หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเล็ก โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย watnatangnok namai, 16 มีนาคม 2014.

  1. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    เรื่องต้นที่จะนำมาเล่าให้ฟังคือว่า ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน ตอนนั้นท่านฝึกให้หลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อเล็กนี่น่ะเป็นพระที่มีกรรมฐานสำคัญมาก แล้วเป็นพระที่หลวงพ่อปานไว้วางใจและเกรงใจมาก เพราะว่ามีอำนาจรองจากหลวงพ่อปาน ถ้าจะว่ากันไปตามความจริงแล้วละก็ พระในวัดน่ะเกรงใจหรือว่ากลัวหลวงพ่อเล็กมากกว่าหลวงพ่อปาน เพราะว่าหลวงพ่อปานท่านไม่ค่อยได้อยู่วัด อำนาจการปกครองต่างๆ ตกอยู่กับหลวงพ่อเล็กองค์เดียว การจัดสรรระเบียบต่างๆ หลวงพ่อเล็กเป็นผู้บังคับ หลวงพ่อเล็กเป็นพระไม่ค่อยอยากพูด ตามปกติท่านนั่งเฉยๆ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่มีใครไปพูดเรื่องธัมมะธัมโมกับท่าน วันนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องพูดอะไรกัน แต่ว่าถ้าใครไปพูดเรื่องธัมมะธัมโมกับท่าน รู้สึกว่าท่านพอใจมาก คุยกับเขาได้ตลอดวัน พระองค์นี้มีเวลาทำงานตรงตามเวลาเสมอ เวลาของท่านแต่ละอย่างที่ท่านกำหนดไว้ ท่านไม่ยอมให้คลาดเคลื่อน นี่เป็นระเบียบของท่านเองนะ เรื่องมีอยู่ว่า ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานทำรูปของท่าน แล้วมีรูปยันต์เกราะเพชร เมื่อทำแล้วหลายพันผืนสำหรับแจกบรรดาพุทธบริษัทที่มีความต้องการ ท่านทำแจกของท่านจริงๆนะ ไม่ได้ขาย คำว่าแจกนี่ไม่มีคำว่าขายติดอยู่ด้วย หมายความว่าถ้าใครมาขอท่านให้เลย เรื่องที่เขาจะเงินเอาทองมาให้ท่านหรือไม่น่ะ ท่านก็ไม่ถาม ไม่เคยถามฉัน ฉันนี่แหละเป็นคนแจก ใครมาขอฉันเป็นคนแจก ท่านไม่เคยถามเลยว่าค่าผ้ายันต์ค่าพระของท่านได้เท่าไหร่ ไม่เคยได้ยินเสียงถามตลอดชีวิต คราวหนึ่งหลวงพ่อปานไม่ได้สั่งพิมพ์เอง เป็นนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ คนนี้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้ากับหลวงพ่อปาน ทำจนมีผล ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าจนเป็นฌาน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ลูกหลานทั้งหลาย ถ้าใครจำได้นะ ถ้าใครจำคาถาได้ ทำให้เป็นสมาธิ ทำให้เป็นฌาน มีผล ๒ อย่าง คือว่าถ้าเป็นฌานแล้วลาภสักการจะเกิดไม่ขาดสาย ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องใดๆ ไม่ค่อยจะมี หากว่ามีขึ้นมาก็มีการชดใช้ หมายความว่าหาทัน นี่เป็นประการ ๑ ประการที่ ๒ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน มีผลยันให้ถึงพรหม หมายความว่าบันดาลให้เกิดเป็นพรหมได้ แต่ถ้าหากใช้ฌานอันนั้นไปเจริญวิปัสสนาญาณก็ไปพระนิพพานได้ ฉะนั้น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปาน จึงไม่ใช่เป็นคาถาที่ปรัมปราหรือไร้ผล มีผลในชาติปัจจุบัน แล้วก็มีผลในชาติสัมปรายภพ หากว่าบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปานจนเป็นฌานได้ ทุกคนก็จะไม่มีความยากจน เวลาตายก็มีความสุข อยากจะไปนิพพานก็ไปได้ มีผลเสมอกัน เป็นคาถาของชาวบ้านโดยตรง คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่องผ้ายันต์ ในเมื่อนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายตราใบโพธิ์มาถวายหลวงพ่อปานจำนวนหลายพันผืน เมื่อเขาพิมพ์มาแล้วหลวงพ่อปานก็สั่งหลวงพ่อเล็กให้เอาผ้ายันต์ไปเสก หลวงพ่อเล็กนำมาเสก ๓ เดือน ถือว่าครบไตรมาสพรรษาหนึ่งพอดี หลวงพ่อเล็กนี่เราทราบกันอยู่ว่าท่านได้สมาบัติ ๘ แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้นสำหรับวิปัสสนาญาณนี่จะได้อะไรฉันไม่ทราบ ฉันไม่หลอกสิ่งที่จะรู้กันได้ ถ้าเราได้ถึงไหนเราก็รู้กันว่าคนอื่นเขาได้ถึงเพียงนั้น ที่รู้เลยไปเราไม่รู้ ตอนนั้นฉันก็ยังทรงสมาบัติ ๘ เหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ฝึกอภิญญาครบถ้วน เลยกลายเป็นพระไม่ใช่อภิญญา นี่ฟังให้ดีนะ สมาบัติ ๘ ก็อาศัยกสิณกองใดกองหนึ่งเป็นพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องใช้กสิณทั้งหมก ๑๐ อย่าง ใช้กสิณกองใดกองหนึ่งเป็นพื้นฐานยกเอารูปขึ้นมาตั้งแล้วก็เพิกกสิณนั้นเสีย แล้วใช้อรูปฌานขึ้นมาแทน ถ้าทำได้ทั้ง ๔ อย่างก็เรียกว่าทรงอรูปฌาน ๔ อย่าง ได้เป็นฌาน ๘ ไป นี่ฟังกันไว้เท่านี้นะ หลวงพ่อเล็กได้ฌาน ๘ สมาบัติ ๘ เลยกว่านั้นฉันไม่รู้ เมื่อได้รับผ้ายันต์มาแล้วก็มานั่งเสก เสกด้วยอำนาจของสมาธิ เข้าฌานสมาบัติ ๓ เดือน เวลากลางคืนนา เสกกี่ชั่วโมงไม่ทราบ แต่ว่าไม่ใช่ว่าตลอดวันตลอดคืน อย่านึกว่าตลอดวันตลอดคืน ๓ เดือน ไม่ลูก ไม่กินข้าวไม่กินปลา นี่มันก็เกินคนไป ว่ากันตามแบบปกติ

    ฟังเรื่องของพระนะ พอครบ ๓ เดือนวันออกพรรษาหลวงพ่อเล็กเรียกฉันเข้าไป บอกให้แบกผ้ายันต์ ฉันคนเดียวมันแบกไม่ไหว ก็เอาไอ้เพื่อนอีก ๓ คนมาช่วยกันแบกผ้ายันต์มาถวายหลวงพ่อปาน ยังไม่ทันจะถึงเลย ห่างอีกประมาณสัก ๑๐ วาได้กระมัง หลวงพ่อปานเห็นเข้า ท่านโบกมือโบกไม้บอกว่า ไม่เอาๆ ยังไม่เสร็จ ยังไม่เสร็จ ยังใช้ไม่ได้ นี่ท่านร้องไป ก็เป็นอันว่าไม่เอาเข้าไปให้ท่าน เอากลับ ตอนนี้หลวงพ่อเล็กกลับมาก็นึกในใจว่า นี่เราทำขนาดนี้ยังใช้ไม่ได้ ใครที่ไหนจะยิ่งไปกว่าเรานะ เราเข้าถึงสมาบัติ ๘ นี่ท่านบ่นนะ เราเข้าถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็คลายสมาธิลงมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งอารมณ์จิตเป็นแก้วทั้งหมด เป็นแก้วประกายพฤกษ์ทั้งหมดแล้วเราจึงเข้าสมาธิใหม่ จัดเป็นโลกุตตรญาณ แล้วเราก็อธิษฐานจิต นี่ยังใช้ไม่ได้ ก็ใครจะเสกยิ่งไปกว่านี้ ท่านบ่นให้ฟัง ท่านก็บอกว่า เอา ในเมื่อท่านใหญ่บอกว่าใช้ไม่ได้ ฉันก็จะทำให้ใหม่ ตอนนี้ท่านไปทำใหม่ ๗ วัน ท่านทำยังไงบ้างฉันไม่ทราบ เวลาท่านทำไม่ได้เข้าไปยุ่งกับจิตใจของท่าน พอครบ ๗ วัน ท่านมาเรียกพวกฉันไปให้ไปแบกมาให้หลวงพ่อปาน ตอนนี้เองพอแบกมาหลวงพ่อปานเห็นแต่ไกลก็กวักมือกวักไม้บอก เออๆ เอามาๆๆ อย่างนี้ซิมันถึงจะใช้ได้ ไอ้คนเก่งคนเดียวน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้คนอื่นเขาเก่งกว่า เก่งคนเดียวใช้ไม่ได้ ทำอย่างนี้ใช้ได้ เมื่อเข้าไปถึงหลวงพ่อเล็กก็กราบหลวงพ่อปาน ฉันก็กราบ เพื่อนฉันก็กราบ ไอ้ฉันน่ะมันคนชอบสงสัย ไอ้เพื่อนๆมันเรียกไอ้ปากหมา สมัยนั้นเขาไม่เรียกปากลิงหรอก เขาเรียกปากหมา เมื่อสงสัยอะไรขึ้นมาชอบถามผู้หลักผู้ใหญ่ สงสัยใครขึ้นมาชอบสอบถาม ไปถามเพื่อนมันบ่อยๆ มันเลยเรียกไอ้พระปากหมา ช่างมันเถอะ ความจริงถ้าปากฉันเป็นหมาได้ฉันจะดีใจ ปากหมาน่ะมันกินไม่เลือก กระดกกระดูกมันกินได้ ของแข็งยังไงมันกินได้ วาจาของเพื่อฉันมันไม่ศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้ปากฉันกินของแข็งก็ไม่ได้ มันไม่เท่าหมาเสียแล้ว ไปเห็นหมามันเคี้ยวกระดูก หมามันเคี้ยวอะไรต่ออะไรได้อย่างไม่รังเกียจ รักษาชีวิตของมันด้วยอาหารต่างๆ ฉันอยากจะทำอย่างนั้นบ้างทำไม่ได้ ถ้าปากฉันเป็นหมาจริงๆ ละก็น่ากลัวจะทำได้ แล้วฉันจะสบายกว่านี้มาก นี่ปากฉันดันเป็นปากคน แล้วก็ไม่เท่าปากคนธรรมดา เลยรักษาตัวยากหน่อย เสียท่า ไอ้เพื่อนมันพูดไม่ตรง

    ต่อไป ฉันถามหลวงพ่อเล็กว่า หลวงพ่อขอรับ ตอนก่อนหลวงพ่อเสกยังไงหลวงพ่อปานจึงว่าใช้ไม่ได้ หลวงพ่อเล็กบอกว่า ตอนก่อนฉันเข้าสมาบัติ ๘ แล้วใช้วิปัสสนาญาณเต็มที่ คลายจิตออกมาถึงอุปจารสมาธิ อธิษฐานแล้วก็เข้าสมาบัติ ๘ ใหม่ เท่านี้ ๓ เดือน ไม่ได้ขาดเลยทุกคืน คืนละ ๓ ชั่วโมง ท่านใหญ่บอกว่าใช้ไม่ได้ หลวงพ่อปานท่านก็ออกมาบอก ยังงี้ใช้ไม่ได้ดอกคุณเล็ก คุณเล็กอย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ คือว่าถ้าเราทำอะไรถ้าเก่งคนเดียวมันใช้ไม่ได้ ไอ้เราเองน่ะมันไม่ดีพอ ต้องให้คนอื่นเขาดีบ้าง จึงได้ถามหลวงพ่อเล็กใหม่ว่า หลวงพ่อขอรับ ตอน ๗ วันนี่ หลวงพ่อทำยังไงขอรับ ท่านบอกว่าในเมื่อฉันใช้สมาบัติ ๘ ท่านใหญ่บอกว่าใช้ไม่ได้ ฉันก็กลับ คราวนี้ฉันไม่เอาละ ฉันก็ตั้งท่าบวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมีพระทั้งหมดตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอด ในเมื่ออาราธนาเห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วท่านมาทำกันคืนหนึ่งประเดี๋ยวเดียว สัก ๑๐ นาทีท่านก็กลับ แล้วท่านก็บอกให้เลิก ฉันก็นอน ฉันทำมาแบบนี้ถึง ๖ วัน ถึงวันที่ ๗ ทุกท่านมา แต่ไม่มีใครทำ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว คุณจะให้ฉันทำอะไร ฉันก็เลยเลิก ถึงได้ให้พวกเธอแบกมาให้ท่านใหญ่ นี่ท่านเรียกหลวงพ่อปานว่าท่านใหญ่ หลวงพ่อปานฟังแล้วก็หัวเราะก๊าก บอกจริงที่คุณเล็กพูดน่ะ จริงนะอาจารย์เล็ก อาจารย์เล็กท่านเรียกอาจารย์เล็กบ้าง คุณบ้าง ที่อาจารย์เล็กพูดนั่นน่ะจริง พวกเธอจงจำไว้นะ การที่เราจะเสกพระเสกผ้ายันต์อะไรต่ออะไรนี่น่ะ ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราละไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด การเสกพระเสกเจ้า หรือเสกผ้ายันต์ เสกอะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียว ๒-๓ นาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี แล้วเราจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่าขอให้ใช้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริตหรือกฎของกรรมบังคับ ไม่มีอะไรจะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้วก็คอยพยุงๆให้เลวน้อยลงไปนิดหนึ่งได้ ถ้าใครดีขึ้นมาหน่อยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็นกฎของอำนาจพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหม และเทวดาทั้งหลาย ท่านพูดแล้วท่านก็ชอบใจ บอกว่าคุณเล็กทำถูก ตอนก่อนฉันรู้ ไปตั้งท่าเข้าสมาบัติอยู่คืนละ ๒-๓ ชั่วโมง ฉันนั่งอยู่ที่กุฏินี่ฉันก็รู้ แต่ที่ฉันไม่บอกไว้ก่อนเพราะจะให้คุณเล็กนี่นะรู้เอง การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง ของที่เราทำ เราจะไปตามคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก

    นี่ตอนนี้ นี่นำมาเล่าให้แก่บรรดาลูกหลานฟัง จะได้ทราบถึงวิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ ถ้าพระเข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักษุญาณโดยมากเขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานชาวบ้านมาทำ พูดว่าชาวบ้านมันก็ต่ำไป วานพระมาทำ พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าทำเองไม่ช้ามันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนทำมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเขาได้ นี่ว่ากันตามธรรมดานะ ตอนนี้ที่นำมาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะชี้ว่าหลวงพ่อปานนี่น่ะท่านมีเจโตปริยญาณ หรือว่าทิพยจักษุญาณดีมาก แจ่มใสมาก ขนาดลูกศิษย์ทำอะไรอยู่ที่ไหนท่านรู้ อย่างฉันนี่นะไปทำผีเข้าผีออกที่ไหนท่านรู้ โกหกท่านไม่ได้สักที หลายวาระแล้วตั้งใจจะโกหกท่าน ปิดไม่ได้ พอเห็นหน้าเข้าชี้หน้าเลย ไม่ทันจะถามเสียด้วยซี แล้วไม่ทันจะบอก ไม่ได้สอบสวน ชี้หน้าแล้วก็พูดเรื่องที่ฉันไปสร้างความระยำเลย นี่ฉันเองน่ะโดนมากกว่าคนอื่น พระอื่นๆ เขาไม่โดนมากเท่าฉันหรอก ฉันน่ะมันใกล้ชิดท่านมาก โดนมาก แล้วก็เกเรมาก ขโมยก็เก่ง ขโมยไม่ใช่อะไร ขโมยคาถา อยากจะทดลองสมาธิ ทำได้แล้วก็ทิ้งน้ำไป

    เอา มาว่ากันไป ข้อที่ ๒ นะ ทีนี้ว่าถึงเรื่องรู้ของหลวงพ่อปาน ที่วัดบางนมโคนี่มีกุฏิอยู่หลังหนึ่ง ผีดุมาก กุฏิหน้าศาลา คือ ข้างล่างเป็นศาลาหน้ามุข แล้วข้างบนเป็นกุฏิคู่ ท่านทำเป็นสถานที่เรียนนักธรรม กุฏิคู่นี้มีพระขึ้นไปอยู่ ๒ รุ่น รุ่นละ ๒ องค์ อยู่กันถึงวันที่ ๔ ก็เสด็จลงมาหมด รุ่นแรกขึ้นไปกลับมาไม่บอกใคร ถามว่าทำไมไม่อยู่มันเงียบดี บอกไม่ชอบอยู่ เฉยๆ เขาพูดเฉยๆ รุ่นที่ ๒ ขึ้นไป ๓ วันลง แล้วต่อจากนั้นไปก็ไม่มีใครขึ้น ฉันก็อยากจะไปอยู่บ้างซิ มันเงียบดี ก็ลองๆดู ก็มีผู้ใหญ่เขาบอกให้ฟังนะว่าที่ตรงนี้ผีมันดุมาก หลวงพ่อปานเคยปลูกโรงเรียนบาลีตรงนี้ ผีมันดุ แต่เวลานี้ท่านรื้อไปแล้ว เอาสร้างเป็นศาลาหน้ามุข ฉันก็ไปขออนุญาตหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานบอกว่าอย่าไปเลยคุณที่ตรงนั้นมันไม่ค่อยดี ผีมันดุ ฉันเลยบอกว่า ตรงที่ผีดุๆนี่ผมชอบ เพราะอยากจะดูซิว่าผีมันมีฤทธิ์แค่ไหน ฮึ่ ดูซีลูกหลาน ฉันมันเหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขาที่ไหน หลวงพ่อปานท่านมองหน้า แล้วท่านก็ยิ้มๆบอก เอ้า อยากจะรู้ฤทธิ์รู้เดชผีก็ขึ้นไปได้ อนุญาต แต่อย่าลืมนา ถ้ามีเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาละ ตอนกลางคืนห้ามมาพบฉัน แกจะพบฉันได้ต่อเมื่อมันสว่างแล้ว เอาละซี ก็เป็นอันว่าตกลง ทีนี้เวลาจะไปก็เตรียมหวายตีผีไปด้วย เอาไว้สู้กันให้เต็มที่ มีตะเกียงโคมลูกหนึ่ง ห่มสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิครบถ้วน ขึ้นไปบนนั้นประมาณ ๑ ทุ่ม แล้วไปนอนอ่านหนังสืออยู่ มันเป็นกุฏิ ๒ หลังอยู่คู่กัน ห่างกันประมาณ ๒ วา เมื่อขณะอ่านหนังสืออยู่ปรากฏว่ามีเสียงคุยกัน เป็นเสียงผู้ชายเสียงใหญ่ๆ คุยกันที่กุฏิอีกหลังหนึ่งที่ฉันไม่ได้อยู่ เสียงเพรียกไปหมด กะเสียงคนประมาณห้าหกสิบคน ฉันก็คิดว่าพวกทำเขื่อนหน้าวัดบางนมโคหรือพวกเจ๊กมาคุยกัน ฉันฟังไม่รู้เรื่อง จะว่าเป็นภาษาเจ๊กก็ไม่ใช่ ภาษาไทยก็ไม่รู้เรื่อง สงสัยว่าไอ้พวกนี้นี่มันยังไง เรานอนอยู่ตรงนี้นี่นา มันน่าจะเกรงใจเราบ้าง แต่ที่ไหนได้ พอคว้าไฟฉายไปส่องดูไม่มี ไม่มีอะไรเลย เรียกว่าคนไม่มี ผีก็ไม่เห็น เงียบ กุฏิเขาก็ใส่กุญแจไว้นี่ หน้าต่างทุกบานเปิดไม่ออกเพราะติดกลอน ต้องไปไขกุญแจ ไขกุญแจดูก็ไม่มีอะไรเลย นึกว่านี่น่ากลัวจะเป็นผี ก็เลยคิดว่าช่างมัน อยากจะดูนักว่าผีมันเป็นยังไง ทีนี้พอถึงตอนดึกฉันก็นอน หลังตี ๑ ครึ่งฉันตื่นเป็นปกติ ตี ๑ ครึ่งตื่นขึ้นมาแล้ว ล้างหน้าล้างตา ทำวัตรสวดมนตร์ พอตี ๒ พอดีฉันก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน ไปเลิกเอาตอนตี ๔ ออกเดินจงกรม หรือไม่ยังงั้นก็ทบทวนความรู้จากพระปริยัติ คือจากหนังสือว่ากันตามเรื่อง ตามแบบฉบับของพระ แล้วตั้งแต่ตอนตี ๒ ถึงตี ๔ น่ะ ต้องเข้าฌานเต็มระดับ เอากันเต็มที่ จะมีฌานเท่าไหร่มีวิปัสสนาญาณเท่าไร ว่ากันเต็มอัตราศึก แล้วเวลาถึงตี ๔ คลายออกมาแล้วก็ทรงไว้แต่อุปจารสมาธิบ้าง ทรงไว้แค่ปฐมฌานบ้าง เพื่อสำหรับเวลาเช้าจะได้ไปบิณฑบาต จะเข้าในเกณฑ์ที่เรียกว่าพระโปรดสัตว์ ไม่ใช่พระไปให้สัตว์โปรด เป็นยังงี้หนา คืนนี้พอถึงตี ๑ ครึ่ง ฉันตื่นขึ้นมาไม่ใช่ยังงั้นเสียแล้ว เสียงข้างนอกโดดกันโครงครามๆ กุฏิหลังนั้นมันมีชานข้างนอกรอบตัว แล้วก็เป็นเวลาเดือนหงาย ฉันเปิดออกไปดู เห็นคนบอกไม่ถูกเลย เยอะแยะไปหมด โดดกัน พื้นน่ะมันเป็นคอนกรีต มันโดดสะท้านเลย ตึงๆๆ มองไปแล้วทุกคนไม่มีหัว เดือนหงายจัด ฉันมองเห็นชัด ดูทุกคนแหละ ไม่มีหัวสักคน ฉันก็ยืนมองดูคิดในใจว่า เอ๊ะ ไอ้พวกนี้ไม่มีหัว มันโดดได้ยังไง นี่แปลกใจตัวเองนะว่า ธรรมดาคนเราน่ะถ้าไม่มีหัวละก็ ลุกไม่ขึ้น ไอ้นี่ตั้งแต่คอถึงหัวขึ้นไปนี่มันไม่มี แต่เห็นมันกระโดดกันโหยงเหยงๆ ฉันเลยปล่อยมัน ดูมันอยู่ประเดี๋ยว กลัวจะเสียเวลาพระกรรมฐาน ฉันก็ล้างหน้า ล้างหน้าเสร็จแล้วมาทำวัตรสวดมนตร์ มันก็กระโดดของมันยังงั้น พอถึงเวลาตีสองฉันก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน ตอนนี้วิ่งเข้ามาโดดในกุฎิ แต่ว่าเข้าไปไม่ถึงตัวฉันนะ มันห่างอยู่สักวา ๑ ตามที่หลวงพ่อปานสั่งว่า ผีน่ะเข้าใกล้ตัวคนที่เจริญพระกรรมฐานเกินกว่า ๑ วาไม่ได้ ต้องอยู่ห่างไปประมาณ ๑ วา ฉันก็รู้ว่าห่าง ๑ วาน่ะมันเอื้อมมือไม่ถึง มันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ฉันก็นั่งทำพระกรรมฐานตามปกติ ต่อมาเมื่อถึงเวลาตี ๔ ฉันก็เลิก เลิกลืมตาขึ้นมามันก็หนีออกไปโดอยู่ข้างนอก ฉันก็ปล่อยมัน แล้วทรงสมาธิอยู่แค่อุปจารสมาธิ ตอนนี้หยิบตำราขึ้นมาดู ตำราพระปริยัติ เรื่องของพระไตรปิฎกหยิบขึ้นมาอ่าน รู้สึกว่าเพลีย ตามธรรมดามันไม่เพลีย คืนนั้นรู้สึกว่าเพลีย อ่านไปสักครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกว่าเพลีย ก็เลยวางหนังสือ วางหนังสือแล้วอากาศมันชักหนาวๆก็เลยเอาผ้ามาห่ม พอวางหนังสือชักผ้าห่ม ตอนนี้สมาธิมันคลายไปนิดหนึ่ง พอผ้าห่มถึงหน้าอกก็ปรากฏว่าเจ้าผีตนหนึ่งมันโดดเข้ามาพร้อมกับผ้า คร่อมอกพอดี เจ้านี่มีหัว ผมรุงรัง หน้าเสี้ยมๆ มีผ้าห้อยคอผืนหนึ่ง ผ้าอีกผืนหนึ่งมันลอยชาย ผอมๆ เกร็งๆ ผิวดำๆ มันโดดเข้ามาแล้วมันทำท่าจะเอามือบีบคอฉัน ฉันดิ้นมันก็ไม่หลุด เลยนึกในใจว่า ไม่ได้ ไอ้นี่เดี๋ยวต้องตีด้วยหวาย พอมันจะบีบคอฉันก็เอื้อมมือขวาจะหยิบด้วยหวาย มันก็เอาแขนซ้ายของมันมากดแขนขวาฉันไว้ ฉันก็เอาแขนซ้ายขยับจะหยิบหวาย มันก็เอาแขนขวามากดแขนซ้ายฉันไว้ เป็นอันว่ามันก็บีบคอฉันไม่ได้ ฉันก็ทำอะไรมันไม่ได้ ถ้ามันปล่อยมือไหนก็ตาม ฉันก็จะเอาหวายตีมัน มันทำฉันไม่ได้ มันก็นั่งคร่อมไว้เฉยๆ ฉันก็ว่าคาถาขับผี กี่บทๆมันก็ไม่กลัว มีบทหนึ่งว่าไปแล้วก็เป่ามัน มันก็ว่ากูไม่กลัว คาถาบทนี้ กูไม่กลัว ก็มานึกได้อีกบทหนึ่ง หมอขับผีชั้นดีเขาให้ไว้ ก็ว่าคาถาบทนั้นไปจบก็เป่ามัน มันบอกว่าบทนี้กูไม่กลัว ก็มานึกได้อีกบทหนึ่ง หมอขับผีชั้นดีเขาให้ไว้ ก็ว่าคาถาบทนั้นไปจบก็เป่ามัน มันบอกว่าบทนี้กูก็ไม่กลัว บทนี้มึงได้ครึ่งเดียวนี่หว่า คาถามันต้องมีอีกครึ่งหนึ่ง มันก็เลยว่าต่อให้ฟังเสียอีกครึ่งหนึ่ง กลายเป็นอาจารย์ขับผีไป ก็มานึกในใจว่า เอ ไอ้เจ้าผีนี่ อะไรๆมันก็ไม่กลัว เห็นท่าจะหมดท่าแล้วซี มันก็ไม่ลงชักอึดอัด มันจะบีบคอก็บีบไม่ได้ ฉันจะตีมันก็ตีไม่ได้ หวายอันนั้น ถ้าได้ตีแล้วผีไม่อยู่หรอก ผีเปิดเพราะหลวงพ่อปานให้ไว้ก็มานึกในใจว่านี่หลวงพ่อปานท่านเคยบอกว่าในโลกทั้ง ๓ คือ เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ไม่มีใครมีความดีหรือมีอำนาจเท่าพระพุทธเจ้า ก็เลยนึกว่าไอ้พวกนี้ต้องอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าเล่นงานเสียแล้ว ก็เลยอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า แล้วภาวนาว่า พุทโธ พอฉันว่าพุทโธได้ ๑ คำ ฉันก็เป่าพรวด มันก็กระเด็นวี๊ด แล้วก็วิ่งหนีไปเลย ตอนนี้ฉันดีใจเลยนึกในใจว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เรื่องคาถาขับผีน่ะ คราวหลังใครอย่ามาสอนเลย ไม่ขอเรียนอีกต่อไปแล้ว ไม่ขอเรียน ขอใช้แต่พุทโธนี่บทเดียวพอแล้ว แหมพ่อเจ้าครูทั้งหลายคุยเสียหนักเสียหนาบอกว่าคาถาเก่ง เอาเข้าจริงผีไม่กลัว เมื่อเจ้านั่นไปฉันก็เพลีย ทำท่านอน พอจะหลับตัวหนึ่งตัวอ้วนๆดำๆ มันโดดเข้ามาทางหัวนอน มาถึงเอามือคว้าคอฉันปับเข้าให้ มันจะบีบอีก ฉันเหลียวไปจะเป่า มันกระโดดไปเลย ตรงที่มันคว้าคอได้นี่ยุ่งเจ็บไปหมดทั้งตัวเลย มันเจ็บจริงๆ มันไปแล้วก็เจ็บ ฉันนอนคอยเวลา พอแสงทองขึ้น เวลาที่พระจะออกบิณฑบาต ฉันก็เดินกะซ่องกะแซ่งๆ ไปหาหลวงพ่อปาน เรียกว่าเดินกะซ่องกะแซ่ง ไม่ใช่เดินกระปรี้กระเปร่า มันไม่ไหวมันเจ็บจริงๆ เจ็บทั้งตัว ตามธรรมดาหลวงพ่อปานท่านให้อาจารย์เจิมเปิดประตูเวลาโมงเช้าแต่วันนั้นพอใกล้จะ ๖ โมง หลวงพ่อปานสั่งให้อาจารย์เจิมเปิดประตูกุฏิ อาจารย์เจิมก็บอกว่าท่านขอรับเวลานี้ยังไม่ ๖ โมง แต่ใกล้จะ ๖ โมง หลวงพ่อปานก็บอกว่า เปิดเถอะ เดี๋ยวไอ้ตัวดีมันมา เมื่อคืนนี้มันขออนุญาตเข้าไปนอนที่กุฏิหน้าศาลา ผีล่อมันตลอดครึ่งคืนเลย เรียกว่าตลอดทั้งคืนเลยก็แล้วกัน ผีล่อมันตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง นี่ถูกผีบีบคอแล้ว แต่ว่าทำอะไรมันไม่ได้ ไอ้นี่มันแกร่งจริงๆ ประเดี๋ยวมันก็มาหรอก อาจารย์เจิมบอกว่าหลวงพ่อปานพูดจบประเดี๋ยวเดียวฉันก็โผล่พอดี พอโผล่เข้าไปเห็นท่านมานั่งคุยอยู่หน้ากุฏิ พอเข้าไปก็กราบท่าน ถามว่ายังไงล่ะ พ่อตัวดีพอทนไหวไหม บอก ไหวครับ ท่านว่าทนยังไง บอก อื้อฮือ เมื่อคืนไอ้ผีมันเล่นงานผมเสียแย่เลย ตอนไหนไม่สำคัญ ตอนสุดท้ายซีครับ มันโดดเข้ามาข้างหลังคว้าคอปวดไปหมด เอ้า ก้มหัวมา ก็เลยก้มหัวไปหาท่าน ท่านเป่าทีเดียวเหมือนกับยกไปทิ้งเลย หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านก็ถามว่านี่จะไปอยู่อีกไหม บอกว่าไปขอรับ บอกว่าอ้าว ถ้าหากว่ามันเอาอีกนะ ฉันรู้มาว่ามันจะเอาแกอีก ตอบว่าเอาเป็นเอากันครับ อีคราวนี้ผมไม่เผลอละ ตั้งท่าสู้กันให้ได้ มันต้องแพ้กันไปข้างหนึ่งขอรับ แต่ผมไม่ยอมแพ้ ถ้าผมแพ้ผมจะต้องไปเป็นผีรบกับมันอีก

    อือ ฟังดูนะลูกหลาน อารมณ์อย่างนี้มันเป็นอารมณ์ของกิเลสนะ ไม่ใช่ของดี แต่ตัวที่มีจิตจะสู้ก็ดีเหมือนกัน มันควรจะสู้กับกิเลส นี่แบกกิเลสไปชนกะกิเลสเสียนี่ แต่หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ว่า บอกว่า เอา ในเมื่อแกไม่เข็ด แกอยากจะสู้กับมันก็เอา แต่ว่าอย่าลืมนะ อย่าลืม ต่อแต่นี้ไปสติสัมปชัญญะ การทรงสมาธิทรงไว้เป็นปกติ มันจะทำอะไรแกไม่ได้เลย นี่มันทำแกได้อีตอนที่แกเผลอ แกชักผ้าห่มขึ้นไปปิดอกแก แกนึกถึงแต่ผ้าห่มกับความหนาว แกลืมนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ตอนที่มันจับแกได้ แกคิดว่าแกจะหลับเฉยๆ แกไม่ได้คุมอารมณ์สมาธิ ถ้าแกคุมไว้แล้วมันทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ฉันจำได้ ฉันกลับไปอยู่ใหม่ฉันก็ตั้งท่าแบบนั้น แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครบ ๙๐ วัน เรียกว่า ๙๐ คืนนะ ไอ้ผีนั่นมันเล่นงานฉันทุกคืน มันแสดงบทบาทต่างๆ พอใกล้จะครบ ๙๐ ใกล้จะออกพรรษา มันว่ากระทั่งกลางวัน กลางวงกลางวันมันอยากหลอกมันก็หลอก ฉันก็นอนดูมันตามสบาย ฉันก็มีอาวุธอยู่ ๒ อัน หวายอันหนึ่ง แล้วก็ไม้คมแฝกอันหนึ่ง เอาไว้ตีกะผี คิดว่าถ้าหวายตีมันไม่เจ็บจะนวดด้วยไม้คมแฝก แต่ว่ามันก็เล่น มันก็เดินใกล้ๆบ้าง เดินเล่นโก้ๆบ้าง ตามเรื่องตามราวของมัน มันจะทำยังไง ห้อยโหนโยนตัวมันก็ทำตามเรื่อง พอครบ ๓ เดือนมันก็หายไป ตอนนี้มาถามหลวงพ่อปานว่าผีอะไรมันถึงดุนัก ท่านบอกว่าไม่ใช่ผีหรอก พวกนี้น่ะเป็นพวกยักษ์บ้าง พวกกุมภัณฑ์บ้าง เป็นพวกท้าวเวสสุวัณกับท้าววิรุฬหก ทั้ง ๒ พวกนี่มีอำนาจมาก แล้วก็ชอบลองคน ก็คุณมันไม่กลัวนี่เขาก็ลอง คุณมันเป็นพวกเดียวกับฉัน แล้วคืนนี้คุณฟังเสียงนะ มันจะมาเรียกคุณว่าเพื่อน เป็นความจริง คืนนั้นกลับไปใหม่ มันไม่หลอกแล้ว เลิกการแสดงต่างๆ มันไม่หลอก มันเงียบๆ วันนั้นฉันตื่นขึ้นตี ๔ มันสบาย ไม่ใช่ตี ๒ ได้ยินคน ๒ คนคุยกันหน้ากุฏิ คุยกันเสียงดังคล้ายภาษาไทยแต่ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงใหญ่ คนหนึ่งเขาบอกว่า เฮ้ย ใกล้สว่างแล้วเว้ย กูจะไปละ คนหนึ่งก็บอก อือ กูก็จะไปเหมือนกันว่ะ แต่พระเพื่อนกูเขายังไงไม่รู้ เขาเคยตื่นตี ๒ แต่วันนี้ทำไมนอนไม่ตื่นก็ไม่รู้ เดี๋ยวปลุกเขาก่อน เขาเคาะประตูดังๆ แล้วบอกว่า ท่านๆ ตื่นเฮอะ นี่มันตี ๔ แล้ว ไม่ใช่ตี ๒ ฉันสงสัยคว้าไฟฉายโดดลงทางหน้าต่างสกัด เพราะทางที่จะลงน่ะมันต้องผ่านหน้าต่างเป็นเชิงคอนกรีต มันเป็นชานตลอด เอาไฟฉายไปกราดดู เสียงหัวเราะดังฮ่าๆๆ ร้องบอกมาว่าเอาไฟฉายไปฉายดูผีมันจะเห็นรึ เท่านั้นฉันเลยกลับ ทีนี้ตอนเช้าฉันมาหาหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่านั่นไม่ใช่ใครหรอก พวกยักษ์เขามาคุมคุณ เพื่อนเก่าๆ น่ะแหละ

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เวลาฉันนอนฉันก็สั่งฉันจะตื่นเวลาไหน ฉันจะมีธุระอะไรก็สั่งเขา เขาปลุกเขาบอกได้ตามเวลาเป๋ง นี่เป็นเรื่องของผี หลวงพ่อปานท่านรู้เพราะอำนาจทิพยจักษุญาณ นี่เล่าให้ฟังนะ เล่าให้เห็นว่าท่านใช้อำนาจทิพยจักษุญาณ

    แต่นี่ตอนหนึ่งฉันขโมยคาถาเล่นโป นี่เล่าให้ฟังง่ายๆ ขโมยคาถาเล่นโป คาถาเล่นโปของท่านน่ะต้องใช้ผีตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร เขาใช้สีผึ้งปิดหน้า เมื่อฉันได้คาถามาแล้ว ฉันก็หาสีผึ้งได้ หาต้นก้นปิด หาตะไคร่สีมา หาตะกอนจากน้ำสรงพระพุทธเอามารวมกันได้ เมื่อรวมกันแล้วฉันก็เอามาเสก เขาเล่าในคาถาว่า ๓ เดือน เอานิ้วมือเป็นก้อนเส้า เอาตลับตั้งอยู่บนนิ้วมือ ๓ นิ้ว แล้วเสก ๓ เดือน นี่ใช้ได้แต่ยังไม่ดีพอ ต่อไปพอเดือนที่ ๔ จะมีกลิ่นเหมือนกะซากศพ อันนี้เป็นชั้นที่ ๒ ถ้าหากว่ากลิ่นเหม็นหายไป มีสีเขียวเป็นปีกแมลงทับ จะเป็นอันดับ ๑ ฉันมาเสกจริงๆ ไม่ถึงเดือนหรอกมันเดือด เดือนเดียวเท่านั้นแหละเข้าอันดับ ๑ นี่ฉันลองสมาธิของฉัน พอฉันทำได้แล้วปรากฏว่าฉันไม่รู้จักโป การพนันน่ะฉันไม่รู้จักกับเขา ก็ให้เพื่อนไปลองเล่น ให้เพื่อนไปหาโปมา คนที่เล่นโปเป็นมาลองปั่นกัน มันก็ออกตามตำราจริงๆ ฉันมัวเล่นเพลินอยู่ หลวงพ่อปานอยู่ที่เขาวงพระจันทร์ ไม่รู้ว่าย่องไปยังไงซี ย่องไปยังไงก็ไม่รู้ ไปยืนอยู่ข้างหลัง ตี ๒ นะ เอาไม้เท้าล่อหัวฉันโป๊กเข้าให้ บอกว่าไอ้นี่รึอาจารย์ใหญ่ ชะ ๆ ๆ ๆ ๆ จะไปปล้นเขารึยังไงพ่อคุณ ทำให้เขาจนแล้วเราจะรวยยังไง นี่มันใช้ไม่ได้ เอาไปทิ้ง ผลที่สุดพระองค์หนึ่งรับอาสาเอาไปทิ้ง มันกลางคืนนี่ พระองค์นั้นเล่นเหลี่ยมเหมือนกัน เวลาไปถึงแกไม่ได้ทิ้ง แกใส่ไว้ในกระเป๋าอังสะแล้วเดินกลับมาบอกว่าทิ้งแล้ว หลวงพ่อชี้ไปที่กระเป๋าบอก แกนึกว่าพระแก่ไม่เห็นรึวะ ในกระเป๋านั่นล้วงออกมา พอล้วงออกมาปรากฏว่าตลับสีผึ้งอันนั้นจริงๆ พระองค์นั้นเลยโดนตะพดล่อกระบาลโป๊กเข้าให้อีก ให้เอาไปทิ้งใหม่ พอเอาไปทิ้งแล้วตานี้ทำยังไง ตอนกลับกุฏิกลับไม่ได้ต้องจูงเข้าไปส่ง เอาละซี เห็นไหมล่ะ มาน่ะมาได้แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน

    ความจริงท่านอยู่เขาวงพระจันทร์ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้กลับวัดนี่ ฉันก็ไปเล่นกันบนศาลาหน้า เวลาท่านกลับมันต้องรู้ พอมาส่งที่กุฏิปรากฏว่าไม่มีใครมาด้วยมาคนเดียว เรือแพไม่มี เลยถามหลวงพ่อมายังไง ท่านไม่ตอบ ท่านตอบว่านางตะเคียนเขาไปฟ้องข้าว่าแกทำคาถาเล่นโป แล้วก็คิดจะสึก นี่จะหาความระยำละซีนี่ หาความร่ำรวยด้วยการปล้นเขายังงั้นรึ หาเรื่องตกนรก คนเล่นการพนันน่ะใครมันรวยบ้าง เลยบอกว่า ถ้าโปมันออกแบบนี้ละรวยแน่ขอรับหลวงพ่อ ท่านบอกไม่รวย ความพอมันไม่มี คนที่จะรวยกันจริงๆคือคนพอ คนไหนถ้ายังไม่พอ คนนั้นหาความรวยไม่ได้ มันเป็นกิเลสน่ะ อย่าไปยุ่งมันเลย ไอ้นี่ฉันเขียนทิ้งไว้ ฉันรู้ว่าแกจะเอาของฉัน ถ้าฉันเขียนทิ้งไว้แกต้องทำ ทำเพื่อฝึกสมาธิ ถ้าทำเพื่อฝึกผลสมาธิอันนี้ดีแกใช้ได้แล้วนะ แล้วผลที่สุดท่านก็สอนเสียคืนหนึ่ง คืนนั้นไม่ได้นอนกัน ทั้งหมดน่ะแหละไม่ได้นอน ตอนนี้แสดงว่าท่านใช้อำนาจทิพยจักษุญาณ ถ้าทิพยจักษุญาณของท่านไม่มี ท่านก็ไม่เห็นนางตะเคียน นางตะเคียนพูดให้ฟัง ท่านก็ไม่รู้ นี่นางตะเคียนพูดให้ฟัง ท่านรู้ ท่านได้ยินเสียงเทวดา ก็เรียกว่ามีทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์ นี่เรียกว่าเล่าเรื่องญาณพิเศษของท่านให้ฟัง

    ต่อมาเป็นคาถาทำนก เสกกระดาษเป็นนก นี่เหมือนกันไม่มีอะไรมากหรอก ท่านเขียนคาถาก่อนที่ท่านจะไปเขาวงพระจันทร์ เขียนคาถาทิ้งไว้ข้างที่นอน ชอบทำยังงั้นเสียด้วยนา แล้วคนอื่นน่ะเขาไม่ยุ่งหรอก มีฉันคนเดียวมันยุ่ง ชอบทำ ฉันชอบเล่น ท่านบอกว่าคาถาบทนี้เขียนตัวนกเข้าในใบไม้ แล้วเสกเป็นนก เมื่อเสกแล้วจะขี่ไปไหนก็ได้ พอฉันได้แล้วฉันไม่รู้จะเขียนอะไร เห็นยาซิกาแร็ตสมัยนั้นมันมียาตรานกอินทรี ฉันเลยเขียนรูปนกอินทรีเข้าให้ ไปนั่งเสกในป่าช้า เสกประเดี๋ยวเดียวมันชักดุบดิบๆขึ้นมาในมือ พอดุบดิบๆขึ้นมาก็นึกในใจว่า เอ๊ะ นี่ถ้าเกิดเป็นนกอินทรีจริงๆ เขาบอกว่านกอินทรีมันกินคน ถ้ามันเป็นนกขึ้นมาแล้วมันดันกินฉันเข้าไปนี่มันจะยุ่ง เลยตกใจ วางไว้ แล้วเอาใบไม้ใบนั้นมาเก็บ ปรากฏว่าส่วนที่ไม่ได้เขียนเป็นตัวนก ภายนอกตัวนกมันแห้งกรอบ แต่ส่วนที่เขียนเป็นตัวนกมันเขียว หลวงพ่อปานกลับมาจากเขาวงพระจันทร์ ถามว่าแกขโมยคาถาเสกเป็นนกของฉันรึ บอกว่าขอรับ ถามว่าทำได้ไหม บอกว่าผมเห็นมันดิ้นๆ ผมเลยกลัวครับ ถามว่ากลัวทำไม บอกว่าผมดันไปเขียนรูปนกอินทรีเข้านี่ครับ ผมกลัวว่าถ้ามันเป็นนกจริงๆ แล้ว มันจะกินผมเข้า เลยเลิกเพราะตกใจ แล้วเก็บไว้ ไอ้ใบไม้ข้างนอกรูปนกมันกรอบ แต่ส่วนที่เขียนเป็นรูปนกในเส้นภายในเข้ามามันยังเขียว ท่านบอกคุณมันโง่ มันจะกินเรายังไงในเมื่อเราเสกมันขึ้นมา แล้วเวลาที่มันเป็นนกแล้วเราจะขี่ไปไหนเราก็ขี่ไปได้ จะไปสวรรค์จะไปนรก จะไปเมืองนอกเมืองนาเมืองฝรั่งมังค่าไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน ไปได้แบบสบายๆ แต่ระวังนะอย่าไปให้ชาวบ้านเขาเห็นนะ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านจะหาว่าแสดงฤทธิ์ จะถูกปรับอาบัติ นี่ก็สำคัญเหมือนกัน คอยจำกัดไว้ แล้วท่านบอกว่า สมมุติว่าเราจะเลิกให้มันเป็นนกไม่ยาก เรานึกว่าเจ้านี่จงเป็นใบไม้ เท่านั้นมันก็เป็น แล้วท่านเลยหยิบใบไม้มาเขียนๆ แล้วเสกเป็นนกกระจอก แต่ว่าตัวใหญ่เบ้อเร่อ ขนาดนกกระจอกเทศ ขี่ได้สบาย ท่านบอกให้ลองขี่ บอกว่าลองไม่ได้ครับหลวงพ่อเดี๋ยวบังคับไม่ได้ ท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอกฉันจะบังคับให้ ก็ลองขี่ดู ขี่ออกทางหน้าต่าง บินไปรอบๆ วัดพักหนึ่ง แล้วกลับลงมา เท่านั้นแหละพอ ท่านเลยบอกว่าเท่านี้นา แล้วแกอย่าเสกต่อไป คาถาบทนั้นเสกอีกไม่ได้ ถามว่าทำไมครับหลวงพ่อ ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก ให้แกเสกได้ ประเดี๋ยวแกขี่ไปอวดชาวบ้านเขา แกมันคนชอบอวด คนไหนที่มันอยากให้ชาวบ้านเขาชมว่าดีน่ะคนนั้นมันยังไม่ดี ยังมีกิเลสท่วมหัวอยู่ อย่างแกนี่ แกนี่อยากจะหาดีอวดชาวบ้านเขา แต่ความจริงมันยังไม่ดีหรอก คนที่มีอารมณ์อย่างนี้ ต้องการให้ชาวบ้านเขาชมมันยังไม่ดี ยังมีกิเลสท่วมหัว ใช้ไม่ได้ ก็เลิกกันไป เรื่องนั้นเลิกกันไป ทีนี้มาถึงเรื่องธุดงค์

    เรื่องธุดงค์ของฉันเล่ากันแบบย่อๆนะ ตอนนี้เล่ากันแบบสรุปๆ เพราะว่าฉันเองชักจะเหนื่อย แต่ว่าก็เล่าให้ฟังนะ ฉันออกธุดงค์น่ะ ความจริงฉันออกทุกปี ถึงเวลาเดือนอ้ายหรืออย่างช้าเดือนยี่ ฉันออกธุดงค์แบบอุกฤษฎ์ เวลาไปธุดงค์ของฉันก็ต้องการไม่มีบ้าน ไปธุดงค์กันขนาดไม่มีบ้าน อย่างน้อย ๓ เดือน มิฉะนั้นก็ ๖ เดือน ๗ เดือนกลับวัด ไปกะไอ้เพื่อนฉัน ๒ คน ตอนไปน่ะไม่ต้องเล่าให้ฟังหรอก เรื่องของการไปกับหลวงพ่อปานน่ะมันดีอยู่แล้ว ฟังกันมาแล้วนะ ตอนที่ฉันไปตามลำพังยังงี้ซี เมื่อไปถึงโน้น สายแม่สอดใกล้ๆกับพม่าน่ะ ฉันไปเจอะพวกที่พูดภาษาไม่รู้เรื่องโด๊กเด๊กๆๆ ฉันไม่รู้ภาษามัน ตอนที่ไปว่าไม่รู้มันที่ไหน มุ่งหน้าตัดไปทางทิศตะวันตก ออกจากวัด ๓ วัน ไม่เคยพบบ้าน คือว่าออกจากวัดมุ่งหน้าไปอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ปักกลดค่ำ ออกจากเขตอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ข้ามประตูน้ำโพธิ์พญา ข้ามไปด้านโน้น ทางฝั่งตะวันตก ตัดไปทางบ้านไร่รถ แม่น้ำเก่าของจังหวัดสุพรรณบุรี ปักกลดตรงนั้นอีกทีหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกวันเดินทางไปทางหนองนา ออกไปก็ไปเจอบ้านเล็กๆ ปักกลดอีกครั้ง จากนั้นไปไม่มีบ้าน มีแต่ป่าไปจนกระทั่งสัตว์ต่างๆมันเห็นฉันมันไม่หลีกหรอก อย่างไก่ป่าที่เขาว่ามันเปรียว มันหนีคน มันเห็นฉันมันไม่หลีก ฉันเดินไปใกล้ๆมัน มันแหงนหน้าดู มันคงจะคิดว่าไอ้ไก่พวกนี้ยังไงนะหัวโล้น มันคงจะคิดยังงั้นนะ ไอ้ไก่นี่มันหัวล้าน รุ่มร่าม มีอะไรแบบนี้มันแปลก แล้วมันก็มี ๒ ขา พวกเรามี ๔ ขา ไอ้อีก ๒ ข้างหน้าไปจับของแบกหรือถือของไว้ ๒ ขาเดิน มันคงจะคิดอย่างนั้น มันคิดอย่างฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เวลาที่เข้าไปในป่ามันมีความเพลิดเพลินอยู่อย่างหนึ่ง ได้ยินเสียงดนตรีทุกวัน กลองยาวบ้าง แตรวงบ้าง เครื่องสายบ้าง ปี่พาทย์เครื่องไทยบ้าง เพลงมอญบ้าง ได้ยินแต่เสียง ได้ยินใกล้ๆ ไม่ใช่แว่วๆ หรือคิดในใจหรือค้างหู ไม่ใช่ยังงั้นนะ ได้ยินกันขนาดที่เรียกว่าเรานั่งกันติดวงปี่พาทย์เลย เทียบเสียงยังงี้นะ ได้ยินกันจริงๆ บางทีร้องส่งนะ เจื้อยแจ้วอย่างบอกไม่ถูก นี่ความเพลิดเพลินมันมีอย่างนี้ มันมีความเพลิดเพลินอย่างแปลกๆ แต่ว่ามันเพลินไม่ได้ ถ้าได้ยินเสียงพวกนี้เข้าต้องปลงวิปัสสนาญาณทันที ปลงยังไง คิดว่าเสียงนี้ถ้าเขาไม่สีหรือเขาไม่ตีมันอีก ได้ยินเสียงป๊งลงไป ถ้าเขาไม่ตีป๊งที่ ๒ เสียงมันก็ขาด เทียบกับชีวิต คือลมหายใจออก ถ้ามันไม่เข้ามาเราก็ตาย หายใจเข้าแล้วถ้าเราไม่หายใจออกมันก็ตาย นี่ตามศัพท์พระศาสนาเรียกว่าสันตติ มันเกิดติดต่อสืบเนื่องกันนี่ ต้องใช้อารมณ์แบบนั้นนะ ไม่ใช่ไปนั่งฟังเพลิน บรรดาอีหนูทั้งหลายไม่เห็นตัว ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว มันเพราะจริงๆ เสียงของแกมันนิ่มนวลเสนาะบอกไม่ถูก หาเสียงเครือเสียงอะไรไม่ได้ มันเพราะจริงๆ ถ้าเป็นคนละฉันซื้อแพงนะเสียงแบบนี้ เวลาได้ยินเสียงพวกนี้เข้าต้องคิดว่า ตามธรรมดาเสียงของผู้หญิงเป็นเครื่องเสียดแทงใจของผู้ชาย แต่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนใดก็ตาม เมื่อมีเกิดขึ้นในเบื้องต้นก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลง มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความทุกข์ทรมาน มีความตายเป็นที่สุด เสียงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเขาร้องคำแรก ถ้าเขาไม่ร้องคำหลังมันก็ขาดไป นี่การสลายตัวให้ปรากฏอยู่เสมอ นี่เป็นเรื่องของพระธุดงค์เขาต้องคิด

    เวลาไปอย่างนั้น ไอ้เจ้าแมวตัวใหญ่ๆ ไอ้เจ้าเสือน่ะ เจ้าเสือนี้มันชอบใจนัก เห็นพวกเราละมันชอบจริงๆ บางทีเรานั่งคุย เขาเดินไปไหนก็ตาม เขาเห็นละเขาต้องมานั่งใกล้ๆ เอาตูดนั่งกับพื้น ๒ เท้าหน้ายัน แล้วยื่นหน้ายื่นตาห่างประมาณสักวาบ้าง ไม่ถึงวาบ้าง มองหน้าคนโน้นที มองหน้าคนนี้ที แล้วทำหนวดดุ๊บดิ๊บๆ คล้ายๆ มันจะคุยอะไร พวกเราเห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร มันไม่รู้สึกกลัว มันเป็นธรรมดาๆ เป็นปกติเสียจริงๆเลย ตรงนี้จะไปกลัวอะไร ก็เคยไปกับหลวงพ่อปาน มันชินมาเสียแล้ว แต่ไปทางด้านตะวันตกนี่ไม่มีลิงลูบหัว ลิงไม่มี ลิงไม่ได้มาลูบหัว เวลาออกธุดงค์ก็รู้สึกอารมณ์มันแจ่มใส ที่ชอบน่ะไม่ชอบอะไร ชอบว่าอารมณ์ของใจน่ะมันแจ่มใสจริงๆ แต่ว่าอย่าลืมนะ ขึ้นชื่อว่าสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีสัพพัญญูวิสัย คือ ไม่ใช่รู้อะไรทั้งหมด มีเผลอ การหากินก็หาแบบบิณฑบาตให้คนมาใส่บาตร ฉันจะเล่าให้ฟัง ไอ้เพื่อนน่ะ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ปากระยำนี้น่ะ มันหาว่าฉันปากหมา ไอ้ปากมันน่ะ เลยปากหมาไปเป็นปากควาย ฮึ ด่ามันละ มันอยู่ที่ไหน มันได้ยินหรือไม่ได้ยินไม่รู้ละ ได้ยิน ไอ้ระยำพวกนี้พูดที่ไหนไม่ได้หรอก ได้ยิน พอพูดละผล่หน้ามาทั้ง ๒ ตัวเลย มาทำไมล่ะ อ๋อ กูยังไม่ตายหรอก มึงไปเหอะ ยังหรอก เมื่อวานนี้เขาเอาหีบศพมาให้หีบแล้ว อือ กูตั้งท่าจะตายว่ะ เมื่อไหร่จะตายสักทีก็ไม่รู้ อยู่ลำบากบรรลัย ฮึ ว่าไง เอ็งมันสบายนี่ ข้ามันต้องอยู่กับคนนี่หว่า มันลำบากใจพิลึกว่ะ เรื่องมันยังงี้ว่ะ คือว่าไอ้วัดไอ้วาอารามนี้นา เขาไม่ทำกันเว้ย ไอ้ข้าน่ะมันอยากจะเลิกทำเต็มทีแล้ว มันเหนื่อย แล้วลูกหลานข้าก็ลำบากจัง ต้องหาเงินหาทองกัน หือ ทำไม อ๋อ เออ ก็ใช่ ดี ไอ้การก่อสร้างชวนลูกชวนหลานเป็นบุญเป็นกุศล แต่ข้าสงสารลูกหลานข้าจังว่ะ เขาเหนื่อยกันจริงๆ เขาหาเงินกันกว่าจะได้แต่ละบาทมันแสนลำบาก แล้วก็ต้องมาแบ่งให้ข้ากินบ้าง ตอนที่เขาให้ข้ากินน่ะ ข้าเห็นอะไรมันเหมาะมันสมข้าก็เอาไปสร้างต่ออีก เพื่อเป็นการต่อเติมบุญให้ลูกให้หลานข้า แล้วถ้าไม่ทำ มันก็ไม่มีที่พักที่อยู่ ไอ้วัดนี้ข้าจะเลิกทำแล้วนา เออ ลูกหลานเขาจะมาทำกรรมฐานกันบ้าง พักกันบ้าง ก็หาที่ไม่ได้ พระจะมาบ้าง อะไรบ้าง ไม่มีที่จะพัก ก็เลยเอา ไปทำหลังคาโน้นไอ้ที่เขากำลังอยู่นี่น่ะ ไปดูซีนะ ไปดู พระเจ้ามาจะได้พัก หรือคนที่มาจะได้พักกันบ้าง แต่ว่าพวกกรุงเทพมาก็พักไม่ได้ หลังนั้นมันอยู่ข้างนอก นี่ข้าจะทำอีกหลังหนึ่ง ฮื่อ ไอ้พวกแกมันสบาย มันอยู่ในป่า เออ นี่พวกลูกหลานเขาบอกว่าเขาอยากจะพบพวกแกน่ะ แกจะให้พบได้ไหม ทำไมล่ะ ตามคำสั่งเหรอ อ้อ นี่เขาบอกว่าตามคำสั่งของหลวงพ่อ ต้องเป็นพระป่า ก็ขอเป็นพระป่า แต่อ้อ ว่ายังไง เออ จริงๆๆ นี่เขาว่ามายังงี้นะ เขาบอกว่าอย่าไปนึกถึงพระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นสำคัญ ขอให้ทุกคนเอาใจเข้าไปจับอยู่ที่พระพุทธเจ้า ยังงั้นเหรอ เอ้อ เขาบอกว่าใช่ บอกว่านี่แหละ ที่พวกเราทุกคนเอาตัวรอดได้นี่เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัย แล้วบอกให้บอกลูกบอกหลานอย่าไปคิดอย่างอื่น ให้เอาใจจับอยู่ที่จุดเดียว ที่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน นอกนั้นจะนึกถึงใครก็ได้ แต่จงอย่านึกว่าใครมีความสำคัญกว่าพระพุทธเจ้า ยังงั้นใช่ไหม ฮื่อ เขาบอกว่าใช่ เออ แล้วไอ้ลูกไอ้หลานข้านี่ แกได้อภิญญานี่หว่า แกลองบอกข้าทีซิ ว่าไอ้ลูกหลานข้านี่ใครมันจะได้ดีกันบ้างไหม เอาถึงขนาดที่สุด เขาบอกว่าสมเด็จท่านบอกแล้วอย่าทำปากหมา เขาว่ายังงั้น เขาบอกว่าสมเด็จท่านบอกมาแล้ว อย่าทำปากหมามายุ่งกับฉัน บอกว่าเออไอ้ระยำ เอ็งน่ะไอ้ปากควาย ไปก็ไปเถอะวะ ไปเสีย เดี๋ยวข้าจะเล่าภาษาปากควายของเอ็ง หนอยแน่ะ พอพูดถึงก็โผล่หัวมาเลยนี่ เอ เอ็ง อยู่ที่ไหนกันว่ะนี่ พม่าเชียวเหรอ ทำไมล่ะ บอกว่าอีแถวๆนั้นมันไม่เป็นเรื่องหรอก ไอ้พวกก่อการดีมันเยอะ แล้วคนก็ไม่เป็นเรื่อง เออ ไอ้พวกก่อการดีนี่มันพวกไหนบ้างหว่า อ้อ งั้นเหรอ เขาบอกว่าไอ้พวกตีกลองสองหน้าก็มี เอาละเข้าใจ แกไปเถอะ มันเป็นเรื่องของชาวบ้าน ไม่ใช่เรื่องของพระ เขายังไงก็ช่างเขา เอ้า ไป ไปเสียทีไป

    เอ้า จะเล่าต่อไป แหมพอจะนินทามัน มันโผล่าหัวมาพอดี ไอ้สองตัวนี้สำคัญนักไม่ได้ มันถือว่ามันดี ฮื่อมันดีของมัน ไปดีแล้วก็ช่างมัน เออ ลูกหลานนี่ แล้วกัน ฉันเผลอไปแล้วซีไหมล่ะ ช่างเถอะนะ ก็จะได้รู้เรื่องความจริงของฉันเสียบ้าง ที่ฉันเผลอไปน่ะ ฉันคิดว่าฉันคุยกับเจ้านั่นเพลินไป วันหนึ่งออกเดินทางบิณฑบาต ความจริงไม่ใช่วันหนึ่งหรอก มัน ๓ วันมาแล้ว มีเด็กๆ สาวๆ ไม่ใช่สาวนักหรอก ถ้าไปยุ่งด้วยละเข้าตะรางเชียวนะ ขนาด ๑๓-๑๔ ได้หรือเปล่าไม่รู้ ตัวยังไม่โตนัก หน้าตามอมแมมเทียว แกมาใส่บาตรทุกวัน คนเดียว แล้วป่าสูงนี่น่ะ ต้นไม้มันเปล่า มองไปถึงไหนถึงไหน มองแล้วก็หาบ้านกันไม่ได้ ค้นบ้านกันไม่ได้ แต่เด็กสาวๆ เล็กๆ คนนี้ปรากฏมาใส่บาตรทุกวัน แล้วไอ้เจ้าปากควายเขาเกิดสงสัย ไอ้เจ้าลิงเล็กน่ะเขานึกว่า เด็กหรือว่าคน บ้านไม่มีแล้วมันมาใส่บาตรได้ยังไง เขาก็ถามว่า น้องสาวนี่บ้านอยู่ที่ไหน อยู่ในป่ามาใส่บาตรคนเดียวไม่กลัวเสือรึ แกหัวเราะเอิ๊กๆๆๆ แล้วหายเข้าป่าหายไปตั้งแต่วันนั้น พอรุ่งขึ้นไปบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตร ตามธรรมดามีคนเดียว ๓ วันไปบิณฑบาตไม่มีใครใส่บาตร ก็ล่อหญ้ากันเข้าซิ มีเปราะป่าอยู่ข้างๆ ถอนเปราะป่าคือไอ้ใบม้วนๆ ของมันกินเข้าไป ดีเหมือนกัน กินเข้าไปพอประทังชีวิต เรียกว่าสมาทานเป็นควาย ไอ้ที่ฉันว่าเจ้านั่นเป็นปากควายก็เพราะมันไปพูดเข้าเชียว ถ้ามันไม่พูดฉันไม่อดข้าวหรอก มันพูดเข้าเท่านั้นก็ไม่มีใครใส่บาตร ผลที่สุดก็ต้องมานวดหญ้าอย่างควายน่ะซี อย่างนี้เขาเรียกว่าปากควาย ไอ้เจ้าปากควายทำพิษ เราจึงต้องกินหญ้ากัน เป็นควายอยู่ ๓ วัน นี่ลูกหลานใครเคยสมาทานเป็นควายบ้าง ฉันน่ะสมาทานเป็นพระน่ะไม่พอนะ เป็นควายยังได้ หลวงพ่อปานท่านตั้งให้เป็นลิงยังไม่พอ เป็นควายอีกด้วย ถ้าเป็นลิงก็ลิงควาย ไอ้ฉันมันว่าปากหมา ก็หมาควาย แล้วไอ้เจ้านั่นเป็นตัวควาย ไอ้ควายมันระยำกว่าหมา ถูกชาวบ้านเขาใช้งาน หมามันเห่าขโมยหรือไม่เห่าก็ได้ ฮึ อย่าไปทะเลาะกับมันเลย ปล่อยมันเถอะ นี่มันเรื่องของฉัน เพื่อนของฉัน ฉันจะพูดยังไงก็ได้ ลูกหลานอย่าไปพูดตามนะ ไม่ได้ เจ้าพวกนี้มีพลังมาก กำลังของมันไม่ทำใครหรอก เราดันเข้าไปหามัน มันไม่รับ แล้วกำลังนั้นจะดันกลับมา มันแรงกว่าอย่าไปยุ่งกับมันเลย ปล่อยเขาเถอะ เขาเป็นพระป่าพระดงก็ปล่อยเขา เขาถือคำสั่ง แต่พวกฉันนี่นะ ฉันก็เหมือนกัน ถ้าฉันไม่เคารพคำสั่งของหลวงพ่อปานละ ก็ เปิดฉิบนานแล้ว ฉันนอนฝันถึงป่าตลอดเวลา เวลานี้ ว่ามันมีความสุข เรื่องโรคภัยไข้เจ็บน่ะรึ อย่าไปนึกว่าฉันห่วงนา นี่ฉันห่วงตัวฉันก็เพราะห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงคนที่มีความหวังในบุญ ถ้าลองฉันไม่ห่วงใครละฉันปล่อย ให้มันตีโป่งไปนานแล้ว สบาย บ้านฉันสวยจะตายไป ฉันจะนอนทุกวัน นี่เวลา ๒ ทุ่มฉันไปเป็นประธานในการฝึกกรรมฐานของบรรดาลูกหลานของฉันมีไม่กี่คนหรอก สำนักฉันมี ๒-๓ คนเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีเยอะแยะอย่างเขา พอฉันหลับตาปุ๊บ ฉันปลงสบาย ฉันก็ไปตีโป่งบ้านฉัน บางทีตอนดึกฉันกลับมานอนที่ที่นอน ฉันไม่ได้นอนที่นี่ ฉันกลับไปนอนที่บ้านฉัน เช้ามืดฉันก็มา ถ้าลองฉันไปนอนที่บ้านฉันแล้ว ปลุกไม่ค่อยตื่น จับตัวเขย่าไม่ค่อยตื่น ถ้านอนที่ตรงนี้ตื่นไว เป็นยังงั้น ในเมื่อพวกเราอดกันถึง ๓ วัน คืนวันที่ ๓ พวกเรานั่งกรรมฐาน ปรากฏเห็นหลวงพ่อปานไปหา ท่านไปหาทั้ง๓ องค์ แล้วต่างคนต่างพบเพราะนั่งกรรมฐานพร้อมกัน ไปบอกว่า คนที่เขามาใส่บาตรน่ะไม่ใช่คนหรอก เขาเป็นเทวดา ทีหลังอย่าไปยุ่งกับเขาซี เราต้องการอาหาร เราไม่ต้องการความรู้หรือชีวประวัติของเขา เขาจะเป็นใครก็ช่าง อย่าไปถามเขา พรุ่งนี้ไปแถวนั้นใหม่นะ ท่านว่ายังงั้น พ่อตกลงกับเขาแล้ว นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะมีคนใส่บาตรเพิ่มขึ้นเป็น ๓-๔ คน เมื่อลืมตาขึ้นมาต่างคนต่างพูดเหมือนกัน เรียกว่ามีความรู้สึกเหมือนกัน เห็นหลวงพ่อปานเหมือนกัน มีคำบอกเล่าของท่านเหมือนกัน ตอนเช้าไปบิณฑบาตปรากฏว่าพบ พบคน ๓-๔ คนจริงๆ อีหนูนั่นด้วย ตอนนี้ไปเห็นหน้าแกเข้า แกเริ่มยิ้ม พวกเราไม่ยิ้มแล้วก้มหน้า เวลาเขาใส่บาตรอย่าว่าแต่หน้าเลยมือยังไม่มอง เพราะอะไร เพราะกลัวอดข้าว นี่มันเป็นยังไงไอ้คนสันดานชั่ว เอาแต่บอกน่ะ มันไม่รับฟังหรอก มันต้องโดนตีเสียบ้าง มันต้องโดนยังงั้น คือว่าต้องสอบกันด้วยการให้อดข้าว จึงจะเป็นการสอบจริงกัน

    หลังจากนั้นมาก็อยู่กันแถวนั้นแหละ อยู่ในถ้ำบ้าง อยู่ในสถานที่โปร่งบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง คือว่าพวกฉันจะไปธุดงค์ฉันไม่ได้เดินเปะปะไปไหนหรอกนา ฉันเข้าถึงดงได้ ฉันเข้าดงไหน ฉันก็อยู่ดงนั้นแหละ นี่แหละธุดงค์กันจริงๆ ธุดงค์ของฉันนี่หมายความว่าป่ากันเลย ไม่เข้าบ้านเพราะตั้งใจไปฝึกกรรมฐาน ไปทำใจให้สบาย เรียกว่าพากันไปละกิเลส เอาใบไม่ใบไร่ ต้นไม่ต้นไร่เป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ ใบไม้มันแห้งมันเหิ้งอยู่น่ะคิดไปว่าใบไม้มันสด มันเกิดมาใหม่ต่อไปมันก็ใหญ่ ต่อมามันเหี่ยวแห้งก็หล่น ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน นี่ว่าแบบธรรมดาๆ ปีนั้นออกกันตั้งแต่เดือนอ้าย ตั้งแต่เดือน ๑ นับเป็นฝ่ายอะไร สุริยคติ จันทรคติอะไรฉันไม่รู้ จำไม่ได้หรอก แบบนี้ฉันไม่เอา พอรู้เรื่องนับแบบไทยๆ เราก็แล้วกัน เดือนไทยๆ เดือนไทยเก่า เขาเรียกกันว่าฝ่ายสุริยคติบ้าง ฝ่ายจันทรคติบ้าง พูดให้มันรู้ภาษาเล่นโก้ๆ มันจะเป็นประโยชน์อะไร พูดแล้วชาวบ้านชาวเมืองไม่กี่คนรู้ พูดทำไม ไอ้ฉันนี่นะ ไอ้เพื่อนมันว่าปากหมาก็จริง เขาจะพูดช่างเขาซิ ฉันไม่พูดก็เป็นเรื่องของฉัน เป็นอันว่าเดือนไทย เราออกกันตั้งแต่เดือนอ้าย พอใกล้จะถึงกลางเดือน ๖ มีผู้ชาย ๔ คน รูปร่างล่ำสัน ดำๆ ผมหยิกๆ ตาแดง พวกนี้น่ะยักษ์ ลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณจับได้แหงๆเลย ปลอมเป็นคนมาบอกว่า ท่านขอรับ ที่ตรงนั้นท่านอยู่ไม่ได้ นิมนต์ท่านไปอยู่ที่ด้านเขาทิศตะวันตกโน้น มีถ้ำใหญ่ขอรับ มีที่พักสบาย ที่นี่ฝนจะตก ๓ วัน ๓ คืน ฝนตกหนัก ถามแกว่าลุงทำไมรู้ แกบอกว่าผมรู้ครับ บ้านอยู่แถวนี้รึ แกบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้ แต่เราก็รู้อีตานั่นแกโกหก ตาแดงแหง ไม่กระพริบ ลองตาแดงไม่กระพริบละก็ยักษ์ ถ้าตาผ่องใสไม่กระพริบละก็เทวดา นี่รู้กันอยู่ แต่แกบอกว่าแกอยู่แถวนั้น บอกว่า เรื่องอาหารการบริโภคไม่เป็นไรขอรับพรรคพวกกระผมจะถวายท่าน ก็ตามแกไป เข้าไปในด้านเขา ด้านทิศตะวันตกก็มีถ้ำใหญ่จริงๆ มันใหญ่มาก มีเงื้อมผาชะโงกมามาก พอเข้าไปอาศัยได้แล้วปรากฏว่าคืนนั้นฝนตกตลอดคืน แล้ว ๓ วัน ๓ คืนมันตกจริงๆ ตกกันเรียกว่าไม่ขาดเม็ด มันจะซาเม็ดลงไปบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง นี่เป็นของธรรมดา แต่ว่าระยะ ๓ วัน ๓ คืน นี่ฝนไม่ขาดจริงๆ ถึงเวลาเช้าพวกเขาก็มา ผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้าง มีงอบทำด้วยอะไรต่ออะไรก็ตามเถอะ นุ่งผ้าเก่าผ้าขาด เดินลุยน้ำลุยท่ากันมาเอาข้าวมาถวาย ฉันรู้ว่าเทวดาแกล้งทำ ทำเป็นคน ข้าวของแกเป็นข้าวแบบเดียวกับที่ฉันบิณฑบาตนั่นแหละ สีเหลืองๆ กลิ่นหอมๆ กินอร่อย กินเข้าไปแล้วก็มีความชุ่มชื่น น้ำท่ามันก็ไม่อยากจะกิน เมื่อฝนหายคลายอากาศ ผ่องใสดีแล้ว เดินสะดวก ระยะเวลาวันนั้นเป็นวันโกน หือ ใช่ซีนะ อือ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่วันโกน เป็นวันวิสาขะ เพ็ญเดือน ๖ พอดี อีตาลุง ๔ คน ก็มาบอกว่า ท่านขอรับ เวลานี้เป็นวันวิสาขะแล้ว นิมนต์ท่านไปชมอะไรสักอย่าง เพราะท่านจะถึงเวลากลับ ความจริงตั้งใจจะกลับมาทันวิสาขะที่วัด แต่มันอยู่เพลินไปเลยคิดว่าจะวิสาขะกันที่ในป่า ก็มีตาลุงมาบอกว่าผมจะพาไปชมสถานที่สักที่หนึ่ง ไหนๆ ท่านก็จะกลับแล้ว สถานที่นี้พระที่มาธุดงค์ไม่เคยพบ แม้แต่คนธรรมดาไม่มีใครพบ ก็นึกในใจว่า เอ ก็มันป่าธรรมดานี่ มันภาคพื้นธรรมดา นี่แกบอกว่าไม่มีใครพบ มันก็เป็นของแปลก แกบอกว่ามันเป็นที่สวยสดงดงามมาก ท่านไปชมไว้ ก็พาไป แกพาไปพวกเราก็นำเครื่องครบ แบกกลดกันไป ก็ไม่มีอะไร มันก็มีกลดกับกาน้ำเท่านั้น มีย่าม ๑ ลูก มีกลด กาน้ำ มีรองเท้า ก็มีเท่านั้น ทรัพย์สินในการธุดงค์มันจะมีอะไร ตามแกไป เดินไปประเดี๋ยวหนึ่ง ไปพบดงตะไคร้ มีเนื้อที่ประมาณสัก ๑๐๐ ไร่ มันไม่มีอะไรมีแต่ตะไคร้ โผล่เข้าไปอีกก็พบดงข่า ดงกระชาย ต่อไปก็พบดอกไม้ ดอกไม้นี่มันเป็นแต่ละอย่างๆ อย่างดอกกุหลาบนี่มันดอกโตมาก เอามือกางเป็นคืบแล้วไปวัดดอกกุหลาบนี่มันยังไม่เท่า มันยังล้นมือ ดงพริกก็เหมือนกัน พริกเม็ดสวยๆ รูปร่างต่างๆ คล้ายๆ กับมุก สีเม็ดของพริกเหมือนกับมุก เป็นฟักทองบ้าง เป็นน้ำเต้าบ้าง เป็นอะไรต่ออะไร เป็นมะฟงมะเฟืองอะไรนี่แหละ มันแปลก สวยมาก มันแพรว คล้ายๆกับเอามุกเข้าไปประดับหลายสี ฉันก็ไม่เคยเห็นพริกแบบนี้ ของแบบนี้ ดอกไม้แต่ละอย่างมันก็ไม่รวมกันเรียกว่าแต่ละจุดๆ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ มันไม่ปนกัน ออกจากชะวากนี้ ก็ไปถึงดงพริกโน้น ก็ไปถึงดงอะไรต่อดงอะไร เข้าไปถึงดงดอกไม้แบบโน้น ดอกไม้อย่างกุหลาบ ดอกอย่างอื่นมันจะมีสีเป็นตับๆ เป็นแถวๆ ไม่รวมกัน ถ้าจะพิจารณากันจริงๆมันคล้ายดางดึงส์ คล้ายกับแถวดอกไม้ที่เขาจัดไว้บนดาวดึงส์ ฟังนึกขึ้นมาได้นะคล้ายกัน เดินตามแกไป พอพ้นดอกไม้นั่นแล้วรู้สึกว่าขึ้นเนินนิดๆ เวลาขึ้นเนินไม่รู้สึกว่าเป็นเนินเหมือนกับเดินกับดินธรรมดา แต่พอเดินไปๆ เหลียวหลังลงมาปรากฏว่าต้นไม้อยู่ข้างล่าง แต่ที่ไปก็มีต้นไม้เหมือนกัน ก็รู้สึกว่าขึ้นเนิน เดินไปสักพักหนึ่ง เวลาไปบ่ายๆ เดินไปแบบสบายอากาศร่มเย็นมาก บ่ายๆเวลาประมาณ ๓ โมงเย็นก็ถึงยอดเขา ตรงยอดเขามันกว้างจริงๆนะ จะว่ากันไป เขาภูกระดึงที่ว่าราบเรียบน่ะ มันเรียบสู้ไม่ได้ มันราบเรียบดีมาก แล้วก็มีบ่อน้ำยาว บ่อน้ำนี่ยาวประมาณ ๕-๖ เส้น ยาวมาก บ่อจริงๆมันก็มีหิน ไม่มีดินหรอก มีหิน มีต้นไม้ ต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นไทรก็มีแท่น แท่นหินนี่ก็เรียบ คล้ายๆกับใครเขาไปสร้างไว้ บริเวณก็ราบเรียบ เตียนรื่น จะหาใบไม้สักใบมันก็ไม่มี บนยอดเขาใกล้บริเวณนั้นอยู่ใกล้ๆกับสระน้ำ มันสวยสดงดงามจริงๆ มีต้นไม้เป็นจุดๆ มีดอกไม้เป็นแถวๆ รู้สึกว่าต้นไม้ดอกไม้นี่เขาปลูกไว้เป็นระเบียบจริงๆ มันสวยบอกไม่ถูก มีถนนเล็กๆ เออ อย่าพรรณนาเลยนะ ไม่ใช่นักประพันธ์นี่ แต่บอกตามความเป็นจริง มันสวย แลดูในน้ำก็ใสแจ๋ว หาก้อนหินเล็กๆ มาโยนลงไปในน้ำ เวลามันจมลงไปนี่จะเห็นชัดลงไปตั้งไกลลิบ แต่ไม่รู้มันไปถึงไหน เพราะมันก็สุดสายตาไป น้ำใสมากจริงๆ แกก็เลยบอกว่า ท่านครับนิมนต์พักที่แท่นนี่นะขอรับ แท่นที่เราจะไปนอนกันสัก ๓๐ คนมันก็ยังไม่เต็ม เวลาขึ้นไปนอนบนแท่นรู้สึกมันไม่แข็งเหมือนหินธรรมดา มันชอบกล มีความรู้สึกคล้ายๆกับนอนกับกระดานบ้านเรา มันมีความรู้สึกแปลกๆ เอางี้ก็แล้วกัน รู้สึกมันจะหยุ่นๆสักนิด ความกว้างของแท่น ถ้านอนกันสัก ๓๐ คนมันไม่หมด แกเลยบอกว่าคืนนี้ ท่านจะพบของดี ผมลากลับ แล้ววันพรุ่งนี้นิมนต์ท่านกลับวัดได้ พวกเราจะกลับ เลยลาแก บอกว่าพรุ่งนี้ก็ลาโยมเลยนะ ญาติโยมไม่ต้องห่วงฉันหรอก พรุ่งนี้ฉันจะกลับวัด เป็นวันวิสาขะแล้ว หลวงพ่อจะคอย ก็เลยนั่งกันอยู่ อาบน้ำอาบท่าเสร็จแกพาชมที่ต่างๆ เสร็จเรียบร้อย แกก็ไป อาบน้ำอาบท่าแล้ว พอเวลาค่ำ พอเริ่มประมาณพระอาทิตย์ตกดินก็แล้วกันนะ พูดภาษาไทย ก็เริ่มทำพระกรรมฐาน เดือนขึ้น วิสาขะนี่ วันกลางเดือนเวลาพระจันทร์ขึ้นมามันใกล้หัวเหลือเกิน มองดูพระจันทร์ที่ขึ้นมาบนฟ้า ฉันว่ามันสูงไม่ถึงกิโลหรอก เห็นพระจันทร์รู้สึกว่ามันใกล้ไม่ถึงกิโลเมตร มันใกล้มากจริงๆ มีความสว่างแจ่มใสมาก ดาวทุกดวงที่ใกล้ดวงจันทร์ก็สว่างมาก ฉันแปลกใจ เมื่อเจริญพระกรรมฐานเสร็จ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มก็เลิก เมื่อเลิกแล้วก็นั่งคุยกัน อีตอนนี้ได้ยินเสียงดนตรีลอยมาในอากาศ เสียงเพลงไพราะมาก เสียงร้องส่งประสานเสียงไพเราะ เสียงเจื้อยแจ้วฟังมาแต่ไกล แว่วเข้ามา ๆ ๆ ชักใกล้เข้ามา ๆ ๆ ปรากฏว่าจะมาหาจุดที่เรานั่งกัน พวกเราก็แอบ แอบแท่นดูว่าอะไรกันแน่ เพราะสงสัย ก็ปรากฏว่าพวกบรรดาสาวๆทั้งนั้นที่มา แต่งตัวชุดเขียวอ่อน ฉันเห็นแล้วก็สงสัย นี่มันชุดของนางฟ้า แต่เวลามาแม่เจ้าประคุณไม่ได้เดินมานี่ ลอยมา มีคนอยู่ในเสลี่ยงมีสาวๆ ๔ คนหามมาเสี่ยงหรือคานหามนั่นก็สวยมาก แม้แต่ผ้าที่ประดับแพรวพราวไปด้วยเพชร ทุกคนมีเพชรเต็มตัว ฉันแอบมองดูมันสวยจริงๆ รูปร่างหน้าตาสวยจริงทรวดทรงสวยมาก แต่ละคนไม่มีอะไรจะติ มาถึงแล้วคนที่อยู่ในเสลี่ยงก็ก้าวลงมา คนนี้ยิ่งสวยหนัก มีเครื่องประดับหนักกว่าเพื่อน พอคนนั้นก้าวลงมาทุกคนทำความเคารพ แล้วก็เปลื้องเครื่องทรงกัน เหลือแต่ชุดอาบน้ำ ตอนนี้คิดว่าไปบางแสนกันดีๆนี่แหละ คิดว่าไปเที่ยวบางแสนกันที เหลือแต่ชุดอาบน้ำแกก็ลงเล่นน้ำกัน เล่นน้ำล่อกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว ๆ ๆ อยู่พักหนึ่ง ไอ้เพื่อนฉันน่ะ ไอ้ปากควาย ไอ้ลิงเล็กน่ะ มันดันคอขึ้นมา มันบังคับยังไงก็ไม่อยู่ ไอคุกขึ้นมา พอไอคุกขึ้นมาเสียงเจี๊ยวจ๊าวหยุด คนหนึ่งถามว่าอะไร เสียงอีกคนหนึ่งตอบว่ามนุษย์ พอเสียงตอบว่ามนุษย์เท่านั้นภาพต่างๆก็หายไป เสียงหาย ภาพหาย ไม่เห็นขึ้นมา เห็นมันหายไปฉันนึกว่า เอ แม่พวกนี้น่ากลัวจะดำน้ำหนี แต่ว่ามันหนีนานจัง นานประมาณสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่โผล่ ฉันก็คิดว่านี่มันหายไปไหน แล้วเครื่องแต่งตัวมันทิ้งยังไง เดือนมันหงายจัดคล้ายๆ กลางวัน มันหงายจริงๆ แสงเดือนสว่างมาก เพราะดูพระจันทร์มันใกล้หัวฉันเต็มที มันสว่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเห็นแสงพระจันทร์สว่างแบบนั้น แล้วก็ชวนพวกกันไปดูแม่พวกนี้แกหายไปไหน เครื่องประดับที่แกถอดทำไมไม่เก็บเอาไป ราคาตั้งเยอะ พอเดินไปทางฝั่งสระทางโน้น อ้อมไปถึงบริเวณที่แกถอดเครื่องทรงไว้ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย ไม่รู้ว่าพวกแม่เจ้าประคุณมาหอบไปเมื่อไหร่ ก็มานั่งแปลกใจว่า เอ๊ะ! นี่มันเรื่องอะไรกันนะ แต่ก็อย่าลืมนะ ลืมใช้ญาณกัน เอาอารมณ์ธรรมดามาคิดกันว่านี่มันเรื่องอะไรกัน แต่จิตก็คิดอยู่ว่าแกจะสวยยังไงก็ช่าง จะสาวยังไงก็ช่าง เสียงของแกจะไพเราะยังไงยัไงก็ช่าง เครื่องประดับของแกจะมีค่ายังไงก็ช่าง พวกเราต้องการพระนิพพาน อารมณ์ของพวกเราต้องการพระนิพพานก็หันหน้าเข้ามาคุยกัน ปรารภเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง ในที่สุดมันก็เป็นอนัตตาไปแล้ว พอมันสลายตัวไปแล้วเราบังคับให้มันเกิดมาอีกไม่ได้ มันมีอีกไม่ได้ ใจก็สบาย

    พอรุ่งขึ้นเช้าพากันกลับวัด กว่าจะถึงวัดก็ล่อกันทุลักทุเล เดินตั้งแต่ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าไปทางไหน เดินส่งเดช เวลาขณะไหนที่มันหลงทางจริงๆ ก็หันหน้าเข้าหาต้นไม้ นึกถึงบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงบารมีของหลวงพ่อปาน นึกถึงความดีของเทวดา ถามเทวดาว่าทางที่จะไปไปทางไหน ถ้าอารมณ์ของใจมันนึกก็ดี เห็นภาพคนชี้ทางก็ดีไปทางนั้น มันจะพบทางตามที่เขาบอก นี่วิธีเดินธุดงค์เขาเดินกันแบบนี้ เขาหาดงกันแล้วเดินกันจริงๆ นะ ไม่ได้เดินไปสร้างกิเลส เดินไปละกิเลส เกือบจะไปเจอะเอากิเลสเข้า ถ้าไปเจอตรงนั้นถ้ามันเกิดกิเลสจริงๆ แล้วเกิดเป็นกิเลสใหญ่จะเป็นกองทุกข์มหันต์ เพราะว่าถ้าไปรักสาวๆ คนธรรมดามันยังพอจะพูดกันได้ นี่หากไปรักเอาเทวดาเข้าละก็เจ๊ง ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเทวดานะ คิดว่าเป็นภาพหลอนตา เมื่อกลับมาถึงวัด ตามธรรมดาพระนี่ตามระเบียบของพระพุทธศาสนานะ เวลานี้เขาใช้กันหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าไปไหนมาไหนก็ตาม หากครูบาอาจารย์ยังนั่งอยู่ หมายความว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้พักผ่อนอยู่ภายใน ถ้าอยู่ข้างนอกถ้าไม่หลับ จะเข้าที่พักของเราก่อนไม่ได้ ต้องเอาของวางให้หมด เข้าไปหาท่านก่อน ไม่ใช่ว่าเข้าถึงวัดจะเข้าไปหมกอยู่ในกุฏิจนกว่าครูบาอาจารย์จะเรียกเข้าพบ อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เขาไม่ใช้กัน ความดีระยำๆแบบนี้เขาไม่ใช้กัน นี่ว่ากันถึงเรื่องพระ ชาวบ้านเป็นยังไงช่างเถอะ ไม่เกี่ยว เวลากลับไปวัดก็ไม่ต้องถามแล้ว ผมมันจะยาวขนาดไหน หนวดมันจะยาวขนาดไหน หน้าจะเคลือบไปด้วยสีอะไร สีลม ลมมันเป่าหน้า ฝุ่นมันเป่าหน้า จะเคลือบขนาดไหนไม่ต้องพูดกัน เป็นอันว่าสีมันต่างไป ผ้าก็ดูไม่ได้ รูปร่างมันดูไม่ได้ หนวดเครารุงรัง พอเข้าไปวัด ไอ้เจ้าหมาก็ดี พอมันเห็นหน้าเข้ามันวิ่งเข้าหาเลย ไม่ยักแปลก แต่คนด้วยกันน่ะแปลก ชาวบ้านที่เคยคุยกันบางคนชื่อตาหมอน ตาหมอนเดินเข้ามา แล้วมาป้องหน้าใกล้ๆด้วยจำไม่ได้ หัวตั้งแต่เดือนอ้ายถึงกลางเดือน ๖ ไม่ได้โกน หนวดเคราก็ไม่ได้โกน แล้วสีพอกไปด้วยอะไรไม่รู้ สีตัวนี่น่ะ สีผ้าก็เหมือนกัน มันน่าจะจำไม่ได้ เมื่อเข้าไปแล้วเห็นหลวงพ่อปานท่านนั่งอยู่หน้ากุฏิ เอาของวางหมด พอดีแขกมาหาท่านมาก แต่ว่าจะมีแขกมากแขกน้อยไม่สำคัญ ตามระเบียบแล้วต้องไปนมัสการท่านเสียก่อน พอเข้าไปถึง วางของเสร็จ ถอดรองเท้าเสร็จเข้าไปกราบท่านตามระเบียบ เมื่อเข้าไปกราบแล้วก็ไปนั่งฟังโอวาท ท่านก็ป้องหน้าถามว่าไอ้ ๓ ลิงของพ่อมาแล้วรึก็บอกว่ามาแล้วขอรับ เออ ลูกเอ๊ยไปเสียท่ายังไงล่ะลูก ไปกินหญ้าเสีย ๓ วันเชียวนะลูก ทีหลังจำไว้นะลูกนะ คนที่เขาให้เรานี่นะเขาเป็นเทวดานะ อย่าไปสงสัยซิ เราต้องการอาหารนะลูกนะ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป อย่าไปสงสัยซีลูก นั่นเดชะบุญน่ะนา พ่อเฉลียวใจขึ้นมาเกิดเป็นห่วงลูกขึ้นมา ก็พอดีไปเห็นว่าลูกอดข้าวกัน เลยไปติดต่อกับเทวดาเขา ไปขอโทษแทนให้ ว่าไอ้ลูกของฉันน่ะไม่มีเจตนาร้ายอะไรหรอก มันเป็นคนอยากจะรู้ เป็นคนช่างสงสัย เทวดาเขาเลยให้อภัย เป็นอันว่าเขาให้อภัยเสียแล้วฉันจึงได้มาบอกพวกเธอ นี่ลูกหลานแปลกใจไหม ฉันอยู่แดนพม่า ท่านอยู่วัด อาศัยทิพยจักษุญาณ ทิพยจักษุญาณนี่น่ะสำคัญ ท่านจะไม่มองเองก็ได้ เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งจะมาบอกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีทิพยจักษุญาณแล้ว เทวดาองค์ไหนมาบอกก็ไม่รู้เรื่อง ทิพยจักษุญาณนี้เป็นพื้นฐานสำคัญ แล้วท่านพูดต่อไปว่า เอ้อ ไอ้ลูกเอ๊ย ไอ้บนยอดเขาน่ะมันไม่ใช่เมืองมนุษย์หรอกนะลูกนะ ลูกรู้หรือเปล่าว่าอีตาคน ๓-๔ คนที่มาชวนลูกให้ไปพักในถ้ำ แล้วก็ชวนไปยอดเขาเป็นใคร ก็เลยกราบเรียนท่านว่า รู้ขอรับว่าพวกนี้เป็นยักษ์ ท่านถามว่ารู้ได้ยังไง ตอบว่าสังเกตที่ลูกตา มีตาสีแดงจัดแล้วไม่กระพริบ ท่านหัวเราะชอบใจแล้วบอกว่า เออๆ ยังงี้ใช้ได้ๆ ถ้าตาสีแดงไม่กระพริบเป็นตายักษ์นะลูกนะ ถ้าตาสีผ่องใสไม่กระพริบเป็นตาเทวดา อย่างนี้ใช้ได้ เอาตัวรอดได้แล้วนี่ ใช้ได้แล้ว แต่ไอ้ยอดเขาน่ะมันไม่ใช่เมืองมนุษย์หรอกนะ ดงหญ้าดงฟางดงผักดงดอกไม้ ดงอะไรต่ออะไรนั่นก็เหมือนกัน ถามว่ามันเป็นที่ไหนเล่าขอรับ หลวงพ่อท่านไม่ตอบ ท่านบอกว่าพ่อไม่ตอบหรอกลูก เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกให้พ่อพูด ที่พ่อบอกกับเจ้าว่าไม่ใช่เมืองมนุษย์ หรือสมบัติที่มีอยู่ในเมืองมนุษย์ก็เพราะว่า เจ้าจะได้รู้ว่า ที่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะไปดูกันได้ทุกคน ดีไม่ดี ต่อไปเจ้าเล่าให้ใครฟัง แล้วก็บอกทิศทางให้เขาไป ถ้าเขาอยากจะไปในดินแดนนั้นแล้วมันไม่พบละก็เจ้าจะเสียชื่อ เขาจะหาว่าเจ้าโกหก นั่นสิ่งที่ปรากฏมันเป็นอำนาจของเทวดา แล้วก็เลยถามท่านว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครขอรับ ท่านก็บอกว่าเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดในดาวดึงส์ ก็เลยไม่รู้ว่าใคร ท่านบอกว่าในดาวดึงส์ เอาเฉพาะเวชยันต์ปราสาท เวชยันต์วิมานนะ ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดในเขตเวชยันต์วิมาน ในดาวดึงส์ เอายังงี้แล้วกัน ผู้หญิงคนที่ถามนี่หมายถึงว่าผู้หญิงที่นั่งในคานหาม ท่านเลยพูดว่าดีละลูก การฝึกอารมณ์แบบนี้ดีนะ ใจของเจ้าไม่จับ อารมณ์ของเจ้าทรงสมาธิได้ดี ยังไงไอ้เสือมันจะมาคุยบ่อยรึลูก ก็เลยกราบเรียนท่านว่า มันมาคุยบ่อยขอรับ แต่ผมไม่รู้ภาษามัน บอก ฮือ ก็ดีแล้ว ไม่รู้ภาษาเสือเสียได้นั่นแหละดี ถ้ารู้ภาษาเสือได้จะรำคาญมาก แล้วก็ไอ้เสียงดนตรีล่ะลูกเอ๊ย ได้ยินหรือเปล่า บอกว่าได้ยินทุกวันขอรับ ไม่ทราบว่าจะประโคมทำไม ท่านเลยบอกว่ามันเป็นเรื่องของเจ้านะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นภาระของเจ้า เจ้าเคยบำเพ็ญบารมีมาด้วยอำนาจของดนตรีอย่างหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่ง ก็เพราะอาศัยเทวดาที่เป็นบริวารเดิมเขายังมีอำนาจอยู่ เห็นเจ้านายของเขาเข้าไปในป่าเกรงว่าจะเหงาก็เอาดนตรีมาขับประโคมแก้เหงา นั่นมันเป็นภาระของเขานะลูกนะ เอาละกลับไปพักผ่อนกันเสียนะลูกนะ ต่อแต่นี้ไปก็จำพรรษากันตามสบาย ฝึกกันตามอารมณ์ ถ้ามีอะไรสงสัยมาถามพ่อได้ ชาวบ้านเขาถามว่าพระที่ไหน ท่านก็บอกว่าพระที่นี่ ไอ้ลิง ๓ ตัวของฉันนั่นแหละไม่มีใคร ที่ฉันเล่าให้พวกแกฟังอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เป็นอันว่าก่อนหน้าที่ฉันจะไปถึง หลวงพ่อกำลังเล่าประวัติลิง ๓ ตัวให้เขาฟังอยู่ พวกชาวบ้านหัวเราะชอบใจ ยกมือไหว้กันเป็นการใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านไปพูดอะไรไว้บ้าง

    เอาละ สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติกันเพียงเท่านี้ วันหน้าฟังกันต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี

    จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน
     

แชร์หน้านี้

Loading...