่นหละ
    เค้ารู้ว่าเราเห็นเลยเดินมาดูเฉยๆไม่มีอะไร
    กิริยาไปชัดเจนทางด้านสายตาครับ


    กิริยาที่สองก็จิตเป็นทิพย์ก่อนเช่นกัน
    แต่เริ่มมาจากจิตที่ค่อยๆสงบก่อน
    และร่างกายก็ไม่ได้อ่อนเพลียอะไร
    ในความค่อยๆสงบแบบเป็นไปเองนั้นทำให้เริ่มได้ยินเสียง
    ทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ที่ระบุต่ำแหน่งของที่มาของต้นเสียงไม่ได้
    ซึ่งเป็นเรื่องปกติส่วนนี้จะเกี่ยวกับเรื่องหู
    พอร่างกายพอมีกำลัง เราระลึกรู้ตัวได้
    โพ่งขึ้นมารู้สึกว่า มันเงียบสนิทเพราะจิต
    ยกระดับมาฌาน ๑ แบบผ่านความเป็นทิพย์
    มาก่อนเราถึงได้รู้สึกอย่างนั้นตรงนี้เรื่องปกติเช่นกันครับ

    ครั้งที่ ๓ สืบเนื่องจากครั้งที่๑และครั้งที่๒ ที่จิตเคยผ่านความ
    เป็นทิพย์มาเลยทำให้เห็นได้ทั้งตาและได้ยินได้ทั้งเสียง
    และที่ไปอยู่ใหม่นั้น
    ที่มาอยู่ปลายเตียงดีครับ เพียงแต่ว่ายังต้องการบุญ
    ส่วนที่ทำหน้าที่ป้องกันก็ต้องป้องกันไปเพราะเราไประลึกว่า
    ให้เค้ามาป้องกันครับ

    เมื่อผ่านสามครั้งมาแล้ว เราจะเริ่มเข้าสู่ระบบภาคทิพย์
    หรือมิติที่ ๔ หรือบางคนเรียกว่า ความฝันแบบกึ่งๆรู้บ้าง
    ไม่รู้ตัวบ้าง ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็แล้วเหตุและปัจจัย
    ของเรา เช่น ถ้าปกติเราชอบทางธรรม มิติที่ ๔ เราก็จะไป
    สอนธรรมะคนอื่นๆเค้า ถ้าเราชอบฤิทธิ์เราก็จะไปฝึกอะไร
    เกี่ยวกับความสามารถพิเศษให้คนอื่นๆเป็นต้น คนอื่นๆ
    ในที่นี้รวมทั้งที่เป็นคน และกลุ่มที่อาศัยอยุ่บริเวณเขตทับซ้อนกับเราด้วย

    ถามว่าที่เจ้าของกระทู้เล่าให้ฟังมา แปลกไหม ก็ตอบว่าไม่แปลก
    เพราะถือว่าเป็นไปตามลำดับขั้นตอนของการสัมผัส
    และถือว่าดีเสียด้วยซ้ำที่ ย้อนเล่าได้เป็นลำดับอย่างนี้
    ปกติบุคคลที่ จะเริ่มเข้าใจในระบบภาคทิพย์ หรือ การทำงานของกาย
    ละเอียดของตัวเอง ก็มักจะผ่านสัมผัสอย่างเจ้าของกระทู้มาแทบทุกราย
    แตกต่างกันที่ความชัดเจนในการเข้าถึง ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถ
    ทางด้านอภิญญาจิตภายในที่แตกต่างกันและไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ เรื่องการให้บารมี หรือ การอุทิศส่วน
    กุศลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด มากกว่าการไปสอน เพราะหาบุคคลที่ระบบ
    ภาคทิพย์จะไปสอนธรรมใครได้ยาก ส่วนมากจะมีแต่พระที่มีชื่อท่านต่างๆ
    และในระบบภาคทิพย์ ต้องไม่มีการแยกแยะ แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย เลือกข้างใดๆทั้งสิ้น
    เพราะว่าถ้าเราทำได้ เราจะได้ความเมตตา ที่ออกมาจากภายในตัวเราจริงๆ
    ถ้าภาคทิพย์เราระลึกเมตตาได้ ระลึกอุทิศส่วนกุศลได้

    ในกายปกติแบบลืมตาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรครับ
    เราก็จะได้รับความเคารพและความเกรงใจจากทุกภาคส่วน
    เพราะเค้าจะมองว่าเราเป็นมิตร เวลาเราคิดจะปฏิบัติธรรม
    หรือทำอะไรที่เหนือวิสัย ตลอดจนความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ
    และเราร้องขออะไร มันก็ง่ายหรือทำสิ่ง
    ที่ไม่คิดว่าจะได้ง่ายๆ ได้ง่ายขึ้นครับ..
    และมันก็เป็นเหตุทำให้จิตใจเราดีขึ้นเรื่อยๆ จากความเห็นอก
    เห็นใจบุคคลๆอื่นๆนั่นเองครับ...

    ปล.ประมาณที่เล่าให้ฟังครับ..(^_^)
     
  3. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    มันน่าแปลกอย่างหนึ่ง ที่ได้เห็นหลายๆคนเล่าว่าผีกลัวคำสาปแช่ง
    โดยเฉพาะ คำสาปแช่งให้ตกนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ผีจะกลัวมาก
    สงสัยว่า ผีคงจะติดนิสัยกลัวคำสาปแช่งมาจากครั้งเมื่อยังเป็นคนมีชีวิต
     

แชร์หน้านี้

Loading...