หลวงปู่หลอด มรณภาพ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ปาฏิหาริย์, 12 กรกฎาคม 2009.

  1. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    กลับมาจากทริปภูทอก เพิ่งทราบข่าวหลวงปู่หลอด มรณภาพแล้วบ่ายวันอาสาฬหบูชา
    เนื่องจากหมู่บ้านผมอยู่ติดกับวัดท่าน และได้มีโอกาศไปทำบุญที่วัดนี้เป็นประจำ ซึ่งสมัยก่อนท่านจะออกมาโปรดญาติโยมเสมอ
    และจะมีพระสายหลวงปู่มั่นมาเยี่ยมเยือนท่านบ่อยบ่อย

    วันนี้ท่านละสังขารแล้ว
    ผู้คนหลั่งไหลมามากมาย
    เสียงสวดมนต์ที่วัดดังกังวาน..วังเวง...ไกล
    ขอน้อมกราบหลวงปู่ไว้เหนือเกล้าครับ
    ...
    19.jpg
    พระครูปราโมทย์ธรรมธารา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต)

    พระครูปราโมทย์ธรรมธารา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต) เป็นพระเถราจารย์ผู้มีจริยวั<WBR>ตรงดงามทั้งกายและใจ ท่านมักจะสอนลูกศิษย์เสมอๆ ว่า "ในหมู่คนดี ย่อมมีคนไม่ดีปะปนอยู่ด้วยเป็<WBR>นของธรรมดา จึงไม่ควรใส่ใจ คนไหนดีเราก็สรรเสริญ คนไหนไม่ดี เราก็ออกห่าง ไม่ยกย่อง จงรักคนทุกคน ไว้ใจบางคน อย่าทำผิดต่อทุกคน และจงดูตนเสมอ"

    อีกคำสอนหนึ่ง คือ "เกิดเป็นคน จะสอนคน ต้องสอนตนก่อน เมื่อถูกสอน อย่าทำค้อน คำสอนเขา จะดีคน หรือคนดี จงติเรา จะโกรธเขา หรือเขาโกรธ ดูโทษตัว"

    ปัจจุบันหลวงปู่หลอด อายุ ๙๑ ปี พรรษา ๖๙ ตามประวัติของหลวงปู่ ชื่อเดิม "หลอด ขุริมน" เกิดเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๔๕๘ ณ บ้านขาม ต.หัวนา อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี (ปัจจุบันคือ ต.บ้านขาม อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู) บิดาชื่อ "บัวลา" มารดาชื่อ "แหล้" หรือ "แร่" หลวงปู่เป็นบุตรคนสุดท้อง จากพี่น้อง ๓ คน คือ นางเกิ่ง (ถึงแก่กรรม) นางประสงค์ (ถึงแก่กรรม)

    หลังจากจบการศึกษาชั้นประถมศึ<WBR>กษาปีที่ ๔ พออ่านออกเขียนได้ ขณะนั้นหลวงปู่มีอายุ ๑๖ ปี ผู้เป็นแม่ได้ถึงแก่กรรม หลังจากป่วยหนัก หลวงปู่จึงตั้งใจไว้ว่า จะบรรพชาเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้<WBR>มารดา เมื่ออายุ ๑๘ ปี มีโอกาสบรรพชาเป็นสามเณรสมดั<WBR>งใจตั้งมั่น ที่วัดศรีบุญเรือง ต.หัวนา อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี โดยมี พระอธิการคูณ เป็นพระอุปัชฌาย์

    ต่อมาไม่นาน โยมพ่อก็เสียชีวิตอย่างกะทันหั<WBR>นอีก หลวงปู่จึงลาสิกขาออกมาช่วยพี่<WBR>น้องทำไร่ทำสวน ในช่วงเวลานี้เองหลวงปู่ได้ไตร่<WBR>ตรองเปรียบเทียบชีวิตของทั้ง ๒ เพศ คือ เพศบรรพชิต และเพศฆราวาส ทำให้ท่านพบว่าการออกมาใช้ชีวิ<WBR>ตในเพศฆราวาสนั้น มีแต่กองทุกข์ มองชีวิตเป็นเรื่องน่าเบื่อ จำเจอย่างมาก และมองไม่เห็นความก้าวหน้า เมื่อเอาดีทางเพศฆราวาสไม่ได้ ก็ต้องเอาดีทางบรรพชิตให้ได้

    ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่<WBR>ร่มผ้ากาสาวพัสตร์ สังกัดมหานิกาย ณ พัทธสีมา วัดธาตุหันเทาว์ ต.บ้านขาม เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๙ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสาม ปีจอ โดยมีพระอาจารย์ชาลี วัดโพธิ์ชัยสะอาด บ้านจิก อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ขาน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และได้พำนักที่วัดธาตุหันเทาว์ พร้อมศึกษาพระธรรมด้านวิปั<WBR>สสนากรรมฐานอย่างเคร่งครัด

    ต่อมาหลวงปู่ได้ญัตติเป็<WBR>นพระธรรมยุต ในสายพระป่ากรรมฐานศิษย์<WBR>พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และได้มาสร้างวัดขึ้นใหม่ คือ วัดสิริกมลาวาส หรือวัดใหม่เสนานิคม ใกล้สี่แยกวังหิน เขตลาดพร้าว กทม.



    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    ธรรมะลิขิตของหลวงปู่หลอด ปโมทิโต

    ๑. ชีวิตนี้น้อยนัก แม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อกรรมที่<WBR>กระทำแล้วไม่ว่า กรรมดีหรือ กรรมชั่ว ย่อมให้ผลแก่จิตผู้กระทำทันที กรรมดีก็จะให้ผลดี กรรมชั่วก็จะให้ผลชั่ว ปัญญายะ ติตตีนัง เสฏฐัง อิ่มด้วยปัญญา ประเสริฐกว่าความอิ่มทั้งหลาย ปัญญายะติตาตัง ปุริสังตัณหานะกุรุเตวะสัง คนอิ่มด้วยปัญญา ตัณหา เอาไว้ในอำนาจไม่ได้

    ๒. เราจะกำหนดลมหายใจให้มีสติ คือ ความระมัดระวังรู้อยู่ว่าเดี๋<WBR>ยวนี้เราทำอะไรอยู่ สัมปชัญญะ คือ รู้ตัวว่าเรากำลังทำอันนั้นอยู่ ผู้รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่ ให้กำหนดลมหายใจเข้าด้วยการมี<WBR>สติ ความระมัดระวังได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว

    การที่ว่าระลึกได้ คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต ไม่ใช่การที่เราไปศึกษาที่ไหนมา ให้รู้จักแต่ความรู้สึกที่เกิ<WBR>ดขึ้นมา อันนี้แหละเป็นความรู้สึก สตินี้ควบคู่กันกับความรู้สึก มีสติอยู่ คือ ความระลึกได้ว่าเราพูดอยู่หรื<WBR>อเราทำอยู่ หรือเราไปเดินอยู่ หรือเรานั่งอยู่ จะไปมาก็รู้ นั่นเรียกว่า สติระลึกได้ สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว บัดนี้เรากำลังเดินอยู่ เรานั่งอยู่ เรานอนอยู่ เรารับอามรณ์อะไรอยู่เดี๋ยวนี้ สองอย่างนี้ ทั้งสติ ความระลึกได้ และสัมปชัญญะ ความรู้ตัวในการที่เราระลึกได้<WBR>อยู่เสมอนั้น เราก็สามารถรู้ใจของเราว่<WBR>าในเวลานี้มันคิด อย่างไรเมื่อถูกอารมณ์ชนิดนั้<WBR>นมามันอย่างไร อันนี้เราจะรู้จัก

    ๓. ผู้ที่รับรู้อารมณ์ คือ สภาวะที่มันเข้ามา เช่น มีเสียง อย่างเสียงเขาไสกบอยู่นี้ มันเข้าทางหูแล้วจิตก็รับรู้ว่<WBR>าเสียงกบนั่น ผู้ที่รับรู้อารมณ์รับรู้เสี<WBR>ยงกบนั้นเรียกว่า จิต ที่นี้จิตที่รับรู้นี้เป็นจิ<WBR>ตหยาบๆ เป็นจิตปกติของจิต บางทีเรานั่งฟังเสียงกบอยู่ รำคาญในความรู้สึกของผู้ที่รั<WBR>บรู้ เราจะต้องอบรมผู้ที่รับรู้นั้<WBR>นให้มันรู้ตามความเป็นจริงอีกที<WBR>หนึ่ง ที่เรียกว่า พุทโธ

    ถ้าหากว่าเราไม่รู้แจ้<WBR>งตามความเป็นจริง เราอาจจะรำคาญในเสียงคน หรือเสียงรถ หรือ เสียง มีแต่คิดเฉยๆ รับรู้ว่ารำคาญรู้ตามสัญญาไม่<WBR>ได้รู้ตามความเป็นจริง เราจะต้องให้มันรู้ในญาณทัศนะ คือ อำนาจของจิตที่ละเอียดให้รู้ว่<WBR>าเสียงที่ดังอยู่นั้นก็สักแต่ว่<WBR>าเสียงเฉยๆ ถ้าหากว่าไม่ยึดมั่นถือมั่นมั<WBR>นก็ไม่น่ารำคาญอะไร เสียงก็ดังของมันไป เราก็นั่งรับรู้ไปอันนั้นก็เรี<WBR>ยกว่ารู้ถึงอารมณ์ขึ้นมา นี่ถ้าหากว่าเราภาวนาพุทโธมี<WBR>ความรู้แจ้งในเสียง เสียงนั้นมันไม่ได้มากวนใคร มันก็อยู่ตามสภาวะ เสียงนี้ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เราเขา เขาเรียกว่าเสียงเท่านั้น มันก็ทิ้งไป วางไป ถ้ารู้อย่างนี้คือรู้จิตรู้<WBR>โดยสภาวะที่เรียกว่า

    พุทโธ คือ ความรู้แจ้งตลอดเบิกบานรู้<WBR>ตามความเป็นจริง เสียงก็ปล่อยไปตามเรื่องของเสี<WBR>ยงไม่ได้รบกวนใคร นอกจากเราจะไปยึดมั่นว่า "เออ เรารำคาญไม่อยากจะได้ยินเสี<WBR>ยงคนพูดอย่างนั้น ไม่อยากจะได้ยินเสียงนั้น ก็เลยเกิดทุกข์ขึ้นมา นี้เหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมา เหตุที่มีทุกข์ขึ้นมาก็<WBR>เพราะอะไร ก็เพราะเราไม่รู้จักเรื่<WBR>องตามความจริง ยังไม่ได้ภาวนาพุทโธ ยังไม่เบิกบาน ยังไม่ตื่น ยังไม่รู้จัก มีแต่เฉพาะจิตล้วนๆ ที่ยังไม่บริสุทธิ์เป็นจิตที่<WBR>ใช้การงานอะไรยังไม่ได้เต็มที่

    ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ฝึกหั<WBR>ดฝึกจิตนี้ให้มีกำลังกั<WBR>บการทำกายให้มีกำลังมีลักษณะอั<WBR>นเดียวกัน แต่มีวิธีการต่างกัน การฝึกกำลังกายเราต้องเคลื่<WBR>อนไหวอวัยวะ มีการนวดกาย เหยียดกาย เช่น วิ่งตอนเช้าตอนเย็น เป็นต้น นี้เรียกว่าการออกกำลังกาย กายนั้นก็จะมีกำลังขึ้นมา จะคล่องแคล่วขึ้นมา เลือดลมจะมีกำลังวิ่<WBR>งไปมาสะดวกตามเส้นประสาทต่างๆ ได้ กายจะมีกำลังกว่าเมื่อไม่ได้ฝึก

    แต่การฝึกหัดจิตให้มีกำลังไม่<WBR>ใช่ให้มันวิ่งให้มันเคลื่<WBR>อนไหวอย่างกับออกกำลังกาย คือทำจิตให้มันหยุด ทำจิตให้มันพักผ่อน เช่น เราทำสมาธิยกอารมณ์อันใดอันหนึ่<WBR>งขึ้นมา เช่น อาณาปานสติ ลมหายใจเข้าออก อันนี้เป็นรากฐานเป็นเป้<WBR>าหมายในการเพ่งในการพิจารณา เราก็กำหนดลมหายใจ การกำหนดก็คือ การรู้ตามลมนั่นเอง กำหนดลมเข้าแล้วกำหนดลมออก กำหนดให้รู้ระยะของลม ให้มีความรู้อยู่ในลมตามรู้<WBR>ลมเข้าออกสบาย แล้วพยายามปล่อยสิ่งทั้งหลายออก

    จิตของเราปล่อยให้จิตคิดอย่างนั<WBR>้นอย่างนี้สารพัดมีหลายอารมณ์ มันไม่รวมเป็นอันเดียว จิตเราก็หยุดไม่ได้ ที่ว่าหยุดไม่ได้นั้นก็คือหยุ<WBR>ดในความรู้สึก ไม่คิดแล่นไปทั่วไป เช่น เรามีมีดเล่มหนึ่งที่เราลับได้<WBR>ดีแล้ว แล้วมัวแต่ฟันหิน ฟันอิฐ ฟันหญ้าทั่วไป ถ้าเราฟันไม่เลือกอย่างนี้ มีดของเราก็จะหมดความคม เราจึงต้องฟันแต่สิ่งที่เกิ<WBR>ดประโยชน์ จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราปล่อยให้จิตแล่นไปในสิ่<WBR>งที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร จิตนั้นจะไม่มีกำลัง ไม่ได้พักผ่อน ถ้าจิตไม่มีกำลัง ปัญญาก็ไม่เกิด จิตไม่มีกำลัง คือ จิตไม่มีสมาธิเลย ถ้าจิตไม่ได้หยุด จะเห็นอารมณ์นั้นไม่ชัดเจน ถ้าเรารู้จักจิตนี้เป็นจริง เห็นอารมณ์เป็นอารมณ์

    นี่หัวข้อแรกที่จะตั้งพระพุ<WBR>ทธศาสนาขึ้นมาได้ นี้คือตัวศาสนา เราบำรุงให้จิตนี้เกิดขึ้นเป็<WBR>นลักษณะของการปฏิบัติให้เป็<WBR>นสมถะ ให้เป็นวิปัสสนา รวมกันเข้าเป็นสมถะและวิปัสสนา เป็นข้อปฏิบัติมาบำรุงจิตใจให้<WBR>มีศีลธรรมให้จิตได้หยุด ให้จิตได้เกิดปัญญาให้เท่าทั<WBR>นตามความเป็นจริงของมัน

    ๔. วินัยบัญญัติ

    วินัย คู่กับ ธรรมปกติ เรียกว่า ธรรมวินัย ถ้าแยกคำ
    ธรรม คือ คำสั่งสอน วินัย คือ ข้อบังคับ

    ดังนั้น วินัยบัญญัติ ก็ข้อบังคับที่พระพุทธเจ้าทรงบั<WBR>ญญัติไว้เพื่อเป็นหลักให้พระภิ<WBR>กษุปฏิบัติให้เป็นบรรทั<WBR>ดฐานแนวเดียวกัน ใครทำผิดก็จะถูกลงโทษ เช่นเดียวกันกับกฏหมายของบ้<WBR>านเมือง

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    ปกิณกะธรรมหลวงปู่หลอด ปโมทิโต

    ๑. อย่าถือวิสาสะ ให้รู้จัก กาล เวลา บุคคล และ สถานที่

    ๒. ความรักลูกเหมือนห่วงผูกคอ

    ความรักสิ่งของเหมือนปอผูกศอก
    ความรักไร่นาสาโทเหมื<WBR>อนปลอกสวมตีน
    ใครแก้สามอย่างนี้ไปนิพพานได้

    ๓. มีศิษย์คนหนึ่งเรียนถามปัญหาหนึ<WBR>่งกับหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่ครับเคยมีฝรั่งที่<WBR>ผมเคยเรียนภาษาอังกฤษด้วยเขาเป็<WBR>นหมอสอนศาสนาคริสต์ เขาเคยถามผมว่าจิตเดิมมาจากไหน และสุดท้ายเขาก็ยัดเยียดความคิ<WBR>ดให้ผมว่าพระเจ้าสร้างจิต แต่ผมไม่ยอมรับครับ ผมอยากทราบว่าจิตเดิ<WBR>มมาจากไหนครับหลวงปู่ ?"

    หลวงปู่ตอบว่า "จิตเดิม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่<WBR>ามาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา ความไม่รู้นั่นแหละเป็นตัวพาให้<WBR>มันมาเกิด เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำให้มันรู้ซะ จะได้ไม่ต้องมาเกิดอีก จำไว้ว่ามันเกิดจากอวิชชาทั้งนั<WBR>้น ทั้งโลภ โกรธ หลง จำไว้นะให้ตอบเขาแบบนี้นะ"

    ๔. คนฉลาดอยู่กับที่ สู้คนโง่เที่ยวไปที่ต่างๆ ไม่ได้

    ๕. มีศิษย์คนหนึ่งเรียนถามปัญหาหนึ<WBR>่งกับหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่ครับ พระอริยเจ้าเวลาท่านเข้านิ<WBR>โรธสมาบัติ ท่านจะบอกผู้คนไหมครับ"

    หลวงปู่เมตตาตอบว่า "ไม่หรอก ถ้าท่านบอก ก็จะบอกกับโยมที่ใส่บาตรว่า โยมไม่ต้องมาใส่บาตรนะ อีก ๗-๘ วัน อาตมาจะพักผ่อน"

    ลูกศิษย์ถามต่อไปว่า "อย่างนี้แปลว่า พระอริยเจ้าเวลาท่านเข้านิ<WBR>โรธสมาบัติ ท่านไม่บอกใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ตอบว่า "เพิ่นบ่อบอกดอก"

    ๖. มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งซึ่งมี<WBR>รูปร่างใหญ่ เรียนถามหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่ครับ เวลานั่งภาวนานานๆ ยิ่งปวดขึ้น เป็นเพราะร่างกายเราใหญ่โตหรื<WBR>อเปล่าถึงทำให้ปวดเมื่อยถึ<WBR>งขนาดนี้ อยู่ที่ร่างกายสังขารคนด้วยหรื<WBR>อเปล่าครับ" หลวงปู่ตอบว่า "ไม่เกี่ยวหรอก กิเลสลากไปให้คิดว่าเป็นอย่างนั<WBR>้น อย่างนี้ ลองใหม่ดูสิ เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ"

    ๗. มีลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเรี<WBR>ยนถามหลวงปู่ว่า

    "หลวงปู่ครับ การปฏิบัติแบบรูป - นาม กับการปฏิบัติแบบพระป่า เหมือนกันไหมครับ"

    หลวงปู่เมตตาตอบว่า "เหมือนกันอเมริกาหรือเมื<WBR>องไทยอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน การปฏิบัติก็เหมือนกัน อริยสัจตัวเดียวกัน"

    ๘. มีพระรูปหนึ่งเรียนถามหลวงปู่ว่<WBR>า

    "หลวงปู่ครับ จิตของพระอรหันต์เวลาว่างท่านคิ<WBR>ดอะไรครับ"

    หลวงปู่ตอบว่า "ไม่คิดอะไรทั้งนั้น คิดแต่วิหารธรรมอย่างเดียว"

    พระรูปนั้นถามย้ำว่า "มีแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เท่านี้ หรือครับหลวงปู่"

    หลวงปู่ตอบว่า "อืม... กิเลสบ่อมีทางแทรกแซงได้เลย"

    ๙. ในแต่ครั้งมักมีผู้มาเรียนปรึ<WBR>กษาปัญหาต่างๆ กับหลวงปู่ แม้กระทั่งเรื่องปัญหาในครอบครั<WBR>ว การหย่าร้าง หลวงปู่ท่านจึงเทศน์ชี้ทางดับปั<WBR>ญหานี้ "เอาล่ะ เราจะเทศน์ให้ฟังเป็นคุ<WBR>ณธรรมสำหรับ คนมีครอบครัว ผู้อยู่ร่วมกันอย่างไรมันก็ต้<WBR>องกระทบกันบ้างเป็นธรรมดา มนุษยธรรม ๔ ข้อ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ

    สัจจะ คือ ความซื่อตรง จริงใจต่อกัน ไว้วางใจกัน ไม่คิดว่าเขาจะนอกใจเรา ไม่คิดว่าเขาจะไปมีบ้านเล็กบ้<WBR>านน้อย ให้อิสระแก่กัน เชื่อในเกียรติของกันและกัน ไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ใจ ถ้ามีสัจจะต่อกันก็ไม่ต้<WBR>องทะเลาะกัน

    ทมะ คือ ความอดกลั้นอารมณ์ ระงับอารมณ์ คนโกรธ โกรธเพราะไม่รู้จักระงับอารมณ์ คนเราอยู่ด้วยกัน ถ้าปล่อยให้อารมณ์เป็นใหญ่บ้<WBR>านก็แตก มันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ คิดบ้างหรือเปล่าว่าลูกเต้<WBR>าจะเป็นอย่างไร

    ขันติ ความอดทน ทนลำบาก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รักใคร่ปรองดองกัน จะยากจะจนก็ทนกัน อย่าเอาความลำบากเป็นอารมณ์ อดทนต่อสิ่งที่เราไม่ชอบ เช่าเขากินเหล้าใช่ใหม เราบอกให้เขาเลิก เขาไม่เลิก (เหล้า) เราก็ทนสู้ เพื่อลูก คิดดูให้ดี ถ้าเราอดทน แล้วปัญหาก็จะไม่เกิด ถ้าเกิดก็น้อยมาก

    จาคะ คือ การบริจาค ในที่นี้ไม่ใช่การบริจาคเงิ<WBR>นทองอย่างเดียวนะ บริจาคกิเลสตัณหา ความโกรธ ความหึงหวงออกไป ไม่ใช่ตระหนี่ถี่เหนี<WBR>ยวเอาความมีกิเลสตัณหาไว้ เมื่อโกรธก็บริจาคออกไป นี่แหละถ้าทำได้ทั้ง ๔ ข้อ ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ทะเลาะกัน นี่รักษาศีล ๕ ได้ไหม

    หลวงพ่อจะแถมให้ ถ้ารักษาไม่ครบ ๕ ข้อ ก็เอาแค่ ๒ ข้อ ก็พอ ข้อ ๓ กับ ข้อ ๕ ถ้าผิด ๒ ข้อนี้ ฆ่ากันได้นะ ไปยุ่งกับเมียเขา ผัวเขารู้โกรธเข้า ก็ฆ่านะซิ กินเหล้าพูดไม่เข้าหู ก็ฆ่ากันได้ แต่ถ้าจะว่า ๕ ข้อ ข้อใดบาปกว่ากัน ก็พอกันนั่นแหละ"

    ๑๐. การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ย่อมต้องมีศีลเป็นองค์ประกอบที่<WBR>สำคัญ หลายท่านที่สนใจปฏิบัติธรรมได้<WBR>กราบเรียนถามธรรมะเพื่อการปฏิบั<WBR>ติ องค์หลวงปู่ท่านได้อธิบายไว้ว่า "ศีล ๕ นี้สำคัญ ศีล ๕ เป็นประธาน ศีลอื่นเป็นศีลบริวาร ศีล ๘ ศีล ๑๐, ๒๒๗ ข้อ ก็เป็นศีลบริวาร การปฏิบัติธรรมนั้นล้วนแต่ต้<WBR>องประกอบด้วยศีลเป็นสำคัญ ศีล ๕ ขา ๒ แขน ๒ หัว ๑ จะฆ่าสัตว์ ก็เอาแขนทำ ขโมยของก็เอามือหยิบ ขาพาไป ผิดเมียเขา เอาทั้งกายทำ โกหกใช้ปากที่อยู่บนหัวพูด กินเหล้า ก็ใช้ปากกิน ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ ธรรมะปฏิบัติก็จะไม่เจริญ ปฏิบัติก็ไม่ไปไหน นี่สำหรับนักปฏิบัติ ศีลสำคัญมาก พึงรักษาไว้ให้ดี"

    คัดลอกจาก: ชีวประวัติหลวงปู่หลอด ปโมทิโต
     
  2. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    ขอน้อมกราบหลวงปู่หลอดเจ้าค่ะ
     
  3. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิค่ะ พี่รวิช ...... ขอบคุณ ที่แจ้งข่าวให้ทราบค่ะ

    .
     
  4. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]


    เกิดเหตุมหัศจรรย์ งานสวดคืนแรกหลวงปู่หลอด

    เนื่องจากทางวัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนา) ได้นำพระศพของหลวงปู่หลอด พระครูที่เคารพ มาประดิษฐานไว้ ณ ชั้น 2 ของวิหารอเนกประสงค์ เพื่อทำพิธีทางศาสนา และเพื่อให้ ญาติโยม กราบไหว้เป็นเวลา100 วัน ซึ่งผู้เขียนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีการพระราชทานเพลิงหรือไม่อย่างไร (ผู้เขียนขออนุญาติใช้ศัพท์สูง เนื่องจากมั่นใจอย่างยิ่งว่าหลวงปู่เป็นพระชั้นอริยะเจ้าครับ) ช่วงเย็นของวันที่ 9 กรกฏาคม หลังจากเลิกงานแล้วประมาณ 17.30 น. ผู้เขียนก็รีบจับแท็กซี่ไปวัดทันที แต่รถติดมาก จึงเปลี่ยนไปใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง เนื่องจากว่ากลัวไปวัดไม่ทันสวด เมื่อผู้เขียนไปถึงวัดก็พบว่ามีพุทธศาสนิกชน มากมายมากราบหลวงปู่ และบางกลุ่มก็มาช่วยกันอำนวยความสะดวก บ้างก็นำน้ำดื่ม อาหารมาร่วมบุญกัน มากมาย ซึ่งผู้เขียนเห็นแล้วก็รู้สึกปลาบปลื้มกับคนไทยพุทธกลุ่มนี้เป็นอย่างยิ่ง จากนั้นผู้เขียนถอดรองเท้าเดินขึนไปชั้นบนของศาลา พบว่าหลวงปู่นอนสงบอยู่ในหีบศพสีทองสวยงามอยู่ทางขวามือของพระประธาน มีการจัดดอกไม้ถวายสวยงามมาก ใกล้นั้นก็มีรูปหลวงปู่ยิ้มต้อนรับอย่างมีเมตตา เนื่องจากคมมาก ผู้เขียนจึงเดินไปกราบหลวงปู่อยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งมีคนน้อยกว่า ทันใดนั้น ก็เห็นคนมากมายกำลังก้มหาอะไรกันสักอย่างหนึ่ง บางคนก็มองหาตาม หิ้งพระ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาว่า "พระธาตุเสด็จๆ" ผู้เขียนนั้นเคยได้อ่าน ได้ยินเรื่องพระธาตุเสด็จในงานบุญ หรือพิธีศักดิ์สิทธิ์ มามาก แต่เพิ่งเคยประสพกับตัวเองก็วันนั้นล่ะครับ แล้วจากที่มองดูนั้น พระธาตุท่านไม่ได้เสด็จมาองค์สององค์ ท่านมาเป็นหลักร้อย เป็นเวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง บางคนก็ได้ไปบูชาหลายองคืเหมือนกัน ส่วนผู้เขียนก็เก็บได้หลายองค์แต่ก็แจกจ่ายให้กับคนแก่ที่ตาไม่ค่อยดีไปหมดเลยครับ แต่ถึงแม้จะไม้ได้กลับไปบูชาผู้เขียนก็มีความปิติและเชื่อมั่นในหลวงปู่หลอดว่า ท่านเป็นพระอริยะเจ้าและท่านไปดีแล้ว ไปที่ไหนก็คงไม่ต้องบอกกันนะครับ

    สุดท้ายนี้ ขอเชิญชวนสมาชิก ทั้งขาจร และ ขาประจำของเว็ปพลังจิต ร่วมทำบุญ และกราบลาหลวงปู่ได้ที่ วัดสิริกมลาวาส (วัดใหม่เสนา) ใกล้แยกวังหิน ครับ

    ขอบคุณข้อมูลจากกระทู้
    http://palungjit.org/threads/เกิดเหตุมหัศจรรย์-งานสวดคืนแรกหลวงปู่หลอด.196071/
     
  5. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557

    เรื่องพระธาตุเสด็จนี้ ได้ข่าวว่าพระธาตุเสด็จตั้งแต่ช่วงรดน้ำ
    พระศพของหลวงปู่ตั้งแต่ ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธแล้วครับ

    เอารูปจากเว็บลานธรรมมาให้ชมครับ


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    เข้าชมภาพวันงานรดน้ำศพที่ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ และงานที่วัดได้ที่
    ˅ǧ?٨˅ʹ ?⁷Ԣ? ????ᅩǠ-> ?Ð?ҹ ʁҪԡʑ?ѹ?젼 Œ??Ã?ʇ?Ҡlarndham.net

    ซึ่งตอนรดน้ำศพหลวงปู่ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ก็มีพระธาตุเสด็จมาหลายคราวเลยครับ

    และเมื่อวาน (๙ ก.ค.) ที่วัดใหม่เสนา ก็มีพระธาตุเสด็จเช่นกันครับ จากการสอบถามผู้คนมาร่วมงาน ก็ได้ความว่าพระธาตุเสด็จมาหลายรอบครับ และพอตอนพระท่านสวดพระอภิธรรมเสร็จก็มีพระธาตุเสด็จมาในมือป้าท่านหนึ่งครับ คนข้างๆ ก็เอาพานมารองรับ พอป้าแบมือพระธาตุลงมาในพานเต็มไปหมด คนที่อยู่ข้างๆ ก็รุมล้อมเข้ามาขอไปบูชา

    ซึ่งก็แปลกดีครับ ปกติผมเคยเห็นพระธาตุเสด็จหลายงาน หลายโอกาส แต่งานศพของครูบาอาจารย์เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก และก็ที่แปลกคือว่า เป็นการเสด็จหลายครั้งและจำนวนมากในแต่ละครั้งที่เสด็จ

    ผมเอารูปพระธาตุที่เคยเสด็จที่วัดใหม่เสนามาให้ชมครับ เมื่อตอนประมาณ ปี ๔๗ จากเว็บ ?٪ҾÐ?ҵج ͑?ઔ??Ð?ҵؠ- ?Ð?ÁʒÕÔ??ҵؠᅐ ?Ð?ҵؾط?ʒǡ [http://www.relicsofbuddha.com]


    <TABLE borderColor=#000000 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" align=left border=1><TBODY><TR><TD vAlign=top borderColor=#f3f3f3 align=middle bgColor=#f3f3f3>[FONT=Tahoma, MS Sans Serif][​IMG][/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]พระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมา[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]โดยปาฏิหาริย์ ณ วัดสิริกมลาวาส[/FONT]
    [FONT=Tahoma, MS Sans Serif]เมื่อปี พ.ศ. 2547[/FONT]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE cellSpacing=10 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="10%" rowSpan=2></TD><TD vAlign=top width="55%">




    </TD><TD vAlign=top align=middle width="35%" bgColor=#f3f3f3></TD></TR></TBODY></TABLE>



    ผมจะถ่ายพระธาตุที่ได้มาให้ชมวันหลังครับ
    และ ขอโมทนากับทุกๆ ท่านด้วยครับที่ไปร่วมงานครั้งนี้<!-- google_ad_section_end -->

    โพสต์โดย คุณบี จากกระทู้
    http://palungjit.org/threads/เกิดเหตุมหัศจรรย์-งานสวดคืนแรกหลวงปู่หลอด.196071/
     
  6. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    <TABLE class=tborder id=post2250022 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 11-07-2009, 09:11 AM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#17 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ลูกวัดท่าซุง<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2250022", true); </SCRIPT>
    ทีมเสียงพระธรรมเทศนา

    [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ปาฏิหารย์มากมายครับสำเร็จองค์หลวงปู่ท่านเป็นพระที่บริสุทธิ์มาก ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ก่อน มีโยมท่านหนึ่ง
    อยู่จังหวัดเชียงใหม่ได้เกศาธาตุหลวงปู่ไปบูชาปรากฏว่าแกเก็บเกศาธาตุหลวงปู่แปรสภาพเป็น พระธาตุ มีเส้นเกศา
    ที่รวมตัวอยู่ข้างใน และ มีพระธาตุที่ลักษณะคล้ายลูกแก้วครอบเส้นเกศาไว้ แกเลยมากราบหลวงปู่ หลวงปู่ถามว่า
    จะเอามาให้เราเหรอ แกบอกว่า ไม่ ปู่เอามาให้ดู คณะศิษย์เห็น ประหลาดใจกันมากไม่เคยเห็นเส้นเกศาที่แปร
    สภาพเป็นพระธาตุลักษณะนึ้มาก่อน ภายหลังคณะศิษย์ถามหลวงปู่ว่า ทำไมโยมคนนึ้ถึงเก็บเกศาหลวงปู่แปร
    สภาพเป็นพระธาตุ ท่านกล่าวว่า แกชอบสวดอิติปิโสทุกวัน หลวงปู่ท่านชอบบทธรรมจักร อิติปิโส บทอิติปิโส
    มีความสำคัญ หลวงปู่บอกว่า เป็นบทที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวตั้งแต่สมัยมีพระชนม์อยู่ ถ้าใครอยากให้เส้นเกศา
    หลวงปู่แปรสภาพเป็นพระธาตุก็ลองสวดดูน่ะครับ

    ในงานพระรดน้ำศพพระราชทานหลวงปู่ และ สวดอภิธรรม
    ตั้งแต่ประมาณ 6.00 น. ก็เริ่มได้ยินเรื่องพระธาตุเสด็จ
    เห็นว่าเสด็จมาหลายที่ ที่ตรงพระพุทธรูป ก็มีครับ

    <TABLE class=tborder id=post2250342 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->คุณบี<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2250342", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2250342 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->
    ขอเพิ่มเติมครับ เรื่อง เกศาของหลวงปู่และการสวดมนต์ครับ

    เคยมีพระในวัดท่านบอกว่า เมื่อได้เกศาของหลวงปู่ไปแล้ว ถ้าสวดมนต์ดีๆ เกศาหลวงปู่จะกลายเป็นสีทองครับ ซึ่งเพื่อนผมได้รับมาบูชา แต่ตอนนี้ได้ถวายไปยังพิพิธภัณฑ์พระธาตุวัดถ้ำผาจม จ.เชียงรายแล้วครับ<!-- google_ad_section_end -->


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  7. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    <TABLE class=tborder id=post2250890 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 11-07-2009, 04:50 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#40 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->VICT<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2250890", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Aug 2008
    ข้อความ: 56
    พลังการให้คะแนน: 16 [​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2250890 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->อนุโมทนาค่ะ วันนี้ก็ได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ และไปช่วยคุณแม่ของเพื่อนออกโรงทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวที่วัดด้วย
    และขอยืนยันค่ะ เรื่องพระธาตุเสด็จ เพราะคุณแม่ของเพื่อนท่านนี้ เมื่อวานก็มีพระธาตุเสด็จมาที่มือ ขณะที่กำลังนั่งและหงายมือ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2247081", true); </SCRIPT>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2009
  8. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557

    พระครูปราโมทย์ธรรมธารา ( หลวงปู่หลอด ปโมทิโต )

    วัดใหม่เสนานิคม ลาดพร้าว บางกะปิ กรุงเทพฯ มรณภาพแล้ว
    เมื่อวันอังคารที่ 7 กรกฎาคม 2552 เวลา 12.58 น. ด้วยอาการสงบ ที่ ขณะมีอายุ 93 ปี

    โดยมีบรรดาศิษยานุศิษย์มาร่วมพิธีรดน้ำศพที่ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
    กำหนดเคลื่อนศพกลับวัดใหม่เสนานิคม ในวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม เวลา 09.09 น.​

    [​IMG]

    พระครูปราโมทย์ธรรมธารา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต)

    [​IMG]

    บรรดาศิษยานุศิษย์มาร่วมพิธีรดน้ำศพที่ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ​

    [​IMG]

    ภาพโดย วันชัย ไกรศรขจิต ศูนย์ภาพเนชั่น​

    สำหรับประวัติ -วัตรปฏิบัติ และธรรมะ ของ หลวงปู่หลอด ปโมทิโต นั้น “สุทธิคุณ กองทอง” ได้เขียนไว้ในหน้าพระเครื่อง “คม ชัด ลึก” เมื่อปี 2549 ดังนี้

    พระครูปราโมทย์ธรรมธารา (หลวงปู่หลอด ปโมทิโต) เป็นพระเถราจารย์ผู้มีจริยวัตรงดงามทั้งกายและใจ ท่านมักจะสอนลูกศิษย์เสมอๆ ว่า " ในหมู่คนดี ย่อมมีคนไม่ดีปะปนอยู่ด้วยเป็นของธรรมดา จึงไม่ควรใส่ใจ คนไหนดีเราก็สรรเสริญ คนไหนไม่ดี เราก็ออกห่าง ไม่ยกย่อง จงรักคนทุกคน ไว้ใจบางคน อย่าทำผิดต่อทุกคน และจงดูตนเสมอ "

    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : ˅ǧ?٨˅ʹ Ǒ?㋁蠊?ҹԤ?????ᅩǠ?ҡ?ŧ͡ ⍠?๪Ѩ? oknation.net
     
  9. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    <O:p</O:p[​IMG]

    วัดสิริกมลาวาส ( วัดใหม่เสนานิคม ) ใกล้สี่แยกวังหิน - เสนานิคม <O:p</O:p
    ได้ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมจนถึงทุกวันนี้ ( 100 วัน )
    <O:p</O:p

    พุทธศาสนิกชนที่มีจิตศรัทธาร่วมงานบุญบำเพ็ญกุศลถวายแด่หลวงปู่ สอบถาม<O:p</O:p
    รายละเอียดได้ที่ วัดสิริกมลาวาส โทร.๐-๒๙๔๒-๐๑๖๑, ๐๘-๑๘๑๘-๐๒๗๐<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    [​IMG]

    แผนที่ไป วัดสิริกมลาวาส ( วัดใหม่เสนานิคม ) <O:p</O:p
    หมู่ 11 สี่แยกวังหิน แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว จ.กรุงเทพฯ 10230<O:p
    โทรศัพท์ 02-570-8281<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คลิกเพื่อดูรายละเอียดการเดินทางไปวัด ค่ะ <O:p</O:p
    ʶҹ?ը?ѩ? Ǒ?ʔÔ??҇Ҋ ( Ǒ?㋁蠊?ҹԤ?) ?é́Ἱ?ը - ʁҸԴͷ?́<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. Sawiiika

    Sawiiika เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,811
    ค่าพลัง:
    +1,557
    [​IMG]


    <TABLE borderColor=#f0f0f0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center bgColor=#f0f0f0 border=1><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>


    ในวัยฉกรรจ์... พระเถราจารย์ท่านนี้ยึดถือธุดงค์ 13 ข้อ เป็นวัตรตลอดเวลา ๙
    เดือนของกาลออกพรรษาเป็นเวลานับ ๑๐ ปี ท่านเป็นพระปฏิบัติในกองทัพธรรมศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    และอยู่ศึกษาธรมกับหลวงปู่มั่น หลายปี

    ตลอดเวลาอันยาวนานซึ่งหลวงปู่หลอด ได้ธุดงค์จาริกสู่ป่าเขาอันเปล่าเปลี่ยว
    ห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่านและร้อนเร่าด้วยไฟกิเลส ก็เพื่อพารูปกายสังขารนี้ไปสู่ความวิเวก
    มุ่งหน้าฝึกจิตด้วยการปฏิบัติสมณธรรมอย่างอุกฤษฏ์
    มุ่งมั่นตัดขาดปวงกิเลสทั้งหลายซึ่งเกาะติดจิตวิญญาณข้ามภพข้ามชาติเหลือที่จะนับมาแล้วให้จงได้

    และในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น
    หลวงปู่หลอดได้เผชิญกับประสบการณ์ซึ่งไม่ผิดกับพลังแห่งสัจจธรรมที่หล่อหลอมดวงจิตให้แข็งแกร่งภายใต้สติอ
    ันมั่นคง
    ดังเช่นการเผชิญกับเสือเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน

    "เสือ" ...เดรัจฉานผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น "จ้าวป่า"
    คือสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุด
    อานุภาพน่าพรั่นพรึงสุดขีดของมันจะปรากฏให้เห็นขณะออกล่าเหยื่อหรือได้รับบาดเจ็บ หรือจนตรอก
    เพียงแค่เสียงเสือคำรามสะท้อนสะท้านมาให้ได้ยิน ส่ำสัตว์ในป่าดิบดงลึกก็แตกตื่นหนีกันกระเจิง

    ว่ากันว่า ขนาดลิงอยู่บนยอดไม้สูงลิบ เสืออยู่บนพื้นดินโคนต้นไม้เพียงแค่เสือแผดเสียงคำรามสนั่น
    ลิงถึงกับมืออ่อนตีนอ่อนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หล่นลิ่วลงมาให้เสือตะปปกินง่ายๆเสียยังงั้นแหละ
    แม้แต่สัตว์มนุษย์เช่นเราท่านก็เถอะ ต่อให้มีอาวุธปืนทรงอานุภาพสังหารเฉียบขาดในมือ
    ก็ยังไม่กล้าบังอาจประจันหน้ากับเสือตรงๆ
    ขนาดเสืออยู่ในกรงยังอดแหยงมันไม่ได้
    แต่...หลวงปู่หลอดท่านเคยเผชิญกับเสือมาแล้ว และประจันหน้าห่างกันไม่ถึง ๒ วาเสียด้วยซ้ำ

    ครั้งนั้น...หลวงปู่หลอดเพิ่งจะออกธุดงค์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี
    เดินลัดตัดป่าไปทางอำเภอหนองบัวลำภู ผ่านเทือกเขาภูพาน ทะลุออกบ้านหนองภัยศูนย์ บ้านกกคร้อ
    กระทั่งมาถึงบ้านผาวัง
    บ้านผาวัง ฝังตัวเองอยู่บนพื้นที่ของป่าซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ และชุกชุมด้วยสัตว์ป่า โดยเฉพาะ
    "เสือ" ปรากฏโฉมให้เห็นเป็นประจำ
    หลวงปู่หลอดเลือกทำเลปักกลดในที่อันสงบสงัดแล้วเร่งกระทำความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ใกล้ๆกับกลด
    หลวงปู่ทำทางเดินจงกรมเอาไว้เพื่อสลับกิริยานั่งภาวนามาเป็นยืนและเดิน

    คืนนั้น...เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หลวงปู่หลอดเปลี่ยนจากนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม
    โดยจุดโคมเทียนแขวนไว้ที่ข้างทางเดินพอสว่างรำไร
    ขณะที่กำหนดกิริยาก้าวเดินโดยมีสติรับรู้ทุกเสี้ยวความเคลื่อนไหว พลันนั้น
    เสียงเสือก็คำรามโฮกสนั่นขึ้นมาใกล้ๆ
    แล้วร่างของเสือใหญ่ลายพาดกลอนได้เยื้องย่างออกมาจากเงามืดข้างๆทางเดินจงกรม

    ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีดจู่โจมโถมกระแทกหลวงปู่หลอดชนิดไม่เคยเจอมาก่อน
    ความรักตัวกลัวตายไม่รู้ว่ามาจากไหน อารมณ์พรั่นพรึงของจิตนี้เล่นงานสติเสียจนย่อยยับป่นปี้
    ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป หากตกอยู่ในภาวะที่เสือกำลังจะเข้ามาตะปปขบขย้ำเห็นๆอยู่ห่างไม่ถึง ๒ วา
    ก็คงสติแตกเพราะความกลัวไปแล้ว
    สำหรับหลวงปู่หลอดผ่านการฝึกจิตควบคุมสติมาพอสมควร จึงเสียศูนย์ไปแค่วูบเดียว
    วูบหนึ่งที่กลัวจนเลยขีดสุด ความกลัวก็ดับวูบไปเหลืออยู่แต่ตัว "สติ"
    จะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญอีกต่อไป จิตวูบเข้าไปยึดเหนี่ยวพระบารมีของพระพุทธเจ้าแนบแน่น
    คิดอยู่แต่ว่าถ้ามีกรรมกับเสือตัวนี้มาก่อนก็ให้มันฆ่ามันกินไปเสียเถอะ
    จะได้ชดใช้หนี้เวรหมดสิ้นกันเสียที





    แล้วหลวงปู่ก็หลับตาปิดสนิท พุ่งจิตไปที่คำภาวนา "พุทโธ"
    กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแนวทางอานาปานสติ จิตก็ดิ่งสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
    ไม่รับรู้ว่ามีเสืออยู่หรือไม่ ไม่มีความเป็นความตายหลงเหลืออยู่แต่อย่างใด
    จิตสงบเงียบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน กระทั่งใกล้เวลาเกือบฟ้าสาง จิตจึงค่อยคลายออกจากสมาธิ
    ลืมตาขึ้นดูปรากฏว่าเสือหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสือมันหายไป ทางไหนและไปเมื่อไหร่
    หลวงปู่หลอดก็บังเกิดธรรมปีติอย่างล้นพ้น

    รู้แล้วว่าอานุภาพแห่งสมณธรรมนั้นทรงพลังสุดจะประมาณได้
    รู้แล้วว่ากฎแห่งกรรมนั้นเป็นเช่นไร
    และรู้แล้วว่าวิถีทางที่จะปฏิบัติสืบต่อไปเบื้องหน้านั้นควรกระทำอย่างไร

    หลายพรรษาผ่านไป...กระทั่งถึงกาลออกพรรษาหนึ่ง หลวงปู่หลอด ปโมทิโต ได้จาริกเดินธุดงค์ไปกับ
    หลวงปู่บัวพา ปัญญาพาโส แห่งวัดป่าพระสถิตย์ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เพียง ๒
    รูปโดยเดินมุ่งหน้าไปทางบ้านนาศรีนวล ผ่านบ้านห้วยหีบ บ้านนาตะงอย บ้านจันทร์เพ็ญ
    จากนั้นก็ถึงบ้านควนปุ่น
    บ้านควนปุ่น แห่งนี้อยู่ติดเชิงเขา ภูมิประเทศเป็นป่าดงกันดาร ชาวบ้านทำไร่ทำนหาเลี้ยงชีวิตไปตามประสา
    เมื่อหลวงปู่หลอด ,หลวงปู่บัวพา
    เดินจาริกมาถึงเชิงเขาบ้านควนปุ่นจึงได้ปักกลดอยู่ห่างจากหมู่บ้านตามสมควร
    ด้วยเห็นเป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัดเย็นกายเย็นใจ และเหมาะสมที่จะกระทำความเพียรสักระยะหนึ่ง
    ชาวบ้านควนปุ่นเห็นพระป่าธุดงค์กรรมฐานมาปักกลดบำเพ็ญสมณธรรม ก็พากันมากราบไหว้หลายคน
    ในจำนวนนี้มีหญิงวัยกลางคนชื่อ "คำต้น" รวมอยู่ด้วย
    แม่คำต้น แนะนำตัวเองว่าเป็นคนทรงผีประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านมีเรื่องราวเดือดร้อนอะไร
    หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาแม่คำต้น ให้แม่คำต้นเข้าทรงผี
    แล้วผีที่สิงร่างจะให้คำแนะนำต่างๆให้กลับไปปฏิบัติ ซึ่งก็ต้องมีการจัดหาเครื่องเซ่นสังเวยสัตว์ต่างๆ
    มาบูชาผีให้ผีได้เสพทุกครั้งไป



    หลวงปู่บัวพา ปัญโญภาโส
    วัดป่าพระสถิตรย์ จ.หนองคาย
    -----------------------------------------------------


    แม่คำต้นเล่าถวายพระธุดงค์กรรมฐาน ( เล่าถวายหลวงปู่หลอด -
    และหลวงปู่บัวพา ) ต่อไปอีกว่าเป็นคนทรงผีนี้ลำบากทรมานเหลือเกิน
    จะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี
    เวลาทำผิดผีคราวใดผีก็จะเข้าสิงจนหมดสติไม่รู้สึกตัว ผีต้องการให้ทำอะไรก็ต้องทำตามที่ผีบัญชาทุกอย่ง
    ไม่มีความสุขสบายเช่นคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย เพราะผีที่เข้าสิงไม่ได้มีตัวเดียว
    หากมีผีหลายตัวคอยรบกวนไม่ได้หยุด


    แม่คำต้นถามหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาว่า "ท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลืออย่าให้ผีเข้าสิงได้หรือไม่
    อยากให้ไล่ผีออกไปจากร่างไม่ต้องการให้ผีมากระทำเช่นที่ผ่านมาอีก"

    หลวงปู่หลอดจึงถามว่า "โยมคิดอย่างไร ถึงไม่อยากเป็นคนทรงต่อไปอีกล่ะ"
    แม่คำต้นตอบว่า "...เกิดจากข้าน้อยฝันประหลาดเหลือหลาย คือในคืนหนึ่งกำลังหลับสนิท
    ฝันว่าข้าน้อยอยู่ในห้องหนึ่ง มีประตูสองบานอยู่คนละฟาก
    ประตูหนึ่งมีชายร่างสูงใหญ่ดำมืดไปทั้งตัวยืนอยู่ อีกประตูหนึ่งมีพระแก่ชรารูปหนึ่งยืนอยู่
    ชายสูงใหญ่ตัวดำมืดบอกให้ตามเขาไป พระผู้เฒ่าก็บอกให้ตามท่านไปเช่นกัน
    ในฝันนั้นข้าน้อยก็เกิดความลังเลไม่รู้ว่าควรจะไปกับใครดี ในที่สุดก็เชื่อว่าพระต้องดีกว่าผีแน่
    จึงตัดสินใจไปกับพระ จากนั้นได้ตกใจตื่น..."


    แม่คำต้นเชื่อมั่นว่าความฝันต้องเป็นความจริงแน่ๆ เพราะเพิ่งฝันเมื่อคืนนี้เอง
    พอล่วงเข้าตอนบ่ายพระธุดงค์คือหลวงปู่หลอดกับหลวงปู่บัวพาก็มาถึงหมู่บ้าน
    แม่คำต้นได้ขอให้หลวงปู่หลอดเมตตาช่วยเหลือด้วยเถิด

    หลวงปู่หลอดได้ปรึกษากับหลวงปู่บัวพาว่าพอจะช่วยโยมคำต้นได้หรือไม่ เพราะหลวงปู่บัวพา
    นั้นท่านเก่งทางพุทธาคมไสยเวท มีความชำนาญในการสงเคราะห์ญาติโยมที่ถูกผีเข้าสิงหรือถูกกระทำทางคุณไสย
    หลวงปู่บัวพาบอกว่าถ้ามีหลวงปู่หลอด ช่วยอีกแรงหนึ่งก็คงสงเคราะห์ให้ได้
    แม้วิญญาณจะกล้าแข็งสักเพียงใดก็คงไม่อาจต้านทานกระแสจิตของสมณะผู้ทรงศีล และอำนาจแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ
    สังฆคุณ ได้หรอก
    และให้หลวงปู่หลอดช่วยอีกแรงถึงสองรูปได้แน่นอน

    ดังนั้นหลวงปู่หลอดจึงบอกให้แม่คำต้นมาทำพิธีในวันรุ่งขึ้นและกำชับให้พาลูกหลานมาด้วยหลายคน
    เพราะเวลาวิญญาณที่สิงร่างอาละวาดจะมีกำลังแรงเกินคนธรรมดาหลายเท่า
    ชาวบ้านนอกชนบททางภาคอีสานสมัยก่อนนั้นมีความเชื่อและนับถือผีกันแทบทุกบ้าน
    เวลาใดที่เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือทำไรทำนาไม่ได้ผลอุดมสมบูรณ์ ก็มักคิดว่าเกิดจากการดลบันดาลของภูตผี
    หรืออาจจะทำให้ผีขุ่นเคืองไม่พอใจ
    ดังนั้นจึงมีการบูชาผีด้วยเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆ ทั้งๆที่ผีไม่ได้กระทำกลั่นแกล้งแต่อย่างใด
    หากเป็นเพราะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยไข้ป่าหรือไข้มาเลเรียถึงขั้นขึ้นสมอง จึงมีอาการเพ้อคลั่งไปต่างๆนานา
    ชาวบ้านไม่มีการศึกษาไม่รู้สมมติฐานของโรคก็เชื่อไปว่าถูกผีกระทำเอา
    หรือพืชพันธุ์ธัญญาหารไม่เจริญงอกงามเนื่องจากดินฟ้าอากาศแปรปรวน หรือดินจืดขาดปุ๋ย
    ชาวบ้านก็เหมาเอาว่าภูตผีดลบันดาลด้วยความไม่รู้ข้อเท็จจริง

    ส่วนที่ว่าถูกผีกระทำ ถูกผีสิง
    หรือมีเหตุการณ์ผิดปกติอันเนื่องกับอำนาจของภูตผีปีศาจนั้นได้เกิดขึ้นจริงๆก็มี
    ในกรณีเช่นนี้ขออธิบายแต่เพียงย่อๆว่า ผีหรือวิญญาณของผู้ตายนั้นไม่มีรูป สัมผัสไม่ได้
    การติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีกระทำได้ด้วยจิตทางเดียว ถ้าจิตของคนไม่เปิดรับ
    คือไม่ยอมรับอำนาจกระแสจิต วิญญาณของผีก็ไม่สามารถต่อเชื่อมกับกระแสจิตคนได้
    การติดต่อรู้เห็นซึ่งกันและกันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

    ขอให้สังเกตว่า...ในเขตเมืองหรือชุมชนที่เจริญแทบไม่มีเรื่องผีมาปรากฏเลย
    ทั้งนี้ก็เพราะผู้คนซึ่งเจริญแล้วด้วยการศึกษาพอสมควรไม่เชื่อว่าพลังอำนาจของผีมีจริง
    ไม่ยอมรับหรืออาจต่อต้านเสียด้วยซ้ำ จิตที่ไม่เชื่อไม่ยอมรับก็เท่ากับปิดประตูสนิท
    ตัดขาดการติดต่อกับกระแสจิตวิญญาณไปโดยปริยาย
    ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะมีใครพบเห็นผีเข้าสิงชนิดจังๆในเขตเมืองที่เจริญแล้ว
    แต่คนบ้านนอกอยู่ห่างไกลความเจริญ มีความเชื่อว่าผีมีจริงๆมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
    ยิ่งประกอบกับบรรพบุรุษนับถือผี ได้รับรู้รับเห็นพิธีกรรมเซ่นสรวงสังเวยบูชาผีเข้าไปอีก
    จิตของบุคคลเหล่านี้เท่ากับเปิดประตูรับกระแสจิตวิญญาณโดยไม่เคลือบแคลงสงสัย
    ดังนั้นการติดต่อสื่อสารระหว่างคนกับผีจึงเกิดขึ้นได้ง่าย
    ดังนั้น เรื่องผีเข้าสิงและทรงผีจึงมิใช่เป็นเรื่องงมงายไร้สาระไปเสียทีเดียว
    ดังเช่นรายแม่คำต้นนี้ หลวงปู่หลอด "พิจารณา" แล้วเห็นว่าตกอยู่ใต้อำนาจจิตวิญญาณจริงๆ
    ท่านกับหลวงปู่บัวพา จึงตกลงรับปากช่วยสงเคราะห์ ให้ตามกำลัง

    เช้าวันรุ่งขึ้น...หลวงปู่ทั้งสองได้ไปบิณฑบาตรที่หมู่บ้านควนปุ่น
    กลับมาที่กลดก็กระทำภัตตกิจเป็นที่เรียบร้อย กระทั่งสายพอสมควร
    แม่คำต้นและลูกหลานตลอดจนชาวบ้านซึ่งรู้ว่าแม่คำต้นจะเลิกเป็นคนทรงผีเด็ดขาด
    ก็รวมกลุ่มกันมาที่กลดของหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพา

    หลวงปู่ทั้งสองได้ถามย้ำแม่คำต้นว่า "ตัดสินใจแน่วแน่เด็ดขาดแล้วหรือ"
    แม่คำต้นก็ยืนยันเป็นมั่นคงว่า "จะไม่ยอมเป็นทาสผีอีกต่อไปเจ้าคะ "
    หลวงปู่บัวพาจึงได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ในบาตร
    และให้แม่คำต้นรับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะรับเอาไตรสรณคมณ์
    จากนั้นก็บอกให้แม่คำต้นสงบใจตั้งจิต รำลึกนึกถึงคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์เอาไว้ให้แน่วแน่
    แล้วหลวงปู่บัวพาก็กล่าวนำไหว้พระเริ่มต้นที่
    "อิติปิโสภควา...."

    ระหว่างนั้น หลวงปู่หลอด ก็รวมจิตลงสู่สมาธิแผ่กระแสกุศลเมตตาเป็นพลังช่วยหลวงปู่บัวพาอีกทางหนึ่ง
    เมื่อแม่คำต้นสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็นั่งพนมมือหลับตา พยายามทำจิตน้อมรำลึกถึงพระรัตนตรัย
    ขณะที่หลวงปู่บัวพาสวดพุทธาคมทำน้ำพระพุทธมนต์ไล่ผี

    ตอนแรกๆ แม่คำต้นก็นั่งนิ่งเฉยเป็นปกติ พอเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งก็เกิดอาการกระสับกระส่าย
    ร่างกายสั่นเทิ้มไม่ได้หยุด พร้อมกับส่งเสียงครางเครือในลำคอตลอดเวลา
    พอดีกับหลวงปู่บัวพาทำน้ำพระพุทธมนต์เสร็จสิ้นท่านจึงใช้กำหญ้าคาจุ่มน้ำพระพุทธมนต์พรมไปที่แม่คำต้น
    ทันทีที่หยาดน้ำพระพุทธมนต์กระทบร่างแม่คำต้น หญิงวัยกลางคนก็กรีดร้องสุดเสียง
    ทะลึ่งพรวดสุดตัวประหนึ่งน้ำพระพุทธมนต์เป็นน้ำร้อนเดือดพล่าน ญาติพี่น้อง ๔-๕
    คนซึ่งคอยทีอยู่แล้วต่างถลันเข้าไปช่วยกันจับยึดตัว แม่คำต้นเอาไว้ทั้งแขนทั้งขา
    ก่อนจะดิ้นรนเกลือกกลิ้งไปกับพื้น

    แม่คำต้นไม่ได้มีรูปร่างสูงใหญ่อ้วนล่ำแต่อย่างไร ออกจะเป็นหญิงร่างเล็กและผอมบางเสียด้วยซ้ำ
    แต่เวลานั้นไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ญาติพี่น้องซึ่งช่วยกันจับยึดเป็นชายฉกรรจ์ก็หลายคน
    ส่วนที่เป็นหญิงจัดว่าร่างใหญ่แข็งแรงเอาการทีเดียว
    กระนั้นแต่ละคนก็ต้องออกแรงจับกดกันจนเหงื่อหยดโซมหน้า
    หลวงปู่บัวพาท่านสาธยายมนต์ไม่หยุด พร้อมกับพรมน้ำพระพุทธมนต์เข้าใส่อย่างต่อเนื่อง
    แม่คำต้นพยายามดิ้นสะบัดให้หลุดจากคนหลายคนที่จับยึดเอาไว้แน่นจนตัวแอ่น
    เบิ่งนัยน์ตาขุ่นขวางแทบถลนออกนอกเบ้า หน้าตาบิดเบี้ยวถมึงทึงเหมือนไม่ใช่แม่คำต้นคนเดิม
    คำรามเสียงแหบห้าวอย่างกราดเกรี้ยวว่า

    "เอาน้ำร้อนมารดกูทำไม! กูร้อน! ปวดแสบปวดร้อนทนไม่ไหวแล้ว! หยุดสาดน้ำร้อนใส่กูเดี๋ยวนี้!
    หยุดเดี๋ยวนี้!"

    หลวงปู่บัวพา และหลวงปู่หลอด มิได้โต้ตอบแต่อย่างใด หลวงปู่บัวพา
    ยิ่งพรมน้ำพระพุทธมนต์หนักมือกว่าเดิมเข้าไปอีก แม่คำต้นก็อาละวาดด้วยกิริยาโกรธแค้นสุดขีด
    ปากก็ตะโกนโวยวายไม่ยอมหยุด หลวงปู่บัวพาบอกให้ผีที่แอบสิงอยู่ในร่างแม่คำต้นออกไปเสีย
    แต่ผีก็ยังดื้อดึงสุดฤทธิ์ทั้งๆที่ท่าทางของมัน (แม่คำต้นแสดงออกมา)
    กำลังได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
    คราวนี้หลวงปู่บัวพาไม่พรมน้ำพระพุทธมนต์แล้ว
    หากยกบาตรขึ้นเทน้ำพระพุทธมนต์รดลงไปที่กลางกระหม่อมแม่คำต้นตรงๆ
    หญิงกลางคนซึ่งเป็นร่างทรงของผีทะลึ่งพรวดสุดตัว นัยน์ตาเหลือกค้างเห็นแต่ตาขาว
    หวีดร้องโหยหวนน่าขนพองสยองเกล้า

    "โอย...ทนไม่ไหวแล้ว...ข้ายอมแล้ว...จะออกไปแล้ว...อย่าทำข้า"

    สิ้นคำร้องร่ำไม่เป็นส่ำ ตัวแม่คำต้นก็อ่อนยวบฟุบหมอบคาที่ หลวงปู่บัวพา
    รดน้ำพระพุทธมนต์ที่เหลือในบาตรลงไปบนศีรษะจนหมด คราวนี้แม่คำต้นไม่มีปฏิกิริยาอะไร
    คงฟุบหมอบหายใจระรวยแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นแสดงว่าวิญญาณผีที่แอบแฝงสิงร่างอยู่เตลิดเปิดเปิงหนีหายไปหมดแล
    ้ว
    พักใหญ่ๆแม่คำต้นจึงได้ฟื้นคืนสติ เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางมึนงงเต็มที่
    เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองบ้างขณะที่วิญญาณผีร้ายเข้าสิงญาติพี่น้องต้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให
    ้ฟังกระทั่งผีออกไปจากร่าง แม่คำต้นก็ปีติดีใจนักที่หลุดพ้นจากอำนาจผีเสียที
    หลังจากเป็นทุกข์ทรมานมานานหลวงปู่บัวพากับหลวงปู่หลอด
    ได้ผูกข้อมือแม่คำต้นด้วยด้ายสายสิญจน์และทำมงคลคล้องคอให้อีก
    เพื่อป้องกันไม่ให้ผีแอบแฝงมาเข้าสิงต่อไป

    นับแต่นั้น...แม่คำต้นร่างทรงผีก็ไม่ปรากฏมีผีมาเข้าทรงเข้าสิงอีกเลย ทว่า
    หลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาก็ต้องอยู่ที่บ้านควนปุ่นต่อไปอีกระยะหนึ่ง
    เพราะผีซึ่งเข้าสิงแม่คำต้นได้กลับไปรังควานชาวบ้านคนอื่นๆ
    เป็นภาระให้หลวงปู่ทั้งสองต้องทำพิธีไล่ออกหลายราย
    หลวงปู่หลอด จึงได้ให้ชาวบ้านควนปุ่นมารับไตรสรณคมน์ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะทุกคน
    แล้วสอนให้สวดมนต์ไหว้พระและปฏิบัติภาวนาพร้อมกันนั้นยังสอนให้ทุกคนรักษาศีล ๕
    อย่างเคร่งครัดเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม

    ในที่สุดชาวบ้านควนปุ่นก็ไม่มีภูตผีวิญญาณร้ายใดๆ มาแสดงฤทธิ์ข่มเหงรังแกอีกเลย...

    หลวงปู่หลอดจาริกธุดงค์ไปกับหลวงปู่บัวพาผู้เป็นสหธรรมมิกตลอดพรรษานั้น
    ตราบถึงกาลเข้าพรรษาจึงได้แยกย้ายไปจำพรรษาต่างอารามกัน
    หลังออกพรรษาทุกๆปี หลวงปู่หลอด ปโมทิโต จะถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดมา
    กล่าวได้ว่าหลวงปู่หลอดจาริกไปทั่วทั้งภาคเหนือและภาคอีสานท่องไปในป่าดิบดงกันดารสู่สถานวิเวก
    เพื่อกระทำความเพียรสะบั้นภพชาติซึ่งร้อยรัดสัตว์โลกเอาไว้อย่างเหนียวแน่นนับอนันตกาล

    ประสบการณ์ธุดงค์ของหลวงปู่หลอดมีมากมาย ทั้งเป็นเรื่องอัศจรรย์เหนือโลกเหนือวิสัย
    เกินกว่าที่วิทยาการสมัยใหม่จะทดสอบพิสูจน์ได้ เรื่องใดที่ท่านไปพบเห็นสัมผัสมาแล้ว
    และเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์ในทางธรรมซึ่งพุทธศาสนิกชนควรพึงมีพึงได้ หลวงปู่ก็จะละเว้นไม่นำพามากล่าวถึง
    นอกจากบางเรื่องที่ท่านเห็นว่า ถ้าเปิดเผยออกไปแล้วน่าจะทำให้เกิดสะดุ้งกลัวต่อบาปเวร
    หรือฉุกคิดถึงสัจธรรมขึ้นมาจึงจะถ่ายทอดให้ได้รับรู้

    มีอยู่คราวหนึ่ง...หลวงปู่หลอดเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ ไปถึงอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง
    มีแม่ชีคนหนึ่งชื่อแม่ชีตุ้มและอุบาสิกาคำซึ่งเป็นชาวเขานุ่งดำห่มดำไปปฏิบัติธรรมที่
    "ถ้ำแม่แก่ง" ขณะกำลังนั่งสมาธิกรรมฐานอยู่นั้น ได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาในถ้ำ
    และมีเสียงร้องคร่ำครวญให้ช่วย จึงได้แผ่เมตตาให้แก่วิญญาณซึ่งทุกข์ทรมานเหล่านั้น
    แต่ดูเหมือนว่าวิญญาณซึ่งปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งยังคงวนเวียนอยู่

    หลวงปู่หลอดจึงได้ไปปฏิบัติสมณธรรมกรรมฐานที่ถ้ำแม่แก่ง
    และท่านก็ได้สัมผัสรับรู้ถึงวิญญาณทรมานซึ่งวนเวียนอยู่ที่ถ้ำแม่แก่ง
    พวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวไทยใหญ่ มีอาชีพค้าขายเพชรพลอยซึ่งเดินทางจากฝั่งพม่ามาไทยเป็นประจำ
    วันหนึ่งถูกพวกผู้ร้ายใจบาปเข้าปล้นแย่งชิงอัญมณีมีค่าและเงินทองติดตัวไปจนหมด แล้วฆ่าปิดปากทุกคน
    จากนั้นได้นำศพมาฝังไว้ใกล้ๆกับถ้ำแม่แก่งเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยการกระทำความผิดอย่างมหันต์ของตน

    วิญญาณของชาวไทยใหญ่พ่อค้าเพชรพลอย ซึ่งต้องมาตายอย่างไร้ญาติขาดมิตรกลางดงกันดาร
    จึงเกาะติดยึกเหนี่ยวอยู่ ณ บริเวณนี้ด้วยความทรมาน
    รอคอยผู้ทรงศีลบริสุทธิ์มาเมตตาช่วยให้หลุดพ้นไปจากสถานที่นี้นานแสนนานแล้ว
    เมื่อหลวงปู่หลอดรับรู้เช่นนั้น
    ท่านจึงภาวนาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ท่านได้ปฏิบัติมาแผ่เมตตาออกไปให้แก่ปวงวิญญาณทรมานทั้งหลายอย่างไม่
    มีประมาณ

    ตั้งแต่นั้น เสียงคร่ำครวญโหยหวนที่ปรากฏ ณ ถ้ำแม่แก่งก็สูญสิ้นหายไป...


    สาธุอนุโมทนา......................




    </TD></TR><TR><TD bgColor=#f0f0f0></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>


    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอบคุณข้อมูลจาก : 00422
     
  11. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ขอน้อมกราบนมัสการหลวงปู่หลอด ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
    ในภูมิธรรมและจริยวัตร รวมถึงมหาเมตตาที่หลวงปู่ได้เผยแผ่แก่ลูกหลาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2009
  12. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    ผมได้ไปร่วมงานสวด
    มีสาธุชนไปกันมากมาย
    ไปปฏิบัติธรรม
    ...
    วันนี้ครบรอบ7วันครับที่ท่านมรณภาพ
     
  13. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    ขอน้อมกราบหลวงปู่หลอดด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ

    ขอบคุณพี่หนอนสำหรับข้อธรรมของหลวงปู่ค่ะ
     
  14. NCK2046

    NCK2046 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    628
    ค่าพลัง:
    +3,793
    เพิ่งทราบจากกระทู้นี้ค่ะ

    หลวงปู่นิพพานแล้ว คิดถึงจัง
     
  15. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    เช้านี้
    น้องเดียร์-(รัศมีดารา หรือ จูจู)
    ไปกราบท่านที่ศาลา
    พระบรมสารีริกธาตุ เสด็จมา
    โดยตกลงจากเพดาน
    ...
    น้องเดียร์ ได้มาบูชา
    โมทนาด้วยครับ
     
  16. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ไปกราบหลวงปู่หลอดมาแล้วเหมือนกันเมื่อวันที่เสาร์ที่ ๒๕ ก.ค. ๕๒
    ใครไม่มีรถส่วนตัว ขอแนะนำเส้นทางนะคะ เพื่อความสะดวก
    ลงรถที่ ถนนลาดพร้าวจากปากทางลาดพร้าว ลงได้ ๒ ซอยค่ะ

    ๑.ซอยภาวนา (ลาดพร้าว ๔๑)
    แล้วต่อรถกระป๋อง หรือรถตุ๊กๆ แล้วแต่จะเรียก
    ซึ่งปลายทางจะไปแยกวังหิน ค่ารถ ๗ บาทค่ะ
    ให้สังเกตโลตัส ซ้ายมือ เมื่อเลยโลตัสแล้ว ก็กดกริ่งลงได้เลย
    เพราะวัดจะอยู่ห่างจากโลตัสมาเล็กน้อย ฝั่งเดียวกัน

    ๒.ซอยโชคชัย๔ (ลาดพร้าว๕๕)
    แล้วต่อรถกระป๋องเหมือนกันค่ะ แต่ที่นี่มี ๒ สาย ค่ารถ ๗ บาทเช่นกัน
    -โชคชัย๔-โลตัส ไปลงสุดทาง แล้วเดินไปอีกนิดค่ะ
    -โชคชัย๔-วังหิน ถึงแยกโลตัสจะเลี้ยวขวา ก็ลงเลยค่ะ หน้าวัดพอดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2009
  17. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ณ ไปครั้งแรก กว่าจะไปถึงก็ใช้เทคนิคเฉพาะตัวเหมือนกัน
    บ่ายสองโมงกว่า ก็มาถึงหน้าวัดจนได้
    ประตูทางเข้ามีสองด้าน เลือกเข้าประตูแรก ซ้ายมือ
    วัดสิริกมลาวาส หรือวัดใหม่เสนานิคม ชื่อหลังรู้สึกคุ้นมากกว่า...

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0399.JPG
      IMG_0399.JPG
      ขนาดไฟล์:
      227.3 KB
      เปิดดู:
      1,630
    • IMG_0398.JPG
      IMG_0398.JPG
      ขนาดไฟล์:
      223.4 KB
      เปิดดู:
      1,577
  18. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    เดินเข้าไปด้านขวามือจะเป็นโบสถ์
    ใต้โบสถ์ที่นี่ทำเป็นที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์
    หน้าต่างโบสถ์สวยงามมากเป็นรูปเทพพนม

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0385.JPG
      IMG_0385.JPG
      ขนาดไฟล์:
      358.7 KB
      เปิดดู:
      1,552
    • IMG_0392.JPG
      IMG_0392.JPG
      ขนาดไฟล์:
      194.3 KB
      เปิดดู:
      1,568
    • IMG_0396.JPG
      IMG_0396.JPG
      ขนาดไฟล์:
      335.8 KB
      เปิดดู:
      1,582
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2009
  19. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    เดินผ่านโบสถ์มาได้หน่อย ซ้ายมือจะมีสถาบันพลังจิตตานุภาพ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0378.JPG
      IMG_0378.JPG
      ขนาดไฟล์:
      191.9 KB
      เปิดดู:
      1,098
    • IMG_0379.JPG
      IMG_0379.JPG
      ขนาดไฟล์:
      195.3 KB
      เปิดดู:
      1,101
    • IMG_0381.JPG
      IMG_0381.JPG
      ขนาดไฟล์:
      172.8 KB
      เปิดดู:
      1,087
    • IMG_0380.JPG
      IMG_0380.JPG
      ขนาดไฟล์:
      197.3 KB
      เปิดดู:
      1,059
  20. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    ตรงข้ามสถาบันฯ
    ด้านขวามือเป็นศาลาที่ตั้งสังขารหลวงปู่หลอด
    เพื่อให้ลูกหลานได้มาสักการะบูชา
    ขึ้นไปกราบหลวงปู่ฯ กันก่อน...

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0373.JPG
      IMG_0373.JPG
      ขนาดไฟล์:
      231.8 KB
      เปิดดู:
      1,321
    • IMG_0376.JPG
      IMG_0376.JPG
      ขนาดไฟล์:
      380.5 KB
      เปิดดู:
      1,086
    • IMG_0375.JPG
      IMG_0375.JPG
      ขนาดไฟล์:
      428.4 KB
      เปิดดู:
      1,091

แชร์หน้านี้

Loading...