หรีดเป็นเหตุ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 29 มกราคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    วิญญาณมีจริง
    เรื่องที่ ๑๓ หรีดเป็นเหตุ
    โดย อังกาบ
    จากหนังสือ “ตายแล้วไปไหน” เล่มที่ ๒๗​
    *********************
    สาววัยประมาณ ๒๔ ปี เธอถึงแก่กรรมด้วยโรคไต เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ บิดา มารดา ญาติพี่น้อง ได้นำศพไปตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดข้างบ้าน ๕ คืน จากนั้นก็นำไปบรรจุไว้ในสุสานให้ครบ ๑๐๐ วัน ใกล้สุสานที่บรรจุศพของเธอนั้น มีกุฏิไม้หลังเล็ก พร้อมทางเดินจงกรมที่ลาดด้วยปูนซีเมนต์ กว้างประมาณ ๒ เมตร ยาวประมาณ ๒๕ ก้าว
    พระชาคริส ลาราชการมาอุปสมบท และปฏิบัติธรรมอยู่ที่กุฏิหลังนี้ ทางเดินจงกรมเชื่อมติดกับกุฏิ มุงหลังคาสังกะสีตลอดแนว มีรั้วไม้ระแนงกั้นตลอด ๒ ข้าง ห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน
    ชนบทชานกรุงติดเขตอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราเช่นนี้ ในยามค่ำคืน มียุงชุมไม่แพ้กลางเมืองหลวง แถมตัวโต ๆ เสียอีก ทางเดินจงกรมจึงถูกบุด้วยมุ้งลวดตลอดแนว แม้จะปุปะบ้างก็พอกันยุงได้บ้าง ยังดีกว่าไม่มี
    สำเริง เป็นชาวชัยภูมิ ผิวดำ ล่ำสัน สักยันต์เต็มตัว เสียงดังฟังชัด อายุประมาณ ๓๕ ปี ริมฝีปากไว้หนวดงาม มาอาศัยวัดอยู่ก่อนที่จะมีการบรรจุศพหญิงสาวประมาณ ๓ – ๔ วัน เพราะกุฏิพระทุกหลังเต็มหมดแล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงให้มาพักกับพระชาคริส
    สำเริงจึงเลือกพักตรงสุดปลายทางจงกรมติดกับห้องน้ำ กลางวันก็ช่วยถากถางปราบวัชพืชในบริเวณวัดจนราบเรียบ ค่ำลงได้ยินเสียงสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน เสียงดังฟังชัด หลังจากบรรจุศพหญิงสาวผ่านไปได้ประมาณ ๗ วัน พระชาคริสก็บอกกับสำเริงว่า
    “นี่โยม......ช่วยหาวัสดุที่พอจะเขียนเป็นแผ่นป้ายได้ มีบ้างมั๊ย กลางวันคนที่มาวัด แล้วเดินเที่ยวชมมาถึงแถวนี้ พากันส่งเสียงดังเหลือเกิน เขาจะได้รู้ว่ามีพระสวดมนต์ภาวนาอยู่ จะได้ไม่เป็นบาปเป็นกรรมแก่เขา”
    สำเริงรับคำ ไม่นานเขาก็นำแผ่นโฟมหักเป็นชิ้นใหญ่ ๆ สี่เหลี่ยมมาถวายพระชาคริสหลายชิ้น ซึ่งท่านก็รับไว้ โดยมิได้สงสัยซักถามอะไร เมื่อรับมาแล้วก็เขียนด้วยสี เสร็จแล้วก็ให้โยมสำเริงนำไปติดตามต้นไม้ รอบ ๆ กุฏิของท่าน
    เวลากลางวันผ่านไป ความมืดแห่งรัตติกาลก็เข้ามาแทนที่ พระสงฆ์ องค์เณร ลูกศิษย์ ญาติโยม ต่างก็เสร็จภารกิจของตน เตรียมพักผ่อนหลับนอน เพราะว่าเวลาล่วงเลยมาถึง ๔ ทุ่มแล้ว
    วัดหรือบ้านในชนบท พอค่ำลงประมาณ ๑ ทุ่ม หรือ ๒ ทุ่ม ก็เงียบเชียบกันหมดแล้ว คืนนี้อากาศช่างร้อนอบอ้าว สำเริงนอนพลิกตัวไปมา ตาก็ยังไม่หลับ ใจก็ยังตื่นอยู่ มองไปทางกุฏิน้อย เห็นแต่แสงเทียนลอดช่องฝา ตรงรอยแตกออกมา ขณะนี้เวลา ๔ ทุ่มกว่าแล้ว พระชาคริสยังไม่ยอมจำวัด ท่านคงยังเจริญสมาธิภาวนาอยู่ภายในอย่างเงียบ ๆ สำเริงหวนคิดถึงอดีต อนาคต ปัจจุบันของตนเรื่อยเปื่อย แล้วเผลอหลับไปในที่สุด
    เวลา ๐๑.๐๐ น. ของวันใหม่ ล่วงเลยมาหลายนาที สำเริงต้องสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงของบรรดาสุนัขในวัดพากันหอนขึ้น อย่างเยือกเย็น โหยหวน
    “เอ นี่มันยังไม่ถึงเดือน ๑๒ แล้วมันพากันหอนอะไรวะ” สำเริงลืมตาครุ่นคิด “แต่ เอ๊ะ มันพากันมารุมหอนอยู่ใกล้ ๆ เรานี่”
    เขาคิดได้แล้วรีบลุกขึ้นนั่ง เพ่งสายตามองหาสิ่งที่สุนัขพากันรุมเห่าหอน แต่แล้ว คุณพระช่วย เขากวาดสายตาเพ่งมองไป ก็ต้องสะดุดกับสิ่งหนึ่ง เมื่อมองเห็นหญิงสาวร่างหนึ่ง ผอมบาง ขาวซีด ผมยาว ยืนอยู่ตรงประตูมุ้งลวดใกล้ ๆ กับปลายเท้าที่เขานอนอยู่นี่เอง
    ร่างนั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง สายตาจ้องมองเขม็งมายังสำเริง เหมือนโกรธแค้นจะกินเลือดเนื้อ
    “โอ๊ย..... ผีหลอก.....”
    สำเริงร้องสุดเสียง แต่เสียงมันเหมือนจุกอยู่ในลำคอ เขาระล่ำระลัก สวดคาถา ท่องผิด ๆ ถูก ๆ ปากคอสั่น แต่ร่างนั้นก็ยังไม่ไปไหน ยังคงยืนจ้องมองมายังเขา เหมือนโกรธแค้นเหลือเกิน
    “โอ๊ย....กลัวแล้ว.....กลัวแล้วจ้า...”
    เสียงเขาระล่ำระลักบอก พร้อมกับคว้าผ้าห่มเข้ามาคลุมหัว ซุกหัวลงบนหมอน แต่ปากก็ยังท่องคาถาผิด ๆ ถูก ๆ แข่งกับสุนัขที่รุมเห่าหอนอย่างโหยหวน
    เวลา ๐๓.๐๐ น. พระชาคริส จุดเทียนเดินออกมานอกกุฏิ ขณะนี้ ทุกอย่างสงบเงียบสู่ภาวะปกติแล้ว พอสำเริงได้ยินเสียงเปิดกลอนกุฏิ แล้วมีแสงไฟจากเทียนส่องมา เขารีบคลานเข้าไปยังพระชาคริสทันที พร้อมกับพูดว่า
    โอ.....หลวงพี่ ช่วยผมด้วย ผีหลอกผม” เขาระล่ำระลักขณะคลานสี่ขาเข้าไปหาท่าน
    “ไม่มีอะไรแล้วล่ะโยม กลับไปนอนพักผ่อนเสียเถอะ” สำเริงค่อยอุ่นใจขึ้น เมื่อรู้ว่าตนมีที่พึ่งแล้ว และพูดขึ้นว่า
    “หลวงพี่ อย่าปิดประตูกุฏินะครับ ขอให้ผมมองเห็นท่านด้วย”
    ท่านก็บอกว่า “ไปนอนเสียเถอะ นี่ก็ตีสามกว่าแล้ว มีอะไรรุ่งเช้าค่อยคุยกัน”
    สำเริงยังไม่หายหวาดกลัว แต่ก็ต้องถอยกลับไปนอนยังที่ของตัว สายตาคอยมองดูพระชาคริส จุดธูปเทียนสวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา อยู่ในกุฏิของท่าน จนใกล้รุ่ง ท่านจึงแผ่เมตตา กรวดน้ำอิมินา อุทิศกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทุกรูปนาม เมื่อสิ้นคำว่า “เทอญ” เสียงสาธุโดยพร้อมเพรียงกันก็แว่วเข้ามาในจิตของท่าน ทำให้จิตใจแช่มชื่นเบิกบานเหลือประมาณ
    หลังจากพระชาคริสฉันภัตตาหารเช้าแล้ว เดินกลับมายังกุฏิของท่าน เห็นสำเริงนั่งเหม่อลอย ท่าทางอิดโรย เพราะอดนอน และเอ่ยปากพูดกับท่าน
    “หลวงพี่ครับ ผมเกือบแย่เมื่อคืนนี้ ผมก็ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน ไม่เคยกลัวอะไรเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นผี ถ้าขืนเป็นอย่างเมื่อคืนนี้อีก ผมคงช็อกตายแน่ ๆ ครับ”
    ท่านจึงถามสำเริงไปว่า “โยมไปทำผิดอะไรมาล่ะ วิญญาณเขาจึงได้โกรธเคืองมากมายถึงเพียงนี้” “เอ... ผมว่าไม่เคยนะครับ” เขาปฏิเสธเพราะนึกไม่ออก
    “อ้าว แล้วโฟมที่นำมาให้อาตมาเขียนป้ายนี้ล่ะ โยมเอามาจากไหน” ท่านถามเพราะความสงสัย
    “อ๋อ ใช่แล้วครับ ผมดึงกระชากออกมาจากช่องเก็บศพผู้หญิง ที่เพิ่งนำไปเก็บเมื่อไม่กี่วันมานี้ แล้วดึงดอกไม้ในพวงหรีดขว้างทิ้งครับ” สำเริงตอบเมื่อนึกขึ้นได้ แล้วพระชาคริสก็พูดต่อขึ้นว่า
    “นั่นล่ะโยม วิญญาณเขาโกรธ ที่โยมไปดึงเอาพวงหรีดเขามาให้อาตมาทำป้าย โยมรีบไปจุดธูป จุดเทียน บอกขอขมาเขาเสียนะ เขาจะได้ไม่มารบกวนโยมอีก”
    สำเริงรีบรับปากทันที “ครับ หลวงพี่ ผมเข็ดไปจนวันตาย”


    http://www.lekpluto.com/
     

แชร์หน้านี้

Loading...