หลวงพ่อปานเมื่อเด็ก

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 14 พฤษภาคม 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    [​IMG] คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    จาก หนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน


    มาฟังกันตอนที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านเป็นผู้ใหญ่ เป็นพระทรงอภิญญา สามารถจะรู้อะไรก็รู้ดี จะทำอะไรทำได้ นี่เรามาฟังกันตอนปลายเหตุนะ ฉันก็เป็นอย่างนั้น เวลาฉันอ่านหนังสือก็เหมือนกันอ่านตอนจบก่อนว่ามันจบตอนไหนแล้วถึงมาอ่านตอนต้น เวลาฉันเล่าเรื่องหลวงพ่อปาน ฉันก็มาเล่าเรื่องตอนปลายเสียก่อน ตอนที่ท่านธุดงค์นั้นมันตอนปลายเหตุใกล้จะตาย แต่ตอนปลายยังไม่ได้เล่าให้ฟัง ก็บุญตัวด้วย ตายยังไม่เล่านะ ไปเล่าเอาตอนหลัง ทีนี้มาเล่ากันตอนต้นใหม่เถอะ วันหนึ่งฉันจำได้ว่าเป็นวันโกนของอะไรนะ มันเป็นวันแรม ๑๕ ค่ำ วันสารท เอ๊ะ ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ วันโกนนี่ หลวงพ่อปานถือว่าเป็นวันประชุม คือว่าท่านมีหมายกำหนดของท่านไว้ ประกาศพระในคราวเดียวว่า ให้ถือวันโกนทุกวันโกนเป็นวันประชุมใหญ่ พระอะไรจะขาดไม่ได้ ถ้าป่วยก็ต้องแจ้งมา ไม่ว่าพระเล็กพระใหญ่พระกี่พรรษาก็ตาม ถ้าป่วยต้องมีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมา ผมขอลาการประชุม แล้วก็สั่งกันคราวเดียว วันโกนทุกวันโกนเป็นวันประชุม แต่พวกเราไม่ขาดเพราะขาดไม่ได้ ถ้าหากว่าขาดก็ไม่ได้ฟังของดีของถูกใจ เวลาท่านประชุมก็เริ่มกัน ๒ ทุ่ม ไปเลิกกัน ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม บางทีมีเรื่องคุยกันมากก็ ๖ ทุ่ม แต่ว่าถ้าหากว่าท่านพูดเรื่องสำคัญหมดท่านก็อนุญาตว่า ต่อแต่นี้ไปใครจะคุยกับฉันก็คุย ใครไม่อยากคุยอยากจะนอนมีธุระที่ไหนก็ไป ถ้าอยากจะคุยกับฉันก็อยู่คุยกับฉัน นี่เป็นกรณีพิเศษ พอท่านสั่งงาน เสร็จประชุมแล้ว ท่านก็แนะนำสั่งสอน พร่ำสอนเสร็จ แต่คำสอนของท่านก็ไม่ผิดละ เรื่องศีลธรรมและวินัยไม่ผิด รู้สึกว่ามีอาการเครียดอยู่มาก การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา และในสำนักของท่าน พระที่ไม่เอาถ่านก็เยอะ อย่าเข้าใจว่าดีทุกองค์นะ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ แม้แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน วินัยปรากฎว่ามีตั้งหลายร้อยข้อก็เพราะความชั่วที่พระทำขึ้น ถ้ายังไม่มีใครทำความชั่วเพียงใด พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ประกาศพระวินัย ไม่ประกาศเป็นกฎบังคับ แต่กฎบังคับแต่ละข้อ ๆ ที่มันปรากฎตั้ง 200 กว่าข้อ นี่แสดงว่าหลวงพี่สมัยนั้นแกก็ทำความเลวตั้ง ๒๐๐ กว่าข้อเหมือนกัน นี่แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้ายังเป็นอย่างนั้น แล้วสมัยของหลวงพ่อปานอย่าไปคิดนะว่าพระจะดีทุกองค์ พระประเภทที่ต่ำกว่าดีก็มาก แต่ว่าท่านแบ่งประเภทของพระไว้ ท่านแบ่งไว้ว่าพระองค์ไหนขี้เกียจเจริญพระกรรมฐาน พระพวกนี้อยู่กองโยธาธิการทำงานก่อสร้าง องค์ไหนขยันเรียนหนังสือ ขยันเจริญกรรมฐาน พระประเภทนี้ไม่เรียกทำงาน ใครจะสมัครไปทำก็ได้ ถ้ามีงานเกี่ยวกับหนังสือท่านก็เรียกใช้ นี่เป็นปฏิปทาของท่าน ถ้าพระอะไรก็ตาม เป็นพระประเภทไม่เอาถ่าน อยู่ไม่ได้นาน ขี้เกียจ นอนกินอืด แล้วก็เป็นนักเบ่งแต่งตัวสวย ๆ อย่างนี้ไม่มีหวัง อยู่สำนักนั้นไม่ได้นาน ถูกขับ ไม่ใช่ว่าท่านจะมายิ้มกับคนดีคนชั่วทุกอย่างนั้น เป็นอันว่าทราบกันแล้วนะ ว่าพระของท่านไม่ใช่ว่าดีเสมอไป ที่เลวก็มี ที่ท่านด่าพระของท่าน ทีนี้พระของหลวงพ่อปานเป็นพระประเภทนั้น ท่านด่าของท่านด่าดี เวลาท่านจะรู้พระดีพระชั่ว ท่านย่องไปฟังตามหลังกุฏิ ใต้ถุนกุฏิ บางทีท่านก็นั่งที่หลังกุฏิของท่านก็มีเทวดาบ้าง มีพระบ้างบอกท่าน คำว่าพระ ไม่ใช่พระคน พระผี ใครทำอะไรไม่ดีตรงไหนถูกฟ้อง มีนางตะเคียนอยู่ ๒ ต้น คอยฟ้องท่านเสมอ อันนี้ ฉันก็เคยถูกนางตะเคียนฟ้องเหมือนกัน ถ้าทำไม่ดีไม่ได้ คนนี้แกเคร่งมาก ถ้าใครไม่ดีไม่ช้าถูกขับ วิธีด่าพระ ท่านใช้ความเป็นคนแก่ของท่านเป็นเครื่องมือด่าพระ หมายความว่าท่านไปที่วัดนู้น วัดทางเหนือก็ตาม วัดทางใต้ก็ตาม ท่านไปเห็นพระร้องเพลง พระทำไม่ดี แต่ว่าตาของท่านไม่ดี ท่านอ่านไม่ออกว่าวัดอะไร นี่เรียกว่าท่านเอาความแก่ของท่านมาสู้ เอาความแก่เข้ามาชนเอา แล้วท่านก็ใช้วิธีด่า จะเล่าให้ฟังวิธีด่าพระ
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ปราบพระเลว

    วันหนึ่ง ท่านไปพบพระของท่านไปนอนร้องเพลงกันที่ศาลาปรก ศาลาปรกน่ะรู้จักไหม รู้จักศัพท์ภาษาเก่าภาษาวัดไหม คือศาลาที่เขาเอาไว้ผีน่ะ เขาปลูกไว้ในป่าช้า สมัยก่อนยังไม่มีกุดัง ใครมีใครตายก็เอามาไว้ป่าช้าที่ศาลา วาง ๆ ไว้กับศาลา ใครเดินมาก็เห็นหีบศพเป็นแถว เขาเรียกศาลาปรก มันแปลว่าอะไรไม่รู้ แล้วก็ที่ศาลานี้ไม่มีศพเอาไว้ พระ ๒ องค์ไปนอนร้องเพลงกันอยู่ที่นั่น บังเอิญท่านเดินเข้าไปในป่าช้าไปเห็นเข้าได้ยินเข้า เมื่อท่านได้ยินเข้าแล้วท่านก็จำหน้าพระไว้ พอเวลาวันโกน ท่านเข้าประชุม เวลาท่านประชุมท่านก็ชม คำว่า สัมโมทนียกถา นี่หมายความว่า ท่านพูดจาไพเราะสรรเสริญความดีของบรรดาพระที่สร้างความดี พระองค์ไหนทำความดีท่านสรรเสริญ ๆ เสียจนเรียกว่าพอใจ แล้วก็กล่าวถึงอานิสงส์ความดีต่าง ๆ อย่างนี้ งานก่อสร้างก็ดี สมถวิปัสสนาก็ตาม หรือว่าสร้างความดีอะไรก็ตาม มีอานิสงส์อย่างไรท่านพูดให้ฟังหมด พูดให้ฟังแล้วท่านบอกว่าเวลาพวกเธอสร้างความดี ฉันติดตามความดีของเธอ เวลาฉันนั่งพระกรรมฐานฉันก็ขึ้นไปบนสวรรค์ ไปบนพรหมโลกบ้าง หรือว่าไปนิพพานบ้าง และไปดูว่าคุณความดีของใครจะปรากฎ แล้วท่านก็ชี้แจงว่าผลความดีของคนนี้ปรากฎอยู่ที่นั่น ผลความดีของคนนั้นปรากฎอยู่ที่โน่น เรียกว่าท่านไปพบดีมาแล้ว ท่านมาเล่าให้ฟัง ทำให้พระที่ทำความดีปลื้มใจอยากสร้างความดีต่อไป เรียกว่าไม่ยับยั้งในการสร้างความดี คือพยายามดิ้นรนหาความดีอยู่เสมอ ทีนี้สำหรับพระที่สร้างความชั่ว ท่านก็บอกว่าวัดของท่านไม่มีพระชั่ว ไม่มีหรอก ฉันดีใจเหลือเกินที่ลูกของฉันเป็น ลูกดีทุกคน ลูกของฉันไม่มีเลว ฉันไม่มีพระเลวในสำนักของฉัน แต่ถ้าบังเอิญในสำนักของฉันมีคนเลว มีพระเลว มีลูกเลว ฉันจะเสียใจมาก พระเลว ๆ มี ฉันจะยกตัวอย่างให้ฟัง ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านก็พูดให้ฟัง ยกตัวอย่างพระเลวว่า


    เมื่อ ๒ - ๓ วันนี่นะ ฉันนั่งเรือไป ท่านมีเรือนั่งสำหรับคนแจว ท่านไม่ชอบนั่งเรือรถยนต์บอกว่ามันกระเทือนแล้วก็เสียงดัง ท่านบอกว่าให้คนแจวไปทางใต้ ไปได้ยินเสียงคนร้องเพลง คนร้องเพลงนี่เขาร้องเพลงไทยเป็น ๒ เสียง หมายความว่าคน ๒ คน ก็ถามคนแจวเรือเขาว่านั่นใครร้องเพลง คนแจวเรือก็บอกว่าพระขอรับ ถามว่าร้องที่ไหน คนแจวเรือก็บอกว่าร้องที่ศาลาปรก ก็เลยถามวัด ท่านว่าอย่างนั้น คำว่าศาลาปรกมันก็บอกยี่ห้อว่าเป็นวัด แต่ฉันก็มองดูป้ายวัด ตาฉันมันไม่ดี อ่านป้ายวัดไม่ออกไม่ทราบว่าเป็นวัดอะไร นี่วิธีด่าพระของท่าน แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า ลูกของฉันไม่มีใครเลวอย่างนั้น ฉันได้ยินเสียงร้องเพลงเขาบอกว่าเป็นเสียงพระ ฉันคิดว่าถ้าฉันได้ยินเสียงหมาหอนจะชอบใจมากกว่าเสียงพระร้องเพลง เสียงพระร้องเพลงนี่มันไพเราะสู้เสียงหมาหอนไม่ได้ เพราะว่าพระองค์นั้นมีความเลว ๆ ยิ่งกว่าหมา หมา ไม่มีสภาพหลอกลวงใคร คือว่าหมามันเป็นหมา มันก็ประกาศความเป็นหมาของมันตลอดกาลตลอดสมัย มันไม่ให้ใครมายกมือไหว้มัน แต่พระที่ไปร้องเพลงนี่มีสภาพเลวกว่าหมามาก เพราะว่าพระไปร้องเพลง การร้องเพลงนี่เป็นภาวะของฆราวาสเขา พระถ้าทำตนอย่างฆราวาสเรียกว่าเลวกว่าฆราวาสเขา เพราะพระเป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่เขาจะต้องไหว้เขาจะต้องบูชา เวลาเขาให้ของขอทาน ๆ ไหว้เขา แต่นี่เวลาเขาให้ของพระ คนให้ไหว้พระ พระเป็นบุคคลที่ชาวบ้านควรบูชา ทำตนแบบนั้นเป็นคนเลวมาก ฉันได้ยินพระร้องเพลงฉันสลดใจมาก รู้สึกดีใจว่าพระของฉันไม่มีอย่างนั้น ถ้าหากว่าพระของฉันมีอย่างนั้น ฉันคิดว่าชาวบ้านเขาให้ข้าวมานี่ฉันไม่ให้กิน ฉันให้หมากินดีกว่า เพราะพระแบบนี้เลวกว่าหมามาก นี่อย่างนี้เวลาตายตกอบายภูมิเป็นสัตว์นรก พระหลอกลวงชาวบ้าน ตัวมีความเลวยิ่งกว่าหมาแล้วทำตนเป็นพระให้ชาวบ้านเขาไหว้ นี่มันเลวยิ่งกว่าหมามาก นี่ดีนะที่ไม่ได้อยู่ในสำนักของฉัน ในบ้านของฉันไม่มี ในวัดของฉันไม่มี ถ้าในวัดของฉันมีฉันจะเสียใจไม่น้อย ฉันจะสลดใจมาก นี่ท่านว่าต่อไปว่า พระประเภทนี้เวลาตายมันตกอเวจีนรกทั้งหลายหมด ไม่เหลือหรอก เพราะมันหลอกลวงชาวบ้านเขา เวลาจะกินข้าวก็ให้เขาประเคนและเขาไหว้ เวลาเป็นพระเข้าร่วมสังฆกรรม ๆ นั้นเสียหมด เวลาเขาจะบวช พระจะบวชเจ้าจะลงอุโบสถทำปาติโมกข์สังฆกรรมนั้น ไม่มีเหลือเลยเสียหมด เมื่อสังฆกรรมเสียแล้วตัวจะไปอยู่ไหนก็ไปอบายภูมิ คนประเภทนี้บวชแล้วลงนรก นี่ฉันดีใจนะที่ฉันไม่มีพระเลวอย่างนั้น มีลูกเลวอย่างนั้นฉันเสียใจมาก เอาล่ะ พวกเธอทั้งหลาย มีความดีจงรักษาความดีของเธอเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ความดีของเธอแม้แต่นิดหน่อย การสงเคราะห์สัตว์ วัดไหนหมาผอมอย่าไปอยู่นะ วัดไหนตีฆ้องกลองระฆังถ้าสุนัข ไม่หอนอย่าไปอยู่ แสดงว่าขาดความเมตตา หมาก็ดีแมวก็ดีมันมาอยู่ในวัดให้ทานมันนะ เพราะเอามันเป็นเกราะป้องกันภัย หมายความว่าเป็นด่านป้องกันนรกเป็นด่านแรก เอาล่ะ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เอาไว้วันหน้าฟังกันใหม่ สำหรับวันนี้ก็ยุติกันเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลแก่ลูกหลานทุกคน


    ลูกหลานทุกคน วันนี้ฉันมีโอกาสมาพบกับลูกหลานทุกคนตายเคย วันนี้ตรงกับวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๑๕ หากคนทั้งหลายที่เคยฟังฉันเทศน์ในสมัยก่อน สมัยหนุ่ม ๆ ฟังลีลาการเทศน์ก็ดี ฟังลีลาการพูดก็ดี ถ้าเห็นว่ามันแปลกไปล่ะก็ โปรดทราบด้วยว่า เวลานี้สุ้มเสียงมันไม่ดีเหมือนก่อน และลีลาการพูดก็เหมือนกัน เพราะว่าลีลาสมัยนั้นดี การพูดคนชอบฟัง ทั้งนี้ก็เพราะอะไร เพราะว่าสมัยนั้นกิเลสมันท่วมหัวฉัน ฉันชอบประจบชาวบ้านชาวเมือง อะไรก็ตามเอาแต่เรื่องโลก เขาว่าดี ๆ เอามาใช้ ใช้ตามแบบฉบับของโลก ก็เพื่อจะให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาชมว่าฉันเป็นคนดี เวลานี้ฉันเห็นแล้วว่าความดีประเภทนี้เป็นเชื้อสายของนรก การประจบประแจงชาวบ้าน ยกย่องสรรเสริญชาวบ้านเป็นเหตุให้ผิดธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การทำอย่างนี้เป็นเหยื่อของนรก เพราะอะไร เพราะลุงพุฒิแกนั่งยิ้มฟันขาว มองหน้าแกแล้วแกนั่งยิ้มฟันขาว ถามแกบอกว่าแกจดไว้บ้างหรือเปล่า แกตอบว่าตอนนั้นจด อยากทำไม่ดีก็ต้องจด ตอนนี้จดไม่เลือกหน้าเหมือนกัน เรียกว่าไม่กินสินบาทคาดสินบนใครไม่ไหว ตาพุฒินี่ไม่ยอมเป็นพวกกันจริง ๆ เอ้า แกหันมาต่อว่า แกบอกว่างานก็งานสิ พวกก็พวกสิ ไอ้เรื่องความดีความชั่วมันต้องอยู่ในกฎของกรรม มันเรื่องของงาน แต่เรื่องส่วนตัวก็เรื่องส่วนตัว แกว่าอย่างนั้น


    เอ วันนี้ฉันเพ้อไปกระมังนี่ น่ากลัวฉันจะเพ้อไปเสียกระมัง นี่ฉันมาเล่าเรื่องอะไรให้ลูกหลานฟัง กลับไปคุยให้ลุงพุฒิลุงเพิดที่ไหนนี่ มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะลูกหลานนะ ถ้าอยากรู้ว่าลุงพุฒิแกมีหรือไม่มี ลูกหลานที่รักทำอย่างนี้ซินะ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามบำเพ็ญทานบารมีให้ครบถ้วน แล้วก็รักษาสมาธิจิต ระงับนิวรณ์ ๕ เสีย ทรงพรหมวิหาร ๔ และพิจารณาตัวเราให้เป็นไปตามความเป็นจริง เห็นว่าร่างกายมันไม่เป็นแก่นสารไม่เป็นสาระ กระทั่งตัดอุปาทานได้เป็นบางส่วน เท่านี้แหละ ลูกหลานทั้งหลายจะเห็นว่าลุงพุฒิแกมีจริงหรือไม่จริง ถ้าได้ทิพยจักษุญาณละจะได้เห็นตัวแก แล้วจะได้คุยกับแก เรื่องที่ฉันพูดให้ฟังนี้จะจริงหรือไม่จริงไปสอบสวนกันตอนนั้นนะ ที่บอกให้ทำอย่างนี้ไม่ใช่เกินวิสัยของคนที่จะทำได้ คนในโลกเกิดมามีสิทธิจะทำได้เหมือนกันทุกคน เออ เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงคนให้สตางค์ฉัน แต่ความจริงคนให้สตางค์ฉันมีด้วยกันหลายคนนะ มีมากแต่ฉันจำชื่อไม่ค่อยจะได้หรอก บางทีคนนั้นก็ฝากคนนั้นไว้ คนนี้ก็ฝากคนนี้ไว้ วานนี้ไม่ได้พูดชื่อคนประจำที่ให้ประจำที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริมอีก ๓ คน คนนี้เป็นหญิง ถ้ารวมผู้ชายด้วยเป็น ๖ คน คือว่า คุณนิดกับคุณปวิณนะ คุณกะละมัง คุณนิดกับคุณปวิณ กะละมังนี้ก็ให้เป็นประจำเหมือนกัน และคุณอัญชัญกับคุณอันเชิญ กับสามีคุณบัณเย็นและนาวาอากาศโทอะไรนี่ หมอน่ะ จำชื่อไม่ได้แล้ว นึกไม่ออกแล้ว นึกกันเองนะ นี่เขาให้สตางค์กินกัน เมื่อวานนี้ฉันพูดเรื่องนี้แล้ว ตอนกลางคืนฉันก็นอนสบายใจ ฉันสบายใจอะไรรู้ไหม เรื่องที่ฉันทำอีลุ่ยฉุยแฉกน่ะ ใช้เงินของเขาผิดประเภท ฉันมีความหวังอย่างคนแก่ธรรมดา เพราะว่าตามธรรมดาคนแก่เป็นนักสะสม ไอ้โน่นก็ของกู ไอ้นี่ก็ของกู แม้แต่เศษกระดาษก็เก็บ เพราะว่าคนแก่เห็นความหมาย เห็นความหวังว่ามันเป็นประโยชน์ อย่างน้อยที่สุดเศษกระดาษเราใช้เช็ดปากเช็ดมือหรือเป็นอะไรก็ได้ นี่เป็นเรื่องของคนแก่ คนแก่น่ะยุ่งอย่างนี้ แต่แก่อย่างฉันไม่ใช่ยุ่งอย่างนั้น เก็บเหมือนกันสตางค์ที่ลูกหลานให้มาเพื่อกินเพื่อใช้ซื้อข้าวซื้ออาหารซื้อยารักษาโรค ฉันคิดว่าฉันใกล้จะตาย กินมากนักจะเสียเปล่า แต่กินพอมีพอควร บางทีเหลือ แต่ไม่ใช่เหลือไว้กิน ทั้งนี้เพราะเป็นตามธรรมดาของคนแก่ที่ห่วงลูกห่วงหลาน คนแก่ทุกคนมีความหวังมาก นี่ห่วงว่าลูกหลานของฉันจะเป็นคนจน ไอ้ชาตินี้เขาจะจนหรือรวยไม่สำคัญ เพราะชีวิตนี้เราได้รับผลกันแล้ว วันข้างหน้าซิ คนแก่ที่สะสมทรัพย์สมบัติก็สะสมไว้ให้ลูกหลานในวันหน้า เวลาตายไปแล้วทรัพย์สินส่วนนี้ที่ดินแปลงนี้ หรือว่าบ้านหลังนี้ หรือว่าเงินจำนวนนี้ จะมีไว้กับหลานคนนั้น คนนี้ นี่เป็นภาวะของคนแก่ แต่ว่าคนแก่อย่างฉันไม่เป็นอย่างนั้น อยากจะให้ลูกหลานของฉันร่ำรวยในอริยทรัพย์ ชาตินี้มีแค่นี้แล้วชาติหน้าอยากให้รวยกว่านี้ อยากให้มีความสุขกว่านี้ ให้มีทรัพย์สินมาก ๆ ให้มีบ้านสวย ๆ มีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข มีหูมีตาดี มีจมูกดี ทีนี้ฉันก็ทำหมด เอาเงินของลูกหลานไปสะสมสร้างของพวกนี้เข้าไว้ให้ลูกให้หลานของฉัน ส่วนใดที่เป็นทานบารมี อาหารส่วนการบริโภค ฉันก็จัดสงเคราะห์แก่คนและสัตว์ตามสมควร นอกจากนั้นก็เอาไปสร้างบ้านสร้างเรือนเข้าไว้ สร้างเครื่องหูทิพย์ สร้างเครื่องตาทิพย์เข้าไว้ บางทีลูกหลานทั้งหลายเห็นฉันเข้าจะว่าหลวงตาแก่นี่ไม่เจียมตัว หากินเองก็ไม่ได้ต้องอาศัยลูกหลานกิน ยังสร้างโน่นสร้างนี่ ซื้อโน่นซื้อนี่ ไม่รู้จักเจียมตัวสักที แต่ลูกหลานเอ๋ย ฉันน่ะเป็นคนรวยแล้วนะ เวลานี้ฉันรวยบริบูรณ์สมบูรณ์ครบทุกอย่างแล้วเฉพาะตัวฉัน แต่ว่าลูกหลานเท่านั้นแหละยังไม่ครบ ไอ้ที่ฉันสะสมไว้นี่เพื่อให้ลูกหลานเป็นคนรวยบ้าง ความรวยของคนเรามีอยู่ ๓ ขั้น ที่ฉันต้องการ คือ


    ๑. ตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ มีทุกอย่างเป็นทิพย์ ที่อยู่ก็เป็นทิพย์ ร่างกายก็เป็นทิพย์ หูตาเป็นทิพย์ อวัยวะทุกส่วนเป็นทิพย์ ถ้าหมดจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษย์โลกก็จะมีทรัพย์สินสมบูรณ์ หูตาดี นี่ความต้องการของฉัน การสร้างวิหารทานจะได้มีที่อยู่ดี การให้ทานแก่สัตว์และบุคคล ลูกหลานก็ได้เป็นคนมีทรัพย์สินบริบูรณ์ ทีนี้การสร้างเครื่องให้ได้รับความสะดวกจากเสียงจากแสง ไฟฟ้าหรือว่าเครื่องติดต่อ ไฟฟ้าเป็นเรื่องของหูตาดี และเครื่องติดต่อเข้าใจง่ายเป็นเรื่องของหูดี นี่ฉันทำไว้หมดเพื่อลูกเพื่อหลาน ถ้าเห็นเข้าก็โมทนากัน รู้เข้าก็โมทนากัน จะได้บุญเพราะอำนาจปัตตานุโมทนามัย คือแสดงความยินดีร่วม การแสดงความยินดีร่วมเป็นบุญเป็นกุศล เป็นกำไรที่ได้อย่างชนิดไม่ต้องลงทุน แต่ความจริงลูกหลานก็ลงทุนมาแล้ว ซึ่งคิดว่าเงินจำนวนนี้ให้หลวงตาเฒ่าไปซื้อยารักษาโรค หรือว่าซื้ออาหารเป็นเครื่องบริโภค แต่หลวงตาเฒ่าเจ้าเรื่องแกก็ไปสร้างอะไรต่ออะไรเสีย ก็เอาไว้บ้าง ไม่ใช่เอาไปหมดหรอก เรื่องยานี่มันต้องกิน มันเชื่อเขาได้นี่ บางทีหมดแล้วก็ไปเอาเขามาก่อน ก็รู้อยู่นี่ว่าลูกหลาน ใจดี พบหน้ากันเมื่อไรก็ให้กันเมื่อนั้น ก็เลยมาตั้งท่าเป็นหนี้เอาไว้ก่อน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความจำเป็นน้อย ข้าวปลาอาหารฉันเป็นคนกินไม่ยาก ถ้าโรคกระเพาะฉันไม่รบกวน ไม่ว่าอะไรฉันกินได้ทุกอย่าง กินได้อย่างคนธรรมดา โรคภัยไข้เจ็บก็เหมือนกัน ฉันถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ มันไม่แปลกสำหรับฉัน จึงมีความวิตกน้อย เรื่องวิตกมีอยู่อย่างเดียว คือ กลัวลูกหลานจะเป็นคนจน


    ๒. ทีนี้ความรวยอันดับ ๒ ขั้นพรหมโลก นี่เขามีความรวยมีความเป็นสุขมาก ฉันก็หาทางไว้แล้ว


    ๓. รวยอันดับที่ ๓ รวยเต็มที่ ที่อย่างฉันคุยว่าฉันเป็นมหาเศรษฐีใหญ่แล้ว เวลานี้ฉันเป็นมหาเศรษฐี รวยอันดับนี้ก็คือรวยพระนิพพาน สิ่งที่เกิดขึ้นตามความประสงค์ หมายความว่าไม่ต้องคิด ไม่ต้องเนรมิต ไม่ต้องคิดว่าสิ่งนั้นควรมี ไม่ต้องคิดว่าสิ่งนี้ควรมี ถ้าถึงความจำเป็นแล้วมันมีของมันเอง นี่เป็นมหาสมบัติใหญ่ เป็นภาวะแห่งมหาเศรษฐี นี่ฉันเอาเงินของลูกหลานทุกคนไปใช้อีลุ่ยฉุยแฉก ฉันมีความประสงค์อย่างนี้นะ ฉะนั้น เวลาฉันตายฉันจะเหลือหนี้ไว้ ไม่ใช่เหลือเงิน เวลานี้ฉันเป็นคนรวยแล้ว ฉันมีเงินอยู่เท่าไร มีอยู่ ๘๖ บาท ฉันฝากธนาคารไว้ ๓ ปี นี่ใครว่าฉันจน มีเงินตั้งชั่งกว่า ฉันฝากธนาคาร ออมสิน ฝากประเภทประจำเสียด้วย ความจริงเงินจำนวนนี้ ศิริรัตน์ โรจนวิภาต และก็นนทา อนันตวงษ์ พร้อมด้วยฉลวย วาสนา พิมพา และคณะของเขา เขาจัดทำบุญวันเกิดของฉันปีแรกได้ไว้ ๘,๐๐๐ บาท แล้วฉันก็ไปดึงเอาของเขามาสร้างเสียหมด เขาหาไว้ให้เพื่อจะได้ใช้ค่าอาหารและยารักษาโรค แต่พอเขาเผลอฉันก็ไปเบิกมา เบิกมามันก็ไม่หมด เอาไว้ ๘๖ บาท เมื่อวานซืนนี้เจ้าหน้าที่เขาบอกว่ามีดอกเบี้ยแล้วมีดอกเบี้ยงอกขึ้นมาหน่อย นี่ฉันไม่ใช่คนจนนะคนขนาดมีเงินฝากธนาคารตั้งชั่งกว่านี้และก็มีดอกเบี้ยด้วย มีดอกมีผลได้ จนที่ไหน ไม่จน และก็พอดีคุณอะไร คุณติ๋ว คุณวัฒนีน่ะ ความจริงเมื่อคราวที่แล้วกลับไปกรุงเทพฯ ได้สตางค์มาเยอะ คิดไม่ถึง เวลาไปไม่ได้คิดจะไปทวงใครไปขอใครหรอกนะ คิดว่าถ้าเขาเมตตาเขาก็ให้ เขาไม่เมตตาก็แล้วไป ไม่รบกวนใคร ให้มาแล้วมานับสตางค์ดูแล้วได้มาตั้ง ๘,๐๐๐ กว่า ของ คุณวัฒนี นวพันธุ์ คุณติ๋ว แกให้มาเป็นประจำเดือน ๆ ละ ๕๐๐ บาท และแกใส่ซองเขียนมาด้วยว่า เดือนนั้นเดือนนี้เดือนนี้เดือนนั้น ๑๒ เดือน ก็เป็น ๖,๐๐๐ บาท แล้วของคณะบ้านเจ้ากรมหมายความเอาเป็น คณะนี้ใครบ้างต่อใครบ้างก็ไม่ทราบ คณะของฉลวยนั่นอีกคณะหนึ่งรวมมาอีกเป็น ๒,๐๐๐ กว่า ๆ นิดหนึ่ง รวมเงินทั้งหมดแล้วก็ได้ ๘,๐๐๐ กว่า ๆ ฉันมาเปิดซองดูแล้ว แหม ฉันนี้รวยมหาศาล รวยมาก รวยอย่างคาดไม่ถึง ในชีวิตของฉันไม่เคยมีเงินขนาดนี้ ฉันเทศน์ได้เงินเป็นปี๊บ แต่ว่าฉันก็เป็นหนี้เขาเลยปี๊บ หนี้ตั้งแต่สมัยหนุ่ม ๆ พอฉันเห็นรวยเงิน คุณติ๋วแกเขียนไว้อย่างนั้น ฉันกลัวแกจะดุเอา ฉันก็เลยเอาของแกไปฝากคลังออมสินไว้ คิดว่าถึงเดือนฉันจะเบิกมาใช้ ๕๐๐ บาท นี่เป็นทุนเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งที่ได้แน่กันละ มีใช้แน่กันล่ะ มันจะพอไม่พอไม่สำคัญ ค่ายานี่สำคัญ แต่ว่าส่วนหนึ่งนอกจากนั้นฉันเอาไปทำไม เวลานี้ฉันกำลังจะสร้างกุฏิตึกนี่ สร้างส้วม สร้างศาลาดิน ฉันก็ไม่มีสตางค์ค่าแรงงาน ฉันก็มาตุนไม้เป็นค่าแรง แล้วเอาเงินของคุณติ๋ว ๕๐๐ บาท ชักเอาไว้สำหรับเดือนมกราคม ว่าถ้ากินไม่หมดใช้ไม่หมดก็จะไปผสมค่าแรงงาน นี่หลวงตาแก่เลอะเทอะแกทำอย่างนี้นะ นี่เป็นความดีของลูกหลาน เป็นอันว่าเวลานี้ ฉันเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ฉันมีเงินฝากธนาคารไว้เท่าไร ๕,๕๐๐ กับ ๘๖ บาท นี่เป็นเงินต้น ไอ้ดอกเบี้ยของ ๘๖ บาท เท่าไรไม่รู้ นี่ฉันรวยนะ ไม่ใช่ฉันจน คนรวยอย่างฉันหาไม่ได้หรอก ไปถามคนอื่นเถอะ ไม่มีใครเขารวยหรอก มีแต่เขาจนกันทั้งนั้น เขามีเงินตั้งแสนสองแสน ตั้งล้านสองล้าน เขาจนนะ เขาไม่มีหรอก ฉันมีเงินคงคลังอยู่ ๘๖ บาท นี่เบ่งมา ๓ ปีแล้ว ใครเขามาคุยกับฉัน ๆ ก็เต๊ะท่าบอกว่า เอ๊ะ ใครมาว่าฉันจน ฉันมี ๘๖ บาทในธนาคาร แต่เงินจำนวนนี้ที่มันคงสภาพอยู่ได้เพราะอะไร ไม่กล้าไปเบิก อายเจ้าหน้าที่ธนาคารเขา ขายขี้หน้าเขา เขาจะว่าแหมแค่เงินชั่งกว่า ๆ นี่ยังจะมาเบิกอีก ที่มันทรงอยู่ได้ก็เพราะอายเขาหรอกนะ ถ้าไม่อายเขาก็หมดไปแล้ว อ้าว นี่มาเลอะเทอะไปแล้วสิ มาว่ากันต่อไปว่า เมื่อคืนฉันสบายใจเพราะอะไร พอฉันพูดแล้วตอนเช้าพูดแล้ว ฉันสบายใจว่าที่ฉันได้ระบายความรู้สึกที่แท้จริงให้ลูกหลานฟัง แล้วฉันก็ย่อง ๆ ขึ้นไปดูว่าบ้านที่ฉันสร้างให้ลูกให้หลานนี้ด้วยเงินค่ายาค่าอาหารก็ดี เงินที่ลูกหลานบำเพ็ญกุศลมาเป็นกรณีพิเศษก็ดี มันอยู่ที่ไหนบ้าง มีเวลาว่างฉันก็ย่องขึ้นไปดู เห็นมันมีอยู่แพรวพราวไปหมด เยอะแยะ ถามเจ้าหน้าที่ประจำถิ่นเขาอย่างสวรรค์ชั้นกามาวจร ฉันก็ถามพระอินทร์ อย่างชั้นพรหมฉันถามท่านท้าวมหาพรหม เลยขึ้นไปนิดก็ถามท่านใหญ่ นี่ฉันไม่บอกชื่อล่ะ รู้เอาเองนะ ท่านก็ชี้แจงให้ทราบอันนี้เป็นของคนนี้ อันนั้นเป็นของคนนั้น คนนี้มีบารมีขนาดนี้ คนนั้นมีบารมีขนาดนั้น แล้วก็ถามถึงกาลข้างหน้าว่า พวกนี้จะได้ขึ้นมาครองไหม ท่านก็บอกว่ามีร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาจะมีอารมณ์อีลุ่ยฉุยแฉกอยู่บ้าง (ศัพท์นี้มันเป็นศัพท์ภาษาคนแก่นะ ภาษาหนังสือภาษาตำราเขาว่าอย่างไรไม่ทราบ อีลุ่ยฉุยแฉก หมายความ มันไม่ค่อยจะตรงทาง) บอกว่าถึงแม้เขาจะมีอารมณ์อย่างนั้นอยู่บ้างก็ตามที แต่ทว่าเวลามรณภาพลงไป สิ่งที่เป็นความดีจะปรากฎ ถ้าเขานึกถึงสิ่งที่เป็นความดีปรากฎนิดหนึ่งเท่านั้น ทรัพย์สมบัติที่เป็นความดีทั้งหลายที่ท่านสะสมไว้ให้ ทุกคนเขาจะมีสิทธิ์เข้ามาครองได้ทั้งหมด พอฉันไปพบท่านเล่าให้ฉันฟัง ฉันกลับลงมา ฉันนอนสบายใจ สบายที่ว่าฉันเอาเงินของลูกหลานไปใช้อย่างลับ ๆ ทำงานประเภทที่เรียกว่าปกปิดมานาน เวลานี้ถึงกาลที่จะเปิดเผยกันแล้ว เพราะฉันใกล้จะตาย ฉันใกล้จะตาย ฉันจะได้บอกลูกหลานของฉันมีอะไรอยู่ที่ไหนบ้าง ฉันมั่นใจว่าลูกหลานของฉันทุกคนเวลาตาย อย่างต่ำก็ต้องไปสวรรค์ชั้นกามาวจร อย่างกลางต้องไปพรหมโลก อย่างดีที่สุดมีอยู่แล้วก็คือพระนิพพาน แต่ใครจะหมุนกลับลงมามนุษยโลก ฉันแน่ใจว่าลูกหลานของฉันไม่จน คนที่รวยอยู่แล้วจะรวยมากกว่านี้ คนที่ไม่เคยร่ำรวยจะพบกับความร่ำรวยอย่างคาดไม่ถึง นี่สิ่งเหล่านี้ฉันมีความมุ่งหวังมานาน ตั้งแต่บวชปีแรกฉันจะทำอย่างนี้ และฉันก็ทำตลอดมา ทำในสมัยที่ฉันมีกำลังร่างกายดี แต่เวลานี้ฉันไม่มีแรงแล้ว หาเงินไม่ไหว เทศน์ก็ไม่ไหว สวดมนต์ก็ไม่ไหว ร่างกายมันก็ไม่อำนวย ไปรับนิมนต์ใครเขาเข้าก็กลายเป็นคนโกหกชาวบ้านไป หมายความว่าไปไม่ได้ตามกำหนด ก็เลยเป็นอันว่าเลิกกัน เงินทองที่จะใช้จะกินเข้าไป นอกจากลูกหลานให้แล้วไม่มี ไม่มีทางได้เลย แต่ก็เป็นความดีจริง ๆ ที่ลูกหลานทุกคนสงเคราะห์ฉันอย่างคาดไม่ถึง ผลความดีอันนี้แหละนะ ในฐานะที่ฉันเป็นหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ และก็เป็นพระแก่เจ้ากี้เจ้าการถือ พระรัตนตรัยเป็นสำคัญ คือ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมด และพระพรหมและเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิตจดจำลูกหลานของฉันไว้ว่า บุคคลผู้ใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้ว ทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ที่ความปรารถนาสมหวัง นี่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นาน คิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคนมีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว อย่างน้อยที่สุดทุกคนเกิดบนสวรรค์ได้ ตายมาจากสวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นคนรวยได้ หรือไปพรหมโลกได้ หรือไปพระนิพพานได้ มีแล้วทั้ง ๓ ระดับ ฉันดีใจ ฉันพอใจมาก


    เอาล่ะ ต่อไปมาพูดกันถึงหลวงพ่อปานดีกว่านะ ท่านทั้งหลายที่เคยเห็นในตอนก่อนกับเห็นในสมัยนี้ หรือฟังในตอนก่อนกับฟังในสมัยนี้ทราบด้วยว่าฉันเปลี่ยนตัวเสียแล้ว ร่างกายภายนอกน่ะไม่ได้เปลี่ยน มันทรุดลงไป แต่เปลี่ยนใจ คำว่าตัวตนในที่นี้หมายถึงใจ ก็มันมีสภาพไม่สวย ฉันเปลี่ยนมันเสียแล้ว สนิมที่มันเกาะอยู่ ฉันพยายามไล่มันลงบ้างแล้ว ฉะนั้น เวลาพูด เวลานี้ต้องการอย่างเดียวคือ สารธรรม แล้วการประจบประแจงใครเลิกกัน เพราะถืออย่างเดียวว่าร่างกายเป็นรังของโรค มันจะต้องเปื่อยเน่า มันจะตาย เมื่อมันจะตายแล้ว เมื่อมันจะประจบสอพลอก็หวังให้เขาบำรุงบำเรอร่างกาย ก็นี่ฉันรู้แล้วว่าร่างกายของฉันมันจะพัง จะให้ใครมานั่งบำรุงบำเรอฉันเพื่ออะไร เอาสิ ถ้าไปหลงเข้าแบบนั้น ลุงพุฒิ นั่งแยกเขี้ยวแหง เอามือชี้หน้าขึ้นมา เอาสิ ประจบสิ จะได้จดลงนรกเสียอีก ไม่ได้หรอกคนนี้ คอยสะกิดข้างเรื่อยนี่ ลุงพุฒิ ว่าง ๆ ฉันทำชั่วแกจดให้ฉันไปนิพพานไม่ได้รึ แกยกมือขึ้น ๔ มือเลย แถมกระดิกเท้าด้วย ไม่ได้ ไม่ได้ ชั่วเป็นชั่ว ดีเป็นดี นี่เห็นไหม ลูกหลาน ลุงพุฒิแกเป็นคนตรงไปตรงมานะ แกไม่กินสินบาทคาดสินบนใคร


    เอา ต่อแต่นี้ไปมาเล่าเรื่องหลวงพ่อปานจะดีกว่านะลูกหลานนะ วันนี้ดูท่าจะนิ่มนวลสักหน่อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเที่ยวไปชมสมบัติของลูกหลานเพลินไป กลับมาดึก แถมตื่นตี 2 ไปอีก มันปลื้มใจนะลูกหลานนะ ปลื้มใจจริง ๆ ปลื้มใจที่เห็นสมบัติลูกหลานฉันมันสวย ปลื้มใจบอกไม่ถูก ฉันอิ่มบอกไม่ถูก จริง ๆ นะฉันจะบอกให้ เวลานี้ใครเอาทรัพย์สินมาให้ จะตั้งให้ฉันเป็นอะไร อย่ามาตั้งเลยฉันไม่เอาหรอก ตั้งแล้วไปนรก แน่ะ ลุงพุฒิแกขยับดินสออีกแล้ว บอกเอาสิ รับตรงสิ จะได้จดลงนรกไป วันนี้เห็นหน้ากันแจ๋วแหววเชียว ไม่รู้ยังไง ท่าจะอารมณ์ดีขึ้นก็ไม่รู้ ไหน ลมเรอะ แน่ะ เขาร้องขึ้นมาบอกว่าลมดี ฉันจะพูดเรื่องนี้เขาบอกว่าเขาเป็นพยาน แล้วแกอย่าลืมนะ ลูกหลานของฉันทุกคนน่ะ เวลาจะตายนะแกนะ แกจะให้เผลอสติไม่ได้นะ สั่งลูกน้องของแกขึ้นมานะ เพื่อเตือนใจเขาให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง และสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งไว้นะ เขารับปากดี ดีใจ เออ อย่าถือหลวงตาเลยนะ ตาพุฒิตาเพิดแกมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ มาว่ากันถึงเรื่องหลวงพ่อปาน เมื่อวานมาจบลงตรงไหนนะ ใครจำได้ไหม อ๋อ นึกออกแล้ว จบเอาตอนที่ท่านด่าพระ


    ทีนี้เรามาเริ่มต้นเรื่องของหลวงพ่อปาน ที่เรามาเล่าตอนท้ายของท่านเป็นความดี เป็นเรื่องธุดงค์ ตานี้มาว่ากันตอนต้นดีกว่า คนเราก่อนจะดีน่ะมันจะต้องสร้างมาทีละน้อย ๆ เอากันตอนเรื่องของท่านเป็นเด็ก ฉันจำได้ว่าตอน พ.ศ. ๒๔๘๐ ปีนั้นฉันบวชวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ พอวันรุ่งขึ้นจะเป็นวันสารท ทำบุญสารท วันนั้นท่านประชุมพระ เมื่อประชุมเสร็จสิ่งที่ท่านสั่งก็จะหมดในเวลา ๓ ทุ่ม เริ่มเวลา ๒ ทุ่มตรง เลิกเวลาประมาณ ๓ ทุ่ม คือ เรื่องสิ่งที่เป็นสาระ หลังจากนั้นมาท่านว่า ต่อแต่นี้ไปไม่มีแล้วสิ่งที่จะสั่งคือสิ่งที่จะอบรมไม่มี หากว่าใครจะคุยกับฉันก็คุยได้ คุยกันจนกว่าจะง่วงนอน ถ้าว่าใครจะมีธุระ ใครอยากจะนอนจะพักผ่อนก็นิมนต์กลับได้ ก็ไม่มีใครเขากลับกัน เขานั่งป๋อหลอกันทุกคน นั่งอยู่หน้าพลับพลา สำหรับเจ้าลิง 4 ตัวนั่งใกล้พระรามเลย นี่อย่าคิดว่าหลวงพ่อปานเป็นพระรามนะ ไม่ใช่หรอก ฉันสมมติว่าพวกฉัน ๔ ตัว ไม่ใช่ ๔ องค์ พวกฉันเป็นลิง ท่านเรียกไอ้ลิงขาว ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ลิงเผือก ท่านเรียกไอ้ลิงนะ ท่านไม่เรียกพระจนกระทั่งตาย จะตายอีก ๒ - ๓ นาที ลืมตาขึ้นมาแล้วถามว่าใคร บอกว่าผมเองขอรับ บอก อ๋อ ลิงดำรึ เห็นไหมล่ะ ท่านไม่ได้เรียกฉันเป็นพระเป็นคน ท่านเรียกฉันเป็นลิง ฉันก็เลยจำว่าฉันเป็นลิง ลิงนี่สบาย แก้ผ้าเดินก็ได้ ห้อยโหนโยนตัวก็ได้ สภาพของฉันมันก็คล้ายลิงจริง ๆ ไม่ค่อยจะเหมือนคน ดูกันให้ดีเถอะ เป็นลิงผิดประเภทอยู่หน่อยหนึ่ง ลิงตัวอื่น ๆ เขามีผมบนหัว เป็นผมพนมเหมือนกับยกมือพนม แต่ไอ้ฉันมันเป็นลิงหัวล้าน ต่างกันหน่อยหนึ่งนะ นี่ลิงหัวล้านไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา เมื่อไม่มีใครกลับ ท่านก็เลยเล่าเรื่องเมื่อเป็นเด็กให้ฟัง ท่านบอกว่า นี่ฉันจะเล่าเรื่องราวของฉันเมื่อก่อนบวชนะ พวกเธอจะได้รับฟังไว้ มันจะเป็นเรื่องความโง่หรือความฉลาดของฉันก็ตาม มันเป็นความดีหรือความชั่วก็ตามช่างมัน ฉันจะเล่าให้ฟังแล้วจำไว้ ถ้ามันเป็นประโยชน์ก็เก็บไว้นะ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็ทิ้งไป


    ท่านบอกว่าสมัยท่านเป็นเด็กอายุสัก ๔ - ๕ ขวบ นี่ท่านไม่ได้จำกัดไปนะว่ามันกี่ขวบกันแน่กี่ปีกันแน่ ท่านบอกประมาณ ๔ - ๕ ขวบ ท่านวิ่งเล่นใต้ถุนบ้าน หลวงพ่อปานท่านเป็นคนบางนมโค และเป็นคนตำบลนั้นไม่ใช่คนที่อื่น เป็นคนที่มีฐานะค่อนข้างจะมั่งคั่งอยู่สักหน่อยนะ สมัยนั้นเขามีทาสกัน ที่บ้านท่านก็มีทาส ท่านบอกว่า วันหนึ่งท่านวิ่งเล่นอยู่ใต้ถุนบ้านย่าของท่าน ก็ปรากฎว่าย่าของท่านกำลังป่วยหนักใกล้จะตาย เวลานั้นก็เห็นจะเป็นเวลาบ่ายสัก ๒ - ๓ โมงกว่า ท่านว่าอย่างนั้นโดยประมาณ คนทุกคนเขามาเยี่ยมย่า พ่อแม่ของท่านก็ไป เมื่อคนทุกคนขึ้นไปแล้ว ท่านบอกเห็นร้องดัง ๆ บอก แม่ แม่ อรหังนะ อรหัง ภาวนาไว้ อรหัง พระอรหังจะช่วยแม่ ก็ร้องกันเสียงดัง ๆ ท่านอยู่ใต้ถุน ท่านยืนฟัง ท่านยืนฟังเขาว่าอรหังกันทำไม พอท่านสงสัยก็ย่องขึ้นไปที่หน้าบันไดชานเรือน พอท่านขึ้นไปแล้วก็ปรากฎว่าผู้อยู่เขาเอาปากกรอกไปที่ข้างหูของคุณย่าท่าน บอกแม่ แม่ อรหังนะ อรหัง แต่ว่าพอผู้ให้เขามองเห็นท่านเข้าไปเขาก็ไล่ท่านไป เขาจะหาว่าไอ้เด็กมันรุ่มร่าม ท่านก็เลยไปเล่นใต้ถุนบ้านอื่น พอมาถึงตอนเย็นเวลากินข้าว ท่านแม่ก็ป่าวหมู่เทวฤทธิ์ คือเรียกลูกกินข้าว

    เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว ท่านแม่ก็จัดกับข้าวมาวางกลาง สำหรับตัวท่านเองเป็นเด็ก เขาเอาข้าวใส่จานมาให้แล้วเอาแกงเท ท่านบอกว่าไอ้แกงฉู่ฉี่แห้งท่านชอบ เขาใส่มาให้ เรียกว่าไม่ต้องไปหยิบกับข้าว กินแบบประเภทข้าวราดแกง เวลาที่ท่านกินข้าวไปแล้วมานั่งนึกว่ากับข้าวมันอร่อยถูกใจก็เกิดความชุ่มชื่น พอจิตมันนึกขึ้นได้ว่า เขาบอกอรหัง อรหัง นึกถึงคำว่าอรหังขึ้นมาได้ ท่านก็เลยปลื้มใจ อย่างไรชอบกล เลยเปล่งวาจาออกมาดัง ๆ ว่า อรหัง อรหัง ว่า ๒ - ๓ คำ ท่านแม่มองตาแป๋ว ลุกพรวดจับชามข้าวที่ท่านถืออยู่วางไว้ จับตัวท่านวางปังออกไปนอกชาน แล้วร้องตะโกนสุดเสียงเขียว เอ้า มึงจะตายโหงตายห่าก็ตายห่าคนเดียว มันจะมาว่าอรหังที่นี่ได้รึ คำว่าอรหัง พุทโธ นี่คนเขาจะตายเท่านั้นแหละเขาว่ากัน นี่ดันมาว่าอรหังที่นี่ ทำเป็นลางร้ายให้คนอื่นเขาพลอยตายด้วย มึงจะตายโหงตายห่าก็ไปตายคนเดียว ท่านแปลกใจคิดว่า นี่เราว่าดี ๆ นี่ แม่ดุเสียงเขียวปัด นี่มันเรื่องอะไรกัน ในเมื่อถูกแม่ดุอย่างนั้นจะขืนว่าอีกก็เกรงไม้เรียว ก็เลยไม่ว่าอีก ตอนนี้ไม่ว่า ลุกไปหยิบข้าวไปกินทั้งน้ำตาคลอ เสียใจว่านี่เวลาท่านให้ผู้อื่นพูดว่าได้ แต่เราเป็นเด็กจะว่ามั่งว่าไม่ได้ มันแปลก ท่านแปลกใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไร กินข้าวด้วยอาการตื้นตันใจ วันนั้นกลืนไม่ค่อยลง ท่านพูดถึงตอนนี้แล้วท่านก็หัวเราะบอกว่า คุณแม่ฉันน่ะโง่นะ ไม่ได้ฉลาดหรอก อีตอนใหม่นั้น ตอนฉันมาบวชได้แล้วคุณอรหังหรือพุทโธนี้ถ้าใครภาวนาไว้ เป็นวาจาที่กล่าวถึงคุณงามความดีของพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด ถ้าใครภาวนาคำนี้ได้ตกนรกไม่ได้ เขาห้ามตกนรก พอท่านพูดแล้วท่านก็ชี้มือมาทางฉัน บอก นี่เจ้าลิงดำนี่ก็เหมือนกัน เมื่ออายุ ๑๒ ปี มันจะตาย มันย่องตามเขาไปนรก เขาไม่ให้เข้าเขตนรก จนกระทั่งฉันมาบวช นี่มันไปได้ของมันนะ แต่เขาก็ไม่ให้มันไป เขาไม่ยอมให้มันไป ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าคนที่ภาวนาพุทโธหรืออรหังนี่ จัดว่าเป็นคนปรารถนาความดีของ พระพุทธเจ้า มีความดีเกินกว่าที่จะลงนรก แต่ว่าแม่ของฉันนี่ท่านไม่รู้ ก็เป็นโทษเพราะไม่ได้รับการศึกษา แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก ตอนหลังที่ฉันบวชแล้วนี่นะ ฉันกลับใจแม่ของฉันได้ ฉันแนะนำให้ท่านทราบแล้ว เวลาท่านตายท่านก็ยึดพุทโธ อรหัง เป็นอารมณ์ แต่ไม่ได้ยึดเวลาตาย ฉันให้ท่านว่าทุกวัน


    นี่ท่านเล่าถึงเรื่องแม่ของท่านตอนนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องแม่ของท่าน บรรดาลูกหลานทั้งหลายก็เลยจะเอาเรื่องแม่ของท่านมาพูดให้ฟัง เพราะมีเรื่องอยู่นิดเดียวมาเล่าต่อกันฟังเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้ามาอายุมากแล้ว ประมาณ ๓๐ หรือ ๔๐ ปีแล้ว ใกล้จะ ๔๐ แม่ท่านตาย แต่มันจะข้ามตอนไปบ้างก็ช่างมันเถอะนะ จะได้ไม่เอาไปคั่นกับเรื่องอื่นเข้า คือว่าหลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับแม่ท่านมาก ทั้งพ่อ ทั้งแม่นั่นแหละ พ่อก็ดีแม่ก็ดี เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านเอามารักษาตัวที่วัดให้นอนในกุฎิท่าน ผ้านุ่งแม่ของท่าน ๆ ซักเอง ท่านเอาผ้านุ่งแม่ของท่านไปตากไว้บนขื่อ ไอ้ขื่อบ้านนี่มันสูงนะลูกหลานนะ มันสูงกว่าหัวคนนะ เวลาเดินไปเดินมาหัวคนก็ต้องลอดขื่อ แต่ผ้านุ่งแม่ของท่าน ท่านไปตากไว้บนขื่อ เวลาแม่ท่านลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง ถึงได้บอกว่าแม่ท่านเป็นผู้หญิง แต่ว่าเวลานั้นท่านเป็นพระ มีคนหลายคนเขามาตำหนิท่าน ผู้หญิงเขาติว่า คุณปาน โยมของคุณน่ะเป็นผู้หญิง ผ้านุ่งเอาไปตากบนขื่อ ซักผ้านุ่งแม่เอง อุ้มลุกอุ้มนั่งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเองอย่างนี้แม่จะบาป ท่านก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาปนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่าดีนี่ ท่านก็ตอบกับคนพูดว่า เวลานี้ไม่ใช่คนแล้ว ฉันเป็นพระ พอฉันมาเป็นพระฉันเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นพ่อว่าไม่บาปเป็นความดี ฉันก็เลยทำตามท่านน่ะซิ หากว่าฉันจะทำตามคนอื่นพูดก็ชื่อว่าฉันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ฉันทำตามคำของพระพุทธเจ้าชื่อว่าฉันไม่เชื่อคนอื่น หากว่าฉันเป็นฆราวาสฉันจะเชื่อชาวบ้าน แต่ว่าเวลานี้ฉันเป็นพระฉันต้องเชื่อพระพุทธเจ้า เมื่อเขาสงสัยก็ถามว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ที่ไหน ว่าอย่างไร ท่านก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ แต่ว่าถ้าจะหาให้ง่ายจงไปหาในพระธรรมบท แล้วดูเรื่องราวในเรื่องของทศชาติ คือเรื่องของสุวรรณสามก็ได้ แล้วท่านเลยกล่าวเอาเรื่องของพระที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ในธรรมบท คำว่า ธรรมบท นี้คือบทที่กล่าวถึง ธรรมบทแปลว่า ถึง เรื่องที่เข้าถึงธรรม เข้าถึงความดี ธรรมคือสิ่งที่คงสภาพและทรงไว้ซึ่งความดี เรียกกันว่าธรรม ถ้าจะแยกออกไปก็ต้องแยกเป็น กุศลธรรมและอกุศลธรรม ถ้ากุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายความฉลาด ความดี อกุศลธรรมก็เป็นธรรมฝ่ายชั่ว หากเรียกกันว่าธรรมเฉย ๆ ก็ต้องหมายความกันว่าความดีเฉย ๆ หมายเอาความดีโดยเฉพาะกัน แล้วก็นำเรื่องราวของพระลูกเศรษฐีที่ปรากฎมาในธรรมบทมาเล่าให้ฟังว่า ในครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ในตอนนั้นปรากฎว่ามีลูกเศรษฐีคนหนึ่งฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีความเลื่อมใส อยากจะบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พ่อแม่ก็มีลูกคนเดียว มีทรัพย์ตั้ง ๑๖๐ โกฎิ ๑๖๐ โกฎินะ ไม่ใช่ ๑๖๐ ล้าน ต้องเอา ๐ เติมเข้าไปอีกศูนย์หนึ่ง มีลูกคนเดียวก็อยากจะให้ลูกรักษาทรัพย์สินเอาไว้เพื่อปกครองทรัพย์ แต่ลูกชายมีความเลื่อมใสมาก ไม่ยอม จะบวชท่าเดียว นี่ การมีลูกมีเต้าระวังไว้นะ อย่าคิดว่าเขาตามใจเราทุกอย่างน่ะ มันไม่ได้ เขาก็มีใจเราก็มีใจ คิดเอาไว้ให้ดีนะ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย เผื่อว่าลูกหลานจะขัดใจ ลูกที่เลี้ยงมาด้วยความเหนื่อยยาก เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะเรียนอย่างโน้น เขาจะเรียนอย่างนั้น เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะทำอย่างโน้น นี่มัน ขัดใจกัน ยากเหมือนกันนะ นี่ดูสมัยโบราณก็เหมือนกันนะ นั่นท่านมีลูกคนเดียว ทรัพย์ตั้ง 160 โกฎิ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เวลาเขาต้องการจะบวช เมื่อไม่ให้เขาบวช เขาก็นอนเฉยไม่กินข้าวกินปลา ไปเอาเพื่อนมาปลอบยังไงก็ตามไม่ยอมฟัง แกบอกว่าสิ่งที่แกต้องการมีอย่างเดียวคือการบวช ถ้าแกไม่ได้บวชแกจะตาย แกจะนอนให้มันตายลงไปตรงนี้แหละ ตามใจ พ่อแม่ไม่ให้บวชก็ตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่กิน ใครไปให้อะไรก็ไม่กิน ไม่กินจริง ๆ ตานี้ทำอย่างไร บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็มาบอกมหาเศรษฐีผัวเมีย บอกว่า คุณพ่อคุณแม่อย่าฝืนใจเลยครับ ลูกชายของคุณพ่อคุณแม่น่ะเคยเป็นลูกมหาเศรษฐี เป็นคนมีทรัพย์ มีความปรารถนาสมหวังอยู่เสมอ การบวชในพระพุทธศาสนามีความลำบากมาก เวลาได้ข้าวปลาอาหาร เวลาจะกินต้องไปขอชาวบ้านเขา ต้องการข้าวร้อน อาจจะได้ข้าวเย็น ต้องการข้าวเย็นอาจจะได้ข้าวร้อน ต้องการอาหารเปรี้ยวอาจจะได้อาหารหวาน ต้องการอาหารหวานอาจจะได้อาหารเค็ม ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่เป็นไปตามความประสงค์ ไม่เหมือนอยู่เป็นฆราวาส ถ้าแกไปโดนความลำบากแบบนั้นเข้า ทนไม่ไหวแกก็สึกมาเอง และอย่างน้อยถึงแม้ว่าแกไม่สึก แกก็ยังมีชีวิตอยู่ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นหน้า ถ้าขืนขัดใจกันแบบนี้ล่ะก็ แกตายแน่ แกไม่ยอมกินอะไรทั้งหมด บรรดาเพื่อน ๆ มาแนะนำ ท่านมหาเศรษฐี ๒ คน ตายายเห็นชอบก็เลยยอมให้บวช


    เมื่อพ่อแม่ยอมให้บวช แกก็ลุกจากที่นอน กินข้าวกินปลา กราบพ่อกราบแม่ ลาพ่อลาแม่ แล้วก็ไปบวช ไปสำนักพระพุทธเจ้า เฉพาะต่อหน้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์เอง แหม นี่เฮงจริง ๆ เมื่อบวชแล้ว ท่านเรียนกรรมฐานถึงขั้นอรหัตผล ท่านลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าลึก สมัยก่อนเขาปฏิบัติกันอย่างนี้นะลูกหลานนะ เขาถามความเข้าใจว่า การรักษาจิตใจในขั้นต้นทำอย่างไร ขั้นกลางทำอย่างไร ขั้นสุดท้ายทำอย่างไร ถึงจนจบอรหัตผล ถามถึงความเข้าใจแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็ ไม่ได้สอนนาน ท่านสอนเดี๋ยวเดียว อย่างมากก็ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงเป็นอย่างมาก ไม่ยังงั้นก็ไม่ถึง ชั่วโมง เขาพูดกันแบบลัด ๆ ย่อ ๆ ไม่ใช่มานั่งท่องแบบกันเป็นร้อยเล่มอย่างสมัยฉันเรียนหรอก ฉันเรียน นี่น่ะ ไอ้แบบที่ฉันท่อง ๆ นี่แหละนะ เฉพาะที่ท่องฉันแบกก็ไม่ไหว แล้วที่ดูจำก็ต่างหาก อย่างนี้เขาเรียกว่าเรียนเลยตำรามักมากไป เลยเอาดีไม่ได้ สมัยพระพุทธเจ้าท่านสอนกันประเดี๋ยวเดียว ไม่ได้สอนนาน สร้างเจริญสมณธรรม แต่ว่าก่อนเข้าพรรษา มีพระที่ไปข้างหลังไปจำพรรษาในป่าเดียวกับท่าน ท่านก็ถามว่าท่านมาจากไหน พระก็บอกว่ามาจากเมืองสาวัตถี ท่านก็ถามว่ารู้จักท่านมหาเศรษฐีพ่อแม่ท่านไหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ท่าน ถามว่าคุณรู้จักท่านมหาเศรษฐี 2 ตายาย ชื่อนั้นชื่อนี้บ้างไหม พระก็บอกว่า รู้จัก ท่านก็ถามว่าทั้งสองท่านมีความสุขดีรึ พระก็บอกว่าไม่สุขแล้วเวลานี้ ได้ยินข่าวว่าลูกชายออกบวช ข้าทาสชายหญิงในบ้านมันก็ลักมันก็ขโมย แกเป็นคนแก่สองคนหูตาไม่ดี ทรัพย์สินในบ้านก็หมด คนที่กู้หนี้ยืมสินไปก็โกงหมด ไม่มีใครมาชำระหนี้ บ้านช่องถูกเผาหมด เวลานี้เป็นขอทานถือกระเบื้องแตกนั่งอยู่ตามฝาเรือน พระองค์นั้นพอรู้ข่าวว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข พรรษานั้นทั้งพรรษาเจริญฌานไม่ได้ อย่าว่าแต่อรหันต์เลย คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดว่าถ้าเราไม่บวชพ่อแม่ก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ อาศัยมีจิตกังวลท่านเลยไม่มีความสุข ในเมื่อไม่มีความสุข ความกังวลมันเกิดขึ้น สมาธิมันก็ไม่เกิด ปัญญามันก็ไม่เกิด นี่ บรรดา ลูกหลานฟังไว้นะ เวลาเจริญสมาธิ หมายความว่าทำสมถกรรมฐานให้เกิดก็ดี เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี ต้องตัดกังวลเสียให้หมด เวลาที่เราจะใคร่ครวญ ตัดกังวลทุกอย่างเสียให้หมด อะไรที่ยังทำไม่เสร็จทำมันเสียให้เสร็จ อย่าให้มันคั่งค้างไว้ ถ้าคั่งค้าง ถ้าจิตเป็นกังวล ผลมันไม่เกิด วันนี้เล่าเรื่องของท่านต่อไป พอเวลาออกพรรษาท่านก็กลับมา เมื่อกลับมาก็ตั้งใจว่าจะไปหาใครก่อน ไปถึงทาง ๓ แพร่ง ทางข้างซ้ายไปหาพระพุทธเจ้า ทางข้างขวาไปหาพ่อแม่ แต่พอคิดว่าเวลานี้เราเป็นพุทธสาวก เราควรจะไปหาพระพุทธเจ้าก่อน


    เมื่อไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านคงรู้ ไม่ใช่ท่านไม่รู้ แต่ท่านไม่บอก ท่านก็เทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที ว่าบิดามารดาเป็นผู้มีคุณสูง คนเราจะสนองคุณบิดามารดาให้เต็มที่ เอาพ่อมาวางไว้บนบ่าขวา เอาแม่มาวางไว้บนบ่าซ้าย ให้พ่อแม่ขี้บนนั้นเยี่ยวบนนั้น นอนบนนั้น สมมติว่าถ้าจะทำได้นะ สมมติเอาว่าถ้าจะทำได้จนกระทั่งตลอดชีวิต จะชื่อว่าเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ให้ครบถ้วนน่ะ ยังไม่ได้ ยังไม่เท่าความดีที่พ่อแม่มีอยู่ ความดีที่ พ่อแม่มีอยู่นั้นเกินกว่านั้นมาก จะเอาความดีเพียงเท่านั้นไปเทียบกับความดีของพ่อแม่ไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าบุคคลใดถ้าพ่อแม่มีความทุกข์หาความสุขมาเสนอสนองท่าน ถ้าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ กลับใจให้เป็นสัมมาทิฐิ ปฏิบัติถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คือมีแดนสวรรค์ มีแดนพรหม มีแดนนิพพานเป็นที่ไป และหากว่าท่านเป็นสัมมาทิฐิอยู่แล้ว เป็นคนใจบุญสุนทร์ทานอยู่แล้ว ก็สนับสนุนบุญทานของท่านให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านเป็นโลกียชน ก็นำท่านให้เป็นโลกุตตระ คือ นำท่านให้เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ถ้าทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าความดีที่สนองใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ นี่ท่านไม่ได้บอกว่าใช้ให้หมดนะ ท่านบอกใช้ได้ใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ที่มีอยู่ พระองค์นั้นฟังแล้วก็ชื่นใจ เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็ลา บอกว่าจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต เมื่อไปเห็นพ่อแม่อยู่ในสภาพนั่งขอทานอยู่ก็เข้าไปหา ทีแรกพ่อแม่จำไม่ได้ ก็บอกชื่อบอกเสียง บอกว่าฉันนะเป็นลูกของพ่อแม่ เวลานี้ทราบว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข จะมาหาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พ่อแม่ก็บอกว่าเจ้าเป็นพระ จะมาเลี้ยงพ่อแม่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าทำได้ กิจที่พึงทำได้ ก็พา พ่อแม่ไป เข้าไปอยู่ในป่าละเมาะใกล้ ๆ บ้าน ปลูกโรงเล็ก ๆ ให้อยู่ เวลาเช้าท่านก็บิณฑบาต เมื่อได้ข้าวมาก็ให้พ่อแม่กินก่อน ถ้าพ่อแม่กินเหลือท่านก็ได้ฉัน ถ้าไม่เหลือท่านก็ไม่ได้ฉัน ได้ผ้าใหม่มาท่านก็ทำลายสีเสีย ทำให้เป็นสีเขียวสีแดงแล้วก็เอาไปให้พ่อแม่นุ่ง เอาผ้าเก่า ๆ ของพ่อแม่มาเย็บมาปะเข้าย้อมฝาดนุ่งเสียเอง ทำอย่างนี้จนอาการซูบผอมลงไปมาก ต่อมาพระสมัยนั้นท่านได้ยินข่าวเข้า ท่านก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้ประจบฆราวาส ทำตนไม่สมควรกับความเป็นพระ เอาข้าวมาให้คนกินก่อนตัวกินทีหลัง ได้ผ้าใหม่มาเอาไปให้คนแก่นุ่ง ตัวเองเอาผ้าของคนแก่มานุ่งแทน


    พระพุทธเจ้าเมื่อได้ทรงทราบก็มีรับสั่งให้พระองค์นั้นเข้าเฝ้า เมื่อพระองค์นั้นเข้าเฝ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า ภิกษุ เธอทำอย่างนั้นหรือ ท่านก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเป็นความจริง ทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามว่าตาแก่สองคนตายายนั้นเป็นใคร ท่านก็บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่พระพุทธเจ้าข้า พ่อแม่ของข้าพระพุทธเจ้าเอง ข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พระพุทธเจ้าบอกว่า แหม เธอทำอย่างนั้นนี่มันทำถูกแล้วนี่ ทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ยกมือขึ้นท่วมศรีษะพนมมืออย่างเราพนมขึ้นเหนือศรีษะว่า สาธุ สาธุ สาธุ เอาเข้า ๓ เที่ยว ดีละ ๆ ๆ สาธุเขาแปลว่าดีละ ที่เธอทำดีอันนี้ตถาคต ไม่ห้าม ทำได้ อนุญาต เธอมีความกตัญญูรู้คุณคนดีมาก แล้วมีกตเวทีตอบแทนคุณท่าน เธอทำอย่างฉันสมัยเป็นพระโพธิสัตว์มีนามว่าสุวรรณ แล้วพระพุทธเจ้าก็นำเรื่องของสุวรรณสามมาเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ ไม่เล่านะ ลูกหลานที่รัก ถ้าเล่าเรื่องสุวรรณสามล่ะก็ 3 เดือนไม่จบหรอก ถ้าพูดอย่างหลวงตาแก่นี้ เดี๋ยวเอาอะไรเข้ามาแทรก เป็นเรื่องยาวมาก ไปซื้อทศชาติมาอ่านเอานะ พระเจ้าสิบชาติน่ะ สุวรรณสามมีในนั้นแล้ว ก็เป็นอันว่าปลอดไป ไม่ถูกลงโทษ ได้รับคำสรรเสริญ นี่หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเอาเรื่องขึ้นมาโต้กะเขา พอโต้แล้วคนคัดค้านก็ถอยหลังกรูด เท่าที่ท่านประคบประหงมพ่อแม่ของท่านนั้น หาว่าทำผิด ไปซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวผู้หญิง เอาผ้าผู้หญิงไปตากบนขื่อ อุ้มผู้หญิงลุกอุ้มผู้หญิงนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเอง ป้อนข้าวเอง หาว่าทำผิด พระทำผิดประเพณี พอโดนเรื่องนี้เข้าหลวงพ่อปานบอกว่าถอยหลังกรูดยอมแพ้ ยกมือขอขมาท่าน ท่านเลยบอกเรื่องขอขมาท่านไม่ถูกหรอก ธรรมะนี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เรื่องส่วนตัวของท่านไม่มีหรอก ท่านทำตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า แล้วคนที่คัดค้านนั่นเป็นการค้านธรรมะของพระพุทธเจ้า การขอขมาต้องไปขอขมาต่อพระพุทธรูปในโบสถ์โน่นมันถึงจะพ้น ขอขมากับท่านไม่พ้น อีตานั่นกลัว ลงนรกก็เลยต้องไปขอขมากับพระพุทธรูปในโบสถ์ แล้วพระพุทธรูปจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้เหมือนกันนะ


    ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกัน นี่เล่าให้ลูกหลานฟัง แต่ว่าปฏิบัติของท่านน่ะ ท่านมีความกตัญญูกตเวทีจริง ๆ แล้วก็มีความห่วงใยในด้านบุพการีของท่านดีมาก หมายความว่าในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่ เวลาอยู่กับท่านน่ะ เวลาจะฉันข้าว ท่านเดินตรวจกับข้าวก่อน วงไหนถ้าพร่องไปท่านจัดแบ่งให้ครบถ้วน แม้แต่ ลูกเด็กเล็กแดงก็เหมือนกัน นี่ในฐานะท่านเป็นบุพการี คนในวัดทั้งหมด คนงานทั้งหมด ท่านสนใจเป็นพิเศษ คนไข้ทั้งหมด คนที่มารักษาโรคกับท่าน จะมีกินหรือไม่มีกินท่านตรวจหมด ถ้าไม่มีกินให้ข้าวสุกกับข้าวสารไปเลย ถ้าไม่มีใครหุงหาให้เป็นเรื่องเดือดร้อนของพระ พระกับเด็กจะต้องจัดให้ นี่ท่านมีทานบารมีสูง เป็นบุพการีอย่างสูงเป็นสาธารณประโยชน์หายาก แล้วท่านก็บอกว่า ตอนที่ฉันโตขึ้นมาแล้วฉันก็ไปเทศน์ให้แม่ฉันฟังพ่อฉันฟังถึงเรื่องอรหังและพุทโธ ว่าไม่ใช่เรื่องของคนตายจะพูดคนเดียว ต้องพูดกันก่อนตาย ภาวนากันก่อนตาย พ่อแม่ของท่านก็รับฟัง แล้วท่านก็ลงท้ายเรื่อง ท่านบอกว่า ตอนท้ายเมื่อตอนพ่อแม่ฉันตายนะ ฉันดีใจ ไม่ใช่ดีใจเพราะพ่อแม่ตายจะรับทรัพย์มรดก ไม่ใช่ยังงั้น ท่านบอกว่า พ่อแม่ฉันตาย ฉันดีใจมาก ตอนนั้นฉันก็เป็นขั้นลิงเท่านั้น ฉันไม่เข้าใจว่าท่านดีใจอย่างไร ก็เลยถามว่า หลวงพ่อดีใจอย่างไรขอรับ หลวงพ่ออยากจะรับมรดกยังงั้นรึ ท่านหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่าเจ้าลิงดำมันสงสัยอะไร มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นพูดน่ะ ในที่ประชุมนี่น่ะไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ฉันพูดอะไรก็หาคนสงสัยไม่ได้ บางทีเขาสงสัยเขาไม่ถามฉัน แล้วก็ไปวิพากษ์วิจารณ์กันว่าพูดทิ้งไว้แค่นั้นพูดทิ้งไว้แค่นี้ นี่มีเอ็งคนเดียวมันปากอยู่ไม่สุข ไอ้ปากเอ็งน่ะมันมุบมิบ ๆ ไม่ต่างกับปากลิง นั่นไป ๆ มา ๆ ก็นวดเราเข้าอีก เลยบอกว่าหลวงพ่อตั้งให้ผมเป็นลิงนี่ครับ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ตั้ง เอ็งมันเป็นลิงตั้งหลายชาตินี่หว่า แล้วก็มันเป็นลิงของข้าเสียด้วย ไอ้ลิงตัวอื่นไม่เท่าไหร่ เอ็งมันเป็นลิงระยำมาก เผลอเป็นลักของทุกที เผลอไม่ได้ ไม่ว่าอะไรล่ะลักดะ ถ้าของหายเป็นไม่พ้นไอ้ลิงดำละ ข้าไม่เคยบาป ข้าโทษทีไรมันตรงทุกที แล้วก็หัวเราะชอบใจ พูดไปพูดมาก็บอกว่า แม้แต่ชาตินี้ก็เหมือนกันละวะ เอ็งมาบวชนี่ เอ็งขโมยคาถาอาคาของข้าไปกี่บทแล้ว นี่ข้ารู้นาไอ้ลิงดำนา ไม่ใช่ข้าไม่รู้นา เอ็งคนเดียวนาขโมยตำราข้านา พูดแล้วก็ชอบใจ แล้วไม่ว่าอย่างไร ไม่รู้จะตอบท่านอย่างไร ก็เลยยิ้มแหย ๆ ไปอย่างนั้น ท่านก็เลยบอกว่าเอ็งคนเดียวแหละดี เอ็งถามอย่างนี้แหละดี ไม่ถามเสียมันก็ไม่คลายสงสัย มันก็ต้องสงสัยกันเรื่อยไป รายอื่นก็เหมือนกัน ฉันพูดอะไรไปสงสัยก็ควรถาม อย่าไปนิ่งกันไว้จะไปเกรงใจฉันทำไม ไอ้เรื่องที่ฉันพูดนี่นะฉันพูดให้รู้ ไม่ใช่พูดให้สงสัย แล้วท่านก็ว่าไป บอกว่าที่ฉันดีใจน่ะมันยังงี้ คือว่าทั้งพ่อแม่ฉันก่อนที่ท่านจะตายได้ญาณทั้งหมดนะ ท่านทรงญาณละเอียด แล้วก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด แต่ว่าท่านทั้งสองก็ต้องมาเกิดอีกวาระหนึ่ง แล้วฉันต้องเป็นลูกท่านอีกทีหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นไปท่านก็ไม่มีโอกาสจะเกิดอีก นี่ท่านรู้ของท่าน ท่านดีใจตรงนี้ ดีใจว่าพ่อแม่ของท่านมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณละเอียด ลูกหลานก็จำได้ด้วยนะ เข้าใจไหม ไม่เข้าใจก็ฟังตอนหลังนะ นี่เป็นอันว่าเรื่องแม่ของท่านก็เป็นอันว่าพับไปนะ หมดกันไปที เรื่องมันสั้นจึงเอามาแทรกไว้ตรงนี้


    ต่อมาเมื่อท่านโต ลัดกันเลยนะ ตอนนี้ไม่ลัดก็ไม่ได้ ท่านไม่ได้เล่าให้ฟังว่านับแต่วันนั้นมา ท่านไปทำอะไรบ้าง เป็นแต่เพียงบอกว่าตอนโตขึ้นมาท่านช่วยพ่อแม่ทำนา ท่านเป็นคนขยัน หลวงพ่อปานนี่รู้สึกว่าท่านเป็นคนค่อนข้างสวยนะ ถ้าพูดถึงลักษณะของผู้ชาย เป็นคนผิวขาวนวล ลักษณะสมส่วน ทุกอย่าง ฉันเคยให้ท่านนั่งขัดสมาธิ แล้วฉันก็เอาเชือกวัด ขออภัยท่านวัดรอบศรีษะ วัดตัก วัดตักไปถึงบ่า ได้ส่วนทุกอย่าง ได้ส่วนเดียวกับส่วนของพระพุทธรูปเป๊ะเลย รู้สึกว่าเป็นคนค่อนข้างสวย เสียงเพราะมาก เสียงเครือ ๆ อย่างฉันนี่นะ ถ้าหากท่านได้ยินเมื่อไรท่านขับเมื่อนั่นแหละ แล้วท่านบอกไม่ให้เทศน์ เสียงจัญไรแบบนี้ไม่ให้เทศน์ แต่ว่าเวลานั้นเสียงฉันไม่อย่างนี้นะ แหม ไม่อยากจะคุยหรอก พูดกันง่าย ๆ ว่าเป็นเสียงคนหนุ่ม มันใสหน่อยก็แล้วกันนะ ลีลาการพูดเทศน์นี่ฉันขโมยของท่านมาได้สัก 10% แล้วเวลาไปเทศน์ที่ไหนก็รู้สึกว่าพอจะเอาชนะใจคนได้บ้าง สมัยนั้น เวลานี้นี่เสียงมันไม่ไหวหรอก เวลาพูดมันต้องรบกับคน ลีลาการพูดมันถึงไม่ดี เสียงออกก็ไม่เพราะ ช่างมันนะ คนแก่นี่ เอาอีตอนท่านโต เมื่อท่านโตมาแล้วท่านบอกว่าเป็นคนขยัน ปกติท่านเป็นคนขยัน เวลาพวกเราทำงานท่านไม่หยุดเหมือนกัน เป็นคนขยันจริง ๆ ขยันงานภายนอก ขยันงานภายในทุกอย่าง จุกจิก หมายความจุกจิกรอบ ๆ ดูของรอบ ๆ ตรวจตราของรอบ ๆ แล้วคำว่าไม่มีไม่ได้ ของท่านมีสั่งให้ไปหาอะไรถ้าไม่มีให้เลยไปเลย ห้ามกลับ ถ้าวันหลังไปพบเขาถามว่า ทำไมไม่เอามาให้ บอกว่าไม่มีนี่ครับ ถ้าไม่มีจัดซื้อทันที ของท่านต้องมีทุกอย่าง เป็นอันว่าเมื่อท่านโตขึ้นมาแล้ว ก็เวลาใกล้จะบวชถึงเกณฑ์บวชเลย เวลาตอนใกล้บวชนั่นเขาจะไปขอสาว ๆ ให้ แต่งงานกับท่าน บอกว่าเวลาบวชแล้วจะได้แต่งงานกัน เป็นลูกคนรวย ท่านก็เลยบอกว่าเรื่องแต่งงานเอาไว้ทีหลัง ขอให้บวชเสียก่อน บวชแล้วไม่แน่จะสึกหรือไม่สึก ถ้าสึกก็แต่ง ไม่สึกก็ไม่แต่ง ไปขอเขาอย่างนั้นจะเป็นการลากหนามจุกตรอก คนอื่นที่เขาดีกว่าเขามาขอจะได้แต่งงานไป ทำอย่างนั้นไม่ควร

    ในเมื่อพ่อแม่ท่านเห็นว่าท่านค้านก็เลยตามใจท่าน แล้วพอดีถึงตอนจะบวช เวลานั้นเวลานี้จะบวชต้องอยู่วัดกันถึง 3 เดือน เขาเรียกกันว่าติฎฐิยะปริวาส พระพุทธเจ้ามีพระบัญญัติอย่างนั้น มีพระพุทธบัญญัติสั่งแบบนั้น เมื่อคนจะบวชจะต้องอยู่วัดถึง ๓ เดือน อบรมธรรมวินัยให้มีนิสัยดี ถ้า ๓ เดือนยังไม่ดี ยังไม่ให้บวช ให้อยู่ต่อไปอีก ๓ เดือน ถ้ายังดีไม่ได้ไม่ให้บวช ให้อยู่ไปอีก ๓ เดือน ถ้า ๙ เดือนไม่ดีเลิกเลย ไม่ให้บวชเลย แล้วอุปัชฌาย์สมัยนั้นท่านเคร่งครัดเอาตามนี้ทุกอย่าง แต่ว่าอุปัชฌาย์สมัยนี้เป็นอุปัชฌาย์นิวเคลียร์ นี่น่ากลัวจะไม่ต้องก็ได้กระมัง มีหน้าที่อย่างเดียว ปีไหนฉันเป็นอุปัชฌาย์บวชมาก ทำบัญชีส่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ว่าปีนี้เป็นอุปัชฌาย์บวชพระกี่องค์ ๆ เอาคะแนนกันตรงนี้ เอาดีกันตรงบวช หน้าที่อบรม สั่งสอนไม่ต้อง เลิกกันเวลานี้ (เขาพับไปแล้วนา) อุปัชฌาย์ตามหัวเมืองเวลานี้เขามีหน้าที่บวชอย่างเดียว ใครจะอบรมกันไว้อย่างไรก็ช่าง บวชไปสัทธิวิหาริก อันเตวาสิก จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ไม่เคยโผล่หัวมาพบกันเลย จะเลวจะทรามยังไงก็ช่าง เดี๋ยวนี้เขาดี เขาตัดได้ เขาปลงกันได้ ช่างเขาเถอะนะ เป็นไปตามสมัยนิยม แล้วเรียกว่าพระที่เข้ามาบวชก็บวชตามประเพณี อุปัชฌาย์บวชให้ก็บวชตามประเพณี ท่านที่เป็นอุปัชฌาย์ก็เป็นไปตามประเพณี ก็หมดเรื่องกันไป ไม่มีใครขัดคอกัน ตอนก่อนที่ท่านจะเข้าวัดบวช พ่อมาแจ้งว่า ลูกปานเอ๊ย ลูกอายุย่างเข้า ๒๑ ปีแล้ว ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์สมควรจะบวชได้แล้วนะ พรุ่งนี้พ่อจะนำไปฝากหลวงพ่อสุ่นนะ ไปบวชที่วัดบางปลาหมอนะ วัดบางนมโคใกล้บ้านของเราน่ะอย่าบวชเลย พ่อ ไม่เลื่อมใสพระ เพราะเวลานั้นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคก็ขนาดที่เรียกว่าพระนั่นแหละ พระหรือพะก็ไม่แน่นัก มีหน้าที่ท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้มาก ๆ ซ้อมหนังสือเอาไว้ให้คล่องเอาไว้เป็นทางหากินกัน ได้มาแล้วก็มานอนตีพุงเขลง ซื้อบุหรี่ ซื้อน้ำตาล ซื้อน้ำนมกิน ดีไม่ดีก็ไปเกี้ยวสาว ได้สตางค์มาก ๆ ก็เอาไปซื้อทองหมั้นสาว ๆ กลายเป็นคนหากินบนหลังคนไป นี่พระแบบนั้นเขาเรียกว่า อุปสมชีวิกา อาศัยศาสนา ทรงชีพ พ่อหลวงพ่อปานท่านไม่เลื่อมใส ท่านบอกว่าพระอย่างนี้ถ้าลูกไปบวชอยู่ด้วยก็จะเสีย อย่าบวชเลย ไปบวชกับหลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอเถิด ท่านดี ความจริงตำบลบางนมโคกับตำบลบางปลาหมอน่ะ ติดกัน ไม่ไกลกันมาก เขตติดกันเลย ตำบลบางปลาหมอนี่เป็นเขตของอำเภอบางบาล ตำบลบางนมโคเป็นเขตของอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเหมือนกัน ใกล้กัน ห่างกันประมาณกิโลเศษ ๆ ในเมื่อ พ่อแนะนำนอย่างนั้น ท่านรับคำว่าพรุ่งนี้จะเข้าวัด
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานเมื่อเป็นหนุ่ม

    ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง เรียกกันว่า ทาส ชื่อว่าพี่เขียว อายุประมาณ ๒๕ ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน ๒ คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัยจะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึกละ เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัว เป็นทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่ากว่าตัว ยกมือไหว้บอกว่า พี่เขียวขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่าเนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไงเขาถึงชอบกันนัก พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกกล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษอยู่ที่กล้ามเนื้อ ๒ กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน ๆ จับ ๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊ มันคล้ายกัน บอกพี่เขียวว่านี่มันคล้ายกันนี่ พี่เขียวแกก็บอกว่าเป็นอย่างนั้นมันก็คล้ายกัน แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่าทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก ดันไปถามผู้หญิงได้ นี่ว่ากันอย่างเรา ๆ นะ แล้วเขาจะตอบอย่างไร เขาก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เขาชอบกันอย่างไร แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียว บอกว่าขอโทษนะพี่เขียวนะ ที่ขอจับเนื้อนี้ไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร พี่เขียวให้อภัย แล้วท่านตั้งใจว่าเนื้อหน้าอกของผู้หญิงที่ผู้ชายต้องการ แล้วก็เนื้อของท่านที่น่องมันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เนื้อของเราก็มี แล้วไปต้องการเนื้อของเขาทำไม นี่เขาเรียกว่าคิดอย่างคนไม่อยากมีเมียนะ คิดแบบนั้น ถ้าอย่างคนอื่นเขาจะว่าท่านโง่ก็ตามใจเถอะ ท่านก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็คิดว่าไม่สึกล่ะ บวชคราวนี้ไม่สึก สึกมาทำไม ให้แต่งงานก็ไปจับเนื้อเหมือนเนื้อ ไอ้เนื้อของเรากับเนื้อของเขาก็เนื้อเหมือนกัน จะต้องไปเอาเนื้อของเขามาทำไม นี่เป็นเรื่องของคนไม่เป็นเรื่องนะ เรียกว่าคนไม่เห็นดีในการแต่งงานเขาคิดกันอย่างนั้น
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    สู่ร่มกาสาวพัสตร์

    พอวันรุ่งขึ้น ท่านพ่อก็พาถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปวัดบางปลาหมอ เวลาเดินไปตามทาง ท่านไปพบปลาตัวหนึ่งมันอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง เป็นปลาช่อนตัวใหญ่ ท่านก็จับเอาไป พอถึงแม่น้ำท่านก็ปล่อย ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไอ้สัตว์นี่นะ ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่ามันโดยเจตนาแล้วไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ แสดงว่าท่านมีบารมีมากเหลือเกิน บุญตามมาหา ไม่เหมือนฉันนะ ฉันนี่ไปเทียบกับท่านไม่ได้ ระยำมามาก ท่านดีมาก แต่ฉันระยำมาก แต่ความจริงถ้าเอาตัวท้ายเหมือนกันนะ แต่มันคนละมาก มากมีราคามากกับมากไม่มีราคา ของท่านมากมีค่าสูง เรียกว่ามากได้มาสูง ของฉันมากเสียไปสูง ไอ้มากแบบนี้ไม่เป็นเรื่อง เมื่อท่านเข้าหาหลวงพ่อสุ่น อ้อ พอไปถึงแม่น้ำแล้วท่านปล่อยปลา ปล่อยปลาแล้วท่านพ่อก็พาไปหาหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเห็นเข้าก็กวักมือเลยบอกว่า เวลานั้นไม่ทันจะถึงตัวท่าน พอเห็นเข้าก็เรียกชื่อพ่อท่าน พ่อของท่านนี่ฉันลืมเสียแล้ว ลืมชื่อทั้งพ่อทั้งแม่เลยนะ นึกไม่ออก คือ ไม่ได้นึกมานาน นึกไม่ออกจริง ๆ พอเห็นพ่อท่านก็กวักมือบอกว่า ไง เอ็งพาเจ้าปานมาอยู่วัดหรือ จะเอาเจ้าปานบวชหรืออย่างไร ท่านพ่อบอกว่า ใช่ขอรับ เอ้อ ดีจริง ๆ นี่ข้านึกไว้นานแล้วเชียวนา นึกว่าถ้าเจ้าปานมันจะบวชละก็ ข้าจะให้มันมาอยู่กับข้า ถ้าหากว่าแกเอาไปเป็นนาคไว้ที่วัดบางนมโค เวลาข้าไปเป็นอุปัชฌาย์ ข้านึกว่าบวชแล้วข้าจะเอาของข้ามาเลยนา ข้าตั้งใจไว้นานแล้ว เวลานั้นท่านเรียกเข้าไป หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบ หลวงพ่อสุ่นก็เอามือลูบหัวบอกว่า ปานเอ๊ยอยู่กับพ่อนะ จะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นลูกของพ่อ เอาละ ท่านหันไปบอกพ่อของท่าน เอ็งน่ะกลับไปบ้านได้แล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงไอ้เจ้าปาน มันเป็นลูกของข้าแล้ว แน่ะ แทนที่จะรับเป็นลูกศิษย์ พ่อรับเป็นลูกเลย แล้วแกไม่ต้องห่วง เจ้าปานของข้าไม่สึก แล้วต่อไปน่ะข้าจะถ่ายทอดให้มันทั้งหมด ไอ้นี่ข้ามองมาตั้งแต่เล็กแล้ว ตั้งแต่ ๔ - ๕ ขวบข้าก็มอง ๆ มา นึกว่าถ้าเจ้าปานนี่มันบวชก่อนข้าตายแล้ข้าจะต้องเอามาไว้ วิชาความรู้ของข้านี่ถ่ายทอดให้ใครไม่ได้ ไม่มีใครรับเอาไปได้หมด ข้ามองมานานแล้วว่าเจ้าปานมันรับของข้าได้ ท่านบอกว่าพอฟังเท่านั้นแหละ ปลื้มใจบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคนที่หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอต้องการตัว เพราะเวลานั้นหลวงพ่อสุ่นมีชื่อเสียงพุ่งโด่งดังมากเป็นกรณีพิเศษ มีหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อะไรพวกนี้ มีชื่อเสียงบอกไม่ถูก อ้อ (แต่ว่าหลวงพ่อโหน่ง) ยังมีหลวงพ่อเนียมซินะ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย แล้วก็หลวงพ่อแสง วัดพะเนียงแตก จังหวัดนครปฐม ชื่อก้องเมือง พระ ๔ - ๕ องค์นี่ชื่อก้องเมืองขนาดหนัก หลวงพ่อปานบังเอิญไปเป็นศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นบอกว่าเป็นลูกของท่าน ท่านจะเอาไว้เป็นลูกของท่าน ท่านก็ดีใจใหญ่ ต่อมาเมื่อท่านพ่อกลับแล้ว ท่านก็แนะนำถึงวิธีการบวชว่า ปานเอ๊ย การบวชนี้เป็นของยากนะลูกนะ แต่ไม่ยากจนเกินไป เจ้าจะบวชจะต้องจำตรงนี้ไว้ก่อน ท่านกางหนังสือเจ็ดตำนานให้ดูถึงตัวขานนาคว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา แปลว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน นี่เราอย่าบวชเป็นทาสกิเลสตัณหานะ คิดว่าเวลาบวชนะบวชเข้ามาแล้วนะปาน โลกธรรมต้องทิ้งให้หมดนะ อย่าเกาะนะ ถ้าเกาะมันตัวเดียวไม่เป็นพระเลย ถึงแม้ว่าจะห่มผ้าเหลืองโกนหัวก็ตาม จะถือว่าเรามีศีลน่ะ ไม่จริง โลกธรรม ๘ ประการมีอย่างนี้ จะพูดให้ฟังนะ คือ


    ๑. อยากรวย คือ อยากมีลาภอยากรวย เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วดีใจคิดว่าเรามีทรัพย์ เราจะสะสมเป็นทรัพย์สินให้มาก

    ๒. ถ้าทรัพย์หมดเสียใจ

    ๓. อยากมียศ อยากมียศฐาบรรดาศักดิ์ ไอ้ยศมาแล้วปลื้มใจ

    ๔. เมื่อยศหมดไปเสียใจ

    ๕. นินทา เมื่อได้รับคำนินทาแล้วเดือดร้อน

    ๖. ถ้าได้รับคำสรรเสริญก็ยินดี

    ๗. มีสุขในกามารมณ์ มีความเพลิดเพลิน

    ๘. มีความทุกข์ก็หวั่นไหว


    สิ่งทั้งหลายเหล่าอื่นไม่ต้องจำ จำว่า ๑ บวชพระจงอย่ารวย อย่าสะสมเงิน ถ้าไม่มีเงินก็จงอย่าเดือดร้อน ไม่เป็นไร บ้านเราไม่ต้องเช่าข้าวเราไม่ต้องซื้อ ชาวบ้านเขาหาให้ อย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้วไม่ใช่พระ จะบวชสักกี่ร้อยพรรษาก็ไม่ใช่พระ ถ้าเราจะรวยต้องรวยด้วยศีลด้วยธรรม รวยด้วยบุญบารมี เงินได้มาเท่าไหร่ทำเป็นสาธารณประโยชน์ให้หมด เหลือกินเหลือใช้ตามความจำเป็น แล้วใช้เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ให้หมดอย่าให้มันเหลือ นี่จงอย่ารวย รายการที่ ๒ อย่ารับยศ ถ้าจำเป็นจะต้องรับยศอย่าเมายศ จงคิดว่าเราเป็นพระ เราบวชเพื่อพระนิพพาน ยศฐาบรรดาศักดิ์มันเป็นโลกธรรม มันเป็นตัวถ่วง ตัวกิเลส ยศเป็นกิเลส ลาภเป็นกิเลส สรรเสริญเป็นกิเลส ความสุขในกามารมณ์เป็นกิเลส ถ้าเราพอใจในเหตุ ๔ อย่างนี่เราไม่ใช่พระ ถ้าขืนบวชเท่าไรก็ไม่ใช่พระ มันจะตกอเวจีมหานรก จงจำไว้ จงจำไว้ แล้วก็อย่าทำนะ อย่าฝืนไปเกาะตามนั้น คิดอย่างเดียวว่าเราบวชเพื่อพระนิพพาน ปานเอ๋ย วิชาความรู้นะลูก ที่พ่อมีอยู่ทั้งหมด ถ้าเธอมีอารมณ์อย่างนี้พ่อให้ไม่มีเหลือ เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ในฐานะที่ลูกเข้ามาเป็ฯวันแรก จะให้เรียนอะไรมันก็ยังไม่ดีนะ ต่อไปนี้ก็ท่องขานนาคเสียให้ครบ แล้วก็ท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้ แล้วเอาคาถานี้ไป คาถาคือ ธาตุทั้ง ๔ นะ มะ พะ ธะ ให้ว่าถอยหลังเอาไปเป่ากุญแจนะ เป่าให้กุญแจมันหลุด กุญแจนี่กดให้มันติดแล้วเป่าให้มันหลุด ถ้าเจ้าเป่ากุญแจหลุดได้เมื่อไรมาบอกพ่อ ต่อแต่นั้นพ่อจะให้ของดีทุกอย่างที่พ่อมีอยู่ ที่สุดของความดีน่ะไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่พ่อมีอยู่น่ะพ่อจะให้ไม่เหลือเลย หลวงพ่อปานรับคำแล้วท่านให้จัดสถานที่ให้ เมื่อหลวงพ่อสุ่นจัดสถานที่ให้แล้วท่านก็มาท่องขานนาค ขานนาคหมายความว่า คำขออุปสมบท แล้วก็ท่องหนังสือสวดมนต์พร้อมเป่ากุญแจไปด้วย
    ท่านบอกว่าท่านนั่งเป่ากุญแจมา ๑ เดือน กุญแจกดไว้เป่าเดือนหนึ่งมันไม่ออก กุญแจลอกหมดสีขาวจ๋อง สนิมเหล็กมันหมดไปเพราะถูกเหงื่อมือบดสี แต่ทว่าวันหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร พอทำใจสบายนอนเผลอ ๆ ลุกขึ้นมาพอจับกุญแจเป่ามันก็หลุด ผลัวะ มันหลุดง่าย เป่ามาตั้งเดือนไม่หลุด ต่อแต่นั้นไปเป่ากุญแจมาดอกไหนมันก็หลุด หนักเข้า ๆ ไม่ต้องเป่า เอามือไปแตะก็หลุด ผลที่สุดไปซื้อกุญแจมา ๓๐ - ๔๐ ดอก เอาใส่ราวเอามือกดให้ติด เอามือแตะราวเท่านั้นแหละ กุญแจหลุดออกหมด แม้แต่กุญแจจีนก็หลุด เป็นอันว่าเรื่องกุญแจท่านทำได้ นี่เป็นวิธีการของหลวงพ่อสุ่นสอนให้หลวงพ่อปานฝึกสมาธิ เพราะหลวงพ่อสุ่นเป็นคนมีฤทธิ์ ฤทธิ์ต่าง ๆ จะเกิดมาได้ก็เพราะอาศัยจิตเป็นสมาธิเป็นของสำคัญ แต่ว่าถ้าจะบอกว่าสอนให้ทำสมาธิ อันนี้เห็นจะไม่เอากัน สอนให้สะเดาะกุญแจ ถ้าคิดว่าจะเก่งอย่างขุนแผนก็ให้ใช้คาถาบทนี้เป่ากุญแจให้หลุด ในที่สุดหลวงพ่อปานท่านก็เป่าหลุด พอเป่าหลุดแล้วปรากฏว่าตอนกลางคืนหลวงพ่อสุ่นก็เรียกเข้าหา ถามว่าท่องขานนาคจบแล้วหรือยัง ท่านบอกว่าท่านท่องจบแล้ว หนังสือสวดมนต์ท่องถึงตรงไหนท่านบอกว่าท่องถึงบทนั้นบทนี้จวนจะจบเจ็ดตำนาน แต่ว่าทุกวันท่านเรียกไปสอนจริยาของพระตั้งแต่เป็นนาค สอนวิธีบวชทุกอย่าง ว่าบวชพระแล้วต้องปฏิบัติอย่างไร เขาเรียนรู้กันมาตั้งแต่เป็นนาค ไม่ใช่บวชแล้วมาเรียนรู้กัน ไม่ใช่อย่างนั้น ที่ให้อยู่วัด ๒ เดือน ๓ เดือนก็เพื่อให้เรียนรู้ตั้งแต่เป็นนาค หลวงพ่อสุ่นถามว่า ไอ้คาถาเป่ากุญแจที่หลวงพ่อให้เอ็งน่ะ เอ็งเป่าได้หรือยัง หลวงพ่อปานบอกว่าเป่าหลุดแล้วขอรับ ท่านก็หยิบกุญแจจีนมากดเสียแน่น หลวงพ่อปานพอหยิบกุญแจจีนหลุดผลัวะกระเด็นออกไปเลย ขนาดกระเด็นหลุดออกนอกตัวไป หลวงพ่อสุ่นหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่า ปาน นี่เป็นพื้นฐานความดีขั้นแรกนะ ความดีต่อไปยังมีอีก วันนี้กลับไปก่อนนะ วันพรุ่งนี้ค่อยมาหาพ่อใหม่ พ่อจะให้เรียนต่อ ลูกไม่ต้องกลัวนะ อยู่กับพ่อ ๆ ให้ทั้งหมด อะไรก็ตามที่รู้ว่ามีดีที่พ่อมีอยู่ ถ้ารู้ว่าเจ้าต้องการพ่อจะให้หมด เอ้าสำหรับวันนี้เจ้ากลับไปก่อนนะ หลวงพ่อปานท่านก็กราบ ๆ แล้วท่านก็กลับ เรื่องราวของหลวงพ่อปานมีเยอะนะ แต่ว่าฉันมันพูดไม่ค่อยตรงทาง อาจต้องพูดนานก็ได้ วันนี้ขอลาลูกหลานทุกคนก่อนนะ ขอลูกหลานทุกคนจงปลื้มใจว่าบ้านทิพย์ของลูกหลานทุกคนมีแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกหลานทุกคน สวัสดี

    ลูกหลานที่รักทั้งหลาย วันนี้วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๑๕ เป็นเวลาประมาณ ๘ โมงครึ่งเศษ ๆ ฉันลงมือบวงสรวง ที่ต้องบวงสรวงก็เพราะว่าเมื่อตอนกลางคืนของวันที่ ๑๘ เวลาที่ฉันนั่งกรรมฐาน ตอนนั้นลุงพุฒิแกมาหาฉัน แกบอกว่า ท่าน เวลาเล่าเรื่องหลวงพ่อปานนะก็ขอให้เล่าเรื่องพระลงอเวจีไว้ให้มากด้วย ถามว่าไปพูดทำไม ฉันจะไปรู้หรือว่าใครจะลงหรือไม่ลง ฉันไม่ใช่พระพุทธเจ้านี่จะได้เป็นสัพพัญญูวิสัย และจะรู้ได้ยังไง ลุงพุฒิแกก็บอกว่าเรื่องนี้นะ หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ อุปัชฌาย์ของหลวงพ่อปานเอง เวลาที่หลวงพ่อปานเข้าไปบวชอยู่กับท่านก็ดี หรือขณะที่เป็นนาคก็ดี หลวงพ่อสุ่นสอนเรื่องนี้ไว้มาก บอกว่าป้องกันไม่ให้หลวงพ่อปานตกนรก แล้วการบวชให้บวชอย่างเป็นพระ ถ้าการทำตัวไม่เป็นพระแล้วมันลงนรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระถ้าลงนรกแล้วไม่พ้นอเวจีมหานรก เพราะว่าพระมีบุญมาก เวลาบาปก็บาปมาก เลยถามแกว่า นี่ ลุงแกมาสอนให้ฉันพูดอย่างนี้นะ แล้วในเมื่อเรื่องนั้นฉันไม่รู้อยู่นี่ แล้วฉันจะเอาเรื่องอะไรมาพูด ถ้าพูดมันก็เป็นการโกหกพกลมให้ลูกหลานฟัง มันจะดีรึ ไอ้เวลาฉันจะลงนรกน่ะ แกไม่ลงกับฉันนา แกเคยชี้หน้าว่าฉันอยู่เสมอว่า กรรมชั่วเป็นกรรมชั่วนา กรรมดีเป็นกรรมดี เรื่องพรรคพวกหรือเพื่อนฝูงนี่น่ะก็ยกไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนความดีความชั่วนี่ยกไว้ส่วนหนึ่งไม่รวมกัน แล้วแกดันมายุให้ฉันพูดเรื่องพระลงอเวจีมหานรกนี่มันจะมีประโยชน์อะไร แล้วฉันจะไปรู้อะไรล่ะ เวลาที่หลวงพ่อปานบวชหรือไปเป็นนาคน่ะ ฉันเกิดทันที่ไหนล่ะ ฉันไม่ทัน ฉันไม่เคยได้ยินเสียงหลวงพ่อสุ่นสอนหลวงพ่อปานเลย แล้วลุงจะมาเกณฑ์ให้ฉันพูดว่ายังไง เวลาพูดจบลงไปเท่านี้ก็พอดีปรากฏว่าหลวงพ่อสุ่นกับหลวงพ่อปานท่านมา ท่านก็บอก นี่ลูก หลวงพ่อสุ่นว่ายังงั้นนะ พ่อสอนท่านปานจริง ๆ ก่อนจะบวชก็ตามหรือว่าเวลาบวชแล้วก็ตาม ท่านพร่ำสอนอยู่ทุกวัน เรียกว่าพรรษาแรกทั้งพรรษานั้นไม่มีทางห่างกัน อุปัชฌาย์กับสัทธิวิหาริกไม่มีทางห่างกัน ท่านพร่ำสอนอยู่ทุกวันถึงวิธีกันการลงนรก ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ถ้ายังงั้นละก็ เวลาผมจะพูดขอหลวงพ่อมาบอกด้วยได้ไหม ท่านก็บอกว่าได้ ต่อแต่นี้ไปเธอจะต้องพูดเรื่องที่เธอไม่เคยรู้มา เรียกว่าไม่เคยรู้มาก่อน เธอจะต้องบวงสรวงและชุมนุมเทวดาเสียก่อน เมื่อเธอบวงสรวงและชุมนุมเทวดาแล้ว เวลาชุมนุมเทวดาต้องตั้งจิตนึกน้อมไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา แล้วพรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด เวลาบวงสรวงนึกถึงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่าน แล้วท่านจะได้มาบอก ๆ ว่าวิธีบอกแบบเขียนคำบอกน่ะนะ เรียกว่าไม่สะดวก ก็ขอให้บอกอย่างประเภทเข้าสิงใจได้ไหม ท่านบอกว่าได้ เอายังงี้ก็แล้วกันนะ เอาตามวิธีที่เขียนหนังสือพระกรรมฐาน ความรู้สึกมันจะเกิดขึ้นมาเองแล้วก็พูดไป แล้วก็จะตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง เลยรับคำจากท่าน เมื่อรับคำจากท่านแล้ว แล้วก็เรื่องนั้นเป็นอันว่าหมดกันไปนะ ท่านรับคำแล้วนี่ ตานี้เวลานี้ที่จะพูดก็ต้องบวงสรวงตามท่านสั่ง


    เรื่องการบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดานี่นะ ลูกหลานนะ ลูกหลานอาจจะลำบากใจ เพราะว่านักปราชญ์สมัยใหม่ที่เขามองไม่เห็นด้วยน่ะมันมาก แต่ช่างเขาเถอะนะ สิ่งเหล่านี้มันเป็นปัจจัตตัง ผู้ทำเองเข้าถึงเองจะรู้เองเท่านั้น เหมือนกับเรากินอาหาร เรากินเกลือเราบอกว่าเกลือมีรสเค็ม เรากินส้มบอกว่าส้มมีรสเปรี้ยว เรากินน้ำตาลบอกว่าน้ำตาลมีรสหวาน ในเมื่อเรากินเข้าไปแล้ว เรารู้ว่าความเค็มเป็นยังไง ความเปรี้ยวเป็นยังไง ความหวานเป็นยังไง ตานี้เราจะไปบอกกับคนที่เขาไม่ได้กิน คนที่เขาไมได้กินเขาจะรับรู้กับเราได้ยังไงว่ารสหวาน รสเปรี้ยว รสเค็มมันมีสภาพเป็นยังไง มันกระทบประสาท จะมีความรู้สึกเป็นยังไง ข้อนี้มีอุปมาฉันใด แม้การบวงสรวงหรือว่าการชุมนุมเทวดาก็เหมือนกัน นักปราชญ์สมัยใหม่ท่านมีความรู้มาก เรียกว่ารู้มากจนไม่เชื่อว่านรกมี สวรรค์มี นี่เป็นเรื่องของท่าน แต่ว่าที่ท่านเชื่อก็มีมากนะ ลูกหลานอย่าไปโทษท่าน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ใครเขาจะรู้ว่าวิธีการบวงสรวงมีจริงหรือไม่ ทำไปแล้วมีผลจริงหรือไม่ การชุมนุมเทวดามีผลเป็นประการใด เทวดามาหรือไม่มา นี่ก็เป็นเรื่องของคนบวงสรวงหรือคนชุมนุมเทวดาเหมือนกัน ถ้าคนเราไม่เข้าถึงเทวดา ไม่เข้าถึงพรหม ไม่เข้าถึงพระ แม้จะเรียกเท่าไหร่ เทวดา หรือพรหม หรือพระ ท่านก็ไม่มา ถ้าหากว่าเราเข้าถึงเสียแล้ว เพียงแต่นึกถึงท่านก็มา แล้วเวลามาท่านพูดว่ายังไง อีตอนนี้ก็ต้องศึกษาตามหลักสูตรของพระพุทธเจ้า สำหรับการศึกษา ลูกหลานที่รักฟังให้ดีนะ ลูกหลานอย่าศึกษาแต่เฉพาะหนังสือนะ การอ่านหนังสือเฉย ๆ นั้นเป็นแต่เพียงฟังคนอื่นเขาเล่าให้ฟังเท่านั้น มันจะไม่ต่างอะไรกับคนที่ไม่เคยกินส้ม กินเกลือ กินน้ำตาล เมื่อเรารู้วิธีการกินเราก็ต้องกินเองด้วย ทำจิตให้เข้าถึงเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของนามธรรม นี่ตามที่นักอภิธรรมเขาพูดกันนะ


    ความจริงไม่อยากจะพูดคำนี้ เพราะว่าลูกหลานน่ะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ลูกหลานของฉันทุกคนเป็นคนดี มีความสุภาพ มีจิตอ่อนโยน มีจิตน้อมเข้าไปในธรรม เวลานี้ฉันปลื้มใจที่สุดแล้วนะ ฉันภูมิใจที่สุดที่หลวงพ่อปานพยากรณ์ฉันไว้ว่า นับตั้งแต่เธอบวชครบ ๒๐ พรรษาไปแล้ว ความประสงค์ของเธอทั้งหมดจะสมหวัง อีตอนนั้นฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าฉันจะทำได้ยังไง คนอย่างฉันน่ะเรอะมีความรู้ก็ไม่เท่าหางอึ่ง ทุนรอนที่จะเรียนกับเขาก็ไม่มี แล้วสติปัญญาก็ต่ำ แต่ทว่าเวลานั้นฉันมีอารมณ์สูงเกินไป ฉันคิดว่าฉันจะพยายามช่วยตัวของฉันให้ได้เพราะก่อนที่จะเข้ามาบวชน่ะ ลูกหลานก็เคยทราบประวัติของฉันมาแล้วว่า การที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี่น่ะ ฉันไม่ได้บวชเพราะศรัทธาความเชื่อเฉย ๆ ฉันเข้ามาพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เคยได้ฟังพระเทศน์ว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง พระนิพพานมีจริง คำว่าพระนิพพานสูญน่ะ ฟังมาถึงจะสูญหรือไม่สูญ ชื่อของพระนิพพานก็ปรากฏ ตอนฉันอยากจะเห็นสวรรค์ อยากจะเห็นพรหมโลก อยากจะท่องเที่ยวไปสถานที่นั้น ๆ บ้าง ฉันก็หาครูบาอาจารย์ที่ถูกใจฉันมันไม่มี มีแต่พระเทศน์ แต่พระสอนมันไม่มี ในที่สุดฉันก็มาได้หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นคุณาจารย์ประจำตระกูลของฉันเอง ตระกูลของฉันทั้งก๊กเคารพหลวงพ่อปานเหมือนพ่อ ครั้นเมื่อมาพบท่านเข้า ท่านก็ท้าทายทุกอย่างว่าสิ่งที่เธอต้องการของฉันมีหมด เอาเข้านั่น นี่มาเจอะคนจริงเข้า แล้วในที่สุดก็บวช บวชพิสูจน์ความจริง ว่าถ้าหาความจริงไม่ได้เราก็จะไม่นับถือพระศาสนา มาสอนโกหกกันแบบนี้น่ะมันใช้ไม่ได้ ไม่เอา เอาเปรียบชาวบ้าน แต่ที่ไหนได้ ครั้นมาอยู่กับท่านเข้า อะไรก็ตามในขั้นต้นในสมัยนั้นท่านสอนให้ได้หมดในพรรษาแรก แล้วฉันเองมันก็คนไม่ค่อยเต็มเต็งนาลูกหลานนา ลูกหลานที่รักอย่านึกว่าฉันเป็นคนดีนะ ฉันนี่น่ะเป็นคนไม่ค่อยเต็มเต็งนักนา ถ้าจะเอาอะไรขึ้นมาละก็ ฉันก็สู้มันด้วยชีวิต ฉันเอาชีวิตของฉันเข้าแลกสิ่งเหล่านั้น ถ้าฉันไม่ได้มาฉันจะตายฉันก็ยอมนี่ แล้วฉันมันเป็นคนไม่เต็มบาทกับเขา เวลาทำอะไรทำอย่างชนิดที่ว่าเอาชีวิตเข้าแลกกัน แต่มันกลับปรากฏว่าเป็นผลดีไปได้ตอนต้น ได้แล้วฉันก็มาคิดว่าฉันเคยอ่านคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าการสอนคนให้เข้าถึงทิพยสมบัติเป็นของดี ฉันก็ตั้งเข็มทีเดียว ตั้งเข็มว่าฉันจะทำอย่างนั้นบ้าง แต่จัดในวงการแคบ ๆ แต่ว่าลูกหลานที่รักเอ๋ย ในตอนต้นฉันเกิดความเบื่อหน่ายหลายวาระ เพราะการไปพูดอะไรกับบุคคลประเภทอย่างนั้นเข้า (ไปพูดแบบนี้น่ะแบบที่ฉันต้องการ) เขาหาว่าฉันบ้าเสียสิ ฉันเป็นคนที่ไหนเล่า เขาหาว่าฉันบ้า ไปพูดอย่างนั้นมันไม่ถูก สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นฉันพบมาเองเขาก็ไม่เชื่อ แล้วแถมพวกพระด้วยกันนี่ละนะ พวกโกนหัวห่มผ้าเหลืองเหมือนกันนี่แหละ อย่าไปว่าท่านทุกองค์นะ บางองค์เท่านั้น ที่ฉันเป็นเพื่อนเป็นฝูงพอรู้จักกัน ฉันบอกว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง พวกเราคงจะทำให้ปรากฏเป็นการชดใช้ความดีของพระพุทธเจ้าที่ท่านมีคุณ พวกเหล่านั้นเขาก็หาว่าฉันบ้า ดีไม่ดีพวกนักเทศน์นี่แหละเขาบอกว่าสวรรค์ไม่มีนรกไม่มี พระสูตรทั้งหลายเหล่านี้เป็นคนรุ่นหลังเขียนขึ้น นี่แสดงว่าเขาเกิดก่อนคนเขียน นี่มันเป็นเสียอย่งนี้ซีลูกหลาน ตานี้มาตอนนี้แหละ มานับเอาตั้งแต่ตอนนี้ก็แล้วกัน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ตั้งแต่เริ่มพบ นาวาอากาศเอกอาทร และศิริรัตน์ โรจนวิภาต นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ฉันเกิดพบคนจริงเข้า เขาเอาจริงทุกคน อย่างขนาดที่เรียกว่า กลางวันเขามีงานหนัก กลางคืนเขาก็ไปฝึกกับฉัน ไปหาฉันได้ทุกคืน เขายกคณะกันไปกลับดึก ๆ ดื่น ๆ แล้วเขาไปได้ทุกวัน แล้วต่อมาก็มาพบลูกพบหลานทั้งหมดนี่แหละ ใครบ้างก็ช่างเถอะ ไปนั่งเรียงชื่อกันอยู่ได้ยังไงล่ะ ถ้าขืนเรียงชื่อกันไม่ไหว แล้วฉันก็จำชื่อไม่ได้หมดนี่ เป็นอันว่าพบคนจริงเข้า อีตอนหลังมาพบคนจริงเข้า ฉันเลยเอาจริงเข้าบ้าง แล้วไอ้ความจริงมันก็ปรากฏ ปรากฏยังไง ที่แนะนำให้ลูกหลานทำบุญน่ะรึฉันดีใจ เปล่า ฉันไม่ได้ดีใจหรอก แต่ทำบุญเข้ามาแล้ว จะทุ่มเทเงินกันเข้ามาประมาณนี่ที่ฉันมาอยู่วัดท่าซุงนี่น่ะ คิดจำนวนเงินที่สร้างตึกใหม่นี้ได้ล้านเศษ ๆ แล้วฉันดีใจไหม ลูกหลานที่รักคงคิดว่าฉันจะดีใจกระมัง เปล่า เข้าใจผิด ฉันยังไม่ดีใจ การสร้างวัตถุภายนอกมันยังช่วยชีวิตไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่ดีใจคือ ลูกหลานทุกคนมีจิตเข้าถึงธรรมะ เข้าถึงธรรมแล้วเข้าถึงมากหรือถึงน้อยก็ตามใจ ฉันพอใจ ขึ้นชื่อว่าคนมีเงินนะ จะมีนับเป็นล้านหรือโกฏิหรือมีบาทสองบาทฉันก็พอใจ เรียกว่าเป็นคนมีเงินแล้ว ตอนมีเงินแล้วนี่ฉันก็ยังไม่ดีใจมาก ดีใจนิดเดียว มาตอนนี้ซี ฉันขึ้นไปสำรวจผลความดีของลูกหลาน ไปสำรวจที่ไหนล่ะ ก็อาจารย์ของฉันเป็นยังงี้นี่ หลวงพ่อปานน่ะนะ หลวงพ่อปานท่านทำแบบไหน การคบคนเช่นใด พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ย่อมเป็นเหมือนคนเช่นนั้น

    เราคบคนกินเหล้า เราก็ชอบเหล้า เราคบคนเล่นการพนัน เราก็ชอบการพนัน เราคบคนเจ้าชู้ ก็ชอบเจ้าชู้ เราคบคนขี้เหนียว เราก็ชอบขี้เหนียว เราคบคนยุ่ง เราก็ชอบยุ่ง นี่ลูกหลานมาคบเอาหลวงตายุ่ยเข้าซี จ่ายกันไม่ไหวเลย ให้สตางค์มาเป็นค่ายา ค่าอาหาร พ่อเล่นอีลุ่ยฉุยแฉก เอาไปทำอะไรต่ออะไรเสียหมด ดีไม่ดียังไม่ทันจะให้มาเลย เอาเข้าอีกแล้วไปทำเข้าก่อน ไ ปเชื่อสินเชื่อเขามาก่อนนี่คุณยุ่ย ยุ่ยขนาดฉันนี่มันหายากเหมือนกัน แต่ว่าฉันยุ่ยขนาดเดียวกับหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานของฉันท่านก็ยุ่ยแบบนี้แหละ นี่ไอ้ความยุ่ยของฉันนี่ฉันหวังดีกับลูกหลาน ฉันคิดว่าเงินทองของลูกของหลานน่ะนะหามายาก แต่ละคนกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาทต้องเอาชีวิตเข้าแลก ผู้ที่รับราชการน่ะอย่าคิดว่าสบายนะ เวลาไปทำงานต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่พอใจอยู่เสมอ แล้วก็ต้องมีค่าใช้จ่านย คนที่เขาทำไร่ทำนานเขาคิดว่าข้าราชการมีความสุข แต่ก็เปล่า ถ้าเป็นทหารหรือพลเรือนก็ตาม การเคลื่อนไปทำงานจะรู้หรือว่าชีวิตของเราจะไปกระทบอะไรบ้าง แล้วก็มีความลำบากใจเพียงใด หวกพ่อค้าแม่ขายก็เหมือนกัน กว่าจะได้กำไรเข้ามาแต่ละบาทก็แสนจะลำบาก เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ พวกทำนาทำไร่ก็เหมือนกัน ต้องฟันฝ่าอุปสรรคทุกอย่าง นี่ฉันเห็นว่าเงินของลูกหลานทั้งหมดเป็นของได้มาโดยยาก ฉันเลยกลายเป็นคนยุ่ยไป แต่หากว่าฉันรู้ว่าลูกหลานของฉันได้มาโดยง่ายฉันจะไม่ยุ่ยหรอก ฉันจะเป็นคนขี้เหนียว ทำไมล่ะ ทำไมจึงขี้เหนียว ได้มาง่าย ๆ ไม่ลำบาก ฉันก็มาเก็บสะสมเอาไว้ให้มันร่ำรวยเสียบ้างจะเป็นไรไป แต่ทีนี้ฉันเห็นว่าลูกหลานทุกคนเป็นคนลำบาก กว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท แสนยากแสนลำบากก็อุตส่าห์หามาด้วยความยาก มาแบ่งให้ฉันใช้ ฉันนั่งคิดว่าฉันกินไปบ้าง ฉันซื้อยารักษาโรคบ้าง อันนี้ก็พอสมควร แต่ว่าส่วนหนึ่งของเงินของลูกหลาน เรียกว่าส่วนใหญ่ ฉันจะไปสร้างบ้านให้ ฉันแอบเอาเงินจำนวนนี้ไปสร้างบ้านให้ ฉันไม่บอกลูกไม่บอกหลานหรอก ดีไม่ดีก็จะขัดคอเอา หมายความว่า เขาบอกว่าเขาทำของเขาได้ เงินจำนวนนี้มันไม่มากมายนัก เอาไว้กินไว้ใช้ก็แล้วกัน อันนี้ตามธรรมดาของคนแก่นี่ก็ห่วงลูกห่วงหลาน ฉันเลยย่องเอาไปสร้างบ้านให้แล้วก็มาขัดเกลาจิตใจคราวละเล็กละน้อยตามกำลังศรัทธา ทำแบบสบาย ๆ ไม่ยาก เมื่อถึงเวลาสมควรในระยะปีนี้ ฉันก็ขึ้นไปสำรวจบ้านที่ฉันสร้าง ฉันสร้างให้ลูกให้หลาน คือว่า ฉันเป็นหัวหน้าน่ะ ทุนของลูกของหลาน ไม่ใช่ทุนของฉัน ไปดูแล้วมันสวยแพรวพราว ลูกหลานที่รักมันสวยบอกไม่ถูก มีตระการตา อันดับต้นนี้ขนาดหมื่นหลังเศษ เรียกว่าหลาย ๆ จังหวัดด้วยนะ ที่เขามาเอาเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธานี่ บ้านในอันดับต้นนี่น่ะมีหมื่นหลังเศษ อันดับที่สองก็รู้สึกว่ามีมาก อันดับที่สามก็มีไม่น้อย ฉันไปตรวจบ้าน เจ้าหน้าที่เขาก็ชี้แจง บ้านหลังนี้ของคนนี้ บ้านหลังนั้นของคนโน้น แล้วเวลานี้อัธยาศัยของคนไหน ๆ เป็นอย่างไร เจ้าหน้าที่เขาก็ชี้แจงหมด ฉันกลับลงมาแล้วฉันนอนไม่หลับ ปลื้มใจว่าสิ่งที่ฉันตั้งใจมีแค่นี้


    ทีนี้ต่อไปเมื่อวันที่ ๑๙ เมื่อวานนี้น่ะ มีเรื่องใหม่เกิดขึ้น จะเล่าให้ฟัง เรื่องพิเศษควรจะเล่าให้ฟังไว้บ้าง คือว่าในตอนเช้า ปรากฏรองผู้บังคับการตำรวจจังหวัดพิษณุโลก กับรองผู้กำกับเขามาหาฉัน เขามาตั้งให้ฉันเป็นอธิบดีกรมตำรวจ เขาตั้งแบบไหนรู้ไหม เขามาตั้งคำถามฉันว่า เมื่อไรเขาจะได้เป็นผู้บังคับการ เมื่อไรผมจะได้เป็นผู้กำกับ ฉันก็นึกครึ้ม ๆ ใจเหมือนกันนา ตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจนี่พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้แต่งตั้ง แล้วก็ต้องมีความรู้ความสามารถดี แล้วอยู่ ๆ ก็มีคนมายกย่องให้ฉันเป็นอธิบดีกรมตำรวจก็ดีไม่น้อยนา เอาเข้านั่นไหมล่ะ แล้วระดับต่อมาเวลาใกล้เคียงกันก็มีคนมา ๒ คน แกมาตั้งให้ฉันเป็นพญายมราช คือ คนหนึ่งพ่อป่วย อีกคนหนึ่งแม่ป่วย แกถามว่าพ่อกับแม่ผมที่ป่วยนี่ เรียกว่า ๒ รายด้วยกันนะ พูดรวมกันไปเลย จะหายหรือจะตาย นี่มันเป็นตำแหน่งของพญายมราชนี่ ฉันมีบุญไม่น้อยนะ เป็นอธิบดีกรมตำรวจไม่พอ ยังแถมตำแหน่งพญายมราชเข้าไปอีก อ้ายเรื่องเขาป่วยนี่ ก็พอดีฉันมองหน้าลุกพุฒิแก ๆ เป็นโหรใหญ่ ลุงพุฒินี่แกเป็นหมอดูขนาดใหญ่พิเศษเชียวนะ ใครจะตายไม่ตายนี่แกรู้ ใครตายแล้วไปนรกไปสวรรค์แกรู้ หันไปดูแก เห็นแกยิ้มฟันขาวแหง ยกมือโบกบอกว่า ตำแหน่งนี้ ตำแหน่งพยากรณ์คนตายหรือไม่ใช่คนตายนี่น่ะ ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน แกว่าอย่างนั้น โน่น เป็นหน้าที่ของหมอนิดเขา ท่านอย่าเสือก เอาเข้านั่น อีตาลุงพุฒินี่แกปากไม่ใช่เล่นเหมือนกัน บอกว่าท่านอย่าเสือกนะ อย่าเสือกพยากรณ์ เป็นเรื่องหมอนิดเขา ให้หมอนิดเขาพยากรณ์ เป็นเรื่องของเขา ฉันหมดท่าก็ไม่รู้จะทำยังไง เลยบอกว่ายังงี้ บอกว่าหนูเอ๋ย เอายังงี้ก็แล้วกันนะลูกนะ เรื่องตายหรือไม่ตายนี่หลวงพ่อไม่รู้หรอก แต่ตัของหลวงพ่อจะตายยังไม่รู้เลย อ้ายเรื่องคนที่เกิดมานี้จะห้ามตายกันไม่ได้นะ ห้ามไม่ได้ เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ไปหาหลวงพ่อ ๔ องค์นั่นนะ ที่หลวงพ่อปั้นท่านไว้นะ หลวงพ่อเชิญบารมีท่านไว้ องค์หลังเป็นบารมีพระพุทธเจ้า มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าบรรจุอยู่ แล้วอีก ๓ องค์ องค์หน้าทางด้านทิศเหนือหลวงพ่อใหญ่ สมภารวัดนี้เดิม เป็นคนสร้างวัด องค์กลางก็คือหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า องค์ที่สามคือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เอ็งไปเอาธูปเทียนไปบูชาท่านนะ แล้วก็บอกว่าขอให้ช่วยพ่อแม่ของเอ็งให้หาย ให้อาการโรคกลายเป็นปกติโดยเร็ว ถ้าหายแล้วละก็ จะถวายทององค์ละ ๑๐๐ แผ่น ผ้าห่มองค์ละ ๑ ผืน แล้วก็ต้องบอกท่านด้วยนะว่า ถ้าไม่เป็นเหตุเกินวิสัย ถ้าเป็นเหตุสุดวิสัยจะต้องตายก็ช่าง แต่ขอให้อาการโรคดีขึ้น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แล้วเขาก็ไปกัน พอไปกันแล้ว อีตอนเขาไปแล้วฉันคิดว่า เอ คนป่วยนี่ก็ควรจะไปเยี่ยม เพราะว่าคนที่มารายงานเขาก็สงเคราะห์ฉันอยู่เหมือนกัน เขาใส่บาตรให้กิน เวลามีงานก็เรียกเขามาใช้ แล้วก็วันนี้เรื่องใหญ่เกิดขึ้น ฉันจะต้องพิมพ์คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปานแจก แล้วก็จะนำธงแม่โพสพคือว่าธงมหาลาภน่ะ เขาลือกันนักว่าธงมหาลาภนี่เขาไปใช้กันได้ผล เขาว่ายังงั้น ฉันก็ว่าถ้าเขาไม่บูชาแล้วก็ มันก็ไม่ได้ผล ถ้าเขาบูชามันคงจะได้ผล เขาลือกันนี่ แต่มันหมดเสียฉันก็จะไปทำ แต่ว่าเวลาจะไปทำนี่ต้องเอาสตางค์ไปให้เขางวดแรกก่อน ฉันก็ไม่รู้จะเอาสตางค์ที่ไหน ก็สตางค์ที่ลูกหลานให้ฉันกินน่ะแหละ ฉันน่ะนับ ๆ ๆ นับไปได้พันบาทเอาไปมัดจำเขา นี่ฉันกำลังก่อสร้าง ไอ้รถเข็นทรายเข็นหินมันไม่มี รถเล็ก ๆนะ รถไสก็ไปซื้อเขาไว้คันหนึ่งราคา ๓๖๐ บาท ก็เอาสตางค์ของลูกของหลานนี่แหละไปอีก ที่ให้ยากิน เป็นค่ายา แล้วก็ไปซื้อยารักษาโรคไว้ ๑๔๓ บาท เอาไปเฉ่งเขาด้วย ก็ไปเยี่ยมไข้คนแก่ เอาไปให้คนละ ๑๐๐ บาท อโรคยา ปรมา ลาภา สงเคราะห์คนที่มีโรค เรียกว่าให้เขามีความสุขใจ หลวงพ่อปานบอกว่า ถ้าเราทำความสุขให้เขา ความสุขนั้นจะสะท้อนถึงเรา ถ้าหากว่าเราสร้างความทุกข์ให้เขา ความทุกข์นั้นก็สะท้อนมาถึงเรา สมัยนั้นมันทำน้ำมันเล่นโป ขโมยตำราของท่านเอามาทำดู ท่านเอาไม้ตะพดมาล่อหัวฉันเข้า บอกว่าเอ็งจะไปปล้นเขาหรือ เอ็งทำให้เขาจน เอ็งก็จน เอ็งทำให้เขารวย เอ็งก็รวย นี่ก็คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปานน่ะสร้างคนรวยมามากแล้ว แต่ทีนี้เวลาพิมพ์ตอนนี้ฉันไม่ดัดแปลงคำพูดเย เพราะคำพูดที่หลวงพ่อปานพิมพ์แจกฉันเก็บของฉันไว้ ลอกหมดแล้วพิมพ์ตามนั้นไม่อธิบายต่อเติม นี่ฉันประกาศพิมพ์ไว้ ๓,๐๐๐ แผ่น แล้วก็จะมีเทศน์ตอนเดือน ๔ ดูเหมือนว่าจะเป็น ๑๕ มีนาคม หรือยังไงไม่ทราบ วันตรุษ วันสิ้นเดือน ๔ พิมพ์ฎีกาแจก แล้วก็พิมพ์ธง ธงแม่โพสพ สำหรับผ้านี่นะ นนทา อนันตวงษ์ เขาบอกเขาออกให้ แล้วค่าพิมพ์ คุณสุรินทร์ คุณเรณู บุญเลิศ เขาออกให้ เขายังไม่ได้ให้สตางค์มา ฉันก็เอาไปมัดจำก่อน แล้วก็ค่าประกาศข่าว ไม่ใช่เรี่ยไร บอกเขาว่าจะมีเทศน์ เขาจะมาก็มาไม่มาก็ตามใจเขา จะทำบุญหรือไม่ทำก็ตามใจ ธงแจกฟรี แล้วก็เสกข้าวด้วยคาถามหาลาภของหลวงพ่อปานไปให้แรกนา เสกน้ำมนต์ไปพรมนา แจกกันวันเดียวคือวันสิ้นเดือน ๔ ถ้าหมดตอนไหนเลิกตอนนั้น ไม่หมดวันหลังไม่แจก ขี้เกียจแจกพร่ำเพรื่อ แล้วได้เงินจำนวนนี้ฉันก็ขโมยลูกขโมยหลานออกไปอีก ไม่ทันพอหรอก ค่าพิมพ์ ค่าอะไรต่ออะไรนี่มันไม่พอ แต่ทว่าก็นี่ไม่เป็นไร ฉันนึกว่าต่อไปลูกหลานให้ฉันอีกฉันก็ขโมยไปจ่ายอีกนั่นแหละ นี่เอาไปอย่างนี้ ถ้ารู้แล้วก็โมทนาเสียนะ ปัตตานุโมทนามัย แล้วก็เป็นทรัพย์สินของลูกของหลาน ลูกหลานจะได้เป็นคนรวยในชาตินี้ แล้วก็ชาติหน้า นี่รวยแล้ว ฉันเห็นแล้วว่ารวยแล้ว


    ทีนี้มาพูดถึงเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า จะอย่างไรก็คงจะทราบกันแล้วนะ หรือว่าอย่างน้อยที่สุดต่อไปวันหน้าคงจะทราบ จะไม่เล่าให้ฟัง มาเล่าให้ฟังถึงตอนกลางคืน ตอนกลางคืนที่นั่งพระกรรมฐาน วันนี้ฉันรู้สึกว่าฉันเหนื่อยมาก ตอนเช้าบันทึกเสียง ตอนใกล้เพลท่านผู้บังคับการและรองผู้บังคับการ หรือรองผู้กำกับเขามากัน พอตอนต่อไปก็มีคนมาหา ตอนบ่ายก็ไปเยี่ยมไข้เอาเงินไปชำระเขา พอกลับมาถึงวัด ดูนาฬิกาผิดไป ๑ ชั่วโมง นาฬิกาบอก ๖ โมงเย็นกัน ฉันบอกว่ามัน ๕ โมงเย็น นี่ภาษาพระนา ตามันพร่าไป แสดงว่ามันเพลียมาก เมื่อมันเพลียมาก ฉันรู้ว่าร่างกายของฉันไม่ดี เวลาฝึกพระกรรมฐานฉันก็ฝึกเขา นำเขาสมาทานกันแล้วฉันก็ไม่เอาละ ฉันไม่ห่วงใคร เวลาฉันไม่สบาย ฉันไม่ห่วงใคร ฉันห่วงตัวฉันคนเดียว ฉันคิดว่าดีแล้วมันอยากไม่สบาย วันนี้ลองซ้อมใหญ่ดูสักที ปล่อยจิตตามสบายให้มันว่าง จิตมันก็ว่างโปร่ง จับอารมณ์สมาธิได้ชัดเจน จับอานาปานุสสติ มีอารมณ์ผ่องใส มีความสุขเป็นเอกัคตารมณ์ แล้วก็เป็นอุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์เดียวนะ ไม่ข้องแวะกับอารมณ์อื่น อุเบกขาวางเฉยอารมณ์ต่าง ๆ เสียหมด สบาย ความสบายมันเกิดขึ้นก็ปรากฏกสิณกลับโผล่ขึ้น ทีแรกเป็นโอทาตกสิณก่อน สีขาวปรากฏ ก็เลยนึกครึ้ม ๆ ใจว่า เออ ลองจับกสิณเล่นโก้ ๆ เพราะไม่ได้เล่นมานาน ๒๐ ปีกว่าแล้ว เอาจริงเอาจังไม่ได้ กสิณนี่นะ จะว่าไปก็ประมาณ ๓๐ ปีเศษ ๆ เอาจริงไม่ได้เพราะท่านห้าม พอจับโอทาตกสิณ อารมณ์ช่ำมันก็เกิดขึ้น ความมั่นคงปรากฏ แล้วเกิดอาการเห็นความไหวของอากาศ ก็เลยจับวาโยกสิณลองเล่นโก้ ๆ ไม่ได้เอาจริง พอจับวาโยกสิณ มันเข้าถึงฌาน ๔ ความระยำของจิตมันปรากฏ คิดว่านี่ลอยเล่นในกุฎิจะดีไหม พอคิดว่าเท่านั้นตูดมันขยับพ้นจากธรรมาสน์ที่นั่ง มันพ้นขึ้นมาสัก ๒ ศอกเท่านั้นแหละ เสียงสมเด็จองค์ปฐมตวาดลงมาเลย บอกว่า เฮ้ย นั่นมันเป็นภาวะของพระอภิญญาเขานา ไม่ใช่เรื่องของพระวิชชา ๓ จะยุ่ง เลิก ฉันสั่งแล้วนา ฉันสั่งว่าแกจะทำอะไรไม่ได้ในเรื่องของอภิญญา ต้องเลิก แหมตกใจ ตูดกระแทกปังลงมาบนธรรมาสน์ มีใครสังเกตบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นอันว่างอก่องอขิงไป ตกใจสมเด็จดุ สมเด็จท่านดุนี่ตกใจมากนะ เพราะว่าเป็นการมีความผิดอย่างถนัด ก็เลยกราบถวายนมัสการท่าน บอกว่าไม่ได้คิดจะทำอะไรหรอกขอรับ ตั้งใจจะลองซ้อมอารมณ์จิตดูเท่านั้น ท่านก็บอกว่าซ้อมก็ไม่ได้ การซ้อมทางอื่นมีถมไปทำไมจึงไม่ซ้อม จะมาซ้อมเรื่องฤทธิ์ ไม่ใช่เรื่องของเธอ ต่อแต่นี้ไปอย่า ทำไม่ได้นะ จำไว้ว่าคนจะติดฤทธิ์ ในเมื่อชาวเมืองติดฤทธิ์เสียแล้ว ต่อไปไม่มีใครไหว้พระ ถ้าพระองค์ไหนไม่มีฤทธิ์พระองค์นั้นก็จะไม่มีใครเคารพนับถือ ชาวบ้านก็จะไม่สนใจในบุญญาธิการใด ๆ จะมองแต่พระที่มีฤทธิ์ ดูพระแสดงฤทธิ์เท่านั้น พระศาสนาจะเสื่อม เลยต้องกราบขอขมาท่านเป็นวาระที่ ๒ แล้วจากนั้นก็เลยจับอารมณ์วิปัสสนา ไปนอนเขลงเล่นที่บ้านตามสบายใจ เรื่องนี้ผ่านไปนะลูกหลานที่รักนะ ความปลื้มใจของฉัน อดที่จะนึกถึงความดีของลูกหลาน ไปใช้อีลุ่ยฉุ่ยแฉกที่เป็นสาธารณประโยชน์น่ะอย่าบ่นเลยนะ บางทีลูกหลานมาที่วัดจะเห็นว่ามีอะไรเพิ่มขึ้น คือ ไอ้เครื่องต่อเสียง เพราะว่าคนที่นี่หูหนัก ถ้าเสียงมันรบกวนละก็บอกด้วยนะ ข้างล่างหมามันกัดกันเสียงมันก็เข้ามา ไม่ใช่ห้องบันทึกหรอก ฉันบันทึกในห้องนอน ในห้องบันทึกเข้าไม่ไหวแล้ว ท่านท้าวมหาชมภูท่านห้าม ท่านบอกว่าอากาศไม่ดี อากาศไม่พอ ห้ามบันทึกในห้องบันทึก ต้องบันทึกในห้องนอน เสียงมันจะรบกวนบ้างก็ช่างมันนะ เป็นเสียงหมา หมานี่ฉันเคยลงทุนเลี้ยงมามาก ซื้อข้าว ซื้อกับ ซื้อขนมให้กิน แล้วต่อมา ๒ ีปีนี่แหละ นนทา อนันตวงษ์ ก็รับภาระไป ซื้อปลายข้าง ซื้อกับ ซื้อขนมให้กิน นี่เป็นของเขา หมานี่จะว่ามันชั่วก็ไม่ได้นะ มันเป็นกำแพงป้องกันนรกเป็นด่านแรก ที่หลวงพ่อปานสั่งฉันนะ สมัยหลวงพ่อปานอยู่น่ะ ท่านตั้งเวรเลี้ยงหมา พระเลี้ยงหมามีอยู่ ๔ องค์ พระเลี้ยงแมวมีอยู่ ๒ องค์ พระดูคนไข้น่ะมีอยู่ ๖ องค์ หมายความว่าไปตรวจดูว่าคนไข้คนไหนเขาจะมีกินหรือไม่มีกิน เขาจะมีความลำบากหรือสบาย ต้องจัดให้ด้วย อำนาจเมตตาบารมีของหลวงพ่อปานท่านมาก แต่ต่อไปนี้มาเข้าเรื่องของหลวงพ่อปานกันดีกว่านะ
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานเรียนหมอ ๑

    วันนี้เอากันตรงไหนดีล่ะ เอาตอนหลวงพ่อปานเรียนหมอเอาไหม วันนี้หมอนิดแกจะได้ชอบใจนะ หมอนิดอยากเป็นหมอทางใจ ฟังเรื่องของหลวงพ่อปานไว้นะ บรรดาลูกหลานทั้งหลายก็เหมือนกัน ฟังเรื่องราวของพระแก่ท่านไว้ ลีลาของพระแก่น่ะมีความดีอยู่มาก เพราะว่าโดยมากท่านไม่ทิ้งแบบฉบับของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำมาอย่างไร ท่านทำไปตามนั้น เรื่องความเป็นหมอของพระจะหาว่าเลวทรามน่ะ ไม่จริงหรอก มันไม่จริง ถ้าเป็นหมอเพราะอำนาจเมตตาบารมีนี่ไม่ใช่ความเลวทราม มันเป็นความดี แต่ว่าเป็นหมออาชีพเรียกเงินทองเขามา ทำไม่เข้าท่าเหมือนกัน

    สมัยที่หลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อสุ่น เมื่อเข้าไปเป็นนาค หลวงพ่อปานชอบฤทธิ์ พูดอย่างนี้แล้วก็อยากจะนึกถึงหมอนิดนะ หมอนิดแกก็เป็นคนชอบฤทธิ์อย่างหลวงพ่อปานเหมือนกัน จะไปโทษหมอนิดแกก็ไม่ได้ ก็ต้องโทษฉันด้วย ฉันก็อีลุ่ยฉุยแฉกชอบเล่นทางนี้เหมือนกัน นี่เป็นคนประเภทเดียวกัน สมัยนั้นหลวงพ่อปานอย่าเผลอ คาถาอาคมไม่ได้ทีเดียว ถ้าเขียนไว้ว่ามีคุณสมบัติแบบไหน ฉันขโมยเอามาทำจนสำเร็จหมด แต่ก็ไม่เอาอยู่คาถาเดียว คือ คาถาทำผู้หญิงให้รัก อันนี้เห็นเข้าฉีกทิ้งเลย ฉีกเลย เพราะมันไม่จำเป็น ไม่มีความจำเป็น ถ้าเราเลวอย่างเดียวก็ไม่มีใครรัก ถ้าเราทำดีทำให้ถูกใจเขาเขาก็รัก นี่มันเป็นเรื่องธรรมดา จะต้องไปนั่งว่าคาถาให้มันเปลืองเวลาทำไม ไม่จำเป็น คาถาประเภทนี้เห็นของใครไม่ได้ พระอะไรถ้าไปเขียนคาถาเสน่ห์เล่ห์ลมอะไรไว้ที่ไหน ถ้าไปเจอะเข้าเป็นฉีกทิ้งเลย ไม่เกรงใจใคร เมื่อฉีกทิ้งไม่ฉีกเปล่า ด่าเจ้าของด้วยหาว่าเลวเกินไป นี่เป็นอย่างนี้แหล่ะ ฉันนี่น่ะความระยำมันไม่น้อย ตานี้มาว่ากันถึงหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านชอบฤทธิ์ หลวงพ่อสุ่นท่านก็รู้ใจเข้าไปทีแรกท่านก็ให้คาถาสะเดาะกุญแจ ท่านก็กล่าวถึงคุณสมบัติของขุนแผน ว่าขุนแผนน่ะเก่ง จะเข้าไปหาใครที่ไหนก็ตาม จะมีกลอนอยู่หรือมีกุญแจอยู่ ขุนแผนเข้าได้ คือว่า ไม่ต้องใช้สว่านเจาะ ใช้คาถาสะเดาะกุญแจ คาถาบทนี้เขาว่าไม่ยากหรอก ว่า นะ มะ พะ ธะ ๔ คำเท่านั้น แต่ก็ถอยหลังนะ ถอยหลังว่ายังไงฉันไม่รู้หรอก ถึงฉันรู้ก็ไม่บอก ถึงใครจำได้อยากจะเป็นขุนแผนบ้างก็เชิญซิ เอาไปว่าเอาไปทำกัน ไม่หวงไม่ห้าม ของดีไม่หวงไม่ห้าม แต่ว่าเวลาจะขโมยของเขาบางทีมันจะเป่าไม่ออกก็ได้นะ หลวงพ่อปานท่านสามารถทำได้ในระยะ ๑ เดือน แล้วก็ทำได้ดี ต่อมาวันหนึ่งหลวงพ่อสุ่นเรียกเข้าไปหาถามว่า ปานเอ๊ย เอ็งท่องขานนาค คือ ว่าคำบรรพชาได้หรือยัง หลวงพ่อปานบอกว่าได้แล้วขอรับ แล้วก็หนังสือสวดมนต์ล่ะลูกเอ๊ย ท่องได้หรือยัง หลวงพ่อปานก็บอกว่าได้ กี่บท ๆ ก็ว่าไป หลวงพ่อสุ่นก็กล่าวคำชมเชย บอก เออ ปานเอ๊ย เอ็งเข้ามาอยู่วัดได้เดือนเดียว เจ็ดตำนานจวนจะจบอยู่แล้วนะ ขานนาคก็ได้ เออ คาถาเป่ากุญแจที่พ่อให้นี่น่ะเอ็งทำได้หรือยัง หลวงพ่อปานก็บอกว่า ทำได้แล้วขอรับ ท่านก็หยิบกุญแจจีนเข้ามา แล้วก็กระทุ้งเสียจนแน่น บอก ลองเป่ากุญแจดอกนี้ซิออกไหม หลวงพ่อปานพอเอื้อมมือเข้าไปจับกุญแจ พอถูกกุญแจลั่นผัวะเลย นี่ท่านเก่งขนาดนี้นะ นี่เป็นวิธีฝึกสมาธิของพระแบบเก่า ในเมื่อหลวงพ่อปานชอบฤทธิ์ ท่านก็เลยไม่บอกว่าเป็นกรรมฐาน ท่านบอกว่าเป็นเรื่องของฤทธิ์ เป็นเรื่องของการสะเดาะกุญแจ หลวงพ่อปานทำได้ หลวงพ่อสุ่นหัวเราะชอบใจบอกว่า ปานเอ๊ย ถ้าเอ็งทำได้อย่างนี้นาลูกนา ต่อไปอะไรเล่าที่เอ็งต้องการพ่อให้หมดไม่เหลือ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด แต่ว่าเอ็งจงจำไว้ให้ดีนะลูกนะ การบวชเป็นพระต้องจำไว้คำหนึ่ง คำขอบรรพชาว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์จากพระอุปัชฌาย์เพื่อจะทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน การบวชพระน่ะมีความหมายอย่างเดียวนะลูกนะ มีความหมายเพียงทำให้แจ้งพระนิพพาน ถ้าหากว่าจะบวชเพื่อเป็นประเพณีแล้วก็อย่าบวชเลย ตกนรก เพราะพระนี่ตกนรกง่ายกว่าฆราวาส แล้วฆราวาสเขาตกก็เรียกว่ามีโทษไม่หนักเท่าพระ พระมีบุญมาก ฆราวาสทำบุญร้อยครั้ง พระทำบุญครั้งเดียวมีอานิสงส์มากกว่า ตานี้หากชาวบ้านทำบาป ๑๐๐ ครั้ง พระทำบาปครั้งเดียวก็บาปมากกว่าเหมือนกัน ทีนี้เวลาลงนรกชาวบ้านเขาก็ลงเบากว่า พระลงหนักกว่า พระทุกองค์ที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานะ ปานต้องจำไว้ เอ็งจะต้องบวชต่อไปตลอดชีวิตนะลูกปานนะ ไม่มีโอกาสได้สึก เอ็งนี่ะชาตินี้เป็นชาติที่สุด ตอนนี้หลวงพ่อปานท่านบอก ท่านไม่เข้าใจเหมือนกันว่าชาตินี้เป็นชาติที่สุดหมายความว่ายังไง ท่านเล่าให้ฟังนะ ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นท่านไม่รู้ หลวงพ่อสุ่นท่านก็พูดย้ำลงไปว่า การบำเพ็ญบารมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อไปก็มีการเกิดจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    หลวงพ่อปานท่านบอกว่า แม้หลวงพ่อสุ่นจะพูดอย่างนั้นท่านก็ยังไม่เข้าใจ แล้วท่านก็สอนต่อไปว่า การบวชเป็นพระ ไม่ว่าใครทั้งหมด หนึ่ง ถ้าปรารถนาความร่ำรวย สะสมทรัพย์สินที่บรรดาพุทธบริษัทมาถวาย แล้วก็เอาไปใช้ในทางที่ไม่เป็นพระ หมายความว่า เอาไปลงทุนค้าขาย เอาไปซื้อไร่เอาไปซื้อนา จะตั้งใจเอาเงินไปหมั้นสาว ๆ จะแต่งงาน อะไรก็ตามอันเป็นเรื่องของฆราวาส พระองค์นั้นแม้จะบวชอยู่สักกี่ร้อยปีก็ไม่เป็นพระ เพราะว่าการเป็นพระนี่มันเป็นที่ใจ การที่จะโกนหัวห่มผ้าเหลืองอธิษฐานว่าตนเป็นพระน่ะไม่ใช่ นั่นเป็นผีหลอกชาวบ้าน เรียกว่า เอาผ้าเหลืองมาห่มเปรตเข้าไว้ ในตอนต้นเป็นเปรตก่อน เพราะเปรตช่วยตัวเองไมได้ ต้องอาศัยโมทนาบุญจากคนอื่น นักบวชก็เหมือนกัน นักบวชที่เข้ามาแล้วก็บิณฑบาตข้าวจากชาวบ้าน ชาวบ้านถวายเงิน ชาวบ้านให้ผ้าผ่อนท่อนสไบ ชาวบ้านให้ที่อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ตนหามาได้โดยชอบธรรม เรียกว่าเป็นทรัพย์สินของชาวบ้านเขา พระก็มีสภาพเหมือนเปรต เห็นไหมลูกหลาน มีสภาพเหมือนเปรตน่ะ เปรตถ้าทำตัวไม่ดีเวลาตายก็ไปนรก นี่ถ้าอยู่อย่างเปรต เราบวชเข้ามาแล้วมีสภาพเหมือนเปรต คือ ต้องอาศัยชาวบ้าน ก็ต้องทำทรัพย์สินของชาวบ้านให้เป็นประโยชน์จริง ๆ ใช้ในฐานะที่เรียกว่าสมณวิสัยจริง ๆ คือ วิสัยของพระ วิสัยของพระนี่น่ะจะทำยังไง ก็เอาเงินของชาวบ้านมาใช้มากิน อะไรมันไม่มีก็ซื้อใช้สอยตามความสุขอย่างพระ ไม่ใช่ความสุขอย่างชาวบ้าน เรียกว่า ตามสมควร ไม่โอ่โถงนัก ถ้าเงินมันเหลือก็เอาเงินจำนวนนั้นไปก่อสร้างสาธารณประโยชน์ จะก่อสร้างวิหารการเปรียญก็ตาม หรือจะสงเคราะห์คนที่มีความทุกข์หิวโหยเข้ามาให้มีความสุขก็ตาม หรือว่าจะสร้างส่วนใดที่เป็นไปตามธรรมของพระพุทธเจ้าก็ตาม ทำให้หมดนะลูกปานนะ อย่าสะสมเงินให้เป็นกองใหญ่ ใจจะไม่ใช่พระ ถ้าลงใจไม่ใช่พระเสียแล้วละก็ ตอนนี้ลงนรก ๆ ที่จะไปก็คือ อเวจีมหานรก ใช่ไหม ลุงพุฒิแหงานหน้าขึ้นมา พนักหน้าบอกว่าใช่ เวลาพูดนี่ลุงพุฒิเขาคุมอยู่ข้าง ๆ นะ เขาคุมอยู่ พูดตอนนี้น่ะ เขาสะกิดข้างบอกให้พูด หลวงพ่อท่านก็รับรอง หลวงพ่อท่านก็มาอยู่ด้วยนะ ตอนนี้น่ะ ทั้งสองหลวงพ่อนั่นแหละ ทั้งหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อปาน ท่านยิ้ม พอบกว่าท่านมาอยู่ด้วยท่านยิ้ม หลวงพ่อสุ่นท่านบอกว่า เออ ดีแล้ว บอกว่าข้ามาอยู่ด้วยยังงี้ดีแล้ว ข้าเป็นพยาน นี่เอาพยานผีนะ เอ้า ลุงพุฒิอย่างนี้มันถูกไหม ถามจริง ๆ เถอะ พระที่ทำความชั่วอย่างนี้แกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน เขาว่ายังไงรู้ไหม เขาบอกว่ามีที่เก็บแห่งเดียว คือ อเวจีมหานรก แล้วประการที่ ๒ นอกจากทรัพย์สินแล้วก็อย่าบ้ายศ (เวลาใครเขาแต่งตั้งยศให้) เวลาใครเขาแต่งตั้งยศให้น่ะ ถ้ามีความดี เขาจะถวายยศก็รับเถอะ รับได้ แล้วก็จงอย่าเมายศที่เขาให้ไป เราอย่าติดใจในมัน อย่าถือว่าเป็นสำคัญ คำว่ายศก็ดี ลาภก็ดีนี่น่ะ เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากคำปฏิญาณว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา การทำให้แจ้งถึงพระนิพพานต้องตัดลาภ ต้องตัดยศนะ ถ้าไปคบลาภไปคบยศเข้าแล้วไปมัวเมาลาภไปมัวเมาในยศ ก็ชื่อว่าเราหาของมาถ่วงใหม่ คนที่จะถึงพระนิพพานได้ต้งอมีความเบาของจิต ต้องละกิเลส ๆ มันหนัก เกาะจิตมันหนัก ให้เข้าถึงพระนิพพานไม่ได้ ได้ลาภก็ดี ยศก็ดี มันเป็นเรื่องของกิเลส แต่ถ้าเราใช้มันถูกมันก็เป็นคุณ ถ้าเราใช้มันไม่ถูกมันก็เป็นโทษ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าดิ้นรนหายศหาลาภ คำว่าดิ้นรนน่ะหมายความว่าเขามาให้ด้วยความเลื่อมใสไม่เป็นไร แล้วก็ไม่เมาในยศในลาภ ถ้าดิ้นรน ไม่มีลาภอยากจะหาลาภ หาอาชีพเป็นเครื่องประกอบ เป็นหมอดู เป็นหมอยา เป็นนักเทศน์ เป็นนักก่อสร้าง หวังจะได้ผลกำไร หรือไม่มียศก็ดิ้นรนอยากจะให้เขาแต่งตั้งยศ เมื่อแต่งตั้งแล้วก็เมาในยศ อยากจะเลื่อนยศ พระประเภทนี้ว่าไงลุงพุฒิ อ๋อ ลงอเวจีหมดหรือ นี่ลุงพุฒิเขาเป็นพยาน เขาว่าลงอเวจีหมด เขาจดไว้ที่เดียวหมด ลูกหลานรู้จักลุงพุฒิไหมล่ะ รู้จักแล้วใช่ไหม รู้จักแล้วก็แล้วไป ไม่รู้จักก็ช่างปะไร จำชื่อแกไว้นะ แกอยู่ไม่นานหรอก พอสิ้นศาสนานี้แล้วแกก็เปิดแล้ว ไม่อยู่แล้ว แกไม่กลับมาเกิดอีก ลุงพุฒิแกเป็นคนบุญบารมีมาก มีเมตตาสูง สงเคราะห์คนและสัตว์อยู่เสมอ

    แล้วต่อไป การนินทาและสรรเสริญอีกเหมือนกัน ความสุข ความทุกข์ รวมความว่าพระต้องเป็นพระละ เอายังงี้แล้วกันนะ มองง่าย ๆ นะลูกหลานนะ พระจะรวยไม่ได้ เขาให้เงินมาแล้วเก็บไว้ได้ถ้ายังไม่ถึงโอกาสที่จะทำ แต่ขณะเมื่อได้เงินมาต้องใช้ในส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ หรือในสมณวิสัยจริง ๆ จะไปทำพินัยกรรมให้น้อง ทำพินัยกรรมให้พี่ ให้พ่อให้แม่ นี่ไม่ได้นะ นี่เป็นเงินที่ได้มาในระหว่างความเป็นพระนะ ถ้าเป็นมรดกตกทอด อันนี้เป็นส่วนที่ทำได้ไม่บาป ไม่เป็นไร หากถ้าเงินที่เขาถวายมาแล้วสะสมแบบนั้นมีหวังลงอเวจี นี่ลุงพุฒิแกว่ายังงั้นนะ ลูกหลานที่รักเคยเห็นไหม เคยเห็นพระไหม พระรวย ๆ มีไหม และมีเงินเป็นล้านมีไหม ถ้ามีแล้วอย่าเพิ่งตำหนิท่านนะ ไปถามท่านก่อนว่าเงินก้อนนี้ท่านจะเก็บไว้ทำไม หากท่านบอกว่าท่านคิดสร้างนั่นสร้างนี่ ยังงี้ใช้ได้นะ ไม่ใช่หรือ ยังงี้ใช้ได้ บางทีท่านสะสมไว้เพื่อทำความดี นี่ลูกหลานเคยเห็นพระที่มียศไหม ไปถามท่านซิว่ามียศน่ะดีตรงไหน ถ้าท่านว่าในฐานะที่พระราชาถวายยศให้ ท่านก็รับเพื่อสนองความตั้งใจของพระราชา และตัวท่านเองก็ไม่ตั้งตัวเต๊ะท่าในตำแหล่งที่ท่านมีอยู่ เว้นไว้แต่พระราชฐานที่พระราชาท่านนิมนต์ วางตนให้สมกับตำแหน่งที่พระราชท่านทรงแต่งตั้งถวายมา ในยามปกติท่านก็เป็นหลวงตาม หลวงพี่ หลวงน้า หลวงปู่ตามปกติ อย่างนี้ท่านไม่เลวนะ ท่านไม่ถูกจดตามบัญชีที่ลุงพุฒิว่า แต่ลุงพุติเขาว่ายังไง เขาว่าประเภทนี้มีไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นติดยศหมด ติดลาภหมด จริงไม่จริงก็เป็นเรื่องของหมอพุฒิเขานะ หมอพุฒิเขาเป็นหมอดูนี่ ฉันไม่ดูหรอก เป็นอันผ่านตรงนี้ไปก็แล้วกัน เพราะว่าเขาให้พูดตรงนี้ หลวงพ่อท่านก็ว่าให้ผ่านไป


    หลังจากนั้นมา ปรากฏว่ารุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลวงพ่อสุ่นกำลังรับแขกอยู่ แขกของหลวงพ่อสุ่นก็คือแขกคนไข้ คนไข้มาให้ท่านรักษาโรค เออ จะพูดถึงการรักษาโรคของหลวงพ่อสุ่นไว้ก่อนนะ เพราะว่าหลวงพ่อปานท่านก็เรียนมา ยาของท่านมีอยู่ ๒ ขนาน คือ ใบมะกากับข่า ๑ ขนาน ใบมะกากับหญ้าแพรก ๑ ขนาน บอกขนาดไว้ก็ได้ อีตอนนี้ฉันรู้ ท่านใช้ข่า ๔ ตำลึง แล้วก็ใบมะกา ๔ ตำลึง คำว่า ตำลึง ๆ เอาสมัยนั้นนะ เขาชั่งด้วยตาชั่ง ข่า ๔ ตำลึง ใบมะกา ๔ ตำลึง ใส่ลงไปในหม้อ เอาน้ำใส่ลงไป สวดอิติปิโสภควาไปทั้ง ๓ ห้อง แล้วก็ยาใบมะกากับหญ้าแพรกอีกขนานหนึ่ง สวดด้วยอิติปิโสเหมือนกัน เสกด้วยอิติปิโสเท่านั้น ไม่มาก ยาใบมะกากับข่าสำหรับไว้รักษาโรคคนผู้หญิงที่ไม่มีครรภ์ หรือว่าคนไข้จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตามที่ไม่ปวดศีรษะ ถ้าเขาไม่มีครรภ์ ไม่ปวดศีรษะ ก็ให้กินใบมะกากับข่า หรือถ้าคนไข้หญิงมีครรภ์หรือว่าปวดศีรษะ ให้กินยาใบมะกากับหญ้าแพรก ยามี ๒ ขนานเท่านั้น ถ้าหมอนิดอยากจะเป็นหมออย่างนี้บ้างก็ใช้ได้ ว่าอิติปิโสเสียให้คล่อง เวลาเขาเอายามาให้แล้วก็เอาธูปเทียนปักลงไป น้ำใส่ลงไป เวลาหลับตาลงไปให้เห็นภาพหม้อยา แล้วตั้งใจอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมและเทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงพ่อปานเป็นที่สุด อธิษฐานว่าขอให้ยานี้รักษาโรคนั้นให้หาย แล้วก็ว่าอิติปิโสตามชอบใจ เวลาไปก็ให้ใจนั้นมองเห็นหม้อยานั้นให้แจ่มใสนะ ถ้าใจเห็นหม้อยาไม่แจ่มใส โรคนั้นหายยาก ยาขนานนั้นไม่ค่อยศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใจเห็นหม้อยานั้นแจ่มใส ยาขนานนั้นศักดิ์สิทธิ์ ดีไม่ดีหม้อเดียวโรคหายเลย


    อีกอย่างหนึ่ง ท่านเป็นหมอน้ำมนต์ อีกอย่างหนึ่งท่านก็ใช้คาถาสับกระดาน คนไข้นั่งเรียงกันเป็นแถว เรียง ๒ เรียง ๓ ก็ได้ เหยียดขามาทางท่าน ใช้มีดหมอสับกระดาน โก๊ก ๆ ๆ ว่าคาถาไปด้วย คนไข้ก็ดิ้นกันตึงตัง ๆ ๆ อย่างนี้เรียกว่าคาถาเรียกลม นี่ก็อีกคาถา นะ มะ พะ ธะ ถอดกันไปถอดกันมาฉันว่าไม่ไหว ฉันย่องไปเปิดตำราของหลวงพ่อปานดูแล้วไม่เห็นมีอะไร วิธีตรวจโรคคนไข้ที่จะมารักษาโรคจากท่าน ท่านมีตำรา มีวิธีตรวจโรค คือ เสกหมากให้กิน หมากจะมีรสหวาน รสเปรี้ยว รสขม รสเฝื่อน รสยัน ร้อนหูร้อนหน้า ถ้ามีอาการอย่านี้ท่านจะรู้เลยว่าคนนี้เป็นโรคอะไร ถ้ากินไปแล้วหมากมีอาการปกติเป็นโรคธรรมดา ถ้าเป็นโรคธรรมดาท่านก็อยากจะรู้ว่าเป็นโรคอะไร เป็นโรคไทฟอยด์ เป็นมาเลเรีย หรือว่เป็นโรคพวกมดลูกหรืออะไรก็ตามนะ ท่านก็ใช้อำนาจอาโลกกสิณเข้าไปพิสูจน์ดูไข้ภายใน ท่านจะเป็นไข้ ท่านบอกว่าเห็นแจ่มใสแล้วก็ให้ยา รดน้ำมนต์ เรียกสับ เวลาเสกขาก็อธิษฐานขอให้ยานี้รักษาโรคนั้นโดยเฉพาะให้หายไปเดี๋ยวนี้ หมอนิดชอบใจไหมล่ะ ถ้าชอบใจก็จำเอาไว้นะ จุดธูปจุดเทียนขอจากท่าน ฉันไม่ได้เรีนยจากท่านหรอก ขี้เกียจ ฉันขี้เกียจเรียน ฉันไม่เอาหรอก แต่ว่าจำมาได้คร่าว ๆ เป็นขโมยดูตำราท่าน ฉันเป็นคนดีที่ไหนล่ะ นักขโมยนะมีฉันคนเดียวขโมยเปิดดู เป็นเรื่องของฉัน แล้วท่านเคยว่าต่อหน้าแขกมาก ๆ ว่า อ้ายลิงดำนี่มันขโมยก่งนัก อะไรเผลอไม่ได้ แล้วแถมคุยกับเขาเสียด้วยซิว่า มันไม่ได้ขโมยมาแต่ชาตินี้ชาติเดียวนะ หลายร้อยชาติแล้ว ฉันเผลอไม่ได้ เคยเป็นลูกฉันนะ เผลอมันเป็นขโมยเด็ด ประกาศต่อหน้าประชาชนเสียด้วย นี่ขโมยมีเกียรตินะ ขโมยมีศักดิ์ศรี แต่ผู้ถูกขโมยไม่ว่าอะรไ พอชาวบ้านเขาถามว่า ท่านลิงดานี่ขโมยแล้วหลวงพ่อว่าอะไรบ้างไหม ช่างมัน วิสัยมันชอบขโมย ก็ให้มันขโมยไป มนไม่เป็นเวรเป็นภัยแค่ใครนี่ ชอบลองอย่างเดียว ไม่เอาจริง ไม่ว่าอะไรถ้ามันลองได้แล้วเลิก มันทำเป็นผลตามที่มันคิด ตามที่เขียนไว้ ตามตำรา พอทำได้แล้วมันเลิก มันไม่เป็นเวรเป็นภัยกับใคร ก็เลยหมดเรื่องกันไป


    นีก็ว่ากันถึงวิชาหมอนะ ว่าให้ฟัง แล้วต่อมาหลังจากวันรุ่งขึ้นจากหลวงพ่อสุ่นเรียกหลวงพ่อปานไปถามเรื่องสะเดาะกุญแจ นี่เรามาทวนหลังกันใหม่นะ อีตอนนั้น วันนั้น แขกมาหา ปรากฏว่าน้ำในตุ่มไม่มี น้ำในตุ่มที่สำหรับทำน้ำมนต์น่ะไม่มีแล้ว หลวงพ่อสุ่นท่านก็เรียกหลวงพ่อปานเข้าไป กำลังเป็นนาค ว่า ปานเอ๊ย ปานมารดน้ำมนต์ให้คนไข้ทีเถอะ หลวงพ่อปานท่านเดินเข้าไปแล้วท่านก็กราบ พอกราบเรียนหลวงพ่อสุ่นว่าน้ำในตุ่มไม่มีขอรับ เมื่อกี้ผมไปดูแล้ว ประเดี๋ยวผมจะไปตักน้ำมาใส่ตุ่มก่อน ท่านก็ลุกขึ้นคว้าหาบคว้าถัง ๒ ลูกใส่คานจะไปหาบน้ำจากท่าน้ำ หลวงพ่อสุ่นท่านก็โบกมือพูดว่า ปานเอ๊ย ไม่ต้องตักหรอกลูกเอ๊ย น้ำพ่อตักมาแล้ว พ่อตักใส่ตุ่มเต็มแล้ว อีตอนนี้ชักยุ่ง ท่านว่าเข้าไปดูอยู่ตะกี้นี้ประเดี๋ยวเดียว เห็นแล้วว่าน้ำในตุ่มมันไม่มี พอแขกเขามาก็ย่องไปดูน้ำในตุ่มเห็นว่าไม่มี ก็เตรียมหาบเอาไว้ คิดว่าท่านสั่งจะได้ลงไปตักทันที เพราะรดน้ำมนต์นี่ ตอนหลวงพ่อปานเป็นนาค ดูจะเป็นภาระเป็นตำแหน่งจะต้องทำเป็นหมอรดน้ำมนต์ แลเห็นอยู่แล้วว่าน้ำไม่มี แล้วท่านว่าน้ำมี ก็เลยเดินไปดู ก็ปรากฏว่าน้ำเต็มตุ่ม ก็ชักแปลกใจมาก ๆ อีตอนนี้น้ำเต็มตุ่มแล้ว หลวงพ่อสุ่นบอกว่า พ่อตักไว้แล้ว ตักเมื่อกี้นี้เอง หลวงพ่อปานบอกว่า เราก็นั่งดูท่านอยู่ ไม่เห็นท่านไปไหน ท่านบอกว่าท่านตักน้ำไม่มี ท่านนั่งอยู่ตรงนั้น คุยอยู่กับแขก ฉันก็นั่งไม่ไกลนัก เวลาท่านบอกว่าตักน้ำไม่เห็นท่านลุกไปไหน ปรากฏว่าน้ำมี อันนี้แปลกใจ แล้ววันนั้นก็รดน้ำมนต์กันไปมีประมาณ ๕๐ คน น้ำในตุ่มยุบลงไปไม่ถึงคืบ ตุ่มลูกนั้นไม่โต เป็นตุ่มเล็ก ๆ หากจะรดกันจริง ๔ คนหมดตุ่ม กระถางเล้ก ๆ แต่ว่าวันนั้นแขกตั้ง ๕๐ คน ยุบลงไปไม่ถึงคืบ เป็นเรื่องอัศจรรย์ พอแขกไปหมดแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็เรียกหลวงพ่อปานเข้าไป บอกว่า ปานเอ๊ย เอ็งแปลกใจหรือลูก แปลกใจหรือว่าน้ำในตุ่มมันมาได้อย่างไร หลวงพ่อปานบอกว่า แปลกใจขอรับ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรปาน เรื่องนี้เป็นเรื่องของพระนะลูกนะ พระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ ถ้ามีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าจริง ๆ ทำอะไรก็ได้นะ อ้ายเรื่องน้ำนี่ไม่ต้องเดินไปตักก็ได้ ที่พ่อบอกว่าตักน่ะ พ่อเอาใจตัก เอาเข้านั่น นี่เรื่องมันยุ่งกันใหญ่ ท่านว่าเอาใจไปตักน้ำ ท่านว่าท่านไม่ได้เอาถังของท่านลงไปตักหรอก เป็นยังไงลูกหลานที่รัก แปลกใจไหม พระแก่เอาใจตักน้ำได้ แล้วท่านก็บอกว่า ปานอยากจะได้ไหมคาถาตักน้ำนี่ หลวงพ่อปานบอกว่าอยากได้ เรื่องอยากได้คาถาตักน้ำเป็นเรื่องไม่อัศจรรย์ แล้วปานอยากจะเรียนหมออย่างหลวงพ่อไหมล่ะ เรียนหมอนี่มันดีนาลูกนา เราได้มีโอกาสสงเคราะห์คน หมอของเรานี่เวลาจะยกครูต้องใช้เงิน ๖ บาท หัวหมู บายศรีซ้ายขวา แต่เวลาจะรักษาเขาจะเรียกเขาไม่ได้นะ อ้ายเงิน ๖ บาทนี่ พอปีหนึ่งเรายกครูครั้งเดียว เราหาของเราเองเราหาได้ ต้องรักษาด้วยอำนาจเมตตาจิตนะ เธอจะทำได้ไหมเล่า หลวงพ่อปานท่านบอกว่าท่านรักอยู่แล้ว บอกว่าทำได้ขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็หัวเรา ก็เลยบอกว่า พ่อรู้ว่าเจ้าต้องการละเจ้าทำได้ ปานเอ็งน่ะมีคนเดียวนะ พ่อบวชพระมาหลายร้อยองค์แล้ว วิชาความรู้ที่พ่อมีอยู่นี่พ่อไม่สามารถจะถ่ายทอดให้ใครได้หมด มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นที่พ่อคิดจะถ่ายทอดให้ได้ ตั้งแต่เอ็งเป็นเด็ก ๆ ที่พ่อเอ็งพามาหา พอมองเห็นหน้าแล้ว พ่อคิดว่าพอเอ็งบวชแล้วพ่อจะต้องเอาเอ็งมาอยู่ด้วย มีคนเดียวที่พอจะถ่ายทอดความรู้ความสามารถที่พ่อมีอยู่ได้ หลวงพ่อปานปลื้มใจ หลวงพ่อสุ่นก็ว่า เอายังงี้ก็แล้วกันนะลูกปานนะ ก่อนที่จะเรียนหมอ เราก็ขึ้นต้นทำใจกันเสียก่อน เพราะว่าหมอของเรานี่น่ะ เราใช้กำลังใจเป็นสำคัญ เราไม่ได้ใช้วัตถุ ว่าพวกพระนี่ไม่มีทรัพย์ไม่มีสิน ไม่มีเงินทองจะมาซื้อเครื่องมือเครื่องไม้เหมือนหมอหลวงเขา หมอหลวงเขามีเงินงบประมาณรัฐบาลให้ อ้ายเรานี่มันเงินชาวบ้าน ชาวบ้านก็เป็นคนจน เราจะไปกะเกณฑ์ว่าคนนั้นเอาเงินมาเท่านั้น คนนี้เอาเงินมาเท่านี้ แล้วก็ไม่มีใครสามารถหาเอามาให้ได้หรอก คือ เราต้องใช้ทางใจ พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนกำลังทางใจไว้ ถ้าเรามีกำลังทางใจเสียอย่างเดียวนะ อะไร ๆ เราทำได้หมด แล้วท่านก็ถามอีก ปานเอ๊ย เอ็งเห็นอ้ายพวกทำโบสถ์ไหม อีตอนที่หลวงพ่อปานเข้าไปเป็นนาคน่ะ ช่างกำลังทำโบสถ์ จวนจะเสร็จอยู่แล้ว หลวงพ่อปานพบเขาเหมือนกัน ท่านก็บอกว่าเห็น เอ็งรู้ไหมว่าพวกทำโบสถ์มันกินปลาที่ไหน เขากินปลาในสระขอรับ หลวงพ่อปานถามว่าเขากินปลาในสระไม่บาปหรือ ไม่บาปหรอก หลวงพ่อสุ่นท่านว่ายังงั้น บอกว่าไม่บาป ก็พ่อเอาใบไม้ทำปลาให้มันกิน ทีแรกมันซื้อหมูกิน พ่อสงสารมันเลยเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้มันกินกัน มันกินกันจนขี้เขียวเลย อ้ายปลาประเภทนี้มันเป็นปลาที่พ่อเสกให้มันเกิดขึ้น กินยังไงมันก็ไม่บาป รสชาติมันอร่อยเสียยิ่งกว่าปลาธรรมดาอีก เออเอ็งอยากได้ไหมคาถาบทนี้ หลวงพ่อปานก็บอกว่าอยากได้ ท่านเลยบอกว่า ไม่เป็นไร พ่อให้หมด พ่อบอกแล้วนี่ ไม่มีอะไรที่พ่อจะหวงลูก ไม่มีอะไรที่จะกีดกัน สิ่งไรที่พ่อมีอยู่พ่อให้หมด เอายังงี้ก็แล้วกัน ก่อนจะทำอย่างนั้นเราต้องเริ่มต้นวางพื้นฐานกันเสียก่อน หลวงพ่อปานก็ถามว่าวางพื้นฐานอย่างไร วางพื้นฐานด้วยกำลังใจซิ เราต้องสร้างกำลังใจกันเสียก่อน ถึงจะเป็นหมอได้ เสกใบไม้เป็นปลาก็ได้ ตักน้ำด้วยใจก็ได้ เอ็งเอาไหมล่ะ เอาเทียนหนักบาทมา ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก ดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕ กระทง พ่อจะให้เรียน เรียนวิชาหมอกัน


    นี่ลูกหลานลองคิดดูนะ นี่หลวงพ่อสุ่นสอนวิชากรรมฐานหลวงพ่อปานนะ แต่ว่าหลวงพ่อปานชอบหมอ ชอบมีฤทธิ์ ท่านเลยไม่บอกว่ากรรมฐาน บอกว่าเป็นคาถาหมอ คาถามีฤทธิ์ นี่เป็นความฉลาดของพระรุ่นเก่า เรียกว่าท่านปฏิบัติตามแนวพระพุทธเจ้าจริง ๆ สมัยพระพุทธเจ้าน่ะ ท่านไปพบใครเขาชอบอะไรเข้าท่านก้จะสอนวิชานั้นให้เขา แต่ความจริงเป็นกรรมฐาน อย่างพวกชฎิลบูชาไฟ ท่านเห็นเข้าท่นาบอกว่า การบูชาไฟน่ะเป็นการดี ๆ มาก ท่านไม่ตำหนิของเขาว่าเลวนะ ดี แต่นี่ยังเป็นไฟภายนอก ควรจะบูชาไฟภายใน แล้วท่านก็ยกกิเลสขึ้นมาเป็นไฟ ราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือโมหะ นี่ท่านไม่ได้ไปเที่ยวลบล้างใครเขา คนที่เขามีความคิดอะไรอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเราก็ไปชมความคิดของเขาว่าดี แล้วเราเอาสิ่งที่ดีกว่าแทรกเข้าไป อย่างนี้ฉันคิดว่ามันดีกว่าไปหักล้างความต้องการเดิมของเขา อย่างที่เขาคิดว่าการยกศาลพระภูมิเป็นของดีนี่แหละ ก็มีเพื่อนฉันหลายคนไปเที่ยวว่าเขาว่าไม่ควรจะไปยกศาลพระภูมิ ไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว นี่ฉันก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ฉันคิดว่าเจ้าเพื่อนของฉันมันฉลาดมากเกินไป แต่ความจริงถ้ามันจะบอกว่าพระภูมินี่เป็นเทวดา เขาเป็นเทวดา เขาสามารถมีอำนาจเหนือเรา เขาควบคุมเราได้ เขาลงโทษเราได้ แต่หากว่าเราอยากจะเป็นเทวดาบ้างก็ทำตนอย่างพระภูมิ คือ ปฏิบัติให้มีหิริและโอตตัปปะ คือ อายความชั่ว เกรงความชั่ว สร้างความดี ต่อไปเขาก็จะเป็นเทวดาอย่างพระภูมิบ้าง เราจะมีโอกาสเข้ามาควบคุมมนุษย์บ้าง อย่างนี้จะดีกว่า นี่ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้านะ การหักล้างไม่เป็นเรื่อง แต่ความจริงใครเขาจะบูชาพระภูมิ ใครเขาจะบูชาเจ้า ฉันไม่ตำหนิเขา ฉันว่าเขาทำดี ดีเพราะอะไร ดีเพราะเขายังรู้จักบูชา จิตใจของเขาก็ยังรู้จักนอบน้อม รู้จักมีความเคารพ คนประเภทนี้เป็นคนดีแล้วนี่ ถ้าเราจะให้เขาดียิ่งกว่านั้น เราก็เอาความดีอื่นแทรกเข้าไปซิ อย่าไปล้างความดีของเขา ถ้าล้างความดี ถ้าเขาเหลือแต่ความไม่ดี ทีนี้เราจะเอาของดีไปให้เขาได้ยังไง นี่เป็นความคิดโง่ ๆ ของพระแก่ ๆ อย่างฉันนะ ฉันเป็นคนแก่แล้วฉันก็โง่ หลวงพ่อสุ่นท่านมีความฉลาด เรียกได้ว่าลอกแบบฉบับของพระพุทธเจ้า ไม่หักล้างน้ำใจคน ในเมื่อหลวงพ่อปานชอบฤทธิ์ชอบเดช ท่านก็สอนกรรมฐานให้ แต่ท่านไม่บอกว่าเป็นกรรมฐาน บอกว่าเป็นพื้นฐานของความเป็นหมอ เป็นพื้นฐานของความเป็นผู้มีฤทธิ์ เอากะท่านซี ลองดูทีนี้


    พอถึงตอนกลางคืน หลวงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ท่านก็ให้สมาทานพระกรรมฐาน หลวงพ่อปานบอกว่า ท่านก็สอนกรรมฐาน ๔๐ นี่แหละครบถ้วน อันนี้ฉันจะไม่อธิบายนะ หนังสือคู่มือพระกรรมฐานมีอยู่แล้ว ไปดูกันตามนั้นแหละ ฉันเขียนตามแบบฉบับที่ท่านสอนฉันมา เพราะฉันเป็นลูกศิษย์ของท่าน ท่านก็สอนตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าไม่มีผิด ฉันรับรองว่าไม่ผิด ถ้าผิดแล้วก็ย่องไปดูบ้านลูกบ้านหลานไม่ได้ซิ บ้านเมืองมนุษย์นี่ฉันไม่ดูหรอก บ้านที่มันสวยน้อยนี่ฉันไม่ดู ฉันต้องดูบ้านสวยมาก ที่บอกว่าฉันปลื้มใจ ความประสงค์ของฉันเต็มบริบูรณ์ เกณฑ์อันใดก็ตามที่ฉันจะต้องทำ ฉันทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว คือ ภาระที่จะต้องแบกลูกแบกหลาน ฉันแบกแล้ว ทำลูกหลานของฉันให้มีความเลื่อมใส รู้จักเสียสละ ฉันทำได้แล้ว สถานที่ใดเป็นดินแดนของความสุขอันนั้นฉันทำแล้ว แนะนำแล้ว ชักจูงแล้ว แต่ว่าทำกันแบบลับ ๆ ทำแบบปกปิด เมื่อผลปรากฏฉันก็พูดให้ฟัง เพราะว่าหลวงพ่อปานท่านก็อย่างนั้นนี่ ท่านเป็นอาจารย์ฉันน่ะ เวลาพวกฉันทำอะไรท่านไม่บอกหรอก ท่านไม่บอกมันจะดีมันจะชั่วแบบไหน แต่ว่าพอปรากฏผลเข้าจริง ๆ ท่านก็ย่องขึ้นไปดูแล้วท่านก็อธิบายให้ฟัง พวกฉันก็ปลื้มใจ แล้วต่อมาฉันไปได้ ฉันไปดูขอฉันบ้าง เมื่อท่านบอกแล้วฉันก็ย่องไปดูของฉันบ้าง ก็จริงตามท่านว่า ลูกหลานก็เหมือนกัน ทำความดีกันแล้วนี่ ดีเยอะแล้วนะ ไม่ใช่ดีน้อย ดีมากแล้ว แต่ว่าดียังไม่หมด อย่าเพิ่งเลิกดีเสีย ดีมีเท่าไร มีกำลังเท่าไร เอามาให้หมด เราต้องเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ถ้าเราเป็นขั้นคหบดีเกิดบนสวรรค์ สวรรค์นี่ฉันเทียบเท่าคหบดีนะ ถ้าเป็นพรหมโลกฉันเทียบเท่าเศรษฐีธรรมดา ถ้าหากว่าถึงพระนิพพานจัดว่าเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ตำแหน่งมหาเศรษฐีใหญ่นี่น่ะต้องเอาให้ได้ เพราะที่นั่นมันสบายจริง ๆ ไม่ต้องนึกไม่ต้องคิด สิ่งที่เราต้องการปรากฏเอง สิ่งไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมจะพึงมีจะพึงใช้จะปรากฏทันทีโดยเราไม่ต้องคิด ขั้นพรหมขั้นสวรรค์ยังต้องคิด ยังต้องนึก ว่าสิ่งนั้นจงปรากฏ สิ่งนี้จงปรากฏ ยังต้องใช้กำลังใจหา แตนิพพานนี่ไม่ต้องหา เราจะนอนตรงนี้ เราคิดว่าเราจะนอนเท่านั้นแหละ ที่นอนมันมารองพอดี เราคิดว่าเราจะนั่ง ที่นั่งมันมารองรับพอดี นี่เป็นยังงี้นา สบายมาก แค่เทวดาแค่พรหมก็ไม่กล้วยแล้ว ถึงกล้วยก็เป็นกล้วยน้ำว้าสุก ไม่ใช่กล้วยน้ำว้าดิบ กินง่าย นึกจะไปไหนก็ไปได้ทันทีไม่ต้องใช้พาหนะ ต้องการปรารถนาอะไรก็สมหวัง นี่สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ลูกหลานของฉันทุกคนมีแล้ว ฉันสบายใจ ฉันจะตายอย่างนอนตาหลับ อ้าว นี่มาพูดอะไรกันอีกล่ะ นี่ฉันเผลอไปอีกแล้วซี


    เอาว่ากันต่อไป ในเมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปหาหลวงพ่อสุ่น ท่านก็สอนพระกรรมฐานในขั้นต้น ท่านสอนให้ละนิวรณ์ ๕ ประการ ดูตามแบบนะลูกนะ ลูกหลานที่รักดูตามแบบ กามฉันทะ ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสในเพศตรงกันข้ามหรือว่าของตัวเอง แล้วก็พยาบาท การจองล้างจองผลาญ การง่วงเหงาหาวนอน มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน นอกแบบนอกแผน สงสัยในผลของการปฏิบัติความดี สิ่งทั้งหลายนี้ท่านเรียกกันว่านิวรณ์ เป็นเครื่องกันความดี สิ่งเหล่านี้ต้องระงับ ต่อไปก็รักษาศีลให้บริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร ๔ นี่แหล่ะหลวงพ่อสุ่นสอนให้หลวงพ่อปานต้องทำอย่างนี้ เสร็จเรียบร้อยท่านบอกว่า ปานเอ๊ย ลูกปานเป็นคนดีมีความสามารถ ฟังให้ดีนะ ฟังให้ดี เพราะคนทุกคนถ้ายังมีกิเลส ต้องการการชม วาจาที่ชมเชย เวลาที่หลวงพ่อสุ่นท่านต้องการให้หลวงพ่อปานได้ดี ท่านชมทุกครั้ง ดูความฉลาดของพระโบราณ เคยมีบุญวาสนาบารมีมาก เอาอย่างนี้นะ ขั้นแรก กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก กระทบริมท้อง หายใจออกกระทบริมท้อง กระทบหน้าอก กระทบฝีปาก ลมกระทบ ๓ ฐาน กำหนดให้ได้นะ พร้อมกันนะ หายใจเข้าให้รู้กำหนดนึกถึงคำภาวนาว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ แล้วก็เพ่งรูปพระสักองค์หนึ่ง พระพุทธรูปองค์ไหนก็ได้ เพ่งรูปพระให้จำได้ นึกถึงรูปพระไปพร้อมกัน กับรู้ลมหายใจเข้าออกและภาวนา นี่เป็นการสอนกรรมฐานทีเดียว ๓ อย่าง คือว่า หนึ่ง อานาปานุสสติกรรมฐาน รู้กำหนดลมหายใจเข้าออก อันทรงได้ถึงฌาน ๔ แล้ว คำว่า พุทโธเป็นเครื่องโยงใจ เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน การเพ่งรูปพระเป็นกสิณ ท่านสอนทีเดียว ๓ อย่าง นักปราชญ์สมัยใหม่อย่าเพิ่งตำหนิท่านนะ ฟังผลของท่านไปก่อน เมื่อท่านสอนอย่างนั้นแล้ว หลวงพ่อปานก็มาทำตาม เวลาทำท่านเข้าไปในโบสถ์ เพราะพระในโบสถ์องค์ใหญ่ พระประธานเขาปั้นไว้ใหญ่ ชอบใจเห็นง่าย เห็นชัด ท่านไปนั่งทำในโบสถ์ ท่านบอกว่า ๗ วันเห็นชัด ๗ วันเท่านั้นแหละ พอวันแรกก็จับพระได้ไร ๆ พอวันที่ ๒ วันที่ ๓ จะบังคับให้สูงก็ได้ต่ำก็ได้ ใหญ่ก็ได้ ตามใจชอบ อันนี้เป็นกสิณสำคัญจริง ๆ เป็นตัวกสิณ ฝึกอยู่อย่างนั้นต่อไปอีก ๕ - ๖ วัน อารมณ์สบาย นึกถึงภาพพระเมื่อไรก็เห็นเมื่อนั้น จะเดินไปบิณฑบาต จะเดินไปกลางลานวัด จะกลับมาเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ นึกถึงภาพพระเมื่อไรก็เห็นเมื่อนั้น บังคับให้อยู่ข้างหน้าก็ได้ ให้อยู่ข้างหลังก็ได้ เห็นทางใจ คือว่าติดอยู่ในอารมณ์ พอสบายใจถึงวันที่ ๑๐ หลวงพ่อสุ่นก็เรียกเข้าไปหา เมื่อเข้าไปหาก็ถามว่า ปานเอ๊ย พื้นฐานกำลังใจที่พ่อให้ไว้ทำได้หรือยังลูก หลวงพ่อปานก็บอกว่าทำได้แล้วขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็ถามว่า เจ้าเห็นพระเป็นสีแก้วประกายพฤกษืแล้วใช่ไหม หลวงพ่อปานตกใจ บอกเอนี่มันเรื่องอารมณ์จิตของเราท่านรู้ได้ยังไง ก็นึกในใจ พอสงสัย ท่านก็ยิ้งบอกว่า ปานไม่ต้องสงสัย สิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำได้ พ่อต้องรู้ เพราะพ่อได้มาก่อน สิ่งที่ได้ก่อนพ่อต้องรู้ เจ้าทำทีหลัง ไม่ยังงั้นพ่อจะสอนเจ้าไม่ได้


    หลังจากนั้นไปท่านก็บอกว่า ปานนี่ถึงที่สุดแล้วนะ ต่อไปนี้เราจะเปลี่ยนกันใหม่ อันนี้ได้เต็มที่แล้ว ได้เต็มที่แต่ต้องรักษาอารมณ์ไว้นะ อย่าให้สูญไป ของที่ได้ไว้แล้อย่าให้สูญ ตอนนี้เรามาตั้งต้นกันใหม่ ตอนนี้ลูกปานจะเอาอะไรล่ะ ลูกจะเรียนอะไรต่อ จะเรียนพื้นฐานกำลงใจน่ะ จะเรียนอะไรต่อ เรื่องเสกยา เสกน้ำมนต์ยังไม่ต้องเรียน เราสร้างกำลังใจกันก่อน หลวงพ่อปานท่านก็เลยบอกว่าท่านคิดอยู่เสมอเรื่องน้ำในตุ่ม ท่านคิดอยู่เสมอว่าอยากจะตักน้ำด้วยใจ หลวงพ่อสุ่นก็รู้ใจ ท่านบอกว่าเธออยากได้วิชาตักน้ำด้วยใจใช่ไหม หลวงพ่อปานก็กราบเรียนท่านบอกว่า ใช่ขอรับ ท่านบอกว่าได้ปาน พ่อตั้งใจไว้แล้ว มาเรียนวิชาตักน้ำกัน เห็นไหม ลูกหลานที่รัก ท่านฉลาดในการสอน แทนที่จะบอกว่าเป็นกรรมฐาน ท่านก็มาบอกว่าเป็นวิชาตักน้ำเสียอีก ทีนี้ใคร ๆ ก็ไม่ได้ขยันตักน้ำนักนี่ ปั๊ดโธ่ มันเหนื่อยมันหนัก ถ้าเราเอาใจตักน้ำกันได้ละก็ เราก็เลิกวิธีอื่นละ ใช้เอาใจตักกันดีกว่า ท่านก็บอกว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ยากนะ อารมณ์เดิมที่ลูกทำมาแล้ว ที่พ่อสอนไปก่อน เราตั้งอารมณ์อย่างไหนเราก็ทำอย่างนั้น แต่ว่าวิชาที่เราจะทำวิชาตักน้ำ ก็เอาน้ำมาขันหนึ่งวางไว้ตรงหน้า ห่างออกไปสักศอกคืบ ลืมตามองดูน้ำแล้วก็หลับตานึกถึงภาพน้ำ ภาวนาว่า อาโปกสิณัง ว่าเท่านี้นะ แล้วก็ถ้าภาพน้ำมันหายไปละก็ ลืมตาดูใหม่ ใช้อารมณ์ตามเดิมนะ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แต่ไม่ต้องภาวนาว่าพุทโธ ไม่ต้องนึกถึงภาพพระ นึกถึงภาพน้ำแทน ใช้คำภาวนาว่า อาโปกสิณัง แทนนะ หลวงพ่อปานก็รับคำ แล้วบอกว่าเจ้าไปทำในโบสถ์หรือในป่าช้าก็ได้ หลวงพ่อปานก็ไปทำ ลูกหลานที่รัก ขึ้นชื่อว่าอารมณ์ของสมาธิ ถ้าได้เสียแล้วมันก็เหมือนกันหมด เหมือนกับเราอ่านหนังสือออกแล้ว เราจะไปอ่านหนังสือเรื่องอะไรมันก็อ่านได้ มันก็ยากอยู่ตอนแรกเท่านั้น ท่านบอกว่าท่านไปทำอยู่ ๒ - ๓ วัน ภาพน้ำปรากฏเป็นสีแก้วประกายพฤกษ์ ก็ปรากฏว่าเป็นกสิณเต็มที่ สำหรับวันนี้ก็ของดเพียงเท่านี้ก็แล้วกันนะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ผู้รับฟัง สวัสดี
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานเรียนหมอ ๒

    ลูกหลานที่รักทั้งหลาย วันนี้ลูกหลานคงจะแปลกใจ เพราะว่ามีการบวงสรวง มีทั้งการชุมนุมเทวดา แล้วมีการตั้งนะโม แต่ความจริงเรื่องของการบวงสรวง การชุมนุมเทวดา การตั้งนะโมนี่ ของฉันมีเป็นปกติ แต่บางขณะที่ต้องการจะทำอะไร ฉันอาจจะตั้งของฉันในใจเอาจิตน้อมถึงบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย และมีพระพรหมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเป็นสำคัญ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของฉันนะ แล้วลูกหลานทั้งหลายจะมีความแปลกใจ เพราะวันนี้มีการแถมตั้งนะโมให้ได้ยิน เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อวานนี้เมื่อฉันบันทึกเสียงเสร็จ ฉันก็ไปนอนใคร่ครวญตัวเองว่า ก่อนที่ฉันจะพูดเรื่องของหลวงพ่อปานนี่น่ะ ฉันก็มักจะเอาอะไรต่ออะไรมาเล่าตอนหน้าเสียก่อนเป็นการเปลืองเวลา มาวันนี้วันที่ ๒๐ ตั้งใจจะไม่มีอารัมภบท หมายความว่าจะไม่มีเรื่องพาดหน้าเรื่อง แต่มันก็ต้องมี ต้องมีเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อคืนวัน ๑๙ ฉันนั่งพระกรรมฐาน วันนี้นึกจะซ้อมอารมณ์เดิม คิดว่าจะไม่เหาะละ จะไม่ทำอะไร ก็คว้ากสิณกองใดกองหนึ่งเข้ามาใช้ วันนี้สมาธิใช้ได้เลย จมไม่ลง ไอ้ที่จมไม่ลงไม่ใช่ว่าอารมณ์ของฉันเสีย เป็นอำนาจพระพุทธานุภาพที่ไม่ทรงอนุมัติ เรื่องของพระพุทธานุภาพนี่น่ะไม่มีอะไรจะไปขัดขวางท่านได้ พอทำอยู่ตั้ง ๒ - ๓ นาทีก็ปรากฏเสียงบอกว่า ฉันสั่งให้คุณระงับ คุณก็จงอย่าลอง ไม่ต้องซ้อม กรรมฐานกองอื่นมีถมเถไป ๓๐ กองทำไมจึงไม่ซ้อม ทำไมจึงต้องมาซ้อมกสิณ ไม่จำเป็นสำหรับคุณ คุณน่ะไม่มีโอกาสที่จะพ้นคนเข้าไปอยู่ในป่าแล้วไปตายคนเดียวได้หรอก มันจะต้องตายอยู่กับคน ถ้าหากว่าคุณไปใช้กสิณเข้า ความเบื่อหน่ายของคุณมีอยู่มากแล้ว ดีไม่ดีคุณก็จะหนีเจ้าหนี้เข้าป่า จะเกิดประโยชน์อะไร ทำไปชำระหนี้เขาไป แล้วเราสร้างความดีชำระหนี้ให้หมด สิ่งใดควรจะเป็นกำรี้กำไรคือเป็นดอกเบี้ย ก็หาให้เจ้าหนี้เขา จะได้เป็นการชดเชยกับที่เราเอาของเขามาใช้ เราใช้เขามาก่อน เอาของเขามาใช้ก่อน เวลานี้เขาจึงใช้เราบ้าง เราก็ปล่อยเขาสิ ถ้าสิ่งใดที่มันไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยเราก็ทำไป ถ้าสิ่งใดที่มันขัดต่อพระธรรมวินัยเราจงอย่าทำ ในเมื่อเราไม่ทำใครจะเป็นเจ้าหัวใจของเรา ฟังแล้วก็สะดุ้ง พอฟังแล้วก็เลยต้องขอขมาท่าน ก็กราบเรียนท่านแต่เพียงบอกว่า ที่จะทำน่ะไม่ใช่อะไร คือ กสิณเป็นกำลังสมาธิใหญ่ สร้างความสุขใจมาก อยากจะทรงพละในฝ่ายกสิณไว้เพื่อเป็นการรักษากำลังใจ ท่านก็บอกว่าไม่ได้ เมื่อแกทำกสิณเข้า แกก็ทำจบฌาน ๔ แล้ว ดีไม่ดีแกก็จะเปิดอีก นี่เมื่อวานนี้ถ้าฉันไม่ท้วงไว้นะ ดีไม่ดีแกก็ไปเชียงตุงเชียงรายแล้ว ไปหาเจ้าเพื่อน ๒ คน นี่ท่านดักคอรู้มา แต่ความจริงถ้าหากว่าทำได้ก็น่ากลัวเหมือนกัน เวลานี้มันไม่ได้ทำเพราะเกรงใจท่าน เอาเรื่องนี้พับไป


    เมื่อท่านระงับแล้วฉันก็เลยจับอารมณ์วิปัสสนาญาณ ชำระใจพอสบาย เมื่อใจพอสบายแล้วฉันก็ไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ขณะที่เคลื่อนขึ้นไปปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อปานแล้วก็พระหลายท่านสวนลงมา เมื่อท่านสวนลงมาท่านก็เลยบอกว่า เธอจะไปไหนก็ไป พวกที่นั่งพระกรรมฐานนี่ฉันคุมเอง ก็ดีใจยกมือนมัสการท่านแล้วก็ไป แต่พอไปได้ครึ่งทางก็นึกห่วงพวกกรุงเทพฯ ขึ้นมา แล้วก็พวกพิจิตร ว่าเวลานี้น่ะเขาทำอะไรกันบ้าง เลยแถมาข้างบ้านเจ้ากรมเสริม เห็นในบ้านกำลังวุ่นวายไปหมด คุณอ๋อยเห็นเดินเข้าเดินออก เดินออกเดินเข้า เออ เลยคิดว่านี่เขากำลังมีงานกันหนัก ชาวบ้านเขามีความลำบากมาก อาศัยความเป็นอยู่เองก็หนัก แล้วเขาก็ต้องมาหนักบำรุงฉันด้วย แล้วฉันก็บอกบุญเขา หาเงินมาบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการเพิ่มความหนักอีกสองเท่า ในทุกบ้านเขาก็เหมือนกัน ไปดูบ้านคนอื่นก็เห็นว่ามีแต่ความวุ่นวาย แถไปทางสุพรรณ ไปราชบุรี ไปชัยนาท ไปพิจิตรก็เหมือนกัน ไปดูกุฏิพระสุรินทร์เห็นมันว่าง ๆ อยู่ หน้ากุฏิเห็นใครมาคุยอยู่ ๒ - ๓ คน นึกว่า เอ นี่เขายังคุยกัน แต่เอาเถอะ มันเป็นภาระที่เขาจะต้องทำแต่ละบุคคล ก็หมดกันไป


    ฉันย้อนกลับไป ย้อนขึ้นไปพระจุฬามณี วันนี้เข้าไปเฝ้า พบพระพุทธกัสสป ท่านประจำอยู่ที่นั่น มีพระอรหันต์เต็มไปหมด ฉันยกมือไหว้ตั้งแต่หน้าพระจุฬามณีขึ้นไป พอเข้าไปกราบ ๆ ท่าน ท่านก็ท้วงว่า คุณ เมื่อวานนี้คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหลานทั้งหลายที่เขาทำกันว่าแต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ วันพรุ่งนี้ คือ วันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ คุณต้องย้อนพูดใหม่นะ เวลาจะพูดอะไรละพูดให้มันครบซี ทำอะไรนี่ก็ทำให้มันพอดี ๆ อย่าให้มันขาดตกบกพร่อง คุณไม่ต้องไปเกรงใคร ในเมื่อเราพูดตามความเป็นจริง ก็กราบทูลถามว่า ข้าพระพุทธเจ้าพูดบกพร่องตรงไหนพระพุทธเจ้าข้า ท่านก็บอกว่า อีตอนที่คุณบอกว่าทุกคนเขามีวิมานน่ะ แต่คุณไม่ได้บอกนี่ว่าวิมานน่ะมันเป็นวิมานประเภทไหน คุณต้องบอกเขา วิมานบนสวรรค์มันมีอยู่หลายขนาด คือ ๑ วิมานเงิน ๒ วิมานทอง ๓ วิมานแก้ว แก้วอย่างเดียวนะ เป็นแก้ว ๆ แล้วก็ ๔ วิมานแก้ว ๓ ประการ ๕ วิมานแก้ว ๕ ประการ ๖ วิมานแก้ว ๗ ประการ แล้วก็ ๗ วิมานแก้ว ๙ ประการ นี่บุญญาธิการของเทวดาแต่ละคนย่อมไม่เสมอกัน วิมานไม่เท่ากัน มีวิมานเหมือนกัน แต่ทว่าความสดสวยของวิมานไม่เหมือนกัน แล้วคุณทำไมไม่บอกเขาล่ะว่า ทุกคนน่ะที่เป็นลูกหลานของคุณ ที่เป็นบริษัทของคุณน่ะ เขามีวิมานขนาดไหน ประเภทไหน คุณต้องบอกเขาซิ บอกเขาว่า ทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณน่ะเขามีวิมานขั้นแก้ว ๗ ประการด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาจะทำบุญมากก็ตาม แต่ว่าที่ทำไปด้วยศรัทธาแท้ไม่ใช่จำใจทำนะ คำว่าบริษัทของคุณน่ะ หมายความว่า ที่เขามีความเลื่อมใสในคุณจริง ๆ มีความเลื่อมใสในการที่คุณนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วเขามีความเลื่อมใสจริง ๆ อย่างนี้เราเรียกกันว่า บริษัท แต่หากว่าประเภทที่จำใจทำ เขายังไม่เรียกกันว่า บริษัท ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก แต่ว่าเขาให้มาเขาก็พอได้ ชนิดวิมานเงินวิมานทองก็พอมีอยู่ แต่ถ้าบริษัทแท้ ๆ ที่มีความมั่นใจในคุณจริง ๆ เขามีวิมานแก้ว ๙ ประการ ตานี้ก็มาว่ากันถึงความผ่องใสของวิมาน ความผ่องใสของวิมานย่อมแตกต่างกันด้วยอำนาจของบุญบารมีคือกำลังของใจ แต่ก็ควรจะบอกเขาว่าวิมานแต่ละวิมานก็มีความสวยสดความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมานน่ะกว้างขวางไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาดวิจิตรตระการตา นี่ก็เรียกว่าความงามของแต่ละวิมานน่ะพรรณนากันไม่ถูก นี่ความจริงมันเป็นยังงั้นนะ ความจริงเป็นยังงั้น ฉันไปเห็นมาแล้วก็เห็นตามนั้น แต่ฉันไม่ได้บอก


    นี่ลูกหลานฟังไว้นะ ที่ใครคิดว่าฉันดี ใครเขาเคยคิดว่าฉันเป็นผู้วิเศษ สมมติเอานะว่าเขาคิดอย่างนั้น ก็ต้องจำไว้ด้วยว่า ฉันเองน่ะฉันไม่ดีอะไรนะ แล้วฉันไม่มีอะไรจะวิเศษอีกด้วย ไอ้ความดีที่จะปรากฏขึ้นได้นี่เป็นความดีของครูบาอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระประมุข แล้วก็มีเทวดาหรือพรหมทั้งหลายเขาคอยกระตุ้นเตือนใจอยู่นี่ละ พูดมามันชักจะผิด ๆ หลายคำแล้วตั้งแต่เริ่มทำงานในปีนี้แหละ ปีก่อน ๆ ก็ไม่ค่อยจะมี ปีนี้รู้สึกว่ามันแก่มาก มันใกล้ตายมากจึงได้เอาหีบศพมาตั้งคอยไว้ คิดว่าจะซ้อมกสิณน่ะ มันมีฤทธิ์ก็จะเก็บฤทธิ์เข้าไว้ เมื่อเวลาจิตจะตายบันดาลร่างกายให้เข้าไปนอนในหีบศพ คิดไว้แค่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมาทรงยับยั้ง เมื่อท่ายับยั้งหลายวาระแล้วนี่ เรียกว่าหลายคราวแล้ว จะให้ท่านว่าทุกคราวก็ไม่ถูก ต่อไปนี้เห็นจะงดกัน ไม่เอาละอารมณ์อีลุ่ยฉุยแฉกแบบนี้ไม่เอา เลกกัน มันจะตายด้วยวิถีแบบไหนก็ปล่อยตามใจมัน มั้นอยากตายดีก็ให้มันตาย ตายชั่วก็ให้มันตาย จะตายแบบไหนก็ตาม ฉันไปนิพพานได้ก็แล้วกัน ช่างมัน ร่างกายจะเป็นยังไงช่างมัน เอาแบบช่างเถอะตามเดิมกันนะ แบบวิชาลูกเสือที่เขาเอามือโบก ๆ ปัดจมูก ไอ้สัญญาณอันนี้ฉันแปลว่าเหม็นขี้หมา เอามือโบก ๆ ข้างหน้า แต่เขาแปลว่า ช่างเถอะตามเดิม ทีนี้ฉันจะเอาแบบนั้น นี่หันมาพูดเรื่องวิมานกันใหม่ แล้วท่านก็บอกว่าวิมานขั้นเทวดาน่ะ บริษัทของเธอมีวิมานแก้ว ๗ ประการเหมือนกันหมด แต่ว่าวิมานใดที่ประกอบไปด้วยกระแสไฟบูชาพระรัตรตรัย หรือให้ไปเป็นประโยชน์สาธารณะ วิมานนั้นก็มีแสงสว่างมากกว่าวิมานอื่น ลุงเสริมนี่แกทำบุญเงียบ ๆ อึกอักแกก็คว้าสตางค์มาหมื่นห้าพันบาทให้ต่อไฟฟ้าเข้วัด นี่เรียกว่าเป็นเจตนาเงียบ ๆ ทำหมก ๆ ที่เรียกว่าไม่ประกาศ ไม่ประกาศกึกก้อง ไม่ชักชวนใคร ทำด้วยกำลังใจแท้ หวังให้ประโยชน์ความสุขแก่พระพุทธศาสนา หมายความว่าคนที่เดินผ่านวัดผ่านวาก็มีใจชุ่มชื่น เห็นแสงไฟก็มีใจสบาย เวลาดึก ๆ ดื่น ๆ น่ะฉันเคยเดิน สมัยโน้นเมื่อเป็นหนุ่ม ตี ๒ ตี ๓ ฉันเดินอยู่กลางทุ่ง เงียบสงัด มีแต่เสียงจักจั่นเรไรจิ้งหรีดมันร้อง รู้สึกวังเวงใจ เดินอยู่คนเดียว แต่พอมองเห็นแสงไฟบ้านใคร ไกลประมาณ ๔ - ๕ กิโลริบหรี่ ๆ อยู่ กำลังใจมันก็ชุ่มชื่น นี่ขั้นไฟเล็ก ๆ นะ นี่ท่านเจ้ากรมเสริมมาทำไฟใหญ่ไว้ให้ แล้วคุณสรรเสริญก็พลอยต่อท้าย แล้วก็มีครูนนทา อนันตวงษ์ พระครูปลัดผ่อง ตามเป็นแถว วิมานประเภทนี้มีคนพลอยโมทนาด้วยก็ดี ที่ทำก็ดี ย่อมมีความสดใส อันนี้เวลาลูกหลานทั้งหลายฟังแล้วจะหาว่าฉันลำเอียงนะ นี่ฉันพูดตามความเป็นจริง ใครอยากจะให้สดใสตามนั้นบ้าง ก็เอาไฟฟ้าเข้าวัดหรือสาธารณประโยชน์ หรือไม่มีที่จะเข้า จะมาช่วยกันเสียค่ากระแสไฟฟ้าก็ได้ เพราะถ้าไม่มีสตรางค์เสียค่าไฟฟ้า ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ มีหลอดอยู่แล้วแสงไฟมันก็ไม่ปรากฏ นี่เราก็ยังมีส่วนที่จะพึงได้บุญอยู่นะ ที่วัดฉันก็ได้นะ ที่วัดไหนก็ได้ ฉันไม่ได้จำกัดนะ การทำบุญไม่ใช่ว่าจะได้บุญแต่เฉพาะทำที่ฉันคนเดียว ลูกหลานทำบุญกับฉันน่ะ มันทำกับขโมยนะ เห็นไหมล่ะ


    นี่ เมื่อวานซืนนี้น่ะวันที่เท่าไหร่ ๑๗ ฉันขโมยเงินค่าอาหารไปพิมพ์หนังสือเสียบ้าง พิมพ์หนังสือร่ำรวยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ซื้อยาน่ะไม่เป็นไร ไปซื้อรถเข็นทรายเข็นกรวดเสียบ้าง เอาไปช่วยคนแก่คนไข้ไม่สบายเสียบ้าง นี่ฉันน่ะมันเป็นต้นขโมยเสียด้วย แล้วก็ขโมยมานาน แถมขโมยเงินของลูกของหลานเอาไปสร้างบ้านเรือน เออ อย่าว่าคนแก่เลยนะลูกหลานนะ ก็ทำมาหากินเองไม่ได้นี่ เมื่อทำกินเองไม่ได้มันก็ต้องขโมยแบบนี้แหละ แต่ขโมยอย่างนี้ไม่มีเวรมีภัยนะลูกหลานนะ ไม่เป็นไร เพราะห่วงลูกห่วงหลานเกรงว่าจะเป็นคนจน นี่ลูกหลานฉันคนไหนที่มีบุญบารมีถึงกามาวจรสวรรค์ จัดว่าตกอยู่ในฐานะคหบดีแล้ว ฉันดีใจ ดีใจที่พระใหญ่ท่านบอกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านว่าแล้วท่านก็พาไปชี้วิมานให้ดูว่า คุณเห็นไหม วิมานของเขาสวยสดงดงามขนาดนี้ แล้วก็ชี้วิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วธรรมดา วิมานแก้ว ๓ ประการ วิมานแก้ว ๕ ประการ นั้นมีความสวยสดงดงามไม่เท่ากัน มีความสง่าผ่าเผยไม่เท่ากัน ฉันปลื้มใจ ปลื้มใจที่ลูกหลานของฉันเป็นคนรวย


    แล้วต่อไปท่านก็พาไปชั้นพรหม ไปดูวิมานระดับพรหม นี่จะเป็นเล่นไปนะ ลูกหลานของฉันน่ะมีคุณสมบัติระดับพรหมก็ไม่น้อยนะ ไม่น้อยแล้ว ฉันไม่บอกล่ะว่าใครบ้าง บอกเดี๋ยวจะหาว่าลำเอียงหรือรักไม่เท่ากัน เพราะฉันรักเท่ากันหมดทุกคน คนไหนเป็นคนดีฉันรัก เพราะฉันรักความดี แต่ตัวฉันน่ะมันมีความดีน้อย ไม่รู้จะเหวี่ยงมันไปไว้ที่ไหน นี่เวลาจะทำอะไรก็ต้องบวงสรวง ต้องชุมนุมเทวดา ต้องตั้งนะโม เพราะอะไร เพราะอาศัยบารมีท่านทั้งหลายสงเคราะห์ ไม่ยังงั้นก็พูดไม่ได้ ดีไม่ดีแรงก็ไม่ดี นึกอะไรก็ไม่ออก ขอให้ท่านเข้าดลจิต นี่เวลานี้ท่านมายืนกันพรั่งพร้อม ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ หมอดูพุฒิมา วันนี้กางตำราแต้เชียว เ อาลูกน้องมาด้วย เอาคนคุมบัญชีมาด้วย จะเป็นบัญชีเงินกู้หรือบัญชีอะไรของแกก็ไม่ทราบ มันเป็นสมุดข่อย ลูกน้องของแกคนนี้แต่งตัวเหลือง ๆ เหมือนกัน แกยืนยิ้มอยู่ข้างหน้า พอฉันพูดตรงนี้แกก็เอามือชี้มาใกล้ลูกตาฉัน แกบอกว่าอย่าทำปากเสียนา เดี๋ยวจะจดเอาไปเก็บในนรกเสียบ้าง แน่ะ ไม่ใช่เล่น แล้วก็หัวเราะ กิ๊ก ๆ ๆ ๆ ชอบใจ พุงใหญ่นี่พ่อคุณ หัวเราะดัง ๆ เหอะ ให้มันสมกับพุงน่ะ หัวเราะงอไปเลย เอ้า แล้ว่าไป แล้วต่อไปก็อันดับสูงสุดชั้นพรหมนี่ฉันกล่าวว่า ฉันเปรียบเทียบว่าเป็นเศรษฐีแล้วนะ เลยคหบดี แล้วอันดับสูงสุดก็อยู่หลายวิมานด้วยกัน ท่านพาไปชมท่านก็ชี้จุด คนนั้นเป็นยังงั้น คนนี้เป็นยังงี้ คนนี้เป็นยังโง้น ชี้แต่วิมาน ชี้ถึงอุปนิสัยใจคอของแต่ละคน ชี้ถึงคุณสมบัติที่ปรากฏในใจ แล้วก็พากลับมาที่จุฬามณี อีตอนนี้ฉันก็สงสัยว่าบริษัทของฉันนี้ไม่ใช่พระอริยเจ้าหมดทุกคน บางคนอาจจะใช่ก็ได้ ใครจะไปรู้ บางคนอาจจะเป็นโสดาบัน สกิทาคา อนาคาก็ได้ ใครจะรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัตตัง แต่ก็ ฉันก็ไม่มีหน้าที่จะตั้งให้ใครเป็นอริยเจ้า


    ฉันคิดว่า สมมติว่าบริษัทของฉัน ลูกหลานของฉันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าหากว่าเขามีวิมานแล้ว ในอันดับกามาวจรสวรรค์ก็ดี อันดับพรหมก็ดี เลยไปก็ดี ที่เลยไปน่ะเมืองมหาเศรษฐี สมมติว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วการไม่ทำความชั่วไม่มมีความผิดน่ะมันไม่มี ความชั่วที่ท่านเรียกกันว่าบาป การผิดศีลมันย่อมปรากฏ อย่างนี้ย่อมจะมีกับคนทุกคน ตรงนี้ฉันห่วงมาก ห่วงมากเพราะเกรงว่าจะพลัดที่อยู่ จึงกราบลงไปแล้วทูลถามสมเด็จบรมครูว่า ภันเต ภควา ข้าแต่พระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า ลูกหลานของพระพุทธเจ้าเป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ตาม แต่คนทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าทุกคน แต่ใครจะเป็นบ้างนั้นข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ สมมติว่าถ้าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ ถ้าบังเอิญว่าเขามีจิตชั่ว เขามีวาจาชั่วในบางขณะ แล้วตอนกลางวันเขาชั่ว ตอนกลางคืนเขาชั่ว แล้วอย่างนี้เขาไม่ไปตกนรกก่อนหรือพระพุทธเจ้าข้า เมื่อกราบทูลถามท่าน ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ ตรัสว่า สัมพเกษี เวลานี้ท่านอยู่ด้วยนะ เมื่อกี้ตั้งนะโม ท่านมา สวยเหลือเกิน สวยมาก ทรงยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นปกติ ฉันเห็นแล้วฉันก็ชื่นใจ ฉันมีกำลังใจพูด ความจริงเวลานี้ฉันเพลียมาก ฉันนอนตื่นโมงเช้าพอดี นอนตื่นมาตี ๒ แล้วกว่าจะหลับไปก็ตี ๕ มาตื่นเอาโมงเช้าพอดี รู้สึกเพลีย แต่พอบวงสรวงเห็นเทวดามากันครบ ตั้งสัคเค เห็นพรหมและเทวดาชั้นสูงมากันครบ พอตั้งนะโม เห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉันเลยมีแรงเลย เวลาพูดนี่ไม่รู้สึกเหนื่อย ขอให้ท่านช่วย ตาพุฒิเขาแยกเขี้ยวอีก เขาบอกว่าช่วยซี ไม่ช่วยก็นอนแหงแก๋ไปแล้ว ลุกไม่ขึ้นละวันนี้ ไม่ต้องนึกละ ยังงี้ต้องถือว่าท่านช่วย แกเป็นคนจี้พุงฉัน เพราะเทวดาทุกองค์ พรหมทุกท่าน พระทุกท่าน ท่านเป็นแต่เพียงยิ้ม ๆ วันนี้หน้าที่ในการพูดน่ากลัวจะเป็นเรื่องของหมอพุฒิเขาละมัง เป็นเจ้ากี้เจ้าการเหลือเกิน ยืนใกล้เชียววันนี้ ยืนไม่ไกลหรอก แค่มือจิ้มพุงถึงก็แล้วกัน นี่แกจิ้มให้ดี ๆ นะ อย่าจิ้มข้าขี้แตกละ โมโหกันเชียวนะ เขาบอกว่าเขาไม่ทำ เอา ว่ากันต่อไป ท่านก็ตรัสบอกว่า สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้วมันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์เธอก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษีนะ แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ทั้งนี้ก็เพราะว่าอัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่องต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูกถ้าตามคติของฉัน คำว่าฉันในที่นี้ไม่ใช่ตัวฉันเองนะ พระใหญ่ท่านพูด พระใหญ่ท่านใช้คำแทนตัวท่านว่า ฉัน จำให้ดีนะ ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั่นดี และก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้น้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน สัมพเกษีเตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เมื่อเวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดีแล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามาวจรทันที


    พวกที่จะไปพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่า คนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เ อาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่ ทีนี้คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยากสัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเองเราก็ไม่เชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะสัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคน ได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ เป็นการสั่งสอนแบบง่าย ๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมท่านนะ ลูกหลานจงจำไว้ ถ้าใครเขาว่าฉันดี ใครเขาว่าฉันเป็นผู้วิเศษละก็ อย่าไปคล้อยตามเขานะ อย่าไปคล้อยตามเขา ตัวฉันไม่มีอะไรจริง ๆ นะ ฉันต้องพึ่งพระ พึ่งเทวดา พึ่งพรหม ทุกอย่าง ตอนนี้ลุงพุฒิแยกเขี้ยวอีก ว่าไงล่ะ แยกเขี้ยวว่าไงพ่อคุณ บอกจริง พูดจริง แล้วไม่จดลงนรกหรือไง ถ้าพูดแบบว่าตัวเองดีจริง ๆ ดีเสียคนเดียว เขาจะจดจำไว้ในอเวจี และให้นานเป็นพิเศษเพราะมีบุญบารมีมาก บุญมากที่ไปแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้าว่าตัวรู้จริง ลุงพุฒิวันนี้ขำ ๆ นะ นั่งยิ้มตลอดวันเลย อารมณ์ดี ว่างหรือไงพ่อคุณ อ้อ ตอนบ่ายมีงานเรอะ เขาบอกว่าตอนเช้าเขาว่าง ตอนบ่ายมีงาน เขาเลยมานั่งคุม ดีเหมือนกัน เออ ลุงเอ๋ย ไอ้ร่างกายนี่มันไม่ค่อยดีนะลุงนะ ให้ข้าตายสบาย ๆ หน่อยนะ เวลาจะตายอย่าให้มันอืดมันจุกมันเสียกมากนักนะ ลูกหลานเขาจะหนักใจ ยังไง ๆ ข้าก็ตายแล้ว มันก็จะต้องตายกันแล้ว ให้มันตายเรียบ ๆ สักหน่อยนะลูกหลานเขาจะได้ไม่ดิ้นไม่รน ถ้าเขาเห็นเป็นอะไรมากแล้วใจเขาจะไม่สบาย ว่าไง แกตอบมาว่าไงรู้ไหม บอกเสือกทำกรรมชั่วไว้มากทำไมล่ะ ฮึ ลองพ่อซิ บอกว่าเสือกทำกรรมชั่วไว้มากทำไม ร่างกายมันก็ถูกทรมาน เอาเป็นอันว่าเจ๊ากันนะ ช่วยได้ก็ช่วยนะ ช่วยไม่ได้ก็ตามใจ แต่พยายามช่วยก็แล้วกันนะ ไอ้เรามันพวกเดียวกัน


    เออ ลูกหลาน นี่เวลามันเสียไปมากอีกแล้วซีนี่ ฉันจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อปานนี่มันมากแล้ว เวลามันเข้าไปเยอะแล้ว เอาต่ออีกนิดนะ เรื่องนี้จบกันนะ ลูกหลานเข้าใจแล้วใช่ไหม ทำไว้นะ ทำตามที่พระท่านสั่งนะ ทำแบบสบาย ๆ อย่าลืมนะ เวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องไปนึกถึงอะไรนะ นึกถึงวิมานบนสวรรค์ นึกถึงวิมานบนพรหม นึกถึงพระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามใจ ไม่ว่าอะไรหรอก แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสถานที่อยู่ก็ดี จะเป็นเหตุมีทรัพย์สินมากหรือทิพยสมบัติมากก็ดี สิ่งที่เป็นตาทิพย์หูทิพย์ก็ดี ฉันเอาเงินของลูกของหลานมาสร้างไว้ครบแล้วนะ ที่ฉันว่าฉันฟูใจ ฉันดีใจฉันครบ เวลานี้ซื้อเครื่องฟังเสียง เครื่องส่งเสียงง่าย ๆ เข้ามาอีกเครื่องหนึ่ง ก็เป็นหนี้เขาเหมือนกัน บอกไว้ก่อนนะ ทีหลังถ้าใครเอาสตางค์มาให้ละก็จะขโมยไปใช้หนี้เขาแบบนี้อีกนะ ตานี้มีครบละ สบายละ แต่อุปกรณ์บางอย่างมันยังไม่ครบนัก ถ้าตึกหลังใหม่ที่จะสร้างหลังใหญ่ ถ้าสร้างขึ้นแล้วก็จะซื้ออุปกรณ์มาเสริมที่นั้น มันก็ต้องเพิ่มเงินไปอีก ไม่เป็นไร ไม่ต้องเดือดร้อนนะ เจ้าหนี้เขาไม่เร่ง ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันใช้เสียงตะโกนเรียกลูกน้องฉันไม่ไหว บางวันมันเหนื่อยเหลือเกิน เรียกเขาขนาดเต็ม ๆ เสียงนี่น่ะ เขาไม่ได้ยินเสียงกันหรอก หันหลังให้แล้วไม่มีใครได้ยิน ก็เลยต้องซื้อเครื่องช่วยเสียง เมื่อซื้อมาแล้วฉันก็คิดในใจว่า นี่ฉันซื้อมอบเป็นสมบัติของพระศาสนา บุญของลูกหลานจะได้เป็นบุญใหญ่ยังไงล่ะ ฉันตายแล้วจะแบกไปไหน ฉันแบกไปไม่ได้หรอก มอบให้เป็นของพระศาสนาไป แต่อุปกรณ์ต่าง ๆ นอกจากวิหารแล้วที่อยู่ ถ้าฉันตายแล้วนะ พิจารณากันดู ถ้าพระรุ่นหลังเขาจะปกครองได้ก็ให้เขาปกครองไป ถ้าเห็นว่าเขาปกครองไม่ได้ให้ประมูลขายให้หมด ทุกอย่างที่เป็นอุปกรณ์ที่ฉันสร้างขึ้นมา เว้นไว้แต่ตัวอาคาร ให้ประชุมกัน จัดการประชุมให้หมด เอาเงินอันนั้นแหละมาจัดการเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ จะจัดการเพื่อประโยชน์แก่ศพฉันก็ได้ หรือว่าจะสร้างอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันเป็นถาวรวัตถุไว้ในพระศาสนาก็ได้ ทำอย่างนี้นะ อย่าปล่อยตามใจพระสมัยนี้ ถ้าหากว่าเขาถามว่าเอาอะไรมาเป็นเหตุเป็นผลเป็นเครื่องยืนยัน ก็เอาเสียงของฉันบ้าง หรือว่าใครเขาลอกเสียงแล้วไปพิมพ์ก็ตาม มายืนยันกับเขา ว่าฉันพูดไว้เมื่อ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่นี้ เมื่อเวลาฉันตายแล้วให้ประมูลขายให้หมด ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าพระที่จะมาอยู่ใหม่นี้ใช้ไม่ได้ ค่ากระแสไฟฟ้าก็ไม่ไหวแล้ว นี่ดีว่าลูกหลานสงเคราะห์ฉันนะ นนทา อนันตวงษ์ เขาให้ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือน เงินของลูกหลาน แล้วก็ส่วนอื่นอีก อุปกรณ์ต่าง ๆ ซื้อเพิ่มเข้ามาทุกปีก็เอาเงินจำนวนค่ายาค่าอาหารนี่แหละมาใช้ นึกว่าพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันจะเหลือกินเหลือใช้สักนิดหนึ่งนะ นี่มันไม่ทันจะเหลือซิ ยังไม่ทันมีเลย ฉันแอบไปซื้ออีกแล้ว เครื่องหูสำคัญมาก ตาดีแล้วหูก็ต้องดีด้วย แล้วอีกประการหนึ่งมันก็ช่วยฉันเบาแรง ฉันคิดว่าถ้าฉันขืนเรียกบริษัทฉันแบบนี้ซึ่งเป็นบริวารภายใน ไม่ช้าฉันก็ขาดใจตาย ไม่ไหวจริง ๆ เขาพูดกันฉันได้ยิน แต่ฉันตะโกนเรียกเขาเขาไม่ได้ยิน แปลก เลยต้องใช้เครื่องมาช่วยแทน ลูกหลานฟันแล้วโมทนานะ ทุกจังหวัดแหละ เงินของใครบ้างฉันไม่รู้ ฉันเอามาแล้วฉันก็เอารวม ๆ กันไปซื้อแล้วก็ยังเป็นหนี้เขาอยู่ ช่างเถอะไม่ต้องเดือดร้อนให้กันมา ให้ตามกำลังศรัทธา เมื่อมีศรัทธาก็ให้ ไม่มีศรัทธาก็ยับยั้ง มีแล้วยังไม่มีศรัทธาก็ไม่ต้องให้ ฉันก็รวบรวมของฉันเอง พอเมื่อไรฉันก็ให้เขาเมื่อนั้น เอาสบาย ๆ กัน


    นี่เวลาก็จะหมดไป เรื่องของหลวงพ่อปานจะเข้าก็ยังไม่ได้เข้า มาเข้าสักหน่อยไหม มาเข้ากันสักนิด มาเอาเรื่องของเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้ได้รับหนังสือของวัดเขาชายธงวนาราม อำเภอตากฟ้า ท่านจดหมายมาหาลงตั้งแต่วันที่ ๖ มาถึงฉันวันที่ ๑๙ อ่านของท่านแล้ว ท่านตั้งใจให้ฉันเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้าคือไปนั่งปรก ท่านจะสร้างพระประธาน แล้วก็สร้างพระแบบสุโขทัยขนาด ๕ นิ้วกับ ๙ นิ้ว ไว้ให้ชาวบ้านบูชา ในฎีกาว่าให้สวดลักขีด้วย ให้ไปร่วมในงาน ฉันไปไม่ได้ ยังไม่ได้ตอบหนังสือเลย วันนี้จะตอบหนังสือ กว่าหนังสือจะถึงก็น่ากลัวงานจะเสร็จไปแว ไปรษณีย์ของเรานี่น่ากลัวจะช้ามากเกินไป แต่วัดเขาชายธงมาถึงวัดท่าซุงนี่ระยะทางก็ราว ๆ ๓๐ กม. เศษ ๆ เอ้า ๔๐ - ๕๐ กม. เป็นอย่างมาก นี่เดินทางตั้งแต่วันที่ ๖ ถึงวันที่ ๑๙ นี่หมดเวลาไป ๑๓ วัน เดินไกลมาก เดินด้วยเท้ายังถึงเร็วกว่า ที่ท่านนิมนต์ให้ไปนี่ ถ้าคิดว่าว่างก็คงไม่ไป เรื่องนิมนต์เวลานี้รับยาก ใครนิมนต์ยากไม่ค่อยจะรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนิมนต์ให้ไปเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า ถ้าบวชองค์ใหญ่เห็นจะเอาคือบวชพระประธาน บวชองค์ ๕ นิ้วกับ ๙ นิ้วนี่ไม่เห็นด้วย เพราะสร้างพระแบบนี้แล้วก็ขายกันสำหรับให้ไปบูชาน่ะ ไอ้บูชากับขายมันก็เหมือนกัน เช่า บูชา ขาย เหมือนกัน ขายกันก็ต้องตั้งราคาซิ ใช่ไหมล่ะ ไอ้ศัพท์นี่มันเหมือนกัน จะว่ามันยิ่งหย่อนกว่ากันนั้นไม่ได้ อย่างคำว่า เสวย ของพระราช แล้วก็รับประทาน ทาน กิน เจี๊ยะ ยัดห่า สวาปาม ก็เป็นอันว่ากินเข้าไปอิ่มท้องเหมือนกัน มันมีค่าเสมอกัน เป็นแต่เปลี่ยนศัพท์ให้แตกต่างไปเท่านั้น การสร้างพระขายแบบนี้ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่เคยขาย พระพุทธรูปเล็ก ๆ ฉันเคยสร้าง สร้างทีไรขาดทุนทุกที ฉันอยู่วัดบางนมโค สร้างพระพุทธชินราชขนาด ๑๐ นิ้ว ทองน่ะฉันหาของฉันเองนะ ช่างเขาเอาค่าแรงงาน ๒๕๐ บาท ฉันประกาศเท่านั้น มีชาวบ้านมารับเท่านั้น ฉันขาดทุนค่าทอง ค่าพาหนะ ไม่ขาย หากว่ามาถามว่าทำไมไม่เอากำไร หันหน้าไปดูลุงพุฒิแกซี แกบอกเอาซิเอาซิ อีขุมนี้จะได้จดลงไปชื่อหนึ่ง ฮึ กำลังหันหน้ามายิ้มแหยบอกว่า ว่าเอากำไรซี ทีนี้พูดถึว่าเอากำไร แต่ทว่าเขาเอาไปสร้างถาวรวัตถุ หมายความไปสร้างความดีเป็นศักดิ์ศรีของพระศาสนามันก็ดีไป แต่ทว่ากำไรเอาไปสร้างในทางที่ผิดก็แย่เหมือนกัน อันนี้ไม่ได้ประฌามท่านนะ แต่ว่าไม่เห็นด้วย แล้วอีกประการหนึ่ง ในฎีกาท่านบอกว่าขอให้ไปร่วมงานและสวดลักขี อ้ายเรื่องสวด ๆ นี่ฉันเห็นว่าเป็นประเพณีมากเกินไป สวดกันแต่อิติปิโสก็เหลือแหล่แล้ว ฉันไม่เอาด้วย ต่อไปฉันไม่เอาด้วย ฉันเหนื่อย เหนื่อยแล้วไม่ได้ประโยชน์แล้วจะเอามาทำไม ทำให้มันเหนื่อยทำไม ไม่เอา ยังไม่ได้ตอบจดหมายเขาไปเลย เมื่อวันก่อนมีคนเขามาตั้งให้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และพร้อมกันวันเดียวก็ตั้งให้เป็นพญายม เมื่อวานนี้มีคนมาตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า แล้วก็ส่งมาทางจดหมาย นี่ฉันมันก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ วาสนาบารมีมันไม่ใช่เล่นเชียวนะ มันสูงมากขนาดเป็นอุปัชฌาย์พระพุทธเจ้า นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดูพ่อทำกันเถอะ


    ต่อไปนี้มาว่ากันถึงเรื่องหลวงพ่อปานกันดีกว่า เรื่องอารัมภบทนี่ว่าจะไม่ให้มีมันก็อดไม่ได้ ตอนต้นเป็นพระพุทธบัญชานะ พระพุทธบัญชานี่ขัดไม่ได้ เพราะเป็นประโยชน์ หากไม่เป็นประโยชน์ท่านก็คงไม่บอกมา ตัวฉันเองมันเป็นคนบกพร่อง เป็นคนไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันเคยบอกแต่ต้นแล้วว่าฉันคนไม่เต็มบาทเต็มสลึง ถ้าคนเต็มบาทเต็มสลึงก็ไม่บกพร่อง ความดีของลูกหลานพูดไม่หยุด โดนพระดุเข้ามาต้องมานั่งพูดใหม่ ก็เป็นความดี ไม่โกรธท่านและไม่คิดอะไรกับท่าน รู้สึกว่าท่านมีพระคุณสูง เป็นพระคุณล้นเหลือที่ทรงตักเตือน เอา ว่ากันถึงหลวงพ่อปานต่อไป


    เมื่อวานเรื่องของหลวงพ่อปานมาจบเอาตอนกสิณน้ำ อาโปกสิณ ลูกหลานฟังให้ดีนะ ทีนี้เรื่องของกสิณจะเล่าอย่างลัด ๆ เพราะอะไร เพราะว่าสมาธิจิตนี่ถ้าเราทำได้ถึงฌาน ๔ เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นอีก ๓๙ กอง ไม่มีอะไรยากเลย มันเหมือนกัน เปลี่ยนนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างมากก็ ๒ - ๓ วันเข้าอันดับ ไม่มีอะไรยาก ถ้าชอบใจกองไหนทำกองนั้นให้มันทรงตัว แล้วก็ฝึกการทรงฌานไว้ให้ดี จะเป็นกสิณหรืออะไรก็ตาม มาพูดถึงเรื่องกสิณก็เหมือนกัน นักปฏิบัติใหม่ ๆ บางราย หลายรายละ พอพูดถึงกสิณก็ทำตาโต เล่นกสิณเชียวหรือ เป็นยังงั้นยังงี้ไป ดูท่าทางเป็นของอัศจรรย์ ความจริงมันไม่มีอะไรมากมายหรอกหนาลูกหลานนะ เหมือนกับกรรมฐานทุกกองมีคุณค่าเหมือนกัน คือ ทำจิตให้เป็นสมาธิเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายแบบ ก็เพราะอัธยาศัยของคน วาสนาบารมีของคนไม่เสมอกัน ก็บอกวิธีการไว้เท่านั้น ไม่ใช่อะไรจะวิเศษวิโสเกินกว่ากันหรอก เป็นการทรงสมาธิ แต่หากว่ารักจะทำอภิญญาเท่านั้นแหละจะต้องใช้กสิณเป็นพื้น แต่ว่าสมาธิก็ไปทรงอยู่ระดับฌาน ๔ เหมือนกัน ไม่มีอะไรมากเลย เวลาใครเขาพูดกันถึงเรื่องกสิณเป็นเรื่องอัศจรรย์ บอกเขาด้วยว่าเคยทำหรือเปล่า คนไม่เคยเห็นผีมันกลัวผีเกินพอดี แต่เห็นผีเสียแล้วไม่มีความรู้สึกอะไร นี่เป็นเรื่องของธรรมดานะ เอามาว่ากันไป เมื่อหลวงพ่อปานเพ่งน้ำเป็นแก้วประกายพฤกษ์ก็จัดเป็นฌาน ๔ บังคับให้เล็กได้ให้ใหญ่ได้ ให้สูงได้ต่ำได้ หลวงพ่อสุ่นท่านนั่งอยู่ในกุฏิของท่าน เวลามาทำท่านไม่ได้มานั่งคุยกันอยู่ตลอดวันหรอกนะ ท่านสอนแล้วท่านก็บอกให้ไปทำเอาเอง ลูกหลานที่รัก จำให้ดีนะ แบบฉบับตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เวลาท่านสอนแล้วไม่ใช่ท่านไปนั่งคุมกันทุกวี่ทุกวัน คอยจี้คอยไชไม่ใช่ยังงั้น ลูกศิษย์ลูกหาเขาได้รับคำสอนแล้วเขารีบไปทำตามคำสอน เว้นไว้แต่สงสัยตรงไหน ถ้าสงสัยตรงไหนเท่านั้นแหละเขาจึงจะมาถามใหม่เพื่อความแน่ใจ แล้วเกิดอาการขัดข้องอะไรมันเกิดขึ้นละก็มาถามใหม่ เพื่อความมั่นใจและเพื่อความโปร่งใจ จะได้ไม่ขัดข้องในอารมณ์ เมื่อหลวงพ่อปานท่านซ้อมจนดีแล้ว หลวงพ่อสุ่นอยู่ที่กุฏิรู้ ท่านรู้ว่าไปแอบไปทำที่ไหน ในเมื่อหลวงพ่อสุ่นท่านทราบ ท่านก็เรียกว่า ปานเอ๊ย มาหาพ่อหน่อยซิ หลวงพ่อปานก็ห่มจีวรเรียบร้อยพาดสังฆาฏิ ไปถึงแล้วกราบ นี่พระเก่าเขาทำกันอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้พระแบบใหม่ติดฝรั่งหมด เวลาครูบาอาจารย์เรียก ทำเป็นยืนทื่อเหมือนไม้ท่อน ความเคารพนบนอบก็ไม่ค่อยมี เต็มที ลุงพุฒิว่ายังไง จดลงนรกไป วันนี้เอาบัญชีมานี่ เลยคุยใหญ่ บอกแบบนี้เอาลงนรกไปเลย ถามว่าแล้วก็เขายังไม่ได้ว่าครูบาอาจารย์เขานี่ ยังไม่ได้ดูถูกดูหมิ่น ทำไมลงนรก ว่าไงนะ เสียจริยาพระ จริยาของพระเสีย ทำตนไม่เป็นพระตามสมควร เอาลงนรกเลยหรือ เอา แกบอกว่าเอา อย่างนี้เอา เอาหนักด้วย เพราะอะไร เพราะบวชแล้วทำตนเป็นพระหลอกลวงชาวบ้าน เอาเข้านั่นสิ ฟังเอาไว้ลูกหลานนะ นี่ลุงพุฒิแกนั่งอยู่ใกล้ฉัน วันนี้คุยกันถนัด นั่งกันอยู่ใกล้ ติดกันเลย ยิ้มตลอดวัน ใจดี น่ากลัวตอนบ่ายจะไปล่อใครเขาก็ไม่รู้ เยอะหรือ เท่าไรล่ะ เจ้ดถึงแปดร้อย โอ้โฮ นี่แกตัดสินความวันหนึ่งน่ะเจ็ดถึงแปดร้อยคนเชียวหรือ เขาว่าบางทีมากกว่านั้นก็มี เห็นไหมลูกหลาน นี่ผีคนตายน่ะ ไปคอยตาพุฒิอยู่ตั้งเจ้ดแปดร้อยคน ตอนบ่ายวันนี้ตาพุฒิจะไปตัดสิน จำไว้ เขาตายให้ตาพุฒิตัดสิน ลูกหลานตายอย่าให้ตาพุฒิตัดสินนะ อย่าผ่านสำนักแกนะ ว่าไง ไม่ต้องผ่านหรือ เออ ถ้ามันคิดยังงั้นไม่ต้องผ่านงั้นเหรอ เขารับรอง ๆ เขาบอกว่าคิดอย่างสมเด็จท่านสั่งไว้เมื่อกี้ ไม่ต้องผ่าน แล้วเขาก็ยิ้มชอบใจ เขาบอกว่า ลูกหลานของท่านมันก็ลูกหลานของผมเหมือนกัน ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน เขาว่ายังงั้น แกห่วงเหมือนกันนะที่แกขึ้นมานี่ ที่แกพูดอย่างนี้อย่างนั้นเพราะแกห่วงว่าลูกหลานทั้งหลายจะเผลอ จะย่องลงไปในนรก อย่าไปนะ ทำตามพระพุทธเจ้าท่านว่า


    ในเมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปกราบหลวงพ่อสุ่นแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็ถามว่า ปานเอ๊ย กสิณน้ำหรือว่าคาถาดูน้ำของลูกน่อได้ดีแล้วใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่า เห็นเป็นสีแก้วขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่านั่นมันถึงที่สุดแล้วนะลูกนะ แล้วก็หัดทรงเวลาหรือเปล่าล่ะ หัดตั้งเวลาทรงหรือเปล่า หลวงพ่อปานว่าหัดตั้ง หัดตั้งเวลา คือ เอาเทียนขี้ผึ้งมา เอาเงินเหรียญไปติดหรือสตางค์ไปติดไว้ที่ตรงไหนก็ตามที่เทียน แล้วก็จุดเทียน ทำกสิณทรงภาพทรงสมาธิ จับนิมิตนั้นให้ทรงอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเทียนนั้นไหม้มาถึงสตางที่ติดไว้ สตางค์มันก็หล่นลงขัน ก๊งหรือหล่นลงบนพื้นเก๊กหนึ่งก็แสดงว่าหมดเวลา นี่หลวงพ่อปานท่านทำจนใช้เวลาตั้ง ๔ - ๕ ชั่วโมง ท่านเก่งมากนา ไม่ใช่เก่งน้อย สามารถจะทรงนิมิตไว้ได้ถึง ๔ - ๕ ชั่วโมงได้อย่างสบาย ๆ หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า ลูกปาน พ่อรู้แล้ว เอ็งน่ะทรงสมาธิไว้ได้ ถ้ายังไม่ดีพ่อไม่เรียกมา เพราะเอ็งมันเป็นคนดีนี่ พ่อสอนอะไรทำได้ทุกอย่าง ลูกหลานฟังให้ดี วิธีนี้น่ะมันเป็นวิธีทำคนให้มีกำลังใจ แต่ก็เป็นความดีที่เขาทำได้ด้วย หลวงพ่อสุ่นมีวาทะสละสลวยเหลือเกิน หลวงพ่อปานบอกว่าหลวงพ่อสุ่นี่น่ะเสียงกังวาน ไพเราะ เสียงชัด ฟังชัดมาก เพราะมาก แล้วลีลาการพูดของท่านจับใจ ที่เขาร้อนเขากลัดกลุ้มจัดน่ะ เราก็เอากสิณน้ำนี่แหละเพ่งเข้าไป ให้มันเข้าไปอยู่ในร่างกาย ชโลมกายเขาไว้ เขาจะมีความเยือกเย็น นี่เราเป็นหมอ มันต้องมีวิชาอย่างนี้ช่วยคนไข้นะ ไม่ยังงั้นมันก็แย่ซี คนไข้มันถูกทรมานกันแย่ แล้วเวลาอากาศร้อย ๆ ถ้าเราอยู่ที่ไหน เราร้อนมาก ที่เราไม่มีพัดลมกับเขา สมัยนั้นไม่มีเครื่องปรับอากาศ ถึงมีคงไม่ได้ใช้เพราะไฟฟ้าไม่มี เราไม่มีพัดลมกะเขา เราก็ใช้กสิณน้ำนี่ช่วย บันดาลอากาศเฉพาะที่เราให้มันเย็น อย่าไปยุ่งกับชาวบ้านเขานา เขาจะหาว่าเธออวดอุตริมนุสธรรม ชาวบ้านน่ะย่อมไม่ค่อยจะมองในแง่ของความดี แม้แต่พระก็เหมือนกัน พระที่เขาไม่เอาดีน่ะ ถ้าพวกเรามีดีเขาก็มักจะกดขี่พวกเรา เขาจะหาว่าพวกเรานี้ทำผิดพระวินัย อวดชาวบ้าน เอาสิ่งที่ไม่จริงมาอวดชาวบ้าน ข้อนี้ลูกปานจงจำไว้ แล้วนอกจากนี้กสิณน้ำนี่น่ะ ถ้าที่ไหนไม่มีน้ำ เราต้องการให้มีน้ำก็ได้ ถ้าของอะไรมันแข็งเกินไป เราต้องการให้อ่อนก็อ่อนได้ อย่างเหล็กหรือหิน เหล็กมันแข็ง ท่านก็หยิบเหล็กขึ้นมาว่า เหล็กนี่มันแข็งใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่าใช่ นี่เราจะทำเหล็กนี่ให้อ่อนก็ได้ แล้วท่านก็ส่งเหล็กให้หลวงพ่อปาน เหล็กอ่อนเหมือนขี้ผึ้ง หลวงพ่อปานถามว่าทำยั้งไง ท่านก็บอกว่าไม่ยากหรอกลูก เวลาหยิบเหล้กขึ้นมาเราก็อธิษบานว่าขอเหล็กนี้จงอ่อน จะอ่อนขนาดไหนก็ได้ แล้วก็เอาจิตจับภาพนิมิตของกสิณ แล้วก็คลายมานะ แล้วก็อธิษบานอีกทีว่าเหล็กจงอ่อน แล้วเหล็กมันก็อ่อน จะเป็นหินเป็นดินก็เหมือนกัน แผ่นดินที่ไหนก็ตามที่มันไม่มีน้ำ เราต้องการให้มีน้ำก็ได้ หรือว่าอากาศมันแล้งต้องการให้ฝนมันตก จะตกตรงนี้ จะตกทั่วโลก จะตกเฉพาะที่ใด จะมากน้อยเท่าไร เราก็ทำได้ตามความประสงค์ นี่เป็นรื่องของอาโปกสิณ กสิณน้ำนะลูกนะ เราเป็นหมอมีความจำเป็น แต่สิ่งเหล่านี้ถ้านอกเหนือจากความเป็นหมอก็ช่างเถอะ ถ้าอากาศมันร้อนจัด ๆ คนไข้ไม่สบายอยู่แล้ว มีอาการร้อนกลุ้มมากหลาย ๆ คน เราก็ทำอากาศภายในวัดของเราให้เยือกเย็น ให้เย็นพอคนไข้สบาย เท่านี้เราก็ทำได้ เป็นการสงเคราะห์บุคคลให้มีความสุข ถ้าเราให้ความสุขแก่เขาได้ ความสุขมันก็เกิดแก่เรา นี่มันย่อมสนองกัน ถ้าเราด่าเขาเขาก็ด่าเรา เราไหว้เขาเขาก็ไหว้เรา ผลมันตอบสนองอย่างนี้นะลูกปานนะ ตอนนี้หลวงพ่อปานท่านบวชแล้วนะ .. ลืมบอกไป เวลาหลวงพ่อปานบวชน่ะ มีหลวงพ่อปั้นวัดพิกุลมาเป็นคู่สวด หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอเป็นอุปัชฌาย์ แล้วคู่สวดอีกคนไม่ทราบว่าเป็นใคร ไม่ได้ถามท่าน จะเป็นหลวงพ่อจ้อยวัดบ้านแพนหรือยังไงไม่ทราบ องค์นี้เก่งไม่น้อย ๒ องค์ที่ว่านี่เก่งขนาดหนักเหมือนกัน เรียกว่าหลวงพ่อสุ่นท่านคัดเอาพระแบบฉบับของท่านมาคู่กับท่าน ถ้าไม่ค่อยจะเหมือนกันท่านไม่ค่อยเอา หลวงพ่อปานก็เหมือนกัน พระนอกรีตนอกรอยนี่ท่านไม่ค่อยเอาด้วยเหมือนกัน ท่านผ่านไปผ่านมาเสีย ตอนนี้ท่านถามหลวงพ่อปานบอก ปานอยากจะดูฝนตกไหมลูก หลวงพ่อปานบอกว่าอยากดู อยากดูน้ำเกิดในแผ่นดินไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่าอยากดู ออกไปลานวัดด้วยกันก็พากันไปที่ป่านช้า พอพากันไปถึงป่าช้าแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็บอกตรงนี้มันแห้งนะ เดี๋ยวพ่อจะทำให้มีน้ำ พอท่านชี้ลงไปเท่านั้น ตรงนั้นปรากฏว่ามีน้ำท่วมขึ้นมาทันที แล้วหลวงพ่อสุ่นท่านบอก ประเดี๋ยวพ่อจะให้ฝนตกตรงนี้ วัดพื้นที่กว้าง ๒ วา ยาว ๒ วา ฝนจะตกเฉพาะตรงนั้น พอท่านบอกแล้วก็แหงนขึ้นไปบนอากาศแล้วก็ก้มหน้า เท่านี้ฝนตกเลย นี่เป็นเรื่องน้ำเรื่องฝนปรากฏ ความเยือกเย็นทำได้ ท่านก็เลยบอกให้หลวงพ่อปานทำบ้าง แล้วท่านบอกหลวงพ่อปานว่า ถ้าเอ็งจะให้ฝนตกอย่าให้เลยป่าช้าไปนะ ชาวบ้านเขากำลังทำไร่ไถนาเขาจะลำบาก เอาเฉพาะในเขตของเรา ลองทำซิ หลวงพ่อปานก็ตั้งท่าทำบ้า อธิษฐานว่าขอฝนจงตกภายในบริเวณป่าช้าให้เป็นเม็ดใหญ่ ตกประมาณ ๑ ชั่วโมง แล้วก็เข้าสมาธิ แล้วคลายสมาธิมาอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง เท่านี้ท่านบอกว่า ปรากฏว่าฝนตกขนาดหนัก เปียกหมดทั้งตัว ทั้งสบง จีวร สังฆาฏิไม่เหลือ ก็ต้องนั่งอยู่อย่างนั้นจนกว่าฝนจะหาย จนกว่าจะหมดเวลา เพราะเป็นการพิสูจน์กันนี่


    เมื่อฝนหายหมดแล้วปรากฏว่าหลวงพ่อปานเปียกทั้งตัว หลวงพ่อสุ่นไม่เปียก หลวงพ่อสุ่นไม่มีอะไรจะเปียก ตัวแห้งแกร่ง หลวงพ่อปานแปลกใจถามว่า หลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อทำไมจึงไม่เปียก ท่านบอกว่าก็คุณมันทำฝนตกได้ แต่ว่าคุณเองไม่สามารถจะป้องกันฝนไม่ให้เปียกตัวได้ วิชาอย่างนี้คุณอย่างไม่มี อย่างนี้เขาเรียกกันว่าวาโยกสิณ เวลาที่คุณทำให้ฝนตก ฉันก็บันดาลให้เกิดลมเฉพาะบริเวณร่างกายของฉันปัดน้ำฝนไปเสีย ไม่ให้มาถูกตัวฉัน เอาแค่ตัวฉันห่างไป ๒ ศอก อธิษฐานเท่านั้น เธอลองวัดดูซิ วัดดูว่ามันห่างตัวฉันไปเท่าใดดินมันแห้ง หลวงพ่อปานก็กะประมาณว่าประมาณ ๒ ศอก ท่านก็บอกว่า ปาน วาโยกสิณมีความสำคัญต่อคนไข้มาก ถ้าเราจะเป็นหมอ ตามธรรมดาคนไข้นี่น่ะ เมื่อเป็นไข้ไม่สบายแล้วเดินเหินไม่ค่อยถนัด เดินเหินไม่สะดวก บางทีต้องเข้าปีกประคองกัน เพราะความป่วยไข้ไม่สบาย มันเป็นทุกขเวทนาอย่างหนัก ถ้าหากว่าเราเป็นหมอ ถ้าเรารักษาคนไข้แบบนั้นเราก็ลำบาก เวลาจะลุกก็ต้องประคองลุก เวลาจะนั่งก็ต้องประคองนั่ง เวลาจะเดินต้องประคองเดิน เราก็เอาวาโยกสิณช่วย เวลาคนไข้เขาไม่มีกำลังเดินไม่ค่อยไหว เราก็ใช้วาโยกสิณเข้าช่วย วาโยกสิณนี้จะสามารถทำคนไข้ให้เดินได้คล่อง ลุกคล่อง นั่งคล่อง ทำอะไรคล่อง ๆ ได้ เรียกว่า เราต้องใช้กำลังทางใจของเราช่วย วาโยกสิณก็คืออำนาจทางใจหรือว่าฤทธิ์ทางใจนั่นเอง หลวงพ่อปานชอบใจ แล้วท่านบอกต่อไปว่าวาโยกสิณนี่ไม่ได้ใช้แต่คนไข้อย่างเดียวนะ เวลาฝนมันจะตกมา เราก็ให้ลมหอบฝนไปตกที่อื่นเสียก็ได้ นี่เราห้ามฝนได้ หรือว่าอะไรจะปรากฏขึ้น เราใช้ลมหอบไปทิ้งเสียก็ได้ และยิ่งไปกว่านั้นเราสามารถจะใช้วาโยกสิณบันดาลให้ร่างกายของเราเป็นร่างกายเบา แล้วร่างกายของเราจะลอยไป คือ เหาะไปลงตรงไหนก็ได้ ไปช้าก็ได้ จะไปเร็วก็ได้ หลวงพ่อปานท่านบอกว่านึกอยากได้ขึ้นมาทันที ยังงี้หมอนิดก็ชอบใจสินะ หมอนิดก็ชอบเหมือนกันนี่นา ความจริงฉันก็ชอบ ถ้าไม่ถูกห้ามเอาเสียนานแล้ว เพียงตั้งท่าทดลองจะซักซ้อมเท่านั้นถูกตวาด แต่หมอนิดนี่ยังไม่อยู่ในเกณฑ์นั้นนะ ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ถูกตวาด ยังมีสิทธิ์ทำได้ ว่าไงลุงพุฒิ อ๋อ ยังงั้นหรือ ท่านบอกว่าหมอนิดมันเพลินหมอ ให้มันเล่นหมอไปก่อนเถอะ ท่านว่ายังงั้นนะ ลุงพุฒิเขาว่ายังงั้น บอกให้มันเล่นวิชาหมอไปก่อน ค่อย ๆ ไปแล้วทีหลังมันจะดีเอง


    หลวงพ่อปานท่านเกิดความสนใจก็ขอเรียนกับหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่ามันเป็นของไม่ยาก กสิณน่ะถ้าเราได้เสียอย่างใดอย่างหนึ่ง อีก ๙ อย่างมันได้ไม่ยากเลย มันของเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเป่ากุญแจหลุด เก่งมาแล้ว แค่แตะกุญแจก็หลุด อันนี้สมาธิสูงมาก แล้วได้อนุสสติ แล้วได้ปีตกสิณ คือ กสิณสีเหลือง เป็นพระพุทธรูปองค์เหลือง ๆ ได้มาแล้ว เพราะนั่นเป็นการทรงฌาน ๔ เราได้ฌาน ๔ แล้ว เราจึงทำกสิณอย่างอื่นได้คล่อง ทีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอตั้งเวลารักษานิมิตได้เป็นชั่วโมง ๆ แบบนี้ กสิณอีก ๙ กองเป็นของไม่ยาก ฉันจะสอนให้ เอากันเดี๋ยวนี้เลย การขึ้นการบูชาก็ทำกันคราวเดียว ต่อไปเธอก็บูชาของเธอเองที่หน้าพระพุทธรูปก็แล้วกัน ท่านก็ชี้ให้ดูกิ่งไม้มันไหว ๆ อาการของกิ่งไม้ไหว ๆ อาการของกิ่งไม้ไหวเป็นอาการของลมพัด ให้จับภาพนั้น บอกให้ดูกิ่งไม้ไหว ๆ เป็นอาการของลมพัด จับภาพนั้นไว้ในใจให้ปรากฏแก่ใจจนกระทั่งเกิดนิมิตขึ้น นิมิตก็เป็นภาพประกายพฤกษ์ เห็นอาการไหวได้ทั่ว เห็นลมพัดไปได้ทั่วโลก เพียงเท่านี้ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านทำเท่านี้แหละ อาการอย่างนี้ทำแล้ว ๓ วัน หลับตาลงไปหรือลืมตาก็ดี เห็นกระแสลมพัดแบบสบาย เวลารวมกำลังจิตเป็นกระแสลมพัดอยู่ในอากาศ บางทีแม้แต่อารมณ์นี้ไม่ปรากฎแก่ตัวเลยก็ยังเห็นว่ามันไหวอยู่ ยังมีอาการของลมเคลื่อนอยู่ แต่คนเราขาดสติสัมปชัญญะ ยังมีสติสัปมชัญญะน้อย ยังไม่รู้ว่าอาการของลมเคลื่อนที่อยู่ในอากาศ ลมหายใจในร่างกายท่านบอกว่าเห็นชัด เห็นชัดมากคล้าย ๆ กับน้ำไหลขึ้นไหลลง ลมเข้าลมออกจากร่างกายมันไหลไปถึงไหนแล้ว ร่างกายมีลมพัดไปถึงไหน เห็นชัด การได้กสิณแบบนี้ แล้วก็การเพ่งดูภาพลมมันละเอียด มันก็กลายเป็นทิพยจักษุณาณไปด้วย แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวแท้ ท่านบอกว่าท่านทำได้ ๓ วัน หลวงพ่อสุ่นก็เรียกเข้าไป พอเรียกเข้าไปก็บอกว่า ปานเอ๊ย เอ็งมันได้แล้วนี่ลูก เห็นไหม มันของไม่ยากหรอกนา ลูกหลายที่รัก เป็นของไม่ยาก แต่ว่าถ้าเราจะไม่รักกันเท่านั้นเราจะทำไม่ได้ ต่อไปท่านก็สั่งให้ทำลมไปปรากฏ มันก็เป็นของไม่ยากอะไร จะทำให้มันพัดเท่าไรก็ได้ แล้วต่อไปท่านก็สั่งว่าทำตัวให้ลอย อธิญฐานให้ตัวลอยจากตรงนี้ไปลงตรงโน้น จากตรงไหนไปลงตรงไหน หลวงพ่อปานก็ทำได้ตามความประสงค์ ขนาดที่ท่านบอกว่าอยากจะมาเที่ยวบางกอก กรุงเทพฯนี่นะ นครหลวงอะไรล่ะ กรุงเทพธนบุรีนี่นะ กรุงเทพฯสมัยนั้นเขาเรียกว่า บางกอก บอกว่าวันหนึ่งฉันนั่งอยู่หน้าสะพาน สะพานท่าน้ำ นึกอยากจะมาเที่ยวบางกอก พอนึกในใจก็นึกถึงวาโยกสิณ ไอ้ร่างกายมันก็มาบื๋อ มาลงที่สนามหลวงพอดี ตั้งใจว่าจะลงที่สนามหลวงก็มาถึงบางกอกได้ เดินเที่ยวเสียพักหนึ่ง แล้วเวลาจะกลับก็ไปที่ลับ ๆ นึกถึงวาโยกสิณขึ้นมามันก็กลับมาถึงที่สะพานตามเดิม


    แต่ว่าการเที่ยวอย่างนั้นจะพ้นสายตาของหลวงพ่อสุ่นก็หาไม่ หลวงพ่อสุ่นท่านจำวัดอยู่ในกุฏิ ท่านรู้ พอกลับมาอาบน้ำขึ้นไปแล้วท่านถามว่า ปาน วันนี้ไปเที่ยวบางกอกมาเรอะ ไปซื้ออะไรมาบ้างล่ะลูก หลวงพ่อปานบอกไม่ได้ซื้ออะไรหรอก ท่านก็เลยสั่งว่าทำได้นะลูกนะ อย่าให้ชาวบ้านเขาเห็นนะ การแสดงฤทธิ์จงอย่าให้ชาวบ้านเขาเห็น ถ้าชาวบ้านเขาเห็นเป็นโทษตามที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม นับตั้งแต่นี้ต่อไปถ้ามีคนไข้มานะ ถ้าคนไข้เขาไม่แข็งแรงหรือคนไข้เขามีความเดือดร้อน จะให้ปานช่วย คุณปาน คุณจงซ้อมไว้นะ ในระหว่างที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็บอกว่า ถ้าคนไข้เขามีความหนาวก็ต้องเอาไฟช่วย วิธีจะใช้ไฟช่วยทางใจนี่เขาเรียกว่า เตโชกสิณ นี่มันเป็นวิชาหมอนะปานนะ แต่สิ่งที่มันได้เป็นกำไรนี่ก็เป็นส่วนอื่นต่างหาก เป็นผลกำไรนอกจากการใช้ทางหมอ ท่านฉลาด ท่านเห็นว่าหลวงพ่อปานชอบหมอ ท่านก็เลยยกเรื่องของหมอขึ้นเป็นบรรทัดฐาน ท่านบอกว่า ถ้าคนไข้เขามีความหนาว สั่นสะท้าน ผ้าห่มกี่ผืนมันก็ไม่พอ เราก็ต้องใช้ไฟช่วย ตอนนี้ท่านให้ผึกเตโชกสิณ เตโชกสิณนี่ก็นอกจากจะทำแสงสว่างให้ปรากฏ ที่ไหนเป็นที่มืดก็ทำให้ที่นั้นสว่างได้ ที่ไหนมันรก เราจะเผาที่ไหนแค่ไหนก็ได้ ใครเขามีความเย็น เราจะให้ร้อนก็ได้ ที่อยู่สบาย ๆ จะให้ดิ้นร้อนโครมครามก็ได้ นี่อำนาจไฟมีประการใด เตโชกสิณก็ทำได้อย่างนั้น จะให้ไฟลุกในอากาศ ไฟลุกในน้ำ ในที่ไหนก็ได้ทั้งหมด นี่เป็นเรื่องของไฟ แล้วหลวงพ่อปานก็ทำได้ เมื่อทำได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อสุ่นท่านก็บอกว่า ตามธรรมดาคนไข้มีร่างกายไม่แข็งแรง เมื่อร่างกายเขาไม่แข็งแรง เราเป็นหมอนี่ เราก็ต้องช่วยเขาให้แข็งแรงให้ได้ ตอนนี้เราก็ต้องเล่นปถวีกสิณ คือ ทำร่างกาย เพราะดินน่ะมันแข็ง เข้มแข็งขึ้นมา แล้วต้องการจะให้ว่องไวก็ใช้ลมช่วย ถ้าเขาร้อนเราต้องเอาน้ำช่วย ถ้าเขาเย็นเกินไป เขาหนาวเกินไป เราก็เอาไฟช่วย นี่หมอต้องทำอย่างนี้ให้ได้นะ ถ้าหมอมีความรูขนาดนี้ไม่ได้ละก็ มันเป็นหมอกันไม่ได้หรอก มันไม่ช่วยเขาได้จริง ๆ การรักษาโรคแบบเดา ๆ ปล่อยไปตามยถากรรมนี่มันใช้ไม่ได้


    แต่การรักษาโรคนี่ก็ได้อย่างเดียว ทำให้คลายทุกขเวทนา หรือทำให้ทุกขเวทนาสิ้นไป แตว่าเรานี่จะไปบังคับไม่ให้คนตายน่ะไม่ได้นา ตรงนี้ต้องจำไว้นะว่าคนตายบังคับไม่ได้ ถ้าเขาจะตายเราห้ามไม่ได้ หมอเป็นฝ่ายระงับทุกขเวทนาเท่านั้น นี่เป็นวาทะของท่าน แล้วหลวงพ่อปานก็เรียน เรียนปถวีกสิณ เรียนดิน แบบฉบับในการเรียนมีอยู่ในคู่มือพระกรรมฐานแล้ว พอทำดินได้แล้ว หลวงพ่อสุ่นก็สั่งให้ฝึกทำของอ่อนให้เป็นของแข็ง ดินนี้มีสภาพทำของอ่อนให้เป็นของแข็ง เอาน้ำใส่ขันมา ให้อธิษฐานน้ำในขันให้เป็นน้ำแข็ง เอานิ้วจิ้มลงไปมันก็แข็ง ตะปูตอกก็ไม่ลง ท่านก็สั่งว่า อย่างนี้นอกจากจะทำน้ำในตุ่มให้แข็งหรือว่าน้ำในขันให้แข็ง อธิษฐานให้คนไข้แข็งแรงก็ได้ นอกจากนั้นเรายังทำน้ำในแม่น้ำ ในมหาสมุทรให้แข็งก็ได้ แต่น้ำในแม่น้ำ ในมหาสมุทร ถ้าจะให้แข็งจงอย่าให้แข็งทั่วบริเวณ การสัญจรเขาจะลำบาก เป็นโทษ ถ้าเราไปไหนไม่มีเรือข้ามฟาก เราอธิษฐานว่า เท้าของเราที่เหยียบลงไปถูกน้ำตรงไหน ขอน้ำตรงนั้นจงแข็ง เท่านี้เราก็จะเดินข้ามแม่น้ำได้ตามสบาย พูดแล้วท่านก็พาหลวงพ่อปานเดินไปท่าน้ำ แล้วให้ตั้งใจอธิษฐานให้ดี พอตั้งใจอธิษฐานให้ดี ก็ให้หลวงพ่อปานเดินไปอธิษฐานว่า เท้านี้เหยียบลงไปตรงไหน ขอให้น้ำตรงนั้นแข็งเหมือนดิน อันนี้ต้องเพ่งปถวีกสิณไว้ก่อน หลวงพ่อปานก็เดินเล่นข้ามฟาก เดินเล่นในแม่น้ำอย่างสบาย ๆ เวลานั้นปลอดคนนะ เพราะเป็นเวลาค่ำ แล้วต่อมาหลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า เอายังงี้ก็แล้วกัน อากาศนี่เราก็ทำให้แข็งได้ แล้วก็เดินไปบนอากาศได้ ถ้าเราไม่ใช้วาโยกสิณเราไม่รีบเหาะก็ไปไม่ได้เร็ว ไปตามกำลังอาการเดินของเรา หากเราใช้วาโยกสิณ เรียกว่า เหาะก็ไปเร็ว ทีนี้เราจะเดินไปบนอากาศ เอ้า ปาน เธอจงอธิษฐานขอให้อากาศทุกจุดที่เท้าเราจะเหยียบลงไปจงแข็งเหมือนดิน แล้วหลวงพ่อปานก็อธิษฐานจิตตามนั้น ยกนิมิตกสิณขึ้นแล้วอธิษฐานจิตว่า ขอให้อากาศทุกจุดที่ข้าพเจ้าย่างเหยียบไปจงแข็งเหมือนดิน อธิษฐานแล้วก็คลายสมาธิจิตจากญาณออกมาถึงอุปจารสมาธิ เมื่อถึงอุปจารสมาธิแล้วก็เหยียบขึ้นบนอากาศเดินสบาย เดินได้แบบสบาย ๆ ท่านบอกว่ามันสบายเหลือเกิน


    พอเสร็จแล้วหลวงพ่อสุ่นก็เรียกกลับ ว่า กสิณทั้งหมดนี้ได้แล้วต้องซักซ้อมอยู่เสมอ อย่าปล่อยอารมณ์ อย่าทะนงว่ามันดีแล้ว มันจะเสื่อม ถ้าเราไม่ใช้แล้วมันจะเสื่อม ความปรารถนาในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสก็ดี ความโกรธ ความพยาบาทก็ดี การสงสัยในคุณพระรัตนตรัยก็ดี อารมณ์จิตที่คิดนอกรีตนอกรอยก็ตาม นอกจากความเป็นพระ จงอย่ามีในจิตของเธอ คิดอย่างเดียวว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา การที่เราบวชนี่เราทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถึงแม้ว่าเธอจะปรารถนาพระโพธิญาณก็ตาม ก็มุ่งพระนิพพานเหมือนกัน เอาจิตจับพระนิพพานเป็นปัจจัย แล้วก็ทำทุกอย่าง ๆ ที่อธิษฐานไว้เพื่อพระนิพพาน คราวนี้วิชาหมอที่เจ้าเรียนนี่มันยังไม่จบ มันยังไม่จบนะลูกปานนะ มันยังมีอยู่อีก คือว่า คนไข้ที่เขามารักษาโรคกะเรานี่ เราต้องตรวจโรคเขานะ โรคนี่เราต้องตรวจ ถ้าเราไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคอะไรละก็ มันก็เสร็จกันเท่านนั้น วิชาเสกหมากนี่เป็นการตรวจแบบเบา ๆ ต่อไป ถ้าหากว่าเราสงสัย เราก็ทำร่างกายของคนไข้ให้เป็นอากาศ ให้มันเป็นช่องว่าง แล้วอธิษฐานให้ตัวโรคจงปรากฏ แล้วเราก็ทำใจของเราให้สว่าง มองเห็นโรคได้ชัด โรคที่มันเป็นจริง ๆ น่ะ มันเป็นตรงไหน อาการมันเป็นยังไง แล้วก็การที่จะรักษาให้หาย ยังไง นั่นมันเป็นเรื่องของทิพยจักษุญาณ มันมีวิชาอย่างเดยวกันนี่ที่ทำพร้อมกันได้ ต่อจากนั้นไปท่านก็สอนอากาสกสิณ ให้หลวงพ่อปานเพ่งอาการว่างของอากาศ เอาเข้าแล้ว ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไร มันสลายตัวหมด ว่างหมด ไม่มีหรอก กอไผ่ ต้นไม้ ภูเขาเลากา ผู้คนที่เกิดมาปรากฏ บ้านเรือนก็ตาม ในที่สุดมันก็มีอาการพังเหมือนอากาศ มันมีสภาพว่าง เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ เวลาเพ่งภาพภาวนาว่า อากาสกสิณัง สำหรับกสิณดิน เวลาภาวานา ๆ ปถวีกสิณัง ต่อมา หลวงพ่อปานท่านก็ทำได้ ไม่เกิน ๓ วัน ท่านบอกว่าไม่เกิน ๓ วันหรอกคุณเอ๋ย มันเหมือนกัน ของมันเหมือนกัน เปลี่ยนแต่วิธีการนิดเดียว ใช้อารมณ์เหมือนกัน มันจะไปยากอะไร วันแรกก็จะได้เสียแล้ว ท่านว่ายังงั้น ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองเจ้า ๒ เถรเพื่อนฉัน ท่านก็มอง ๆ ดูไอ้ ๒ คน ท่านบอกว่านี่เขามีวิสัยปัจจัยตามนั้นนะ เขาได้เขาทำ เขาได้ไม่ยาก แล้วก็หันมาหาฉันว่า เธอน่ะห้ามนะ ทำได้แต่ทำหมดไม่ได้ ทำได้ไม่เกิน ๗ - ๘ กอง ครบ ๑๐ ไม่ได้ ถ้าทำได้ละก็ห้ามเล่นฤทธิ์นา ท่านบอกว่าเมื่อทำอากาสกสิณได้แล้ว หลวงพ่อสุ่นก็ให้อาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง พอได้อาโลกกสิณแล้วท่านก็บอกว่า อากาสกสิณนี่น่ะ ถ้าที่ไหนอากาศไม่บริสุทธิ์ เราทำให้อากาศบริสุทธิ์ได้ ที่ไหนมีอะไรเป็นเครื่องปิดบัง เราใช้อากาสกสิณเป็นเครื่องทำลาย กำแพงก็ดี หีบหรืออะไรก็ตามที่เขามีเครื่องปิดบังอยู่ เราสามารถจะเห็นของในนั้นได้อย่งสบาย ๆ คือ เพิกมันออกไปเสีย ให้ของที่ปิดบังอยู่มันเป็นอากาศไป มันจะว่าง พอความว่างปรากฏเราก็ใช้อาโลกกสิณแสงสว่างเข้าไปดู แล้วมันจะเห็น แม้แต่เชื้อโรคที่ในร่างกายเราก็เห็น เห็นได้ชัด เห็นได้ทุกอย่างตามที่มันมีตามความเป็นจริง แต่นอกจากนั้นท่านก็บอกว่า อาโลกกสิณนี่น่ะ หรือว่าอากาสกสิณก็ดีหรือว่าปถวีกสิณก็ดี ยังใช้เป็นญาณได้หลายอย่าง ญาณเครื่องรู้คือทิพยจักษุญาณ เราสามารถจะเห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นสัตว์นรกได้ทุกอย่าง หรือเห็นอะไรเป็นที่ปกปิดได้ จุตูปปาตญาณ คนที่ตายไปแล้วเกิดที่ไหน แล้วคนและสัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากที่ไหน เราก็รู้ได้ เจโตปริยญาณ คนที่ตายไปแล้วเกิดที่ไหน แล้วคนและสัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากที่ไหน เราก็รู้ได้ เจโตปริยญาณ เราก็สามารถจะรู้วาระน้ำจิตของคนและสัตว์ได้ว่าเขามีสุขหรือมีทุกข์ และก็มีอะไร ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถจะระลึกถึงชาติต่าง ๆ ได้ อตีตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีตของคนและสัตว์หรือบ้านเมืองได้ หรือโลกก็ได้ อนาคตังสญาณ รู้เรื่องราวต่อไปก็ได้ ปัจจุปปันนังสญาณ รู้เรื่องราวในปัจจุบัน หรือคนที่อยู่ไกลว่าเวลานี้เขาทำอะไรอยู่ มีความสุขหรือมีความทุกข์ และยถากัมมุตาญาณ รู้กฏของกรรม คนเราที่มีความสุขหรือมีความทุกข์ที่ตายไปแล้ว ดีหรือชั่ว ที่เกิดมานี้มีความดีหรือความชั่วเป็นยังไง เพราะอาศัยกรรมอะไรเป็นปัจจัย กรรมอะไรเป็นต้นเหตุ นี่เราสามารถจะรู้ได้ แล้วหลวงพ่อสุ่นก็สอนให้หลวงพ่อปานฝึกจนหมดครบถ้วนทุกอย่าง เป็นอันว่ากสิณสำคัญหมด ยังเหลือกสิณ ๔ อีก ๔ อย่าง เป็นอันว่าหลวงพ่อสุ่นท่านมีแบบฉบับในการสอนด้วยวิธีล่อใจคน คือ คนชอบวิชาหมอ ท่านก็เอาวิชาหมอเข้าไปสอน แต่ความจริงเอากสิณเข้าไปสอน ถ้าพูดกันตามหลักแล้วท่านก็สอนไม่ผิด เพราะว่าหมอทางใจนี่นะ ถ้าไม่ได้กสิณเสียอย่างเดียวไม่มีทางจะช่วยใครได้เลย ช่วยได้ก็ช่วยไม่จริง เป็นการช่วยแบบนั้นแหละ เป็นการช่วยแบบตุ่ย ๆ นะ เขาเรียกว่า ช่วยแบบตุ่ย ๆ ช่วยจริงจังไม่ได้


    เอาละ สำหรับวันนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ลูกหลานทุกคนที่รับฟัง
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานเรียนหมอ ๓

    วันนี้วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ขณะนี้ฉันกำลังสร้างกุฏิพระเป็นตึกชำระหนี้สงฆ์ เพราะอะไร เพราะว่าฉันรื้อกุฏิพระออกไป ๒ หลัง หลังแรกรื้อไปเพื่อจะทำศาลา แล้วตั้งใจว่าจะเอากุฏิหลังนั้นไปตั้งไว้ที่เดิม แต่พอรือแล้วก็ปรากฏว่ากุฏิมันยุ่ยหมด ไม้ฝาไม้ส่วนอื่นพอรื้อแล้วรู้สึกใช้ไม่ได้ จะเหลือไว้ได้ก็ประมาณสัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ต่อมาก็ตั้งใจว่าจะสร้างอาคารหลังหนึ่ง ให้นามว่า อาคารเสริมศรี ศุขสวัสดิ์ เป็นที่พักของบรรดาลูกและหลายที่มีความประสงค์ธรรมะ เพราะว่าเวลานี้ที่พักอาศัยมันไม่มีแน่นอน เวลามาหาฉันก็ต้องแออัดกันอยู่ในกุฏิ หาความสุข หาความสะดวกไม่ได้ นักปฏิบัติ นักมุ่งธรรมจริง ๆ บางคนต้องการจะคุย บางคนต้องการจะพักผ่อน ก็หาที่หลับที่นอนที่พักผ่อนแน่นอนไม่ได้ ก็ตั้งใจจะสร้างอาคารเสริมศรี ศุขสวัสดิ์ขึ้น เป็นอาคารยาวประมาณ ๑๒ วา กว้างประมาณสัก ๖ วา เป็นอาคาร ๒ ชั้น ชั้นล่างจะเปิดเป็นห้องโถงหมด ชั้นบนจะกั้นเป็นห้อง ๆ สำหรับเป็นที่พักผ่อน เป็นที่นอนกัน ทีนี้การจะสร้างกุฏิหลังนี้ กุฏิพระครูปลัดผ่องก็เลยมาขวางอยู่ เพราะอาคารหลังนี้มันยาวเข้าไปถึงส่วนลึกใกล้ ๆ จะหมดกุฏิพระครูปลัดผ่อง ก็จำต้องรื้อกุฏิหลังนั้นออก กุฏิพระครูปลัดผ่องก็เหมือนกัน เมื่อรื้อออกแล้วมันก็ยุ่ยหมดเหมือนกัน เป็นอันว่าของที่รื้นไปแล้วใช้ได้ไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ ฉันก็เห็นว่าการรื้อกุฏิของสงฆ์ กุฏิแต่ละหลังของสงฆ์ที่สร้างขึ้นมาก็อาศัยแรงศรัทธาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และบรรดาอดีตเจ้าอาวาสที่ท่านทรงคุณความดีมาก สร้างความเลื่อมใสให้แก่ประชาชน กว่าจะได้กุฏิวิหารแต่ละหลังก็เหนื่อยสายตัวเกือบกระเด็น เรียกว่าเลือดตาเกือบจะกระเด็น เพราะว่าพระเป็นคนไม่มีทุน ต้องสร้างความดีภายใน ต้องให้คนเขาเห็นว่าดีภายนอก เรียกว่าต้องดีทั้งในและนอก ด้านในก็คือปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัย เรียกว่าไม่บกพร่อง คำว่าไม่บกพร่องของพระนี่ไม่มี คำว่าบกพร่องมันมี แต่ว่าบกพร่องน้อย ส่วนดีมันมาก เรื่องของการดีข้างในนี่น่ะมันก็ขัดคอกับคนข้างนอกเหมือนกัน เพราะว่าชาวบ้านชาวโลกเขาต้องการดีกันอีกอย่างหนึ่ง ท่านก็ต้องทำให้เขามองเห็นความดีที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย แต่ถ้าดีนอกมากเกินไปละก็ มันขาดพระ ต้องว่ากันตามสมควร


    นี่ก็เป็นการลำบากสำหรับพระที่จะเอาใจชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเลื่อมใส ลำบากแบบฉันสมัยก่อน ฉันชอบทำดีนอก ดีนอกของฉันมีเยอะ ดีในไม่ค่อยมี ตอนนั้นชาวบ้านชอบ พูดจาก็เพราะ จริยาต่าง ๆ ก็นิ่มนวล รู้สึกว่าเป็นที่พอใจของชาวบ้านมาก แต่อีตอนแก่นี่ดีนอกไม่ค่อยมีแล้ว มันเหลือแต่แก่นแล้ว แล้วก็เปลือกดีก็ไม่ค่อยมี กระพี้ดีก็ไม่ค่อยมี เหลือแต่แก่นแล้ว เรียกว่าจะพูดจาปราศัยกับใครก็โฮกฮาก เสียงก็ไม่เพราะ ท่าทางก็ไม่ดี ท่าทางที่จะทำให้มันนิ่มนวลเหมือนในตอนก่อน ๆ ก็ไม่ค่อยจะทำ เพราะว่าอะไร ชักอายชาวบ้าน ความจริงไม่ได้อายชาวบ้าน แต่ไปอายพระพุทธเจ้า ท่านจะหาว่าประจบชาวบ้านเกินไปจนพระธรรมวินัยเสีย ก็เลยปล่อยกันตามเรื่องตามราว ก็เรียกว่ามีเลวเท่าไรงัดเอามาอวดชาวบ้านกันจนหมด มีดีเท่าไรเก็บเข้าไว้ ดีข้างในน่ะเก็บเข้าไว้ มีเลวเท่าไรงัดออกมาอวดจนหมด เขาจะได้รู้ว่าฉันเลว เวลาเขาจะคบเขาจะได้รู้เนื้อแท้ว่าฉันน่ะมันเลวแค่ไหน มันควรคบหรือไม่ควรคบ แล้วส่วนความดีจริง ๆที่มีอยู่เอาออกมาก็ไม่ได้ เอาออกมาไม่ได้หรอกลูกหลาน เพราะอะไร เพราะเดี๋ยวตกนรกกันเป็นแถว เอ้า นี่ว่ากันตอนนี้นา ตานี้ว่ากันถึงกุฏิสงฆ์หรือของสงฆ์ที่รื้อถอนออกไป ทำไมจึงได้กล่าวว่าเป็นการสร้างชำระหนี้ เพราะว่าของเหล่านี้เขาสร้างถวายพระพุทธเจ้านะ ฟังกันไว้ให้ดีนะ ของในวัดน่ะ แม้แต่ที่ดินกระเบียดนิ้วเดียวก็ตาม ไม้ไม่ถึงนิ้วก็ตาม ที่เขานำมาถวายวัดน่ะ เขานำมาถวายพระพุทธเจ้า ใครไปรื้อถอนเข้าต้องทำของเขาให้ได้ ทำให้เหมือนเขาหรือดีกว่าเขา ถ้าไม่ยังงั้นละก็ โทษตัวนี้ระวังให้ดีลงอเวจีกันเป็นแถว ไม่ว่าพระหรือชาวบ้านที่เรียกว่าอำนาจราชศักดิ์อะไรก็ตาม หรือว่าไงลุงพุฒิ นี่เวลาบวงสรวงแล้ว ลุงพุฒิแกมานะ ยิ้มแต้ วันนี้บอกว่าว่างมาก ไปชำระความกันแต่ ๕ โมงกว่า ๆ เท่าไรลุงพุฒิ กี่คน วันนี้ ๓ พันคนหรือ เฮอะ นี่ไปหามาจากไหนนะ แกบอกว่าแกไม่ได้หาหรอก เขาไปกันเอง วันนี้ผ่านแดนลุงพุฒิ ๓ พันคนเศษ นี่ลุงพุฒิแกยิ้ม บอกว่าให้ลูกหลานมันรู้ไว้ด้วย คนลงนรกน่ะมากกว่าไปสวรรค์ แล้วแกก็ร้องบอกมา บอกว่า นี่แกนั่งอยู่ใกล้ ๆ นะ ๒ วันนี้ลุงพุฒิใจดี อ้อ แต่แกบอกว่านี่ทีหลังอย่าพูดว่าแยกเขี้ยวแหงซี ถาม ทำไมล่ะ แกตอบมาว่าพูดว่าแยกเขี้ยวนี่น่ะ เขาจะหาว่าพญายมมีเขี้ยว เวลานี้พญายมในโทรทัศน์เขาใส่เขาเข้าแล้ว มันเหมือนเขางัว แกว่ายังงั้นนะ แกใช้คำว่างัว ไม่ใช่วัว ไม่ใช่ตัว ว. เป็นตัว ง. ว่าไง อ๋อ แกบอกว่าภาษาโบราณน่ะเขาเรียกว่า งัว ไม่ใช่วัว เวลานี้เขาใส่เขางัวไว้ให้แล้ว ถ้าท่านไปบอกว่าผมแยกเขี้ยวแหงละก็ ประเดี๋ยวเขาจะใส่เขี้ยวเข้าให้อีก จะกลายเป็นงัวมีเขี้ยวไป เป็นไงล่ะ ก็ดีนี่ มีทั้งเขาทั้งเขี้ยว แกบอกว่ามันเป็นงัวจัญไร ถ้าวัวมีทั้งเขาทั้งเขี้ยวละก็ งัวจัญไร แกพูดแล้วแกก็ชอบใจ แล้วแกบอกว่าให้บอกลูกบอกหลานด้วยว่า ลูกหลานของท่านน่ะมันลูกหลานของแกเหมือนกัน ท่านมีความห่วงใยลูกหลานเพียงใด แกก็มีความห่วงในลูกหลานเหมือนกัน แกบอกว่าแกห่วงมาก เวลาใครมันจะไปทำชั่วละก็แกไม่สบายใจ เอางี้ก็แล้วกันนาลุงพุฒินา ถ้าหากไม่สบายใจ เด็กของเรามันไปทำชั่ว เราไม่จดมันได้ไหมล่ะ แกหัวเราะ แกบอกว่าความจริงน่ะไม่ได้จด มันปรากฏขึ้นเอง ถ้าผมจดละก็ ผมจดให้ไอ้พวกนี้อีพวกนี้มันไปนิพพานหมดแล้ว นี่ผมไม่จด กฎของกรรมมันปรากฏเองหรอก เป็นอันว่ารู้กันนะลูกหลานนะ แล้วเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลุงพุฒิ อย่างที่ฉันรื้อกุฏิของเขาไป ๒ หลังน่ะ มันจะผุหรือไม่ผุเขาก็อยู่กันได้ ฉันไปสร้างหลังเดียวนี่น่ะ แล้วก็สร้างศาลาดินให้อีกด้วย สร้างส้วมซึมให้ ๔ ห้อง เทพื้นบริเวณเป็นคอนกรีตนี่น่ะ ยังงี้พอจะพ้นหนี้ไหม แกบอกว่าพ้น พ้นนา เพราะว่าที่อยู่เราก็ทำใหม่ มันดีกว่าเก่า แล้วใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเก่า แล้วการชำระหนี้สงฆ์นี่นะถ้าหากว่าลูกหลานเขาจะร่วมด้วยมันจะมีบุญเพิ่มไหม โอ๊ะ แกบอกว่าเยอะ เยอะยังไงลุง แกตอบว่า หนึ่ง ท่านเป็นหนี้สงฆ์ นี่เป็นบุญตอนหนึ่งนะ เป็นการสงเคราะห์ท่าน เป็นสังคหวัตถุ เรียกว่าเป็นการสงเคราะห์คนแก่ที่เป็นหนี้สงฆ์ ประการที่สอง แกบอกว่าของเหล่านี้เมื่อสร้างแล้วตกเป็นสมบัติของสงฆ์ ก็เป็นการสร้างวิหารทานไว้ในพระพุทธศาสนา นี่เป็นตามนี้จริง ๆ นาลุงพุฒินา แกบอกว่าอย่าซ้ำ พูดแล้วอย่าซ้ำ เทวดาเขาพูดไม่ล่อกแล่กเหมือนชาวบ้าน นี่เป็นอันว่ารู้กันนะลูกหลานที่รัก


    ทีนี้ถ้าหากว่าลูกหลานช่วยบำเพ็ญกุศลชำระหนี้สงฆ์ด้วย ก็เป็นการสงเคราะห์ฉันส่วนหนึ่ง แล้วก็เป็นการสร้างวิหารทานไว้ในศาสนาอยางหนึ่ง ไอ้อานิสงส์ ๒ อย่างอันนี้รู้สึกว่าเป็นกำไรมากนะ แรงงาน นนทาเขาบอกว่าเขาจะออกเอง ก็ดีเหมือนกัน วันนี้เขาถามว่าแรงงานจะจายกี่งวด ๑๐วันครั้งหรือ ๑๕ วันครั้ง ก็บอกว่าตอนนี้วันที่ ๓๑ เราจ่ายครั้งหนึ่งแล้วต่อปก็จ่ายอีกครั้งหนึ่ง เงินของลูกหลานที่คิดว่าจะไปจ่ายค่าแรงงาน ๒ พันเศษ ๆ น่ะ เอาไปพิมพ์ฎิกาเสียแล้ว แล้วก็ไปพิมพ์หนังสือแจกกันเสียแล้ว มันก็หมดเข้าไปพันกว่า ๆ เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งพัน นั่นมันก็ยังไม่พอนี่ คงจะจ่ายต่อไปอีก แล้วตอนนี้อย่ามาว่าฉันขโมยเลยนะ ฉันขโมยฉันก็บอกนะ บอกว่าฉันเอาไปทำอะไร โมทนาเสียนะ เพราะว่าหนังสือพระปัจเจกพุทธเจ้าพิมพ์แจกเป็นการบันดาลให้คนอื่นร่ำรวย เมื่อเขาร่ำรวยเพียงใดเราก็มีความสุขเพียงนั้น ชาตินี้เราก็รวย ชาติหน้าเราก็รวย แต่รวยในความเป็นมนุษยชาติต่อไป ฉันต้องการให้ลูกหลานรวยเหมือนกัน แต่อยากให้รวยอย่างเทวดา อยากให้รวยอย่างพรหม อยากให้รวยอย่างพระนิพพาน นี่เป็นความต้องการของฉัน แล้วต่อแต่นี้จะเข้าเรื่องกันเสียที


    นี่ว่าอารัมภบทกันเสียทุกวัน ลูกหลานรำคาญไหม มันมีเรื่องพูดก็เลยพูด วันนี้จะเข้าเรื่องหลวงพ่อปานเลย ปรากฏว่าเมื่อคืนนี้ คืนวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ ฉันทำกรรมฐานขึ้นไปหาสมเด็จท่าน ท่านก็บอกว่าคุณ เรื่องที่คุณพูดวานนี้น่ะนะถึงอาโลกกสิณกับอากาสกสิณน่ะ มันยังไม่หมด คุณอย่าเพิ่งต่อนะ เพราะว่าหลักสูตรในพระพุทธศาสนาของเราเป็นของจริง เราจะต้องท้าทายเขา คนภายนอกที่เขายังไม่เชื่อหรือประกาศตนเป็นศาสนิกชนก็ตามแต่ว่าเป็นพุทธศาสนิกชนแบบอ่านเฉพาะตำรา อาจจะยังไม่เชื่อ ฉันเคยท้าทายอยู่เสมอ คำว่า ฉัน น่ะ หมายถึงสมเด็จนะ ไม่ใช่ฉันเป็นคนพูด ฉันเคยท้าทายเขาอยู่เสมอว่า โอปนยิโก ถ้าใครไม่เชื่อเชิญเข้ามาพิสูจน์ คำสอนของฉันนี่น่ะ ใครว่าไม่จริง มันไม่เป็นไปตามนั้น เชิญเข้ามาพิสูจน์กัน เอามาดูกันให้มันเห็นจริง อย่าเอาแต่อ่าน อย่าเอาแต่เพียงฟังอย่างเดียว ต้องทำด้วย อย่างนี้เคยพูดมาแล้วนะลูกหลานนะ เหมือนคนกินเกลือ กินส้ม กินน้ำตาล ถ้าเพียงแต่ดูคนอื่นเขากิน มันไม่รู้รสจริง ๆ ถ้าหากเรากินเองเราก็จะรู้รส ผลของพระพุทธศาสนาก็เหมือนกัน คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องทำด้วยนะ บรรดาเถรตำราทั้งหลายไม่พ้นนรก นี่ฉันว่ายังงี้นา จริงไหมลุงพุฒิ นี่พยานของฉันมี


    เวลานี้มาหมดนะ สมเด็จท่านก็มา หลวงพ่อท่านก็มา หลวงพ่อปาน หลวงพ่อสุ่น ใครต่อใครมาหมด พรหมก็เยอะ ท้าวมหาชมภูก็ยืนยิ้ม ท่านปู่ของลูกหลานก็มายืนอยู่ ทุกคนเขามายืนยิ้มกันอยู่เป็นแถว แล้วแถมมีสาว ๆ สวย ๆ เยอะ วันนี้แต่งตัวกรีดกรายยืนยิ้มกันเป็นแถว ๆ เขาบอกว่าเขาดีใจ ถามว่า เออ อีหนูเอ๊ย ดีใจอะไรกันหว่า นี่ฉันเรียกอีหนูนะ ฉันโตแล้วนา เมื่อก่อนฉันเรียกแม่หนู คุณหนู เดี๋ยวนี้ฉันไม่เรียกแล้วพวกนางฟ้า เดี๋ยวนี้ฉันไม่ติดพันแล้ว ฉันเลิกแล้ว ฉันอายโยม ๆ ท่านยืนยิ้ม เลิกแล้วไม่เอาแล้ว ฉันไม่อยากแต่งงานด้วยแล้ว ฉันเป็นผู้ใหญ่ดีกว่า ฉันเรียกอีหนู แหม อีหนูคนหนึ่งแต่งตัวสวยเหลือเกิน นุ่งผ้าสีเขียวอ่อน ๆ ผมเหมือนกับใส่ชฎา มีเครื่องประดับเพชรแพรวพราว นิ้วมือของแกมันเต็มไปด้วยแหวนเพชร ผ้าก็ประดับไปด้วยเพชร ที่คอเอาเพชรไปขายคงขายได้หลายสิบล้าน นั่งยกมือไหว้บอกว่า ดิฉันดีใจที่มากันวันนี้ ก็ทราบว่าพวกเก่าของฉันจะกลับไปอยู่ด้วยกันบ้างยังงั้นหรือ แล้วขึ้นไปอยู่สูงกว่าบ้าง แล้วก็ไปเลยบ้างยังงั้นหรือ แล้วเธอไม่อิจฉาหรือ ไม่อิจฉา เขาบอกว่าดีใจ พยายามสนับสนุนอยู่เสมอ เออดี โมทนาด้วยนะ เทวดานี่เขาก็มีมุทิตาจิตนะ ทุกองค์ท่านพนมมือ ท่านยินดีด้วยกับการกระทำความดีของคน จัดว่าเป็นปัตตานุโมทนามัยใช่ไหมโยม ท่านรับว่าใช่ เมื่อกี้ฉันพูดอะไรค้างไว้กไม่รู้ เอ้า ช่างมัน มันอยากลืมช่างมัน มันเลอะเทอะนี่ เป็นอันว่าสมเด็จท่านเตือนว่าการพูดอาโลกกสิณน่ะยังไม่ครบถ้วน ควรพูดให้เขาฟัง เพราะว่าอาโลกกสิณเป็นหลักการของวิชชา ๓ โอทาตกสิณก็ดี แล้วก็เตโชกสิณก็ดี ๓ ประการนี้เป็นพื้นฐานของวิชชา ๓ น่ะ มีอะไรบ้างลูกหลาน ๑ มีทิพยจักษุญาณ ๒ ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ ๓ อาสวักขยญาณ ลูกหลายรู้ไหม ญาณ ๓ ญาณน่ะมันยานมันหย่อนกันตรงไหน อะไรมันหย่อนมันยาน มันยานมันหย่อนกันถึง ๓ แห่งน่ะตรงไหนบ้าง จะบอกให้ฟัง ทิพยจักษุญาณ ก็มีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ นี่หมอนิดกำลังรู้อยู่เวลานี้ อะไรก็ตามที่มันกระทบจิตขึ้นมา มีความรู้ตรงตามความเป็นจริง นี่หมอนิดน่ะเขาได้แล้วนะ ได้เบื้องต้นก็ยังไม่ไกล อย่าไปหยุดไว้แค่นั้นนะ ทำให้มันได้ดีไปกว่านี้ ถ้ารักษาอารมณ์ดีไปกว่านี้แล้ว ก็รักษาอารมณ์วิปัสสนาญาณดีกว่านี้ ต่อไปจะรู้ได้ดีกว่านี้มาก การรู้เวลานี้รู้พิเศษกว่าคนธรรมดาได้แล้ว แต่ยังเป็นผิวนัก ราคายังไม่ถึง ๕ สตางค์ ราคายังต่ำอยู่ ควรจะทำให้มันถึงบาทเสีย

    ทุกคนมีความดีที่คิดว่ามีวิมานเป็นที่อยู่ บนชั้นกามาวจรสวรรค์บ้าง บนพรหมโลกบ้าง อย่าไปยับยั้งความดีไว้แค่นั้น ถ้ายับยั้งไว้มันจะถอยหลัง สร้างความดีต่อไปเพื่อรักษาความดีที่เรามีอยู่ และเสริมความดีของเราที่มีอยู่แล้วให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วบางคนที่มีถึงปรมัตถบารมีแต่ยังไม่ครบถ้วนก็ควรจะทำให้ครบถ้วนเสีย ทำอะไรทุกอย่างทำด้วยการตัดเด็ดขาดไปเลย หมายความว่าอย่าไปเกาะมัน ทำเพื่อการสงเคราะห์อย่างเดียว อย่างนี้เป็นปรมัตถบารมี หลักสูตรวิชชา ๓ ท่านเตือนว่าคุณต้องพูดให้ครบ ท้าเขาสิ ท้าให้เขาพิสูจน์ว่าใครจริงกันแน่ ถ้าเขาจริงตามหลักสูตรของฉัน ท่านว่ายังงั้นนา ไม่ใช่ฉันนา แล้วเขาก็รู้เองเห็นเอง อาโลกกสิณ คือ การเพ่งแสงสว่าง นี่ฉันจะไม่อธิบาย เมื่อแสงสว่างปรากฏชัดเป็นแสงประกายพฤกษ์ จนกระทั่งลมหายใจไม่ปรากฏ อันนี้เขาเรียกกันว่า ฌาน ๔ นี่เรียกกันว่าจบอาโลกกสิณ แต่ความจริงคนเจริญอาโลกกสิณก็ดี โอทาตกสิณก็ดี หรือว่าเตโชกสิณก็ดี ถ้าเป็นคนฉลาดหรือว่าอาจารย์ที่สอนฉลาด บางทีลูกศิษย์ฉลาด อาจารย์โง่ก็ถมไป อย่างฉันนี่ไม่ต้องดูใคร อย่างฉันนี่แหละ มโนมยิทธิ ฉันปล้ำมาเกือบตายกว่าจะได้ แต่ลูกศิษย์ฉันบางคนมาเพียงแค่ ๑๐ นาที เอาไปฉิบ คือ แสดงว่าอาจารย์มันโง่กว่าลูกศิษย์ ลูกศิษย์เขามีความฉลาดกว่า เขาทำได้รวดเร็วกว่า เป็นอันว่าฉันไม่ได้อิจฉาเขา ถ้าลูกทำได้ดีกว่าพ่อแม่ ทำได้ผลรวดเร็วกว่าพ่อแม่ทำ พ่อแม่ก็ดีใจ ฉันก็มีความรู้สึกอย่างนั้น สำหรับอาโลกกสิณก็ดี โอทาตกสิณก็ดี หรือเตโชกสิณก็ดี ถ้าทำเข้าถึงอุปจารฌาน หมายความว่าจับภาพนิมิตได้คงที่ แต่มันเป็นภาพตามเดิม ต่อมานิมิตนั้นได้คลายตัวไปมีประกายแจ่มใสขึ้น สดสวย มีอาการหนึ่งปรากฎ มีความสดสวยปรากฏเป็นความสุขบอกไม่ถูก อย่างนี้เรียกว่าเข้าถึงสุข แต่ยังไม่ถึงเอกัคตา ยังไม่ถึงปฐมฌาน ขนาดนี้ถ้าคนปฏิบัติมีความฉลาด ก็เริ่มฝึกทิพยจักษุญาณได้แล้ว ทิพยจักษุญาณน่ะ ถ้าเราไม่มีวาสนาบารมีมาในชาติก่อนนะ มันต้องฝึกกันใหม่ แต่คนที่เขามีวาสนาบารมีเคยได้มาแต่ชาติก่อน พออารมณ์จิตเป็นสมาธิมันก็ปรากฏเลย เพราะเป็นของเก่า อันนี้จำกันไว้ด้วยนะ อย่าไปวัดกันว่าคนนั้นทำไมได้เร็ว คนนี้ทำไมได้ช้า เพราะเราเคยสร้างของเรามาก่อนหรือเปล่า ถ้าเราไม่เคยสร้างมาก่อน เวลาจะฝึกมันก็ได้ช้า ถ้าเราสร้างมาก่อน พออารมณ์จิตถึงอุปจารสมาธิ ทิพยจักษุญาณมันปรากฏ มีวิธีฝึกสำหรับคนที่ไม่เคยได้มาในชาติก่อน เมื่อถึงอุปจารสมาธิ จับภาพนิมิต เมื่อจับภาพนิมิตอยู่แล้วก็เอาจิตเพิกภาพนิมิตเสีย คำว่า เพิก หมายความว่า ให้สลายตัวไป โดยกำหนดในใจว่าขอภาพกสิณนี้จงหายไป แล้วภาพนรก ภาพสวรรค์ ภาพพรหมโลก ภาพพระนิพพาน ภาพคนที่ตายไปแล้ว หรือใครที่ไหนก็ตามที่เราต้องการจะรู้ ขอจงปรากฏแทน เพียงเท่านี้ภาพที่ปรากฏในจิตมันจะหายไป แล้วภาพนั้นจะปรากฏแทน เราจะรู้สภาพของนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน หรือว่าคนที่อยู่ในที่ไหนก็ตาม หรือเขาตายไปแล้วก็ตาม เราจะรู้ได้ตามกำลังของจิต ถ้าจิตเข้าถึงฌาน ตอนจิตเข้าถึงอุปจารสมาธินี่มันก็เห็นไม่ชัด เห็นกันไม่ถนัด เวลาจะพูดจากัน คำสองคำมันก็จะหายไป จะต้องตั้งอารมณ์กันใหม่ ถ้าเข้าถึงฌาน เมื่อถึงฌานที่ ๔ แล้ว เราก็ฝึกการทรงฌาน จับนิมิตไว้ให้ได้นาน ๆ อย่างที่หลวงพ่อปานทำ แล้วต่อจากนั้นไปถ้าเราอยากจะรู้เรื่องอะไร เมื่อจับนิมิตได้นานแล้วก็คลายจิตออกมา อธิษฐานจิตว่าภาพสิ่งนี้จงหายไป ภาพสิ่งนั้น ๆ จงปรากฏ เท่านี้ภาพนั้น ๆ ก็จะปรากฏแจ่มใส คุยกันได้ตามสบายเหมือนเราคุยกัน นี่ตรงนี้แหละที่ท่านบอกว่าคุณยังพูดไม่ครบ ของจริงของเรามี แต่ว่าเวลานี้คนจริงของเราไม่ค่อยมี ท่านว่ายังงั้น นี่สมเด็จท่านว่านา ท่านบอกว่าคนจริงไม่ค่อยมี ถึงแม้ว่านักบวชที่บวชเข้ามาในพุทธศาสนาก็ตาม บวชเข้ามาแล้วตั้งหลาย ๆ สิบปี เขาไม่ค่อยจะจริงเหมือนกัน เขามักจะเกาะตำรากันเสียหมด ถ้าเกาะตำรากันมากเพียงใด คำสอนของฉันก็สลายตัวเร็วเท่านั้น นี่เป็นคำปรารภของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านบอกว่าไหน ๆ ลูกหลานของคุณเป็นคนมีบารมีดี อย่างน้อยก็เข้าถึงขั้นอุปบารมีแล้ว ไม่มีหรอก ต่ำกว่านั้นไม่มี

    จำให้ดีนะลูกหลานที่รัก นี่ท่านชมมาเองนะ ท่านบอกว่าลูกหลานของคุณน่ะอย่างเลวที่สุดเข้าถึงอุปบารมีแล้วทั้งหมด แล้วก็นอกจากนั้นที่เข้าถึงปรมัตถบารมีใกล้จะครบถ้วนก็มีอยู่มากไม่น้อย คำว่าไม่น้อยนี่เป็นพหูพจน์นะ หมายความว่าไม่ใช่ ๑ เกินกว่า ๑ นี่มีอยู่มาก ฉะนั้น เมื่อลูกหลานของคุณมีบารมีอย่างนี้ เขาพอจะรับฟังได้ก็ให้เขารับฟังไว้ สำหรับคนอื่นที่เขายังเข้าไม่ถึง เขายังเกาะตำรากันอยู่ เขารับฟังแล้วเขาไม่เชื่อก็ช่างเขา เราไม่มีอำนาจจะไปโปรดคนทั้งโลกได้ นี่จำไว้นะ อาโลกกสิณก็ขอทวนกันแค่นี้ ท่านบอกให้ท้านี่ก็ท้า ผู้ฟังทั้งหลายไม่เชื่อเชิญลองเชิญพิสูจน์ด้วยการปฏิบัตินะ อาตมาน่ะขอเอาตัวเข้ายืนยัน ขอเอาตัวเองเข้ายืนยันว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องจริงที่คนที่ทำได้จะเห็นผลจริง ถ้าไม่ทำอันนี้ก็ไม่คุยด้วยนะ เอาแต่ตำราหรือคำคนอื่นเขาว่ามาคุยกันน่ะ ขอโทษเถอะ อย่าหาว่ารังเกียจเลย ไม่อยากฟังเสียงนะ คนไม่เอาไหนน่ะ ไม่อยากฟังเสียง เพราะฟังไปมันก็ไร้ประโยชน์ เสียเวลานอน เสียเวลาพักผ่อน เสียเวลาคิดการงานอย่างอื่น พูดกับคนไม่ทำนี่พูดเท่าไรมันก็ไม่รู้เรื่อง ความจริงเรื่องของกสิณเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาโลกกสิณเป็นกสิณกลาง เป็นกรรมฐานกลาง คนที่มีอุปนิสัยแบบไหนก็ตามทำได้หมด ขอเชิญทำกัน ขอเชิญพิสูจน์กันด้วยการปฏิบัติ เอากันจริง ๆ กี่เดือนกี่วันได้นั้นพยากรณ์ไม่ได้ ถ้าพ่อเจ้าประคุณขี้เกียจกันละก็ ร้อยปี ร้อยเดือน ร้อยวัน มันก็ไม่ได้ ถ้าขยันจริง ๆ ก็ไม่เกิน ๗ วัน ตั้งอารมณ์ให้ถูก รักษาอารมณ์ให้คงที่ จับนิมิตให้ได้ แค่อุปจารสมาธิมันไม่ถึงหางอึ่ง ไกลไม่ถึงปลายนิ้วก้อย อารมณ์สมาธิก็เล็กน้อยเท่านี้ เป็นของเด็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ทั้งหมด เขาเรียกกันว่าของเด็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องที่คนในโลกจะมากล่าวว่าไม่ใช่วิสัยที่ฉันจะทำได้ คำว่า ฌานโลกีย์ เป็นเรื่องของคนทุกคนทำได้ ถ้าเกิดมาแล้วมีสิทธิทำได้ทุกคน เราเป็นชาวโลกใช่ไหม ท่านทั้งหลายก็จะตอบว่า ใช่ ในเมื่อเราเป็นชาวโลกแล้ว สมบัติที่มันเกิดในโลก สมมติว่าน้ำนี่น่ะ เราจะอาบมันได้ไหม เราจะกินมันได้ไหม เขาไม่มีไว้สำหรับพระมหากษัตริย์หรอกนาน้ำนี่น่ะ ทุกคนอาบได้กินได้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็อาบได้กินได้ นี่อาหารที่เราจะเคี้ยวกินเข้าไปอย่างลูกไม้ ข้าวปลาอาหารต่าง ๆ นี่ เราจะกินได้ไหม เขามีไว้เฉพาะพระมหากษัตริย์หรือว่าพวกเราด้วย ต วันนีากว่า คนทุกคนในโลกมีสิทธิ์กินได้เหมือนกัน ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ฌานโลกีย์ก็เหมือนกัน วันนี้ฉันจะพูดหนักไปหน่อยนะ เพราะว่าท่านสั่งให้ท้านี่ ยี่ห้อของฉันมันก็เป็นอย่างนี้ถ้าท้ากันละก็ นี่ดีว่ามันแก่เสียแล้วนะ เสียงมันแห้งเสียแล้ว สมัยก่อนละไม่ต้องหรอก ตวาดหมาหล่นใต้ถุนตายไปหลายตัวแล้ว เดี๋ยวนี้โรคกระเพาะมันมาตัดเสียงเสีย ไม่ยังงั้นละไม่ต้องหรอก เรื่องตวาดนี่น่าดู เวลาพูดกับคนงี้นิ่มนวลน่ารัก แต่เวลาตวาดไปอีกคนหนึ่ง คนละพวก เสียงดังแล้วก็เสียกระโชกโฮกฮาก มันเป็นยี่ห้อยักษ์ติดมา นี่ท้าวเวสสุวัณและบรรดายักษ์ทั้งหลายยิ้มกันเป็นแถว ท่านมากันแล้วนา ท่านมาคอยเตือนจิต มาล้อมกันทั้งหมด มาอยู่ข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง ทางพระบ้าง ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ลุงพุฒิก็มา ลุงพุฒินั่นนั่งติดเลยนะวันนี้นะ ลุงพุฒิบอกว่า แหมชอบ พูดให้ลูกให้หลานฟังละชอบมาก เพราะแกเป็นคนอยู่ต้นทางนี่ ถ้ามันพลัดลงไปแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไง ความรักลูกความรักหลานนี่ถึงแม้จะเป็นผีเป็นเทวดาแล้วก็ยังห่วงอยู่ อดรักไม่ได้ นี่เป็นธรรมดานะลุงนะ แกพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม ว่าไงลุง อ๋อ ยังห่วงไอ้เรื่องเขาอยู่หรือ ช่างเถอะ เขาใส่เขาให้ก็ดีแล้ว เขาไม่ใส่เขี้ยวก็บุญตัวแล้ว ถ้าเขาใส่เขี้ยวยักษ์ก็ยังดี ถ้าเขาใส่เขี้ยวหมาละซวยเลย หัวเราะใหญ่ ลุงพุฒิหัวเราะใหญ่ บอกว่า ถ้าเขาใส่เขี้ยวยักษ์ไม่เป็นไร เป็นบุญตัว ถ้าใส่เขี้ยวหมาละก็แย่ หัวเราะชอบใจบอกว่า เออ ไอ้เด็ก ๆ มันล้อเรา ช่างมันนะ ลุงใจดีไม่ใช่รึ แกบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ว่ามันหรอก มันก็ทำไปอย่างนั้นแหละ มันนึกยังไงมันก็ทำกันไป เอ้า มาเข้าเรื่องกันต่อไปนะ นี่เรื่องอาโลกกสิณว่ากันหมดแล้วซี มาเข้าเรื่องของหล่วงพ่อปานต่อนะ

    หลังจากนั้นมาเมื่อหลวงพ่อปานฝึกอาโลกกสิณ อากาสกสิณเสร็จ ก็เหลือกสิณอีก ๔ อย่างคือ ปีตกสิณ สีเหลือง แล้วก็นีลกสิณ สีเขียว โอทาตกสิณ สีขาว โลหิตกสิณ สีแดง นี่กสิณทั้งหลายเหล่านี้ว่ากันเรื่องสีนะ กสิณสีเหลืองน่ะมีอานุภาพอย่างนี้ ถ้าเราต้องการอะไรก็ตามให้เป็นสีเหลืองหรือสีทอง เราบันดาลได้เลย สีเขียวก็เหมือนกัน ถ้าที่ใดสว่างอยู่ เราใช้กสิณสีเขียวเข้าบังคับ มันจะมืดตื้อไป หรือว่าต้องการของอย่างอื่นที่มันมีสีอื่น ถ้าต้องการให้มันมีสีเขียวละก็ทำได้ แล้วกสิณสีแดงก็เหมือนกัน กสิณสีขาวก็เหมือนกันนะ ทีนี้วิธีทำมันก็ไม่ยาก ไปเปิดตำราดูดีกว่านะ ให้ไปแล้วนี่ พูดไปแล้วก็จำไม่ได้หรอก ป่วยการ มันของง่าย ๆ กรรมฐานนี่น่ะนะลูกหลานนะ หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเวลาฉันพูดนี่ หมายถึงหลวงพ่อปานเองนะ คำว่า ฉัน น่ะ ท่านบอกว่า คุณเอ๊ย กรรมฐาน ๔๐ กองนี่ เวลาฉันพูดมันก็ง่ายคล้ายๆ กับขนมเบื้องทำด้วยปาก ละเลงแซะ ๆ ๆ ประเดี๋ยวก็เสร็จ แต่ว่าเวลาทำจริง ๆ น่ะมันยากนะลูกนะ แต่มันก็ยากตอนต้นเท่านั้นนะ จะเป็นกรรมฐานกองใดก็ตาม ถ้าเราทำได้ถึงฌาน ๔ เพียงกองเดียว แล้วก็พยายามรักษาอารมณ์ของฌาน ๔ ให้ได้ ตั้งไว้ให้ได้นาน ๆ ต่อไปกรรมฐานอีก ๓๙ กอง คุณเอ๋ย ไม่ต้องห่วงหรอก ๓ เดือนเท่านั้นล้มขอนหมด นี่แสดงว่าท่านบวชพรรษาแรก กรรมฐาน ๔๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ท่านพิสูจน์หมดเลย ยากไหม ฉันไม่เห็นมันจะยากตรงไหนนี่ ฉันเคยบอกแล้วว่าถ้าเราอ่านหนังสือออก หนังสือ ๔๐ เล่ม ๆ เล็ก ๆ บาง ๆ หนาประมาณ ๑๐ หน้า ถ้าเราอ่านเล่มใดเล่มหนึ่งออกเสียแล้วนะ เราเรียนในตอนต้นฝึกมาอ่านออก เล่มต้นอ่านออกหมดแล้ว อีก ๓๙ เล่มมันก็อ่านออกเหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรยาก กรรมฐาน ๔๐ กองก็เหมือนกันแหละ อย่างเรื่องกสิณก็เหมือนกันนะ นักปฏิบัติพระกรรมฐานน่ะ พอพูดเรื่องกสิณละ บางคนทำตาโต บอกแหม นี่เล่นกสิณเชียวรึ ฉันฟังแล้วสลดใจ ของธรรมดา ๆ ทั้งหลายเท่านั้นแหละ ทำไมมาพูดกันให้เป็นของยาก เป็นของหนัก สร้างความท้อแท้ให้แก่นักปฏิบัติที่หวังความดี นี่เป็นอันว่าจบการฝึกกรรมฐาน เอาเรื่องการเรียนหมอของหลวงพ่อปานดีกว่า เมื่อหลวงพ่อปานฝึกกสิณเสร็จท่านก็ย่ำเท้ากรรมฐานอีก ๓๐ กองจนเสร็จ ในระหว่างเสร็จแล้วนี่แหละ หลวงพ่อสุ่นก็ใช้ให้หลวงพ่อปานเป็นหมอแทน ตอนนี้หลวงพ่อสุ่นเป็นประธานแล้ว คนไข้จะไปจะมาเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อปาน เอาละซี เป็นทั้งหมอยา หมอสับ หมอน้ำมนต์ หมอน้ำมนต์แช่ หมอเสกหมาก ว่ากันไปตามเรื่องตามราว แล้วหลวงพ่อสุ่นก็คอยให้จังหวะ ถ้าคนไข้คนไหนสั่นแหง็ก ๆ เข้ามา หนาวจัดเป็นไข้มาเลเรีย บอกคุณปานไปเป่าเขาให้หายหนาวซี แต่ความจริงวิธีการอย่างนั้นจะไม่เป่าก็ได้ นึกให้มันหายหนาวก็ได้ แต่ชาวบ้านเขาจะหาว่าอวดฤทธิ์ ก็เลยใช้เป็นบทของคาถาเข้าบังเสีย หลวงพ่อสุ่นท่านก็บอก ปานเอ๊ย ไปนั่งทางหัวนอนคนไข้ซี ทางหัวเขานะ แล้วก็เป่าลงไป ๓ ที บอกให้เขาหยุดสั่น ให้เขาหยุดหนาวเสียเดี๋ยวนี้ มันจะได้พูดกันรู้เรื่อง หลวงพ่อปานก็ต้องเข้าเตโชกสิณ เวลาเข้าตั้งท่าหรือเปล่า เปล่า ไม่ได้ตั้งท่าหรอก นั่งอยู่งั้น เขานึกปั๊บก็ได้แล้ว เขาคล่องนี่ ก็เป่าลงไป แต่อธิษฐานว่าขออำนาจเตโชกสิณไฟนี้จงทำให้ร่างกายของคนไข้อบอุ่น แล้วก็เป่าลงไป ๓ ที คนไข้ก็หายสั่น ว่าไงหมอนิด ยังงี้ดีไหม หายสั่นแล้วมันก็ร้อนขึ้นมา ถ้าคนไข้คนไหนร้อนกลุ้ม หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า ปานเอ๊ย ไปเป่าให้เขาหายร้อนหายกลุ้มนะลูกนะ หลวงพ่อปานก็ทำอย่างนั้น นี่เป็นการเรียนหมอ ฝึกวิชาหมอไปในตัวเสร็จ แล้วการเรียนวิชาหมอนี่ก็เป็นของง่าย เพราะว่าพอล่อกสิณเข้าไปแล้วไม่มีอะไรยาก มันแบบคนที่เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ มีเงินใช้ไม่หมด จะต้องการอะไราคาเท่าไรก็ได้ตามต้องการ หรือว่าคนมีกำลังมาก ของจะหนักสักเท่าไรก็ยกไหว นี่ก็เหมือนกัน แล้วในด้านฌานต่าง ๆ หลวงพ่อปานเรียนจบถึงอรูปฌานภายในปีแรก หมายความว่ากรรมฐานนี่ ถ้าได้ถึง ๔๐ กองแล้วก็ได้อรูปฌาน เป็นสมาบัติ ๘


    ตอนนี้พอออกพรรษา หลวงพ่อสุ่นก็เรียกมาอบรมในการออกธุดงค์ บอกว่า ถ้าจะให้ดีละก็ต้องออกธุดงค์กัน แต่ว่าเวลาออกธุดงค์ท่านปล่อยเดี่ยวเลย ท่านบอกว่าไม่ต้องกลัวหลงหรอก ถ้ากลัวหลงละนึกถึงฉัน คิดว่ามันจะหลงให้นึกถึงฉัน นี่ลูกหลานคงจะสงสัยว่าเรื่องอภิญญา หลวงพ่อปานฝึกขนาดไหน คล่องทุกอย่างเลย ๓ เดือนเท่านั้น ไม่ต้องบอก ไปอ่านในอภิญญา ๖ เถอะ คล่องทุกอย่าง แล้วญาณต่าง ๆ ในอภิญญา ๖ ในวิชชา ๓ ได้คล่องหมด นี่เป็นไง คนเขาเอาจริงกันนะ หลวงพ่อปานท่านบอกว่า เวลาท่านไปธุดงค์ บางครั้งท่านรู้สึกว่าท่านไม่รู้จะไปทางไหน ท่านเข้าป่าลึกเหมือนกัน หลวงพ่อสุ่นสั่งหลวงพ่อปานไปธุดงค์น่ะ สั่งให้เข้าป่าลึกเลยนะ ไปดงกันจริง ๆ ไม่ใช่ธุดงค์แบบสมัยนี้นา ฉันสะอิดสะเอียนเหลือเกิน เที่ยวได้ปักกลดกันตามกลางเมืองหลวงบ้าง ข้างตลาดบ้าง ใกล้บ้านบ้าง ใกล้ห้องแถวบ้าน ดีไม่ดีปักใกล้ ๆ กับเสาเรือนเขาบ้าง มันไม่ถูกต้องอะไรหรอก บางทีไปธุดงค์ก็แถมไปรับเงินรับทองเขาบ้าง ไปบอกบุญเขาบ้าง เขาถวายจตุปัจจัยหรือสิ่งมีค่ารับเอาไป แบบนี้ใช้ไม่ได้ ไม่ควรสนับสนุน แต่ว่าถ้าเป็นเรื่องจำเป็นท่านยังเข้าป่าไปไม่พ้นหมู่บ้าน ไปถึงบ้านเข้าก็ไปปักกลดเป็นที่อาศัย แล้วเวลาปักกลดก็ไม่ใกล้กว่า ๑ กิโล ถ้าสถานที่มี หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง อย่างนั้นและใกล้บ้านเขาห้าม นี่ ๑ กิโลพอดี ๆ ไม่เป็นไร อันนี้ละก็ควรสนับสนุน ปักแล้วท่านก็ไป เช้าขึ้นท่านก็ลาไป ยังงี้ควร แบบมาแจกตะกรุดพิศมร พระเครื่อง บอกบุญ รับเงินรับทอง แบบนี้ฉันว่าไม่ควรให้อะไรเลย ทำพระศาสนาเสื่อม ไม่ไหว พวกนี้เลวเต็มที แล้วยังไงก็ไม่รู้ละ เวลานี้เขาก็เป็นอะไรต่ออะไรกันเยอะ ทำไมเขาไม่มองดูพระวินัยด้านนี้กันเสียบ้างก็ไม่รู้ ปล่อยกันเลอะเทอะ เป็นอันว่ายากเหลือเกิน ถ้าพวกนี้ไปทำชั่วเข้า เขาก็ว่าพระพุทธศาสนาไม่เป็นเรื่อง โน่น .. ไปกระทบกระเทือนพระพุทธเจ้าเข้า ไม่มีใครเขาเดือดร้อน


    เรื่องกระทบกระเทือนพระพุทธเจ้านี่ไม่มีใครเขาเดือดร้อนจริง ๆ สลดใจเหลือเกินนะลูกหลานนะ ช่างเขานะ เห็นเขาทำอย่างนั้นก็อย่าไปนึกตำหนิเขา ปล่อยเขา ใจเราจะได้ไม่มัวหมอง เมื่อเราไม่เลื่อมใสเราก็เลยไปเสีย แต่ว่าฉันน่ะไม่เห็นด้วยจริง ๆ นะ ฉันไม่เคยหากินนะอีแบบนี้ คำสั่งสอนในพระไตรปิฎกก็ไม่มีแบบนี้ ทำไมปล่อยกันเลอะเทอะมากก็ไม่ทราบ ปล่อยกันเกินพอดี เมากันมั้ง คนดูเมาเสียละมัง ถ้าเมาก็เลยมองไม่เห็นใคร ว่าง ๆ สร่างเมากันสักหน่อยดีไหม เลิกเมากันสักนิดดีไหม เมาลาภ เมายศ เมาสรรเสริญ เมาสุข อะไรนี่น่ะ เลิกเมากันสักพักดีไหม ชาวบ้านจะได้พบผ้าสะอาดกันเสียที คนเมานี่มันสกปรก ใครเขาเมากันบ้าง รัฐบาลตั้งโรงเหล้าเอง ท่านก็ไม่ได้บังคับว่าให้พระกินเหล้านี่ เมาอะไรกัน น่าสลดใจจริง ๆ นะ ว่าง ๆ เอาพระไตรปิฎกมาอ่านออกวิทยุกันบ้างไม่ดีรึ ชาวบ้านเขาจะได้รู้ของจริง เอาถ้อยคำที่เราแต่งขึ้นมาอ่านบางทีก็กลายเป็นเอาโคลนไปพอกเพชรเข้าให้ ชาวบ้านเลยไม่เข้าใจไม่เห็นเนื้อแท้ของเพชร


    ต่อแต่นั้นไป เวลาหลวงพ่อปานเข้าธุดงค์ ท่านบอกว่า บางครั้งท่านไม่รู้จะไปทางไหน ท่านก็ทำใจสบายนึกถึงหลวงพ่อสุ่น พอนึกถึงเท่านั้นแหละ ท่านบอกเห็นหลวงพ่อสุ่นเดินนำหน้าไปเลย ถ้าถึงทางแยกหลวงพ่อสุ่นจะชี้บอกทางแยกว่า ไปทางโน้นไปทางนี้ เมื่อไปตามนั้นก็ได้ผลตามความประสงค์ นี่เล่ากันอย่างย่อ ๆ นะ แต่ว่าวิธีการธุดงค์ของสมัยนั้นมันก็แปลก มีคนประเภทหนึ่งเขาชอบลองพระธุดงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านตะวันออก ทางด้านนครนายก ปราจีนบุรี นี่น่ะสำคัญมาก แถวนั้นเขาเรียกว่ามีต้นมหาโพธิสำหรับพระไปไหว้ ไปตั้งใจกำหนดเอาว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงบรรลุที่ต้นมหาโพธิต้นนี้ ถือเป็นเรื่องนึกกันขึ้นมา ไม่จริงไม่จงหรอก แต่การนึกนี่ก็เป็นการนึกดี นึกถึงพระพุทธเจ้า คิดว่าท่านบรรลุอภิสัมโพธิญาณตรงนี้ ก็เป็นอำนาจพุทธานุสสติกรรมฐาน สำหรับคนที่ยังมีบารมีอ่อนก็ต้องมีนิมิตเครื่องหมายเป็นเครื่องยึด ถ้าไม่มีนิมิตเครื่องหมายเป็นเครื่องยึดก้ไม่รู้จะเกาะอะไรเลย คนที่มีบารมีอ่อนก็เหมือนคนที่มีกำลังน้อย หรือเด็กที่ยังทรงตัวไม่ค่อยได้ จะเดินไปไหนก็ต้องมีไม้เท้าหรือต้องเกาะราวเดิน นี่เป็นยังงี้นา อย่างนี้ต้องมีนิมิตเครื่องหมาย ถ้าหากว่ามีบารมีแก่กล้าแล้ว มีปีกแข็งขาแข็งเดินได้สบาย ก็อีกเรื่องหนึ่ง ทีนี้บรรดาพระทั้งหลายก็นิยมกันว่าต้องไปที่ปราจีนบุรี ไปใต้ต้นศรีมหาโพธิ ดินแดนตะวันออกดินแดนหนึ่ง ดินแดนภาคอีสานดินแดนหนึ่ง มีหมอเขาเรียกว่าหมอไสยศาสตร์ ชอบลองพระ ใช้ยาเบื่อยาสั่ง ลองพระบ้าง ทำคุณไสยด้วยอำนาจจิตบ้าง เอาของเข้าท้อง อันนี้หลวงพ่อปานก็เคยโดนมา ท่านบอกว่า เคยโดนมาวันหนึ่ง ท่านว่ายังงั้น จะเล่าพอเป็นตัวอย่าง


    เขาเอาของมาถวายตอนเช้า มีผู้ชาย ๒ คน แต่งตัวเรียบร้อย เอาต้มยำมีหัวกะพุงปลาเท่านั้นแหละ ต้มยำมาถวาย ๑ โถ ข้าวขาวจ๋อง คนอื่นก็เอามาถวายเหมือนกัน เพราะผ่านบ้านนี่ก็ต้องปักกลดใกล้บ้าน แต่ไม่ใกล้กว่า ๑ กิโล แต่ข้าวไม่สวยอย่างนั้น กับข้าวไม่สวยอย่างนั้น เมื่อท่านเห็น ท่านรู้ตัวอยู่แล้ว หลวงพ่อสุ่นสั่งไว้ว่า ออกธุดงค์ทุกครั้งจะกินข้าวต้องทำน้ำมนต์พรมเสียก่อน อาหารดีไม่ดีมันจะไปโดนอย่างอื่นเข้า พอท่านเอาน้ำมนต์พรม ปรากฏว่าข้าวขาวจ๋องในขันที่เขาเอามาถวายกลายเป็นเม็ดทรายทั้งนั้น แล้วก็ต้มยำนั่นน่ะ กลายเป็นหนามยาว ๆ ผูกไขว้กัน พอทำได้ขนาดนั้น ท่านเจ้าของตกใจ ทำหน้าซีดเลย แล้วเขาก็แก้ว่า ความจริงผมไม่ต้องการให้ท่านฉัน ผมจะพิสูจน์ดูว่าท่านจะมีดีไหม หากว่าท่านจะฉัน ผมก็จะบอกว่าไม่ให้ฉัน ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ท่านก็รู้ว่าเขาแกล้ง แล้วต่อมาเขานิมนต์ให้พักอยู่ ๓ วัน ท่านก็พัก ท่านบอกว่าอยากจะดูซิว่า มันจะทำยังไงต่อไปอีก


    ตอนกลางคืนมันก็มาทำ ทำเป็นนกมาจับอยู่ที่ยอดกลดบ้าง ท่านก็หาไม้แหลม ถือไม้เล็ก ๆ แทงขึ้นไป เสกไม้แทงไป นกตัวนั้นมันก็กลายเป็นหนังควายผืนใหญ่ เรียกว่า คืนนั้นทั้งคืนโดนกันแบบนี้แหละ เสียงปุปะปุปะ ไม่ได้หลับตลอดคืน เป็นอันว่าถูกพิสูจน์ตลอดคืน ต่อมาเมื่อถึงตอนเช้า ท่านก็เลยเอาไอ้หนังแผ่นนั้น หนังควายที่เขาทำนกน่ะรองนั่ง มันอยากส่งมาให้นี่ ท่านว่าอย่างนั้น ฉันก็เลยเอารองนั่งเสีย แล้วเวลาฉันข้าว เจ้า ๒ คนนั่นก็มาอีกแหละ เอาของมาถวายอีก ตานี้ฉันเอาน้ำมนต์พรม ไม่มีอะไร เป็นข้าวธรรมดา เป็นกับธรรมดา แต่ว่าเวลาฉันข้าว หนังที่นั่งทับน่ะมันค่อย ๆ เล็กลงไปทีละหน่อย ๆ เล็กเข้ามา ๆ หนังความทั้งตัวมันใหญ่ เล็กเข้ามาจนกระทั่งแค่เข่าฉัน พอดีกับตัว ฉันสังเกตไว้ พอมันพอดีกับที่นั่ง คล้าย ๆ กับผ้ารองนั่ง ฉันก็เอาน้ำมนต์พรม เอาน้ำในขันน่ะนึกอธิษฐานพรมว่า ไอ้สิ่งนี้มันมีสภาพเป็นยังไงก็ขอให้สภาพเป็นไปตามเดิม อธิษฐานจิตแค่นี้ คาถาอาคมทั้งหลายเหล่าใดก็ตามที่เขาทำมา ขอให้สลายตัว แล้วเอาน้ำมนต์พรม พอพรมลงไปหนังมันก็ขึงไปใหญ่ตามเดิม อีตา ๒ คนหน้าเสีย เป็นอันว่าจบพิธีการกัน เรื่องธุดงค์ของท่านน่ะ ฉันเล่าให้ฟังเท่านี้แหละ เพราะนอกจากนั้นเรื่องธุดงค์ของท่านก็ผ่านมามากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านปราจีนบุรีนี่ ตัวฉันเองก็โดนมาสมัยออกธุดงค์ มีวันหนึ่งฉันเดินผ่านไปใกล้บ้าน ๓ คนกะเพื่อน ไอ้เพื่อนกันน่ะที่เข้าป่า มันอยากน้ำเต็มทีนี่ ก็แวะเข้าไปและเข้าไปในบ้านเขา ก็ปรากฏว่าพ่อแม่อยู่ข้างล่าง ลูกสาวเขาอยู่ข้างบน ฉันก็ร้องขอน้ำเขากิน เขาก็นิมนต์ขึ้นไปบนบ้าน แต่พ่อแม่ของเขาไม่ขึ้น อยู่แต่ลูกสาวอายุ ๑๕ - ๑๖ ประมาณนั้นน่ะ คนเดียว แม่ลูกสาวไปตักน้ำมา เอาขันน้ำวางลงไปในถาด น้ำใสแจ๋ว เป็นน้ำบ่อ แล้วก็มีจอกลอย จอกเล็ก ๆ วางมาในถาด พอมาถึงเขาก็วางถาดน้ำลงข้างหน้าแล้วเขาก็จับจอกลอยลูกนั้นตักน้ำแล้วก็ดื่มกิน แล้วเอาจอกลอยวางในขัน เขาบอกว่าที่นี่มียาเบื่อยาเมามากนัก ต้องกินน้ำให้ดูก่อน ประเดี๋ยวจะหาว่าแกล้งฆ่าพระ เดี๋ยวท่านจะสงสัยไม่กล้าดื่มน้ำ แต่ความจริงฉันไม่รู้เรื่อง พอเขาดื่มให้ดูแล้ว เขาก็เอาขันวางลงไปในน้ำ ฉันกำลังอยากนี่ ฉันก็หยิบซี ไม่ได้ดูอะไรละ ญาณเยินต่าง ๆ น่ะไม่ได้ใช้ โธ่ คนที่ใช้ได้ไม่เผลอน่ะ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวนา ขนาดพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณอย่างพระมหากัสสปก็เผลอ ไม่มีใครรู้แจ่มใส ไม่มีใครไม่เผลออะไรหรอก เผลอทั้งนั้น มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะรู้อะไรได้ทุกขณะจิต พระอรหันต์น่ะไม่ไหวหรอก ก็เผลอ ถ้าไม่ใช้ก็ไม่รู้อะไรกัน ยิ่งอย่างฉันด้วยยิ่งไปกันใหญ่ ฉันไม่ได้เป็นกังหันกับเขานี่ มันก็ยิ่งเผลอมากกว่าเขา ฉันหยิบขันน้ำลูกนั้นตักจะดื่ม แม่หนูน้อยตบมือฉาด ขันน้ำกระเด็น ฉันแปลกใจ ถามว่า หนูตบทำไมจ้ะ เขาก็บอกว่า ท่านไม่ใช่พระบ้านนี้ใช่ไหม ใช่ ฉันธุดงค์มาจากอยุธยา เธอว่า มิน่าเล่า ถึงได้กินน้ำแบบนี้ ถามว่าทำไม แกเลยบอกว่า แถวนี้มียาเบื่อยาเมามาก วิธีการแบบนี้เป็นการฆ่าคนนะ นี่เขาเอายาพิษทาใต้ก้นขัน แล้วเอาขันวางไว้างข้างนอก เวลาตักน้ำจ้วงลงไป ยาพิษยังไม่ลงไปในน้ำ น้ำในขันที่เขาดื่มน่ะมันยังไม่มีพิษ เวลาเอาจอกลอยวางลงไปในขัน ลงไปในน้ำ ยาพิษจะละลายตัว ถ้าท่านฉัน จะตายทันที บอกว่าถ้าเป็นยาพิษก็ต้องตายที่นี่ ถ้ายาสั่งก็จะต้องไปตายที่อื่น เขาสั่งให้กินอะไรตาย ก็ตายตามนั้น ฉันไม่รู้เรื่องเลย แล้วเธอก็ไปตักน้ำมาใหม่ ๑ ขัน บอกว่าคราวนี้ฉันได้ ก็เป็นอันว่าบุญตัวของฉันนะ นี่ได้ครูบาอาจารย์ใหม่ เด็กคนนี้ฉันถือว่าเป็นครูฉัน เป็นผู้มีคุณกะฉันมาก ไม่ยังงั้นฉันก็เอวังกิ่มไปนานแล้ว นี่ว่ากันตามความของความเป็นจริงนะ เรื่องการกระทำของพระที่ไปธุดงค์น่ะมันเป็นยังงี้


    ตานี้มาเล่ากันถึงเรื่องหลวงพ่อปานต่อไป เมื่อหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อสุ่นได้พอพรรษา เมื่อกลับจากธุดงค์แล้ว หลวงพ่อสุ่นก็บัญชาว่า คุณปาน คุณจะต้องศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยบาลีน่ะ เวลานี้เขาสอนอยู่ที่วัดเจ้าเจ็ดใน คุณต้องไปเรียนที่นั่น การอยู่ที่วัดนี้แล้วจะไปเรียนถึงวัดเจ้าเจ็ดในน่ะมันลำบาก มันไกลมาก ห่างกันประมาณ ๓ - ๔ กิโล ถ้าจากวัดบางปลาหมอนี่ก็ประมาณ ๕ กิโล หลวงพ่อปานก็บอกว่า เกล้ากระผมจะขอลาไปอยู่วัดบางนมโคขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็อนุมัติ แต่ท่านสั่งว่าทุกเดือนนาคุณปาน คุณต้องมาหาฉัน แล้ววิชาหมอที่ฉันสอนนี่น่ะ ต้องทำทุกวันนะ อย่าละ ถ้าละ ฉันรู้ เธอจะถูกลงโทษ นี่ท่านสั่งไว้ หลวงพ่อปานก็ไป เมื่อไปอยู่ที่วัดบางนมโคก็มีอาจารย์เกี้ยวอีกองค์หนึ่ง ชื่อ พระเกี้ยว ไม่ใช่เกี้ยวใคร แกเกี้ยวตัวของแกเอง แกชื่อเกี้ยว บวชพรรษาเดียวกับหลวงพ่อปาน แต่ว่าอยู่ประจำอยู่ที่วัดบางนมโค ก็เลยเป็นคู่ไปเรียนบาลีด้วยกันที่วัดเจ้าเจ็ดใน ต้องพายเรือไปเรียน ท่านบอกว่าเวลาจะพายเรือไปเรียนหนังสือ จะไปบิณฑบาตก็ตาม ท่านท่องแบบของท่านเรื่อยไปเลย นี่ ความขยันหมั่นเพียรของท่านนา เมื่อเรียนบาลีอยู่ที่วัดเจ้าเจ็ด ๒ ปี ก็เรียกว่าครูหมดทุน เมื่อครูหมดทุน คุณครูก็หาทางส่งต่อไป เพราะครูมาจากวัดสระเกศ ส่งเข้าไปวัดสระเกศอีก ท่านไปเรียนอยู่ที่วัดสระเกศอีก ๕ ปี เรียนอีก ๕ ปี จบอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นี่อาจารย์เกี้ยวตั้งวิเคราะห์ตามแบบบาลีได้ทุกตัว สำหรับหลวงพ่อปานสนใจวิสุทธิมรรคมาก เพราะเป็นนักปฏิบัติ เมื่อกลับมาวัดบางนมโค ๒ คนด้วยกันก็มาตั้งสำนักเรียน สอนเรียนบาลีและนักธรรม แล้วก็เรียนจริยาของพระ เรียนการแปลหนังสือพระไตรปิฎก สอนกันเต็มอัตรา แล้วก็เป็นนักเทศน์ด้วยกันทั้งคู่ เป็นนักเทศน์มีชื่อเสียงมาก พร้อมกันนั้นก็ประกาศตนเป็นหมอ แต่ว่าท่านมีความเคารพในหลวงพ่อสุ่นมาก ทุกเดือนท่านจะต้องไปหาหลวงพ่อสุ่นตามวันเวลาที่หลวงพ่อสุ่นกำหนดให้ หลวงพ่อสุ่นมีอะไรก็จะเพิ่มเติมให้เสมอ ไม่งั้นก็ตักเตือนสั่งสอน ด้านจิตใจของหลวงพ่อปานนี่รู้สึกว่ามีความกตัญญูกตเวทีมาก แล้วมีความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่มาก เท่าที่เห็นนะ

    เมื่อท่านกลับมาอยู่วัดบางนมโค สมัยนั้นเป็นวัดกระโหรงกระเหรงไม่มีอะไร สมัยปัจจุบันนี่ของเก่าก่อนหน้าหลวงพ่อปานไม่มีเลย จะมีก็แต่ที่ดินกับต้นไม้ หมายความว่าผืนแผ่นดินน่ะหลวงพ่อปานไม่มีปัญญาสร้างแน่ กับต้นไม้นี่อาจจะมีของเก่าอยู่ แต่ทางด้านวัตถุก่อสร้างไม่มีเลย ท่านรื้อหมดทั้งวัด แล้วก็สร้างถาวรวัตถุเต็มวัด ประมาณ ๔๐ วัด สร้างเฉพาะโบสถ์กับศาลาให้อีกต่างหาก นี่ไม่ทราบจำนวน พิสูจน์กันดูแล้ว ไล่กันดูแล้ว เฉพาะวัดต่าง ๆ ภายนอกน่ะ ๔๑ วัด รื้อหมดทั้งวัด เฉพาะสร้างโบสถ์ศาลาต่างหาก แต่ว่างานก่อสร้างนี่ ลูกหลานเอ๋ย หลวงพ่อปานกับฉันนี่ก็มีสภาพอย่างเดียวกัน ไม่ว่าใครทั้งนั้นละ นักสาธารณประโยชน์ คือ นักสงเคราะห์น่ะ นักสงเคราะห์โดนดีเหมือนกัน เจ้าถิ่นนี่บางแห่งก็ดี น่าทำ น่าปลืมใจ แต่เจ้าถิ่นบางแห่งก็ซวยเหลือเกิน ไม่เอาไหนเลย ไม่ร่วมมือด้วยประการทั้งปวง บางทีก็ต่อต้านเสียด้วย อย่างหลวงพ่อปานก็โดนมาหลายราย บางรายที่ฉันร่วมไปด้วย เมื่อฉันไปด้วย ท่านก็ .. บางทีเจ้าวัด เขาไม่เอาด้วยหรอก แม้แต่บุหรี่เขาก็ไม่หามาให้สูบ น้ำก็ไม่ตักมาให้กิน การต้อนรับขับสู้ก็ไม่มี เวลาจะให้ไปน่ะมาเชิญให้ไปนา มาขอร้องให้ไป มากราบมาไหว้ให้ไป แต่เวลาไปเข้าจริง ๆ พอลงมือไปได้หน่อย พวกไม่เอาไหนเสียแล้ว ไม่เอาไหนด้วยประการทั้งปวง ที่พักก็ไม่จัดให้ นี่โดนมาหลายรายการในสมัยของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานเองนั่นแหละก็โดนมาด้วยกัน เพราะหลวงพ่อโดนซีฉันถึงได้โดน มาสมัยฉันนี้ก็โดนอีแบบนี้อีกแหละ ก็บรรดาพระเหล่ากอของเทวทัตนี่มันมีไม่น้อยนะ ที่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ลูกหลานที่รัก เขามีหวังอยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าพวกเราไปทำ การเงินจะผ่านมือพวกเขา ในเมื่อการเงินผ่านเมือพวกเขา เขาก็จะแบ่งเก็บไว้เป็นกำไร นี่ซิ เวลาพวกเราไปทำเข้าจริง ๆ การเงินไม่ผ่านมือพวกนี้ เพราะเวลาการเงินจะมาเมื่อไร พวกเราก็เอาเจ้าหนี้ไปนั่งคอยเลย สั่งของก่อนนี่ เอาเจ้าหนี้ไปนั่งคอย เมื่อเขาส่งเงินให้เมื่อไหร่ก็ส่งให้เจ้าหนี้ปุ๊บ อย่างนี้เขาไม่มีโอกาสจะโกง พระพวกนี้จึงเกลียด นี่แหละโดนกันมาไม่น้อย ฉันก็โดน เวลานี้ก็กำลังโดนอยู่ คนประเภทนี้มีเยอะ คนทำลายพระศาสนามีเยอะ พวกนุ่งผ้าเหลืองห่มผ้าเหลืองนี่แหละไว้ใจไม่ค่อยได้นัก ความจริงไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนดี ฉันน่ะมันไม่ดีไม่เดอะไรหรอก แต่โดนเข้าแบบนี้มันก็น่าสลดใจ


    นี่มาว่ากันต่อไป ในเริ่มต้นก็เริ่มสร้างเจดีย์ก่อน เจดีย์ที่วัดบางนมโคสร้างก่อน สร้างแล้วก็มาสร้างหอสวดมนต์ หลังจากนั้นก็สร้างกุฏิ เมื่อสร้างกุฏิเสร็จแล้วก็มาสร้างโบสถ์ นี่ว่ากันตามลำดับมา แต่ไม่ได้เรียงกันหรอก ท่าสร้างเจดีย์แล้วท่านก็เที่ยวไปสร้างวัดอื่น ท่านก็ทำแบบนี้ ท่านสร้างคราวเดียวหลาย ๆ วัด ท่านสร้างมาก บารมีของท่านสูง ท่านจะพูดอะไรมันเป็นเงินเป็นทองไปหมด สมัยนั้นไม่มีวิทยุ ไม่มีเครื่องขยายเสียง ท่านจะไปที่ไหนก็ตาม พอนั่งปุ๊บ ประเดี๋ยวเดียวคนมากันมาก เวลาคนมาท่านพูดว่า ลูกเอ๋ย ลูกกูหลานกูทั้งหลายเอ๋ย นี่พ่อจะมาสร้างโบสถ์ที่นี่นะลูกนะ พ่อจะมาสร้างศาลาที่นี่นะลูกนะ มีสตางค์ก็มาทำบุญกันนะ ใครมีแรงก็มาช่วยกัน ถ้าใครเขาเอาฎีกาเรี่ยไรบอกว่าพ่อให้ไปเรี่ยไร ก็อย่าให้เขามานะ พ่อไม่ทำยังงั้น พ่อแจกฎีกาก็เพียงบอกให้รู้เท่านั้น ถ้าใครจะทำบุญก้มาทำบุญกับพ่อเองนะ นี่เป็นวาทะของท่าน แต่ว่าท่านพูดเพราะกว่านี้ เสียงของท่านเพราะเยือกเย็น พูดฟังหวานจริง ๆ เท่านี้แหละบรรดาลูกหลานที่รัก เงินหลั่งไหลกันมาบอกไม่ถูก คนก็มากันคึกคัก เวลามาทำงานเขาเอาข้าวมากินกันเอง ทุกคนเขาร่วมมือกันด้วยศรัทธาแท้ ไม่เหมือนสมัยฉันหรอก สมัยฉันนี่ตอนทำแถวใต้ก็ดีเหมือนกัน แต่อีตอนทำแถวเหนือก็มีคนอยากช่วยเหมือนกัน แต่เวลาจะช่วยเขาเอาสตางค์ ถ้าไม่เอาสตางค์ก็ขอเหล้าบ้าง ขอกาแฟบ้า เลี้ยงข้าวบ้าง ฉันก็แปลกใจ เวลาฉันจะทำก็เงินส่วนใหญ่เป็นเงินของลูกของหลานภายนอก คนข้างในนี่จะมาเอาค่าจ้าง แปลก เว้นไว้แต่ช่าง ในเมื่อฉันหาแรงงานช่วยไม่ได้ ฉันก็จ้างช่าง ๆ ที่ฉันจ้างก็ดี โดยมากเขาทำกันจริงจัง เขาไม่เอาเปรียบกัน แต่สำหรับที่บอกพวกมาช่วยนี่ซีเอาเปรียบ เวลาจะกินเท่านั้นจะมา ใกล้ ๆ เพลน่ะ พอกินเพลแล้วก็ค่อย ๆ ถอยไป ตอนบ่าย ๆ เขาจะเลี้ยงกาแฟกัน มา มีคนมาก บางทีก็มาขอเหล้า หัวหน้าเขาไปซื้อเหล้า ซื้อน้ำตาลเมา เวลาใกล้ ๆ จะกินเหล้าจะกินน้ำตาลนั่นละ มาอีก นี่สายนี้ สายที่อยู่ปัจจุบันมันไม่เจริญก็เพราะใจคนมันไม่เจริญ อันนี้แย่ สมัยหลวงพ่อปานท่านไม่เป็นยังงั้น สมัยฉันสร้างสายใต้ก็ไม่เป็นยังงั้นหรอก ไม่เป็นแบบนี้นะ โดยมากเขามาช่วยกันด้วยกำลังแท้ เอาข้าวมากินด้วย แล้วทำกันอย่างจริงจัง ไม่มีใครมาขอเหล้ายา น้ำตาลเมา กาแฟไม่มี นอกจากว่าจะเลี้ยงกาแฟ นี่เป็นหน้าที่ของเรา ๆ จะเลี้ยง เขาก็รับ บางทีเขาห้ามไม่ให้เลี้ยง นี่จัดว่าเป็นความดีของคนแถวใต้ ๆ เขามีจิตใจเจริญมาก มีคนจิตใจเข้าถึงธรรมะมาก น่าสรรเสริญ เอา .. ปล่อยไปสำหรับคน ลุงพุฒิแกบอกว่าจะไปเทียบกันได้ยังไงล่ะ ในเมื่อไอ้พวกนั้นมันอยากเป็นเทวดา พวกนี้เขาอยากเป็นเปรต ดีเหมือนกันนะลุงนะ แหม ความจริงลุงนี่ก็ดี เวลาฉันพูดลุงมานั่งใกล้ ๆ นี่ฉันสบายใจจังเลย ลุง .. ถามจริง ๆ เถอะ ทำไมมันถึงได้อยากเป็นเปรตกันนัก อ๋อ .. บอกว่าเชื้อของความเป็นเปรตมันมีมาก พวกนี้ไม่มีทางพ้นหรอก พวกนี้ไม่มีทางพ้น เป็นแต่เปรตน่ะเป็นบุญตัว ที่ลงไปเผาไหม้ในนรกน่ะเยอะ เพราะอะไร เพราะชอบกินเงินส่วนสาธารณประโยชน์ เงินวัดเงินวานี่น่ะนาเขาเรียกเงินส่วนสาธารณประโยชน์ ชอบนัก เจ้าพวกนี้ชอบยกเข้าบ้านนัก ดูให้ดีเถอะ แกบอกดูให้ดีเถอะ น้อยตัวเหลือเกินที่จะเป็นนักบุญแท้ เอ้า .. ก็แล้วไปนะ เราทำความดีนี่ เขาจะทำความชั่วก็ช่างเขา ตานี้มาว่ากันอีกตอนนะ ตอนหลังจากที่ท่านเรียนบาลีที่วัดเจ้าเจ็ดเสร็จแล้ว ท่านก็มาเรียนที่วัดสระเกศ ท่านก็เป็นนักเทศน์ ตอนเป็นนักเทศน์นี่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ลูกศิษย์ของท่านที่สอนบาลีไว้ได้เป็นเจ้าคุณ องค์นี้ชื่อเดิมชื่อสอน ต่อมาเขาตั้งเป็นพระราชาคณะ เจ้าคุณอะไรก็ไม่ทราบ เป็นเจ้าคณะจังหวัดพิษณุโลก แต่หลวงพ่อปานท่านสอนลูกศิษย์ของท่านนะว่า อย่าเมานะ ถ้าได้ยศแกอย่าเมาให้ฉันรู้เชียวนา ถ้าแกบ้ายศเมื่อไรละ แกกับฉันไม่ต้องพบหน้ากัน แล้วแกอย่าไปอ้างเชียวนะว่าฉันเป้นครูบาอาจารย์แกน่ะ ไม่ได้เด็ดขาด ไอ้พวกบ้า ๆ เมา ๆ นี่ฉันไม่ต้องการ ยศฐาบรรดาศักดิ์นี่พระพุทธเจ้าทรงห้ามว่ามันเป็นโลกียธรรม มันเป็นเรื่องของกิเลส จิตที่มีกิเลสเท่านั้นที่มันต้องการยศ พระเราบวชเข้ามาแล้วมีความปรารถนาจะเปลื้องกิเลส ถ้าเราพอใจในความร่ำรวย ในลาภ ถ้าเราพอใจในยศฐาบรรดาศักดิ์ เราพอใจในการสรรเสริญ ในสุข ในกามารมณ์ ก็ชื่อว่าเราบวชมาพอกกิเลส เป็นการหลอกลวงชาวบ้านเขา เขาเป็นคนชั่ว เราประกาศตัวเป็นคนดี ใช้ไม่ได้ ในเมื่อยศฐาบรรดาศักดิ์ พระราชาท่านจะตั้ง เราก็รับได้ แต่อย่าเมา ใช้ได้แต่เฉพาะเวลาที่เขาใช้ยศ เวลาไหนที่เขาใช้ยศก็ใช้เวลานั้น ความรู้สึกในตอนนั้นก้รู้สึกว่ามียศได้ แต่เวลาที่เขาไม่ใช้กันก็ให้วางเสีย ทำตัวเป็นพระ อย่าทำตัวเป็นคนมียศตลอดกาล ถ้าฉันรู้เมื่อไหร่ แกกับฉันเลิกนับถือในฐานะครูบาอาจารย์หรือศิษย์ซึ่งกันและกัน นี่บรรดาลูกหลานฟังซิ ผู้ใหญ่ท่านสอนกันยังงี้นะ ไม่ได้สอนให้เมา แล้วเงินทองก็เหมือนกันนะ แกอย่าไปสะสมให้มันมากเกินกว่า ๑ พันบาท หรือทางที่ดุควรจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าไม่ถึงพันบาท เป็นการป้องกันตัวในยามเจ็บไข้หรือยามจำเป็น นี่พูดถึงเงินส่วนตัว ถ้ามันจะครบ ๑ พันบาท ให้หาทางจับจ่ายไปเสีย ถ้าได้มากกว่านั้นเท่าไรไปสร้างในส่วนสาธารณประโยชน์ หรือสงเคราะห์คนให้มาก นี่ท่านสอนลูกศิษย์ท่าน ลูกศิษย์ท่านก็จริงเหมือนกัน เจ้าคุณสอนนี่ก็เก่งนะ เวลาจะไปบิณฑบาตก็เคยพบกัน วันหนึ่งจะไปบิณฑบาต ฝนตกพรำ ๆ ท่านแหงนขึ้นไปบนฟ้าบอกว่า นี่เดี๋ยวก่อนซี่ค่อยตก จะมาตกอะไรเวลานี้ล่ะพ่อคุณ จะไปหากินนี่ ปั้ดโธ่ จีวรเปียกก็แย่ซี พระเจ้าไม่ค่อยมีจีวรใช้ เดี๋ยวหยุดสักพักนะ พอกลับมาจากบิณฑบาตค่อยตก หยุดเลย ฝนหยุด ไปบิณฑบาตกันอย่างสบาย พอกลับมา พอลงมือฉันข้าว ฝนตกจั้ก ๆ ๆ นี่แสดงว่าท่านดีตามอาจารย์ของท่าน เจ้าคุณสอนองค์นี้เก่ง แต่ว่าชาวพิษณุโลกจะรู้จักความดีของเจ้าคุณสอนหรือเปล่าไม่ทราบ ท่านพวกนี้ถ้าใครไม่รู้จักดีท่านก็ไม่เอาดีของท่านมาแจกใครเหมือนกัน เพราะถ้าขืนแจก มันก็ไม่ต่างอะไรกับเอาเพชรไปแจกลิง มีประโยชน์อะไร ลิงไม่รู้จักคุณค่าของเพชร ข้อนี้อุปมาฉันใด คนก็เหมือนกัน ถ้าเมาอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ไม่รู้ค่าของพระธรรมวินัยฉันนั้น


    เรื่องการเทศน์นี่มันมีอยู่ตอนหนึ่ง หลวงพ่อปานกับอาจารย์เกี้ยว เทศน์มีชื่อเสียงมากในตอนนั้น โด่งดังมาก อาจารย์เกี้ยวนี่น่ะเสียงกังวาน เสียงห้าวหาญ หลวงพ่อปานนิ่มนวล พอเหมาะกัน ถ้าจะเปรียบเสียงก็เหมือนเสียงฉิ่งกับเสียงฉับ คนหนึ่งฉิ่ง อีกคนหนึ่งฉับ ถ้ามันฉิ่งเสียเหมือนกันก็น่าเบื่อ หรือเสียงฉับ ๆ เสียเหมือนกันก็น่าเบื่อ คนหนึ่งฉิ่งอีกคนหนึ่งฉับมันก็น่าฟัง อาจารย์เกี้ยวเสียงดัง ห้าวหาญ แคล่วคล่องมาก หลวงพ่อปานนิ่มนวลเสียงกังวาน แต่กระแสเสียงดังไม่ต่างกัน หลวงพ่อปานเก่งมหาสติปัฏฐาน เวลาเทศน์มหาสติปัฏฐานสูตรน่ะความจริงเป็นขั้นปรมัตถ์ เป็นข้อปฏิบัติทั้งหมด คนฟังไม่อยากให้เลิก ฟังกันเงียบกริบ หาคนเบื่อก็แสนยาก ฉันฟังนักเทศน์สมัยนี้เทศน์มหาสติปัฏฐานสูตรเพียงแต่ละบรรพก็ไม่ครบถ้วน เลิกแล้วฟังไม่รู้เรื่องเลย สำหรับหลวงพ่อปานเทศน์ เวลาเราฟังท่านเทศน์รู้สึกว่าเราจะเป็นอรหันต์เสียเดี๋ยวนั้นเลย ความชุ่มชื้นใจ มีอาการคล้ายว่าจะเป็นอรหันต์เสียเดี๋ยวนั้น นี่ท่านเทศน์ไพเราะมาก ตานี้มาว่ากันถึงการเทศน์ที่จังหวัดพิษณุโลก ในการเทศน์คราวนั้นมันก็มีเรื่องใหญ่ คือว่า เจ้าคุณสอนนิมนต์หลวงพ่อปานกับอาจารย์เกี้ยวไป แล้วก็บอกด้วยว่ามีคู่เทศน์องค์หนึ่ง คือ เทศน์ด้วยกัน ๓ องค์ องค์นั้นเขามีชื่อที่โน่นมาก ท่านเองทั้งสององค์ก็ไม่แน่ใจด้วยเขามีชื่อเสียงมาก ดีไม่ดีเขาจะถามเอาจนท่านทั้งสองจะตอบไม่ได้ ก็ซ้อมกันเดือนหนึ่ง ตกบ่าย ๆ ละก็ ๒ องค์มาซ้อมกันเดือนหนึ่งเลย ซ้อมถามกัน ซ้อมตอบกัน อาจารย์เกี้ยวเป็นคนถาม หลวงพ่อปานเป็นคนตอบ หลวงพ่อปานเป็นคนถาม อาจารย์เกี้ยวเป็นคนตอบ ซ้อมกันอยู่อย่างนั้น ตอนไหนใครไม่รู้ก็ค้นหาตำรับตำรากัน เอาให้ช่ำ ท่านซ้อมกันอยู่ ๑ เดือน เวลาไปใช้เรือแจว สมัยนั้นมันมีรถมีเรือไฟอะไรที่ไหนเล่า ใช้เรือแจว แจวขึ้นไปกว่าจะถึงจังหวัดพิษณุโลก เวลาขึ้นไปถึงวันงานที่เจ้าคุณสอน มีงานเขาสวดมนต์เย็นกันก่อน หลวงพ่อปานกับอาจารย์เกี้ยวขึ้นไปเห็นพระองค์นั้นเขานั่งอยู่หน้าองค์อื่น ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของถิ่น ท่านขึ้นไปกราบ ๆ เขาไม่รับ เขาไม่ยกมือรับไหว้ น้ำร้อนน้ำชาเขาก็ไม่ยกมาให้ เขาไม่เสือกมาให้ฉัน เรียกว่า เขาไม่บอกให้กิน เขารับประเคนของเขาไว้ เขาก็กินของเขาคนเดียว เขาไม่อยากพูดด้วย ตอนนั้นหลวงพ่อปานเลยถามเขาว่า ท่านขอรับ ในวันพรุ่งนี้เราจะเทศน์อะไรกัน องค์นั้นเขาตอบว่ายังไงรู้ไหม เขาตอบว่า เราเป็นนักเทศน์นี่ จะถามอะไรกันล่ะ จะเทศน์อะไรก็ไปรู้กันบนธรรมาสน์ อาจารย์เกี้ยวชักไม่พอใจ หลวงพ่อปานก็แปลกใจว่า เอ๊ะ เขาจะเอาธรรมะขึ้นไปเทศน์หรือจะเอากิเลสขึ้นไปเทศน์กันแน่ พอถึงเวลาจะสวดมนต์ อาจารย์เกี้ยวนั่งรองเขา หลวงพ่อปานนั่งรองอาจารย์เกี้ยว หลวงพ่อปานกระซิบบอกอาจารย์เกี้ยวว่า เวลาเขาสวดมนต์แกฟังดูนะ เขาว่าจังหวะจะโคน เขาใช้เสียงถูกต้องตามภาษาบาลีไหม ทีนี้เวลาสวดมนต์จริง ๆ เขาว่าตามภาษาบาลีเปี๊ยบ เขาว่าไม่ผิด พอเลิกแล้วก็กลับลงมาเรือ อาจารย์เกี้ยวบอกว่ เขาแน่โว้ย เขาว่าไม่ผิดเลย เสียงหนักเสียงเบาเสียงอะไรก็ตามเถอะ จังหวะจะโคนนี่เขาว่าไม่ผิด ท่าเขาแน่เหมือนกัน เจ้าคุณสอนลงมากระซิบว่า พระองค์นี้น่ะชอบหักพระ หมายความว่า แกล้งกัน แกล้งถามให้จน ขอให้หลวงพ่อปานกับอาจารย์เกี้ยวระมัดระวังไว้ หลวงพ่อปานกับอาจารย์เกี้ยวบอกว่า ฉันก็เทศน์แค่รู้ซิ เลยรู้น่ะฉันเทศน์ไม่ได้หรอก เขาถามมา ถ้าฉันตอบไม่ได้ก็ยอมเขา ทำไงได้เล่า พระไตรปิฎกเราจะรู้ได้หมดยังไง เมื่อเจ้าคุณสอนขึ้นไปแล้ว ท่านก็เตือนอาจารย์เกี้ยวว่า คืนนี้ท่านทำกรรมฐานให้เต็มที่นะ เข้ากรรมฐานให้เต็มที่ แล้วเวลาจะเทศน์กับเขาก็ต้องเข้าถึงฌาน ๔ หรือ ฌาน ๘ เราต้องเอาฌานช่วยเสียแล้ว ถ้าขืนเทศน์กับเขาตามธรรมดา ตำรับตำราน่ากลัวจะไม่ไหว หลังจากเตือนกันแล้วอาจารย์เกี้ยวก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เราซ้อมเทศน์กันใหม่ วันพรุ่งนี้จะเทศน์น่ะมันแบบยี่เก จะเล่นประชันกับเขาก็ต้องไปซ้อมเล่นอีก ไม่แน่ใจใจตัวเองก็ซ้อมกัน ๒ องค์ พระองค์นั้นนั่งอยู่บนศาลาได้ยินเสียง หนักเข้าทนไม่ไหวไปนั่งอยู่ชายตลิ่ง ทั้ง ๒ องค์ท่านก็ไม่สนใจ ท่านก็ซ้อมกันจนจบ หลวงพ่อปานก็ไล่อภิธรรมอาจารย์เกี้ยว อาจารย์เกี้ยวตอบได้ฉาดฉานเพราะท่านคล่องมาก ตั้งวิเคราะห์ได้ทุกตัว อาจารย์เกี้ยวก็ซักวิสุทธิมรรคหลวงพ่อปาน ๔๐ กอง ให้ตอบให้ได้ ๕ ชั้น ตอบ ๕ ชั้นนะ คำว่า ตอบ ๕ ชั้น หมายความว่า พูดได้ ๕ สำนวน ตอบให้ได้ ๕ สำนวน ตั้งแต่ยากลงไปหาง่าย กล่าวคือ พูดให้คนฟังที่มีบารมีสูงจนกระทั่งเด็กเล็ก ๆ ก็เข้าใจ อธิบายแบบนั้นหลวงพ่อปานก็ทำได้ เพราะซ้อมกันหนักอยู่แล้ว พอหยุดซ้อม พระองค์นั้นลงไปแฮะ อีคราวนี้พระองค์นั้นลงไป ไปถึงไปยกมือไหว้ถามว่า พรุ่งนี้จะเทศน์แบบนี้รึ หลวงพ่อปานก็บอกว่า เทศน์แบบนี้ แกบอกว่า เทศน์แบบนี้ผมไม่รู้เรื่องเลย ตอนนี้อาจารย์เกี้ยวไม่พูดด้วยแล้ว อาจารย์เกี้ยวท่านไม่ใช่แบบหลวงพ่อปาน ท่านนักบู๊นี่ นักบู๊จริง ๆ พ่อนอนคลุมหัวคลุมเท้าเสีย จีวรคลุมไม่พูดด้วย ตอนก่อน ไปไหว้ไม่รับไหว้ ถามว่าจะเทศน์เรื่องอะไรไม่ตอบ ให้ไปรู้บนธรรมาสน์ ตอนนี้จะมาบอกว่าไม่รู้เรื่อง แต่กับหลวงพ่อปานพูดกันไปคุยกันไป อาจารย์เกี้ยวไม่คุยด้วย พอเวลาใกล้ค่ำ พระองค์นั้นก็ลากลับวัด รุ่งขึ้นเช้าก็มาเทศน์กัน พอตอนเช้าท่านถามว่าจะเทศน์เรื่องเมื่อวานนี้รึ หลวงพ่อปานตอบว่า ผมซ้อมกันมาแบบนี้ผมก็เทศน์แบบนี้ละ เทศน์อย่างอื่นผมไม่ถนัด ท่านบอกว่าไม่รู้เรื่องเลย ขอให้ถามท่านเบา ๆ อาจารย์เกี้ยวเอามั่งบอกว่า เฮอะ เรื่องนักเทศน์ไม่ต้องเบา ไม่ต้องหนัก เมื่อไม่มีความสามารถก็อย่าขึ้นธรรมาสน์ นั่นแน่ นักเลงโตเอาเข้าแล้ว พอขึ้นธรรมาสน์เข้าจริง ๆ ไปถามท่านเข้าท่านตอบไม่ได้ ใบลานตีกันปับ ๆ ๆ เพราะสั่น เป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่อปานกับอาจารย์เกี้ยวเทศน์กัน ๒ องค์ อีกองค์ไม่ต้องเทศน์ อยู่ที่พิษณุโลกอีก ๑ เดือน ไม่ได้เว้นเลย ๑ เดือนนี่หาวันเว้นไม่ได้เลย ไปวัดโน้นไปวัดนี้ เจ้าคุณสอนเป็นคนนำ เพราะเป็นอาจารย์ของเจ้าคณะจังหวัดด้วย ชาวบ้านชอบภาษาการเทศน์ด้วย เทศน์ไพเราะจับใจมาก ว่ากันถึงเรื่องเทศน์ ลูกหลานฟังแล้วจำไว้นา นักเทศน์นี่ก็มีกิเลสเหมือนกัน นักเทศน์มีกิเลสก็เอากิเลสขึ้นไปเทศน์ เอากิเลสมาแจกชาวบ้าน แล้วชาวบ้านจะบรรลุมรรคผลได้ยังไง มันเป็นของยาก คนที่เขาสรรเสริญกิเลสเขาก็เอากิเลสแจกกัน เราเป็นผู้รับแจกก็รับแจกเอากิเลสมา แต่คนที่แจกเขาบอกว่า ไอ้นี่น่ะ ขอโทษเถอะ เขาแจกขี้นะ แต่เขาบอกว่าเพชร เขาเอาขี้หมาขี้คนหรืออะไรก็ตามที่มันเหม็นมาแจกให้เรา แต่เขาบอกว่า นี่แหละเพชร มันมีราคามาก ประดับประดาร่างกายสวยงามมาก เราไม่รู้จักนึกว่าขี้เป็นเพชรก็เลยเอาขี้มาประดับตัว แล้วมันจะสวยตามความประสงค์ไหม นี่ลูกหลานฟังแล้วก็ลองคิดดูนะ คิดไปว่ามันจะเป็นความจริงแค่ไหน สำหรับนักเทศน์ที่แบกเอากิเลสขึ้นมาเทศน์มันก็เป็นอย่างนี้แหละ สมัยฉันนี่ก็โดนมาเยอะเหมือนกัน นักเทศน์ประเภทนี้ โดนมาเยอะ แต่ทว่าเขาไม่กล้าเล่นงานฉัน ถ้าฉันได้เจอะตัวดี ๆ ละก็ ฉันถามว่าจะเทศน์เรื่องอะไร ถ้าเขาจะบอกไปรู้กันบนธรรมาสน์ ฉันท้าเลย บอกว่าวันนี้เราจะเอากิเลสขึ้นไปเทศน์น่ะไม่ต้องตั้งนะโม อย่าเอาพระพุทธเจ้ามาเกี่ยวข้อง เอากันท่านกับผม ๒ คน เท่านั้นแหละ มาเท่าไรเท่ากัน ไอ้อย่างท่านน่ะมันไม่ถึง ๓ เพลงหรอก ตกม้าตาย นี่ฉันแกล้งขู่นา ส่วนใหญ่งอก่อหมดนึกว่าฉันเก่ง แต่ความจริงถ้าเอาจริง ๆ บางทีฉันแย่เหมือนกัน ฉันน่ะมันไม่รู้อะไร เพราะเจ้าผู้นี้มันมีกิเลสนี่ เราเอากิเลสบ้าไปยันมันเข้า มันก็นึกว่าเราบ้ามากกว่ามัน มันก็เบาบ้าลงไป นี่ฉันล่อเสียหลายรายเหมือนกันแบบนี้ แล้วก็มีหลายรายการเหมือนกัน พอขึ้นไปบนธรรมาสน์แล้วก็ไปตั้งมุมเล่นงานฉัน ฉันจะไปทุกข์อะไร เวลาเทศน์ชาวบ้านมัวตั้งนะโม มาถวายทานว่า อิเมหิ สักกาเรหิ อะไร ตอนนั้นฉันก็เข้ากรรมฐานถึงฌาน ๔ ถึงฌาน ๘ แล้วก็เข้าอาโลกกสิณเสีย ตอนนี้ถ้าจะถามอะไรมาฉันตอบได้หมด ไม่ยาก ที่ฉันไม่รู้อะไรฉันก็ถามคนอื่นซิ ฉันเข้าอาโลกกสิณนี่ ฉันก็นิมนต์พระของฉันมาหมด ครูบาอาจารย์ฉันนิมนต์หมด พรหมเทวดาที่มีความรู้ฉันก็เชิญมาหมด ตอนนี้ถ้าเขาถามอะไรมาฉันนึกออกทันทีว่าต้องตอบแบบนั้น แล้วก็ตอบไป แล้วฉันมาเปิดพระไตรปิฎกดูมันก็ตรงทุกที นี่ฉันหากินแบบนี้แหละ แล้วถ้าเอาฉันเข้าแบบนั้นละฉันก็เอาบ้าง ล่อเสียงอก่องอขิงไปหลายรายเหมือนกัน นักเทศน์เมื่องอก่องอขิงตอบไม่ได้ ฉันก็สำทับเลยบนธรรมาสน์นั้นแหละ ว่าจำไว้ ทีหลังเวลาไปเทศน์อย่าเอากิเลสไปเทศน์ เวลานี้ชาวบ้านเขาต้องการมาละกิเลส หากว่าท่านนำกิเลสไปเทศน์ เอากิเลสไปแจกชาวบ้าน ชาวบ้านเขาต้องการความบริสุทธิ์ เมื่อท่านเอาสิ่งโสโครกไปแจกเขา มันผิดความประสงค์ ทีนี้เวลาชาวบ้านเขาเอาของมาบูชาธรรม เอาเงินมาบูชาธรรม เขาบูชาคนดี บูชาคนสะอาด แต่ท่านเป็นคนสกปรกแบบนี้ เอาของเขาไปใช้มันก็มีโทษ ตกนรก พระอย่างท่านนี่น่ะ ตกนรก เอาเสียแบบนี้สองสามรายการ ทีหลังชื่อฉันก็กระฉ่อนไปว่าไอ้หมอนี่น่ะไม่ได้หรอก ไปอีโหล่งโขล่งเขล่งกะมันละเดี๋ยวมันนวดเอาบนธรรมาสน์ มันด่าพระไม่เกรงใจชาวบ้านหรอก ทีหลังพอได้ยินข่าวว่าจะเทศน์กับฉันเขาก็เลิก เขาก็ถอดเขี้ยวกันหมด ไอ้ตัวเก ๆ นะ ไอ้เจ้านักเทศน์ไอ้ตัวเก ๆ น่ะเยอะ เทศน์แลกสตางค์ชาวบ้าน ชาวบ้านจะรู้ไม่รู้ จะสะอาดไม่สะอาดก็ช่าง ขายธรรมะของพระพุทธเจ้ากิน ขายผิด ๆ ถูก ๆ นี่เยอะแยะ ว่าไงลุงพุฒิ ไอ้แบบขายธรรมะอย่างนี้ไปไหน ขายธรรมะเอาเงินไปประกอบอาชีพ เอาไปเป็นสมบัติส่วนตัว ใช้ไม่ถูกสมณวินัย ไปทางไหน อ้อ ยังงั้นเรอะ เปิดบัญชีปั๊บเลย บอกมันโผล่ขึ้นที่อเวจีมหานรกแห่งเดียว เออ ถามจริง ๆ นาลุงพุฒินา ไอ้แกมันจดหรือเปล่านะ ไอ้บัญชีน่ะไม่ได้จด เป็นไง ใครทำความดีความชั่วมันปรากฏเอง ถ้าแกต้องจดละแกไม่จดลูกจดหลานหรอก นี่แสดงว่าลุงพุฒิก็ตะแคงซ้ายตะแคงขวาเหมือนกันซิ ลูกหลานไม่จดมันหรอก ไอ้นี่กลัวมันจะลงนรกนี่นา เวลาท่านพูดนี่น่ะแกว่ายังงั้นนะ ผมมานั่งอยู่ด้วยมีอะไรไม่เหมาะสมจะได้สะกิด ผมหวาดเหลือเกินกลัวลูกหลานของผมลงนรก บอกลูกบอกหลานมันด้วยนา บอกว่าก่อนจะหลับนึกถึงไว้แต่ความดี มุ่งไว้ว่าเราจะเป็นเทวดา เราจะเป็นพรหม เราจะไปพระนิพพาน ตามอัธยาศัยของตัวนะ แล้วถ้ามุ่งอย่างนั้นเป็นยังไง อ๋อ อย่างนั้นเหรอ เดี๋ยวก่อน แกพูดยาว ๆ หน่อย เวลาเจ็บไข้ไม่สบายจะเจ็บน้อยหรือเจ็บมากก็ตาม นึกถึงพระไว้ แล้วก็นึกว่าเราจะไปเกิดบนสวรรค์ หรือนึกว่าเราจะไปเกิดเป็นพรหม นึกว่าเราจะไปนิพพานตามชอบใจ นึกไว้เท่านั้นแหละ ไม่ต้องนึกอะไรมาก นึกว่าเราจะไปเกิดบนสวรรค์ หรือนึกว่าเราจะไปเกิดบนพรหมหรือนึกว่าเราจะไปนิพพาน นึกไว้เท่านั้น หรือนึกถึงภาพพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ เป็นพระพุทธรูปก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ เท่านี้พ้นนา แกบอกว่าถ้าอารมณ์เวลาป่วยจับอยู่อย่างนี้น่ะแกไม่ลำบากใจ ลูกหลานของแกพ้นแน่ เรียกว่าไม่ต้องรับทุกขเวทนาในนรกแน่ แล้วอย่างนี้เขาจะไปสวรรค์ไหม แกบอกว่าไปแน่ ๆ แล้วเวลายามปกติก็เหมือนกัน ก่อนจะนอนให้นึกถึงบุญไว้ ให้นึกถึงสวรรค์ นึกถึงพรหม นึกถึงนิพพาน ตามที่สมเด็จสอนเมื่อวานซืนนี้ แกว่ายังงั้น ยังงี้พ้นแน่นาลุงนา เอ้า พ้นก็พ้น วันนี้ก็เห็นจะต้องลาลูกหลาน พักกันเสียทีนะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานที่รักทุกคน สวัสดี
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานสร้างพระ

    ในเมื่อหลวงพ่อปานเรียนตำราแล้ว ต่อมาก็เริ่มทำพระ การทำพระของหลวงพ่อปาน บรรดาท่านพุทธบริษัท บรรดาลูกหลานทั้งหลายควรจะทราบว่า แบบพระของท่านไม่ค่อยจะเหมือนกันนัก เพราะคนแกะพิมพ์พระน่ะหลายคนด้วยกัน เวลาบรรจุผงก็เหมือนกัน หลวงพ่อปานทำผงไว้มาก ทำพระไว้ถึง ๘๘๕ ปีบ ท่านนำมาแจกแก่บรรดาสาธุชน ๔๔๐ ปีบ แล้วก็บรรจุไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่ท่านสร้างไว้ ๔๔๐ ปีบ นี่ทราบกันไว้ด้วยนะ พระนี่มีอานุภาพแปลก คือว่า พระของท่านหรือของต่าง ๆ ที่ท่านเอาออกแจกก็ตาม ท่านไม่เคยบอกว่าของ ๆ ท่านเป็นของคงกระพันชาตรี อันนี้ต้องจำกันไว้ด้วย ใครที่จะรับของ ๆ หลวงพ่อปานแล้วจงทราบว่า หลวงพ่อปานไม่เคยรับรองเรื่องคงกระพันชาตรี เพราะเรื่องนี้ถ้าใครรับรองคนนั้นก็โง่ มันเป็นกฎของกรรม คนที่เหนียว ๆ ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า แต่ก็ทะลุทุกราย ถ้ากรรมชั่วมันเข้ามาถึงแล้ว กรรมที่เป็นบาปมันก็เปิดโอกาสให้ คนหนังเเหนียวนี่ตายเพราะอาวุธนับไม่ถ้วน ทีนี้พระของหลวงพ่อปานก็มีอยู่ว่าเป็นพระหมอ ท่านเขียนไว้อย่างนั้นนะ แก้โรคทุกอย่าง ใครจะเป็นโรคอะไรก็ตาม เอาพระใส่ลงไปในขันน้ำ แล้วอาราธนาเอาทำน้ำมนต์ วิธีอาราธนาก็ไม่ยาก บอกว่าขอบารมีพระพุทธเจ้าและสัตว์พาหนะ ถ้าพระองค์นั้นเป็นหนุมาน หรือว่าพระเม่น พระไก่ พระนกกระจาบ พระปลา พระครุฑก็ตาม ก็ออกชื่ออย่างนั้น ขอจงทำน้ำมนต์นี้รักษาโรคนั้นให้หายโดยฉับพลัน ว่ายังงี้ ๓ จบ แล้วก็ใช้น้ำมนต์รดชาวบ้านได้ นี่เป็นวิธีใช้พระของท่าน ถ้าหากว่าถูกงูกัด ตะขาบ แมงป่องกัด หรือสัตว์ที่มีพิษกัด ให้เอาพระจุ่มน้ำแล้วอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าและสัตว์พาหนะให้ดูดพิษนั้นออกให้หมด แล้วเอาหลังพระแปะลงไป เอาศีรษะท่านขึ้นมาทางหัวเรา จะถูกกัดที่เท้าที่ข้อเท้าอะไรก็แปะได้ แต่ครั้นแปะลงไปแล้วพระจะเริ่มดูดพิษ ขณะที่พิษยังไม่หมดพระจะติดแน่นอยู่ จะเดินไปก็ไม่หลุด แต่ก็ต้องระวัง ๆ ว่าตอนพิษหมดแล้วพระจะหลุดง่าย ๆ นี่มีพวกทหารเรือเคยถูกงูกัด ไม่มีอะไรจะรักษา เพราะไปถูกกัดในป่าที่สัตหีบ เอาพระของหลวงพ่อปานไปด้วย ฉันเคยแจกให้ไป แกก็ไปปิดเข้า ปรากฏว่างูตัวนั้นมันเป็นงูเห่า เพราะลงไปในหนองน้ำเล็ก ๆ จึงถูกงูกัด คนถูกงูกัดเป็นนายทหาร บรรดาทหารก็พากันวิดน้ำ ปรากฏว่ามีงูเห่าอยู่ตัวเดียวเลยทุบตาย พิษที่มันแสดงออกเป็นอาการของพิษงูเห่า แต่ว่าในที่สุดเมื่อเอาพระแปะเข้า พระก็ติดแน่นสนิท พอพิษหมดพระก็หล่น ทีนี้พอถึงเวลาทอดกฐินเดือน ๑๒ ปีนั้นฉันอยู่วัดบางนมโค คณะทหาเรือแกแห่กันมารับพระประมาณ ๔ - ๕ ร้อยคน ถามว่ามาทำไม บอกว่ามาขอรับพระแก้งูกัด แกรู้อยู๋อย่างเดียว เป็นอันว่าพระของหลวงพ่อปานใช้ในทางค้าขายก็ได้ ทางทำนา ทางเมตตามหานิยมก็ได้ กันผีกันสางก็ได้หมด แต่ว่าเรื่องคงกระพันชาตรีท่านไม่รับรอง จำกันไว้ให้ดีนะ


    ตอนนี้มาว่ากันถึงวิธีสร้างพระ วิธีสร้างไม่ยาก แต่ว่าวิธีทำผงพระซี ยากมาก การทำผงพระประเภทนี้ต้องมีสมาบัติ ๘ แล้วก็จำได้หรือยังว่าพระสัตว์มี ๖ ชนิด คือ รูปหนุมาน รูปไก่ รูปครุฑ รูปปลา รูปเม่น แล้วรูปนกกระจาบ ถ้าหากว่าจะทำพระนกกระจาบ ก็ต้องเอาผ้าขาวมาเสกให้เป็นนกกระจาบ ๆ ก็จะกางปีกขึ้น จะมีคาถาอยู่ในปีก แล้วก็ลอกคาถาในปีกมาทำเป็นผง จะทำพระหนุมานก็ต้องเสกผ้าขาวให้เป็นหนุมาน เป็นพระไก่ พระครุฑ พระอะไรก็เหมือนกัน แล้วสัตว์ต่าง ๆ ก็จะแสดงอาการนั้น ๆ ให้คาถาปรากฏที่ตัวของตัวเอง แล้วก็นำคาถานั้นแหละมาทำผง เวลาทำผงต้องนั่งปลุกเสกอยู่ในโบสถ์ ต้องอดข้าว ๗ วัน แล้วก็ ๗ วัน ๗ คืน ออกจากที่ไม่ได้ ต้องเข้าสมาบัติกันเต็มที่ วิธีนี้หลวงพ่อปานเคยให้ฉันเรียนเหมือนกัน ฉันเรียนได้แต่ทำไม่ได้ หลวงพ่อปานท่านแพ้ฉันอยู่อย่าง แพ้ตรงที่ท่านหยิบผ้าขาวมาเสกให้มันเป็นหนุมานมันก็เป็น เสกให้เป็นสัตว์อะไรมันก็เป็น ฉันจับผ้าขาวมาได้เสกให้เป็นหนุมาน เป็นไก่ เป็นครุฑ มันไม่เป็น มันเป็นผ้าขาว แสดงว่าการเสกของฉันามันเป็นนิจจังจริง ๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่เป็นการวัดความสามารถระหว่างพระอภิญญากับพระเนื่องในวิชชา ๓ สำหรับฉันน่ะจะเรียกว่าพระวิชชา ๓ ตรง ๆ ยังไม่ได้ ต้องเรียกว่าพระเนื่องในวิชชา ๓ เพราะในขณะนั้นยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ยังเป็นส่วนโลกียวิสัย จึงยังเรียกว่าพระวิชชา ๓ ไม่ได้ พระวิชชา ๓ กับพระอภิญญา ๖ มีความสามารถต่างกันมากในด้านฤทธิ์นะ ในด้านความสามารถต่าง ๆ ข้อปลีกย่อย นี่เล่ากันให้ฟังว่าวิธีทำพระของหลวงพ่อปานน่ะทำยาก การแจกพระสมัยนั้นหลวงพ่อปานท่านแจกน่ะแจกจริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่แจกเฉย ๆ เวลาแจก หุงข้าวเลี้ยงคนมารับพระเสียอีกด้วย คนมากันมือฟ้ามัวดิน แจกกันขนาดหนัก แจกกันคนละองค์ แต่คนรับก็แสนฉลาด มารับหัวแถวแล้วก็เดินไปยืนท้ายแถวว่ากันอย่างนั้น วันแรกเสียท่า วันต่อมาหลวงพ่อไม่เอาอย่างนั้นแล้ว เอาใหม่ เริ่มฉลาด พอแจกแล้วเอาปูนแดงที่เขากินกับหมากนี่ป้ายเสื้อ คนรับเขาก็ฉลาดอีก มันออกไปข้างนอก กลับเสื้อข้างนอกเข้าข้างในเสีย กลับมารับใหม่ นี่ไอ้เรื่องจะหนีคนโกงน่ะมันหนียาก หนียากจริง ๆ การแจกพระของท่านแจกกันอยู่ถึง ๑ เดือน คนมารับเต็มไปหมด แล้วท่านก็หุงข้าวเลี้ยง ทำกับข้าวเลี้ยง เรื่องสตางค์นี่ใครเขาจะให้หรือไม่ให้ท่านไม่รู้ ตอนนี้ฉันสู้ท่านไม่ได้แน่ ฉันไม่กล้าไปวัดบารมีของท่าน ฉันทำอะไรเวลานี้ฉันแจกฟรีเหมือนกัน ใครมาขอฉัน ฉันก็แจกฟรี ใครจะให้สตางค์ฉันก็เอา ถ้าไม่ให้ฉันก็ไม่ทวงเขา แล้วก็ไม่ว่าไม่ตำหนิติเตียน ไม่คิดนึกด่าในใจด้วย เต็มใจให้ แต่ว่าอีตอนหุงข้าวเลี้ยงนี่ทำไม่ได้แน่ เพราะฉันหากินเองไม่ไหวแล้วนี่ หากินเองไม่ได้ ต้องพึ่งลูกหลานกิน ถ้าไปหุงข้าวเลี้ยงคนพวกนั้นเข้าอีกลูกหลานก็จะเบื่อ เออ มันแย่นะ สู้กันไม่ได้ แต่ฉันก็ไม่อยากสู้ท่าน มันเทียบกันไม่ติด เอาละ เมื่อว่ากันถึงวิธีแจกพระ เสร็จไปนะ นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด การทำพระอย่าลืมนะว่าหลวงพ่อปานต้องใช้สมาบัติ ๘ ต้องอาศัยรูปฌาน พระของท่านจึงมีความหมายมาก เวลานี้พระหลวงพ่อปานมีมากกว่าสมัยทีท่านอยู่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเวลาท่านตายแล้วนี่ชื่อเสียงท่านโด่งดังมาก ก็มีคนช่วยทำมาก เวลานี้คนช่วยทำเยอะ รูปพระของหลวงพ่อปานนั้นทำไม่ยาก แล้วคนก็ทำได้ง่ยา ๆ เขาก็ช่วยกันทำ ช่วยกันแจก เป็นการประกาศบารมีของพระพุทธเจ้า และประกาศความดีเด่นของหลวงพ่อปาน หรือว่าเขาจะหวังเป็นอาชีพ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องนี้ขอผ่านไปนะ


    ตานี้มาว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร ประเดี๋ยวจะลืมเสียแล้วซี สำหรับยันต์เกราะเพชรคือเป็นคาถาอิติปิ โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ เรียกกันว่า ห้องพระพุทธคุณ แต่เขียนลงมาอย่างหนังสือเจ๊ก เขียนลง ไม่เขียนตามบรรทัด เขียนลงมา ๗ คำแล้วก็ไปขึ้นต้นใหม่เรียงกันไป ก็ว่า อิระชาคตรสา ติหังจโตโรถินัง นี่เรียกว่า อิติปิโส ๘ ทิศ อย่างนี้แหละ แล้วก็ชักเป็นยันต์ เรียกสูตรตามเส้นที่เขาชักไป สำหรับยันต์เกราะเพชรนี่หลวงพ่อปานปลุกได้ดีมาก เพราะว่าเวลาท่านจะเป่าให้ใครนั้น ท่านเขียนยันต์ใส่กระดานดำไว้ แล้วท่านก็ยืนอยู่ข้างหลัง ให้ทุกคนจุดธูปเทียนแล้วภาวนาว่า พุทโธ ถ้าคนไหนมีครรภ์ ผู้หญิงมีครรภ์ก็ให้จุดธูป ๑ ดอกแทนลูกในครรภ์ แล้วท่านก็เป่า เวลาเป่ายันต์เข้าตัวจะมีความรู้สึกหนักที่ศีรษะ หรือว่าคันที่หน้า ยังงี้เรียกว่ายันต์เข้าจับตัวแล้ว ถ้ายันต์เข้าจับตัวทุกคนก็เป็นอันว่าเลิกกัน ท่านเป่าเฉพาะวันเสาร์ห้า คือว่าเป็นเดือนอะไรก็ตามเป็นขึ้น ๕ ค่ำวันเสาร์ หรือว้นเสาร์ตรงกับ ๕ ค่ำ อันนี้ใช้ได้ เรียกว่าท่านทำเป็นปกติ แล้วก็วันเสาร์ ๕ นี่แหละ เป็นวันยกครูของท่าน ท่านจะยกครูหมอ ครูอะไรก็ตาม ก็ทำกันวันเสาร์ห้า คนเยอะยิ่งกว่ามีงานวัดอีก ศาลาของท่านใหญ่จุคนเป็นพัน แต่เวลาเป่ายันต์เกราะเพชรจริง ๆ ต้องผลัดกัน ๔ - ๕ รุ่น เรียกว่านั่งเต็มศาลาเป่า ๑ คราว ใครเป่าแล้วก็ลงมา คนที่ยังก็ขึ้นไป ยังงี้เปลี่ยนกันถึง ๔ - ๕ รุ่น คุณสมบัติของยันต์เกราะเพชรก็เป็นการกันการกระทำ การกลั่นแกล้งจากคนอื่นด้วย วิชาการนี่ดีมาก หากว่าใครขืนทำเข้ามาคนนั้นน่ะเคราะห์ร้าย เคราะห์ร้ายเพราะอะไร ของเหล่านั้นมันจะกลับสะท้อนย้อนเข้าไปหาตัว คราวหนึ่ง พระผลบวชพรรษาเดียวกับฉัน ปรากฏว่าถูกงูเห่ากัดเห็นตัวชัดเพราะเป็นกลางคืนเดือนหงาย เห็นว่าเป็นงูเห่าแน่ เอาไฟส่องดูก็เห็นแผ่แม่เบี้ยหราเป็นงูเห่า แกก็วิ่งเข้ามาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็ถามว่า แกรับยันต์เกราะเพชรหรือเปล่า พระผลก็บอกว่า รับขอรับ ท่านบอกว่าถ้ารับไม่รักษา ฉันอยากจะดูคนมันตายเพราะอำนาจงูกัดที่ได้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้วสักคน ถ้าหากว่าแกตายฉันจะดีใจมาก ท่านผลหน้าซีด ปรากฏว่าในขณะที่ท่านพูด พิษมันวิ่งขึ้นมาถึงเข่าแล้วก็ถอยไปปวดอยู่ปากแผล เดี๋ยวมันก็ปวดขึ้นมาถึงเข่าแล้วก็ปวดที่ปากแผล ๓ ครั้ง พอวาระที่สามปรากฏว่าอาการปวดหายไปหมดเลย พิษหมดเลย พระผลดีใจมาก บอกว่าหายปวดแล้วครับ หลวงพ่อปานก็บอกว่านั่นนะซี ฉันแน่ใว่ยันต์เกราะเพชรของฉันดี แต่ถ้าแกรับแล้วแกตายเพราะงูกัด ฉันก็จะเห็นว่าแกเป็นคนเลวมาก ไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า เพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่ฉันอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองนะ ไม่ใช่อื่น ถ้าแกตาย แล้วก็เป็นพระด้วย แกรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วด้วย ถ้าถูกงูกัดแล้วตายเพราะงูพิษก็น่าจะตายหรอก เพราะว่าคนที่บวชแล้วไม่เคารพในพระพุทธเจ้า ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เป็นคนเลวก็ควรจะตาย แต่ว่านี่แกไม่ตาย นี่ก็แสดงว่า แกเป็นคนดีแล้ว ความมั่นคงในพระพุทธเจ้าใช้ได้ นี่ว่ากันถึงยันต์เกราะเพชร


    ต่อไปตอนนี้ก็ว่ากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดนะ อีกเรื่องหนึ่งว่าถึงเรื่องการเสียสละ ยคือว่า ปฏิปทาในการปกครองพระของหลวงพ่อปานท่านทำอย่างนี้นะ ฉันว่าฉันเห็นพระมาเยอะแล้ว ไม่ค่อยจะเหมือนท่าน บรรดาลูกหลานทั้งหลาย ถ้าเวลาฟังแล้ว ก็พิจารณาดูพระผู้ใหญ่ที่ทำเหมือนท่านหรือดีกว่าท่านอาจจะมีมาก แต่ฉันน่ะเป็นคนสังคมแคบ อาจจะรู้จักพระไม่มา ปฏิปทาของท่านอย่างนี้ คือ


    ๑. เวลาตอนเช้า ก่อนจะกินข้าว เวลาเขาตีระฆังแป๊งลงไป ภายใน ๕ นาที พระเจ้าต้องนั่งรวมพร้อมกันที่วงข้าว ฉันวงเดียวกัน แล้วหลวงพ่อปานจะมาทีหลัง เรียกว่าพอ ๕ นาทีนี่ ตีระฆัง ๕ นาที ท่านลุกจากุฏิทันที มาถึงก็เดินดูรอบ ๆ วงกับข้าว รอบวงพระ ถ้าเห็นว่ากับข้าววงไหนพร่องไป ท่านก็นั่งลงในที่ของท่าน จัดแจงแบ่งกับข้าวให้สม่ำเสมอกัน กินกันด้วยความยุติธรรม ขนมถ้ามีน้อยท่านตักแบ่งให้เองเท่า ๆ กัน นี่ว่ากันถึงเรื่องกินข้าวนะ แล้วเวลากินข้าวนี่พระของท่านไม่มีคุยกัน อยู่ในอาการสำรวมทั้งหมด นี่เรื่องการกิน ทีนี้มาถึงเรื่องการแจกภัตร คำว่า แจกภัตร ในที่นี้หมายถึงลาภจะพึงเกิดแก่พระ มีการสวดผีสวดสางก็ตาม จะไปสวดมนต์เย็นตามบ้านตามช่องก็ตาม ที่เขานิมนต์ อันนี้ท่านแจกภัตรพระสม่ำเสมอกัน ให้เรียงลำดับกัน ถ้ารายแรกมานิมนต์ ๕ องค์ ให้พระจัดไป ๕ องค์ ถ้ารายที่สองมาท่านให้จัดต่อไปอีก รายที่ ๓ มาให้จัดต่อไปอีก ใครจะมาเลือกพระองค์นั้นองค์นี้ไม่ได้ ท่านบอกว่าต้องได้เสมอกัน ท่านไม่กีดไม่กันว่าหนึ่งต้องฉัน แบบต้องฉัน หนึ่งต้องหัวหน้า นี่ เจอะเสียเยอะ แบบนี้มันแย่เหมือนกัน หัวหน้ามั่งคั่ง หลังกินเกลือ อย่างนี้ไม่ไหว นี่ของท่านจัดไว้เป็นระเบียบจริง ๆ ต้องไล่ ๑ - ๒ - ๓ - ๔ ไปถึงสุดท้าย แล้วกลับวนมาถึงต้นใหม่ นี่พูดกันถึงกิจนิมนต์นะ ลูกหลานฟังแล้วคิดดูซิว่าตามวัดไหนใครเขาทำแล้วบ้าง ประการต่อไป ว่าถึงการเสียสละ หลวงพ่อปานมีการเสียสละดีมาก สมกับที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิ แต่ว่าเวลาถึงวันเดือน ๘ แรม ๑๔ ค่ำ แหม .. นี่มันตรงกับวันตายของท่านพอดีนะ เดือน ๘ แรม ๑๔ ค่ำ ทุกปี หลวงพ่อปานมีทรัพย์สินอยู่เท่าไร ของที่เขาถวายมาเท่าไรในปีนั้นยังเหลืออยู่ ไม่ใช่สตางค์นะ ของใช้ จะเป็นจีวร สบง เก้าอี้ มุ้ง เตียง อะไรก็ตาม ของใช้มาก ๆ นี่แหละ ของใช้เป็นอดิเรกนี้แหละ พระมีกี่องค์ก็ตาม ท่านก็มาจัดไว้เป็นกอง ๆ เท่าจำนวนกับพระที่มีอยู่ในวัด แล้วท่านก็ให้พระจับสลาก ใครได้หมายเลข ๑ - ๒ - ๓ - ๔ - ๕ ตามลำดับ เมื่อใครได้หมายเลขแล้ว กองที่กองไว้ท่านไม่ได้เขียนว่าเลข ๑ - ๒ - ๓ ของที่กองน่ะไม่เขียนเลข ใครได้หมายเลข ๑ ไปเลือกเอาตามชอบใจ ใครอยากได้อะไรเอาอย่างนั้น แล้วหมายเลข ๒ หมายเลข ๓ ก็ไปเลือกกันตามลำดับ ยังงี้ท่านเสียสละทุกปี เรียกว่าทุกปีของท่านทำอย่างนี้ ของท่านไม่ค้างปี
    นี่เป็นการเสียสละจริง ๆ บางทีของดี ๆ มีราคามาก ๆ ฉันเห็นว่าของอย่างนี้หลวงพ่อควรจะกันไว้ใช้เอง แต่ถึงเวลาวันแจกพระ คือ วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ท่านกลับสั่งให้ขนมากอง ๆ กันไว้ให้หมด ขนกองเข้าไว้ แล้วท่านก็จัดเป็นลำดับเข้าไว้ นี่ก็แจกแก่พระ เรื่องนี้ก็น่าคิดเหมือนกันนะ น่าคิดเหมือนกันลูกหลานที่รัก ลูกหลานเคยเห็นพระทำอย่างนี้บ้างไหม มีไหมที่เคยเห็นมาน่ะ ฉันน่ะไม่เห็นหรอกนะ แต่พระที่ทำอย่างนี้หรือว่าทำดีกว่านี้อาจจะมี ในเมื่อท่านมีปฏิปทา .. หรือคล้ายคลึงกัน สม่ำเสมอกัน ท่านอาจจะทำแต่ฉันไม่เคยเห็น นี่เป็นปฏิปทาที่คิดกันว่าท่านควรจะเป็นพระพุทธภูมิ คือ ท่านปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า มีการเสียสละ


    นี่ว่ากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ด มันมีอีกเรื่องหนึ่ง นี่เขาเล่าลือกันมาก ฉันก็มาเล่าให้ฟัง เขาพูดกันมาก เขาว่าหลวงพ่อปานน่ะเป็นคนศักดิ์สิทธิ์มาก เวลาทำงานทำการคนมาก เมื่อคนมากแล้วก็เป็นยังไง การทำครัวเลี้ยงของท่าน ๆ ทำตลอดงาน ในเมื่อท่านเลี้ยงมากก็ปรากฏว่าถ้วยชามควรจะล้างมันก็ล้างไม่ทัน สมัยนั้นฉันยังจำได้ แต่ว่าท่านทำมากี่ปีแล้วก็ไม่ทราบ ชื่อตาเผือด ๆ เป็นคนล้างชาม วิ่งไปบอกหลวงพ่อปานบอกขอให้ช่วยเกณฑ์คนมาช่วยล้างชามด้วยเถิด คนกินมาก แต่คนล้างน้อย ล้างไม่ทัน หลวงพ่อปานบอกว่าจะไปเกณฑ์ใคร ต่างคนต่างก็มีงาน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอาชามไปใส่ตะกร้าเขย่าน้ำเอาเสียจริง ๆ เป็นอันว่าทำได้ผล คนทุกคนเห็นเป็นอัศจรรย์ แต่ก็คนบ้านนั้นเองเห็นเป็นของไม่อัศจรรย์ แต่ก็คนบ้านนั้นเองเห็นเป็นของไม่อัศจรรย์ เห็นเป็นของธรรมดา เพราะน้ำมันช่วยไม่ให้ชามแตก ก็เกิดวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้น เมื่อเกิดวิพากษ์วิจารณ์กัน ฉันก็เป็นนักพิสูจน์ ก็เอาจานใส่ตะกร้าเข้าบ้าง ให้คนพวกนี้นไปเขย่า ก็ปรากฏว่ากลับมาฉันจำได้ว่าฉันเอาจานกระเบื้องใส่ไป ๒๐ ลูก เวลาเขาเขย่าเสร็จพอกลับมาส่งให้ฉัน จานกระเบื้องนั้นมันเกือบจะถึง ๑๐๐ ลูก แต่ว่ามันไม่เต็มลูก มันแตก เขย่าอย่างตาเผือด นั่นใคร ๆ เขาก็รู้ แกเขย่าโครม ๆ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอัศจรรยืน่าคิดเหมือนกัน เอาละเรื่องเบ็ดเตล็ดขอผ่านไปนะ

    ต่อไปว่ากันถึงการศึกษา หลวงพ่อปานนิยมพระกรรมฐาน หมายความว่าสิ่งที่ท่านต้องการที่สุดและปรารถนาที่สุดคือพระกรรมฐาน เรื่องพระกรรมฐานนี่เป็นชีวิตจิตใจของหลวงพ่อปานจริง ๆ ท่านเทิดทูนพระกรรมฐานมาก ทั้ง ๆ ที่ทรงสมาบัติอยู่แล้ว ความอิ่ม ความเบื่อ ความพอใจในพระกรรมฐานของท่านก็ไม่มี ท่านก็มีการทุรนทุราย ปรารถนาจะเรียนพระกรรมฐานให้มันดีกว่านั้น สมัยนั้นพระที่มี่ชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษในสมัยนั้นนะ สายอื่นฉันไม่ทราบ ก็มีหลวงพ่อเนียมวัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี สมัยนั้นเรือยนต์มันก็ไม่มี ถ้าจะไปก็ต้องไปเรือแจว ถ้าไปเรือ แต่ว่าทางเดินสะดวกกว่า เดินลัดทุ่งลัดนาลัดป่าไป ป่าก็เป็นป่าพงส่วนใหญ่ ท่านก็ใช้วิธีธุดงค์ สมัยนั้นใช้วิธีธุดงค์เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เรียกว่าใกล้ค่ำที่ไหนปักกลดที่นั่น ชาวบ้านเขาก็เลี้ยงตอนเช้า ฉันอิ่มแล้วก็ไปกัน พระร่ำลือกันว่าหลวงพ่อเนียมนี่เก่งมาก ท่านก็เข้าไปหาหลวงพ่อเนียม เข้าไปหานะ ไม่รู้จักหลวงพ่อเนียมหรอกนะ ความจริงท่านก็คิดว่าหลวงพ่อเนียมท่านจะเป็นเหมือนหลวงพ่อองค์อื่น ๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงมากนุ่งสบงจีวรเป็นปริมณฑล แล้วก็มักจะนั่งเฉย ๆ ดีไม่ดีหลับตาปี๋ ไม่หลับตาปี๋ก็หลับขยิบ ๆ เรียกว่าหลับไม่สนิทละ ไม่รู้จะพูดยังไงให้มันถูก คือ แกล้งหลับตาทำเคร่ง ไอ้แบบนี้น่ะพระพุทธเจ้าตำหนินัก พระนั่งหลับตาให้ชาวบ้านดู ทำทีว่าเป็นคนเคร่งครัด พระพุทธเจ้าตำหนิว่าคบอุปกิเลสเข้าไว้ ทรงห้ามทีเดียว ท่านว่าพระก็ดี คนก็ดี ทำอย่างนี้ยังไม่เข้าสะเก็ดความดีของพระพุทธศาสนา จำให้ดีนะ พระที่ออกรับแขกน่ะทำนั่งหลับตาปี๋ ทำท่าเป็นเคร่งครัดมัธยัสถ์ แล้วก็ทำท่าจะเข้าฌานอยู่ตลอดเวลา อย่างนี้พระพุทธเจ้าทรงตำหนิไว้ในอุทุมพริกสูตร ว่ายังเข้าไม่ถึงสะเก็ดความดีของพระพุทธศาสนา สะเก็ดแล้วก็เปลือก แล้วก็กระพี้ แล้วก็แก่น เลยแก่นเข้าไปก็คือวิปัสสนาญาณ นี่แค่สะเก็ดก็ยังไม่ถึงเลยนะเจ้าพวกหลับตาปี๋ เวลารับแขกชอบหลับตา จำไว้ด้วยนะ
    ท่านกล่าวว่ามันเป็นมายาของคน เป็นการล่อลวงชาวบ้าน อรหันต์ทุกองค์เป็นพระเปิดหมดนะ ไม่ใช่พระปิด มีลูกตาก็ลูกตาเปิด มีปากก็ปากเปิด มีใจก็ใจเปิด มีกายก็กายเปิด แต่ว่าเวลานุ่งผ้าไม่ได้เปิดผ้านุ่งนะ ถ้าไปเปิดผ้านุ่งเข้าชักไม่เป็นเรื่อง อย่าเข้าใจว่าเปิดทั้งหมด ไอ้ที่ปิดของท่านมี นี่ว่าให้ฟังนะ ประเดี๋ยวจะหาว่าเปิดหมด จะกลายเป็นว่าเป็นพระอรหันต์แล้วแก้ผ้าเป็นพวกอเจลกศาสนาเชนไป ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านมีอัธยาศัยเปิด ก็ไม่มีพิธีรีตอง นี่เรื่องของพระอรหันต์นะ ไม่มีพิธีรีตองมาก คนที่มีพิธีมากนั่นไม่ใช่พระอรหันต์ เรียกว่ายังมีมายามาก ยังมีมานะอุปกิเลสติดใจอยู่มาก ยังมีอุปาทานมาก รวมความว่ากิเลสยังเลยหัวก็แล้วกัน พวกนี้กิเลสยังเลยหัว พระอรหันต์เป็นพระปล่อย ไม่เกาะกิเลส การที่จะทำอะไรให้ชาวบ้านชมน่ะ ไม่ใช่ภาวะของพระอรหันต์นะ พระอรหันต์นี่ไม่ปรารมภ์คำชมของชาวบ้าน ต้องการคำชมของบุคคลเดียว คือ พระพุทธเจ้า นี่เป็นจิตใจของพระอรหันต์ทุก ๆ องค์
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเนียม

    ทีนี้เวลาหลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียมก็ไปโดนดีเข้า เข้าไปแล้วเจอะหลวงพ่อเนียมที่ไหน ความจริงหลวงพ่อเนียมก็เดินคว้าง ๆ อยู่กลางวัดนั่นแหละ มีผ้าอาบ ๑ ผืนที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าผ้าขาวม้า แต่ว่าพระนั่นเขาเรียกผ้าอาบน้ำฝนสีเหลือง แต่ว่าผ้าที่ท่านนุ่งมันไม่เหลือง มันตุ่น ๆ เข้าไปแล้ว มันจะดำ เหลืองหมดไป ขาวก็ไม่ขาว กลายเป็นผ้าดำ ๆ นุ่งแบบชนิดไม่รัดประคดคาดลอยชาย ผ้าอีกผือนหนึ่งแบบเดียวกัน คล้องคอเดินไปรอบวัด มีหมาวิ่งตามเป็นฝูง ยี่ห้อนี้คล้าย ๆ ฉันนะ นี่อย่าเอาบารมีฉันไปเปรียบกับหลวงพ่อเนียมนะ ที่ว่าคล้ายนี่คล้ายตอนที่หมาวิ่งตามนี่แหละ ฉันก็เหมือนกัน เวลาฉันไปไหนหมามันชอบวิ่งตาม ฉันก็ชอบคุยกับหมา เดินไปเดินมาคุยกับหมา ๆ มันไม่ขัดคอฉัน เวลามันพูดว่าอย่างไรฉันไม่รู้เรื่อง ฉันพูดไปมันรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่รู้ แล้วก็เลยพูดสบาย หลวงพ่อปานก็บอกว่าเมื่อท่านเห็นน่ะก็ไม่รู้ว่าหลวงพ่อเนียม เห็นพระแก่ ๆ ผอม ๆ นุ่งผ้าลอยชายผืนหนึ่ง เอาผ้ามาคล้องคออีกผืนหนึ่ง เดินมีหมาฝูงหนึ่งวิ่งตามไป ท่านก็คุยกับหมาตัวโน้นบ้างตัวนี้บ้าง เดี๋ยวก็ยิ้มกับหมาตัวโน้นลูบหัวหมาตัวนี้ ท่านก็นั่งดู เอ ว่าพระองค์นี้น่าจะเป็นหลวงพ่อเนียม ท่านไม่รู้จักนี่ ทำไมหลวงพ่อปานจึงได้คิดอย่างนั้น ก็เพราะว่าหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อสุ่น ๆ นี่เป็นพระชั้นอ๋องแล้วนะ เป็นพระลืมเกิดแล้ว ท่านสอนหลวงพ่อปานได้ดีทุกอย่าง รู้จนกระทั่งหลวงพ่อปานเคยปรารถนาพุทธภูมินา นี่พระขนาดนี้ก็อ๋องแล้ว แต่ว่าเวลาที่หลวงพ่อปานไปหาหลวงพ่อเนียมน่ะหลวงพ่อสุ่นตายแล้ว เมื่อหลวงพ่อสุ่นตาย หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าท่านก็ต้องหารที่เกาะต่อไป เพราะหลวงพ่อสุ่นบอกไว้ว่าหลวงพ่อเนียมท่านเก่ง ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็เลยเดา ๆ เอาว่าพระองค์นี้ต้องเป็นหลวงพ่อเนียม ก็วางกลด วางย่าม ถอดรองเท้า จำไว้ด้วยนะพระผู้น้อยที่จะเข้าหาพระผู้ใหญ่น่ะ เขาต้องวางอะไรต่ออะไรทั้งหมด รองเท้าก็ต้องถอด พระสมัยนี้เขาถอดกันหรือไม่ถอดก็ไม่ทราบ เขาทันสมัย เข้าไปถึงก็กราบ หลวงพ่อปานบอกว่าแทนที่ท่านจะยกมือรับไหว้ กลับจ้องหน้าเป๋ง วาจาที่กล่าวมาเป็นวาจาแรกก็คือ มึงมาจากไหนวะ มึงมากราบกูทำไม เอาเข้านั่น หลวงพ่อปานบอกว่า เกล้ากระผมมาจากเมืองกรุงเก่าขอรับ กระผมจะมานมัสการหลวงพ่อขอเรียนพระกรรมฐาน วาจาอีกคำที่ตอบมาก็คือ กรรมฐานโคตรพ่อโคตรแม่มึงมีที่ไหน กูไม่มีกรรมฐาน คนบ้านนี้เขาหาว่ากูบ้า กูเป็นบ้ากูพูดกับหมูกูพูดกับหมา กูกินข้าวกับหมูกับหมาได้ มึงจะมาเรียนกรรมฐานกับกูยังไง กูไม่รู้กรรมฐานมันเป็นยังไง ว่าแล้วก็ขับไล่ไสส่งให้กลับวัด หลวงพ่อปานก็นั่งทนฟังอยู่ ในที่สุดเห็นท่าจะไม่ได้เรื่องก็เลี้ยวไปหาพระในวัด ไปขออาศัยนอน แล้วก็ถามพระในวัดว่าพระองค์นั่นน่ะชื่ออะไร พระท่านก็บอกว่าองค์นั้นแหละชื่อหลวงพ่อเนียมละ

    หลวงพ่อปานก็สมใจ คิดว่า ดีละ ในเมื่อพบหลวงพ่อเนียมก็จะต้องเรียนให้ได้ เอาซิมาพบคนดีตามคำสั่งของหลวงพ่อสุ่นเข้าแล้ว ในเมื่อพบเข้าแล้วเช่นนี้จะถอนได้อย่างไร ไอ้เรื่องจะถอนไม่มีวันละ ไม่มีวันถอน วันุร่งขึ้นหลวงพ่อปานก็เข้าไปหาท่านอีก ตอนนี้เข้าไปตอนเช้าเวลาที่พระฉันข้าว คือว่าพระที่ท่านพักอยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน ในตอนเช้าต้มข้าวต้มให้ท่านฉันแล้วก็บอกว่า ถ้าหาหลวงพ่อเนียมต้องหาตอนเช้าจะค่อยยังชั่วสักหน่อย ถ้าหาตอนเย็นไม่ได้ แดดแข็ง แดดจัด ๆ ดีไม่ดีท่านก็ตวาดเอาง่าย ๆ เวลาที่หลวงพ่อเนียมฉันข้าวก็ปรากฏว่าท่านนั่งบนโต๊ะ ๒ ชั้น ข้างล่างเป็นโต๊ะตัวโต ข้างบนตัวย่อมหน่อย มีกับข้าวเต็ม ท่านฉันองค์เดียว พระองค์อื่น ๆ ตั้งวงฉันไม่ไกลกันนัก บนโต๊ะของท่านพื้นโต๊ะชั้นที่ ๑ มีหมาเต็มหมด ท่านกินข้าวคำ ท่านก็ป้อนตัวโน้นคำ ป้อนตัวนี้คำ แล้วก็ท่านฉันคำ ป้อนหมาบ้างกินเองบ้าง ป้อนแมวบ้าง คุยกะหมาคุยกะแมวไปตามชอบใจ เมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปกราบ ๆ ท่านก็ด่าเอาอีก ท่านด่าเอา ท่านไม่ยอมสอน ท่านบอกว่าท่านไม่รู้กรรมฐาน ตอนนี้ล่อโคตรพ่อโคตรแม่เข้าเลย เอากันอย่างหนัก ในเมื่อหลวงพ่อานเห็นท่านไม่ได้การ มองดูพระพี่เลี้ยงที่ไปอาศัยกุฏิอยู่ ท่านก็พยักหน้าให้เข้าไปหา ท่านก็เลยเข้าไปหา พระองค์นั้นท่านก็บอกว่าคอยก่อน พรุ่งนี้เข้าไปหาใหม่

    พอวันรุ่งขึ้นก็เข้าไปหาในเวลานั้นอีก ก็ถูกด่าพ่อล่อแม่อีก เอาขนาดหนัก ท่านยืนยันแบบนั้นชักนิ่งเอา ตอนนี้หลวงพ่อเนียมนั่ง นั่งมองหน้าเป๋งสักครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่น้อยนะ ไม่พูดละ มองเป๋งตาไม่กระพริบ หลวงพ่อปานก็หมอบอยู่ข้างเท้าของท่าน หมามันก็เลียหัวเลียหูเลียหลังบ้าง ท่านก็ปล่อยมัน บอกว่าช่างมัน ไอ้หัวเรากับลิ้นหมามันก็คล้ายคลึงกัน ไอ้ลิ้นหมามันก็อยู่ส่วนหัว ไอ้หัวเราก็อยู่ส่วนหัว มันปะทะกัน ไม่เป็นไร หัวต่อหัว ท่านบอกว่าดีน่ะนา มันยังไม่เอาหัวแม่เท้าของมันมาพาดหัวเรา ๆ ก็ยังไม่ว่ามัน เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ยังเป็นหมาของหลวงพ่อเนียม ๆ จ้องเป๋งสักครึ่งชั่วโงแล้วก็พูดมาคำ บอกว่า ไอ้ ... กะแม่ ไอ้พวกเมืองกรุงเก่านี่น่ะดื้อด้านเหลือทน โคตรแม่มันดื้อด้านมาก ด่าเท่าไหร่ก็ไม่เจ็บ ด่าเท่าไหร่ก็ไม่ช้ำ เอา มันอยากจะเรียนก็เรียนซีวะ ในเมื่อชาวบ้านเขาหาว่ากูบ้าแล้วมึงเรียนกับกู มึงก็เป็นคนบ้า ต่อไปมึงจะต้องบ้าอย่างกูนะถ้ามึงเรียนกับกู หลวงพ่อปานก็เลยบอกว่า บ้าก็บ้าครับ ผมยอมบ้า ถ้าผมไม่อยากบ้าผมก็ไม่มาหาหลวงพ่อ นี่ผมได้ยินข่าวหลวงพ่อแล้วผมอยากบ้าอย่างหลวงพ่อขอรับ ตอนนี้ท่านบอกว่าเพิ่งจะได้ยินเสียงหัวเราะลั่น ๆ เลย หัวเราะเสียงดังบอกว่า เออ กูหาคนอยากจะบ้ามานานแล้วหาไม่ได้ นี่กูบ้าคนเดียวมานาน ต่อไปนี้กูจะมีเพื่อนบ้าละโว้ย เอาเข้านั่น หลวงพ่อปานชอบใจ หลวงพ่อปานบอกว่าหลังจากนั้นท่านก็เลยสั่งว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ตอนนี้พูดดี กลางคืนเวลาประมาณสัก ๒ ทุ่มนะ เอ็งนุ่งสบงทรงจีวรคาดสังฆาฏิให้ดีเข้าไปหาข้าในกุฏิ เวลากลางวันนี้มันจะเรียนยังไงวะกรรมฐาน เขาเรียนกันกลางคืน มันเงียบสงัด ตอนนี้ชักดี หลวงพ่อปานก็บอกว่าใจชื้น พอตอนกลางคืนหลวงงพ่อปานเข้าไปหาท่าน ปรากฏว่ารูปร่างท่านผิดไปมาก ผิวดำผอมเกร็งแบบนั้นไม่มี ท่านนุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิเหลืองอร่าม ผิวกายสมบูรณ์ ร่างกายก็สมบูรณ์ หน้าตาอิ่มเอิบ รัศมีกายผ่องใส สวยบอกไม่ถูก หลวงพ่อปานกราบ ๓ ครั้งแล้วก็นั่งมอง ท่านก็นั่งมองยิ้ม ๆ แล้วท่านก็ถามว่า แปลกใจรึคุณ ตอนนี้พูดดี ถามว่าแปลกใจรึคุณ หลวงพ่อปานก็ยกมือนมัสการ บอกว่า แปลกใจขอรับ ว่าหลวงพ่อรูปร่างไม่เหมือนตอนกลางวัน ท่านก็บอกว่ารูปร่างนะคุณมันเป็นอนัตตานี่ คือว่าเป็นอนิจจัง มันหาความเที่ยงไม่ได้ มันจะดำเราก็ห้ามมันไม่ให้ดำไม่ได้ มันจะขาวเราก็ห้ามไม่ให้มันขาวไม่ได้ มันจะผอมเราก็ห้ามไม่ได้ มันจะอ้วนเราก็ห้ามไม่ได้ มันไม่มีอะไรจะห้ามได้เลยนี่คุณ พระพุทธเจ้าท่านทรงกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง เห็นไหม ไปเจอเอาตัวอนิจจังเข้าแล้วสิ หลวงพ่อปานบอกว่าตอนนี้ละเริ่มสอนกรรมฐาน อธิบายไพเราะจับใจ ฟังง่ายจริง ๆ พูดได้ซึ้งใจทุกอย่าง เวลาท่านพูดคล้าย ๆ ว่าจะบรรลุอรหัตตผลไปพร้อม ๆ ท่าน ท่านสอนได้ดีมาก พอสอนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับกุฏิของท่าน แล้วเวลาทำกรรมฐานกลางคืนหลวงพ่อปานวางอารมณ์ผิด ท่านจะร้องบอกไปทันที บอกคุณปานเอ๊ยคุณปาน นั่นคุณวางอารมณ์ผิดแล้วนี่หว่า ตั้งอารมณ์เสียใหม่มันถึงจะใช้ได้ นี่หลวงพ่อปานบอกว่าท่านมีเจโตปริยญาณแจ่มใสมาก ท่านเรียนพระกรรมฐานอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือนแล้วจึงกลับ ก่อนหลวงพ่อปานจะกลับ หลวงพ่อเนียมก็บอกว่า ถ้าข้าตายนะ หลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดันเขาแทนข้าได้ ถ้ามีอะไรสงสัยก็ไปถามหลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดันนะ

    ความจริงหลวงพ่อโหน่งวัดคลองมะดันหรือวัดอัมพวันสมัยนี้ ก็อายุไล่เรี่ยกับหลวงพ่อปาน รุ่นราวคราวเดียวกัน หลวงพ่อปานท่านบอกเกร็ดระหว่างที่ท่านได้อยู่กับหลวงพ่อเนียม หลวงพ่อเนียมเล่าให้ฟังว่า มีวันหนึ่งหลวงพ่อเนียมท่านนั่งฉันข้าว ท่านก็หัวเราะกั๊ก ๆ ขึ้นมา แมวของท่านตายไปตัวชื่ออีไฝ เพราะว่ามีไฝที่ปาก ท่านเรียกว่าอีไฝ ท่านหัวเราะแล้วท่านก็พูดคนเดียวบอกว่า เอ๊ย อีไฝของข้ามันดีเว้ย มันไปเกิดเป็นคนที่ตลาดโควัง บ้านอยู่หัวตลาดโควัง พ่อมันชื่อนั่น แม่มันชื่อนั่น พระที่กำลังฉันข้าวอยู่ สงสัยก็จำไว้ พอครบเวลา ๑ ปีผ่านไป พระที่สงสัยมีจำนวน ๒ องค์ก็พากันไปดู ไปถามว่าคนชื่อนี้มีไหม เขาก็บอกว่ามี บอกว่าเขามีลูกผู้หญิงอายุสักไม่กี่เดือนนี่มีหรือเปล่า บอกว่ามี ก็ถามหาบ้าน เมื่อถามหาบ้านแล้วก็ปรากฎว่าเขาพาไป เมื่อเขาพาไปพบ เจ้าของบ้านเขาก็ถามว่ามาทำไม พระพวกนั้นก็เริ่มโกหกบอกว่าหลวงพ่อเนียมท่านใช้มาบอกว่าแมวของท่านตาย มาเกิดเป็นลูกที่บ้านนี้ มีไฝที่ปาก เป็นผู้หญิง แล้วบอกชื่อพ่อชื่อแม่ ท่านพ่อท่านแม่ของเด็กดีใจมากว่าได้ลูกที่เป็นแมวของหลวงพ่อเนียม แล้วก็สั่งพระว่าบอกหลวงพ่อด้วยนะ ถ้าเด็กคนนี้อายุครบ ๓ เดือนเมื่อไรละก็ จะพาเด็กไปถวายหลวงพ่อ จะพาไปนมัสการ ไปไหว้ พระพวกนั้นก็กลับ พอครบ ๓ เดือน เขาพาไปถึงก็ไปประเคนเด็กลงที่เท้าของท่าน หลวงพ่อเนียมตกใจ ทำท่าตกใจไปยังงั้นเอง ถามว่าเอ๊ะ มันยังไงกันหว่า มาถึงก็มายกเด็กมาวางที่ขาข้า เขาก็บอกว่าก็ลูกของหลวงพ่อไงล่ะ แมวชื่อไฝของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกฉัน ท่านก็ถามว่า เอ๊ะ .. เอ็งรู้ได้ยังไงวะ เขาก็เลยบอกว่าพระไปเยี่ยม พระบอกว่าหลวงพ่อบอกว่าแมวของหลวงพ่อไปเกิดเป็นลูกสาวฉัน มีไฝที่ปาก ถามชื่อเสียงเสร็จ ถูกต้อง พูดอะไรถูกต้องหมด ท่านถามว่าพระองค์ไหนจำได้ไหม เขาบอกว่าถ้าเห็นหน้าจำได้ ก็เรียกพระมาทั้งหมด ปรากฏว่าพระ ๒ องค์นั้นไม่มา พระ ๒ องค์ที่ไปสืบน่ะหนีไปหลังวัด ท่านถามว่า พระทั้งหมดนี่น่ะใช่ไหม พระที่ไปบ้านเอ็งมีไหม เขาบอกว่าไม่มี พระ ๒ องค์นั้นไม่มี ก็เลยใช้พระองค์หนึ่งไปตามบอกว่า โน่น มันหนีไปหลังวัดโน่น ไปตามมันมา พระองค์ที่ไปตามไปพบกันเข้ากับพระ ๒ องค์นั้นก็บอก นี่คุณ..กลับไปเถอะ ไปบอกหลวงพ่อ บอกว่าตามไม่พบนะ เดี๋ยวผมจะไปนอนค้างที่วัดลานคา วัดลานคากับวัดน้อยไม่ไกลกันนัก พระองค์นั้นก็กลับมาบอกว่าไม่พบขอรับ ท่านก็บอกว่ามันจะพบยังไงหว่า ก็มันสั่งมึงมานี่ใหบอกกูว่าไม่พบ พระองค์นั้นจนด้วยเกล้าต้องยอมรับ จึงกล่าวได้ว่าหลวงพ่อเนียมมีเจโตปริยญาณ มีทิพยจักษุญาณดีมาก เรียกว่าสำหรับจุตูปปาตญาณก็แจ่มใสมาก ความจริงก็ไม่ต้องพูดอะไรนะ ถ้ามีทิพยจักษุญาณแจ่มใสเสียอย่างเดียว อย่างอื่นมันก็แจ่มใสหมด แต่ว่าทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสได้มากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับวิปัสสนาญาณ คือ ๑ มีญาณดี ๒ มีวิปัสสนาญาณแจ่มใส ถ้า ๒ ประการนี้มีกำลังพอกันเพียงใด เรื่องทิพยจักษุญาณก็ไม่ต้องสงสัย แต่ว่าเรื่องของสาวกน่ะอย่าไปเทียบกับพระพุทธเจ้านะ เรื่องที่ไม่เผลอ ไม่ลืมไม่มี ที่ไม่เผลอไม่ลืมก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว นี่ว่ากันถึงเรื่องตอนนี้นะ

    เรื่องราวของหลวงพ่อเนียมน่ะยังไม่หมด มีอีกตอนหนึ่งที่หลวงพ่อปานเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ความจริงก็น่าจะมีสัก ๒ ตอนนะ ตอนหนึ่งที่หลวงพ่อปานเล่าให้ฟังก็คือว่า ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านเคยเทศน์ เทศน์กับอาจารย์แสงวัดพะเนียงแตก อาจารย์แสงนี่คราวที่ไปกรุงเทพฯ วันที่ ๑ มกราคม ท่านพลอากาศตรี ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ พูดให้ฟังว่า ใครเขาเอาพระของอาจารย์แสงมาให้ก็ไม่ทราบ ความจริงอาจารย์แสงองค์นี้สมัยนั้นมีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดพะเนียงแตกนี่น่ะมีชื่อเสียงมากจริง ๆ เวลาใครเขาจะไปสึก เขาไปสึกที่วัดพะเนียงแตก แล้วท่านจะถามว่าเวลาสึกนี่น่ะ ต้องการรวย หรือว่าต้องการเจ้าชู้ หรือว่าต้องการเป็นนักเลง หรือต้องการเมตตาปรานี ถ้าใครต้องการรวยท่านก็รดน้ำมนต์ให้สึกไปแล้วรวยมีโชคดี ถ้าคนไหนบอกว่าอยากมีเมียมาก ๆ เป็นเจ้าชู้ รดน้ำมนต์แล้วไม่เกิน ๒ วัน ได้เมียเลย แล้วก็ได้เรื่อยไป ไม่มีจังหวะ ก็เลยตั้งตัวไม่ติด ถ้าต้องการนักเลง รดน้ำมนต์ให้แล้วส่งเชือกให้ แล้วบอกว่าไปลักควายเขา อาจารย์องค์นั้นจะเป็นอาจารย์แสงหรืออะไรไม่ทราบ แต่วัดพะเนียงแตกมีชื่อมานาน แต่สมัยหลวงพ่อเนียมนั้นน่ะ สำหรับวัดพะเนียงแตกนี่ก็มีอาจารย์แสงเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเนียมเคยเล่าให้หลวงพ่อปานฟังว่า ไอ้ท่านแสงน่ะข้าเทศน์กับมันทุกคราว เรียกว่าข้าเทศน์กับมันเรื่อย มันไล่ข้าเสียเกือบตายทุกที เหนื่อย ข้ามันแก่แล้วนี่ มันหนุ่มกว่าข้า มันไล่ข้า ข้าก็ไม่จน ข้าก็ตอบมันได้เรื่อย แต่ทว่ามาอีกวันหนึ่งข้าไปเทศน์กับมันที่วัดลาดหอย คำว่าลาดหอยนี่ก็อยู่ใกล้ ๆ กับประตูน้ำบางยี่หน วันหนึ่งอาจารย์แสงไปถึงก่อน ชาวบ้านเขาก็เอาหมาก เอาพลู เอาบุหรี่ เอาชา เอาน้ำร้อนน้ำเย็น มาถวายกัน เขาก็หัวเราะกันครืน ๆ ท้ายอาสนสงฆ์ ข้าไป ข้าก็ไปนอนอยู่หัวอาสนสงฆ์ ชาวบ้านไม่มีใครเขาสนใจกะข้าหรอก เขาไปคุยกับท่านแสง มันมีลีลาดี มันโกหกชาวบ้านเก่ง มันก็คุยกันฮา ๆ ๆ คุยไปคุยมาเดี๋ยวมันร้องตะโกนมาบอกว่า หลวงพ่อเนียมวัดน้อยน่ะ คุยว่ารู้ใจคนอย่างนี้น่ะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรม ขาดจากความเป็นพระแล้ว ไม่ใช่พระ ถ้าหลวงพ่อเนียมเก่งจริงก็ลองบอกซิว่าเวลานี้น่ะผมมีความในใจเป็นยังไง

    หลวงพ่อเนียมบอกว่าพอฟังมันพูดเท่านั้นแหละ ก็นึกในใจว่าถ้าจะนิ่งไม่ได้เสียแล้ว ไอ้ท่านแสงนี่อวดดีมาก เก่งบนธรรมาสน์ไม่พอ มาท้าตีกันใต้ธรรมาสน์อีก ไม่ได้ .. จะต้องเอากะมัน ท่านก็เลยลุกจากที่นอนกวักมือเรียกท่านแสง แกอยากจะรู้ว่าข้ารู้จริงหรืไม่จริงเชิญเข้ามาหาข้านี่ อาจารย์แสงเขาก็มา ชาวบ้านเขาก็เข้ามากัน ถามว่าแกอยากจะให้ข้ารู้อะไร อาจารย์แสงก็เลยบอกว่าถ้ารู้จริงก็บอก เวลานี้ผมมีความสุขหรือความทุกข์ หลวงพ่อเนียมก็เลยบอกว่าไอ้คนอย่างแกมันจะหาความสุขที่ไหนวะ ก็เวลานี้แกสร้างโบสถ์ แกขอยืมเรือมาด ๔ แจวของชาวบ้านเขามา เขาซื้อมาราคา ๔๐๐ บาท ยังเป็นเรือใหม่ แล้วไอ้เรือลำนั้นขโมยมันลึกไป เวลานี้แกยังเทศน์รวบรวมเงินใช้หนี้เขาไม่หมด ก็เทศน์สมัยนั้นนี่นะลูกหลานนะ ถ้าใครไปเทศน์ได้ถึง ๒๐ บาทละก็เฮงเต็มทีแล้ว อย่างดีก็ ๕ บาท ๖ บาท เท่านี้ก็เรียกว่ารวยแล้ว ไม่ใช่ราคาร้อยราคาชั่งอย่างเวลานี้ ตามปกติเทศน์กันก็ได้ห้าสลึงบ้าง สองบาทบ้าง ดีไม่ดีก็ไม่ค่อยจะถึงบาท สมัยนั้นถ้าใครได้มา ๒๐ บาท ก็จัดว่าเป็นนักเทศน์อย่างดี ในเมื่อหลวงพ่อเนียมบอกอย่างนั้นนะ ว่าแกยังหาเงินใช้หนี้เขาไม่หมด เป็นความจริงไหม ตอบตรง ๆ หลวงพ่อแสงก็บอกว่าจริง หลวงพ่อแสงก็ถามว่าทำยังไงล่ะผมถึงจะใช้หนี้เขาหมด ท่านก็เลยบอกว่าไอ้แกมันโง่นี่ แกกลับไปซี เวลาวันพระไปบอกกับชาวบ้านเขา บอกว่าเวลานี้เรือมาด ๔ แจวขอยืมเขามาขนทรายขนอิฐ ขนดินมาทำอิฐจะสร้างโบสถ์ ขโมยมันลักไป ไอ้แกตั้งใจจะใช้หนี้เขาแต่ก็ยังไม่มีเงิน ไปเทศน์รวบรวมเงินมาแล้วมันยังไม่พอ เวลานี้แกมีเงินอยู่ ๘๐ บาทเศษ ๆ ใช่ไหมล่ะ ท่านถาม อาจารย์แสงตอบว่า ใช่ อาจารย์แสงยกมือพนมแต้ อีตานี้ไม่เบ่งละพนมแต้เชียว ตอบใช่ ก็บอกว่า นี่แกประกาศกับเขาซีว่าแกเทศน์มาได้ ๘๐ บาทเศษ ๆ ก็ตั้งใจจะใช้เป็นค่าเรือ มันยังไม่พอ ถ้าบรรดาญาติโยมทั้งหลายจะช่วยละก็ แกจะได้กำไรอีก ๔๐๐ บาท หมายความว่าไอ้ที่จะใช้เขา ๔๐๐ บาท มันยังจะเหลืออีก ๔๐๐ บาท ได้ ๘๐๐ บาทนั่นเอง หลวงพ่อแสงก็ถึงกับกราบ วันนั้นท่านบอกกับหลวงพ่อปานว่า ไอ้ท่านแสงมันไม่ไล่ข้าเลยว่ะ เทศน์กันแบบสบาย พอมันกลับไปวัดมัน ถึงวันพระมันประกาศตามกันว่า มันได้ ๘๐๐ บาทจริง ๆ ไอ้ท่านแสงตามมาไหว้ข้าถึงวัดแน่ะ แล้วต่อจากนั้นจะเทศน์จะธรรมมันไม่ไล่ข้าอีกหรอก เทศน์กันสบายเชียว นี่เป็นเรื่องของความรู้ของท่านนะ หลวงพ่อปานพูดในตอนนี้บอกว่าหลวงพ่อเนียมน่ะมีญาณคล้าย ๆ กับพระอรหันต์ ท่านว่ายังงั้นนา ท่านว่ามีคุณสมบัติคล้ายพระอรหันต์ ท่านไม่บอกว่าพระอรหันต์นะ ท่านบอกว่าคล้าย ใครจะไปว่าท่านละ จะเหมือนหรือจะคล้ายก็ช่าง

    วิชาเกร็ดก็มีอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อเนียมบอกกับหลวงพ่อปานว่า เมื่อก่อนหน้าแกมานะ แหม..ข้าเกือบตายน่ะว่ะ หลวงพ่อปานถามว่าเป็นยังไงครับ หลวงพ่อเนียมบอกว่าที่ไหนได้ ข้าถูกงูกัด ข้าเดินไปกลางลานวัด ข้าถูกงูกัด ๆ แล้วก็เห็นมันเป็นงูเห่า ข้าก็เลยมากุฎิ นั่งเป่า ๆ ๆ พักเดียวมันก็หาย หลวงพ่อปานก็เลยอยากได้คาถาแก้งูเห่าบ้าง ถามว่า หลวงพ่อครับ หลวงพ่อใช้คาถาอะไรเป่าพิษงูหาย ท่านก็บอกว่าไอ้คาถาที่ข้าเป่านี่น่ะมันมีเยอะว่ะ ในเจ็ดตำนานทั้งหัวมันใช้ได้ทั้งนั้นแหละ แกเอาตรงไหนก็ได้ หลวงพ่อปานบอกว่าหมดท่าเลย พ่อเล่นบอกว่าเจ็ดตำนานทั้งเล่มเอาตรงไหนก็ได้ นี่แสดงว่าจิตเข้าถึงแท้นะ มีพลังจิตสูง แล้วอีกตอนหนึ่งท่านบอกว่า ไอ้พวกผีนี่น่ะมันจะเอาคนแถวนี้ ข้าไม่ยอมให้มัน มันบอกมันจะเอาคนตั้ง ๒๐๐ คน มันขอข้า ข้าไม่ให้มัน ๆ เอาไปตั้ง ๒๐๐ คน ข้าก็ตายน่ะซี พระก็ตายไม่มีใครเลี้ยง คนน่ะมากกว่าแต่คนตายตั้ง ๒๐๐ คน บ้านมันก็หนาวหมด เขาก็ยกบ้านหนีหมด ข้าไม่ยอมให้มัน มันโกรธข้าแฮะ ข้าจะไปไหนก็ตาม มันถือไม้แหลมอันหนึ่งเดิมตามไป ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ข้าก็ไม่ยอมเผลอให้มัน แต่วันหนึ่งข้าไปส้วมว่ะ ข้าเผลอไป แหมพอไปส้วม เผลอไป มันย่องเข้าไปข้างหลังเอาไม้พุ่งปั๋งเข้าที่ท้อง ข้าขี้แตกพรวดเลย โอ้โฮมันขี้เสียเกือบหมดท้อง ชักไม่มีแรง เวลาออกมาจากส้วมต้องใช้ไม้เท้ายันมากุฎิ ข้าก็นอนแผ่ นึกเป่าตัวเองครึ่งวัน สักครึ่งวันมีกำลังปกติ หลวงพ่อปานก็ถามว่าหลวงพ่อใช้คาถาอะไรเป่าขอรับ ท่านบอกว่าข้าเอาตามเจ็ดตำนานที่ไหนก็ได้ บทไหนก็ได้ ชอบบทไหนแกก็เอาบทนั้นเป่าส่งไปเถอะ หายเองแหละ คนถ้ายังไม่ถึงเวลาจะตายน่ะมันหายเอง หลวงพ่อปานอยู๋กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือนก็ลากลับ ก่อนจะกลับหลวงพ่อเนียมก็ลูบศีรษะแล้วว่า ปานเอ๊ย..เอ็งมันปรารถนาพุทธภูมินะ จะหวังอรหันต์ในชาตินี้น่ะไม่ได้ แต่ว่าทำไปเถอะ เพื่อบารมีของเอ็งจะได้เต็ม เวลาข้าตายแล้วถ้าเอ็งสงสัยอะไรก็ถามท่านโหน่งเขานะ ท่านโหน่งน่ะเขาพอจะแทนข้าได้
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่ง

    ในกาลต่อมา เมื่อหลวงพ่อเนียมมรณภาพแล้ว หลวงพ่อปานก็มีความสงสัยในหลวงพ่อโหน่ง คำว่าสงสัยน่ะ ไม่ใช่สงสัยอะไรหรอก หมายความว่าอยากจะพบ อยากจะรู้ถึงคุณสมบัติของหลวงพ่อโหน่ง อยากจะเรียนต่อกันนั่นเอง พระสมัยนั้นน่ะท่านไม่ได้แข่งดีกันนะ ท่านพยายามขอดีกัน หมายความว่าถ้ารู้ว่าใครเขามีดีแล้วก็ไปขอดีจากเขา ไม่ใช่เอาดีไปแข่งหรือเอาดีไปอวด หลวงพ่อปานก็ธุดงค์ไปเพื่อจะไปหาหลวงพ่อโหน่ง ตอนไปก่อนจะถึง ท่านบอกว่าแดดมันร้อนจัด ท่านก็พักอยู่โคนต้นพุทรา อยู่ไม่ไกลจากกุฎิของหลวงพ่อโหน่งนัก ท่านก็เปิดหน้าต่างออกมาร้องว่า แหม พ่อคุณ มาแล้วยังดันมานั่งเสียอีกนะ ไอ้เราน่ะคอยมาตั้งแต่เช้า คิดว่าจะมาถึงแต่เช้า มาโอ้เอ้ ๆ อยู่ได้ เข้ามาให้ถึงนี่ซี มาพักผ่อนที่นี่ มานั่งคุยกัน เราคอยมาตั้งนานแล้ว ผลที่สุดหลวงพ่อปานก็เข้าไปหาท่าน แล้วคุยกันถึงเรื่องพระกรรมฐาน สอบกันไปสอบกันมา สอบกันมาสอบกันไป เอาใครดีกว่าใครไม่ได้ เรียกว่าไม่มีใครกล้าดีกว่ากัน จนแต้มด้วยกัน ท่านบอกว่าไล่ไปตามลำดับ เมื่อถึงที่สุดหลวงพ่อโหน่งก็บอกว่าผมก็หมดแค่นี้แหละ ไปไม่รอดอีก ก็เป็นอันว่าหลวงพ่อปานกับหลวงพ่อโหน่งเวลานั้นยันกัน เรียกว่ายันกันไป

    ตอนนี้ก็อยากจะเล่าประวัติของหลวงพ่อโหน่งสักนิดหนึ่ง ประวัติของหลวงพ่อโหน่งเป็นอย่างนี้ นี่ท่านเป็นพระแท้ ๆ นะ พระอย่างนี้ลูกหลานหายาก คือว่าหลวงพ่อโหน่งน่ะเป็นคนใกล้ ๆ วัดคลองมะดันนั่นเอง ไม่ใช่ลูกเศรษฐีคหบดีที่ไหน เวลาครบบวชท่านบวชอยู่ที่วัดคลองมะดัน ๑ พรรษา พอพรรษาที่ ๒ ก็อยากจะเรียนปริยัติธรรม ท่านมีน้าชายอยุ่ที่วัดโพธิ์ วัดพระเชตุพน ท่าเตียน เป็นเจ้าคุณ แล้วเจ้าคุณองค์นี้ได้เปรียญ ๙ ประโยค ท่านก็ไปหาน้าชายบอกว่าอยากจะขออยู่ด้วย อยากจะเรียนบาลี น้าชายก็ดีใจ เห็นหลานชายมีความสนใจในพระปริยัติธรรม ก็บอกว่าอยู่กับน้าเถอะ เรื่องอาหารการบริโภคไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกลัวอด น้าจะเลี้ยงเอง มีอะไรเท่าไรจะสอนให้หมด ไม่เก็บละ ดีใจว่าหลานสนใจในการศึกษา เมื่อคุยกันไปคุยกันมา หลวงพ่อโหน่งก็ถามว่า คุณน้าขอรับ คุณน้าเป็นเปรียญ ๙ ประโยค แล้วก็เป็นเจ้าคุณด้วย คุณน้าละกิเลสได้หมดรึยัง และน้าชายก็แสนจะดีไม่ตอบตรง ๆ หรอก ท่านบอกว่า โหน่ง คุณเข้าไปดูในกุฎิฉันซิว่าฉันมีอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งก็เดินเข้าไปดูในห้องท่าน มีโต๊ะหมู่มุกบ้าง โต๊ะหมู่ทองบ้าง งาช้างอย่างดีบ้าง ของมีค่าเยอะแยะอยู่ในกุฎิภายในห้อง นับราคาไม่ไหว ของมีค่าสูง ๆ มาก พอดูทั่วแล้วท่านก็ออกมา หลวงน้าก็ถามว่าโหน่ง คุณเห็นอะไรบ้าง หลวงพ่อโหน่งท่านก็จาระไนหมดทุกอย่างเท่าที่เห็น ท่านก็เลยบอกหลวงพ่อโหน่งว่า คุณโหน่ง นี่ถ้าฉันละกิเลสได้น่ะ ของทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มีหรอก ถ้ามันจะมีมันก็เป็นของสงฆ์ แต่นี่ฉันมีไว้แล้วก็เป็นของส่วนตัว ก็แสดงว่าฉันนี่ละกิเลสไม่ได้เลย ฉันบวชเป็นเปรียญ ๙ ประโยค และพระราชาทรงแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ เรียกกันว่า เจ้าคุณ แต่ฉันก็ละกิเลสไม่ได้สักตัว ราคะ โทสะ โมหะ นี่ฉันละไม่ได้สักตัว หลวงพ่อโหน่งได้ยินอย่างนั้นก็สลดใจ เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นละก็กระผมไม่เรียนแล้วละครับหลวงน้า ถึงจะเรียนกันถึง ๙ ประโยคแล้วละกิเลสไม่ได้ เป็นเจ้าคุณแล้วยังละกิเลสไมได้ ในเมื่อเรียนแล้วละกิเลสไม่ได้ ไม่เรียนให้เหนื่อยหรอกขอรับ ขอลากลับไปวัดคลองมะดัน หลวงน้าก็ไม่ว่าอะไร บอกว่าตามใจ ๆ คุณ ในเมื่อคุณไม่สมัครใจฉันก็ไม่ว่า แต่ว่าถ้าต้องการเรียนเมื่อไร มาอยู่กับหลวงน้านะ หลวงน้าพร้อมที่จะอุปการะ ความจริงท่านก็ดีมาก แต่ตอนกลับมาอยู่วัดคลองมะดัน ตอนเรียนพระกรรมฐานนี่น่ากลัวจะไปเรียนกับหลวงพ่อเนียม ตอนนี้หลวงพ่อปานไม่ได้บอก ท่านบอกว่าท่านไปนั่งกรรมฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง คือว่าตรงนั้นมันใกล้ป่าช้า พอมีที่เตียนอยู่นิดหนึ่ง จะแล้งขนาดไหนก็ตาม ตอนนั้นมีแผ่นดินชุ่มอยู่เสมอ ผืนแผ่นดินที่ชุ่มมีบริเวณประมาณสัก ๔ ตารางวา ไม่กว้างนัก ท่านบอก ท่านไปนั่งกรรมฐานอยู่ตรงนั้น ตอนดึกวันหนึ่งปรากฎว่ามีพระสงฆ์องค์หนึ่งรูปร่างเรียกว่าสวยมาก มีลักษณะดี บอกว่าลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้า มายืนอยู่ข้างหน้าบอกว่า โหน่ง ที่ตรงนั้นมีพระบรมสารีริกธาตุ ใต้ที่เธอนั่งลงไปน่ะมีขันทองคำขนาดใหญ่มีน้ำเต็ม และในขันทองคำนั้นมีเรือสำเภาทองคำ แล้วก็มีมณฑปทองคำ มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในนั้น เธอควรจะสร้างวิหารทับตรงนี้เข้าไว้ ชาวบ้านเขาจะได้ไม่เดินผ่าน คือ ไม่เดินเหยียบเดินย่ำไปบนพระบรมสารีริกธาตุ หลวงพ่อโหน่งท่านก็บอกกับพระองค์นั้นว่าท่านเพิ่งบวชได้ ๒ พรรษา ยังไม่มีปัญญาจะสร้าง ไม่ทราบว่าใครเขาจะเชื่อถ้าบอกบุญเขา ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกโหน่ง ตอนเช้าวันพระนะ วันนั้นเป็นวันโกน ตอนเช้าเธอลงศาลาแล้วบอกกับญาติโยมเขา บอกว่าเธออยากจะสร้างวิหาร เท่านี้ละจะมีคนช่วยสร้างจนเสร็จ หลวงพ่อโหน่งท่านรับฟัง แล้วก็ถอนจากกรรมฐาน ตอนเช้าเป็นวันพระ เวลาฉันข้าวท่านก็พูดกับทายกว่า อยากจะสร้างวิหารตรงนั้นตรงที่ท่านเจริญพระกรรมฐาน ชาวบ้านพอเขารู้เข้าก็พร้อมใจกันช่วยกันสร้างวิหาร ภายในระยะ ๑ ปี วิหารหลังนั้นก็โตนะ เดี๋ยวนี้วิหารหลังนั้นก็ยังอยู่ วิหารหลังนั้นไม่เล็ก ภายใน ๑ ปี ก็สร้างเสร็จ เมื่อสร้างเสร็จแล้วท่านก็นั่งกรรมฐานในพระวิหารนั้น พระองค์นั้นก็บอกว่าให้สร้างพระประธาน คือว่า สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ไว้ในวิหารสักองค์ หลวงพ่อโหน่งก็บอกไม่ทราบจะไปเอาช่างที่ไหน พระองค์นั้นก็บอกว่าตอนเช้าให้ออกธุดงค์ ๆ ไปที่เมืองกรุงเก่า ไปถึงหลังวัดประดู่ทรงธรรมละก็ให้ไปปักกลดตรงนั้น แล้วตอนเช้าจะมีคนมาใส่บาตร คนที่มาก่อนเพื่อน นุ่งขาวห่มขาวผมก็ขาวมีขันข้าวมาลูกเดียวไม่มีกับข้าว ถ้าคนนั้นมาละก็ให้พูดกับคนนั้นเขา เขาเป็นช่าง เขาจะมาช่วยปั้นพระ หลวงพ่อโหน่งก็เชื่อ พอตอนเช้าท่านก็ออกธุดงค์ไป จังหวัดอยุธยาสมัยนั้นเขาเรียกกันว่าเมืองกรุงเก่า เพราะว่าเป็นเมืองหลวงเก่า ไปถึงหลังวัดประดู่ทรงธรรม พอถึงตอนเช้าก็เป็นไปตามนั้น คนที่มาก่อนเพื่อนเป็นคนนุ่งขาวห่มขาวผมขาวมีข้าวขันเดียวและไม่มีกับ มาถึงก็มานั่งใกล้ท่าน คนอื่นมาทีหลัง หลวงพ่อโหน่งก็ปรารภเรื่องปั้นพระประธาน ตาคนนั้นก็บอกว่าแกเป็นช่าง แกรับรองจะปั้นให้ ตกลงกันว่าแกจะไปปั้นให้ แต่ว่าหลวงพ่อโหน่งลืมบอกวัด ลืมบอกว่าท่านอยู่วัดไหน นี่ท่านไม่ได้บอก เมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วแกก็บอกว่าแกจะตามไป ให้หลวงพ่อโหน่งไปก่อน หลวงพ่อโหน่งก็ถอนกลดเดินกลับวัด แต่พอมาถึงวัดแล้วก็มานึกขึ้นได้ว่า อ้าวตาย .. เราไม่ได้บอกกับนายช่างเขานี่ว่าเราอยู่วัดไหน แล้วก็นายช่างเขาจะมาถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ แต่ว่าวันนั้นมันก็บ่ายเสียแล้ว ก็คิดว่าถ้านายช่างไม่มาภายใน ๓ วัน หลวงพ่อโหน่งก็จะต้องกลับไปอยุธยาใหม่ ไปปักกลดตรงนั้นอีกแหละ ไปบอกเขาว่าอยู่วัดไหน ในเมื่อพอวันรุ่งขึ้นก็ปรากฎว่านายช่างมาถึง ไม่ได้บอกวัดก็มาถูกเหมือนกัน มาถึงก็ลงมือปั้นพระ พระองค์นั้นรู้สึกว่าปั้นได้สวยมาก มองดูลักษณะน่าดู เมื่อปั้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ปรากฎว่าช่างหายไป หลวงพ่อโหน่งก็ตกใจว่า เอ๊ะ .. นี่เรามาใช้ให้เขาปั้นพระ นี่ควรให้ค่าจ้างเขา นี่ค่าจ้างก็ยังไม่ทันให้ แล้วช่างก็มาหายไปเฉย ๆ มาหนีไปเสีย ไม่ได้รับค่าจ้าง มันก็จะเป็นการใช้กันฟรีเกินไป ท่านจะหาที่ไหนไม่พบ ในที่สุดก็ไปใหม่ ออกธุดงค์ไปอีก ไปปักกลดที่หลังวัดประดู่ทรงธรรม ทีนี้พวกชาวบ้านเขาก็มาใส่บาตรกัน แต่ปรากฎว่านายช่างไม่มา ก็ถามชาวบ้านว่ารู้จักตาช่างคนนั้นไหม ชาวบ้านเขาก็บอกว่าไม่รู้จัก เมื่อปีที่แล้วนี้ที่ฉันมาปักกลด มีคนนุ่งขาวห่มขาวมีผมยาว ๆ ถือขันข้าวขันเดียวไม่มีกับ แล้วฉันให้เขาไปปั้นพระ เขาไปปั้นแล้วยังไม่ทันให้ค่าจ้างก็ปรากฎว่าเขาหายมา เข้าใจว่าเขามาบ้าน คนแถวนั้นก็เลยพากันบอกว่า คนนั้นไม่ใช่คนที่นี่ เป็นคนที่อื่น เขาเองเขาก็ไม่รู้จักเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเป็นคนที่ไหนมา ก็เห็นเขาวันนั้นวันเดียว วันอื่นก็ไม่เคยเห็น เป็นอันว่าหลวงพ่อโหน่งไม่ได้จ่ายค่าจ้าง ช่างคนนั้นเป็นใคร ตอนนี้ก็เห็นจะไม่พยากรณ์นะ แต่ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกว่า ช่างคนนั้นไม่ใช่คน แล้วจะเป็นใครก็ตามใจซิ เขาไม่บอกวัดก็ไปถูก ปั้นแล้วก็ไม่เอาสตางค์ หนีเจ้าของงานเปิดฉิบ ไม่เหมือนช่างสมัยนี้นี่ รับเงินไปมากกว่างาน หนีเจ้าของงาน ตาช่างคนนั้นไม่ได้รับเงินแต่ว่าหนีเจ้าของงาน แปลกกันนะ แปลกกันหน่อย แปลกกันตรงนี้

    ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. เท่าไร ฉันก็จำไม่ได้ แต่ฉันบวชแล้ว ปรากฎว่าหลวงพ่อโหน่งตาย พระที่วัดหลวงพ่อโหน่งก็มาบอกหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานติดธุระไปไม่ได้ วันที่จะเผาหลวงพ่อโหน่ง ท่านติดกำหนดยกช่อฟ้าวัดช่องลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะท่านไปสร้างศาลาไว้ที่นั่น ท่านสั่งพระไปบอกว่า ถ้าหากว่าศพหลวงพ่อโหน่งไม่เน่าละก็อย่าเพิ่งเผานะ ให้รอท่านก่อน ถ้าหากว่าศพหลวงพ่อโหน่งแห้งหรือว่าเน่าก็จงเผาเถิด เพราะเก็บศพไว้ ๑๓ เดือนแล้ว ปรากฎว่าเวลาเขานำศพออกมามีสภาพเหมือนคนนอนหลับ เวลาท่านจะตายท่านนอนตะแคงขวา พนมมือเหมือนกับคนนอนหลับ สภาพการเน่าเหม็นอะไรก็ไม่มี สมัยนั้นไม่มีการฉีดยา แต่ทว่ากรรมการส่วนใหญ่เขาพากันเผาเสีย ต่อมาหลวงพ่อปานรู้เข้าไปที่วัดนั้น ฉันก็ไปด้วย ท่านเรียกกรรมการวัดบ้าง พระบ้าง มาเทศน์เสียเยอะ เรียกว่าเทศน์ให้ฟัง เพราะไม่รู้ค่าของความดีว่าหลวงพ่อโหน่งนี่เป็นพระอรหันต์ พวกแกนี่อยู่กับพระอรหันต์นะ ไม่รู้ค่าของความดีของพระอรหันต์ นี่ท่านอธิษฐานตัวทิ้งเข้าไว้นะ วันนั้นฉันมาไม่ได้ ฉันก็สั่งแล้วว่าถ้าศพไม่เน่าไม่ควรจะเผา เขาก็ไม่เถียง ท่านพูดแล้วเขาไม่เถียง ท่านก็แพ้เขาน่ะซิ ทีนี้คุณสมบัติหลวงพ่อโหน่งมีพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง หลวงพ่อปานบอกว่า เวลาใครเขานิมนต์ท่านละก็ ท่านต้องถามพระเสียก่อน เพราะว่าท่านไม่เคยเรียนนี่ เวลานิมนต์ไปเทศน์ท่านบอกว่าต้องถามพระก่อน แล้วท่านก็จุดธูปถามพระของท่าน ถ้าพระให้ไปท่านไป ถ้าพระบอกว่าไม่ควรไป ท่านไม่ไป ใครจะนิมนต์ก็ตามท่านไม่ไป แล้วปฏิปทาพิเศษของท่านมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านเอาแม่ของท่านไปเลี้ยงไว้ โยมผู้หญิงนะ เรียกภาษาธรรมดาว่าแม่ มันชัดดีไม่แปลกไม่เปลิกหรอก เรียกแม่ก็ได้ เวลาท่านบิณฑบาตมาแล้วท่านก็เอาข้าวไปให้แม่ของท่านกิน แล้วท่านก็ฉัน แบบนี้ไม่ผิดนะ เคยฟังมาแล้ว เมื่อเวลาแม่กินข้าวแล้วท่านก็เทศน์ให้แม่ของท่านฟังกัณฑ์หนึ่งทุกวัน ท่านทำอย่างนี้เป็นปกติจนกระทั่งแม่ของท่านตาย เอาละ .. บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เป็นอันว่าวันนี้ก็ขอยุติกันเพียงเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาลูกหลานที่น่ารักทุกคน สวัสดี

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ตรงกับวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เมื่อวานนี้ฉันพูดถึงหลวงพ่อปานที่ไปอยู่กับหลวงพ่อเนียม มันป้ำเป๋อไปบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ขอให้ทราบในตอนนี้นะว่าหลวงพ่อปานท่านอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือน ถ้าบังเอิญไปพูดว่า ๑ เดือนละก็ผิดนัก เวลาเลิกแล้วไปนอน ไปนึกขึ้นมาได้ว่า ฉันพูดว่าอยู่กี่เดือนก็ไม่ทราบ เอาเป็นรู้กันว่าหลวงพ่อปานอยู่กับหลวงพ่อเนียม ๓ เดือนก็แล้วกัน


    การบวงสรวงก็เหมือนกัน เป็นการเชิญเทวดาทั้งหมด อาราธนาพระ แม้แต่บารมีของพระพุทธเจ้าลงมาทั้งหมด และพรหมทั้งหมด ในการบวงสรวงแบบนี้ ถ้าลูกหลานยังไม่สามารถจะเห็นบุคคลผู้มาได้ ฉะนั้น ก่อนที่จะฟังเสียงของฉัน จุดธูปจุดเทียนแล้วก็เปิดเครื่อง ได้ยินเสียงบวงสรวงหรือชุมนุมเทวดาแล้ว ก็จงคิดว่าพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ทั้งหมดที่ฉันเชิญมาเวลาบันทึกเสียงนี้ มีกี่องค์ก็ตาม พวกเธอทั้งหลายแสดงความนอบน้อมว่า ข้าพเจ้าขอแสดงความเคารพในทุกท่าน แล้วก็ขอทุกท่านจงสงเคราะห์ให้จิตใจของพวกเราทั้งหมดตกอยู่ในสัมมาทิฎฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี มีธรรมใดที่ท่านเห็นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเห็นธรรมนั้นด้วยเถิด แล้วขอให้คุ้มครองอะไรบ้างก็ว่ากันไปตามใจนึก แต่ว่าอย่าไปเกณฑ์ให้ท่านเล่นหวย เล่นการพนัน หรือไปลักไปปล้นกัน ท่านไม่เอาด้วย เท่านี้ก็เกิดความสุข ท่านจะช่วยได้ตามความสามารถ หรือที่เรียกว่าไม่เกินอำนาจของกรรม นี้ว่ากันถึงเรื่องบวงสรวงนะ ว่ามันดียังไง


    นี่ฉันว่าจะพูดเรื่องอะไร ขึ้นต้นนี่ฉันก็ลืมเสียแล้ว เอายังงี้ก็แล้วกันนะ มาพูดกันถึงว่าหลวงพ่อปานนี่น่ะเป็นหมอ เป็นหมอสาธารณประโยชน์ แล้วก็อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญ ตอนนี้มาฟังกันเป็นเรื่องเกร็ด ๆ นะ เป็นเรื่องเกร็ดความรู้ ก็อยากจะให้จบเร็วที่สุด เพราะว่าเรื่องของท่านถ้าจะเล่าให้จบจริง ๆ นะ มันจบไม่ได้หรอก ฉันพูดไปก็มีเรื่องมาบอกกันทุกจังหวะ แล้วเรื่องธัมมะธัมโม กฎข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน สมเด็จท่านเตือนมาในตอนต้น ๆ ก็สมควรแล้วนะ เห็นจะไม่ต้องเตือนกันบ่อย ๆ จะได้เล่าเรื่องของหลวงพ่อปานให้มากเข้า

    ตอนนี้มาว่ากันถึงหลวงพ่อปานถูกเขาทำบ้าง หมายความว่าหลวงพ่อปานนี่เป็นคนรักษาโรค ๒ อย่าง โรคที่เกิดจากทางการโดยตรงอย่างหนึ่ง แล้วเกิดจากวิชาอีกอย่างหนึ่ง นี่มาย้อนรอยถอยหลังสมัยที่ฉันเป็นนาคอยู่ที่วัด ตอนนี้ฉันเป็นนาคบ้างนา ตอนก่อนเล่าเรื่องหลวงพ่อปานเป็นนาค คำว่า "นาคะ" นี่ เขาแปลว่า "ผู้ประเสริฐ" ประเสริฐตรงไหน ประเสริฐตรงที่ละกามคุณเข้าวัด เอาจิตตั้งไว้ในด้านเนกขัมมบารมี อันนี้นาคแท้นะ แต่เจ้านาคจอมปลอมน่ะไม่ได้เรื่องเหมือนกัน เวลาไปเป็นนาค คือ ไปอยู่วัดเตรียมการจะบวช ยังมีอารมณ์ไปติดพันผู้หญิง นี่ใช้ไม่ได้นะ ใช้ไม่ได้ เขาต้องหัดกันตั้งแต่ยังเป็นนาค คือ อยู่วัด เอาละ ตอนนี้ทิ้งไว้ ถ้าขืนพูดละมันจบยาก ตอนนั้นฉันกำลังอยู่วัด ใกล้จะบวช ก็มีเด็กสาว ๆ คนหนึ่งอยู่บ้านสามกอ บ้านสามกอนี่เป็นตำบลบ้านแพน ใกล้ ๆ กับอำเภอเสนา คือ ชิดกับอำเภอ เด็กสาวคนนี้อายุราว ๑๕ - ๑๖ รูปร่างรู้สึกจะไปวัดไปวากับเขาได้ดี รูปร่างอวบ ๆ ขาว เนื้อเต็ม ส่วนสัดต่าง ๆ ก็เกือบจะประกวดได้เลย ถ้าบังเอิญนะ บังเอิญเขาประกวดนางงามกันขึ้น เด็กคนนี้ก็อาจจะประกวดได้ หรือว่ามีสิทธิ์เข้าประกวด แต่ว่าจะได้เป็นนางงามหรือไม่ได้เป็นก็เป็นเรื่องของกรรมการ ในสายตาของฉันถือว่าเป็นเด็กสวยคนหนึ่ง เป็นสาวรุ่น ๆ แต่ทว่าตอนบ่ายที่เขานำมาหาหลวงพ่อปาน ต้องหามขึ้นมา เดินไม่ได้ เป็นไข้ขนาดหนัก พอหามขึ้นมาวาง หลวงพ่อปานก็บอกว่าไม่ต้องลอง ไม่ต้องใช้หมากลอง นี่ถูกเขาทำมาแล้วนี่ เออ .. อีหนูนี่หน้าตามันไม่ขี้ริ้วขี้เหร่เลยนะ ท่านว่ายังงั้น มันเป็นคนสวยก็มีคนรักมาก แล้วคนรักก็รักแบบดีก็มี รักแบบทุจริตก็มี นี่คนรักเขาอยากได้มัน แต่มันก็ไม่ตามใจเขา เขาก็เลยแกล้งกระทำเอ็ง จะทำให้ตาย เพราะปรากฏว่าเจ้าเด็กคนนี้มันไปรักเด็กชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนนั้น ในเมื่อเขาไม่มีความหวัง เขาก็เลยคิดว่าในเมื่อเขาไม่ได้ คนอื่นก็จงอย่าได้ ให้มันตายไปเสีย จะได้ไม่มีใครได้ไว้เป็นสมบัติ เขาไปจ้างลาวทำ หลวงพ่อปานท่านบอกเสร็จว่าคนทำนี่นะเป็นลาว เขาจ้าง ๒๐๐ บาท นี่ท่านรู้เอาตามชอบใจ พอเขาเอาคนไข้มาวาง ท่านก็พูดเลย ไม่เห็นท่านตั้งท่าหลับตาอะไรนี่ หลับตาปี๋นี่ชาวบ้านติดกันนัก เวลาไปถามพระถามเจ้า ที่ท่านพอจะรู้ มีสมาธิพอสมควร พอจะรู้อะไรได้บ้าง พอท่านบอกไปเฉย ๆ โดยไม่หลับตา ก็บอกว่าไม่เห็นหลับตาเลย อึกอักอะไรก็พูดส่ง ไม่เห็นหลับตาสักนิดหนึ่ง นี่ชาวบ้านน่ะเป็นคนติดการหลับตาแบบนี้ไปโดนหลอกเข้า พระประเภทชอบหลับตาโกหก พ่อก็เลยบอกเอา ทีนี้เห็นเขานั่งหลับตาปี๋ ทำตายิบ ๆ ๆ ๆ ก็รู้สึกว่าพระองค์นี้เคร่งครัดมัธยัสถ์ อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ นี่ควรเข้าใจเป็นอย่างนั้นนา แต่ความจริงน่ะเละ ประเภทหลับตาอวดชาวบ้านนี่น่ะเละ ไม่ได้ความ เพราะแม้แต่สะเก็ดแห่งความดีของพระศาสนาก็ยังเข้าไม่ถึง จะไปเอาอะไรท่าน พระโสดา สกิทาคา อนาคา หรือพระอรหันต์ ไม่ได้เรื่องหรอก ไปดูคำสั่งของพระพุทธเจ้าให้ดี ในอุทุมพริกสูตร พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ถ้าฉันจำไม่ผิดก็ว่าอยู่เล่ม ๑๒ หากว่าฉันจำผิดก็แล้วไปนะ ไอ้เล่ม ๆ นี่ฉันก็ไม่ค่อยได้จำเหมือนกัน จะเป็นเล่มที่ ๑๑ หรือเล่มที่ ๑๒ ก็ไม่แน่นัก ฉันดูมันผ่านมา ๓๐ กว่าปีแล้วนี่ ฉันไม่ได้ดูอีก เล่าเรื่องนี้ต่อไป


    ในเมื่อเขาเอาคนไข้มาวาง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ประเดี๋ยวก็หาย ท่านพูดเฉย ๆ แล้วก็หัวเราะกั๊ก ๆ ๆ ๆ บอกว่า เอ้อ .. ไม่เป็นไรหรอกลูกเอ๊ย ท่านบอกกะพ่อแม่ของเด็ก ถ้ามันเป็นใหม่ ๆ ยังงี้มาหาพ่อละก็ ไม่เกิน ๒๐ นาทีหรอก หายแน่ หมอชั้นสำคัญ ประเดี๋ยวก็มีพระบัญชาแล้ว เจ้าลิงดำเอ๊ย เสียงก้องขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นฉันนั่งอยู่ไม่ไกลท่านนักหรอก นั่งอยู่ไกลประมาณสัก ๖ - ๗ วา ลิงดำเอ๊ย เอ็งไปรดน้ำมนต์ให้ข้าที อ้าว! นี่ฉันไม่ได้เป็นหมอกับเขาสักนิดหนึ่ง เรียนอะไรก็ไม่ได้เรียนตอนนั้น ท่านก็บอกให้ไปรดน้ำมนต์ ก็เลยเข้าไปกราบ ๆ ท่าน ถามว่ารดแล้วว่าอะไรบ้างขอรับ ท่านก็บอกว่าแกมีหน้าที่รดอย่างเดียว ไม่ต้องว่าอะไรหมด น้ำในตุ่มน่ะรดลงไปจนกว่าฉันจะบอกเลิก เอาละซิ นี่มันก็ดีเหมือนกัน หมอรดนี่ ไม่ใช่หมอว่า ไม่ใช่หมอเป่า เขาก็เอาเด็กคนนั้นไปนั่งพื้นข้างล่างต่ำลงไป ฉันยืนรดอยู่ข้างบน รดน้ำหมดไปประมาณ ๒ ปีบ พอถูกน้ำรดทีแรกรู้สึกว่าเด็กคนนี้ดิ้นบอกไม่ถูก โอ๊ย .. แกดิ้นใหญ่ ดิ้นไปดิ้นมา ดิ้นมาดิ้นไป น้ำหมดไปประมาณ ๒ ปีบนี่แหละ แกฉีกเสื้อของแกออกหมด เหลือแต่ตัวล้อนจ้อน แต่ว่าเดชะบุญนะ ถ้าแกดันฉีกผ้านุ่งแกออกหมดอีก บางทีน่ะหมอขันหล่นมือไม่รู้ตัวเชียวนะ นี่ดีว่าแกฉีกแต่เสื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ดี หมอก็ใจเต้นตึ้ก ๆ ๆ ๆ ตอนนั้นหมอก็ยังเป็นกระทิงเปลี่ยวอยู่นา แล้วคิดว่าถ้าไม่ได้เป็นนาคอยู่วัด เจอะแบบนี้เข้าก็น่ากลัวจะรบกัน น่ากลัวจะต้องประกาศสงครามกันแน่ เวลานั้นจิตใจไม่เป็นอะไรหรอก เห็นว่าแกเป็นคนไข้ เห็นว่าแกมีทุกข์ ในจิตใจก็คิดอย่างเดียว อาราธนาในจิต ถึงบารมีของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงพระพุทธเจ้าหรือพระองค์ยิ้มของฉัน เวลาฉันไปหยิบขันฉันก็นึกถึงท่าน ท่านก็มายืนอยู่ข้าง ๆ ท่านก็ยิ้มแล้วสั่งว่า รดลงไปเถอะลูก ประเดี๋ยวจะปรากฏเหตุอัศจรรย์ ท่านปานน่ะเป็นคนดี เป็นพระดีนะ ท่านปานนี่น่ะเป็นพระเต็มตัว คุณรับฟังคำสั่งของท่านแล้วปฏิบัติเถอะ ไม่ผิด ท่านปานนี่มีที่ปรึกษาใหญ่ เวลาท่านปานสงสัยอะไรก็ปรึกษาพระ ปรึกษาพรหม ปรึกษาเทวดาเสมอ นี่ ตอนที่รดน้ำมนต์ฉันก็นึกถึงหลวงพ่อองค์ยิ้มของฉัน เห็นท่านบอกว่ายังงั้น ฉันก็ดีใจ ฉันก็รดไปเด็กก็ดิ้นไปใหญ่ ผลที่สุดเสื้อเธอก็ขาดหมด เสื้อขาดหมดนี่ คนมันสวยอยู่แล้วนา มันก็ชักจะยังไง ๆ อยู่นา แล้วเจ้าคนรดนี่ก็เป็นคนหนุ่มอยู่เสียด้วย แต่เปล่า อย่าเข้าใจผิด ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร สงสารอย่างเดียว ตั้งใจสงเคราะห์อย่างเดียว คนยืนดูกันหลายสิบคน เรียกว่าคนทั้งหมดพระทั้งหมด เห็นแกดิ้นบอกไม่ถูกแบบนั้นก็มายืนดูกัน เมื่อเสื้อแกขาดแล้วก็ฟุบลงไป ตอนเสื้อขาดนี่แกนอนดิ้น แกฉีกเสื้อขาดหมด เห็นแล้วว่ามีแต่เนื้อ เนื้อกะหนัง อย่างอื่นเขาเรียกอะไรกันบ้างฉันไม่รู้หรอก มันก็ไอ้แค่เนื้อแค่หนังเท่านั้นแหละ จะสมมติปุ่มโน้นเป็นยังงั้น ตรงนี้เป็นยังงั้น มันก็แค่เนื้อแค่หนัง มันไม่มีความสำคัญอะไร มันผุมันพังหมด พอเห็นแกไม่มีเสื้อแล้ว แกก็พลิกคว่ำ ที่นั่นมันไม่มีอะไร หลวงพ่อปานก็สั่งให้รดใหญ่ ไอ้ลิงดำเอ๊ย รดหนักเข้า รดหนักเข้า ท่านก็นั่งคุยอยู่ ไม่เห็นท่านว่าอะไร ไม่เห็นไปว่าคาถาหมุบหมิบ ๆ อะไร คุยโอ้อยู่ข้างหลังนั่นแหละ คุยกะแขก ไม่เห็นว่าคาถาสักนิด แปลก ดูแล้วก็แปลก ฉันรดไปประมาณดูน้ำหมดอีก ๑ ปีบ เด็กคนนั้นก็หยุดดิ้น พอหยุดดิ้นเธอก็ลุกขึ้น เรียกว่าโงหัวขึ้นมา ปรากฏว่ามีมีดโต้เล่มหนึ่ง มีดโต้ขนาดใหญ่ ผูกสายตราสัง ๓ เปลาะอย่างกับผูกผี หล่นเป๊งลงมาจากหน้าอกของเธอ นี่เป็นเรื่องแปลกมาก ก็เวลาที่เธอดิ้นน่ะ เธอฉีกเสื้อออกหมดแล้วนี่ ก็เห็นหนังเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไร เนื้อนี่ก็มองไม่เห็น ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด บอกว่าอัศจรรย์ แล้วเขาก็หยิบมีดมาให้หลวงพ่อปาน ตอนนี้เธอก็หมดทุกขเวทนา รู้สึกว่าอายจัด รีบคว้าผ้าขาวม้าพ่อมาปิดอก แน่ะแปลก ตอนนี้อายแฮะ เอามาปิดเนื้อที่อก เอ้อ ไอ้เนื้อที่อื่นไม่อาย ไปอายเนื้อที่อก แปลกจริง ๆ คน ไม่น่าเลย แปลก ฉันรู้สึกว่าแปลก ไปอายเอาเนื้อที่เขาต้องการ เนื้อนั่นมันน่าจะโชว์กันนะ แต่โชว์นาน ๆ ก็ไม่มีราคาเหมือนกัน เพราะตาคนเรามีสภาพเหมือนงู ถ้าของอะไรที่เขาปกปิดอยู่มันก็อยากดู ถ้าเขาเปิดแล้ว เปล๊า ไม่อยากดูหรอก เดินหลีกไป นี่เป็นยังนั้น นี่ฉันก็ว่าเรื่อยไป ไอ้ฉันน่ะไม่ได้เรื่องแล้ว ไม่ได้ความแล้ว ถูกตอนเสียตั้งแต่บวชพรรษาแรก หมดเรื่องกันไป สบาย เรื่องนี้สบาย ไม่ยุ่ง พอเขาเอามีดไปให้หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานก็บอกว่า นี่เขาทำมา เขาเสกมีดเข้าอก แล้วท่านก็เสกมงคลให้ แล้วก็เอาผ้ายันต์ทอ เสกยันต์ทอผูกในมงคลแล้วก็คล้องคอให้อีหนูคนนั้น บอกว่า อีหนู เอ็งกลับไปบ้านละก็เอ็งอย่าถอดมงคลนะลูกนะ เขายังจะเล่นงานเอ็งต่อไป คำว่าเล่นงานนี้ แหม .. ฟังแล้วจะตีความหมายกันมาก ฟังกันเพียงเหมาะ ๆ นะ ตีความหมายในคำพูดกันเพียงเหมาะ ๆ นี่ฉันพูดอย่างพระ อย่าตีความหมายอย่างชาวบ้าน มักจะลึกซึ้งเกินไป แล้วหลวงพ่อปานท่านก็สั่งให้กลับ ความจริงรักษากันเดี๋ยวเดียวจริง ๆ นี่คนขนาดหามมานา พอเขาไปแล้วหลวงพ่อปานก็บอกว่า ลิงดำเอ๊ย เอ็งเข้าใจไหมลูก มีดเล่มนี้เขาทำยังไง ตอบว่ากระผมไม่เข้าใจขอรับหลวงพ่อ ก็มีดนี่มันเป็นเหล็ก มันเอาเข้ามาในอกคนได้ยังไง ท่านก็เลยบอกว่าประเดี๋ยวพ่อจะทำให้ดู คนเยอะ คนที่มาดูน่ะยังไม่ไป คนไข้ที่ว่าจะไปก็ไปไม่หมด หมายความว่าเด็กคนนั้นน่ะลงเรือไปแล้ว แต่ญาติของเด็กมาด้วยกันหลายลำนี่ มาเรือ ยังไปไม่หมด ท่านบอกว่าพ่อจะทำให้ดู วิธีที่เขาจะเอาเข้าคนเขาทำอย่างนี้ ท่านก็เอามีดวางข้างหน้า หมอบางคนเขาเอาใบตองรอง แต่นี่ไม่เห็นท่านรองท่านเริงอะไร ท่านเอามีดวางข้างหน้า ท่านก็บอกว่า ลิงดำ .. เอ็งไปหาไม้ลำที่มีปล้องตัน ๆ มาให้พ่อลำหนึ่ง ไม่ต้องยาวหรอก เขาเรียกว่าขังข้อ คือ ข้อหัวข้อท้ายมันไม่เปิด มันก็หาไม่ยาก ใกล้ ๆ ที่ท่านนั่งมันมีอยู่ ฉันก็ไปหยิบมา แล้วท่านก็ให้ไปวางไว้ พอวางไว้แล้วท่านก็บอกว่า คอยดูนะ พ่อจะเอามีดนี่น่ะเข้าไปอยู่ในลำไม้ เราก็ดูแล้วไม่เห็นมันเป็นรูปที่ไหน มันจะเข้ายังไง ไม้ลำนั้นก็รู้สึกว่ามีความกว้างของลำไม้ไม่เท่ากับมีดโต้ แต่ท่านก็ทำให้ดู ทุกคนตั้งใจดู ท่านบอก ทุกคนตั้งใจดูนะ แล้วก็เอานิ้วจี้ลงไปข้างมีด ไม่เห็นว่าไง ปากก็ไม่หมุบหมิบ สักไม่ถึง ๓ นาทีเป็นอย่างช้า นี่ฉันนึกไม่ออกนะว่าเป็นกี่นาทีนะ ตอนนี้ถ้าเสียงหมามันเข้ามาละก็ทราบด้วยนะว่าวัดฉันน่ะหมาเยอะ ฉันนี่น่ะเผ่าเดียวกับหลวงพ่อเนียมนะ เลี้ยงหมาเยอะ แล้วก็หมาที่เลี้ยงนี่ก็ให้อาหารมันกินเอง ซื้ออาหารให้มา ๒ - ๓ ปี ต่อมานับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นต้นมา นนทา อนันตวงษ์ อุทัยธานี เขารับภาระซื้อข้าวสาร ซื้อกับ ซื้อขนมให้หมากินแทน ตอนนี้เบาใจไป การเลี้ยงหมานี่ป้องกันนรกได้ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเมตตาบารมี เราเลี้ยง เราก็เลี้ยงเพื่อไม่หวังผลตอบแทน ไม่เคยจะใช้มันตักน้ำถูบ้าน ใช้อะไรไม่เคย อย่างนี้ชื่อว่าเลี้ยงโดยการสงเคราะห์ อย่างนี้เป็นการป้องกันนรกได้ดี นี่คนเลี้ยงหมาแบบนี้ละก็ จำไว้นะ คนเลี้ยงหมาแบบปล่อยแบบนี้ได้บุญขนาดไหนลุงพุฒิ แน่ะลุงแกมานั่งนานแล้ว พูดตอนนี้ก็ยิ้ม เลยลืมถามแก ลุง ถามจริง ๆ นะ คนเลี้ยงหมานี่น่ะ อ๋อ แกรีบบอกมาเลย บอกว่าล้างบาปไม่ได้ จำไว้นะ ฉันพูดมันก็ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เหมือนกัน บอกว่ากันนรกได้จะกลายเป็นล้างบาป แกบอกว่าเรื่องบาปเรื่องความชั่วนี่ล้างไม่ได้นะ แต่ว่าอานิสงส์ของหมาด้วยการเลี้ยงปล่อย หมายความว่าเลี้ยงไม่หวังผลตอบแทน ลุง .. ไปทางไหน แกบวกว่ามันหลายทาง ความจริงนี่มันจะไม่เหมือนกับที่ฉันเทศน์เสียแล้วละ ฉันเคยเทศน์ว่าเลี้ยงหมานี่ได้ผลขั้นกามาวจรสวรรค์ สามารถจะไปเกิดเป็นเทวดาได้ ลุงพุฒิแกตอบไม่เหมือนกันเสียแล้ว ลุงว่ามาซิ อ๋อ .. ยังงั้นหรือ บอกว่าถ้าเลี้ยงหมาด้วยการสงเคราะห์ใช่ไหมล่ะ สงเคราะห์ให้หมามีความสุข อย่างนี้เป็นผลแห่งกามาวจรสวรรค์ งั้นนะลุงนะ ดาวดึงส์เลยหรือ บอกว่าถึงดาวดึงส์เลย นี่ฟังแกพูดนา แล้วฉันเทศน์น่ะมันเห็นจะผิด ผิดไหมลุง บอกว่าไม่ผิด แต่อธิบายไม่ครบ อ้อ .. แหม .. ดีจริง ๆ อย่างนี้ดีจริง ๆ แล้วขั้นที่สองเล่าลุง การเลี้ยงหมาถ้าใจจดจ่ออยู่กับการให้ทานหมา หมายความว่า การให้ทานนี่น่ะมีจิตห่วงใยมากยังงั้นรึ ใช่ อ๋อ แกบอกว่าใช่ ไปไหนก็ห่วงกลัวจะอด นอนก็คิดว่าพรุ่งนี้หมาจะกินอะไร จะมีกับข้าวอะไรให้หมากิน พยายามหามาให้สิ่งที่มันต้องการ ที่เรียกว่าพอจะกินได้ หรือว่าขนมพวกนี้หมาจะมีกินไหม ตั้งใจอยู่อย่างนี้เป็นปกติก่อนหลับ หรือว่าปกติก็คิดเป็นห่วงอยู่ แกบอกว่าเป็นจาคานุสสติกรรมฐาน คือ เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ อันนี้ฉันไม่ได้เคยคิดเลยนะลูกหลาน ตอนนี้ฉันไม่เคยคิด หรือไม่เคยเทศน์มาเลยนะ แกยิ้ม แกบอกจะเทศน์ยังไงล่ะ ก็คนมันโง่บัดซบ นี่แกว่ายังงั้น แกบอกว่าโง่บัดซบแล้วจะเทศน์ยังไง ก็เทศน์ไปเพียงแค่กามาวจรสวรรค์ อ่านหนังสือมายังงั้น แกบอกว่า จิตถ้าจับอยู่อย่างนี้เป็นอารมณ์ เขาเรียกว่า อารมณ์ฌาน แล้วก็อารมณ์ฌานนี่น่ะเวลาใกล้จะตาย ถ้าจิตห่วงใยอยู่กับแมวหมาที่เราเลี้ยงไว้ คิดหวังจะให้ทานมันอยู่เป็นฌาน ตายไปเป็นพรหม ถ้าเวลาตายไม่คิด เวลาตายไปแล้วก็ไปเกิดบนกามาวจรสวรรค์ แล้วบุญอันนั้นบันดาลให้เกิดเป็นพรหมได้ เมื่อหมดอายุในสวรรค์แล้วก็ไปเกิดเป็นพรหม จำไว้ให้ดีนะลูกหลานนะ ฉันไม่เคยเทศน์แบบนี้เลยนะ ฉันไม่เคยเทศน์ ลุงแกยิ้มใหญ่ แล้วแกบอกว่าต่อไปคนเลี้ยงหมานี้น่ะไปนิพพานได้ เพราะว่าเอาหมาเป็นวิปัสสนาญาณ เอาอาหารเป็นวิปัสสนาญาณ ถาม .. ทำไงล่ะลุง วันนี้มีประโยชน์มาก จำให้ดีนะ นี่คนรู้เขารู้จริง ๆ อย่างลุงพุฒินี่แกเป็นพรหม ลุงพุฒิเป็นพรหมแล้วเป็นอนาคามีพรหมด้วย จะบอกไว้ให้เสียก็ได้ แล้วลุงพุฒิน่ะไม่มีโอกาสจะมาเกิดเป็นมนุษย์ จะนิพพานต่อไป นี่แกใกล้นิพพานเต็มทีแล้วใช่ไหมลุง แกบอกว่าใช่ พอสิ้นศาสนานี้แล้วประมาณ ๕๐ ปี ๕๐ ปีนรกหรือว่า ๕๐ ปีมนุษย์ลุง ๕๐ ปีมนุษย์หรือ ไปนิพพาน เวลานี้อยู่โต๋งเต๋งเล่นโก้ ๆ ยังงั้นนะ เอาล่ะ จำไว้นะว่าลุงพุฒิแกจะไปนิพพาน เอ้า .. ลุงว่าต่อไปซิ วิธีที่เอาขนมเป็นวิปัสสนาญาณทำยังไง คืออาหารหรือขนมที่ให้สัตว์ แกว่ายังงั้น เป็นวิปัสสนาญาณ เราซื้อมามันก็กินหมดไปน่ะซิ กินหมดไปนี่มันเป็นอนัตตานี่ ซื้อมามากมันค่อย ๆ ยุบไปทีละน้อย ๆ มันเป็นอนิจจัง กินหมดไปเป็นอนัตตา นี่อีกอย่างหนึ่งนะ แล้วก็หมาที่มันกินของ ๆ เรานี่น่ะ มันก็มีชีวิตอยู่ไม่ตลอด ในที่สุดมันก็ตาย นี่แสดงว่าถึงแม้เราจะเลี้ยงมันยังไงก็ตามสภาพความเที่ยงมันไม่มี เวลามันตายก็เป็นอนัตตา เราไม่อยากให้มันตาย มันก็ตาย ท่านเคยเอายารักษาหมาใช่ไหม บอกว่าใช่ แล้วเวลามันจะตาย รักษารอดไหม พุทโธ่ ลุง ก็ฉันจะตายเองฉันยังรักษาไม่รอด หมามันจะตายฉันจะรักษารอดยังไง แกก็เลยบอกว่านั่นแหละมันเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตาหรือกฏธรรมดานี่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ๓ ประการนี่ไม่มีใครบังคับได้ มันเป็นกฎตายตัว นี่ถ้าอารมณ์จิตคิดอย่างนี้ว่าหมาเราเลี้ยงแล้วมันก็ตาย เราจะต้องตายอย่างนี้ เวลาหมามีชีวิตอยู่มันก็จะต้องมีความทุกข์ ต้องการอาหาร ต้องการความสบาย เราได้เกิดอีกเราก็มีทุกข์อย่างนี้ ในที่สุดก็ต้องตายอย่างนี้ เราก็เบื่อความตายมันเสีย เบื่อความเกิดมันเสีย เราไม่ต้องการมัน ขึ้นชื่อว่าความเกิด ไม่ว่ามันจะเป็นคนก็ตามสัตว์ก็ตามเราไม่ต้องการ เราไม่เอาทั้งหมด คิดแค่นี้เราก็ไปนิพพาน เท่านี้น่ะหรือลุง แกบอกว่าเท่านี้แหละไม่ต้องมาก ถ้ายังงั้นก็ต้องตั้งสรณะใหม่กระมังลุง เราว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ขอให้ถึงซึ่งพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ทีนี้ก็ต้องมาตั้งกันใหม่ว่า ติรฉานัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงหมาเป็นที่พึ่ง เป็นยังไง แกก็หัวเราะ แกบอกว่าไม่ถูก อย่างนี้มันเป็นธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เออ .. นี่นักเทศน์ฟังไว้นะ ที่ฟังนี่ คุณสุรินทร์ เจ้าอาวาสวัดสุขุมาราม มีส่วนจะได้ฟังอยู่ด้วย ยังหนุ่มอยู่นะ ถ้าใครเขามาถามละก็จำไว้ให้ดี นี่เป็นปัญญาลุงพุฒิ บอกว่าการตายของหมานี่ไม่ใช่เอาหมาเป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง หมายความว่าเราให้ทานตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และแกก็บอกว่า การที่เราจะรู้พระธรรมได้ก็เพราะพระพุทธเจ้านำมา ก็เป็น พุทธัง สรณัง คัจฉามิ คือถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ตานี้เราไม่สามารถจะพบพระพุทธเจ้าได้ด้วยตนเอง เรารับฟัง เรารู้มาจากพระสงฆ์ ก็เป็นสังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถึงซึ่งพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เอ๊ะ .. ก็แปลว่าไตรสรณาคมณ์ซิลุง แกก็ตอบว่าใช่ จะทำอะไรก็ตามมันก็แค่ไตรสรณาคมณ์ แปลว่า ที่พึ่ง ๓ อย่าง มีแค่นี้นะลุงนะ แกบอกไม่เลยนี้หรอก พูดกันไปเถอะ ร้อยแปดพันเก้าก็ไม่พ้น ๓ อย่างนี้

    พูดกันถึงลุงพุฒิแล้วก็อย่าลืมเรื่องนั้น ว่าหลวงพ่อปานท่านทำมีดเล่มนั้นเล็กลง ๆ แล้วก็วิ่งเปี๊ยะไปเข้ากระบอก เล็กจนเกือบไม่เห็น เสียงกระบอกดังเพี๊ยะ ฉันไปเว้นไว้ตรงไหนฉันก็จำไม่ได้แล้ว ถ้าเล่าตรงนี้มันไม่ต่อกันละก็อย่าว่าฉันเลย เมื่อเสียงกระบอกดังเพี๊ยะ ท่านก็สั่งให้หยิบกระบอกมา แล้วผ่ากระบอกออกดูเห็นมีดเล่มเล็กนิดหนึ่งเกือบจะมองไม่เห็น แล้วท่านก็หยิบน้ำมนต์ของท่านมาพรมลงไป พอมีดเล่มนั้นถูกน้ำมนต์มันก็โตขึ้นตามปกติ แล้วท่านก็อธิบายว่าของเหล่านี้เขาทำมาเข้าร่างกายของคน คราวแรกมันมีพิษไม่มาก ถ้าถึง ๗ วัน มีดเล่มนี้หรือของอะไรก็ตามที่เขาทำมามันจะขยายตัวทีละน้อย ๆ ถึง ๗ วันมันจะโตเต็มที่ของมัน มันก็จะเบียดอวัยวะภายใน ในที่สุดคนก็ตาย นี่เป็นอันว่าเรื่องนี้ผ่านไป รับฟังกันไว้นะว่าหมอไสยศาสตร์มีความหมายเพราะกำลังจิตเป็นสำคัญ ต่อมาอีกไม่กี่วันก็ปรากฏว่าเด็กคนนั้นถูกหามมาใหม่ มาถามได้ความว่าเวลาจะเข้าส้วม วันนั้นน่ะเธอนึกยังไงก็ไม่ทราบ มันก็คงจะเป็นกฎของกรรม เธอถอดมงคลแขวนไว้หน้าส้วม พอถอดมงคลเท่านั้นก็ล้มตึงทันที ปรากฏว่าของนี้เขาทำมาเข้าตัว ก็รดน้ำมนต์แบบนั้นอีก คราวหลังนี่ปรากฏว่าได้เลื่อยตัดเหล็ก ๒ ปื้น เขาผูกไขว้กันไว้เป็น ๘ แฉก แล้วก็สายสิญจน์ทำเป็นสายตราสังเหมือนกัน ก็รดน้ำมนต์กันแบบนั้นจนหาย ต่อไปหลวงพ่อปานก็สั่งบอกว่าอย่าถอดมงคลนะอีหนู เมื่อไปแล้วหลวงพ่อปานก็บอกว่า ยัง ต้องโดนอีก อีเด็กคนนี้ยังไม่หมดเคราะห์ ในที่สุดอีกไม่กี่วันก็หามมาอีก คราวนี้รดน้ำมนต์ก็ได้ตะปูกลุ่มเบ้อเร่อ ตะปู ๓ - ๔ นิ้ว หนักประมาณ ๑ ก.ก. เขาเอาเชือกมัดเข้าไว้ ผูกเป็นพวง ๆ หลายพวงด้วยกัน เข้าไปอยู่ในอกเธอแล้วก็หล่นมาตามเดิม นี่นักฟังที่ไม่อยากจะเชื่อก็มีนะ ก็ไม่ได้บังคับให้เชื่อนี่


    การพูดนี่ไม่พูดให้ใครเชื่อนะ แม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็บอกเหมือนกัน ท่านบอกว่าท่านไม่พูดให้ใครเชื่อ ตถาคตนี้มีหน้าที่พูดให้เขาฟัง ครั้งหนึ่งท่านเทศน์จบแล้วท่านถามพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเชื่อไหมที่ตถาคตพูดนี่น่ะ พระสารีบุตรบอกว่าไม่เชื่อ พระที่นั่งฟังอยู่ด้วยชักทำตาเขียว หาว่าพระสารีบุตรเบ่งเกินไป ยกย่องเป็นอัครสาวกแล้วยังจะเบ่งเกินไป พระพุทธเจ้าจึงถามต่อไปว่าทำไมสารีบุตรจึงไม่เชื่อ พระสารีบุตรก็กราบทูลว่า ถ้าข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติตามแล้วมีผลจริง ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะเชื่อ พระพุทธเจ้ายกมือขึ้นสาธุ บอก .. ดีแล้ว สารีบุตรคิดอย่างนี้ถูก นี่เธอทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่นี่จงจำคำของสารีบุตรไว้ ปฏิบัติตามอย่างสารีบุตรนี่ เวลาฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ จงจำไว้ให้ดี เธอเอาไปปฏิบัติ เอาไปพิสูจน์กันก่อน เมื่อมันทำได้ผลจริงแล้วจึงเชื่อ จำไว้ไหมลูกหลาน นี่พระพุทธเจ้าเองเป็นแบบนี้นะ ฉันเป็นลูกศิษย์ของท่าน เป็นพุทธสาวก แต่พุทธสาวกรุ่นปลายดงปลายแขมอะไรก็ช่างเถอะ เวลาฉันพูดนี่ฉันไม่ได้พูดให้ชาวบ้านเขาเชื่อนี่ ฉันพูดให้ฟังเฉย ๆ คนที่เชื่อแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเชื่อแล้วไม่ทำตามนะไม่เกิดประโยชน์ เชื่อก็เชื่อไปอย่างนั้นแหละ เชื่อแบบหลวงตาเล่าให้ฟัง คนที่ไม่เชื่อก็ไม่เสียประโยชน์ ฟังไว้ซี ดีไม่ดีคิดว่ามีหลวงตาแก่โกหกคนหนึ่งไปเล่าให้ฟังก็แล้วกัน มันเป็นนิทานปรัมปราไป หนัก ๆ เข้าก็จำไปเล่าให้เด็กฟัง มันก็ทำความเพลิดเพลินให้แก่เด็กได้เหมือนกัน แก้กลุ้ม เรื่องนี้มันยังไม่จบนา ความจริงเรื่องนี้ฉันจะพูดให้มันสั้นมันก็ไม่สั้นสักที เอา..ว่ากันไปซิ ต่อมาเจ้าลาวที่รับจ้างทำเด็กคนนั้นไม่ได้รับค่าจ้าง ๒๐๐ บาท มันไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะเด็กไม่ตาย วันหนึ่ง ตอนที่ฉันบวชแล้ว บวชแล้วไม่นาน หมายความว่าวันเวลามันล่วงไปสักเดือนกว่า ๆ ก็มีเจ้าลาวคนหนึ่งมาพักอยู่ที่ป่าช้า พระถามว่ามายังไง ก็ตอบเดินมา ให้มาพักในกุฏิ แกก็ไม่ชอบ แกบอกว่าแกชอบพักในป่าช้า แกก็แสดงวิชาการต่าง ๆ ให้ปรากฏ พระก็ชอบใจ พระอยากเรียนมั่ง ก็ตักน้ำตักท่าเอาผ้าเอาเสื่อเอาหมอนเอามุ้งไปให้ แต่พอตกกลางคืนตอนตี ๒ หลวงพ่อปานลุกขึ้นมาเรียกฉัน เอาไม้เอาหวายของท่านนะ ที่สำหรับตีผี เอาหวายสำหรับตีผีมาแหย่หลังฉันเรียกว่า ลิงดำเอ๊ย ลุกเถอะ พ่อมีธุระ ฉันก็ลุกทันที ตอนนั้นฉันเป็นคนตื่นไว เพียงแต่ไม่ต้องจับตัวหรอก ยืนห่าง ๆ เรียกเบา ๆ ฉันก็ตื่น เพราะจิตคิดอยู่เสมอว่าพร้อมจะตื่น ทีนี้จิตน่ะมันฝึกง่าย เมื่อตื่นขึ้นมาท่านก็พาไป ตะเกียงมันจุดอยู่ ท่านก็ชี้ให้ดูบอกว่า ลิงดำเห็นอะไรไหมลูก ตอบว่าเห็นขอรับหลวงพ่อ ตะขาบทำไมตัวมันใหญ่นักล่ะ ตะขาบตัวขนาดแขนฉันเลยนะ เอาแค่ขนาดโคนแขนนะ ไม่ใช่ข้อมือ ขนาดโคนแขน ตัวยาวมาก มันนอนขดตัวกลมดิก ท่านก็เลยบอกว่าไปเรียกพระในวัดลุกขึ้นมาให้หมดไป๊ ไปตีระฆังเรียกประชุมพระ บอกว่าตีไม่มีใครตื่นหรอกขอรับหลวงพ่อ มันตี ๒ แล้ว ท่านบอกว่าตีระฆังก่อน เมื่อตีระฆังก่อนแล้วก็ไปตีประตูเขา เรียกให้ลุกขึ้นมาให้หมดทุกคน มาพร้อมกันที่กุฏิฉัน ในเมื่อหลวงพ่อสั่งฉันก็ทำ สักครู่หนึ่งพระก็มาพร้อมกัน รู้สึกว่าปลุกง่าย เขาสนใจ ถ้าได้ยินเสียงฉันเขาก็รู้เลยว่าหลวงพ่อปานมีคำสั่ง เพราะปกติฉันเป็นไอ้ลิงหน้าพลับพลาอยู่ ลิงประจำพลับพลา ในเมื่อเขามาพร้อมกัน หลวงพ่อปานก็ชี้ให้พระดู ถามว่านี่อะไร พระก็บอกว่า ตะขาบขอรับ ทำไมตัวมันโตนัก มีพระบางองค์จะเข้าไปจับ ท่านบอกว่าอย่านะลูกนะอันตรายถึงชีวิต ท่านก็เลยเล่าให้ฟัง ท่านถามก่อนว่าเมื่อตอนเย็นนี่น่ะมีลาวสักคนหนึ่งมาพักอยู่ในป่าช้าหรือเปล่า พระก็บอกว่ามี มีพระหลายองค์บอกว่ารับอาสาจัดที่นอนให้ เอาน้ำไปให้ ท่านบอกว่าไอ้บาวคนนั้นมันทำตะขาบมากัดฉัน มันเจ็บใจฉันที่ฉันรักษาโรคอีเด็กบ้านสามกอหาย มันจะฆ่าให้ตาย เพราะมันรับจ้างเขา ๒๐๐ บาท พระอย่างนี้มีเยอะเหมือนกัน พอได้ฟังเท่านั้นขัดเขมรกันแล้ว จะไปเล่นงานเจ้าลาว หลวงพ่อปานยกมือห้ามบอกว่า อย่าลูก บาป ไม่ต้องทำเขา กฎของกรรมที่เขาสร้างไว้มันจะสนองตัวเขาเอง แล้วท่านก็เลยบอกว่า เอายังงี้นะ เราจะทำยังไงนี่ ถ้ามันกัดฉัน ฉันก็ตาย แต่ความจริงฉันรู้ตัวมาตั้งแต่ตอนหัวค่ำว่าวันนี้ลาวมันจะฆ่าฉัน ฉันก็เลยไม่หลับ นอนคอยมัน ก็พอดีเห็นตะขาบเลื้อยมา ฉันก็เลยเอาหวายวน ๆ เข้า มันก็ม้วนไปตามที่ฉันวนหวายเป็นวงกลม แล้วท่านบอกเอายังงี้ดีไหม ของ ๆ เขาคืนให้เขาดีไหม พระทุกองค์ก็รับว่าดีขอรับ แต่พระบางองค์บอกยังไม่ดี อยากจะเอาขวานไปทุบหัวลาวเสียอีก นี่อย่างนี้ก็มีไม่น้อย หลายองค์ขัดเขมรกันเป็นแถว หลวงพ่อปานบอกไม่ต้อง ๆ ไป คืนเขาเท่านี้แหละ เธอรีบไปแบกเขามาก็แล้วกัน ของ ๆ เขาเราคืนให้เขา เราไม่บาป ฉันจะทำให้ดู ท่านก็เอาหวายวนกับกระดานคลายตัว มันขดไปทางขวานี่ ท่านก็ลากหวายวนมาทางซ้าย เจ้าตะขาบตัวนั้นมันก็ค่อย ๆ ยืดตัวออกตาม ในที่สุดมันก็ทำตัวตรง พอทำตัวตรง ท่านก็เอาหวายตีกระดานด้านหลัง ไม่ถูกหลังหรอก เลยตัวมาหน่อย ๓ กั๊ก เอาเคาะแก๊ก ๆ ๆ ๓ ที พอทีที่ ๓ ตะขาบวิ่งพรืดพริบตาเดียวไม่รู้หายไปไหน หลวงพ่อปานสั่งด่วน บอก รีบไปแบกไอ้ลาวเข้ามา เดี๋ยวมันตาย ความจริงถ้าเป็นฉันตอนนั้นฉันไม่แบกหรอก ปล่อยให้มันม่องตี่ไปดีกว่า แต่ว่าตอนนี้น่ากลัวจะแบกเหมือนกัน สงสารมัน ผลที่สุดพระทั้งวัดก็วิ่งไปในป่าช้า พระที่เขารู้จักทางว่าเจ้าลาวพักอยู่กระท่อมไหนก็นำทางไป ถือตะเกียงกันไปเป็นแถว เมื่อไปถึงปรากฏว่าเจ้าลาวบวมทั้งตัวเลย ร้องครวญครางอย่างบกไม่ถูก หากำลังไม่ได้ต้องแบกกันมา ถามว่าเป็นไง บอกว่าถูกตะขาบกัด พระแบกเจ้าลาวมา เจ้าลาวร้องครวญคราง หลวงพ่อปานก็ถามมัน ทำท่านใช่ไหม มันก็บอกว่า ใช่ มันยอมรับทุกอย่าง มันขอให้หลวงพ่อถอนให้มัน เห็นไหมล่ะ ทำเขาทำได้ เขาเจ็บแล้วแล้วไป เขาไม่มีความสุขช่างเขา เขาถูกทรมานยังไงช่างเขา ครั้นตัวโดนเข้าบ้างละร้อง นี่สันดานของคนที่มีกิเลสเป็นอย่างนี้นะ กิเลสน่ะมีทุกคน แต่กิเลสเจ้านี่มันชั่วมาก หลวงพ่อปานก็ถามว่าจะให้รักษาให้ไหม มันขอร้องให้รักษา ท่านบอกรักษาได้แต่ต้องบวช ถ้าไม่บวชท่านไม่รักษาให้ แล้วก็บวชนี่น่ะถอนความรู้ทั้งหมด วิชาทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดจะเลิกทำ รับปากกับท่านได้ไหม ถ้ารับปากกับท่านไม่ได้ ท่านไม่บวชให้ ท่านไม่รักษาให้ ตายก็ตายไปซี ฉันไม่ได้ทำเธอนี่ มันเป็นกฎของกรรมที่เธอสร้างขึ้นเท่านั้น เจ้าลาวหมดท่า มันก็ร้องไห้เสียดายของ ผลที่สุดไม่รู้จะทำยังไง ความปวดมันก็ทวีมากขึ้น ในที่สุดมันก็ยอมรับว่าจะเลิก ท่านก็รักษาให้ ฉันไม่เห็นท่านทำยังไง ท่านก็ไปหยิบน้ำมนต์มา แล้วให้เจ้าลาวกิน เจ้าลาวดื่มเข้าไป ๓ อึก ประเดี๋ยวก็บอกว่าปวดอุจจาระ ท่านก็ให้ไปที่ร่อง มันก็ถ่ายออกมา ไอ้ที่ถ่ายออกมานะ ไม่ใช่มีอุจจาระหรอก มันเป็นโซ่เส้นเล็ก ๆ เหมือนโซ่ลิง ที่มันทำเป็นตะขาบนั่นแหละ พอกัดปั๊บเป็นพิษ แล้วเข้าไปในท้องเลย ตาย ตายแน่ ถ่ายออกมาเป็นโซ่ลิง หลวงพ่อปานก็ให้พระไปคีบเอามา พระไปคีบมาแล้วก็มาดู บอกว่าเอ็งน่ะมันระยำ เอ็งคิดจะฆ่าฉัน เอ็งน่ะระยำมาก แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันน่ะไม่ตายเพราะมือเอ็งแน่ ถ้าฉันจะตายฉันต้องตายของฉันเอง ถ้าจะฆ่าฉันละไม่ตายแน่ เอาละเป็นอันว่าพรุ่งนี้บวชกัน ว่ากันยังงั้นเลยนะ ท่านเอาจริง ๆ พอวันรุ่งขึ้นท่านก็ให้บวชเลย แล้วเจ้าลาวคนนี้พอบวชแล้วก็เจริญกรรมฐานกับหลวงพ่อปาน อาศัยอารมณ์ไสยศาสตร์ที่เขามีอยู่ จิตเป็นสมาธิระดับสูง ภายในพรรษาเดียวเขาก็ได้อภิญญาสมาบัติ นั่นเป็บพระอภิญญาไปอีกองค์ พอได้อภิญญาถามว่า แกจะทำยังงั้นอีกไหม ตอบว่าไม่ทำหรอก ไปดูในเมืองนรกแล้ว เขาจดไว้เป็นแถวเชียว ไม่มีทางหรอก ผมหนีแน่ วิชาความรู้ กรรมชั่วอย่างนี้ผมไม่เอาอีก ผมหนี สิ่งใดที่จะเป็นบุญ ทางใดที่จะหนีได้ผมรีบเปิด เป็นอันว่าแกอยู่กับหลวงพ่อปาน ๒ พรรษา ช่วยหลวงพ่อปานรักษาโรค หลวงพ่อปานให้เรียนวิชารักษาโรคแทนแล้ว ต่อจากนั้นแกก็ลาเข้าป่าไป เป็นอันว่าพระอภิญญาเข้าป่าไปหมด เห็นไหม นี่เขาไม่อยู่กันนา นี่ตอนนี้ก็จบไปเสียทีซิ
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานไหว้ศพ

    ตานี้เอาตอนต่อไป ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน ตอนหลวงพ่อปานไหว้ศพ นี่ลูกหลานทั้งหลายน่ะ ก็เคยฟังมาแล้วนา เล่าให้ฟัง แต่ว่ามันเล่าแล้วก็หายไปนี่ คราวนี้มาเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อปานไหว้ศพ ประเพณีของหลวงพ่อปาน แต่ความจริงท่านไม่ได้ทำเป็นประเพณี ท่านทำด้วยจิตเลื่อมใส คำว่าประเพณีกับคำว่าเลื่อมใสมันไม่เหมือนกันนะ ลูกหลานฟังให้ดีนะ ตานี้ว่ากันถึงการไหว้ศพ ไม่ว่าศพอะไรทั้งหมด จะเป็นศพเด็กศพผู้ใหญ่ ศพผู้หญิงศพผู้ชายก็ตาม เวลาเขานำมาที่วัดหลวงพ่อปานท่านก็คว้าธูปคว้าเทียน ถ้าเขามาตั้งเรียบร้อยแล้ว หยิบธูปหยิบเทียน ห่มจีวรคลุมผ้าสังฆาฏิว่ากันเต็มยศแล้วท่านก็ไปไหว้ศพ พวกพระทั้งหมดสมัยนั้นนะ พระสมัยนั้นกับพระสมัยนี้ไม่ค่อยเหมือนกัน ฉันดูพระสมัยนี้มันตื้อๆ เหมือนเรือเกลือยังไงไม่รู้ พระผู้หลักผู้ใหญ่พระหัวหน้าจะทำอะไรไม่ค่อยดู บางทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่พระวัดไหนเขาดีบ้างฉันก็ไม่ทราบ เดี๋ยวนี้มันเห็นครูบาอาจารย์เป็นอะไรไปก็ไม่รู้ เห็นคนแก่คนเฒ่า พระเก่าพระแก่ทำก็เฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่ว่าระบบของที่นั่นเขาคอยดูกัน มีพระคอยจ้องหน้าคอยจ้องดู ก็มีพวกฉันแหละ ไอ้ลิง ๓ ตัวนี่ ไอ้ลิงดำ ไอ้ลิงขาว ไอ้ลิงเล็ก เพราะเป็นลิงหน้าพลับพลาประจำคอยสังเกตหลวงพ่อปาน ว่าหลวงพ่อปานจะขยับเขยื้อนอะไรก็ให้จังหวะแก่เพื่อน บรรดาเพื่อนพระทั้งหลายก็พร้อมพรึ่บพรั่บทันที นี่เขาเตรียมกันไว้ยังงี้นา เขาไม่ได้คอยให้ครูบาอาจารย์มาตะโกนโวยๆ พระสมัยนิวเคลียร์นี่ไม่เป็นเรื่อง เป็นเหยื่อลุงพุฒิหมด ไม่หมดก็เหลือน้อยเต็มที หรือว่าไงลุง ฮึ แกบอกว่าบวชน้อยๆ น่ะ บวชทันสมัยน่ะทุกรายแหละ บวชแบบทันสมัยนี่ทุกราย ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ ฆ่าวัว ฆ่าควาย บวชกินเลี้ยงทุกราย ถ้าไม่ทำความดีรีบหนีละก็เสร็จ ลงอเวจีเป็นแถว ฟังให้ดี เวลาพระพุทธเจ้าท่านบวช ท่านไม่ได้มีแห่นะ เวลาที่ใครไปบวชกับท่านก็ไม่มีพิธีรีตองมาก ท่านเรียกเอหิภิกขุอุปสัมปทา ว่าเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้แหละ เอหิภิกขุนะ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด เท่านี้ ต่อมาให้ถึงติสรณาคม ก็ให้ว่าพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ก็เป็นอันบวช ต่อมาให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ให้มีพระคู่สวด พระอันดับ ก็ไม่มีแห่อะไร ไม่ต้องทำพิธีมาก ที่ทำกันมากน่ะนอกเรื่องนอกราว ไม่เกี่ยวกับพระศาสนา ทำเลี้ยงต้องเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้ง ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ บาปมันมากกว่าบุญจะไปสวรรค์กันได้ยังไง พวกแบบนี้เขาเรียกว่าลงทุนซื้อนรก เวลาบวชเข้าไปแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติหรอกนะ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขาไม่เอา ไปคุยกันถึงเรื่องสาวบ้านนี้ จะทำงานบ้านโน้น จะหาลาภอย่างนี้ จะร่ำรวยอย่างนั้น อยากจะได้ยศแบบนี้ ยศขั้นนั้นหมดไป นรกหมดไม่มีเหลือ บวชแล้วไม่ได้เป็นพระหรอก เป็นพระแต่หัวกับผ้าเหลือง ใจไม่ได้เป็นพระ พระที่เขาบวชต้องถือ นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา หรือว่าคำขอบรรพชาแบบธรรมยุตขึ้นต้นก็ขอพระนิพพานเลย เป็นอันว่า จิตเราจะบวชเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว บวชเข้าไปแล้วก็เริ่มปลดอารมณ์ อารมณ์ที่เป็นฆราวาสทั้งหมดเริ่มปลดลงไป ปลดมันขาดไม่ได้ก็ยับยั้งไว้ชั่วขณะก็ยังดี อย่างนี้เรียกว่าบวชเล็ก ถ้าปลดได้เลยเป็นบวชใหญ่ ถ้าบวชสะสมทรัพย์ บวชปรารถนายศฐาบรรดาศักดิ์ เสร็จแล้วก็เมายศด้วย ลุงพุฒิว่าไง แกบอกว่าตอบแล้วนี่ เมื่อวาน เสร็จทุกราย ที่ใครได้ยศแล้วไม่เมายศ มีลาภแล้วไม่เมาลาภยังดี ได้ยศแล้วเอายศวางเสีย เวลาใช้ค่อยใช้กัน ไม่ถึงเวลาใช้ก็วางเก็บไว้ก่อน มีลาภสักการก็ทำเป็นสาธารณประโยชน์ แล้วก็เลี้ยงตัวพอสมควร เหลือก็เอาไปทำในส่วนที่เป็นสาธารณประโยชน์ ในเมื่อมีศพทุกศพ หลวงพ่อปานท่านถือดอกไม้ธูปเทียน พาดสังฆาฏิ ทำกันเต็มยศ ท่านไม่ชวนใคร ไม่ตีระฆัง ท่านก็ลงไปศาลาไหว้ศพ พระทั้งหมดพอศพมาก็ต้องเตรียมผ้าสังฆาฏิเหมือนกัน ไม่ต้องบอกกัน เห็นหลวงพ่อปานลุกจากหน้ากุฏิ กุฏิท่านอยู่ลึกเข้าไป ศาลาอยู่อีกด้านหนึ่ง มายืนจุกกันอยู่ทางปากทางหมด พอหลวงพ่อปานเดินออกหน้า ต่างคนต่างเดินเรียงกันตามลำดับอาวุโส ไม่ใช่ตามลำดับยศ ไอ้ยศน่ะพระศาสนาเขาไม่ใช้หรอก ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า ในศาสนานี้ถืออาวุโสเป็นสำคัญ ยศไม่เกี่ยว เป็นเรื่องข้างนอก ยศเป็นโลกธรรม ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงยกย่อง ไม่ใช้ ผิด เมื่อเดินกันตามลำดับอาวุโสไปถึงหน้าศพ หลวงพ่อปานก็จุดธูปเทียน พวกพระก็จุดบ้าง หลวงพ่อปานกราบ พระก็กราบบ้าง กราบแล้วท่านนั่งเฉย ประเดี๋ยวพระก็นั่งบ้าง เวลาท่านลุกกลับก็กลับบ้าง คนอื่นเขานึกยังไงฉันไม่รู้ สำหรับตัวฉันไม่รู้หรอก เห็นท่านกราบก็กราบ เห็นท่านนั่งก็นั่ง เห็นท่านกลับก็กลับ อย่างนี้เรียกว่าขี้ตามช้าง กราบแบบนี้ประมาณ ๑๐ ศพ คราวหนึ่งยายฟูแกตาย ยายฟูนี่นะเป็นคนที่มาทำงานวัดทุกวัน มาดายหญ้าบ้าง ถูกุฏิบ้าง อะไรบ้าง ตอนเย็นแกก็กลับ รู้สึกว่าตอนแก่นี้แกไม่เอางานบ้านเลย แกสนใจอยู่กับวัด เป็นคนรับใช้หลวงพ่อปาน ทำอาหารการบริโภค ทำครัว ถูกุฏิ กวาดวัด มีเรื่องตักน้ำตักท่าจิปาถะ ยายฟูนี่เอาทุกอย่าง แต่ว่าฉันเห็นว่าแกแก่แล้ว ฉันก็ไปช่วยแก ถ้าเวลาแกตักน้ำฉันก็คว้าหาบไปช่วยแก บอกแกว่าน้าฟูไม่ต้องทำ น้าฟูแก่แล้ว ทำตรงนี้ ทำตรงเบาๆ ตรงหนักๆ นี่ฉันทำแทน สงสารแก ตอนนั้นเห็นแกมีน้ำใจดี แล้วหลวงพ่อปานก็เรียกยายฟู ว่า อีฟู จะธุระอะไรก็อีฟูเอ๊ย ฟูเอ๊ย มาหาหลวงน้าหน่อยวะ นี่ท่านเรียกอีฟู แต่ฉันเรียกน้าฟู พอยายฟูตาย เขานำศพยายฟูจากบ้านมาขึ้นศาลา หลวงพ่อปานก็พาดสังฆาฏิอีกแล้ว ไม่ต้องห่วงละ กี่ร้อยศพก็ทำแบบนี้ แบบนั้นตอนที่ฉันเป็นหัวหน้าพระ ฉันก็ทำตามท่านเสมอ แต่ตอนนี้ขึ้นมาสายเหนือนี่ ทำไม่ได้หรอก ไม่เห็นเขาเอาท่าเอาทางกันนี่ เขาไม่เอาไหนกันเลยนะ เขาเอาอย่างเดียว บังสุกุลมาติกาหาสตางค์กินเท่านั้น ส่วนสาธารณประโยชน์เขาก็ไม่ค่อยทำกัน พระสายเหนือนี้เขามีอุเบกขาบารมีดีมาก ไม่เอาไหนหรอก เรื่องธัมมะธัมโมนี่รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยสนใจกัน ไม่ค่อยตรงกับพระไตรปิฎก ไปๆ มาๆ เขาบอกว่าทำเป็นประเพณีไป ก็ดีเหมือนกันนะลุงนะ เสร็จ ลุงพุฒิบอกแบบนี้เสร็จ จดแหง ไม่ได้จดหรอก มันขึ้นเอง ลุงพุฒินั่งยิ้ม วันนี้มานั่งพูดตรงนี้นะ หลวงพ่อท่านยิ้มใหญ่ บอก เออ พูดไป พูดไป ท่านว่ายังงั้น ตรงนี้ดีว่ะ ท่านว่ายังงั้น ตอนฉันอยู่น่ะท่านก็พูดยังงี้เหมือนกัน ไอ้ลิงดำเอ๊ยอย่างนี้ดีว่ะ อย่างนี้ไม่ค่อยดีนะ ไอ้ลิงดำเอ็งอย่าทำยังงี้นา อย่างนั้นเอ็งอย่าทำนะ ฮื่อ แล้วท่านว่าไง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกก็บอกเขาด้วยนะ แน่ะมาซ้อมไว้ นี่มาสั่งไว้เดี๋ยวนี้เอง แกขโมยอะไรข้าบ้าง แกบอกให้ชาวบ้านเขาฟังไว้นะ แกอย่าไปปกปิดเขานา แล้วก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ หลวงพ่อท่านใจดี ปกติท่านใจดีเสมอ ท่านสงเคราะห์ฉันอยู่เสมอ แต่ฉันก็เป็นลูกศิษย์หัวรั้นไม่ใช่เล่นเหมือนกัน แบบฉันนี่อย่าตามมันนักนา ถ้าจะตามก็ตามแบบดี แบบเลวอย่าตามนะ มันไม่เกิดประโยชน์ ต่อไปพอศพยายฟูมาก็ไปกันตามเดิม ไม่ต้องพูดถึงเข้าแถวหรอกรำคาญหู หลวงพ่อปานท่านก็กราบ กราบแล้วท่านก็นั่งเฉยๆ นั่งตามแบบฉบับซี ตอนนั่งท่านนั่งปลง แต่ฉันไม่ได้ปลงหรอก ฉันไม่รู้นี่ ท่านนั่งฉันก็นั่งมั่งซิ ท่านหลับตา ฉันก็ทำตายิบๆๆๆ กลัวท่านจะลุกมาแล้วฉันไม่รู้ หลับเป็นตากระต่าย พอท่านนั่งเสร็จแล้ว ท่านลืมตาขึ้นมา ฉันหรี่ตาไว้นี่ ทำไมฉันจะไม่รู้ท่านลืมตา ฉันเลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ ก็ยายฟูน่ะเวลามีชีวิตอยู่หลวงพ่อเรียกอีฟู แล้วเวลายายฟูตาย หลวงพ่อมากราบทำไมขอรับ ท่านหันมามองแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองพระทุกองค์คล้ายๆ กับท่านจะถามในใจของท่านว่า พระทุกองค์น่ะคิดเหมือนไอ้ลิงดำหรือเปล่า ท่านก็บอกว่า ไอ้ลิงดำ ที่มาไหว้ศพน่ะเขามาไหว้สัจธรรมของพระพุทธเจ้านะ คำว่าสัจธรรมน่ะเป็นแบบนี้ คือว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าร่างกายของคนน่ะ อย่าพูดเลยว่าขันธ์ ๕ มันยุ่งเปล่าๆ ขันธ์ห้าขันธ์เห้ออะไรนี่ยุ่ง มันฟังยาก ขันธ์น่ะแปลว่ากอง ไม่ใช่ภาษาไทยเสียอีก เอาร่างกายก็แล้วกัน ร่างกายของคนและสัตว์นี่น่ะมันเป็นอนิจจัง มีสภาพไม่เที่ยง เวลาอยู่ก็เป็นทุกข์ ทุกขัง แต่ในที่สุดก็เป็นอนัตตาคือตาย ใครบังคับบัญชาไม่ได้ เวลาที่เรามาไหว้กันนี่เขาไหว้พระสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า เวลากราบลงไปเขากราบพระพุทธเจ้ากันนะทีแรก กราบพระพุทธเจ้าว่าพระพุทธเจ้าเทศน์นี่นะถูก ทรงเทศน์ไว้ตรง ข้าพระพุทธเจ้าขอยอมรับนับถือ ขอเอาธรรมข้อนี้หรือคำสอนตอนนี้ไปคิดเป็นประจำใจ จะได้เป็นคนไม่ประมาท ตกอยู่ในคุณธรรมชั้นสูง เป็นมรณานุสสติกรรมฐาน แล้วก็กราบลงไปครั้งที่ ๒ ก็นึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ทรงหลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ เหมือนดอกมะลิแก้ว เพราะแพรวพราวไปด้วยความจริง แพรวพราวไปด้วยคำประเสริฐ นี่พระธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เป็นของจริงเป็นของประเสริฐ ทำบุคคลทั้งหลายไม่ให้เมามัน ให้เข้าถึงความสุข กราบครั้งที่ ๓ ก็กราบพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ท่านอุตส่าห์ร้อยกรองพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ไม่ปล่อยให้อันตรธานสูญไป รวบรวมเข้าไว้ นี่กราบความดีของพระ ๓ พระนา เขาไม่ได้กราบผีกราบศพ แกจะเห็นว่าคนที่ตายแล้วฉันมากราบ แม้แต่เด็กฉันก็กราบ นี่ความจริงฉันไม่ได้กราบเด็ก ไม่ได้กราบคนตาย ฉันกราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ และเอาคนตายนี่เป็นครูฉัน ว่าเขาเกิดมาแล้วตาย จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัส แล้วท่านก็หันมาถามว่า เออ เจ้าลิงดำ แล้วเอ็งกราบอะไร ก็เลยกราบเรียนท่านว่า ที่ผมกราบไม่ใช่กราบอะไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมก็กราบผี ท่านก็เลยถามว่านี่ล่อมากี่ผีแล้วพ่อคุณ บอกว่าสิบกว่าผีแล้วขอรับ ท่านว่าแล้วกันไอ้ลิงดำ กราบผีเข้าให้แล้ว ดีเหมือนกัน ไอ้คนอย่างแกมันก็โง่น้อย ไม่ใช่โง่มาก หมายความว่าโง่แล้วพอพูดแล้วมันก็เกิดความฉลาด โง่แล้วยังดีกว่าไอ้คนโง่แล้วไม่พูดไม่ถาม พูดแล้วก็ยิ้มๆ มองกวาดไปทางพระองค์อื่น บอกว่า ไอ้ที่โง่แล้วไม่ถามมันอาจจะมีเยอะนา ในกลุ่มที่นั่งนี่น่ะ บวชก่อนพวกแกตั้ง ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษาก็มี เข้าใจกันหรือเปล่า ฉันทำให้ดูไม่เข้าใจก็ถามซิ ถ้าไม่ถามขี้ตามช้างมันก็ดีเหมือนกัน แต่ประโยชน์น้อย เอาเถอะก็ดี ทีนี้ท่านก็เลยบอกว่าการกราบศพเขากราบคุณพระรัตนตรัย กราบสัจจธรรมของพระพุทธเจ้า ทีนี้เวลาเผาศพก็เหมือนกันนะ อย่าตั้งหน้าตั้งตาเผาเขา เวลาเราไปเผาศพก็เผากิเลสในใจของเราเสียด้วย กิเลสส่วนใดที่มันสิงอยู่ที่เรา คิดว่าเราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายน่ะ เผามันเสียให้หมดไป เราคิดว่าวันนี้เราเผาเขา ไม่ช้าเขาก็เผาเรา คนเกิดมาแล้วมาตายอย่างนี้เราจะเกิดมันทำไม ต่อไปข้างหน้าเราไม่เกิดดีกว่า เราไปพระนิพพานนั่นละดีที่สุด เรื่องอัตภาพร่างกายสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ไม่มีอะไรเป็นความหมาย ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตายแล้วหาสาระหาแก่นสารไม่ได้ หาประโยชน์ไม่ได้ นี่ท่านสอนอย่างนี้ก็จำไว้นะลูกหลาน เผาผีก็มุ่งไปนิพพาน ไปกราบศพไปเคารพศพก็ไปนิพพาน อย่าทำกันเป็นประเพณีนะ ประเพณีที่เขาจัดทำทำไปเถอะ แต่ใจอย่าเป็นประเพณี ไหนๆก็ลงทุนเสียเวลาไปในงานศพแล้ว เอากำไรกลับมานะ เอากำไรกลับมา คิดว่าเราต้องตายอย่างเขา เมื่อเขาอยู่ก็มีทุกข์อย่างเรา เราเกิดอย่างเขาเราก็แก่อย่างเขา เราป่วยไข้ไม่สบายอย่างเขา เราจะต้องตายอย่างเขา ถ้าหากว่าเราจะต้องตายอย่างนี้ จะต้องป่วยอย่างนี้ ต้องลำบากอย่างนี้ ต้องมีอาการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เราจะเกิดมันทำเกลืออะไรอีก เกิดเป็นเกลือยังดีมันรักษาความเค็มของมันได้ ไอ้เกิดมีร่างกายนี่รักษาไว้ไม่ได้ระยำกว่าเกลือตั้งเยอะ เอ้า เรื่องยายฟูนี่ผ่านไปนะ ฉันมานึกดูเสียก่อน นั่งนึกว่าจะเอาเรื่องอะไรต่อ เอายังงี้ก็แล้วกัน เอาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

    ตอนนี้มาว่ากันถึงคาถาพระปัเจกพุทธเจ้า เรื่องนี้มันไม่เรียงตามลำดับนะ ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้ฉันก็ว่าดะ คาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้านี่หลวงพ่อปานท่านมาเรียนตอนปลายชีวิตของท่าน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่หลวงพ่อปานไปเรียนกับครูผึ้งที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตอนนั้นครูผึ้งเป็นฆราวาส อายุ ๙๙ ปี สมัยนั้นค่าของเงินมันสูง เงิน ๑๐๐ บาทนี่สูงมาก หรือเงิน ๑ บาทนี่สูงมาก ข้าราชการถ้าได้เงินเดือน ๒๐ บาทก็รู้สึกว่าโก้ โก้มากแล้ว นายสิบตรีดูเหมือนจะได้เงินเดือน ๑๖ บาทหรือไงนี่น่ะ นายสิบเกณฑ์ได้เงินเดือน ๘ บาท พลทหารได้เงินเดือน ๔ บาท ร้อยตรีได้เงินเดือนละ ๘๐ บาท แล้วก็ร้อยเอกเต็มขั้นก็ ๑๖๐ บาท นี่ฉันจำได้ จำผิดจำถูกไม่รู้ ค่าของที่ซื้อกัน ก๋วยเตี๋ยว ๒๐ ชาม ๑บาท หรือบางทีก็ ๒ ชาม ๕ สตางค์ แต่ว่าปลาหมึกชิ้นละ ๑ สตางค์ นี่ตอนเป็นนักเรียนฉันไม่ค่อยได้ซื้อหรอก ฉันขโมยเจ๊ก เวลาโรงเรียนปล่อยลงมาก็ซื้อปลาหมึกกันคนละชิ้นสองชิ้นลุ่มลั่มๆ ฉันเข้าไป พอเจ๊กเผลอก็คว้าหมับมากำมือหนึ่ง มาแจกเพื่อนกิน นี่ฉันน่ะระยำไม่ใช่น้อยนะเด็กๆ ก็ตัวดีเหมือนกัน แต่ของใหญ่ไม่เคยลัก ปลาหมึกนี่ชอบลักเพราะชอบกินก็เลยชอบขโมยเขา บาปไม่บาปลุงพุฒิยิ้มแหงเลย ไม่ใช่แหง พอบอกว่ายิ้มแหง ต่อว่าบอกว่าอย่ายิ้มแหงซี ยิ้มก็ยิ้มซี บอกว่าเรื่องไม่บาปไม่มี เอ้า ว่าถึงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าที่หลวงพ่อปานจะเรียนน่ะ ตอนนั้นไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ก็ไปได้ข่าวว่าอาจารย์ผึ้งนี่น่ะเป็นคนพิเศษ เวลาขอทานมาขอให้คนละ ๑ บาท ๑ บาทสมัยนั้นขอทานยิ้มไปหลายวัน แล้วถ้าใครเขาบอกบุญโกนจุกบวชนาคอะไรก็ตาม แกทำบุญรายละ ๑๐๐ บาท นี่หนักเหลือเกินนะสมัยนั้นเงิน ๑๐๐ บาท เงิน ๒๐๐ บาทนี่ สร้างบ้าน ๒ หลัง มีครัวได้ ๑ หลัง สร้างด้วยไม้ยางนะ เสาไม้แก่น แกช่วยงานรายละ ๑๐๐ บาท นี่ไม่ใช่เงินเล็กน้อย เป็นเงินใหญ่ แล้วก็ต่อมาเป็นยังไง ในเมื่อหลวงพ่อปานทราบข่าวก็ไปขอเรียนกับแก เล่ากันลัดๆนะ แกก็ให้เรียน เมื่อเรียนมาแล้วก็ปรากฏว่ากลับมาที่กรุงเทพฯ มาพักอยู่ที่วัดสระเกศ วัดสระเกศนี่เป็นวัดที่ท่านเคยไปเรียนหนังสืออยู่ มีพวกพ้องมาก กุฏิที่พักก็เป็นกุฏิของหมวดเจิ่น ดูเหมือนว่าจะเป็นคณะ ๙ หรือคณะ ๑๑ จำไม่ได้ จำไม่ได้ชัดนะ คณะ ๘ คณะ ๙ หรือคณะ ๑๑ อะไรนี่จำไม่ได้ชัด ชอบกันมาก ไปพักอยู่ที่นั่น แล้วก็ปรากฏว่าเวลาฉันข้าวมีชาวบ้านในกรุงเทพฯ เขานับถือท่าน พอรู้ว่าท่านมาก็เอาข้าวปลาอาหารไปถวายกันเยอะแยะ ทานบารมีของท่านมีมาก ไม่เหมือนฉัน ระหว่างฉันข้าวท่านก็พูดเรื่องคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า คาถาบทนี้น่ะดีเหลือเกิน ทำให้คนมีลาภสักการ แล้วก็อธิบายถึงครูผึ้งว่า แกเป็นคนแก่แล้วไม่ได้ทำอะไร แต่คนไปบอกงานบอกการแกช่วยรายละ ๑๐๐ บาท ขอทานไปขอแกให้รายละ ๑ บาท ตอนนั้นท่านกล่าวว่านายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ท่าเตียน เขาเป็นลูกศิษย์ที่เคารพท่านมากเหมือนกัน นั่งอยู่ข้างหลัง ท่านว่าตัวคาถา แกก็จดอยู่ข้างหลัง จดแล้วพอคนอื่นไปหมดท่านพูดให้ฟังถึงคุณสมบัติว่ามีประโยชน์มาก ใครเอาไปเจริญภาวนา คือสวดมนต์คืนละ ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบ อย่างใดอย่างหนึ่ง ลาภสักการจะมีไม่ขาดสาย ถ้าว่าทำเป็นสมาธิได้ละก็ จะเกิดลาภหนัก ท่านว่ายังงั้น นายประยงค์จด แต่ว่าคนอื่นทั้งหมดไม่มีใครสนใจ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน คนอื่นทั้งหมดที่ฟังแล้วไม่สนใจ มีนายประยงค์คนเดียวสนใจ เวลาคนอื่นไปหมดแล้ว นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ก็เข้าไปหาหลวงพ่อปาน ไปขออนุญาตเรียนคาถาบทนี้ แล้วก็อ่านให้ท่านฟังที่จดว่ามันถูกหรือผิด ท่านก็บอกว่าถูกต้อง แล้วก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจบอกว่า เออ พ่อดีใจประยงค์ เอ็งเป็นลูกหัวปี สำหรับคาถาบทนี้เอาไปทำ ถ้าเอ็งทำไม่เกิดผลเพียงใดละก็พ่อจะไม่พิมพ์แจกคนอื่น เอาไปพิสูจน์กัน นี่ท่านใช้บทพิสูจน์ ตอนนี้เมื่อปี ๒๔๘๐ นายห้างประยงค์รู้สึกว่าร่ำรวยมาก มีลาภสักการสูง ค้าขายดีมีทุนรอนมาก ท่านไปที่วัดบางนมโคท่านกล้าพูดบอกว่า ถ้าหลวงพ่อจะทำอะไรก็บอก ผมไม่กลัว เท่าไหร่เท่ากัน เรื่องทำบุญยิ่งทำเงินยิ่งมา ก็เลยถามท่านนายห้างว่า ท่านนายห้างทำยังไงลาภสักการจึงเกิดมาก ท่านก็บอกว่าผมบูชาพระ กลางคืนผมก็บูชา ๙ จบเหมือนกัน แต่ว่าเวลากลับไปจากขายของตอนเย็นรับประทานอาหารแล้ว อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็เข้าห้องพระทำคาถาบทนี้เป็นพระกรรมฐาน พอตั้งจิตเข้าถึงอุปจารฌานก็เห็นพระสวยสดงดงามมีแสงสว่างเกิดขึ้น ท่านบอกว่าตอนนี้นะขอรับ ทำอะไรมันเป็นเงินเป็นทองไปหมด ที่เขาขายกันขาดทุน ผมก็ขายเข้าก็ได้กำไร คิดว่าจะได้น้อยมันก็ได้มาก บางทีห่อยา แกขายยานี่ ยาทำไว้แล้วพันห่อ เจ้าหน้าที่ขายครบ ๑,๐๐๐ ห่อ เงินก็ได้ครบแล้ว แต่ยายังเหลือ ของก็ขายดีขึ้นเป็นพิเศษ แกบอกว่าสมัยก่อน เดือนไหนถ้าผมมีกำไรสุทธิได้ถึงเดือนละ ๒๐๐ บาท สองผัวเมียนี่นอนไม่หลับขอรับ ดีใจ เวลานี้ถ้าได้ ๒๐๐ บาทนี่ไม่รู้สึกอะไรเลย แสดงว่าแกได้มาก นี่นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาท่าเตียน จังหวัดพระนคร หรือนครหลวงอะไร กรุงเทพธนบุรี แกเป็นคนได้ก่อน แล้วบรรดาลูกหลานที่รัก ถ้าอยากจะรวยก็ทำอย่างนายประยงค์ก็แล้วกันนะ คาถาตามแบบฉบับของท่านมียังไง ระหว่างที่ฉันกำลังพิมพ์ก็ไม่ใช้ถ้อยคำของฉันผสม ลอกเฉพาะถ้อยคำของหลวงพ่อปานอย่างเดียว พิมพ์แจกบรรดาท่านพุทธบริษัท ฉันก็แจกฟรีเหมือนกัน แต่น่ากลัวจะไม่เลี้ยงอะไรหรอก จะเลี้ยงก็เลี้ยงข้าวต้ม เงินที่แจกก็ไม่ใช่เงินของใครนะ เงินของลูกหลานที่ให้ฉันมากินนั่นแหละ ให้ฉันมากินมาใช้ ฉันก็มาพิมพ์คาถาแจกเสียอีกแล้ว โมทนาเสียนะ เราทำให้คนอื่นเขารวย เราก็จะได้รวยตาม เรื่องคาถาหมดไป ทีนี้เรื่องเบ็ดเตล็ด
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานทอดกฐิน

    มาพูดกันถึงการปฏิบัติประจำอีกอย่างหนึ่ง หลวงพ่อปานนี่มีอุปนิสัยอย่างหนึ่งชอบทอดกฐินทุกปี เรื่องกฐินมี่ท่านทอดของท่านทุกปี ปีละหลายๆวัด ปีหนึ่งที่จังหวัดสุพรรณบุรี รู้สึกว่าข้าวยากหมากแพง ชาวบ้านต้องกินขุยไผ่ ในเขตอำเภอเดิมบางนางบวชโน่น เลยจังหวัดสุพรรณขึ้นไปมาก ตอนนั้นไม่ได้ข้าวไม่ได้ปลา ต้องไปขุดขุยไผ่กิน หลวงพ่อปานก็ไปทอดกฐิน ๗-๘ วัด แต่การทอดกฐินคราวนั้น ท่านประกาศกับบรรดาพุทธบริษัทของท่านว่า จะต้องการเอาอาหารไปช่วยเขา เขาอดข้าวอดอาหาร นี่ ท่านเป็นนักสังคมสงเคราะห์ แต่ไม่มีใครเขาช่วยท่านหรอก รัฐบาลไม่ได้ร่วมมือ แต่ว่าชาวบ้านช่วยท่านไปคราวนั้น ปรากฏว่านำข้าวเปลือกบ้าง ข้าวสารบ้างไป ๗ ลำเรือ เรือลำหนึ่งจุประมาณ ๑๐ เกวียนบ้าง จุประมาณ ๒๐ เกวียนบ้าง เอาไป ๗ ลำ ที่ท่านได้มายังงั้นเพราะอะไร เพราะใครมาหาท่านก็บอกท่านจะไปทอดกฐิน แล้วว่าการทอดกฐินคราวนี้ต้องเอาข้าวเอาอาหารไปสงเคราะห์คนที่อดข้าว คนนั้นก็ให้ คนนี้ก็ให้ บางคนก็ให้เงิน บางคนก็ให้ข้าว บางคนก็ให้กับ พวกกรุงเทพฯ ก็ให้ทั้งเงินให้ทั้งของทะเล ผ้าผ่อนท่อนสไบ พวกจังหวัดสมุทรสาคร โยมพ่วง อยู่ที่นั่นก็เอาของทะเลมาเป็นลำๆเรือ น้ำปลาอย่างดี ของทะเลต่างๆ แล้วก็เงินทองด้วย ผลที่สุดนำไป ๗ ลำเรือ แจกกันขนาดหนัก บรรดาประชาชนสาธุไปทั่วกัน ว่ากันถึงเรื่องการทอดกฐิน จะพูดถึงอานิสงส์กฐินให้ฟัง หลวงพ่อปานทอดกฐินคราวไรละก็ท่านก็เทศน์แบบนี้ เทศน์แบบนี้ฉันจะนำใจความมาเล่าให้ฟังว่า การทอดกฐิน อานิสงส์ของกฐินนี่น่ะให้ผลทั้งชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ ชาติปัจจุบันและสัมปรายภพหมายความว่าชาตินี้และชาติหน้า ชาติต่อๆไป คนทอดกฐินสังเกตตัวดู ถ้าทอดแล้วถึง ๒-๓ ครั้ง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น ถึงแม้ว่าจะไม่ร่ำรวยก็ตาม แต่ความเป็นอยู่จะคล่องตัวขึ้น รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีมากขึ้น หาลาภสักการคล่องตัวขึ้น ท่านบอกว่านี่ยังเป็นเศษของความดี อานิสงส์ของการทอดกฐินสามารถจะบันดาลให้คนปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สำเร็จผล ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ปัจจุบัน สมัยนั้นเป็นมหาทุกขตะ สมัยที่พระปทุมมุตตะทรงอุบัติขึ้นในโลก แกไม่มีอะไร เป็นคนจน ไปชวนนายเขาทอดกฐิน ตัวเองก็เอาผ้าไปขายแลกกับด้ายหลอดเขามาด้วย ด้าย ๒ หลอด เข็ม ๑ เล่ม เอามาผสมกับกฐินเขา แล้วก็ปรารถนาพระโพธิญาณ พระปทุมมุตตะก็ทรงพยากรณ์ว่า บุคคลๆ นี้ต่อไปจะได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม นี่เป็นสมุฏฐานของการปรารถนาพระโพธิญาณของท่าน มีกฐินเป็นปัจจัย แล้วหลวงพ่อก็เทศน์ต่อไปว่า บุคคลใดก็ตามทอดกฐินแล้วถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา ต่อไปถ้าหากว่าไปได้บรรลุพระอรหัตผล ก็จะมีผ้าสำเร็จไปด้วยฤทธิ์มาสวมตัว พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่าเอหิภิกขุ แปลว่าเจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านี้ผ้าไตรจีวรก็จะลอยมาจากอากาศ สวมตัวเองด้วยอำนาจของอานิสงส์กฐิน สำหรับผู้หญิง ถ้าเป็นเจ้าภาพหรือจัดการในงานกฐิน ก็จะได้เครื่องมหาลดาปราสาท เครื่องประดับกายอย่างนางวิสาขา มีราคาตั้ง ๑๖ โกฏิ สวยงามมาก นี่อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งคนที่ทอดกฐินแล้ว ถ้าตายจากความเป็นมนุษย์ จะเกิดเป็นเทวดา ๕๐๐ ชาติ หมายความว่า เกิดแล้ว ๑ ชาติของเทวดาก็คือพันปีทิพย์ หมดกำลังของพันปีทิพย์ก็จะเกิดเป็นเทวดาใหม่ ต่อไปอย่างนี้ ๕๐๐ วาระ ความจริงก็ได้เปรียบมาก ถ้าอย่างลูกหลานได้เป็นอย่างนั้นนะไปนิพพานกันหมด เพราะพวกเรามีศรัทธาอยู่แล้ว เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาที่ไม่ประมาท ยังงี้ไปนิพพานกันหมด ดี ได้กำไร ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากความเป็นเทวดาแล้วก็มาเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นผู้หญิงก็เป็นคู่บารมีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ พระเจ้าจักรพรรดินี่ไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิอย่างเบาได๋นะ จักรพรรดิส่งเดชอย่างนั้นไม่ใช่ คำว่าจักรพรรดินี่มีอำนาจปกครองไปทั้งโลก มีเกือกแก้ว แล้วก็มีพระขรรค์แก้ว แล้วก็มีแก้วมณีโชติ มีกำลังมาก เหาะได้ ไม่มีใครมีอำนาจเท่า แล้วก็มีธนูศิลป์ศร จะใช้ยังไงก็ได้เหมือนศรพระราม มีอำนาจปกครองโลก ปกครองโลกได้จริงๆ ไม่มีใครสู้ ถ้าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ก็มีขุนพลแก้วรบเก่ง ขุนคลังแก้วหาเงินเข้าคลังเก่ง ช้างแก้ว ม้าแก้ว นี่ใช้สงรามได้ดี นางแก้วคือเมียดี เวลาฤดูหนาวร่างกายของเมียก็อบอุ่นมากขึ้น แล้วเวลาฤดูร้อนร่างกายของเมียก็เย็น ทำความสุขให้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ นี่ เป็นยังงี้ นี่ท่านว่ายังงั้น ถ้าพ้นจากสวรรค์ก็มาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ แล้วพ้นจากนั้นก็เป็นกษัตริย์ธรรมดาไป ๕๐๐ ชาติ จากนั้นก็มาเป็นมหาเศรษฐี ๕๐๐ ชาติ แล้วก็เป็นคหบดี ๕๐๐ ชาติ นี่ท่านบอกว่าอานิสงส์ของกฐินคราวเดียวก็สามารถให้ผลถึงเพียงนี้ ทุกคนควรจะทอดกฐินกัน แล้วเวลาทอดกฐินก็นึกว่าตนจะสงเคราะห์พระพุทธศาสนา หรือสงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั่นเอง แต่ว่าเนื้อนาบุญนี่สำคัญนะ เวลาจะหว่านข้าวลงไปดูเนื้อนาเสียด้วย นี่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง เนื้อนาบุญนี่สำคัญ ถ้านาดอนหว่านข้าวไม่ขึ้น ม้านหมด ถ้านาลุ่มข้าวก็น้ำท่วม นี่สำคัญมาก (แล้วว่ากันไปก็แล้วกัน) ใครจะทำที่ไหนจะทอดที่ไหนก็ไม่ว่า นี่แนะนำให้ฟัง หลวงพ่อปานท่านเทศน์อย่างนี้


    ฉันจะเล่าเรื่องย่อๆ เบ็ดเตล็ดอีกสักเรื่องหนึ่ง คือเรื่องธรณีสูบคน เขาร่ำลือกันว่าวัดของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคน่ะ มีคนถูกธรณีสูบ ๔-๕ คน เพราะสมัยนั้นการสัญจรการจราจรก็ไม่มาก มีเรือเขียว ๑ ลำ เรือแดง ๑ ลำ ล่องตอนเช้า แล้วก็ตอนเย็นๆ มีเรือเขียว ๑ ลำ เรือแดง ๑ ลำจากกรุงเทพฯ ผ่านหน้าวัด มีเท่านั้นนะ การจราจรมีไม่มาก คนที่เขาลงเรือเมล์มาเขาเห็นคนที่วัดบางนมโคจมดินลงไป จมดินลงไปถึงแค่คอหลายคน ๔-๕ คน แล้วพวกที่นั่งเรือนั่งแพ เรือแจวเรือพายก็ตาม ใครไปก็เห็นใครมาก็เห็น ข่าวเล่าลือกันไปว่าที่วัดของหลวงพ่อปานคนถูกธรณีสูบ ๔-๕ คนข่าวนี้มันก็ไปไว ปากคนเสียงคนนี่มีความสำคัญมาก ไม่ช้าคนเต็มวัดเต็มวา เรือแพหน้าวัดคนเต็มไปหมด ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะทุกคนเขาก็สนใจกัน สนใจเรื่องธรณีสูบ เมื่อขึ้นไปแล้วเขาก็ไปถามหลวงพ่อ ๆ ขอรับ คน ๔-๕ คนน่ะบาปอะไรธรณีถึงได้สูบ หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าใครเขาบอกพวกเอ็งล่ะ ใครเขาบอกพวกเอ็งว่าธรณีสูบ คนพวกนี้น่ะมันเป็นโรคเหน็บชา คือขามันชา ข้าให้เอาใบขี้เหล็กกับอะไรบ้างก็ไม่ทราบ แล้วเผาเหล็กให้แดงเอาไปวางไว้ข้างล่างขุดหลุมแล้วเอาใบขี้เหล็กทับลงไป แล้วให้มันหย่อนขาลงไปเหยียบ เอาตูดนั่งบนแผ่นดิน แล้วก็เอาขาแหย่ลงไปถึงก้นหลุม แต่ไอ้เจ้าของไข้ของมัน อยากให้คนไข้น่ะมันหายเร็วเข้า มันก็ดันขุดหลุมเสียแค่คอเลย พอขุดหลุมเสร็จมันก็ทำพิธีกรรมตามข้าว่านั่น ทำตามนั้น แล้วเอาคนของมันลงไปยืนในหลุม นี่ข้าสั่งมันพักแล้วนะ มันก็บังคับคนไข้ของข้ายืนกันคนละครึ่งวันค่อนวัน นี่มันไม่ใช่ธรณีสูบนะ ข้าสั่งให้เขารับการรักษาโรคเหน็บชา นี่เรื่องธรณีสูบน่ะไม่มีอะไรมากหรอก มีเท่านั้น แต่ว่าคนที่จะต้องรับผลอันนี้มากคือใคร ก็คือหลวงพ่อปาน ในเมื่อชาวบ้านชาวเมืองมากันเต็มวัดเต็มวา งานประจำปีก็ยังสู้ไม่ได้ มากันหลายวัน หลวงพ่อปานก็เกณฑ์สิ หาคนไม่ทันก็พระนั่นแหละ ตั้งกระทะเป็นแถว เอากระทะหุงข้าวตั้งเป็นแถวเลี้ยงชาวบ้าน แต่อาหารประจำของท่านต้องมี พอท่านสั่งเลี้ยง ฉันก็ต้องรีบไปหาหัวตาลมากับผักบุ้ง ต้มปลาร้าหัวตาลกับแกงคั่วส้มผักบุ้ง ต้องมีทุกรายการที่หลวงพ่อปานมีงาน ฉันรู้ใจท่าน ฉันไปหามากัน แล้วก็ขนม ๒ อย่าง คือ ข้าวตอกน้ำกะทิ แมงลักละลายน้ำ ๒ อย่างนี้เป็นขนมประจำ เป็นอันว่ารายจ่ายของหลวงพ่อปานไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่น่าอัศจรรย์นะ คนถูกธรณีสูบเพราะอาศัยการรักษาโรค เป็นปัจจัยที่ทำให้หลวงพ่อปานได้สตางค์คราวนั้นหมื่นบาทกว่า หมื่นบาทกว่าเชียวนะ พอได้ทุนหมื่นบาทกว่า ทั้งๆที่ท่านไม่ได้ประกาศเรี่ยไรอะไรทั้งหมด ท่านก็เลยตั้งท่าตั้งทุนเอาสร้างโบสถ์สร้างศาลา เรื่องการเก็บไม่ต้องพูดกัน การเก็บสะสมไม่ต้องพูดกัน เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย เรื่องข่าวลือไม่มีสาระ แต่ว่าคนที่อาศัยข่าวลือให้เป็นประโยชน์ คือทำที่ไม่เป็นสาระให้เป็นสาระก็สามารถทำได้ นั่นก็ได้แก่ข่าวลือ คนเขามาแล้วหลวงพ่อปานท่านก็เลี้ยงด้วยอำนาจเมตตาบารมีนี่คนเมื่อมีความใจดี หลวงพ่อปานเลี้ยงจนอิ่มก็บังเกิดจิตเป็นกุศล เอาสตางค์มาทำบุญกับท่าน ในที่สุดท่านได้สตางค์หมื่นกว่าบาท ก็เอาเงินนั้นไปสร้างโบสถ์สร้างศาลาที่วัดอื่น ไม่ใช่วัดบางนมโค ก็ปรากฏว่าคนธรณีสูบมีอานิสงส์ คือสามารถสร้างโบสถ์สร้างวิหารได้ ขอหยุดเท่านี้นะ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ลูกหลาน สวัสดี
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานปราบอหิวาตกโรค

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้ก็เป็นวันที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๕ เหมือนกัน แต่ที่ว่าเป็นเวลากลางคืน มองดูนาฬิกาแล้วตรงกับเวลา ๒ ทุ่ม ๑๐ นาที เป็นเวลาเจริญพระกรรมฐาน แต่ทว่าวันนี้ฉันขอโอกาสมาเล่าเรื่องราวให้ลูกหลานฟัง ปล่อยให้บรรดานักปฏิบัติเขาปฏิบัติกันไปตามลำพัง ทั้งนี้เพราะว่าระหว่างนี้ฉันมีงานมาก จะต้องควบคุมการก่อสร้าง ก็เลยใช้เวลาทั้งตอนเช้าและตอนกลางคืนเร่งรัดการบันทึกเพื่อจะให้จบไป เพราะว่าเรื่องราวของหลวงพ่อปานยังมีอีกมาก ถ้าจะพูดกันเท่าไรก็ไม่จบ ก็เอาพอที่เป็นสาระบ้าง เรียกว่าสาระมากบ้าง สาระน้อยบ้าง เป็นเรื่องที่คนอื่นไม่เคยคิดว่าจะเป็นบ้าง เอามาเล่าสู่กันฟัง สำหรับในคืนนี้ก็จะนำเอาเรื่องของการบรรเทาโรคระบาดมาเล่าให้บรรดาลูกหลานฟัง เรื่องราวของโรคระบาดก็คืออหิวาตกโรคนี่จัดว่าเป็นโรคสำคัญ ชาวบ้านเขาเรียกว่าโรคห่าลง เพราะว่าตายกันเป็นตับจนพระเบื่อการบังสุกุล เพราะว่าตามธรรมดาพระเองแกก็กลัวตายเหมือนกัน เวลาที่ไปบังสุกุลกลับมาปรากฏว่าพระกลัวผีกันหลายราย หวาดหวั่นต่อความตาย ถ้าหากว่าโรคระบาดมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร ตอนก่อนที่โรคระบาดจะเกิด หลวงพ่อปานก็มักจะสั่งพระว่า เวลาพระไปบิณฑบาตให้บอกชาวบ้านทุกบ้านทำขนมจีน แล้วก็มัดข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มที่เขาใส่ในข้าวด้วยกล้วยทำเป็นลูกเล็กๆ ห่อด้วยใบลำเจียก มัดเป็นพวงๆ ทั้ง ๒ อย่างนี้ให้ไปไว้ที่หลังบ้าน แล้วนอกจากนั้นค่อยปั้นรูปคน รูปวัว ควาย ถ้ามีวัวมีควายก็ปั้นวัวควายไว้ด้วยตามจำนวนของบ้านนั้น ให้ไปวางไว้หลังบ้าน คนทุกคนให้เอาผ้าเล็กๆ สีแดงทำเป็นผ้านุ่ง ปั้นเป็นตุ๊กตาเล็กๆ ใส่กระจาด พร้อมด้วยข้าวต้มลูกโยนและขนมจีนไปไว้ด้วยกัน แล้วท่านก็สั่งให้บูชาเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ให้เว้นจากการลงโทษ นี่ทำกันมาเป็นประเพณี ปรากฏว่าก่อนโรคระบาดจะเกิดประมาณสัก ๗ วัน ทุกครั้งหลวงพ่อปานจะต้องสั่งแบบนั้น แล้วคำสั่งของท่านรู้สึกว่าได้ผล ชาวบ้านทุกบ้านทำตามทุกคน ในเมื่อทำแล้วไม่ช้าก็ปรากฏว่าโรคระบาดคืออหิวาตกโรค เกิดขึ้นในตำบลใกล้เคียง แล้วก็ตายกันอย่างขนาดหนัก แต่ว่าตำบลที่หลวงพ่อปานสั่งให้ทำแบบนั้นไม่มีใครตาย และไม่เกิดโรคระบาดแบบนั้นเลย นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง ฉันเองก็ไม่เคยถามท่าน ไม่เคยถามว่าวิธีแบบนั้นทำกันอย่างไร หลวงพ่อปานท่านทำอย่างนั้นเพื่อความประสงค์อะไร แต่ว่าเรื่องความประสงค์เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวคือ ไม่ให้ชาวบ้านแถวนั้นเป็นโรคระบาด แต่ทว่าท่านจะตกลงกับใคร ใครสั่งให้ท่านทำแบบนั้น อันนี้ไม่รู้เหมือนกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่รู้นะ แล้วก็พระส่วนใหญ่ คือว่าพระเราธรรมดาๆนี่น่ะ ไม่เคยมีใครทำกัน นอกจากหลวงพ่อเนียม ที่เคยได้ยินข่าวเป็นแต่เพียงบอกว่า ไอ้พวกโรคห่ามันจะมากินชาวบ้าน ท่านไม่ยอมให้มันกิน นี่มีเท่านั้น แต่ทว่าองค์อื่นท่านจะทำบ้างหรือเปล่า อันนี้ฉันไม่รู้ องค์อื่นท่านมีความรู้ความสามารถอาจจะมี


    คราวนี้ในปีต่อมาคือว่าปี พ.ศ. ๒๔๘๑ นั้น ปรากฏว่าโรคระบาดเกิดมากในตำบลใกล้เคียง คือ ที่ตำบลขนมจีน ใกล้ๆกับตำบลบางนมโค ขนาดที่เรียกว่าพระนอนรวมกุฏิกัน คนมานำเอาลูกหีบคือว่าหีบศพจากวัดไปใส่ศพทุกวัน มีศพมาฝังที่วัดทุกวัน โรคเกิดแบบนั้นประมาณ ๑ เดือน ปรากฏว่าคนในเขตนั้นตายเป็นจำนวนร้อย พระหนาว สุนัขเห่าหอนตลอดวันตลอดคืน แต่ว่าในตำบลบางนมโคที่หลวงพ่อปานอยู่ไม่มีใครเป็นโรคระบาดแบบนั้น ต่อมาเมื่อโรคระบาดหายไปประมาณสัก ๒ เดือน ก็เกิดมีคนแห่กันมาที่วัดบางนมโค มาหลายจังหวัด ทางจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดใกล้เคียงพากันมามาก มาขนาดที่เรียกว่าเกินกว่าการจัดงานวัดใหญ่ๆ จะมีคนขนาดนั้นได้ เมื่อต่างคนต่างมา ก็ถามว่าโบสถ์อยู่ที่ไหน ก็ชี้ให้เขาดูโบสถ์ ถามเขาว่ามาทำไมกัน เพราะว่าคนไหนเขามาหาหลวงพ่อละก็ ฉันออกปะทะหน้าก่อน เขาก็ถามว่าหลวงพ่อปานน่ะ ท่านจับเอาตัวผีห่าไปขังไว้ในโบสถ์จริงไหม ฉันก็ตกใจ ฉันไม่เคยได้ยินเลยนี่ว่าหลวงพ่อปานทำอย่างนั้น ฉันอยู่กับหลวงพ่อก็ไม่เห็นหลวงพ่อท่านบอก ก็เลยบอกกับเขาว่า เอ ฉันไม่รู้นา เรื่องผีห่าผีอะไรนี่ฉันไม่รู้ เขาถามว่าโบสถ์อยู่ที่ไหน ก็ชี้ให้เขาดูโบสถ์ ความจริงก็โบสถ์มันอยู่ใกล้ๆ วัดบ้านนอก บริเวณแคบๆมองเห็นโบสถ์ไม่ยาก เขาก็พากันไปดูในโบสถ์ แล้วไม่พบผีห่า ต่างคนต่างก็มาหาหลวงพ่อปาน โดยปกติหลังจากเที่ยงแล้ว ท่านฉันข้าวแล้วท่านรับแขก ตอนในเพลนั้นท่านพักผ่อน เวลาในเพลนอกจากธุระสำคัญจริงๆ หรือบุคคลที่ท่านสั่งให้พบเท่านั้น ที่ท่านจะยอมให้พบหรือรับแขก นอกจากนั้นท่านก็รับประมาณบ่ายโมง เวลาประมาณบ่ายโมงหลวงพ่อลงมารับแขก ปรากฏว่าคนเต็มวัด ไม่ใช่เต็มหน้ากุฏินะ เต็มวัด ท่านก็ถามฉันว่าคนเขามาทำไมกัน ก็เลยบอกว่า ไม่ทราบเหมือนกันครับ เขาถามกระผมว่าหลวงพ่อจับผีห่าไว้ในโบสถ์หรือไง ลือกันว่าอย่างนั้น ท่านเลยถามชาวบ้านว่ามายังไงกันนี่ เขาก็ตอบว่ามีคนเขาลือกันว่าหลวงพ่อจับผีห่าไว้ในโบสถ์ คนในตำบลบางนมโคจึงไม่เป็นโรคระบาด หลวงพ่อหัวเราะชอบใจใหญ่บอกว่า ฉันน่ะไม่มีความสามารถไปจับผีห่าหรอกนะ ท่านว่ายังงั้น ผีห่าเท่านั้นละที่มีอำนาจจะมาจับฉันกิน นี่ใครเขาไปพูดที่ไหนล่ะ ฉันไม่มีความสามารถอย่างนั้น แต่เอาเถอะไหนๆ ก็มาแล้วนี่ หลวงพ่อจะแจกด้ายผูกข้อมือไปให้ ทีหลังถ้าใครเขาเป็นโรคผีห่าหรือปรากฏว่าโรคผีห่าเกิดขึ้นที่ไหน ก็ให้ทำขนมจีน แล้วก็ข้าวต้มลูกโยนเอาไปวางไว้หลังบ้าน คนในบ้านมีกี่คนก็ให้ปั้นตุ๊กตาเป็นคนจำนวนเท่านั้น แล้วก็นุ่งผ้าแดง ควายมีเท่าไหร่ วัวมีเท่าไหร่ก็ปั้นตามจำนวน สุนัขมีกี่ตัว ปั้นรูปสุนัขตามจำนวน เอาไปไว้หลังบ้าน แล้วก็บูชาเจ้ากรรมนายเวร เท่านี้ผีห่าจะอภัยโทษให้ นี่ฉันก็ฟังไว้เท่านั้น ไม่ทราบว่าจะมีผลเป็นประการใด แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ก็คือ อหิวาตกโรคในสมัยที่หลวงพ่อปานมีชีวิตอยู่ คนในตำบลบางนมโคไม่เคยเป็นโรคนี้เลย แล้วเมื่อคนมาก็ไม่มาวันเดียวซี มากันหลายวัน หลายจังหวัด หรือแม้ในจังหวัดเดียว ต่างคนต่างมา ใครทราบข่าวคนนั้นก็อยากจะดูว่ารูปร่างผีห่ามันเป็นยังไง เมื่อคนมามาก ภาระหนักมันก็ตกอยู่กับฉัน เพราะอะไร เพราะว่าฉันก็ต้องเป็นพ่อครัว เป็นคนสั่งอาหารมาเลี้ยงชาวบ้าน แต่อย่าลืมนะ เขามากันเท่าไรก็ตามหลวงพ่อเลี้ยงยันหมด ข้าวสุกหุงด้วยกระทะกันทีละ ๘ กระทะเชียวนะ ตั้งพร้อมๆกัน ๘ กระทะ ไปหาพ่อครัวมา คนหุงข้าวประจำมี ในเมื่อหาชาวบ้านไม่ได้ก็ใช้พระ พระทุกองค์ที่วัดบางนมโคสมัยนั้นต้องคล่องในการหุงข้าวกระทะ แล้วก็ทำกับข้าว เรื่องกับข้าวอย่างอื่นไม่สำคัญ กับข้าวที่สำคัญที่สุดก็คือหัวตาลต้มปลาร้า แล้วก็แกงคั่วส้มผักบุ้ง ๒ อย่างนี่ต้องมี ถ้าไม่มีฉันก็ต้องรีบไปหา ถ้าบังเอิญในฤดูนั้นมันไม่มีหัวตาลก็ไม่เป็นไร ไปตำบลรางจรเข้ ไปเอาผักบุ้งมา ที่นั่นเขาปลูกต้นผักบุ้งเลี้ยงกันไว้สำหรับขาย ฉันก็ไปขนผักบุ้งมาจากที่นั่น แล้วก็มาแกงคั่วส้มผักบุ้ง ในเมื่อแกงคั่วส้มผักบุ้งมี หัวตาลไม่มีจะต้มปลาร้าก็ไม่เป็นไร นอกนั้นก็ทำกับข้าวอย่างอื่นเท่าที่จะพึงทำได้เลี้ยงกัน เลี้ยงกันตามยถากรรม คนมากนี่ แกงหม้อใหญ่ ก็จะกินดีกันยังไง สำหรับขนม ขั้นแรกก็ต้องไปซื้อเม็ดแมงลักมาให้มาก แล้วก็ซื้อน้ำตาลสีรำมาสำหรับละลาย ต่อมาต้องหาข้าวตอกเข้ามาไว้แล้วก็ทำน้ำกะทิ นี่เป็นขนมของท่านเวลาออกมาตรวจอาหารท่านจะถามว่า หัวตาลต้มปลาร้ามีไหม แกงคั่วส้มผักบุ้งมีไหม ข้าวตอกน้ำกะทิมีหรือเปล่า เม็ดแมงลักละลายน้ำแล้วก็ใส่น้ำตาลมีหรือเปล่า นี่เป็นอาหารที่ท่านโปรดในการเลี้ยง ฉันรู้ใจท่านฉันก็จัดหามาให้ แต่ว่าฤดูนั้นที่เขามาปรากฏว่าไม่มีหัวตาลจะขาย ไม่ใช่ฤดูนั้น ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร แล้วก็ถามว่าแกทำอะไรแทน บอกว่ากระผมก็ใช้ต้มจืดขอรับหลวงพ่อ ไปหาฟักหาแฟงมาจากตลาดบ้านแพน ได้เท่าไรเอามาเท่านั้น ขนกันหมดตลาด เอาหมูมา มันทำง่าย มันทันกับคนกินขอรับ คนมาก ท่านก็บอกว่าใช้ได้ เป็นอันว่าเรื่องนี้ผ่านไป แต่ทว่าก็ยังไม่ผ่านทีเดียวนะ กว่าการลือเรื่องผีห่ามันจะสิ้นไปมันก็เกือบจะเดือน พระทั้งวัดต้องวุ่นวายในการทำอาหาร ชาวบ้านที่มีเวลาว่างก็มาช่วยกันทำกับข้าว เวลาเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏว่าหลวงพ่อปานได้ผลประโยชน์หลายหมื่นบาท ชาวบ้านที่เขามาน่ะ เขาพอใจท่านในการเลี้ยงดู แล้วก็ชอบใจที่หลวงพ่อให้ด้ายผูกข้อมือ เพราะด้ายประเภทนี้มันกันโรคผีห่าได้ แล้วเขาก็ทำบุญกับท่าน เวลาเขาให้ ท่านไม่ได้ตั้งราคานะ แจกเลย ที่บ้านมีกี่คน คนที่มาน่ะเป็นพ่อบ้านแม่บ้าน แล้วคนที่บ้านทั้งหมดมีกี่คน แจกด้ายผูกข้อมือทุกคน ผู้หญิงให้ผูกข้างซ้ายผู้ชายให้ผูกข้างขวา แล้วสิ่งที่สั่งก็คือ ๑ ขนมจีน แล้วก็ข้าวต้มลูกโยน ปั้นคนตามจำนวนที่บ้าน ปั้นรูปสัตว์ที่บ้านที่มีอยู่ เอาไว้หลังบ้าน บูชาเจ้ากรรมนายเวร รูปคนให้นุ่งผ้าแดง แล้วชาวบ้านที่เขารับฟัง เขารับไปปฏิบัติ จะมีผลเป็นประการใดนี่ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ได้ไปสืบผล เรื่องนี้ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก โรคระบาดเขาเกิดขึ้น ท่านทำแบบนี้ ก็ปรากฏว่าในเขตของท่านไม่เกิดโรคระบาด จะว่าไม่มีผลก็รู้สึกว่ากระไรอยู่ เรื่องนี้ขอผ่านไป
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานกับขรัวอีโต้

    ตอนนี้เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด ขอเล่าถึงเรื่องของหลวงพ่อปานกับอีกคนหนึ่ง คนนี้เป็นฆราวาส ชาวบ้านเรียกกันว่าขรัวอีโต้ ที่เรียกว่าขรัวอีโต้ก็เรียกตามหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานท่านเรียกตาคนนี้ว่าขรัวอีโต้ คือเป็นคนแก่ คนอายุไล่เลี่ยกับหลวงพ่อปาน มีอีโต้เป็นอาวุธประจำตัว จะไปไหนก็ตามแกจะต้องมีอีโต้ของแกติดตัวไว้เสมอ วันหนึ่งเวลาบ่ายประมาณ ๕ โมงเย็น อันนี้ฉันใช้ศัพท์วัด ๑๗ นาฬิกาอะไรนี่ ตามปกติเวลานี้ฉันไม่ค่อยได้เรียกกัน ก็ยังเรียกโมง ๆ กันอยู่อย่างนั้นแหละ โมงก็โมงกัน ทุ่มก็ทุ่มกัน เอาแบบภาษาชาวบ้านมันเข้าใจดี ฉันน่ะเข้าใจละ แต่เด็ก ๆ เข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลูกหลานสมัยใหม่บางทีจะไม่เข้าใจ เพราะอาจจะไม่ค่อยได้ยิน เขาจะนับ ๑๐ นาฬิกา ๑๑ นาฬิกา ๒๐ นาฬิกา ๓๐ เอ๊ะไม่มี มีถึง ๒๔ นาฬิกา ก็ตามใจ ถ้าไม่เคยได้ยินก็ได้ยินไว้บ้าง เพราะฉันเป็นคนแก่แล้ว จะได้รู้ภาษาคนแก่ไว้บ้างว่าคนแก่น่ะเขาพูดกันยังไง เขาเรียกทุ่มยามกันนี่นะ ว่าเป็นกี่โมงหรือกี่นาฬิกา สมัยนั้นไม่นับนาฬิกา นับโมงนับทุ่ม เรื่องโมงนี้ก็ได้ทราบกันมาว่าสมัยก่อนเวลากลางวันเขาใช้ตีฆ้องแทนบอกเวลา นาฬิกาเคลื่อนไปว่ากี่โมงมันเสียงโหม่ง ๆ กลางวันจึงได้เรียกว่าโมง เวลากลางคืนเขาตีกลองแทน มันดังตุ้ม ๆ จึงได้เรียกว่าทุ่ม ๆ นี่เป็นยังงั้นนะ โมงหรือทุ่มน่ะเขาบอกว่ามันมายังงี้


    นี้ก็มาเล่ากันถึงเรื่องขรัว ขรัวอีโต้นี้ที่อยู่จริงจังฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน มีพวกมอญจังหวัดปทุม เคยไปรักษาตัวที่วัดบางนมโค บอกว่าเคยพบขรัวอีโต้อยู่ที่ภูเขาสาริกา ในเขตจังหวัดนครสวรรค์ เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าเคยพบอยู่ที่นั่นเวลาเขาไม่สบาย เขามาขายของแถวจังหวัดนครสวรรค์ เขาก็ไปหาขรัวอีโต้ที่เขาสาริกา เขาว่ายังงั้นนะ แต่ฉันเองน่ะไม่รู้แน่นอนว่าแกอยู่ไหน ขรัวอีโต้นี่ปฏิปทาแปลก ประเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง คือว่าตอน ๕ โมงเย็นวันหนึ่ง หลวงพ่อปานท่านเคยขึ้นที่ของท่านประมาณ ๕ โมงเย็น ท่านก็เรียกฉัน ถ้าฉันไม่อยู่ท่านก็เรียกพระให้มารับท่าน ขนของขึ้นไปบนกุฏิ แล้วท่านก็เลยไปนอนที่ป่าช้า เวลาประมาณเกือบ ๆ จะ ๒ ทุ่ม ท่านก็กลับ ตอนกลับนี้ ท่านก็เอานมบ้าง น้ำร้อนบ้าง น้ำตาลบ้าง มาเลี้ยงพระ ตอนเลี้ยงพระก็ถือโอกาสสั่งสอนพระไปในตัวเสร็จ แล้วก็คุยเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน เข้าฌานสมาบัติของท่านว่าท่านไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ไปพบอะไรบ้าง ใครทำความดี ใครทำความชั่วอะไรที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระที่นั่งอยู่นั่นแหละ ท่านก็ชี้เอาในขั้นปัจจุบัน ว่าในวันนี้ทำดียังไง ทำชั่วยังไง มันมีผลเป็นประการใด สำนักพญายมเขาจดว่ายังไง สำนักของทางสวรรค์เขาจดว่าไง ใครทำความดีมีวิมานที่ไหน มีวิมานสวยสดงดงามเป็นประการใด วิมานบอกลักษณะของจิตใจว่ามีอารมณ์เป็นบุญ หรือมีอารมณ์เป็นบาปเป็นประการใด นี่ท่านนำคุยตอนนั้น ทำให้พวกพระมีจิตฟูสำหรับพวกที่มีความดี แต่คนที่มีความชั่วก็มีอารมณ์หดหู่ลงไปมาก ก็แสดงว่าเป็นการป้องกันพระของท่านลงนรกได้ดี เพราะการที่ท่านพูดอย่างนี้แหละ พวกฉันถึงมีอารมณ์ฟู ก็คิดกันอย่างเดียวว่าจะทำกรรมฐานกันให้เต็มอัตราศึก แต่ว่าวันนั้น วันที่ขรัวอีโต้มาท่านไม่ยักขึ้น ๕ โมงเย็นเศษแล้วท่านก็นั่งเฉย พวกฉันก็คอยดูว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะเรียก ก็นั่งกันอยู่ไม่ไกล คอยท่าน นี่มันได้เวลานานแล้ว จะให้ท่านเรียกตะโกนโวย ๆ ก็รู้สึกว่าท่าไม่ค่อยดี เมื่อถึงเวลาประมาณ ๕ โมงเย็นเศษ ๆ ก็เห็นเรือลำหนึ่งเป็นเรือสำปั้นพายมีประทุนครอบ ผ่านมาทางหน้าวัด พอจะเลยเขตวัดก็ปรากฏว่าเรือลำนั้นประทุนไฟไหม้ลุกขึ้น ไฟลุก เจ้าของพายมาคนเดียวโดดน้ำ ว่ายน้ำขึ้นมาบนวัด เรือแพของแกไม่สนใจ แกปล่อยลอยไปตามยถากรรม ในที่สุดชาวบ้านแถวนั้นก็เก็บเอามาไว้ที่หน้าวัด ช่วยกันดับไฟในเรือ แล้วก็เอาเรือมาจอด แต่ว่าสำหรับเจ้าของน่ะไม่สนใจกับเรือ ฉันเห็นเรือไฟลุก ไฟไหม้ ฉันก็วิ่งลงไปดู แปลกใจว่าใครหนอ เรืออะไรอยู่ดี ๆ ก็ไฟไหม้หลังคา ก็พอดีพบขรัวอีโต้ว่ายน้ำขึ้นมาพอดี พอขึ้นมาบนตลิ่ง แทนที่แกจะทำท่านอบน้อมหรือว่ามีอาการนอบน้อมเหมือนชาวบ้านชาวเมืองธรรมดา แกก็เดินท่าทางองอาจเหมือนนักเลงโตมาถามว่า นี่ท่านปานอยู่หรือเปล่า คนที่ยืนอยู่กับฉันตั้ง ๔๐ คนเศษ ทั้งพระบ้าง ไม่ใช่พระบ้าง ทุกคนพอได้ยินเสียงแบบนี้รู้สึกไม่พอใจ ทุกคนหน้าเครียดเหมือนกันหมด เพราะว่าไม่มีใครเลยที่จะมาเรียกหลวงพ่อปานว่าท่านปาน มีแต่เขาเรียกกันว่าท่านใหญ่ ปกติคนแถวนั้นเรียกกันว่าท่านใหญ่ สำหรับหลวงพ่อเล็กเป็นพระรองลงมาเขาเรียกว่าหลวงพ่อเล็ก แต่หลวงพ่อปานนี่เขาเรียกว่าท่านใหญ่ เป็นยังงั้น ถ้าใช้คำว่าท่านหรือท่านใหญ่ก็เป็นอันว่ารู้กัน ตีความหมายว่าเขาพูดถึงหลวงพ่อปาน แต่ว่าขรัวอีโต้แกมาใช้วาจาว่าท่านปานอยู่ไหม พวกเราถึงแม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม ก็พูดกับแกดี ๆ บอกว่าหลวงพ่อกำลังนั่งอยู่ที่รับแขก โยมต้องการอะไร แกก็บอกว่าเดี๋ยวต้องไปถามเขาสักหน่อย ว่าทำไมไอ้เรือของข้าน่ะมาหน้าวัดเขาทำไมไฟจึงไหม้ เอ๊ะ นี่มันก็แปลกเหมือนกัน พวกเราก็พากันยิ้ม นึกว่าอีตาคนนี้ไม่บ้ามากก็คงเลยบ้านิด ๆ เรียกว่าถ้าไม่พอดีบ้า ก็เลยบ้านิด ๆ เรือของแกแกพายของแกมาเอง แล้วก็ไฟไหม้หลังคาเรือของแก แกจะไปถามคนบนบกว่าทำไมไฟจึงไหม้เรือแก ก็นึกในใจว่าอีตานี่แกชอบกล แล้วแกก็เดินผ่านมา มุ่งหน้ามาหาหลวงพ่อปาน ฉันกับคนทุกคนก็ตามแกมาชักไม่ไว้ใจ แกถืออีโต้มาด้วย ไอ้เจ้าลิงเล็กนี่ตามปกติเวลาเป็นฆราวาสนี่มันคล่องเหลือเกินเรื่องการตีกันละมันออกหน้า ถ้ามันออกหน้าฉันอยู่หลังรับรองว่าเรื่องอาวุธไม่โดนแน่ ถ้าเขาใช้หอกก็ตาม ใช้มีดใช้ไม้ก็ตาม มันมีปืนพกของมัน ตีมีดตีไม้ตีหอกกระเด็นหมด ไอ้เจ้านี่ไวมาก เก่งมาก ไอ้เจ้านี่มันสะกดรอยสะกดหลังขรัวอีโต้มาเลย เขาบอกว่าวันนี้ถ้าไม่ดีกูล็อคคอแน่ ไอ้แก่ ๆ แบบนี้ไม่ถึงครึ่งนาทีหรอก ตาตั้ง เขาว่าอย่างนั้น


    เมื่อมาถึงหลวงพ่อปานแล้ว อีตานั่นก็พูดเอะอะโวยวายมาตลอดทาง แกไม่เดินมาเฉย ๆ พอมาถึงแล้วก็เอาอีโต้ชี้หน้าพูดว่า หนอยแน่ นักเลงโต แกล้งกันได้นี่หว่า หลวงพ่อปานก็ยกมือป้องหน้าถามว่าใคร แกก็บอกว่าข้าเองแหละวะ พวกเราก็ไม่พอใจมากเหมือนกัน หลวงพ่อปานป้องหน้าพอเห็นเข้าร้องว่า อ้อ นึกว่าใคร ขรัวอีโต้หรอกรึ นี่พวกคุณปล่อยเขาเถอะ คนนี้ไม่ใช่บ้าหรอก แกล้งบ้า ไอ้คนบ้าจริง ๆ น่ะมันบ้าไม่มาก ไอ้คนบ้าไม่จริงนี่อาการบ้ามันมากกว่าคนบ้าปกติ แกหัวเราะกั้ก ๆ อีตาขรัวอีโต้น่ะ พอหลวงพ่อปานว่าเท่านั้นหัวเราะกั้ก ๆ แกเลยบอกว่า นี่พวกพระของท่านนี่สำคัญนะ ผมรู้นะว่าตามมาจะมาล็อคคอผม นี่เขายังไม่รู้ฤทธิ์ขรัวอีโต้นะ ประเดี๋ยวจะแสดงฤทธิ์ให้ดู แล้วแกก็วางมีดลง นั่งลงกราบหลวงพ่อปาน ในฐานะที่หลวงพ่อปานเป็นพระ พอแกกราบลงไปแล้ว หลวงพ่อปานก็ประกาศว่า ขรัวอีโต้ไม่ใช่ใครหรอก เพื่อนฉันเอง เขาเก่งนะคนนี้ เก่งกสิณมาก ได้อภิญญาเหมือนกัน แต่ทว่าเป็นฆราวาส ถึงแม้ว่าเขาเป็นฆราวาสก็ตามเถอะ แต่จิตของเขาดี ใช้ได้ เรื่องความดีนี่ไม่ใช่จะเอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อกันเฉย ๆ คนที่เอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อตัว โกนหัว โกนคิ้ว แต่ไม่ทำความดีก็เลวกว่าฆราวาสที่เขามีดีเสียอีก นี่ท่านว่าให้ฟังแบบนี้ แล้วตาขรัวอีโต้ก็คุยโอ่อยู่พักหนึ่ง อวดเดชอวดศักดาด้วยประการทั้งปวง เมื่อคุยกันอยู่พักแล้วก็บอกว่า นี่ท่าน พระพวกนี้ท่านไม่รู้จักผม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวผมจะแสดงฤทธิ์ให้ดูสักอย่าง จะให้อีโต้ว่ายน้ำ แกว่าอย่างนั้น จะให้อีโต้ว่ายน้ำให้ดู แกก็ลุกขึ้นแล้วก็เดินไปที่ท่าน้ำ พวกเราก็ตามกันไปหมด แกก็เหวี่ยงอีโต้ไปกลางแม่น้ำ ปุ๋ม มีดอีโต้มันก็จมหายไป อีโต้น่ะมันก็มีดเหล็กธรรมดา แถมด้ามก็เป็นด้ามเหล็กอีกด้วย ไอ้เหล็กม้วน ๆ ที่เขาเรียกว่าบ้อง พอมีดจมลงไปแล้วสักครู่หนึ่งแกก็ตบมือเรียกว่าอีโต้จงขึ้นมาหาข้า ๆ ขี้เกียจไปงมหาเอ็ง เท่านั้นแหละมีดโต้มันก็โผล่ผลุงมาตรงที่มันจมลงไป โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำแล้วก็วิ่งจู๊ดคล้ายกับเรือเร็ว แกเอามือรอไว้ใกล้น้ำเจ้าด้ามก็เข้ามาถึงมือพอดี แกบอกว่านี่มันเป็นฤทธิ์หนึ่งนะ ฤทธิ์ใหญ่ ๆ มียิ่งกว่านี้แต่ฉันไม่แสดง บอกว่าจะเป็นการแสดงอวดเจ้าของถิ่น แกพูดแล้วก็หันหน้ามาดูไอ้ ๒ ลิง คือว่าไอ้ลิงขาวกับลิงเล็ก เพราะเจ้านั่นเขาได้อภิญญา เจ้าสองคนมองหน้ากันแล้วก็ยิ้ม แล้วแกก็บอกว่าคุณ ๆ ทั้ง ๒ องค์นี่ได้อภิญญาก็จริงนะ แต่ว่ายังเป็นอภิญญาใหม่ ต้องเล่นให้คล่อง เจ้า ๒ คนนั่นตกใจ ว่าแกมาประเดี๋ยวเดียว แกรู้ได้อย่างไร ก็เลยสะกิดกันบอกว่าอย่าไปพูดเลย อย่าไปสงสัยนะ แกเป็นเพื่อนของหลวงพ่อนะ เข้าใจว่าอย่างดีที่สุดแกก็มีดีคล้ายคลึงหลวงพ่อ สำหรับหลวงพ่อนี่เราไม่มีอะไรจะหลบท่านเลยนะ เรื่องการปกปิดความชั่วหรือความดีนี่เราไม่มีทางจะปกปิดท่านได้เลย ก็ขรัวอีโต้นี่เป็นเพื่อนของหลวงพ่อ ขนาดหลวงพ่อให้อภัยแล้วก็ต้องดี ถ้าไม่ดีแล้วหลวงพ่อไม่ให้อภัย ต่อมาแกก็กลับคุยกับหลวงพ่อ ตอนกลางคืนแกไปนอนห้องเดียวกับหลวงพ่อ ฉันก็นอนอยู่ใกล้ ๆ แก ตอนก่อนค่ำเรียกว่าตอนค่ำใหม่ ๆ แกมีลอบเล็ก ๆ ของแกอยู่ลูกหนึ่ง แกเอาขึ้นไปไว้บนยอดไม้หลังกุฏิหลวงพ่อปาน ถามแกว่าเอาขึ้นไปไว้ทำไม แกบอกว่าดักเงิน ดักแบ๊งค์ ตอนเช้าตรู่แกก็ขึ้นไปเอา ปรากฏว่าได้ธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ใหม่เอี่ยมอยู่ใบหนึ่ง แกทำอย่างนี้อยู่ ๒ วัน พอถึงวันที่ ๓ ฉันก็สงสัย ๆ ว่าธนบัตรใบละ ๑๐ บาท นี่มันจะมาจริง ๆ หรือแกย่องเอาไปใส่ไว้ ฉัน ๓ องค์ด้วยกันผลัดกันอยู่ยาม คราวนี้จะสอบให้ได้ว่าแกเรียกเงินได้จริง ๆ หรือว่าแกโกหก ถ้าเรียกเงินได้จริง ๆ ก็เป็นของอัศจรรย์ ก็ผลัดกันอยู่ยามเฝ้ายามว่าเวลาที่แกเอาลอบไปไว้นี่แกเอาธนบัตรใส่ไปรึเปล่า สังเกตว่าเวลาที่แกเอาลอบไปไว้แกไม่ได้ใส่ธนบัตร เป็นลอบเปล่า ๆ เวลาเช้ามืดเป็นยามของฉัน ๆ อยู่ยามตอนเช้ามืด ก่อนที่แกจะมากู้ลอบของแก ฉันก็ย่องขึ้นไปก่อนไปจับเอาลอบลงมาดูมีธนบัตรใบละ ๑๐ บาทใหม่เอี่ยมมีอยู่จริง ๆ แล้วฉันก็นำมาเก็บไว้ สักครู่หนึ่งแกก็มาดูลอบของแก เอาลอบลงปรากฏว่าไม่พบธนบัตร เสียงแกด่าพ่อล่อแม่ขรมไปหมด หลวงพ่อปานเปิดหน้าต่างออกมาถามว่าอะไร แกบอกว่าพระของท่านขโมยสตางค์ผม หลวงพ่อปานก็ถามว่าใครขโมยไป รับปากท่านว่ากระผมเองขอรับ หลวงพ่อถามว่าขโมยของเขาทำไม ก็เลยบอกว่าไม่ได้ขโมย บอกว่าอยากพิสูจน์ดูว่าขรัวอีโต้น่ะดักเงินได้จริง ๆ หรือเปล่า แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่าผลพิสูจน์เป็นประการใด ก็กราบเรียนกับท่านว่า เวลาที่ขรัวอีโต้เอาลอบไปไว้กระผมก็ขึ้นไปดูไม่มีเงิน แล้วเมื่อคืนนี้ผลัดกันอยู่ยาม ๓ องค์ก็ไม่เห็นว่าขรัวอีโต้เอาสตางค์ไปไว้เวลาไหน นี้ตอนเช้าตรู่ขึ้นไปดูก็ปรากฏว่าพบธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ที่เอาลงมานี้ไม่ได้ตั้งใจขโมย อยากจะลองพิสูจน์ดูว่าถ้าแกแน่ใจว่าลอบของแกดักเงินได้จริง ๆ แกก็จะต้องเอะอะโวยวาย แต่ถ้าหากว่าแกไม่แน่ใจแกก็จะเฉยเสีย นี่ขรัวอีโต้เอะอะโวยวายด่าแบบนี้ แสดงว่าการดักเงินเป็นผลจริง หลวงพ่อปานก็หัวเราะ หันมาบอกขรัวอีโต้ว่านี่เขาลองพิสูจน์ความดีของเราน่ะ เราจะเอะอะโวยวายไปยังไง แล้วแกก็เลยบอกว่าในเมื่อเขาคิดอย่างนั้นก็ต้องทำอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเขาจะหาว่าไม่ดีจริง นี่เป็นเรื่องราวของขรัวอีโต้นะตอนดักเงิน วันรุ่งขึ้นตอนค่ำ หลวงพ่อปานเรียกฉันเข้าไปบอก เออ คุณ นี่ขรัวอีโต้เขามาอยู่กับเรา เขาหาเงินของเขาได้วันละ ๑๐ บาท แล้วเขาก็เอาเงินของเขานี่ไปซื้อกับข้าว ซื้อหมู ซื้อเนื้อ เอามาเลี้ยงพวกเราบ้าง เขากินเองบ้าง รู้สึกว่าจะอายเขานะ ความจริงเขาเป็นแขกเราน่าจะเลี้ยงเขา นี่เขามาเลี้ยงเรานี่น่าอายเขา เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พวกเรามันเป็นคนจนไม่สามารถจะดักเงินดักทองได้ คืนวันนี้เธอไปเอาเบ็ดราวนะ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อปานเอามาจากไหน เบ็ดราวที่เขาเอาเชือกผูกแล้วเอาเบ็ดผูกเป็นระยะ ๆ ที่เขาดักปลาน่ะ ท่านบอกว่าในห้องมีเบ็ดราวอยู่ราวหนึ่ง เธอเอาไปขึงจากยอดต้นจามจุรีต้นนี้นะ แล้วเอาไปผูกไว้ที่ยอดต้นหางนกยูงต้นโน้น เราจะดักปลาในอากาศเอามาเลี้ยงขรัวอีโต้บ้าง ถามขรัวอีโต้บอกอยากกินปลาอะไร ขรัวอีโต้ก็บอกไอ้เรื่องปลานี่มันอยากทุกปลา แต่ว่าสิ่งที่ชอบที่สุดมันมีอยู่ ๒ อย่างคือว่าหัวกับพุง อยากจะได้ไอ้ปลาช่อนหรือปลาชะโดนะไอ้ที่มันพุงใหญ่ ๆ มีไข่เต็มอก ไข่เม็ดใหญ่ ๆ ไข่ฝักใหญ่ ๆ ชอบกินพุงกับไข่ต้มยำ หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่าได้ พวกเรานี่ต้องหาปลาเลี้ยงเขานะ ก็ชักสงสัยถามว่าหลวงพ่อขอรับพระลงเบ็ดหาปลาได้รึขอรับ ท่านบอกว่า ถ้าปลาอยู่ในน้ำ ปลาอยู่ในหนอง ปลาอยู่ในคลอง ปลาอยู่ในบึง อย่างนี้ถ้าเรานำมาเป็นโทษในทางปาณาติบาต แต่ว่านี่เราลงเบ็ดบนอากาศนี่ ถ้าปลาบินขึ้นมากินเบ็ดของเราเอง อย่างนี้เราถือว่าปลาตัวนั้นถึงที่ตาย เราไม่บาป หรือมิฉะนั้นก็เทวดาบันดาลให้ปลาตัวที่ถึงที่ตายมาติดเบ็ดของเรา ท่านว่าอย่างนั้น ตอนพูดตอนนี้ไม่ใช่พูดกับฉันคนเดียวนะ พระทั้งวัดกำลังมารวมกันอยู่หน้ากุฏิ หลวงพ่อปานพูดแบบนี้แล้วก็สั่งให้ฉันไปหยิบเบ็ดราว ฉันก็ไปหยิบเบ็ดราวมาแล้วไปขึงตามท่านว่า พอถึงเวลาเช้า เวลาเช้าตรู่พอแสงทองขึ้น ท่านก็เรียกฉันว่า ลิงดำเอ๊ย ไปปลดปลาซีลูก ประเดี๋ยวจะได้ต้มยำเลี้ยงขรัวอีโต้เขา พระทุกองค์ที่ได้ฟังต่างคนต่างวิ่งไปดูที่เบ็ด ปรากฏว่ามีปลาชะโดบ้าง ปลาช่อนบ้าง ตัวขนาดใหญ่ ถ้าทำเป็นริ้วก็เห็นจะถึง ๗-๘ ริ้ว สัก ๑๐ ตัว ติดห้อยแขวนต่องแต่งอยู่ รู้สึกว่าปลาขณะไปเห็นยังจะมีชีวิตอยู่ แต่ว่าพอปล่อยเบ็ดลงมาแล้ว พอปล่อยหางเชือกลงมา พอลงมาถึงดินก็ปรากฏว่าปลาทั้งหมดตาย เป็นปลาตายสด แล้วก็เอามาต้มกินกันเอร็ดอร่อยเหมือนปลาธรรมดา หัวกะพุง ไข่ยังงี้ เป็นที่ชอบใจของขรัวอีโต้ ในขณะที่ขรัวอีโต้อยู่นั้นหลวงพ่อปานท่านสั่งให้ลงเบ็ดทุกวัน หลวงพ่อปานเป็นคนหาปลา ขรัวอีโต้ก็เป็นคนเอาสตางค์จ่ายของอย่างอื่นเอามาผสมกับปลา จะแกงอะไรจะต้มอะไร จะผัดแบบไหนก็หาผสมด้วยเงินของแก แต่เนื้อปลา พุงปลา หัวปลา ไข่ปลาเป็นของหลวงพ่อปาน พวกพระทุกองค์ก็พลอยกินปลาสดไปตาม ๆ กัน นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ เมื่อขณะที่ขรัวอีโต้อยู่ท่านทำแบบนั้น พอขรัวอีโต้กลับไปแล้วฉันขอให้ท่านทำ ท่านไม่ทำ ไม่ทำเพราะว่าไม่มีคู่แข่งขันนี่ เรื่องนี้มันไม่ใช่ปลาจริง ท่านบอกว่าใบไม้ทั้งนั้นแหละคุณ ปลาที่มาห้อยที่เบ็ดน่ะใบไม้ ฉันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเวลาคนมาทำโบสถ์ท่านเอาใบไม้ทำปลาไว้ในสระให้คนทำโบสถ์กิน แต่นี่ของเราเอาเบ็ดราวขึ้นไปลงบนยอดไม้ จะลงหรือไม่ลง ต้องการเมื่อไรมันก็ได้เมื่อนั้น ถ้าเราคิดอยากจะกินปลาขึ้นมาจริง ๆ ก็เอาใบไม้มาอธิษฐานให้มันเป็นปลา จะเป็นปลาอะไรก็ได้ จะกินให้มีรสอร่อยยังไงก็ได้ แต่ว่าอย่าทำเลยนะ อย่าตามใจลิ้นที่มีกิเลส แต่ว่าถึงแม้ว่าท่านไม่ห้ามฉันก็ไม่ทำ เพราะฉันทำไม่ได้ ส่วนเจ้า ๒ ลิงมันทำได้ เจ้า ๒ ลิงที่มันเข้าป่ามันทำได้ พอหลวงพ่อปานพูดเท่านั้นมันก็ชวนฉันเข้าป่าช้า เข้าที่อยู่ แล้วมันก็ทำปลาแต่ละแบบ ๆ วางเป็นแถว ท่านบอกว่าเป็นของไม่ยากหรอกเป็นของง่าย ๆ มาเห็นมันเข้าก็รู้สึกอิจฉาเหมือนกัน คนบวชคราวเดียวกันมีความสามารถไม่เท่ากันนี่ แหมมันน่าอาย

    ตอนนี้มาพูดกันถึงคุณสมบัติของขรัวอีโต้อีกประการหนึ่ง เวลาคนไข้มา ถ้าคนไข้เป็นโรคปวด โรคเมื่อย เป็นแผล ฟกช้ำดำเขียวที่ไหน แกก็บอกว่าแกจะทำน้ำมนต์ให้ แล้วแกก็ให้คนไข้เอามะพร้าวมา ๑ ลูก เอาดินเหนียวมา ๑ ก้อน แกขูดมะพร้าวเสร็จแกก็เอามาขยำกับดินเหนียว ขยำไปขยำมาไอ้น้ำมันมะพร้าวมันไหลออกมามีสีเหมือนน้ำมันเคี่ยว แล้วก็มีกลิ่นหอมเหมือนน้ำมันที่เคี่ยวแล้ว แล้วก็ให้คนเอาไปทารักษาโรคหาย นี่เป็นคุณสมบัติในด้านการรักษาโรค เอาละ เป็นอันว่าเรื่องของขรัวอีโต้เพื่อนหลวงพ่อปานนี่ฉันสอบถามแล้วนะ ว่าเป็นนักกรรมฐานคนสำคัญ แล้วก็ได้กสิณ ๑๐ ได้อภิญญา แต่ทว่าก็อย่าลืมนะว่าเป็นอภิญญาโลกีย์วิสัย เรียกว่าฌานโลกีย์ มีผัวมีเมียได้ ไม่ใช่ว่านักเจริญกรรมฐานต้องเลิกจากผัวต้องเลิกจากเมีย ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเรื่องของศีลเขาไม่ขาดละก็เขาทำของเขาได้ แต่พระโสดา สกิทาคา เขายังครองเรือนได้ ยังมีลูกมีเต้าได้ แต่สำหรับพระอนาคามีเท่านั้นแหละ ถึงแม้ว่าจะอยู่บ้าน ก็อยู่อย่างไม่มีความหมาย เพราะว่าความรู้สึกทางเพศไม่มี นี่ส่วนที่เป็นฆราวาส อย่าว่าแต่ฌานโลกีย์เลย แม้แต่พวกที่ได้โลกุตตระ คือ เป็นพระอริยเจ้ายังอยู่ได้ ถึงพระอนาคามี นี่บรรดาลูกหลานทั้งหลายที่ฟังอาจจะสงสัยว่าคนที่ได้ฌานโลกีย์ ได้กสิณ ได้อภิญญาแล้วทำไมจะมามีลูกมีเมียเป็นฆราวาสอยู่ ทำไมไม่บวช เรื่องของการบวช เรื่องสมณวิสัยนี่มันคนละเรื่อง ฉันว่ามีความจำเป็นน้อย คนที่เป็นชาวบ้านจะทำความดีนี่ไม่จำเป็นต้องเป็นพระ ชาวบ้านทำความดีได้ ชาวบ้านเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ อย่าว่าแต่ฌานโลกีย์เลย ถมเถไป สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ไปเจริญพระกรรมฐานในป่าก็มีความอดอยาก บางวันท่านคิดว่าพรุ่งนี้ถ้าเราได้กินข้าวต้มสักนิดก็จะดี ก็ปรากฏว่ามีโยมผู้หญิงคนหนึ่งนำข้าวต้มมา บางวันท่านคิดว่าพรุ่งนี้มีอะไรสักหน่อยหนึ่งที่ท่านชอบใจได้กินก็จะดี โยมคนนั้นก็นำมา พระก็สงสัย ถามแก ๆ ก็ไม่ตอบ ต่อมาเมื่อกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่าคน ๆ นั้นเขาได้อนาคามีผล และก็เป็นขั้นปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย นี่จะว่าพระจะดีกว่าฆราวาสเสมอไปน่ะ ไม่แน่นักนะ นั่นพระยังเป็นโลกียชน แล้วคน ๆ นั้นเขาเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามีบุคคล พระทันเขาที่ไหน สำหรับขรัวอีโต้นี่ก็เหมือนกัน ลูกหลานฟังแล้วก็จะว่า แหม ได้ฌานขั้นนี้แล้วน่าจะบวช เรื่องบวชนี่มันไม่จำเป็นหรอกนะ ไม่มีความจำเป็นนัก หมายความว่าจะบวชกันหรือไม่บวชไม่สำคัญ คนที่บวชตัวแล้วไม่บวชใจนี่ซิ ระยำมาก ระยำกว่าคนที่เขาไม่บวชตัวแล้วใจเขาก็ไม่บวช เพราะเขาเป็นฆราวาสทั้ง ๒ อย่าง แต่ว่าถ้าบุคคลใดตัวเขาไม่บวชแต่ว่าใจเขาเป็นนักบวช นี่เขาประเสริฐมาก


    ต่อแต่นี้ก็จะนำเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ มาเล่าให้ฟัง คือว่าถึงคุณสมบัติของหลวงพ่อปานที่สามารถจะล่วงรู้อะไรได้ หรือที่เรียกว่าท่านมีทิพยจักขุญาณแจ่มใสมาก แจ่มใสพอจะใช้ได้ คือว่า คราวหนึ่งเมื่อฉันมานอนคิดอยู่ในใจ ตอนที่ฉันอยู่ในป่าช้าคิดว่าเพื่อนของฉันเขาได้อภิญญา ขรัวอีโต้ก็ได้อภิญญา แล้วก็แถมเจ้าลาวมันก็ได้อภิญญาเหมือนกัน เจ้าลาวนี้ได้อภิญญาก็ไม่ใช่ของแปลก เพราะว่าเขาเป็นคนมาใหม่ สำหรับเจ้าเพื่อนของฉันที่ได้อภิญญาซิเป็นของแปลก เพราะว่าเรามาด้วยกัน แต่ว่าเขาได้อภิญญา ส่วนฉันไม่ได้ เวลาฉันเจริญกสิณ หลวงพ่อท่านก็บอกว่าจะเจริญกสิณหมดทุกอย่างไม่ได้ คุณจะทรงอภิญญาไม่ได้ ตัวคุณเองนี่จำเป็นจะต้องอยู่กับคน หมายความว่าจะหนีคนไม่ได้ ท่านบอกว่าห้ามหนีคน เพราะว่ายังเป็นหนี้คนเขาอยู่มาก จะต้องอยู่กับคนจนตลอดชีวิต แต่ว่าสำหรับเพื่อน ๒ คนน่ะเขามีสิทธิ์ที่จะเข้าป่า เพราะว่าเขาไม่มีพันธะกับใคร ๆ ฉันก็จนใจในเมื่อท่านห้าม เมื่อฉันทำกสิณได้ ๗ กอง ฉันก็ต้องยับยั้ง มาอีกทีหนึ่งก็คิดว่า ถ้าเราได้อภิญญาไม่หมดแม้แต่เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของอภิญญาก็ดี จะต้องเอาให้ได้ถึงแม้ว่าหลวงพ่อท่านห้ามก็จะพยายามทำ นี่ลูกหลานฟังแล้วก็คิดนะ อารมณ์อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ดี มันเป็นอารมณ์ชั่ว มันเป็นอารมณ์ของอำนาจกิเลสตัณหาเข้าบีบบังคับ ความจริงเราจะได้อภิญญาหรือไม่ได้อภิญญาไม่สำคัญ ถ้าหากว่าเรามีสมาธิ เราสามารถจะทรงสมาธิได้ แล้วก็ใช้อารมณ์อันนั้นยับยั้งนิวรณ์ ๕ เสียได้ ทำใจให้ปลอดโปร่ง แล้วเอากำลังของสมาธิมาเจริญวิปัสสนาญาณ อย่างนี้มันมีผลเยอะแยะ เรียกว่ามีผลดีไม่น้อย แต่ทว่าฉันไม่ใช่อย่างนั้นซิ ฉันไปคิดว่าเพื่อนเขาได้แล้วฉันไม่ได้มันก็น่าจะอายเพื่อน อย่างนี้ไม่ใช่อารมณ์ของพระ เราเรียกว่าอารมณ์ของเด็ก แต่บรรดาลูกหลานทุกคนก็อาจจะคิดว่าในเมื่อเขาได้ เราก็ควรจะได้บ้าง มันก็เป็นของดี นี่คิดกันอย่างอารมณ์ของชาวโลก ไม่ผิด แต่ว่าอารมณ์ของชาวธรรมะผิดมาก ผิดเยอะ สิ่งใดที่ไม่ใช่วิสัยสิ่งนั้นไม่ควรทำ แล้วก็การดิ้นรนเกินไปในการได้อภิญญา ก็เป็นอภิญญาโลกีย์ หรือว่าอภิญญาระดับไหนก็ตามที ไม่ใช่ว่าจะช่วยให้เราเป็นพระอรหันต์เร็วขึ้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นวิสัยก็ไม่เป็นไร แต่ทีนี้อยากได้มาเพราะอาศัยการดิ้นรนเป็นปัจจัย มันเป็นการผิดข้อมูลต่าง ๆ เรียกว่าผิดกันเอามากเลยทีเดียว อย่างนี้เรียกว่าใช้ไม่ได้ อะไรจะใช้ได้หรือไม่ได้ ฉันก็คิดเข้าแล้วในตอนนั้น


    ในคืนหนึ่งฉันคิดว่า ถ้าฉันทำอะไรไม่ได้ ฉันจะลองฝึกเดินน้ำดู ว่ามันจะเป็นยังไงการเดินน้ำเดินท่า จะลองเดินน้ำดู แล้วก็ลองเดินกลางคืนดึก ๆ ฉันก็เริ่มใช้ปถวีกสิณ กสิณดินเอาเข้ามาเพ่ง เพ่งจนกระทั่งปรากฏว่าน้ำในแก้วแข็ง จะเอานิ้วจิ้มลงไปตรงไหน น้ำมีสภาพเหมือนน้ำแข็งทุกอย่าง มันแข็งเป๋งเหมือนกับหิน ซ้อมอยู่อย่างนี้ ๓ คืน เมื่อ ๓ คืนแน่ใจแล้ว คืนหนึ่งตอนตี ๒ แล้วก็เดือน ๑๒ เสียด้วยนะ กำลังหนาวจัด ที่วัดบางนมโคนั่นมันด่านลม ลมหนาวพัดมาน้ำเป็นคลื่น ความหนาวเย็นสะท้าน ฉันก็เตรียมจะเดินน้ำ คิดว่าตอนนี้มันหนาวนี่ แล้วดึก ๆ อย่างนี้หลวงพ่อท่านคงจะไม่ออกไปนอกกุฏิ พระแก่คงจะไม่สู้กับความหนาว ฉันนุ่งผ้าผืนเดียว เตรียมพร้อมที่จะลงน้ำ ไปนั่งอยู่ที่โป๊ะหน้าวัดแล้วก็เข้าปถวีกสิณ ประเดี๋ยวเดียวอธิษฐานจิต เอานิ้วจิ้มลงไปในน้ำ ปรากฏว่าน้ำแข็ง ฉันแน่ใจว่าน้ำแข็งมันจะเดินได้แล้วฉันก็ก้าวลงจากโป๊ะ ตอนก้าวลงนี่แหละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย การคุมอารมณ์มันไม่ทรงสภาพ สมาธิมันเคลื่อน ตอนนี้เอง พอก้าวลงจากโป๊ะ ตัวมีน้ำหนักตัวทางต่ำมาก ลงตูมลงไปเลย ปรากฏว่าหัวมิดน้ำจมน้ำลงไป แล้วโผล่ขึ้นมารู้สึกว่ามันหนาวจัด แต่ว่าความอยากน่ะมันยังไม่ยับยั้ง มันยังไม่ยอมหนาว ตัวอยากด้วยอำนาจตัณหาน่ะ มันยังไม่ยอม มันยังอยากจะทำต่อไป พอขึ้นมาจากน้ำ นั่งอยู่บนโป๊ะ ปรากฏว่าหลวงพ่อปานยืนอยู่บนเขื่อนหน้าวัด ท่านร้องเรียกไปว่า ไอ้ลิงดำ นี่เอ็งจะแสดงฤทธิ์หรือยังไงนี่ จะมาเดินน้ำเรอะ ท่านถามอย่างนั้น ก็หนีกันไม่ได้แล้วนี่ ในเมื่อหนีไม่ได้มันก็ต้องยอมรับ ก็ยกมือประณมไหว้ท่านแล้วก็บอกว่า ผมจะเดินน้ำขอรับ ท่านก็บอกว่าฉันห้ามแล้วไม่ใช่เรอะ ห้ามแกแล้วนาว่าอภิญญาน่ะแกทำไม่ได้ แต่ความจริงถ้าแกจะทำมันก็เป็นของไม่ยาก ทำได้ แต่ที่ฉันไม่ให้แกฝึก ให้แกฝึกในขั้นของวิชชา ๓ นี่ก็เพราะว่าแกมีพันธะอยู่กับคน พระที่ได้อภิญญานี่น่ะ ได้อภิญญาแล้วจะอยู่กับคนไม่ได้ จะต้องเข้าป่า แต่แกนี่มีบริษัทมีบริวารมาก แกจะทรงอภิญญาไม่ได้ ในเมื่อทรงอภิญญาแล้ว เรื่องของอภิญญานี่น่ะ คนที่ยังเป็นโลกีย์วิสัย ยังมีอารมณ์ข้องอยู่ในกิเลส มันอดที่จะอวดดีไม่ได้ แต่ความจริงสิ่งที่จะอวดไม่ใช่อวดดี มันเป็นอวดเลว แต่ไอ้ความเลวนี่เราเข้าใจว่ามันเป็นความดี มันเป็นความผิด เพราะผิดพุทธพจน์ แต่ว่าไม่เป็นไร ในเมื่อเธอมีความปรารถนาฉันก็จะให้ทำ แต่ว่าทำได้คราวนี้คราวเดียวนะ ต่อไปห้ามทำ เพื่อเป็นการพิสูจน์อารมณ์สมาธิของเธอ เอาอย่างนี้ ตั้งอารมณ์ใหม่ เมื่อกี้นี้เธอทำผิด เพราะว่าเธอตั้งใจอธิษฐานให้แม่น้ำทั้งแม่น้ำเป็นน้ำแข็ง อย่างนี้มันผิดจากจริยามาก ถ้าน้ำเป็นน้ำแข็งทั้งแม่น้ำแล้วเรือแพสัญจรไปมาไม่ได้ การจราจรมันก็ติดขัด อย่างนี้มีโทษนะ เป็นการกลั่นแกล้งชาวบ้านเขา ถ้ากระไรก็ดีละก็ เธอเอาใหม่ เธอทำอย่างนี้ เธอตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบไปนี่นะ เท้าของข้าพเจ้าเหยียบไปตรงไหนขอให้น้ำตรงนั้นแข็ง แล้วก็ควบคุมอารมณ์ให้ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิ ในขั้นแรกเข้าปถวีกสิณก่อน ให้ถึงฌาน ๔ ท่านเรียกตามภาษาพระว่าจตุตถฌาน แปลว่าฌาน ๔ มีอารมณ์เป็นอุเบกขาดีแล้ว คลายจิตลงมาสู่อุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานว่า น้ำที่ข้าพเจ้าเอาเท้าเหยียบไป จะเป็นตรงไหนก็ตาม ขอน้ำตรงนั้นจงแข็งเหมือนหินหรือไม่ก็เหมือนดินให้ข้าพเจ้าเดินไปได้โดยสะดวก แล้วก็เข้าฌาน ๔ ใหม่ แล้วคลายฌาน ๔ ออก เมื่อตั้งอารมณ์อยู่ในอุปจารสมาธิแล้วก็เดินไป แค่นี้ทำได้ไม่ยาก เรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องไม่ยาก ความจริงเธอมีความสามารถพอจะทำได้ แต่ว่ามันไม่ใช่วิสัยของเธอควรทำ ฉันจึงห้าม เธอไม่ต้องวิตกกังวล ผลใดก็ตามที่เธอมีความปรารถนา ผลนั้นจะมีความสำเร็จกับเธอ เมื่อเธอผ่านการบวชไปแล้ว ๒๖ พรรษา เรื่องการเอาดีเอาพระอภิญญาไปอวดชาวบ้านอย่านึกว่ามันเป็นของดี ถ้าชาวบ้านเขารู้ว่าเธอทำได้เขาจะขอให้เธอทำ แล้วในที่สุดเธอก็จะเหน็ดเหนื่อย ถ้าเธอไม่ทำให้กับบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนั้นก็จะพากันว่าพากันนินทา พากันพูดเสียดสี หนักเข้า ๆ อารมณ์จิตของเธอก็จะไม่ดีตกอยู่ในอำนาจของโทสะ ฌานต่าง ๆ มันก็จะเสื่อม หรือว่าถ้าหากว่าฌานไม่เสื่อม คนก็จะติดในฤทธิ์ ในเมื่อคนติดในฤทธิ์เสียแล้ว พระอื่นแสดงฤทธิ์ไม่ได้ คนเขาก็ไม่เลื่อมใส แล้วคนที่ติดในฤทธิ์ทั้งหมดก็ไม่ต้องการบุญต้องการกุศล ต้องการอย่างเดียวคือให้พระแสดงฤทธิ์ให้ดู อย่างนี้ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเสื่อม อาการอย่างนี้ปิณโฑลภารทวาชะทำมาแล้วในสมัยพระพุทธเจ้า ที่เหาะไปเอาบาตรแก่นจันทร์ พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เพราะว่า ชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นการเหาะมาดูการเหาะกันทุกคน ต่างก็พากันอยากจะเห็นพระเหาะ เพราะไม่เคยเห็นเลย เมื่อคนนี้ได้ดูแล้ว คนอื่นยังไม่ได้ดูก็ขอดูใหม่ เมื่อท่านปิณโฑลภารทวาชะไม่เหาะให้ดู ก็ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อว่าต่อขาน จนกระทั่งท่านรำคาญท่านก็ต้องเหาะให้ดู เป็นอันว่าการเหาะของท่านปิณโฑลภารทวาชะต้องเหาะกันทุกวัน วันละหลายครั้ง เพราะชาวบ้านรู้ถึงไหนก็มาถึงนั่น การเห็นคนเหาะมันเห็นยาก ไม่มีใครเขาทำให้เห็น เมื่อปรากฏว่าคนทำได้เข้าก็อยากดูกันใหญ่ ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็เรียกท่านปิณโฑลภารทวาชะมาติเตียนต่าง ๆ แล้วก็มีพระพุทธบัญญัติตรัสห้ามว่า ต่อแต่นี้ไป พระองค์ใดก็ตามจะแสดงปาฏิหาริย์จะต้องได้รับอนุญาตจากพระองค์เสียก่อน ถ้าใครไม่ได้รับอนุญาตจากพระองค์แล้วแสดงปาฏิหาริย์ พระองค์ทรงปรับเป็นโทษ เรียกว่ามีความผิดตามพระวินัย นี่เรื่องมันใหญ่ เธอจำไว้นะ เธอเรียนมาแล้ว เธอพบแล้วน่าจะจำ แต่เอาเถอะ ในเมื่อกิเลสตัณหามันยังบังคับใจเธออยู่ เธออยากจะทำก็จงทำ เอ้า ทำได้แล้ว ท่านบอกให้ฉันทำ ฉันก็ทำ ในเมื่ออธิษฐานตามท่านมันไม่ยาก ท่านบอกให้เข้าฌาน ๔ ฉันก็เข้าปุ๊บ เข้าปุ๊บ แป๊บเดียวมันไม่ถึงครึ่งวินาที มันก็ได้ฌาน ๔ เป็นของง่ายไม่ใช่ของยาก จะว่าเป็นของกล้วย ๆ ก็ได้ กล้วยก็กล้วยสุกไม่ใช่กล้วยดิบ เมื่อเข้าฌาน ๔ สบายใจถอยจิตออกมาถึงอุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานตามที่ท่านบอกว่าน้ำตรงไหนที่ข้าพเจ้าเหยียบลงไป ขอน้ำตรงนั้นจงแข็งเหมือนดิน แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ เข้าปุ๊บเดียวก็ถึง เมื่อออกจากฌาน ๔ แล้วก็ตั้งจิตอยู่ในอุปจารสมาธิ อธิษฐานใหม่ว่าน้ำที่ข้าพเจ้าเหยียบจงแข็ง เหยียบลงตรงไหนตรงนั้นจงแข็ง แล้วหลวงพ่อปานก็มีบัญชาบอก เอ้า เดินได้ เพียงเท่านั้นฉันก็เดินน้ำเล่นได้ตามสบาย หลวงพ่อปานบอกว่า ทรงกำลังใจไว้ให้ดีนะ ฉันจะกลับไปนอน แกเดินตามสบายเถอะ จะเดินสักกี่ชั่วโมงก็ได้ เท่านี้แหละอภิญญาเป็นของไม่ยาก ฉันก็เดินเล่นทั้ง ๆ ที่อากาศหนาว ตัวก็เปียก แต่จิตมันอยากนี่ ความครึ้มใจมันมี มันก็เลยไม่หนาว เดินอยู่ประมาณ ๒ ชั่วโมงเศษ ๆ มันก็ถึงตี ๔ กว่า ๆ เพราะเขาตีระฆัง ก็เกรงว่าพระจะมาเห็นเข้า ก็เลยเลิกกลับมาที่นอน ผลัดผ้าผลัดผ่อน นุ่งสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิ เข้าเจริญพระกรรมฐานตามเวลาปกติ คืนนั้นเลยไม่ต้องได้นอนกัน เป็นอันว่าเรื่องการเจริญอภิญญาของฉันคือเดินน้ำก็หมดไป นี่ลูกหลานฟังไว้นะ เมื่อฟังแล้วก็จงจำ ว่าเรื่องของความอยากนี่มันไม่ใช่ของดี มันไม่มีอะไรจะดีหรอก ความอยากนอกรีตนอกรอยนี่นะไม่ดี เข้าใจว่าการเจริญอภิญญาดี ถ้ามันเป็นวิสัยของเรา เราได้ง่าย ๆ มันก็ดี ถ้ารู้สึกว่าจะได้ยากเราก็คิดว่าอภิญญานี่น่ะไม่ใช่อรหัตผล แล้วอภิญญาไม่ใช่พระโสดา สกิทาคา อนาคา อภิญญาก็คือโลกีย์ญาณ ถึงแม้ว่าจะได้สักเท่าไรก็ตามที จิตก็ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ถ้าหากว่าเราทำได้ยาก เราก็หาโอกาสแบบนี้ดีกว่า หาโอกาสทำอย่างอื่น คือ เจริญวิปัสสนาญาณให้สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ประการ ได้เป็นพระโสดาบันแทน หรือว่าเป็นพระสกิทาคามีแทน หรือเป็นพระอนาคามี หรือพระอรหันต์ เอายังงั้นเลยดีกว่า นี่ทำยากนา ถ้าทำได้ง่าย ๆ คือเป็นวิสัยของเราละก็ทำเถอะ ไม่เป็นไร เพราะการได้อภิญญานี่เป็นการช่วยให้การบรรลุมรรคผลสำเร็จได้โดยง่าย ถ้าเราไม่เมาอภิญญา แต่ว่าเราได้อภิญญาแล้วเมาอภิญญาอย่างท่านพระเทวทัตไม่ดีเหมือนกัน ชวนลงนรก เรื่องนี้ขอผ่านไปไม่มีอะไรหนัก นี่เล่าให้ฟังเท่านั้น
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานใช้หนี้สงฆ์

    ต่อไปจะมาเล่าเรื่องใช้หนี้สงฆ์ให้ฟัง เรื่องใช้หนี้สงฆ์น่ะสมัยนี้หาฟังกันยากเหลือเกิน พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ใครพูดให้ฟังก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่พูดทุกปีทำทุกปี พอถึง ๑ ปี คือขึ้นต้นปีใหม่ เข้าพรรษาใหม่ ๆ ท่านประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ท่านซื้อไม่ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัด ในสมัยนั้นค่าของเงินสูง ท่านขอซื้อปีละ ๑๐๐ บาท ก็ซื้อไม้ทั้งหมด ซื้อผลไม้ทั้งหมด ซื้อดอกไม้ทั้งหมดปีละ ๑๐๐ บาท ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในงานก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ แล้วต่อแต่นั้นไปท่านชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้เหมือนกัน มาว่ากันถึงการซื้อของสงฆ์ก่อน บรรดาลูกหลานทั้งหลาย หาที่ฟังยาก คือว่ามีโอกาสได้ฟังยาก ไอ้เรื่องการซื้อของสงฆ์หรือว่าการชำระหนี้สงฆ์ เวลานี้ฉันกำลังสร้างกุฏิชำระหนี้สงฆ์อยู่ เพราะรื้อกุฏิของสงฆ์ไป ๒ หลัง ฉันสร้างให้หลังเดียว แต่ว่าคุณค่า มีความคงทนดีกว่า การอยู่อาศัยได้สบายกว่า ๒ หลังที่รื้อไปพระอยู่ได้ ๕ องค์ยังลำบากเพราะห้องแคบ ฉันสร้างให้หลังเดียวเป็นกุฏิตึก อยู่ได้ ๖ องค์แบบสบาย ห้องกว้างกว่า แล้วก็มีศาลาดินเป็นเฉลียงข้างหน้า นั่งพักเล่นสบาย แถมส้วมให้อีก ๔ ห้อง บริเวณทั้งหมดเทพื้นคอนกรีตให้พระเดินสบาย ตั้งน้ำประปาเข้าไว้ให้พระใช้สบาย แสดงว่าฉันทำมามากกว่าของเก่า ดีกว่าของเก่าเป็นการชำระหนี้ ลูกหลานอาจจะสงสัยว่ากุฏิพระ พระรื้อ ทำไมต้องชำระหนี้ ก็ขอบอกว่า ทรัพย์สินที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่ได้สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่น่ะต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะมาถือสิทธิว่าเป็นของฉัน จะเป็นสมภารองค์ไหน สมเด็จองค์ไหน เจ้าคณะองค์ไหน พระสังฆราชองค์ไหนก็ตาม จะมาชี้ว่าสมบัติของสงฆ์ที่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว นี่ลงนรกหมด ลุงพุฒิไม่ยอมแน่ ใช่ไหมลุงพุฒิ ลุงพุฒิหันมายิ้ม บอกว่า ว่าเสียหลายรายการแล้ว รายการที่มีตำแหน่งใหญ่ ๆ ที่ไม่เคารพสิทธิในสงฆ์นั่นแหละ ว่าเสียหลายรายการแล้ว เอาเสียเยอะ เยอะเพราะเผลอคิดว่าโตแล้วทางนรกจะเว้น เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก ลุงพุฒิน่ะแกชอบกับฉันมาก สมัยเป็นมนุษย์เรียกว่าเป็นเพื่อนกันเลยก็ได้ แล้วเป็นเกี่ยววันพันดองกัน เคยล้อเคยเล่นกัน แกยังบอกว่าการเว้นในเรื่องกฎของกรรมนี้ไม่มี ถ้าว่าฉันไม่ดี แกก็เข็นเอาลงนรกเหมือนกัน ยังงั้นใช่ไหมลุง แกบอกว่า ใช่ นั่นถูกแล้ว เรื่องกฎของกรรมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว กฎของกรรมก็กฎของกรรม


    หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์ เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงเราจะคิดกันอย่างเรา ๆ ก็คิดว่าท่านควรมีสิทธิ์ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้ยังไงก็ได้ แต่ทว่าตามพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ์ ของในวัด ถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ ถึงเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าหากว่าเจ้าของยังบวชอยู่ มีอำนาจให้ใครได้ กินเองได้ ถ้าว่าเขาตาย เขาสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาท กินใช้เองน่ะไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เหมือนของหลวง เวลาจะกินจะใช้ต้องประชุมสงฆ์กัน สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติ ว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะ ไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัดจะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามาใช้เอามากินเป็นส่วนตัวโดยสงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษขั้นไหนลุงพุฒิ อเวจีมหานรก แกร้องบอกมาว่า อเวจีมหานรก ฟังไว้ให้ดีนะลูกหลานที่รักนะ หลวงพ่อปานซื้อ ซื้อแบบไหน ท่านบอกว่า ต้นไม้ก็ดี ต้นเล็ก ๆ ไม่ใช่โค่นต้นใหญ่ เช่น ไม้ลำหรือว่าหน่อไม้บางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด เป็นส่วนเล็กส่วนน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้ามีใครจะเด็ดเอาไปดม เอาไปบูชาพระ จะเอาไปกินเอาหน่อไม้ไปกิน เป็นบางส่วนหรือลำไม้บ้าง มีคนมาลักไม้บ่อย ๆ ที่หลังวัด เขาเคยมาตัดลำไม้บ่อย ๆ สมัยนั้นมีกอไผ่มาก ท่านบอกว่าส่วนเล็กน้อยประเภทนี้ฉันของซื้อ ขอซื้อสงฆ์ด้วยจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อเป็นการป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจ เพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์ ท่านอนุญาต ว่าพวกเธอน่ะ อยากจะฉันมะม่วง อยากจะฉันฝรั่ง อยากจะฉันอะไรก็ตาม นิมนต์ตามสบาย ฉันซื้อแล้ว ฉันซื้อสงฆ์แล้ว นี่ท่านซื้อเพื่อกันพวกฉันนะ กันพวกเด็ก ๆ หรือว่ากันคนอื่นเลว


    เรื่องชำระหนี้สงฆ์ ถึงวันเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่คนทุกคนว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหน เรียกว่าตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่าเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็มี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือวัดที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ ๗ มาแล้ว ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร เพราะบุกรุกที่ดินของวัด แต่ว่าวัดก็เป็นวัดร้าง ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้างแค่นี้นา แค่นี้ตกนรกขุมที่ ๗ ไม่มีเจตนาโกง ซื้อต่อจากคนอื่นเขา แต่เขาก็ไม่ให้อภัย เรื่องนี้เป็นของยากนะ จะถือว่ามันไม่ผิดกฎหมายผิดอะไรฉันไม่รู้หรอก สำนักพญายมเขาไม่เกี่ยวนะ กฎหมายกฎระเบียบอะไรที่ชาวโลกมีกิเลสสร้างขึ้นน่ะ เขาไม่เกี่ยว ท่านก็บอกว่าคนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้ยังไง ไม้ลอยมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของเอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมันมาจากวัดก็เป็นไม้ของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมดแม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป แล้วโทษเอาของสงฆ์หนักมาก เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ด้วยจำนวนเท่าไร เท่าไรก็ตามเอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ คือ วัดร้างที่ปรากฏมีเป็นวัดก็ตามหรือไม่ปรากฏเป็นวัดก็ตาม วัดที่มีพระก็ตามวัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ คือว่าเป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าทั้งหลายชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่ ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เพราะว่าเรื่องสงฆ์นี่นะลำบากมาก


    มีเรื่องเล่ามาในสมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระพุทธกัสสป น่ากลัวจะไม่ใช่ซี เป็นสมัยพระวิปัสสีทศพลโน่น สมัยพระวิปัสสีนั่นมีพระอยู่ ๔ องค์ เวลานั้นข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวที่บ้านเขาอาจจะมีมาก แต่ว่าข้าวที่วัดมีน้อย พระพวกนั้นมีเพื่อนมาหา ข้าวที่จะกินเข้าไม่พอ ข้าวส่วนตัวไม่มี ก็มีข้าวสารของสงฆ์ ไปนำข้าวสารของสงฆ์มา เมื่อได้ข้าวสารของสงฆ์มาคนละทะนานแล้วก็มาหุงเลี้ยงเพื่อน คิดในใจว่าถ้าเราได้ข้าวสารมาใหม่เราก็จะชำระหนี้สงฆ์ คือว่าเราจะใช้หนี้ให้ แต่ในเมื่อยังไม่ทันจะใช้หนี้ พระ ๔ องค์นั่นตาย ตายทั้ง ๆ ที่ยังมีเจตนาว่าจะชำระหนี้แต่ก็ยังไม่ได้ชำระ ตายแล้วไปไหน ปรากฏว่าไปไหม้อยู่ในอเวจีมหานรก สิ้นพันปีนรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกแล้วตกนรกบริวาร ผ่านมา ๔ ขุม แล้วยมโลกีย์นรกอีก ๑๐ ขุม มาเป็นเปรต เปรตนี้จัดเป็น ๑๒ ระดับ ระดับที่ ๑ ถึงระดับที่ ๑๑ ไม่มีโอกาสที่จะได้โมทนาบุญของชาวบ้านที่ให้ ระดับที่ ๑๒ ที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวีเปรต ตอนนั้นมีโอกาส ในระหว่างที่เป็นเปรตระดับที่ ๑ ถึง ๑๑ ก็พบพระพุทธเจ้าหลายองค์ ถามท่านว่าเมื่อไรข้าพระพุทธเจ้าจะได้กินน้ำเสียที เห็นน้ำเข้าวิ่งไป น้ำก็หายกลายเป็นทะเลเพลิง เห็นข้าวอยากจะกินวิ่งเข้าไปก็ปรากฏว่าเป็นทรายแล้วก็เป็นไฟลุก กินไม่ได้ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ก็ทรงพยากรณ์ว่า เมื่อไรพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมอุบัติขึ้นในโลก ในตอนนี้แหละญาติของเจ้าชื่อว่าพระเจ้าพิมพิสารจะบำเพ็ญกุศล แล้วเธอหมดทุกคนได้รับโมทนา ก็จะพ้นทุกขเวทนาเสียที เปรตทั้งหลายเหล่านั้นคอยกันมานาน จนกระทั่งเมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พระเจ้าพิมพิสารถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร แล้วถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมด เมื่อถวายทานแล้วก็ไม่ได้กรวดน้ำ ไม่ได้กรวดซีเพราะไม่รู้ ตอนนั้นมันเป็นการทำบุญครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าทำบุญกรวดน้ำกันได้ผล เปรตทุกคนที่คอยอยู่ก็นั่งตั้งท่าจะโมทนา เห็นพระเจ้าพิมพิสารไม่กรวดน้ำให้ก็เดือดร้อน กลางคืนเข้ามาในพระราชนิเวศน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ไม่เห็นตัว เป็นพระโสดาบัน แต่ท่านไม่เห็นตัว ก็เลยร้อง เมื่อร้องขึ้นมาพระเจ้าพิมพิสารก็ตกใจ แปลกใจว่าเสียงอะไรไม่ทราบมาร้องกึกก้อง ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารตกใจ ในตอนเช้าก็ไปหาพระพุทธเจ้า ไปถามว่าเมื่อคืนนี้ไม่รู้เสียงอะไร มันร้องกรี้ดกร้าด ๆ ตามในพระราชฐาน ไม่เคยได้ยินพระพุทธเจ้าข้า ก็เล่าความนั้นให้ทราบ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เปรตเป็นญาติของพระองค์ต้องการโมทนาบุญ เมื่อวานนี้พระองค์ทรงทำบุญแล้วไม่ได้กรวดน้ำอุทิศให้ คำว่าอุทิศแปลว่าเจาะจงนะ อุทิศนี่นะเขาแปลว่าเจาะจงให้เฉพาะ พระเจ้าพิมพิสารจึงได้นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งหมดไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์ ตอนนี้เมื่อพระพุทธเจ้าฉันเสร็จก่อน จะโมทนาพระเจ้าพิมพิสารก็กรวดน้ำ ใช้คำว่า อิทัง โน ญาตินัง โหตุ แปลเป็นความว่า ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้าพเจ้า เท่านี้ละนะ กรวดน้ำครั้งแรก เปรตทั้งหลายเหล่านั้นตั้งท่าคอยอยู่แล้ว ได้รับโมทนา เมื่อโมทนาแล้วร่างกายทิพย์หมด มีความอิ่มเอิบ มีความสวยสดงดงาม ร่างกายเทวดา แต่ว่าเป็นเทวดาชีเปลือยไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีผ้านุ่ง เพราะอะไร เพราะว่าในสมัยก่อนที่จะตายไม่ได้เคยทำบุญถวายผ้าผ่อนท่อนสไบไว้ในพุทธศาสนา เมื่อร่างกายสวยแต่ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีกางเกงนี่มันก็แย่เหมือนกัน ก็เดือดร้อน ตอนกลางคืนจึงเข้ามาหาพระเจ้าพิมพิสาร แสดงตัวให้ปรากฏ แต่ว่าตอนยืนน่ะสงสัยว่าจะยืนหันหลังให้ คงไม่ยืนหันหน้าให้หรอก คงจะอายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสารแปลกใจว่า คนอะไรสวยก็สวย แต่แก้ผ้าไม่มีเสื้อไม่มีผ้า ตอนเช้าไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า พวกเปรตพวกนั้นแหละเป็นเทวดา แต่ไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนา เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์ให้อาหารเป็นทาน เขาก็มีแต่ร่างกายสวย ผ้าไม่มี พระเจ้าพิมพิสารถามว่า ทำไมเขาจึงจะได้ผ้า ท่านก็บอกว่าต้องถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระเจ้าพิมพิสารก็ทำอย่างนั้น แต่พอได้เครื่องประดับแล้วเทวดาก็มาแสดงตัวให้ปรากฏ แล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่รบกวนอีก นี่เล่าถึงเรื่องของสงฆ์ให้ฟังนะ ว่ามีเจตนาขอยืมยังมีโทษขนาดนี้ แต่ถ้าหากว่าเราไปเอามาโดยไม่ขอยืมจะมีโทษขนาดไหน


    เอาละ บรรดาลูกหลานทั้งหลาย สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี


    บรรดาลูกหลานทั้งหลาย วันนี้วันที่ ๒๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๔ ต่อแต่นี้ไปก็นำเรื่องของหลวงพ่อมาเล่าแบบสรุป เพราะพูดมาก็มากแล้วรู้สึกว่าเวลาจะยืดเยื้อมาก ถ้าจะพิมพ์เป็นหนังสือคงจะพิมพ์กันยากเต็มที เพราะว่าหนังสือจะหนามาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อแต่นี้ไปฉันจะพูดแบบย่อ ๆ ให้บรรดาลูกหลานฟัง


    เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของการนำเอาอำนาจเจโตปริยญาณ หรือว่าไม่ใช่เจโตปริยญาณ ต้องเรียกกันว่าทิพยจักษุญาณที่หลวงพ่อปานมีอยู่ มาเล่าให้บรรดาลูกหลานฟัง ทั้งนี้เพราะว่าจะเล่าเรื่องราวที่ท่านรู้ขึ้นเองโดยไม่มีใครบอก เพราะว่าเป็นการรู้อำนาจของจิต และเป็นความรู้ตามพลังของจิต
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อเล็ก

    เรื่องต้นที่จะนำมาเล่าให้ฟังคือว่า ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน ตอนนั้นท่านฝึกให้หลวงพ่อเล็ก หลวงพ่อเล็กนี่น่ะเป็นพระที่มีกรรมฐานสำคัญมาก แล้วเป็นพระที่หลวงพ่อปานไว้วางใจและเกรงใจมาก เพราะว่ามีอำนาจรองจากหลวงพ่อปาน ถ้าจะว่ากันไปตามความจริงแล้วละก็ พระในวัดน่ะเกรงใจหรือว่ากลัวหลวงพ่อเล็กมากกว่าหลวงพ่อปาน เพราะว่าหลวงพ่อปานท่านไม่ค่อยได้อยู่วัด อำนาจการปกครองต่างๆ ตกอยู่กับหลวงพ่อเล็กองค์เดียว การจัดสรรระเบียบต่างๆ หลวงพ่อเล็กเป็นผู้บังคับ หลวงพ่อเล็กเป็นพระไม่ค่อยอยากพูด ตามปกติท่านนั่งเฉยๆ วันหนึ่งๆ ถ้าไม่มีใครไปพูดเรื่องธัมมะธัมโมกับท่าน วันนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องพูดอะไรกัน แต่ว่าถ้าใครไปพูดเรื่องธัมมะธัมโมกับท่าน รู้สึกว่าท่านพอใจมาก คุยกับเขาได้ตลอดวัน พระองค์นี้มีเวลาทำงานตรงตามเวลาเสมอ เวลาของท่านแต่ละอย่างที่ท่านกำหนดไว้ ท่านไม่ยอมให้คลาดเคลื่อน นี่เป็นระเบียบของท่านเองนะ เรื่องมีอยู่ว่า ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานทำรูปของท่าน แล้วมีรูปยันต์เกราะเพชร เมื่อทำแล้วหลายพันผืนสำหรับแจกบรรดาพุทธบริษัทที่มีความต้องการ ท่านทำแจกของท่านจริงๆนะ ไม่ได้ขาย คำว่าแจกนี่ไม่มีคำว่าขายติดอยู่ด้วย หมายความว่าถ้าใครมาขอท่านให้เลย เรื่องที่เขาจะเงินเอาทองมาให้ท่านหรือไม่น่ะ ท่านก็ไม่ถาม ไม่เคยถามฉัน ฉันนี่แหละเป็นคนแจก ใครมาขอฉันเป็นคนแจก ท่านไม่เคยถามเลยว่าค่าผ้ายันต์ค่าพระของท่านได้เท่าไหร่ ไม่เคยได้ยินเสียงถามตลอดชีวิต คราวหนึ่งหลวงพ่อปานไม่ได้สั่งพิมพ์เอง เป็นนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ คนนี้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้ากับหลวงพ่อปาน ทำจนมีผล ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าจนเป็นฌาน คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ลูกหลานทั้งหลาย ถ้าใครจำได้นะ ถ้าใครจำคาถาได้ ทำให้เป็นสมาธิ ทำให้เป็นฌาน มีผล ๒ อย่าง คือว่าถ้าเป็นฌานแล้วลาภสักการจะเกิดไม่ขาดสาย ขึ้นชื่อว่าความขัดข้องใดๆ ไม่ค่อยจะมี หากว่ามีขึ้นมาก็มีการชดใช้ หมายความว่าหาทัน นี่เป็นประการ ๑ ประการที่ ๒ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี่เป็นพุทธานุสสติกรรมฐาน มีผลยันให้ถึงพรหม หมายความว่าบันดาลให้เกิดเป็นพรหมได้ แต่ถ้าหากใช้ฌานอันนั้นไปเจริญวิปัสสนาญาณก็ไปพระนิพพานได้ ฉะนั้น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปาน จึงไม่ใช่เป็นคาถาที่ปรัมปราหรือไร้ผล มีผลในชาติปัจจุบัน แล้วก็มีผลในชาติสัมปรายภพ หากว่าบรรดาลูกหลานทั้งหลาย ทำคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของหลวงพ่อปานจนเป็นฌานได้ ทุกคนก็จะไม่มีความยากจน เวลาตายก็มีความสุข อยากจะไปนิพพานก็ไปได้ มีผลเสมอกัน เป็นคาถาของชาวบ้านโดยตรง คราวนี้มาว่ากันถึงเรื่องผ้ายันต์ ในเมื่อนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายตราใบโพธิ์มาถวายหลวงพ่อปานจำนวนหลายพันผืน เมื่อเขาพิมพ์มาแล้วหลวงพ่อปานก็สั่งหลวงพ่อเล็กให้เอาผ้ายันต์ไปเสก หลวงพ่อเล็กนำมาเสก ๓ เดือน ถือว่าครบไตรมาสพรรษาหนึ่งพอดี หลวงพ่อเล็กนี่เราทราบกันอยู่ว่าท่านได้สมาบัติ ๘ แต่ว่ายิ่งไปกว่านั้นสำหรับวิปัสสนาญาณนี่จะได้อะไรฉันไม่ทราบ ฉันไม่หลอกสิ่งที่จะรู้กันได้ ถ้าเราได้ถึงไหนเราก็รู้กันว่าคนอื่นเขาได้ถึงเพียงนั้น ที่รู้เลยไปเราไม่รู้ ตอนนั้นฉันก็ยังทรงสมาบัติ ๘ เหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ฝึกอภิญญาครบถ้วน เลยกลายเป็นพระไม่ใช่อภิญญา นี่ฟังให้ดีนะ สมาบัติ ๘ ก็อาศัยกสิณกองใดกองหนึ่งเป็นพื้นฐาน ไม่จำเป็นต้องใช้กสิณทั้งหมก ๑๐ อย่าง ใช้กสิณกองใดกองหนึ่งเป็นพื้นฐานยกเอารูปขึ้นมาตั้งแล้วก็เพิกกสิณนั้นเสีย แล้วใช้อรูปฌานขึ้นมาแทน ถ้าทำได้ทั้ง ๔ อย่างก็เรียกว่าทรงอรูปฌาน ๔ อย่าง ได้เป็นฌาน ๘ ไป นี่ฟังกันไว้เท่านี้นะ หลวงพ่อเล็กได้ฌาน ๘ สมาบัติ ๘ เลยกว่านั้นฉันไม่รู้ เมื่อได้รับผ้ายันต์มาแล้วก็มานั่งเสก เสกด้วยอำนาจของสมาธิ เข้าฌานสมาบัติ ๓ เดือน เวลากลางคืนนา เสกกี่ชั่วโมงไม่ทราบ แต่ว่าไม่ใช่ว่าตลอดวันตลอดคืน อย่านึกว่าตลอดวันตลอดคืน ๓ เดือน ไม่ลูก ไม่กินข้าวไม่กินปลา นี่มันก็เกินคนไป ว่ากันตามแบบปกติ


    ฟังเรื่องของพระนะ พอครบ ๓ เดือนวันออกพรรษาหลวงพ่อเล็กเรียกฉันเข้าไป บอกให้แบกผ้ายันต์ ฉันคนเดียวมันแบกไม่ไหว ก็เอาไอ้เพื่อนอีก ๓ คนมาช่วยกันแบกผ้ายันต์มาถวายหลวงพ่อปาน ยังไม่ทันจะถึงเลย ห่างอีกประมาณสัก ๑๐ วาได้กระมัง หลวงพ่อปานเห็นเข้า ท่านโบกมือโบกไม้บอกว่า ไม่เอาๆ ยังไม่เสร็จ ยังไม่เสร็จ ยังใช้ไม่ได้ นี่ท่านร้องไป ก็เป็นอันว่าไม่เอาเข้าไปให้ท่าน เอากลับ ตอนนี้หลวงพ่อเล็กกลับมาก็นึกในใจว่า นี่เราทำขนาดนี้ยังใช้ไม่ได้ ใครที่ไหนจะยิ่งไปกว่าเรานะ เราเข้าถึงสมาบัติ ๘ นี่ท่านบ่นนะ เราเข้าถึงสมาบัติ ๘ แล้วก็คลายสมาธิลงมาพิจารณาวิปัสสนาญาณ จนกระทั่งอารมณ์จิตเป็นแก้วทั้งหมด เป็นแก้วประกายพฤกษ์ทั้งหมดแล้วเราจึงเข้าสมาธิใหม่ จัดเป็นโลกุตตรญาณ แล้วเราก็อธิษฐานจิต นี่ยังใช้ไม่ได้ ก็ใครจะเสกยิ่งไปกว่านี้ ท่านบ่นให้ฟัง ท่านก็บอกว่า เอา ในเมื่อท่านใหญ่บอกว่าใช้ไม่ได้ ฉันก็จะทำให้ใหม่ ตอนนี้ท่านไปทำใหม่ ๗ วัน ท่านทำยังไงบ้างฉันไม่ทราบ เวลาท่านทำไม่ได้เข้าไปยุ่งกับจิตใจของท่าน พอครบ ๗ วัน ท่านมาเรียกพวกฉันไปให้ไปแบกมาให้หลวงพ่อปาน ตอนนี้เองพอแบกมาหลวงพ่อปานเห็นแต่ไกลก็กวักมือกวักไม้บอก เออๆ เอามาๆๆ อย่างนี้ซิมันถึงจะใช้ได้ ไอ้คนเก่งคนเดียวน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้คนอื่นเขาเก่งกว่า เก่งคนเดียวใช้ไม่ได้ ทำอย่างนี้ใช้ได้ เมื่อเข้าไปถึงหลวงพ่อเล็กก็กราบหลวงพ่อปาน ฉันก็กราบ เพื่อนฉันก็กราบ ไอ้ฉันน่ะมันคนชอบสงสัย ไอ้เพื่อนๆมันเรียกไอ้ปากหมา สมัยนั้นเขาไม่เรียกปากลิงหรอก เขาเรียกปากหมา เมื่อสงสัยอะไรขึ้นมาชอบถามผู้หลักผู้ใหญ่ สงสัยใครขึ้นมาชอบสอบถาม ไปถามเพื่อนมันบ่อยๆ มันเลยเรียกไอ้พระปากหมา ช่างมันเถอะ ความจริงถ้าปากฉันเป็นหมาได้ฉันจะดีใจ ปากหมาน่ะมันกินไม่เลือก กระดกกระดูกมันกินได้ ของแข็งยังไงมันกินได้ วาจาของเพื่อฉันมันไม่ศักดิ์สิทธิ์ เวลานี้ปากฉันกินของแข็งก็ไม่ได้ มันไม่เท่าหมาเสียแล้ว ไปเห็นหมามันเคี้ยวกระดูก หมามันเคี้ยวอะไรต่ออะไรได้อย่างไม่รังเกียจ รักษาชีวิตของมันด้วยอาหารต่างๆ ฉันอยากจะทำอย่างนั้นบ้างทำไม่ได้ ถ้าปากฉันเป็นหมาจริงๆ ละก็น่ากลัวจะทำได้ แล้วฉันจะสบายกว่านี้มาก นี่ปากฉันดันเป็นปากคน แล้วก็ไม่เท่าปากคนธรรมดา เลยรักษาตัวยากหน่อย เสียท่า ไอ้เพื่อนมันพูดไม่ตรง


    ต่อไป ฉันถามหลวงพ่อเล็กว่า หลวงพ่อขอรับ ตอนก่อนหลวงพ่อเสกยังไงหลวงพ่อปานจึงว่าใช้ไม่ได้ หลวงพ่อเล็กบอกว่า ตอนก่อนฉันเข้าสมาบัติ ๘ แล้วใช้วิปัสสนาญาณเต็มที่ คลายจิตออกมาถึงอุปจารสมาธิ อธิษฐานแล้วก็เข้าสมาบัติ ๘ ใหม่ เท่านี้ ๓ เดือน ไม่ได้ขาดเลยทุกคืน คืนละ ๓ ชั่วโมง ท่านใหญ่บอกว่าใช้ไม่ได้ หลวงพ่อปานท่านก็ออกมาบอก ยังงี้ใช้ไม่ได้ดอกคุณเล็ก คุณเล็กอย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ คือว่าถ้าเราทำอะไรถ้าเก่งคนเดียวมันใช้ไม่ได้ ไอ้เราเองน่ะมันไม่ดีพอ ต้องให้คนอื่นเขาดีบ้าง จึงได้ถามหลวงพ่อเล็กใหม่ว่า หลวงพ่อขอรับ ตอน ๗ วันนี่ หลวงพ่อทำยังไงขอรับ ท่านบอกว่าในเมื่อฉันใช้สมาบัติ ๘ ท่านใหญ่บอกว่าใช้ไม่ได้ ฉันก็กลับ คราวนี้ฉันไม่เอาละ ฉันก็ตั้งท่าบวงสรวงชุมนุมเทวดา อาราธนาบารมีพระทั้งหมดตั้งแต่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด ฉันยกยอดเลย ยกยอด ในเมื่ออาราธนาเห็นท่านมากันครบถ้วน แล้วท่านมาทำกันคืนหนึ่งประเดี๋ยวเดียว สัก ๑๐ นาทีท่านก็กลับ แล้วท่านก็บอกให้เลิก ฉันก็นอน ฉันทำมาแบบนี้ถึง ๖ วัน ถึงวันที่ ๗ ทุกท่านมา แต่ไม่มีใครทำ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรจะบรรจุแล้ว คุณจะให้ฉันทำอะไร ฉันก็เลยเลิก ถึงได้ให้พวกเธอแบกมาให้ท่านใหญ่ นี่ท่านเรียกหลวงพ่อปานว่าท่านใหญ่ หลวงพ่อปานฟังแล้วก็หัวเราะก๊าก บอกจริงที่คุณเล็กพูดน่ะ จริงนะอาจารย์เล็ก อาจารย์เล็กท่านเรียกอาจารย์เล็กบ้าง คุณบ้าง ที่อาจารย์เล็กพูดนั่นน่ะจริง พวกเธอจงจำไว้นะ การที่เราจะเสกพระเสกผ้ายันต์อะไรต่ออะไรนี่น่ะ ถ้าเสกด้วยอำนาจกำลังของเราละไม่ช้ามันก็เสื่อม เราน่ะมันดีแค่ไหน การเสกว่าคาถาต่างๆ นี่ก็เป็นการอาราธนาบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเทวดา หรือพรหมมาช่วย แต่ว่าคาถาบางอย่างก็จะว่าแต่เฉพาะบางจุด การเสกพระเสกเจ้า หรือเสกผ้ายันต์ เสกอะไรต่ออะไรพวกนี้ ถ้าเราเอาตัวของเราออกเสีย เราไม่เข้าไปยุ่ง แต่อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสาวกทั้งหมด พรหมหรือเทวดาทั้งหมดท่านมาช่วย ท่านทำประเดี๋ยวเดียว ๒-๓ นาทีมันก็เสร็จ ดีกว่าเราทำ ๑,๐๐๐ ปี แล้วเราจะเอาอะไรบ้างก็อาราธนาบอกท่าน บอกว่าขอให้ใช้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ แต่อย่าลืมนะ ถ้าใช้ในทางทุจริตหรือกฎของกรรมบังคับ ไม่มีอะไรจะคุ้มครองใครได้ ถ้าหากว่าใครเลวอยู่แล้วก็คอยพยุงๆให้เลวน้อยลงไปนิดหนึ่งได้ ถ้าใครดีขึ้นมาหน่อยก็พยุงให้ดีมากได้ นี่เป็นกฎของอำนาจพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี และพรหม และเทวดาทั้งหลาย ท่านพูดแล้วท่านก็ชอบใจ บอกว่าคุณเล็กทำถูก ตอนก่อนฉันรู้ ไปตั้งท่าเข้าสมาบัติอยู่คืนละ ๒-๓ ชั่วโมง ฉันนั่งอยู่ที่กุฏินี่ฉันก็รู้ แต่ที่ฉันไม่บอกไว้ก่อนเพราะจะให้คุณเล็กนี่นะรู้เอง การทำตัวเป็นคนเก่งเองน่ะมันใช้ไม่ได้ มันต้องให้พระท่านเก่งซี พระพุทธท่านเก่ง พระธรรมท่านเก่ง พระสงฆ์ท่านเก่ง พรหมท่านเก่ง เทวดาท่านเก่ง ของที่เราทำ เราจะไปตามคุ้มครองชาวบ้านชาวเมืองได้ยังไงทุกคน ถ้าหากพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดี ท่านช่วยคุ้มครอง ท่านก็มองเห็นได้ถนัด สงเคราะห์เขาได้โดยสะดวก


    นี่ตอนนี้ นี่นำมาเล่าให้แก่บรรดาลูกหลานฟัง จะได้ทราบถึงวิธีการปลุกพระ ปลุกผ้ายันต์ ถ้าพระเข้าขั้นที่เรียกว่าได้ทิพยจักษุญาณโดยมากเขาไม่ทำเองนะ เขาเที่ยววานชาวบ้านมาทำ พูดว่าชาวบ้านมันก็ต่ำไป วานพระมาทำ พระพุทธเจ้าบ้าง พระปัจเจกพุทธเจ้าบ้าง พระอริยสงฆ์บ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง อันนี้ก็สบายดี แต่หากว่าทำเองไม่ช้ามันก็เจ๊ง ตัวเองยังคุ้มครองตัวเองไม่ค่อยได้ คนทำมันก็ตายนี่ แล้วมันจะไปคุ้มครองความตายของใครเขาได้ นี่ว่ากันตามธรรมดานะ ตอนนี้ที่นำมาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะชี้ว่าหลวงพ่อปานนี่น่ะท่านมีเจโตปริยญาณ หรือว่าทิพยจักษุญาณดีมาก แจ่มใสมาก ขนาดลูกศิษย์ทำอะไรอยู่ที่ไหนท่านรู้ อย่างฉันนี่นะไปทำผีเข้าผีออกที่ไหนท่านรู้ โกหกท่านไม่ได้สักที หลายวาระแล้วตั้งใจจะโกหกท่าน ปิดไม่ได้ พอเห็นหน้าเข้าชี้หน้าเลย ไม่ทันจะถามเสียด้วยซี แล้วไม่ทันจะบอก ไม่ได้สอบสวน ชี้หน้าแล้วก็พูดเรื่องที่ฉันไปสร้างความระยำเลย นี่ฉันเองน่ะโดนมากกว่าคนอื่น พระอื่นๆ เขาไม่โดนมากเท่าฉันหรอก ฉันน่ะมันใกล้ชิดท่านมาก โดนมาก แล้วก็เกเรมาก ขโมยก็เก่ง ขโมยไม่ใช่อะไร ขโมยคาถา อยากจะทดลองสมาธิ ทำได้แล้วก็ทิ้งน้ำไป


    เอา มาว่ากันไป ข้อที่ ๒ นะ ทีนี้ว่าถึงเรื่องรู้ของหลวงพ่อปาน ที่วัดบางนมโคนี่มีกุฏิอยู่หลังหนึ่ง ผีดุมาก กุฏิหน้าศาลา คือ ข้างล่างเป็นศาลาหน้ามุข แล้วข้างบนเป็นกุฏิคู่ ท่านทำเป็นสถานที่เรียนนักธรรม กุฏิคู่นี้มีพระขึ้นไปอยู่ ๒ รุ่น รุ่นละ ๒ องค์ อยู่กันถึงวันที่ ๔ ก็เสด็จลงมาหมด รุ่นแรกขึ้นไปกลับมาไม่บอกใคร ถามว่าทำไมไม่อยู่มันเงียบดี บอกไม่ชอบอยู่ เฉยๆ เขาพูดเฉยๆ รุ่นที่ ๒ ขึ้นไป ๓ วันลง แล้วต่อจากนั้นไปก็ไม่มีใครขึ้น ฉันก็อยากจะไปอยู่บ้างซิ มันเงียบดี ก็ลองๆดู ก็มีผู้ใหญ่เขาบอกให้ฟังนะว่าที่ตรงนี้ผีมันดุมาก หลวงพ่อปานเคยปลูกโรงเรียนบาลีตรงนี้ ผีมันดุ แต่เวลานี้ท่านรื้อไปแล้ว เอาสร้างเป็นศาลาหน้ามุข ฉันก็ไปขออนุญาตหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานบอกว่าอย่าไปเลยคุณที่ตรงนั้นมันไม่ค่อยดี ผีมันดุ ฉันเลยบอกว่า ตรงที่ผีดุๆนี่ผมชอบ เพราะอยากจะดูซิว่าผีมันมีฤทธิ์แค่ไหน ฮึ่ ดูซีลูกหลาน ฉันมันเหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขาที่ไหน หลวงพ่อปานท่านมองหน้า แล้วท่านก็ยิ้มๆบอก เอ้า อยากจะรู้ฤทธิ์รู้เดชผีก็ขึ้นไปได้ อนุญาต แต่อย่าลืมนา ถ้ามีเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาละ ตอนกลางคืนห้ามมาพบฉัน แกจะพบฉันได้ต่อเมื่อมันสว่างแล้ว เอาละซี ก็เป็นอันว่าตกลง ทีนี้เวลาจะไปก็เตรียมหวายตีผีไปด้วย เอาไว้สู้กันให้เต็มที่ มีตะเกียงโคมลูกหนึ่ง ห่มสบงทรงจีวรพาดสังฆาฏิครบถ้วน ขึ้นไปบนนั้นประมาณ ๑ ทุ่ม แล้วไปนอนอ่านหนังสืออยู่ มันเป็นกุฏิ ๒ หลังอยู่คู่กัน ห่างกันประมาณ ๒ วา เมื่อขณะอ่านหนังสืออยู่ปรากฏว่ามีเสียงคุยกัน เป็นเสียงผู้ชายเสียงใหญ่ๆ คุยกันที่กุฏิอีกหลังหนึ่งที่ฉันไม่ได้อยู่ เสียงเพรียกไปหมด กะเสียงคนประมาณห้าหกสิบคน ฉันก็คิดว่าพวกทำเขื่อนหน้าวัดบางนมโคหรือพวกเจ๊กมาคุยกัน ฉันฟังไม่รู้เรื่อง จะว่าเป็นภาษาเจ๊กก็ไม่ใช่ ภาษาไทยก็ไม่รู้เรื่อง สงสัยว่าไอ้พวกนี้นี่มันยังไง เรานอนอยู่ตรงนี้นี่นา มันน่าจะเกรงใจเราบ้าง แต่ที่ไหนได้ พอคว้าไฟฉายไปส่องดูไม่มี ไม่มีอะไรเลย เรียกว่าคนไม่มี ผีก็ไม่เห็น เงียบ กุฏิเขาก็ใส่กุญแจไว้นี่ หน้าต่างทุกบานเปิดไม่ออกเพราะติดกลอน ต้องไปไขกุญแจ ไขกุญแจดูก็ไม่มีอะไรเลย นึกว่านี่น่ากลัวจะเป็นผี ก็เลยคิดว่าช่างมัน อยากจะดูนักว่าผีมันเป็นยังไง ทีนี้พอถึงตอนดึกฉันก็นอน หลังตี ๑ ครึ่งฉันตื่นเป็นปกติ ตี ๑ ครึ่งตื่นขึ้นมาแล้ว ล้างหน้าล้างตา ทำวัตรสวดมนตร์ พอตี ๒ พอดีฉันก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน ไปเลิกเอาตอนตี ๔ ออกเดินจงกรม หรือไม่ยังงั้นก็ทบทวนความรู้จากพระปริยัติ คือจากหนังสือว่ากันตามเรื่อง ตามแบบฉบับของพระ แล้วตั้งแต่ตอนตี ๒ ถึงตี ๔ น่ะ ต้องเข้าฌานเต็มระดับ เอากันเต็มที่ จะมีฌานเท่าไหร่มีวิปัสสนาญาณเท่าไร ว่ากันเต็มอัตราศึก แล้วเวลาถึงตี ๔ คลายออกมาแล้วก็ทรงไว้แต่อุปจารสมาธิบ้าง ทรงไว้แค่ปฐมฌานบ้าง เพื่อสำหรับเวลาเช้าจะได้ไปบิณฑบาต จะเข้าในเกณฑ์ที่เรียกว่าพระโปรดสัตว์ ไม่ใช่พระไปให้สัตว์โปรด เป็นยังงี้หนา คืนนี้พอถึงตี ๑ ครึ่ง ฉันตื่นขึ้นมาไม่ใช่ยังงั้นเสียแล้ว เสียงข้างนอกโดดกันโครงครามๆ กุฏิหลังนั้นมันมีชานข้างนอกรอบตัว แล้วก็เป็นเวลาเดือนหงาย ฉันเปิดออกไปดู เห็นคนบอกไม่ถูกเลย เยอะแยะไปหมด โดดกัน พื้นน่ะมันเป็นคอนกรีต มันโดดสะท้านเลย ตึงๆๆ มองไปแล้วทุกคนไม่มีหัว เดือนหงายจัด ฉันมองเห็นชัด ดูทุกคนแหละ ไม่มีหัวสักคน ฉันก็ยืนมองดูคิดในใจว่า เอ๊ะ ไอ้พวกนี้ไม่มีหัว มันโดดได้ยังไง นี่แปลกใจตัวเองนะว่า ธรรมดาคนเราน่ะถ้าไม่มีหัวละก็ ลุกไม่ขึ้น ไอ้นี่ตั้งแต่คอถึงหัวขึ้นไปนี่มันไม่มี แต่เห็นมันกระโดดกันโหยงเหยงๆ ฉันเลยปล่อยมัน ดูมันอยู่ประเดี๋ยว กลัวจะเสียเวลาพระกรรมฐาน ฉันก็ล้างหน้า ล้างหน้าเสร็จแล้วมาทำวัตรสวดมนตร์ มันก็กระโดดของมันยังงั้น พอถึงเวลาตีสองฉันก็เข้าเจริญพระกรรมฐาน ตอนนี้วิ่งเข้ามาโดดในกุฎิ แต่ว่าเข้าไปไม่ถึงตัวฉันนะ มันห่างอยู่สักวา ๑ ตามที่หลวงพ่อปานสั่งว่า ผีน่ะเข้าใกล้ตัวคนที่เจริญพระกรรมฐานเกินกว่า ๑ วาไม่ได้ ต้องอยู่ห่างไปประมาณ ๑ วา ฉันก็รู้ว่าห่าง ๑ วาน่ะมันเอื้อมมือไม่ถึง มันทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ฉันก็นั่งทำพระกรรมฐานตามปกติ ต่อมาเมื่อถึงเวลาตี ๔ ฉันก็เลิก เลิกลืมตาขึ้นมามันก็หนีออกไปโดอยู่ข้างนอก ฉันก็ปล่อยมัน แล้วทรงสมาธิอยู่แค่อุปจารสมาธิ ตอนนี้หยิบตำราขึ้นมาดู ตำราพระปริยัติ เรื่องของพระไตรปิฎกหยิบขึ้นมาอ่าน รู้สึกว่าเพลีย ตามธรรมดามันไม่เพลีย คืนนั้นรู้สึกว่าเพลีย อ่านไปสักครึ่งชั่วโมงก็รู้สึกว่าเพลีย ก็เลยวางหนังสือ วางหนังสือแล้วอากาศมันชักหนาวๆก็เลยเอาผ้ามาห่ม พอวางหนังสือชักผ้าห่ม ตอนนี้สมาธิมันคลายไปนิดหนึ่ง พอผ้าห่มถึงหน้าอกก็ปรากฏว่าเจ้าผีตนหนึ่งมันโดดเข้ามาพร้อมกับผ้า คร่อมอกพอดี เจ้านี่มีหัว ผมรุงรัง หน้าเสี้ยมๆ มีผ้าห้อยคอผืนหนึ่ง ผ้าอีกผืนหนึ่งมันลอยชาย ผอมๆ เกร็งๆ ผิวดำๆ มันโดดเข้ามาแล้วมันทำท่าจะเอามือบีบคอฉัน ฉันดิ้นมันก็ไม่หลุด เลยนึกในใจว่า ไม่ได้ ไอ้นี่เดี๋ยวต้องตีด้วยหวาย พอมันจะบีบคอฉันก็เอื้อมมือขวาจะหยิบด้วยหวาย มันก็เอาแขนซ้ายของมันมากดแขนขวาฉันไว้ ฉันก็เอาแขนซ้ายขยับจะหยิบหวาย มันก็เอาแขนขวามากดแขนซ้ายฉันไว้ เป็นอันว่ามันก็บีบคอฉันไม่ได้ ฉันก็ทำอะไรมันไม่ได้ ถ้ามันปล่อยมือไหนก็ตาม ฉันก็จะเอาหวายตีมัน มันทำฉันไม่ได้ มันก็นั่งคร่อมไว้เฉยๆ ฉันก็ว่าคาถาขับผี กี่บทๆมันก็ไม่กลัว มีบทหนึ่งว่าไปแล้วก็เป่ามัน มันก็ว่ากูไม่กลัว คาถาบทนี้ กูไม่กลัว ก็มานึกได้อีกบทหนึ่ง หมอขับผีชั้นดีเขาให้ไว้ ก็ว่าคาถาบทนั้นไปจบก็เป่ามัน มันบอกว่าบทนี้กูไม่กลัว ก็มานึกได้อีกบทหนึ่ง หมอขับผีชั้นดีเขาให้ไว้ ก็ว่าคาถาบทนั้นไปจบก็เป่ามัน มันบอกว่าบทนี้กูก็ไม่กลัว บทนี้มึงได้ครึ่งเดียวนี่หว่า คาถามันต้องมีอีกครึ่งหนึ่ง มันก็เลยว่าต่อให้ฟังเสียอีกครึ่งหนึ่ง กลายเป็นอาจารย์ขับผีไป ก็มานึกในใจว่า เอ ไอ้เจ้าผีนี่ อะไรๆมันก็ไม่กลัว เห็นท่าจะหมดท่าแล้วซี มันก็ไม่ลงชักอึดอัด มันจะบีบคอก็บีบไม่ได้ ฉันจะตีมันก็ตีไม่ได้ หวายอันนั้น ถ้าได้ตีแล้วผีไม่อยู่หรอก ผีเปิดเพราะหลวงพ่อปานให้ไว้ก็มานึกในใจว่านี่หลวงพ่อปานท่านเคยบอกว่าในโลกทั้ง ๓ คือ เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มนุษย์โลกก็ดี ไม่มีใครมีความดีหรือมีอำนาจเท่าพระพุทธเจ้า ก็เลยนึกว่าไอ้พวกนี้ต้องอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าเล่นงานเสียแล้ว ก็เลยอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า แล้วภาวนาว่า พุทโธ พอฉันว่าพุทโธได้ ๑ คำ ฉันก็เป่าพรวด มันก็กระเด็นวี๊ด แล้วก็วิ่งหนีไปเลย ตอนนี้ฉันดีใจเลยนึกในใจว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย เรื่องคาถาขับผีน่ะ คราวหลังใครอย่ามาสอนเลย ไม่ขอเรียนอีกต่อไปแล้ว ไม่ขอเรียน ขอใช้แต่พุทโธนี่บทเดียวพอแล้ว แหมพ่อเจ้าครูทั้งหลายคุยเสียหนักเสียหนาบอกว่าคาถาเก่ง เอาเข้าจริงผีไม่กลัว เมื่อเจ้านั่นไปฉันก็เพลีย ทำท่านอน พอจะหลับตัวหนึ่งตัวอ้วนๆดำๆ มันโดดเข้ามาทางหัวนอน มาถึงเอามือคว้าคอฉันปับเข้าให้ มันจะบีบอีก ฉันเหลียวไปจะเป่า มันกระโดดไปเลย ตรงที่มันคว้าคอได้นี่ยุ่งเจ็บไปหมดทั้งตัวเลย มันเจ็บจริงๆ มันไปแล้วก็เจ็บ ฉันนอนคอยเวลา พอแสงทองขึ้น เวลาที่พระจะออกบิณฑบาต ฉันก็เดินกะซ่องกะแซ่งๆ ไปหาหลวงพ่อปาน เรียกว่าเดินกะซ่องกะแซ่ง ไม่ใช่เดินกระปรี้กระเปร่า มันไม่ไหวมันเจ็บจริงๆ เจ็บทั้งตัว ตามธรรมดาหลวงพ่อปานท่านให้อาจารย์เจิมเปิดประตูเวลาโมงเช้าแต่วันนั้นพอใกล้จะ ๖ โมง หลวงพ่อปานสั่งให้อาจารย์เจิมเปิดประตูกุฏิ อาจารย์เจิมก็บอกว่าท่านขอรับเวลานี้ยังไม่ ๖ โมง แต่ใกล้จะ ๖ โมง หลวงพ่อปานก็บอกว่า เปิดเถอะ เดี๋ยวไอ้ตัวดีมันมา เมื่อคืนนี้มันขออนุญาตเข้าไปนอนที่กุฏิหน้าศาลา ผีล่อมันตลอดครึ่งคืนเลย เรียกว่าตลอดทั้งคืนเลยก็แล้วกัน ผีล่อมันตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง นี่ถูกผีบีบคอแล้ว แต่ว่าทำอะไรมันไม่ได้ ไอ้นี่มันแกร่งจริงๆ ประเดี๋ยวมันก็มาหรอก อาจารย์เจิมบอกว่าหลวงพ่อปานพูดจบประเดี๋ยวเดียวฉันก็โผล่พอดี พอโผล่เข้าไปเห็นท่านมานั่งคุยอยู่หน้ากุฏิ พอเข้าไปก็กราบท่าน ถามว่ายังไงล่ะ พ่อตัวดีพอทนไหวไหม บอก ไหวครับ ท่านว่าทนยังไง บอก อื้อฮือ เมื่อคืนไอ้ผีมันเล่นงานผมเสียแย่เลย ตอนไหนไม่สำคัญ ตอนสุดท้ายซีครับ มันโดดเข้ามาข้างหลังคว้าคอปวดไปหมด เอ้า ก้มหัวมา ก็เลยก้มหัวไปหาท่าน ท่านเป่าทีเดียวเหมือนกับยกไปทิ้งเลย หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านก็ถามว่านี่จะไปอยู่อีกไหม บอกว่าไปขอรับ บอกว่าอ้าว ถ้าหากว่ามันเอาอีกนะ ฉันรู้มาว่ามันจะเอาแกอีก ตอบว่าเอาเป็นเอากันครับ อีคราวนี้ผมไม่เผลอละ ตั้งท่าสู้กันให้ได้ มันต้องแพ้กันไปข้างหนึ่งขอรับ แต่ผมไม่ยอมแพ้ ถ้าผมแพ้ผมจะต้องไปเป็นผีรบกับมันอีก


    อือ ฟังดูนะลูกหลาน อารมณ์อย่างนี้มันเป็นอารมณ์ของกิเลสนะ ไม่ใช่ของดี แต่ตัวที่มีจิตจะสู้ก็ดีเหมือนกัน มันควรจะสู้กับกิเลส นี่แบกกิเลสไปชนกะกิเลสเสียนี่ แต่หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ว่า บอกว่า เอา ในเมื่อแกไม่เข็ด แกอยากจะสู้กับมันก็เอา แต่ว่าอย่าลืมนะ อย่าลืม ต่อแต่นี้ไปสติสัมปชัญญะ การทรงสมาธิทรงไว้เป็นปกติ มันจะทำอะไรแกไม่ได้เลย นี่มันทำแกได้อีตอนที่แกเผลอ แกชักผ้าห่มขึ้นไปปิดอกแก แกนึกถึงแต่ผ้าห่มกับความหนาว แกลืมนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ตอนที่มันจับแกได้ แกคิดว่าแกจะหลับเฉยๆ แกไม่ได้คุมอารมณ์สมาธิ ถ้าแกคุมไว้แล้วมันทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้ฉันจำได้ ฉันกลับไปอยู่ใหม่ฉันก็ตั้งท่าแบบนั้น แล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ครบ ๙๐ วัน เรียกว่า ๙๐ คืนนะ ไอ้ผีนั่นมันเล่นงานฉันทุกคืน มันแสดงบทบาทต่างๆ พอใกล้จะครบ ๙๐ ใกล้จะออกพรรษา มันว่ากระทั่งกลางวัน กลางวงกลางวันมันอยากหลอกมันก็หลอก ฉันก็นอนดูมันตามสบาย ฉันก็มีอาวุธอยู่ ๒ อัน หวายอันหนึ่ง แล้วก็ไม้คมแฝกอันหนึ่ง เอาไว้ตีกะผี คิดว่าถ้าหวายตีมันไม่เจ็บจะนวดด้วยไม้คมแฝก แต่ว่ามันก็เล่น มันก็เดินใกล้ๆบ้าง เดินเล่นโก้ๆบ้าง ตามเรื่องตามราวของมัน มันจะทำยังไง ห้อยโหนโยนตัวมันก็ทำตามเรื่อง พอครบ ๓ เดือนมันก็หายไป ตอนนี้มาถามหลวงพ่อปานว่าผีอะไรมันถึงดุนัก ท่านบอกว่าไม่ใช่ผีหรอก พวกนี้น่ะเป็นพวกยักษ์บ้าง พวกกุมภัณฑ์บ้าง เป็นพวกท้าวเวสสุวัณกับท้าววิรุฬหก ทั้ง ๒ พวกนี่มีอำนาจมาก แล้วก็ชอบลองคน ก็คุณมันไม่กลัวนี่เขาก็ลอง คุณมันเป็นพวกเดียวกับฉัน แล้วคืนนี้คุณฟังเสียงนะ มันจะมาเรียกคุณว่าเพื่อน เป็นความจริง คืนนั้นกลับไปใหม่ มันไม่หลอกแล้ว เลิกการแสดงต่างๆ มันไม่หลอก มันเงียบๆ วันนั้นฉันตื่นขึ้นตี ๔ มันสบาย ไม่ใช่ตี ๒ ได้ยินคน ๒ คนคุยกันหน้ากุฏิ คุยกันเสียงดังคล้ายภาษาไทยแต่ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงใหญ่ คนหนึ่งเขาบอกว่า เฮ้ย ใกล้สว่างแล้วเว้ย กูจะไปละ คนหนึ่งก็บอก อือ กูก็จะไปเหมือนกันว่ะ แต่พระเพื่อนกูเขายังไงไม่รู้ เขาเคยตื่นตี ๒ แต่วันนี้ทำไมนอนไม่ตื่นก็ไม่รู้ เดี๋ยวปลุกเขาก่อน เขาเคาะประตูดังๆ แล้วบอกว่า ท่านๆ ตื่นเฮอะ นี่มันตี ๔ แล้ว ไม่ใช่ตี ๒ ฉันสงสัยคว้าไฟฉายโดดลงทางหน้าต่างสกัด เพราะทางที่จะลงน่ะมันต้องผ่านหน้าต่างเป็นเชิงคอนกรีต มันเป็นชานตลอด เอาไฟฉายไปกราดดู เสียงหัวเราะดังฮ่าๆๆ ร้องบอกมาว่าเอาไฟฉายไปฉายดูผีมันจะเห็นรึ เท่านั้นฉันเลยกลับ ทีนี้ตอนเช้าฉันมาหาหลวงพ่อปาน ท่านบอกว่านั่นไม่ใช่ใครหรอก พวกยักษ์เขามาคุมคุณ เพื่อนเก่าๆ น่ะแหละ


    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เวลาฉันนอนฉันก็สั่งฉันจะตื่นเวลาไหน ฉันจะมีธุระอะไรก็สั่งเขา เขาปลุกเขาบอกได้ตามเวลาเป๋ง นี่เป็นเรื่องของผี หลวงพ่อปานท่านรู้เพราะอำนาจทิพยจักษุญาณ นี่เล่าให้ฟังนะ เล่าให้เห็นว่าท่านใช้อำนาจทิพยจักษุญาณ


    แต่นี่ตอนหนึ่งฉันขโมยคาถาเล่นโป นี่เล่าให้ฟังง่ายๆ ขโมยคาถาเล่นโป คาถาเล่นโปของท่านน่ะต้องใช้ผีตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร เขาใช้สีผึ้งปิดหน้า เมื่อฉันได้คาถามาแล้ว ฉันก็หาสีผึ้งได้ หาต้นก้นปิด หาตะไคร่สีมา หาตะกอนจากน้ำสรงพระพุทธเอามารวมกันได้ เมื่อรวมกันแล้วฉันก็เอามาเสก เขาเล่าในคาถาว่า ๓ เดือน เอานิ้วมือเป็นก้อนเส้า เอาตลับตั้งอยู่บนนิ้วมือ ๓ นิ้ว แล้วเสก ๓ เดือน นี่ใช้ได้แต่ยังไม่ดีพอ ต่อไปพอเดือนที่ ๔ จะมีกลิ่นเหมือนกะซากศพ อันนี้เป็นชั้นที่ ๒ ถ้าหากว่ากลิ่นเหม็นหายไป มีสีเขียวเป็นปีกแมลงทับ จะเป็นอันดับ ๑ ฉันมาเสกจริงๆ ไม่ถึงเดือนหรอกมันเดือด เดือนเดียวเท่านั้นแหละเข้าอันดับ ๑ นี่ฉันลองสมาธิของฉัน พอฉันทำได้แล้วปรากฏว่าฉันไม่รู้จักโป การพนันน่ะฉันไม่รู้จักกับเขา ก็ให้เพื่อนไปลองเล่น ให้เพื่อนไปหาโปมา คนที่เล่นโปเป็นมาลองปั่นกัน มันก็ออกตามตำราจริงๆ ฉันมัวเล่นเพลินอยู่ หลวงพ่อปานอยู่ที่เขาวงพระจันทร์ ไม่รู้ว่าย่องไปยังไงซี ย่องไปยังไงก็ไม่รู้ ไปยืนอยู่ข้างหลัง ตี ๒ นะ เอาไม้เท้าล่อหัวฉันโป๊กเข้าให้ บอกว่าไอ้นี่รึอาจารย์ใหญ่ ชะ ๆ ๆ ๆ ๆ จะไปปล้นเขารึยังไงพ่อคุณ ทำให้เขาจนแล้วเราจะรวยยังไง นี่มันใช้ไม่ได้ เอาไปทิ้ง ผลที่สุดพระองค์หนึ่งรับอาสาเอาไปทิ้ง มันกลางคืนนี่ พระองค์นั้นเล่นเหลี่ยมเหมือนกัน เวลาไปถึงแกไม่ได้ทิ้ง แกใส่ไว้ในกระเป๋าอังสะแล้วเดินกลับมาบอกว่าทิ้งแล้ว หลวงพ่อชี้ไปที่กระเป๋าบอก แกนึกว่าพระแก่ไม่เห็นรึวะ ในกระเป๋านั่นล้วงออกมา พอล้วงออกมาปรากฏว่าตลับสีผึ้งอันนั้นจริงๆ พระองค์นั้นเลยโดนตะพดล่อกระบาลโป๊กเข้าให้อีก ให้เอาไปทิ้งใหม่ พอเอาไปทิ้งแล้วตานี้ทำยังไง ตอนกลับกุฏิกลับไม่ได้ต้องจูงเข้าไปส่ง เอาละซี เห็นไหมล่ะ มาน่ะมาได้แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน


    ความจริงท่านอยู่เขาวงพระจันทร์ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้กลับวัดนี่ ฉันก็ไปเล่นกันบนศาลาหน้า เวลาท่านกลับมันต้องรู้ พอมาส่งที่กุฏิปรากฏว่าไม่มีใครมาด้วยมาคนเดียว เรือแพไม่มี เลยถามหลวงพ่อมายังไง ท่านไม่ตอบ ท่านตอบว่านางตะเคียนเขาไปฟ้องข้าว่าแกทำคาถาเล่นโป แล้วก็คิดจะสึก นี่จะหาความระยำละซีนี่ หาความร่ำรวยด้วยการปล้นเขายังงั้นรึ หาเรื่องตกนรก คนเล่นการพนันน่ะใครมันรวยบ้าง เลยบอกว่า ถ้าโปมันออกแบบนี้ละรวยแน่ขอรับหลวงพ่อ ท่านบอกไม่รวย ความพอมันไม่มี คนที่จะรวยกันจริงๆคือคนพอ คนไหนถ้ายังไม่พอ คนนั้นหาความรวยไม่ได้ มันเป็นกิเลสน่ะ อย่าไปยุ่งมันเลย ไอ้นี่ฉันเขียนทิ้งไว้ ฉันรู้ว่าแกจะเอาของฉัน ถ้าฉันเขียนทิ้งไว้แกต้องทำ ทำเพื่อฝึกสมาธิ ถ้าทำเพื่อฝึกผลสมาธิอันนี้ดีแกใช้ได้แล้วนะ แล้วผลที่สุดท่านก็สอนเสียคืนหนึ่ง คืนนั้นไม่ได้นอนกัน ทั้งหมดน่ะแหละไม่ได้นอน ตอนนี้แสดงว่าท่านใช้อำนาจทิพยจักษุญาณ ถ้าทิพยจักษุญาณของท่านไม่มี ท่านก็ไม่เห็นนางตะเคียน นางตะเคียนพูดให้ฟัง ท่านก็ไม่รู้ นี่นางตะเคียนพูดให้ฟัง ท่านรู้ ท่านได้ยินเสียงเทวดา ก็เรียกว่ามีทิพยโสตญาณ มีประสาทหูเป็นทิพย์ นี่เรียกว่าเล่าเรื่องญาณพิเศษของท่านให้ฟัง


    ต่อมาเป็นคาถาทำนก เสกกระดาษเป็นนก นี่เหมือนกันไม่มีอะไรมากหรอก ท่านเขียนคาถาก่อนที่ท่านจะไปเขาวงพระจันทร์ เขียนคาถาทิ้งไว้ข้างที่นอน ชอบทำยังงั้นเสียด้วยนา แล้วคนอื่นน่ะเขาไม่ยุ่งหรอก มีฉันคนเดียวมันยุ่ง ชอบทำ ฉันชอบเล่น ท่านบอกว่าคาถาบทนี้เขียนตัวนกเข้าในใบไม้ แล้วเสกเป็นนก เมื่อเสกแล้วจะขี่ไปไหนก็ได้ พอฉันได้แล้วฉันไม่รู้จะเขียนอะไร เห็นยาซิกาแร็ตสมัยนั้นมันมียาตรานกอินทรี ฉันเลยเขียนรูปนกอินทรีเข้าให้ ไปนั่งเสกในป่าช้า เสกประเดี๋ยวเดียวมันชักดุบดิบๆขึ้นมาในมือ พอดุบดิบๆขึ้นมาก็นึกในใจว่า เอ๊ะ นี่ถ้าเกิดเป็นนกอินทรีจริงๆ เขาบอกว่านกอินทรีมันกินคน ถ้ามันเป็นนกขึ้นมาแล้วมันดันกินฉันเข้าไปนี่มันจะยุ่ง เลยตกใจ วางไว้ แล้วเอาใบไม้ใบนั้นมาเก็บ ปรากฏว่าส่วนที่ไม่ได้เขียนเป็นตัวนก ภายนอกตัวนกมันแห้งกรอบ แต่ส่วนที่เขียนเป็นตัวนกมันเขียว หลวงพ่อปานกลับมาจากเขาวงพระจันทร์ ถามว่าแกขโมยคาถาเสกเป็นนกของฉันรึ บอกว่าขอรับ ถามว่าทำได้ไหม บอกว่าผมเห็นมันดิ้นๆ ผมเลยกลัวครับ ถามว่ากลัวทำไม บอกว่าผมดันไปเขียนรูปนกอินทรีเข้านี่ครับ ผมกลัวว่าถ้ามันเป็นนกจริงๆ แล้ว มันจะกินผมเข้า เลยเลิกเพราะตกใจ แล้วเก็บไว้ ไอ้ใบไม้ข้างนอกรูปนกมันกรอบ แต่ส่วนที่เขียนเป็นรูปนกในเส้นภายในเข้ามามันยังเขียว ท่านบอกคุณมันโง่ มันจะกินเรายังไงในเมื่อเราเสกมันขึ้นมา แล้วเวลาที่มันเป็นนกแล้วเราจะขี่ไปไหนเราก็ขี่ไปได้ จะไปสวรรค์จะไปนรก จะไปเมืองนอกเมืองนาเมืองฝรั่งมังค่าไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน ไปได้แบบสบายๆ แต่ระวังนะอย่าไปให้ชาวบ้านเขาเห็นนะ เดี๋ยวพระพุทธเจ้าท่านจะหาว่าแสดงฤทธิ์ จะถูกปรับอาบัติ นี่ก็สำคัญเหมือนกัน คอยจำกัดไว้ แล้วท่านบอกว่า สมมุติว่าเราจะเลิกให้มันเป็นนกไม่ยาก เรานึกว่าเจ้านี่จงเป็นใบไม้ เท่านั้นมันก็เป็น แล้วท่านเลยหยิบใบไม้มาเขียนๆ แล้วเสกเป็นนกกระจอก แต่ว่าตัวใหญ่เบ้อเร่อ ขนาดนกกระจอกเทศ ขี่ได้สบาย ท่านบอกให้ลองขี่ บอกว่าลองไม่ได้ครับหลวงพ่อเดี๋ยวบังคับไม่ได้ ท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอกฉันจะบังคับให้ ก็ลองขี่ดู ขี่ออกทางหน้าต่าง บินไปรอบๆ วัดพักหนึ่ง แล้วกลับลงมา เท่านั้นแหละพอ ท่านเลยบอกว่าเท่านี้นา แล้วแกอย่าเสกต่อไป คาถาบทนั้นเสกอีกไม่ได้ ถามว่าทำไมครับหลวงพ่อ ท่านบอกว่าไม่ได้หรอก ให้แกเสกได้ ประเดี๋ยวแกขี่ไปอวดชาวบ้านเขา แกมันคนชอบอวด คนไหนที่มันอยากให้ชาวบ้านเขาชมว่าดีน่ะคนนั้นมันยังไม่ดี ยังมีกิเลสท่วมหัวอยู่ อย่างแกนี่ แกนี่อยากจะหาดีอวดชาวบ้านเขา แต่ความจริงมันยังไม่ดีหรอก คนที่มีอารมณ์อย่างนี้ ต้องการให้ชาวบ้านเขาชมมันยังไม่ดี ยังมีกิเลสท่วมหัว ใช้ไม่ได้ ก็เลิกกันไป เรื่องนั้นเลิกกันไป ทีนี้มาถึงเรื่องธุดงค์


    เรื่องธุดงค์ของฉันเล่ากันแบบย่อๆนะ ตอนนี้เล่ากันแบบสรุปๆ เพราะว่าฉันเองชักจะเหนื่อย แต่ว่าก็เล่าให้ฟังนะ ฉันออกธุดงค์น่ะ ความจริงฉันออกทุกปี ถึงเวลาเดือนอ้ายหรืออย่างช้าเดือนยี่ ฉันออกธุดงค์แบบอุกฤษฎ์ เวลาไปธุดงค์ของฉันก็ต้องการไม่มีบ้าน ไปธุดงค์กันขนาดไม่มีบ้าน อย่างน้อย ๓ เดือน มิฉะนั้นก็ ๖ เดือน ๗ เดือนกลับวัด ไปกะไอ้เพื่อนฉัน ๒ คน ตอนไปน่ะไม่ต้องเล่าให้ฟังหรอก เรื่องของการไปกับหลวงพ่อปานน่ะมันดีอยู่แล้ว ฟังกันมาแล้วนะ ตอนที่ฉันไปตามลำพังยังงี้ซี เมื่อไปถึงโน้น สายแม่สอดใกล้ๆกับพม่าน่ะ ฉันไปเจอะพวกที่พูดภาษาไม่รู้เรื่องโด๊กเด๊กๆๆ ฉันไม่รู้ภาษามัน ตอนที่ไปว่าไม่รู้มันที่ไหน มุ่งหน้าตัดไปทางทิศตะวันตก ออกจากวัด ๓ วัน ไม่เคยพบบ้าน คือว่าออกจากวัดมุ่งหน้าไปอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ปักกลดค่ำ ออกจากเขตอำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ข้ามประตูน้ำโพธิ์พญา ข้ามไปด้านโน้น ทางฝั่งตะวันตก ตัดไปทางบ้านไร่รถ แม่น้ำเก่าของจังหวัดสุพรรณบุรี ปักกลดตรงนั้นอีกทีหนึ่ง รุ่งขึ้นอีกวันเดินทางไปทางหนองนา ออกไปก็ไปเจอบ้านเล็กๆ ปักกลดอีกครั้ง จากนั้นไปไม่มีบ้าน มีแต่ป่าไปจนกระทั่งสัตว์ต่างๆมันเห็นฉันมันไม่หลีกหรอก อย่างไก่ป่าที่เขาว่ามันเปรียว มันหนีคน มันเห็นฉันมันไม่หลีก ฉันเดินไปใกล้ๆมัน มันแหงนหน้าดู มันคงจะคิดว่าไอ้ไก่พวกนี้ยังไงนะหัวโล้น มันคงจะคิดยังงั้นนะ ไอ้ไก่นี่มันหัวล้าน รุ่มร่าม มีอะไรแบบนี้มันแปลก แล้วมันก็มี ๒ ขา พวกเรามี ๔ ขา ไอ้อีก ๒ ข้างหน้าไปจับของแบกหรือถือของไว้ ๒ ขาเดิน มันคงจะคิดอย่างนั้น มันคิดอย่างฉันหรือเปล่าก็ไม่รู้ เวลาที่เข้าไปในป่ามันมีความเพลิดเพลินอยู่อย่างหนึ่ง ได้ยินเสียงดนตรีทุกวัน กลองยาวบ้าง แตรวงบ้าง เครื่องสายบ้าง ปี่พาทย์เครื่องไทยบ้าง เพลงมอญบ้าง ได้ยินแต่เสียง ได้ยินใกล้ๆ ไม่ใช่แว่วๆ หรือคิดในใจหรือค้างหู ไม่ใช่ยังงั้นนะ ได้ยินกันขนาดที่เรียกว่าเรานั่งกันติดวงปี่พาทย์เลย เทียบเสียงยังงี้นะ ได้ยินกันจริงๆ บางทีร้องส่งนะ เจื้อยแจ้วอย่างบอกไม่ถูก นี่ความเพลิดเพลินมันมีอย่างนี้ มันมีความเพลิดเพลินอย่างแปลกๆ แต่ว่ามันเพลินไม่ได้ ถ้าได้ยินเสียงพวกนี้เข้าต้องปลงวิปัสสนาญาณทันที ปลงยังไง คิดว่าเสียงนี้ถ้าเขาไม่สีหรือเขาไม่ตีมันอีก ได้ยินเสียงป๊งลงไป ถ้าเขาไม่ตีป๊งที่ ๒ เสียงมันก็ขาด เทียบกับชีวิต คือลมหายใจออก ถ้ามันไม่เข้ามาเราก็ตาย หายใจเข้าแล้วถ้าเราไม่หายใจออกมันก็ตาย นี่ตามศัพท์พระศาสนาเรียกว่าสันตติ มันเกิดติดต่อสืบเนื่องกันนี่ ต้องใช้อารมณ์แบบนั้นนะ ไม่ใช่ไปนั่งฟังเพลิน บรรดาอีหนูทั้งหลายไม่เห็นตัว ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว มันเพราะจริงๆ เสียงของแกมันนิ่มนวลเสนาะบอกไม่ถูก หาเสียงเครือเสียงอะไรไม่ได้ มันเพราะจริงๆ ถ้าเป็นคนละฉันซื้อแพงนะเสียงแบบนี้ เวลาได้ยินเสียงพวกนี้เข้าต้องคิดว่า ตามธรรมดาเสียงของผู้หญิงเป็นเครื่องเสียดแทงใจของผู้ชาย แต่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนใดก็ตาม เมื่อมีเกิดขึ้นในเบื้องต้นก็ต้องมีความเปลี่ยนแปลง มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความทุกข์ทรมาน มีความตายเป็นที่สุด เสียงนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเขาร้องคำแรก ถ้าเขาไม่ร้องคำหลังมันก็ขาดไป นี่การสลายตัวให้ปรากฏอยู่เสมอ นี่เป็นเรื่องของพระธุดงค์เขาต้องคิด


    เวลาไปอย่างนั้น ไอ้เจ้าแมวตัวใหญ่ๆ ไอ้เจ้าเสือน่ะ เจ้าเสือนี้มันชอบใจนัก เห็นพวกเราละมันชอบจริงๆ บางทีเรานั่งคุย เขาเดินไปไหนก็ตาม เขาเห็นละเขาต้องมานั่งใกล้ๆ เอาตูดนั่งกับพื้น ๒ เท้าหน้ายัน แล้วยื่นหน้ายื่นตาห่างประมาณสักวาบ้าง ไม่ถึงวาบ้าง มองหน้าคนโน้นที มองหน้าคนนี้ที แล้วทำหนวดดุ๊บดิ๊บๆ คล้ายๆ มันจะคุยอะไร พวกเราเห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร มันไม่รู้สึกกลัว มันเป็นธรรมดาๆ เป็นปกติเสียจริงๆเลย ตรงนี้จะไปกลัวอะไร ก็เคยไปกับหลวงพ่อปาน มันชินมาเสียแล้ว แต่ไปทางด้านตะวันตกนี่ไม่มีลิงลูบหัว ลิงไม่มี ลิงไม่ได้มาลูบหัว เวลาออกธุดงค์ก็รู้สึกอารมณ์มันแจ่มใส ที่ชอบน่ะไม่ชอบอะไร ชอบว่าอารมณ์ของใจน่ะมันแจ่มใสจริงๆ แต่ว่าอย่าลืมนะ ขึ้นชื่อว่าสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มีสัพพัญญูวิสัย คือ ไม่ใช่รู้อะไรทั้งหมด มีเผลอ การหากินก็หาแบบบิณฑบาตให้คนมาใส่บาตร ฉันจะเล่าให้ฟัง ไอ้เพื่อนน่ะ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ปากระยำนี้น่ะ มันหาว่าฉันปากหมา ไอ้ปากมันน่ะ เลยปากหมาไปเป็นปากควาย ฮึ ด่ามันละ มันอยู่ที่ไหน มันได้ยินหรือไม่ได้ยินไม่รู้ละ ได้ยิน ไอ้ระยำพวกนี้พูดที่ไหนไม่ได้หรอก ได้ยิน พอพูดละผล่หน้ามาทั้ง ๒ ตัวเลย มาทำไมล่ะ อ๋อ กูยังไม่ตายหรอก มึงไปเหอะ ยังหรอก เมื่อวานนี้เขาเอาหีบศพมาให้หีบแล้ว อือ กูตั้งท่าจะตายว่ะ เมื่อไหร่จะตายสักทีก็ไม่รู้ อยู่ลำบากบรรลัย ฮึ ว่าไง เอ็งมันสบายนี่ ข้ามันต้องอยู่กับคนนี่หว่า มันลำบากใจพิลึกว่ะ เรื่องมันยังงี้ว่ะ คือว่าไอ้วัดไอ้วาอารามนี้นา เขาไม่ทำกันเว้ย ไอ้ข้าน่ะมันอยากจะเลิกทำเต็มทีแล้ว มันเหนื่อย แล้วลูกหลานข้าก็ลำบากจัง ต้องหาเงินหาทองกัน หือ ทำไม อ๋อ เออ ก็ใช่ ดี ไอ้การก่อสร้างชวนลูกชวนหลานเป็นบุญเป็นกุศล แต่ข้าสงสารลูกหลานข้าจังว่ะ เขาเหนื่อยกันจริงๆ เขาหาเงินกันกว่าจะได้แต่ละบาทมันแสนลำบาก แล้วก็ต้องมาแบ่งให้ข้ากินบ้าง ตอนที่เขาให้ข้ากินน่ะ ข้าเห็นอะไรมันเหมาะมันสมข้าก็เอาไปสร้างต่ออีก เพื่อเป็นการต่อเติมบุญให้ลูกให้หลานข้า แล้วถ้าไม่ทำ มันก็ไม่มีที่พักที่อยู่ ไอ้วัดนี้ข้าจะเลิกทำแล้วนา เออ ลูกหลานเขาจะมาทำกรรมฐานกันบ้าง พักกันบ้าง ก็หาที่ไม่ได้ พระจะมาบ้าง อะไรบ้าง ไม่มีที่จะพัก ก็เลยเอา ไปทำหลังคาโน้นไอ้ที่เขากำลังอยู่นี่น่ะ ไปดูซีนะ ไปดู พระเจ้ามาจะได้พัก หรือคนที่มาจะได้พักกันบ้าง แต่ว่าพวกกรุงเทพมาก็พักไม่ได้ หลังนั้นมันอยู่ข้างนอก นี่ข้าจะทำอีกหลังหนึ่ง ฮื่อ ไอ้พวกแกมันสบาย มันอยู่ในป่า เออ นี่พวกลูกหลานเขาบอกว่าเขาอยากจะพบพวกแกน่ะ แกจะให้พบได้ไหม ทำไมล่ะ ตามคำสั่งเหรอ อ้อ นี่เขาบอกว่าตามคำสั่งของหลวงพ่อ ต้องเป็นพระป่า ก็ขอเป็นพระป่า แต่อ้อ ว่ายังไง เออ จริงๆๆ นี่เขาว่ามายังงี้นะ เขาบอกว่าอย่าไปนึกถึงพระองค์ใดองค์หนึ่งเป็นสำคัญ ขอให้ทุกคนเอาใจเข้าไปจับอยู่ที่พระพุทธเจ้า ยังงั้นเหรอ เอ้อ เขาบอกว่าใช่ บอกว่านี่แหละ ที่พวกเราทุกคนเอาตัวรอดได้นี่เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัย แล้วบอกให้บอกลูกบอกหลานอย่าไปคิดอย่างอื่น ให้เอาใจจับอยู่ที่จุดเดียว ที่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน นอกนั้นจะนึกถึงใครก็ได้ แต่จงอย่านึกว่าใครมีความสำคัญกว่าพระพุทธเจ้า ยังงั้นใช่ไหม ฮื่อ เขาบอกว่าใช่ เออ แล้วไอ้ลูกไอ้หลานข้านี่ แกได้อภิญญานี่หว่า แกลองบอกข้าทีซิ ว่าไอ้ลูกหลานข้านี่ใครมันจะได้ดีกันบ้างไหม เอาถึงขนาดที่สุด เขาบอกว่าสมเด็จท่านบอกแล้วอย่าทำปากหมา เขาว่ายังงั้น เขาบอกว่าสมเด็จท่านบอกมาแล้ว อย่าทำปากหมามายุ่งกับฉัน บอกว่าเออไอ้ระยำ เอ็งน่ะไอ้ปากควาย ไปก็ไปเถอะวะ ไปเสีย เดี๋ยวข้าจะเล่าภาษาปากควายของเอ็ง หนอยแน่ะ พอพูดถึงก็โผล่หัวมาเลยนี่ เอ เอ็ง อยู่ที่ไหนกันว่ะนี่ พม่าเชียวเหรอ ทำไมล่ะ บอกว่าอีแถวๆนั้นมันไม่เป็นเรื่องหรอก ไอ้พวกก่อการดีมันเยอะ แล้วคนก็ไม่เป็นเรื่อง เออ ไอ้พวกก่อการดีนี่มันพวกไหนบ้างหว่า อ้อ งั้นเหรอ เขาบอกว่าไอ้พวกตีกลองสองหน้าก็มี เอาละเข้าใจ แกไปเถอะ มันเป็นเรื่องของชาวบ้าน ไม่ใช่เรื่องของพระ เขายังไงก็ช่างเขา เอ้า ไป ไปเสียทีไป


    เอ้า จะเล่าต่อไป แหมพอจะนินทามัน มันโผล่าหัวมาพอดี ไอ้สองตัวนี้สำคัญนักไม่ได้ มันถือว่ามันดี ฮื่อมันดีของมัน ไปดีแล้วก็ช่างมัน เออ ลูกหลานนี่ แล้วกัน ฉันเผลอไปแล้วซีไหมล่ะ ช่างเถอะนะ ก็จะได้รู้เรื่องความจริงของฉันเสียบ้าง ที่ฉันเผลอไปน่ะ ฉันคิดว่าฉันคุยกับเจ้านั่นเพลินไป วันหนึ่งออกเดินทางบิณฑบาต ความจริงไม่ใช่วันหนึ่งหรอก มัน ๓ วันมาแล้ว มีเด็กๆ สาวๆ ไม่ใช่สาวนักหรอก ถ้าไปยุ่งด้วยละเข้าตะรางเชียวนะ ขนาด ๑๓-๑๔ ได้หรือเปล่าไม่รู้ ตัวยังไม่โตนัก หน้าตามอมแมมเทียว แกมาใส่บาตรทุกวัน คนเดียว แล้วป่าสูงนี่น่ะ ต้นไม้มันเปล่า มองไปถึงไหนถึงไหน มองแล้วก็หาบ้านกันไม่ได้ ค้นบ้านกันไม่ได้ แต่เด็กสาวๆ เล็กๆ คนนี้ปรากฏมาใส่บาตรทุกวัน แล้วไอ้เจ้าปากควายเขาเกิดสงสัย ไอ้เจ้าลิงเล็กน่ะเขานึกว่า เด็กหรือว่าคน บ้านไม่มีแล้วมันมาใส่บาตรได้ยังไง เขาก็ถามว่า น้องสาวนี่บ้านอยู่ที่ไหน อยู่ในป่ามาใส่บาตรคนเดียวไม่กลัวเสือรึ แกหัวเราะเอิ๊กๆๆๆ แล้วหายเข้าป่าหายไปตั้งแต่วันนั้น พอรุ่งขึ้นไปบิณฑบาต ไม่มีใครใส่บาตร ตามธรรมดามีคนเดียว ๓ วันไปบิณฑบาตไม่มีใครใส่บาตร ก็ล่อหญ้ากันเข้าซิ มีเปราะป่าอยู่ข้างๆ ถอนเปราะป่าคือไอ้ใบม้วนๆ ของมันกินเข้าไป ดีเหมือนกัน กินเข้าไปพอประทังชีวิต เรียกว่าสมาทานเป็นควาย ไอ้ที่ฉันว่าเจ้านั่นเป็นปากควายก็เพราะมันไปพูดเข้าเชียว ถ้ามันไม่พูดฉันไม่อดข้าวหรอก มันพูดเข้าเท่านั้นก็ไม่มีใครใส่บาตร ผลที่สุดก็ต้องมานวดหญ้าอย่างควายน่ะซี อย่างนี้เขาเรียกว่าปากควาย ไอ้เจ้าปากควายทำพิษ เราจึงต้องกินหญ้ากัน เป็นควายอยู่ ๓ วัน นี่ลูกหลานใครเคยสมาทานเป็นควายบ้าง ฉันน่ะสมาทานเป็นพระน่ะไม่พอนะ เป็นควายยังได้ หลวงพ่อปานท่านตั้งให้เป็นลิงยังไม่พอ เป็นควายอีกด้วย ถ้าเป็นลิงก็ลิงควาย ไอ้ฉันมันว่าปากหมา ก็หมาควาย แล้วไอ้เจ้านั่นเป็นตัวควาย ไอ้ควายมันระยำกว่าหมา ถูกชาวบ้านเขาใช้งาน หมามันเห่าขโมยหรือไม่เห่าก็ได้ ฮึ อย่าไปทะเลาะกับมันเลย ปล่อยมันเถอะ นี่มันเรื่องของฉัน เพื่อนของฉัน ฉันจะพูดยังไงก็ได้ ลูกหลานอย่าไปพูดตามนะ ไม่ได้ เจ้าพวกนี้มีพลังมาก กำลังของมันไม่ทำใครหรอก เราดันเข้าไปหามัน มันไม่รับ แล้วกำลังนั้นจะดันกลับมา มันแรงกว่าอย่าไปยุ่งกับมันเลย ปล่อยเขาเถอะ เขาเป็นพระป่าพระดงก็ปล่อยเขา เขาถือคำสั่ง แต่พวกฉันนี่นะ ฉันก็เหมือนกัน ถ้าฉันไม่เคารพคำสั่งของหลวงพ่อปานละ ก็ เปิดฉิบนานแล้ว ฉันนอนฝันถึงป่าตลอดเวลา เวลานี้ ว่ามันมีความสุข เรื่องโรคภัยไข้เจ็บน่ะรึ อย่าไปนึกว่าฉันห่วงนา นี่ฉันห่วงตัวฉันก็เพราะห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงคนที่มีความหวังในบุญ ถ้าลองฉันไม่ห่วงใครละฉันปล่อย ให้มันตีโป่งไปนานแล้ว สบาย บ้านฉันสวยจะตายไป ฉันจะนอนทุกวัน นี่เวลา ๒ ทุ่มฉันไปเป็นประธานในการฝึกกรรมฐานของบรรดาลูกหลานของฉันมีไม่กี่คนหรอก สำนักฉันมี ๒-๓ คนเท่านั้นแหละ ไม่ได้มีเยอะแยะอย่างเขา พอฉันหลับตาปุ๊บ ฉันปลงสบาย ฉันก็ไปตีโป่งบ้านฉัน บางทีตอนดึกฉันกลับมานอนที่ที่นอน ฉันไม่ได้นอนที่นี่ ฉันกลับไปนอนที่บ้านฉัน เช้ามืดฉันก็มา ถ้าลองฉันไปนอนที่บ้านฉันแล้ว ปลุกไม่ค่อยตื่น จับตัวเขย่าไม่ค่อยตื่น ถ้านอนที่ตรงนี้ตื่นไว เป็นยังงั้น ในเมื่อพวกเราอดกันถึง ๓ วัน คืนวันที่ ๓ พวกเรานั่งกรรมฐาน ปรากฏเห็นหลวงพ่อปานไปหา ท่านไปหาทั้ง๓ องค์ แล้วต่างคนต่างพบเพราะนั่งกรรมฐานพร้อมกัน ไปบอกว่า คนที่เขามาใส่บาตรน่ะไม่ใช่คนหรอก เขาเป็นเทวดา ทีหลังอย่าไปยุ่งกับเขาซี เราต้องการอาหาร เราไม่ต้องการความรู้หรือชีวประวัติของเขา เขาจะเป็นใครก็ช่าง อย่าไปถามเขา พรุ่งนี้ไปแถวนั้นใหม่นะ ท่านว่ายังงั้น พ่อตกลงกับเขาแล้ว นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะมีคนใส่บาตรเพิ่มขึ้นเป็น ๓-๔ คน เมื่อลืมตาขึ้นมาต่างคนต่างพูดเหมือนกัน เรียกว่ามีความรู้สึกเหมือนกัน เห็นหลวงพ่อปานเหมือนกัน มีคำบอกเล่าของท่านเหมือนกัน ตอนเช้าไปบิณฑบาตปรากฏว่าพบ พบคน ๓-๔ คนจริงๆ อีหนูนั่นด้วย ตอนนี้ไปเห็นหน้าแกเข้า แกเริ่มยิ้ม พวกเราไม่ยิ้มแล้วก้มหน้า เวลาเขาใส่บาตรอย่าว่าแต่หน้าเลยมือยังไม่มอง เพราะอะไร เพราะกลัวอดข้าว นี่มันเป็นยังไงไอ้คนสันดานชั่ว เอาแต่บอกน่ะ มันไม่รับฟังหรอก มันต้องโดนตีเสียบ้าง มันต้องโดนยังงั้น คือว่าต้องสอบกันด้วยการให้อดข้าว จึงจะเป็นการสอบจริงกัน


    หลังจากนั้นมาก็อยู่กันแถวนั้นแหละ อยู่ในถ้ำบ้าง อยู่ในสถานที่โปร่งบ้าง ตามโคนต้นไม้บ้าง คือว่าพวกฉันจะไปธุดงค์ฉันไม่ได้เดินเปะปะไปไหนหรอกนา ฉันเข้าถึงดงได้ ฉันเข้าดงไหน ฉันก็อยู่ดงนั้นแหละ นี่แหละธุดงค์กันจริงๆ ธุดงค์ของฉันนี่หมายความว่าป่ากันเลย ไม่เข้าบ้านเพราะตั้งใจไปฝึกกรรมฐาน ไปทำใจให้สบาย เรียกว่าพากันไปละกิเลส เอาใบไม่ใบไร่ ต้นไม่ต้นไร่เป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ ใบไม้มันแห้งมันเหิ้งอยู่น่ะคิดไปว่าใบไม้มันสด มันเกิดมาใหม่ต่อไปมันก็ใหญ่ ต่อมามันเหี่ยวแห้งก็หล่น ชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน นี่ว่าแบบธรรมดาๆ ปีนั้นออกกันตั้งแต่เดือนอ้าย ตั้งแต่เดือน ๑ นับเป็นฝ่ายอะไร สุริยคติ จันทรคติอะไรฉันไม่รู้ จำไม่ได้หรอก แบบนี้ฉันไม่เอา พอรู้เรื่องนับแบบไทยๆ เราก็แล้วกัน เดือนไทยๆ เดือนไทยเก่า เขาเรียกกันว่าฝ่ายสุริยคติบ้าง ฝ่ายจันทรคติบ้าง พูดให้มันรู้ภาษาเล่นโก้ๆ มันจะเป็นประโยชน์อะไร พูดแล้วชาวบ้านชาวเมืองไม่กี่คนรู้ พูดทำไม ไอ้ฉันนี่นะ ไอ้เพื่อนมันว่าปากหมาก็จริง เขาจะพูดช่างเขาซิ ฉันไม่พูดก็เป็นเรื่องของฉัน เป็นอันว่าเดือนไทย เราออกกันตั้งแต่เดือนอ้าย พอใกล้จะถึงกลางเดือน ๖ มีผู้ชาย ๔ คน รูปร่างล่ำสัน ดำๆ ผมหยิกๆ ตาแดง พวกนี้น่ะยักษ์ ลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณจับได้แหงๆเลย ปลอมเป็นคนมาบอกว่า ท่านขอรับ ที่ตรงนั้นท่านอยู่ไม่ได้ นิมนต์ท่านไปอยู่ที่ด้านเขาทิศตะวันตกโน้น มีถ้ำใหญ่ขอรับ มีที่พักสบาย ที่นี่ฝนจะตก ๓ วัน ๓ คืน ฝนตกหนัก ถามแกว่าลุงทำไมรู้ แกบอกว่าผมรู้ครับ บ้านอยู่แถวนี้รึ แกบอกว่าบ้านอยู่แถวนี้ แต่เราก็รู้อีตานั่นแกโกหก ตาแดงแหง ไม่กระพริบ ลองตาแดงไม่กระพริบละก็ยักษ์ ถ้าตาผ่องใสไม่กระพริบละก็เทวดา นี่รู้กันอยู่ แต่แกบอกว่าแกอยู่แถวนั้น บอกว่า เรื่องอาหารการบริโภคไม่เป็นไรขอรับพรรคพวกกระผมจะถวายท่าน ก็ตามแกไป เข้าไปในด้านเขา ด้านทิศตะวันตกก็มีถ้ำใหญ่จริงๆ มันใหญ่มาก มีเงื้อมผาชะโงกมามาก พอเข้าไปอาศัยได้แล้วปรากฏว่าคืนนั้นฝนตกตลอดคืน แล้ว ๓ วัน ๓ คืนมันตกจริงๆ ตกกันเรียกว่าไม่ขาดเม็ด มันจะซาเม็ดลงไปบ้าง หนักบ้าง เบาบ้าง นี่เป็นของธรรมดา แต่ว่าระยะ ๓ วัน ๓ คืน นี่ฝนไม่ขาดจริงๆ ถึงเวลาเช้าพวกเขาก็มา ผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้าง มีงอบทำด้วยอะไรต่ออะไรก็ตามเถอะ นุ่งผ้าเก่าผ้าขาด เดินลุยน้ำลุยท่ากันมาเอาข้าวมาถวาย ฉันรู้ว่าเทวดาแกล้งทำ ทำเป็นคน ข้าวของแกเป็นข้าวแบบเดียวกับที่ฉันบิณฑบาตนั่นแหละ สีเหลืองๆ กลิ่นหอมๆ กินอร่อย กินเข้าไปแล้วก็มีความชุ่มชื่น น้ำท่ามันก็ไม่อยากจะกิน เมื่อฝนหายคลายอากาศ ผ่องใสดีแล้ว เดินสะดวก ระยะเวลาวันนั้นเป็นวันโกน หือ ใช่ซีนะ อือ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่วันโกน เป็นวันวิสาขะ เพ็ญเดือน ๖ พอดี อีตาลุง ๔ คน ก็มาบอกว่า ท่านขอรับ เวลานี้เป็นวันวิสาขะแล้ว นิมนต์ท่านไปชมอะไรสักอย่าง เพราะท่านจะถึงเวลากลับ ความจริงตั้งใจจะกลับมาทันวิสาขะที่วัด แต่มันอยู่เพลินไปเลยคิดว่าจะวิสาขะกันที่ในป่า ก็มีตาลุงมาบอกว่าผมจะพาไปชมสถานที่สักที่หนึ่ง ไหนๆ ท่านก็จะกลับแล้ว สถานที่นี้พระที่มาธุดงค์ไม่เคยพบ แม้แต่คนธรรมดาไม่มีใครพบ ก็นึกในใจว่า เอ ก็มันป่าธรรมดานี่ มันภาคพื้นธรรมดา นี่แกบอกว่าไม่มีใครพบ มันก็เป็นของแปลก แกบอกว่ามันเป็นที่สวยสดงดงามมาก ท่านไปชมไว้ ก็พาไป แกพาไปพวกเราก็นำเครื่องครบ แบกกลดกันไป ก็ไม่มีอะไร มันก็มีกลดกับกาน้ำเท่านั้น มีย่าม ๑ ลูก มีกลด กาน้ำ มีรองเท้า ก็มีเท่านั้น ทรัพย์สินในการธุดงค์มันจะมีอะไร ตามแกไป เดินไปประเดี๋ยวหนึ่ง ไปพบดงตะไคร้ มีเนื้อที่ประมาณสัก ๑๐๐ ไร่ มันไม่มีอะไรมีแต่ตะไคร้ โผล่เข้าไปอีกก็พบดงข่า ดงกระชาย ต่อไปก็พบดอกไม้ ดอกไม้นี่มันเป็นแต่ละอย่างๆ อย่างดอกกุหลาบนี่มันดอกโตมาก เอามือกางเป็นคืบแล้วไปวัดดอกกุหลาบนี่มันยังไม่เท่า มันยังล้นมือ ดงพริกก็เหมือนกัน พริกเม็ดสวยๆ รูปร่างต่างๆ คล้ายๆ กับมุก สีเม็ดของพริกเหมือนกับมุก เป็นฟักทองบ้าง เป็นน้ำเต้าบ้าง เป็นอะไรต่ออะไร เป็นมะฟงมะเฟืองอะไรนี่แหละ มันแปลก สวยมาก มันแพรว คล้ายๆกับเอามุกเข้าไปประดับหลายสี ฉันก็ไม่เคยเห็นพริกแบบนี้ ของแบบนี้ ดอกไม้แต่ละอย่างมันก็ไม่รวมกันเรียกว่าแต่ละจุดๆ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๐๐ ไร่ มันไม่ปนกัน ออกจากชะวากนี้ ก็ไปถึงดงพริกโน้น ก็ไปถึงดงอะไรต่อดงอะไร เข้าไปถึงดงดอกไม้แบบโน้น ดอกไม้อย่างกุหลาบ ดอกอย่างอื่นมันจะมีสีเป็นตับๆ เป็นแถวๆ ไม่รวมกัน ถ้าจะพิจารณากันจริงๆมันคล้ายดางดึงส์ คล้ายกับแถวดอกไม้ที่เขาจัดไว้บนดาวดึงส์ ฟังนึกขึ้นมาได้นะคล้ายกัน เดินตามแกไป พอพ้นดอกไม้นั่นแล้วรู้สึกว่าขึ้นเนินนิดๆ เวลาขึ้นเนินไม่รู้สึกว่าเป็นเนินเหมือนกับเดินกับดินธรรมดา แต่พอเดินไปๆ เหลียวหลังลงมาปรากฏว่าต้นไม้อยู่ข้างล่าง แต่ที่ไปก็มีต้นไม้เหมือนกัน ก็รู้สึกว่าขึ้นเนิน เดินไปสักพักหนึ่ง เวลาไปบ่ายๆ เดินไปแบบสบายอากาศร่มเย็นมาก บ่ายๆเวลาประมาณ ๓ โมงเย็นก็ถึงยอดเขา ตรงยอดเขามันกว้างจริงๆนะ จะว่ากันไป เขาภูกระดึงที่ว่าราบเรียบน่ะ มันเรียบสู้ไม่ได้ มันราบเรียบดีมาก แล้วก็มีบ่อน้ำยาว บ่อน้ำนี่ยาวประมาณ ๕-๖ เส้น ยาวมาก บ่อจริงๆมันก็มีหิน ไม่มีดินหรอก มีหิน มีต้นไม้ ต้นไทรใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ใต้ต้นไทรก็มีแท่น แท่นหินนี่ก็เรียบ คล้ายๆกับใครเขาไปสร้างไว้ บริเวณก็ราบเรียบ เตียนรื่น จะหาใบไม้สักใบมันก็ไม่มี บนยอดเขาใกล้บริเวณนั้นอยู่ใกล้ๆกับสระน้ำ มันสวยสดงดงามจริงๆ มีต้นไม้เป็นจุดๆ มีดอกไม้เป็นแถวๆ รู้สึกว่าต้นไม้ดอกไม้นี่เขาปลูกไว้เป็นระเบียบจริงๆ มันสวยบอกไม่ถูก มีถนนเล็กๆ เออ อย่าพรรณนาเลยนะ ไม่ใช่นักประพันธ์นี่ แต่บอกตามความเป็นจริง มันสวย แลดูในน้ำก็ใสแจ๋ว หาก้อนหินเล็กๆ มาโยนลงไปในน้ำ เวลามันจมลงไปนี่จะเห็นชัดลงไปตั้งไกลลิบ แต่ไม่รู้มันไปถึงไหน เพราะมันก็สุดสายตาไป น้ำใสมากจริงๆ แกก็เลยบอกว่า ท่านครับนิมนต์พักที่แท่นนี่นะขอรับ แท่นที่เราจะไปนอนกันสัก ๓๐ คนมันก็ยังไม่เต็ม เวลาขึ้นไปนอนบนแท่นรู้สึกมันไม่แข็งเหมือนหินธรรมดา มันชอบกล มีความรู้สึกคล้ายๆกับนอนกับกระดานบ้านเรา มันมีความรู้สึกแปลกๆ เอางี้ก็แล้วกัน รู้สึกมันจะหยุ่นๆสักนิด ความกว้างของแท่น ถ้านอนกันสัก ๓๐ คนมันไม่หมด แกเลยบอกว่าคืนนี้ ท่านจะพบของดี ผมลากลับ แล้ววันพรุ่งนี้นิมนต์ท่านกลับวัดได้ พวกเราจะกลับ เลยลาแก บอกว่าพรุ่งนี้ก็ลาโยมเลยนะ ญาติโยมไม่ต้องห่วงฉันหรอก พรุ่งนี้ฉันจะกลับวัด เป็นวันวิสาขะแล้ว หลวงพ่อจะคอย ก็เลยนั่งกันอยู่ อาบน้ำอาบท่าเสร็จแกพาชมที่ต่างๆ เสร็จเรียบร้อย แกก็ไป อาบน้ำอาบท่าแล้ว พอเวลาค่ำ พอเริ่มประมาณพระอาทิตย์ตกดินก็แล้วกันนะ พูดภาษาไทย ก็เริ่มทำพระกรรมฐาน เดือนขึ้น วิสาขะนี่ วันกลางเดือนเวลาพระจันทร์ขึ้นมามันใกล้หัวเหลือเกิน มองดูพระจันทร์ที่ขึ้นมาบนฟ้า ฉันว่ามันสูงไม่ถึงกิโลหรอก เห็นพระจันทร์รู้สึกว่ามันใกล้ไม่ถึงกิโลเมตร มันใกล้มากจริงๆ มีความสว่างแจ่มใสมาก ดาวทุกดวงที่ใกล้ดวงจันทร์ก็สว่างมาก ฉันแปลกใจ เมื่อเจริญพระกรรมฐานเสร็จ เวลาประมาณ ๒ ทุ่มก็เลิก เมื่อเลิกแล้วก็นั่งคุยกัน อีตอนนี้ได้ยินเสียงดนตรีลอยมาในอากาศ เสียงเพลงไพราะมาก เสียงร้องส่งประสานเสียงไพเราะ เสียงเจื้อยแจ้วฟังมาแต่ไกล แว่วเข้ามา ๆ ๆ ชักใกล้เข้ามา ๆ ๆ ปรากฏว่าจะมาหาจุดที่เรานั่งกัน พวกเราก็แอบ แอบแท่นดูว่าอะไรกันแน่ เพราะสงสัย ก็ปรากฏว่าพวกบรรดาสาวๆทั้งนั้นที่มา แต่งตัวชุดเขียวอ่อน ฉันเห็นแล้วก็สงสัย นี่มันชุดของนางฟ้า แต่เวลามาแม่เจ้าประคุณไม่ได้เดินมานี่ ลอยมา มีคนอยู่ในเสลี่ยงมีสาวๆ ๔ คนหามมาเสี่ยงหรือคานหามนั่นก็สวยมาก แม้แต่ผ้าที่ประดับแพรวพราวไปด้วยเพชร ทุกคนมีเพชรเต็มตัว ฉันแอบมองดูมันสวยจริงๆ รูปร่างหน้าตาสวยจริงทรวดทรงสวยมาก แต่ละคนไม่มีอะไรจะติ มาถึงแล้วคนที่อยู่ในเสลี่ยงก็ก้าวลงมา คนนี้ยิ่งสวยหนัก มีเครื่องประดับหนักกว่าเพื่อน พอคนนั้นก้าวลงมาทุกคนทำความเคารพ แล้วก็เปลื้องเครื่องทรงกัน เหลือแต่ชุดอาบน้ำ ตอนนี้คิดว่าไปบางแสนกันดีๆนี่แหละ คิดว่าไปเที่ยวบางแสนกันที เหลือแต่ชุดอาบน้ำแกก็ลงเล่นน้ำกัน เล่นน้ำล่อกันเสียงเจี๊ยวจ๊าว ๆ ๆ อยู่พักหนึ่ง ไอ้เพื่อนฉันน่ะ ไอ้ปากควาย ไอ้ลิงเล็กน่ะ มันดันคอขึ้นมา มันบังคับยังไงก็ไม่อยู่ ไอคุกขึ้นมา พอไอคุกขึ้นมาเสียงเจี๊ยวจ๊าวหยุด คนหนึ่งถามว่าอะไร เสียงอีกคนหนึ่งตอบว่ามนุษย์ พอเสียงตอบว่ามนุษย์เท่านั้นภาพต่างๆก็หายไป เสียงหาย ภาพหาย ไม่เห็นขึ้นมา เห็นมันหายไปฉันนึกว่า เอ แม่พวกนี้น่ากลัวจะดำน้ำหนี แต่ว่ามันหนีนานจัง นานประมาณสักครึ่งชั่วโมงก็ไม่โผล่ ฉันก็คิดว่านี่มันหายไปไหน แล้วเครื่องแต่งตัวมันทิ้งยังไง เดือนมันหงายจัดคล้ายๆ กลางวัน มันหงายจริงๆ แสงเดือนสว่างมาก เพราะดูพระจันทร์มันใกล้หัวฉันเต็มที มันสว่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเห็นแสงพระจันทร์สว่างแบบนั้น แล้วก็ชวนพวกกันไปดูแม่พวกนี้แกหายไปไหน เครื่องประดับที่แกถอดทำไมไม่เก็บเอาไป ราคาตั้งเยอะ พอเดินไปทางฝั่งสระทางโน้น อ้อมไปถึงบริเวณที่แกถอดเครื่องทรงไว้ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลย ไม่รู้ว่าพวกแม่เจ้าประคุณมาหอบไปเมื่อไหร่ ก็มานั่งแปลกใจว่า เอ๊ะ! นี่มันเรื่องอะไรกันนะ แต่ก็อย่าลืมนะ ลืมใช้ญาณกัน เอาอารมณ์ธรรมดามาคิดกันว่านี่มันเรื่องอะไรกัน แต่จิตก็คิดอยู่ว่าแกจะสวยยังไงก็ช่าง จะสาวยังไงก็ช่าง เสียงของแกจะไพเราะยังไงยัไงก็ช่าง เครื่องประดับของแกจะมีค่ายังไงก็ช่าง พวกเราต้องการพระนิพพาน อารมณ์ของพวกเราต้องการพระนิพพานก็หันหน้าเข้ามาคุยกัน ปรารภเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง ในที่สุดมันก็เป็นอนัตตาไปแล้ว พอมันสลายตัวไปแล้วเราบังคับให้มันเกิดมาอีกไม่ได้ มันมีอีกไม่ได้ ใจก็สบาย


    พอรุ่งขึ้นเช้าพากันกลับวัด กว่าจะถึงวัดก็ล่อกันทุลักทุเล เดินตั้งแต่ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าไปทางไหน เดินส่งเดช เวลาขณะไหนที่มันหลงทางจริงๆ ก็หันหน้าเข้าหาต้นไม้ นึกถึงบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นึกถึงบารมีของหลวงพ่อปาน นึกถึงความดีของเทวดา ถามเทวดาว่าทางที่จะไปไปทางไหน ถ้าอารมณ์ของใจมันนึกก็ดี เห็นภาพคนชี้ทางก็ดีไปทางนั้น มันจะพบทางตามที่เขาบอก นี่วิธีเดินธุดงค์เขาเดินกันแบบนี้ เขาหาดงกันแล้วเดินกันจริงๆ นะ ไม่ได้เดินไปสร้างกิเลส เดินไปละกิเลส เกือบจะไปเจอะเอากิเลสเข้า ถ้าไปเจอตรงนั้นถ้ามันเกิดกิเลสจริงๆ แล้วเกิดเป็นกิเลสใหญ่จะเป็นกองทุกข์มหันต์ เพราะว่าถ้าไปรักสาวๆ คนธรรมดามันยังพอจะพูดกันได้ นี่หากไปรักเอาเทวดาเข้าละก็เจ๊ง ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเทวดานะ คิดว่าเป็นภาพหลอนตา เมื่อกลับมาถึงวัด ตามธรรมดาพระนี่ตามระเบียบของพระพุทธศาสนานะ เวลานี้เขาใช้กันหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าไปไหนมาไหนก็ตาม หากครูบาอาจารย์ยังนั่งอยู่ หมายความว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้พักผ่อนอยู่ภายใน ถ้าอยู่ข้างนอกถ้าไม่หลับ จะเข้าที่พักของเราก่อนไม่ได้ ต้องเอาของวางให้หมด เข้าไปหาท่านก่อน ไม่ใช่ว่าเข้าถึงวัดจะเข้าไปหมกอยู่ในกุฏิจนกว่าครูบาอาจารย์จะเรียกเข้าพบ อย่างนี้มันใช้ไม่ได้ เขาไม่ใช้กัน ความดีระยำๆแบบนี้เขาไม่ใช้กัน นี่ว่ากันถึงเรื่องพระ ชาวบ้านเป็นยังไงช่างเถอะ ไม่เกี่ยว เวลากลับไปวัดก็ไม่ต้องถามแล้ว ผมมันจะยาวขนาดไหน หนวดมันจะยาวขนาดไหน หน้าจะเคลือบไปด้วยสีอะไร สีลม ลมมันเป่าหน้า ฝุ่นมันเป่าหน้า จะเคลือบขนาดไหนไม่ต้องพูดกัน เป็นอันว่าสีมันต่างไป ผ้าก็ดูไม่ได้ รูปร่างมันดูไม่ได้ หนวดเครารุงรัง พอเข้าไปวัด ไอ้เจ้าหมาก็ดี พอมันเห็นหน้าเข้ามันวิ่งเข้าหาเลย ไม่ยักแปลก แต่คนด้วยกันน่ะแปลก ชาวบ้านที่เคยคุยกันบางคนชื่อตาหมอน ตาหมอนเดินเข้ามา แล้วมาป้องหน้าใกล้ๆด้วยจำไม่ได้ หัวตั้งแต่เดือนอ้ายถึงกลางเดือน ๖ ไม่ได้โกน หนวดเคราก็ไม่ได้โกน แล้วสีพอกไปด้วยอะไรไม่รู้ สีตัวนี่น่ะ สีผ้าก็เหมือนกัน มันน่าจะจำไม่ได้ เมื่อเข้าไปแล้วเห็นหลวงพ่อปานท่านนั่งอยู่หน้ากุฏิ เอาของวางหมด พอดีแขกมาหาท่านมาก แต่ว่าจะมีแขกมากแขกน้อยไม่สำคัญ ตามระเบียบแล้วต้องไปนมัสการท่านเสียก่อน พอเข้าไปถึง วางของเสร็จ ถอดรองเท้าเสร็จเข้าไปกราบท่านตามระเบียบ เมื่อเข้าไปกราบแล้วก็ไปนั่งฟังโอวาท ท่านก็ป้องหน้าถามว่าไอ้ ๓ ลิงของพ่อมาแล้วรึก็บอกว่ามาแล้วขอรับ เออ ลูกเอ๊ยไปเสียท่ายังไงล่ะลูก ไปกินหญ้าเสีย ๓ วันเชียวนะลูก ทีหลังจำไว้นะลูกนะ คนที่เขาให้เรานี่นะเขาเป็นเทวดานะ อย่าไปสงสัยซิ เราต้องการอาหารนะลูกนะ เพื่อยังอัตภาพให้เป็นไป อย่าไปสงสัยซีลูก นั่นเดชะบุญน่ะนา พ่อเฉลียวใจขึ้นมาเกิดเป็นห่วงลูกขึ้นมา ก็พอดีไปเห็นว่าลูกอดข้าวกัน เลยไปติดต่อกับเทวดาเขา ไปขอโทษแทนให้ ว่าไอ้ลูกของฉันน่ะไม่มีเจตนาร้ายอะไรหรอก มันเป็นคนอยากจะรู้ เป็นคนช่างสงสัย เทวดาเขาเลยให้อภัย เป็นอันว่าเขาให้อภัยเสียแล้วฉันจึงได้มาบอกพวกเธอ นี่ลูกหลานแปลกใจไหม ฉันอยู่แดนพม่า ท่านอยู่วัด อาศัยทิพยจักษุญาณ ทิพยจักษุญาณนี่น่ะสำคัญ ท่านจะไม่มองเองก็ได้ เทวดาองค์ใดองค์หนึ่งจะมาบอกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีทิพยจักษุญาณแล้ว เทวดาองค์ไหนมาบอกก็ไม่รู้เรื่อง ทิพยจักษุญาณนี้เป็นพื้นฐานสำคัญ แล้วท่านพูดต่อไปว่า เอ้อ ไอ้ลูกเอ๊ย ไอ้บนยอดเขาน่ะมันไม่ใช่เมืองมนุษย์หรอกนะลูกนะ ลูกรู้หรือเปล่าว่าอีตาคน ๓-๔ คนที่มาชวนลูกให้ไปพักในถ้ำ แล้วก็ชวนไปยอดเขาเป็นใคร ก็เลยกราบเรียนท่านว่า รู้ขอรับว่าพวกนี้เป็นยักษ์ ท่านถามว่ารู้ได้ยังไง ตอบว่าสังเกตที่ลูกตา มีตาสีแดงจัดแล้วไม่กระพริบ ท่านหัวเราะชอบใจแล้วบอกว่า เออๆ ยังงี้ใช้ได้ๆ ถ้าตาสีแดงไม่กระพริบเป็นตายักษ์นะลูกนะ ถ้าตาสีผ่องใสไม่กระพริบเป็นตาเทวดา อย่างนี้ใช้ได้ เอาตัวรอดได้แล้วนี่ ใช้ได้แล้ว แต่ไอ้ยอดเขาน่ะมันไม่ใช่เมืองมนุษย์หรอกนะ ดงหญ้าดงฟางดงผักดงดอกไม้ ดงอะไรต่ออะไรนั่นก็เหมือนกัน ถามว่ามันเป็นที่ไหนเล่าขอรับ หลวงพ่อท่านไม่ตอบ ท่านบอกว่าพ่อไม่ตอบหรอกลูก เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกให้พ่อพูด ที่พ่อบอกกับเจ้าว่าไม่ใช่เมืองมนุษย์ หรือสมบัติที่มีอยู่ในเมืองมนุษย์ก็เพราะว่า เจ้าจะได้รู้ว่า ที่นั่นมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะไปดูกันได้ทุกคน ดีไม่ดี ต่อไปเจ้าเล่าให้ใครฟัง แล้วก็บอกทิศทางให้เขาไป ถ้าเขาอยากจะไปในดินแดนนั้นแล้วมันไม่พบละก็เจ้าจะเสียชื่อ เขาจะหาว่าเจ้าโกหก นั่นสิ่งที่ปรากฏมันเป็นอำนาจของเทวดา แล้วก็เลยถามท่านว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครขอรับ ท่านก็บอกว่าเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดในดาวดึงส์ ก็เลยไม่รู้ว่าใคร ท่านบอกว่าในดาวดึงส์ เอาเฉพาะเวชยันต์ปราสาท เวชยันต์วิมานนะ ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่มีอำนาจที่สุดในเขตเวชยันต์วิมาน ในดาวดึงส์ เอายังงี้แล้วกัน ผู้หญิงคนที่ถามนี่หมายถึงว่าผู้หญิงที่นั่งในคานหาม ท่านเลยพูดว่าดีละลูก การฝึกอารมณ์แบบนี้ดีนะ ใจของเจ้าไม่จับ อารมณ์ของเจ้าทรงสมาธิได้ดี ยังไงไอ้เสือมันจะมาคุยบ่อยรึลูก ก็เลยกราบเรียนท่านว่า มันมาคุยบ่อยขอรับ แต่ผมไม่รู้ภาษามัน บอก ฮือ ก็ดีแล้ว ไม่รู้ภาษาเสือเสียได้นั่นแหละดี ถ้ารู้ภาษาเสือได้จะรำคาญมาก แล้วก็ไอ้เสียงดนตรีล่ะลูกเอ๊ย ได้ยินหรือเปล่า บอกว่าได้ยินทุกวันขอรับ ไม่ทราบว่าจะประโคมทำไม ท่านเลยบอกว่ามันเป็นเรื่องของเจ้านะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นภาระของเจ้า เจ้าเคยบำเพ็ญบารมีมาด้วยอำนาจของดนตรีอย่างหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่ง ก็เพราะอาศัยเทวดาที่เป็นบริวารเดิมเขายังมีอำนาจอยู่ เห็นเจ้านายของเขาเข้าไปในป่าเกรงว่าจะเหงาก็เอาดนตรีมาขับประโคมแก้เหงา นั่นมันเป็นภาระของเขานะลูกนะ เอาละกลับไปพักผ่อนกันเสียนะลูกนะ ต่อแต่นี้ไปก็จำพรรษากันตามสบาย ฝึกกันตามอารมณ์ ถ้ามีอะไรสงสัยมาถามพ่อได้ ชาวบ้านเขาถามว่าพระที่ไหน ท่านก็บอกว่าพระที่นี่ ไอ้ลิง ๓ ตัวของฉันนั่นแหละไม่มีใคร ที่ฉันเล่าให้พวกแกฟังอยู่เดี๋ยวนี้แหละ เป็นอันว่าก่อนหน้าที่ฉันจะไปถึง หลวงพ่อกำลังเล่าประวัติลิง ๓ ตัวให้เขาฟังอยู่ พวกชาวบ้านหัวเราะชอบใจ ยกมือไหว้กันเป็นการใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านไปพูดอะไรไว้บ้าง


    เอาละ สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติกันเพียงเท่านี้ วันหน้าฟังกันต่อไป ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแก่ลูกหลานทุกคน สวัสดี
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ตอนท้ายชีวิตของหลวงพ่อปาน

    ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้เป็นวันสรุปเรื่องราวของหลวงพ่อปานวัดบางนมโค จะพยายามสรุปให้จบกันไป จะไม่พยายามเล่าเรื่องให้มันยาวนัก


    ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปานวัดบางนมโคอายุล่วงเข้า ๖๑ ปี ตอนนี้ท่านป่วยครั้งแรก ความจริงเรื่องของการป่วย ก็ป่วยกันอยู่เป็นปกติ แต่ทว่าอาการป่วยที่จะตายคราวนี้ท่านป่วยมาก เมื่อป่วยมาก คณะศิษยานุศิษย์ในกรุงเทพฯ ก็รับไปรักษาที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัย ที่บ้านหม้อ รักษาอยู่ประมาณ ๑ เดือนท่านก็กลับ เป็นอันว่าหาย หลังจากการป่วยคราวนี้แล้ว ท่านแจ้งให้แก่บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ แล้วก็ท่านพระครูรัตนาภิรมย์เจ้าอาวาสวัดบ้านแพนอีกองค์หนึ่ง ทราบว่า นับตั้งแต่นี้อีกเป็นต้นไปอีก ๓ ปีท่านจะตาย ท่านบอกไว้ว่ายังงั้นนะ ท่านบอกว่าอีก ๓ ปีจะตาย ท่านจะตายวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น นี่ท่านประกาศไว้ก่อนนะ ว่าท่านจะตาย ตอนนั้นฉันก็กำลังเป็นลิงหน้าพลับพลา ท่านสั่งให้ฉันเขียนจดหมายถึงหัวหน้าลูกศิษย์ของท่านแต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ ส่งไปเฉพาะหัวหน้าลูกศิษย์นะ ว่าท่านให้บอกไปว่าท่านจะตาย อีก ๓ ปีท่านจะตาย คณะศิษยานุศิษย์ทุกคนมีความประสงค์ต้องการอะไรจากท่านก็ขอให้พากันมา ข่าวลือว่าท่านจะตายนี่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วที่สุด ก็ปรากฏว่ามีคณะศิษยานุศิษย์บ้าง แล้วก็ที่ไม่ใช่บ้าง คือว่าเป็นลูกศิษย์ใหม่บ้าง ก็พากันมาหาท่าน ตอนนี้ท่านสงเคราะห์ทุกอย่าง คำว่าสงเคราะห์ทุกอย่างก็หมายความว่า สงเคราะห์ทั้งด้านการรักษาโรค คาถาอาคมที่เป็นประโยชน์ คำว่าคาถาอาคมที่เป็นประโยชน์นะ ที่เป็นโทษท่านไม่ให้กับใครแล้ว นอกจากนั้นท่านก็สอน เวลาคนเขามาหาท่าน ท่านก็พูดเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญ ให้คนทุกคนรู้ตัวว่าตัวเองจะต้องตาย แล้วก็จงอย่าประมาท ให้สร้างแต่ความดี


    ในระหว่างที่หลวงพ่อสั่งให้ฉันเขียนจดหมายไปหาบรรดาศิษยานุศิษย์ คนที่รับฟังหรือรับข่าว บางทีก็รับข่าวไม่ครบ คนที่รับข่าวหลายคนเขาเข้าใจว่าหลวงพ่อปานตายแล้ว ไอ้นี่ซิยุ่ง มันชักจะยุ่งกันใหญ่ ทุกคนโผล่ขึ้นมาหา เห็นหลวงพ่อปานนั่งคุยกับชาวบ้านแขกมาหาท่านแต่ละวันเป็นร้อย ตอนนี้นับร้อยกันละ ๓ ปีก่อนจะตายนี่แขกไม่ใช่มาเป็นสิบ ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึง ๕ โมงเย็น หลวงพ่อต้องรับแขกหนัก บริเวณที่ท่านรับแขกมีความกว้าง ๒ วา คือ ๔ เมตร แล้วก็ยาว ๑๒ เมตร ที่เต็มตลอดเวลา หมายความว่าคนที่มาทีหลังยังเข้าไม่ได้ก็คอยกันอยู่ข้างนอกก่อน แล้วใครเข้าไปถึงก็ไปคุยกับท่าน บรรดาคนที่มาที่ยังไม่เข้าไปพบท่าน เห็นท่านกำลังคุยอ้าวอยู่เพราะตอนนี้ท่านไม่ได้เป็นอะไร เขาถามกันว่าไอ้เจ้าลิงดำมันองค์ไหน บางคนไปถามชนฉันเข้าเลย ถามเขาว่าทำไมล่ะ เขาเลยบอกว่า ไอ้เจ้านี่มันบ้า มันเขียนจดหมายไปได้บอกว่าหลวงพ่อตายแล้ว เอาเข้านั่น หลวงพ่อกำลังนั่งคุยอ้าวอยู่ มันบอกว่าหลวงพ่อตาย แปลก ไอ้พระองค์นี้น่ากลัวจะไม่ใช่พระนา ดีไม่ดีถ้าเป็นพระก็พระบ้า หรือไม่ยังงั้นก็มีนิสัยหมาติดมาด้วย ส่งข่าวไม่ตรงตามความเป็นจริง หลวงพ่อยังดีอยู่ยังคุยกับคนอ้าวๆ มันส่งจดหมายส่งข่าวไปได้ว่าหลวงพ่อตาย เออ ลูกหลานเอ๋ย ฟังแล้วก็จำไว้ด้วยนะ ความจริงหนังสือทุกฉบับฉันเขียนไปน่ะ เขียนตามคำสั่งของหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อท่านบอกว่าท่านจะตาย หลังจากนั้น ๓ ปี ท่านจะตาย ลูกศิษย์ทุกคนต้องการอะไรให้มาเอาจากท่าน ท่านจะให้ตามความประสงค์แต่สิ่งที่ไม่เป็นโทษ ถ้าส่วนใดที่เป็นโทษท่านไม่ให้ใคร ฉันเข้าใจเอาเองนะ เข้าใจว่าหลวงพ่อจะตักเตือนบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ว่า ๑ ท่านจะตายแล้ว ประการที่ ๒ ท่านตั้งใจจะสั่งสอนคณะศิษยานุศิษย์ของท่านว่า ทุกคนจะต้องตาย และให้ทุกคนปฏิบัติอยู่ในความดี แต่ว่าเจ้าคนรับข่าวหรือคนส่งข่าวต่อนี่ซิ มันคงจะส่งข่าวกันไม่ถูกหรือว่าส่งข่าวไม่ครบ หนังสือของฉันส่งข่าวไปชัดเจนว่า หลวงพ่อท่านสั่งไปยังงั้น แล้วท่านให้ฉันเซ็นชื่อของฉัน ท่านไม่เซ็นชื่อของท่านเอง นี่ก็แปลกดีเหมือนกัน เจ้าพวกนั้นมันมามันเกิดอยากจะเตะฉันขึ้นมา มันหาว่าแช่งหลวงพ่อ ฮือ ดีเหมือนกันนะ ตามใจเขา ในที่สุด เมื่อเข้าไปพบหลวงพ่อ เขาก็ถามข้อความนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันเองเป็นคนสั่งเขาให้เขียนว่า ฉันจะตายในอีก ๓ ปีข้างหน้า แล้วเขาอ่านให้ฉันฟัง เขาเขียนตามนั้น แต่ว่าพวกแกละมั้งที่รับข่าวผิด เรื่องนี้ก็เป็นอันว่าพับไป


    แล้วเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ถามหลวงพ่อว่า ก็หลวงพ่อยังดีๆ นี่ขอรับ ทำไมหลวงพ่อจึงจะบอกว่าหลวงพ่อจะตาย หลวงพ่อท่านบอกว่า ฉันรู้ตัวว่าฉันจะตายนะ แต่ความจริงฉันรู้ตัวว่าฉันจะตายมาหลายหนแล้ว คราวป่วยหนักคราวนี้ฉันก็รู้ตัวฉันว่าจะตาย แต่พอดีท่านท้าวมหาราชเขามาต่อชีวิตฉันให้ เขาต่อให้ฉันอยู่อีก ๓ ปี แล้วเขาก็บอกฉันด้วยว่า อีก ๓ ปีข้างหน้า ถ้าพ้นไปแล้วอยูไม่ได้ แต่ความจริงชีวิตของฉันนี่น่ะ เขาต่อให้หลายครั้งแล้ว คำว่าฉันในที่นี้หมายถึง หลวงพ่อปาน เรื่องนี้ก็เป็นอันว่าพับกันไป ตอนนี้ท่านก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อใครเข้าไปก็ตาม ท่านก็พูดให้ฟังง่ายๆ พูดย่อฟังชัด ให้เข้าใจว่าคนทุกคนจะต้องตาย ถ้าตายแล้วส่วนที่ต้องไปก็มีอบายภูมิ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ไปนิพพาน แล้วส่วนใหญ่ท่านสอนด้านวิปัสสนาญาณ ใครจะเรียนอะไรกับท่านก็ตาม ท่านสอนแนวนั้นแล้ว ท่านก็โน้มเข้ามาว่า ถึงแม้ว่าเราจะมีคาถาอาคมของดียังไงก็ตาม เราก็ต้องตาย แล้วก่อนที่จะตาย นั้นควรจะเลือกทางเดินเอา อย่างน้อยที่สุด เราควรไปสวรรค์ชั้นกามาวจรให้ได้ แล้วท่านก็อธิบายว่า การที่ท่านสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ วัดวาอารามต่างๆ เรียกว่าไม่มีขอบเขต สร้างกันถึง ๔๐ วัด เฉพาะรื้อวัด สร้างวัดของเขาจริงๆ นะ แล้วก็สร้างโบสถ์วิหารการเปรียญ ทำบุญสุนทร์ทานต่างๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าท่านห่วงตัวท่าน ท่านห่วงบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า ทุกคนจะได้ร่วมกันทำบุญ มากบ้าง น้อยบ้าง ด้วยทรัพย์สินบ้าง ด้วยกำลังกายบ้าง ทุกคนที่ได้ช่วยงานท่านอย่างนี้ อย่างน้อยทุกคนจะต้องไปเกิดบนสวรรค์ ขอให้ทุกคนน่ะ เวลาก่อนจะหลับนึกถึงความดีที่ตนเคยทำไว้ คือว่า นึกถึงทรัพย์สินที่สละออกมาเป็นทานในการก่อสร้างก็ดี เลี้ยงพระก็ดี ส่วนสาธารณประโยชน์ก็ตาม นอกจากนั้นให้นึกถึงศีลที่ตนเคยรักษา นึกถึงเทศน์ที่ตนเคยฟัง แล้วหมั่นภาวนาถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พระพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น นี่หลวงพ่อปานท่านมีความประสงค์อย่างนี้ในการก่อสร้างของท่าน ท่านยอมตัวของท่านลำบาก เพราะปรารถนาในการสงเคราะห์พุทธบริษัทของท่าน ฉันก็เหมือนกันซี ตอนนี้ฉันสร้างเปื่อยไปยังงั้นแหละ เล่นเอาลูกหลานย่ำแย่ไปตามกัน เล่นเอาลูกหลานเหน็ดเหนื่อยไปตามๆกัน แต่ฉันคิดว่าถ้าลูกหลานของฉันจะเหน็ดเหนื่อยบ้างลำบากบ้างในตอนนี้ คิดว่าตอนสิ้นลมปราณนี่ทุกคนจะเห็นว่าดี แล้วตอนนั้นน่ะแหละ ลูกหลานทุกคนจะรู้ว่าฉันมีความหวังดีกับลูกหลานเพียงใด ที่พูดอย่างนี้น่ะนะไม่ใช่พูดป้อยอหวังจะให้หาเงินทองมาช่วยกันสร้าง มาช่วยกันชำระหนี้ ไม่ใช่ยังงั้น นี่มันเป็นความหวังจริงๆ ในตอนที่หลวงพ่อปานท่านใกล้จะตาย ท่านเปิดศักราชเป็นการใหญ่ ท่านพูดหมด หมายความว่า ธรรมะส่วนใดที่ท่านได้ กรรมฐานใดที่ท่านได้ ภาวนาสถานใดที่ท่านจะไปอยู่ ท่านพูดหมด ท่านอธิบายถึงสถานที่ท่านจะไปอยู่ว่ามันสวยสดงดงามเพียงใด แล้วคนที่ร่วมบำเพ็ญกุศลกับท่านน่ะเขาจะไปอยู่สถานที่ไหนบ้าง อะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ท่ายอธิบายให้เขาฟังทุกคน บอกว่าชื่นใจเหลือเกิน ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนี้ ดีไม่ดีท่านจี้ตัวเอานะ จี้เอาว่าคนนี้วิมานเป็นอย่างนั้น คนนั้นวิมานเป็นอย่างนี้ ท่านกล้าพูดเต็มที่ ท่านบอกว่าท่านจะตายแล้ว ใครจะจับท่านสึกท่านก็ยอม จะสึกยังไงไม่เป็นอันสึก คราวนี้ฉันจะเป็นพระสัก ๓ ปี ท่านว่ายังงั้น ท่านบอกว่าท่านจะเป็นพระสัก ๓ ปี หมายความว่า ท่านจะพูดอย่างพระ ความรู้ของพระมีเท่าไรท่านงัดออกมาพูดกันหมด นี่ก็เป็นอันว่าพักกันเสียก่อนนะ ท่านป่วย ท่านหายแล้ว ท่านให้ฉันแจ้งข่าวตาย เท่านี้ก็พอนะ เพราะยังไม่ตายนี่ แล้วระหว่างที่ท่านจะยังไม่ตายนี่นะ ก่อนหน้าที่ท่านจะตาย ๑ ปี ปรากฏว่าอาจารย์ไสยศาสตร์ของท่านมาหา


    อาจารย์แจง อาจารย์ไสยศาสตร์ของท่าน ก่อนหน้าท่านจะตาย ๑ ปี แกก็ลงมาที่วัดมาเยี่ยมหลวงพ่อ คุยกันอย่างดี ท่านก็แนะนำว่าคนนี้นาอาจารย์ไสยศาสตร์ของฉัน ตั้งแต่การสอนวิชา อาจารย์องค์นี้ต้องให้เข้าสมาบัติ ๘ อยู่ตลอดเวลา ฉันก็นั่งคุยอยู่ด้วย อาจารย์แจงมองหน้าฉันแล้วก็ยิ้มๆ ฉันก็สงสัยถามว่า ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์มองหน้าฉันยิ้มแล้วก็สงสัย อะไรรึ หรือว่าอยากจะพูดอะไร ท่านก็บอกว่าผมอยากจะพูดครับ แต่ก็พูดไม่ออก เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้ว แล้วก็ผมตายแล้วนั่นแหละครับท่านจะรู้เอง ฉันก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องกัน แกเล่นแบบนี้นี่ แกเล่นพูดภาษาที่เรียกว่าตายแล้ว หลวงพ่อปานตาย แล้วแกก็ตาย แล้วฉันจะรู้เอง แล้วฉันจะไปรู้ยังไงล่ะ ปัดโธ่อาจารย์เอ๊ย ไม่น่าจะทรมานกันเลย นึกในใจ แต่ก็ช่างเถอะ ทิ้งไป ท่านมาอยู่กับหลวงพ่อประมาณ ๑ เดือน ท่านก็เรียกฉันบ้าง ไอ้ลิง ๒ ตัวบ้าง แล้วก็พระที่มีความสนใจในวิชาอาคมบ้าง ก็มาแนะนำถึงว่า วิชาการในตำราของท่านที่ให้หลวงพ่อปานไว้แนะนำพอสมควร ฉันฟังแล้วฉันก็เฉยๆ เพราะ ฉันไม่ตั้งใจจะเรียนอะไรนี่ ไอ้เรื่องคาถาอาคมนี่ฉันไม่ชอบ ชอบอย่างเดียวลอง พอลองได้ผลแล้วก็โยนทิ้งน้ำไป แต่ว่าเรื่องที่จะคบเอาตำรามาทำอะไรต่ออะไรให้ใครนี่ฉันไม่ต้องการ ฉันขี้เกียจน่ะ นี่ฉันบอกตรงๆนะ ไอ้เสกอะไรต่ออะไรนี่ฉันขี้เกียจจริงๆ คาถาหมอ คาถาอะไรน่ะ ฉันไม่อยากได้หรอก หลวงพ่อปานบอกให้ฉันเรียนฉันยังไม่เรียนเลย ฉันขี้เกียจ นี่บอกตรงๆนะ ไอ้ฉันน่ะมันคนเกเร ขี้เกียจก็ขี้เกียจ แต่ส่วนที่ขยันบางทีออกข้างๆคูๆไปก็มีเยอะ มันไม่เหมือนชาวบ้านเขานะ เออ ลูกหลานนี่ หลวงพ่อ หลวงตา หลวงปู่ หลวงน้า อะไรนี่ มันไม่เหมือนชาวบ้านเขาก็ลำบากนะ เอ้า ก็ดีเหมือนกัน ช่างเถอะ มีไว้ดูเล่นโก้ๆ


    ต่อมาอาจารย์แจงจะกลับบ้านก็ขอยืมตำราเล่มสำคัญไป ตำราเล่มนี้มีธงมหาพิชัยสงคราม เล่มนี้ท่านอาจารย์แจงขอยืมหลวงพ่อไป บอกว่าผมขอยืมไปดูสักปีครับ แล้วผมจะมาคืนให้ ผมลืมอะไรบางอย่างต้องการของในนี้เอาไปทำ หลวงพ่อท่านก็ถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้ว ท่านอนุญาต อนุญาตแล้วท่านอาจารย์แจงก็ไป ต่อมาพอครบปีที่ ๓ เดือน ๘ พอขึ้นเดือน ๘ ปรากฏว่าหลวงพ่อปานไปธุระที่ตลาดบ้านแพน บ้านนายเฉลิม นามสกุลว่ายังไงไม่ทราบ เขาค้าวัตถุก่อสร้าง หลวงพ่อเคยไปสั่งเหล็กสั่งปูนที่นั่นเสมอ ไปถึงก็ขึ้นสะพานสะพานมันลาดๆ มันลื่นด้วยตะไคร่น้ำ ท่านล้มลงไป วันนั้นฉันได้ไปด้วยนะ อาจารย์เจิมไป ท่านล้มลงไปปรากฏว่าป่วย ป่วยตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านบอกเลยว่าการป่วยคราวนี้ฉันตายแน่ เอาเข้ายังงั้น


    ลูกหลานฟังไว้นะ ท่านบอกเลยว่าการป่วยคราวนี้ฉันตายแน่ พอคณะลูกศิษย์ลูกหาในกรุงเทพฯ เขาทราบข่าวกัน เขาแห่โบสถ์กันมาใหญ่ ฉันจำใครไม่ได้นักหรอก เขาเป็นอะไรต่อเป็นอะไรกันเยอะแยะ จำได้คนที่รู้จักกันชัด คือ นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี แล้วก็พระยาประเสริฐ หลวงพินิจมาตรา แล้วก็หลวงพินิจโลหะกิจ แล้วใครต่อใครอีกไม่ทราบเยอะแยะเต็มไปหมด ฉันไม่รู้ว่าใครบ้าง ทุกคนเขาบอกว่าหลวงพ่อจะต้องไปรักษาที่กรุงเทพฯ ท่านก็บอกว่าฉันจะไปรักษาที่กรุงเทพฯ หรือฉันจะรักษาที่บ้านนอกนี่ฉันก็ตาย แต่ว่าทุกคนเขาคิดว่าหลวงพ่อพูดเล่น เขาจะเอาไปให้ได้ ท่านก็ยอมไป บอก เอ้า จะเอาไปก็เอาไป พอไปแล้วปรากฏว่าอยู่ประมาณสักกี่วันก็ไม่ทราบละ จำไม่ได้ ไปอยู่ที่บ้านหลวงประธานถ่องวิจัยนั่นแหละ ที่ตรงนั้นมันเหมาะ ท่านชอบใจ แล้วไม่ช้าก็กลับมาที่วัด มาถึงวัดก่อนหน้าวันตาย ๓ วัน คือว่าท่านตายวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ก็ถอยหลังไปซี ๑๔, ๑๓, ๑๒ คงจะมาถึงวันแรม ๑๒ ค่ำ เวลาท่านป่วย ท่านจะตายนี่ ท่านพูดจ้อ เวลาที่ไปอยู่บ้านหลวงประธานก็เหมือนกัน ตอนนี้ท่านลุกไม่ค่อยไหว ใครจะมาท่านก็คุยจ้อ ใครมาให้ท่านลงยาเอาหม้อยามาให้ ยาใบมะกากับข่า ยาใบมะกากับหญ้าแพรก มาถึงเขาบอก หลวงพ่อเจ้าคะลงหม้อยาอิฉันทีเจ้าค่ะ นี่เป็นผู้หญิง หลวงพ่อยิ้มบอกว่า อีหนูเอ๊ย หม้อมันเล็กนี่ พ่อจะลงไปยังไง นี่แสดงว่าท่านป่วยจนลุกไม่ค่อยขึ้นท่านยังพูดตลก พูดสนุก อารมณ์ของท่านไม่ได้เศร้าหมองเลย บรรดาลูกศิษย์นั่นแหละ ลูกศิษย์ที่เป็นฆราวาสฟังข่าวท่านจะตายทีไร ก็รู้สึกว่าหน้าสลดไปตามๆกัน แต่ว่าสำหรับฉันไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นนะ เพราะอะไร เพราะฉันรู้ว่าหลวงพ่อปานท่านตายจะไปไหน ฉันย่องๆไปดูบ้านท่านทุกวัน ไอ้ ๒ ลิงเหมือนกัน แล้วอาจารย์ฉัตรด้วย ท่านเก่ง หลวงพ่อเล็กด้วยอีกองค์ท่านเก่ง ท่านบอกว่าคราวนี้ท่านใหญ่ตายแน่ แต่ว่าท่านตายแล้ว ท่านสบาย สำคัญพวกเรานี่ซี พวกเราถ้ายังไม่ตายมันหาความสบายไม่ได้ ยังจะแย่กันไปอีกหลายวัน ท่านว่ายังงั้น ถ้าตายเสียได้อย่างท่านก็มีความสุข นี่ พระประเภทนี้เขามีอยู่เหมือนกันนะ แล้วในขณะที่มาถึงนั่นเอง ท่านมีคำสั่งบอกว่าลิงดำเอ๊ย พ่อมีความผิดอยู่นะ พรุ่งนี้จัดเครื่องบวงสรวงให้พ่อ ชุดใหญ่นะ ลิงดำช่วยจัดด้วยนะ เมื่อฉันได้รับคำสั่งแล้วก็ไปสั่งเขาซื้อหัวหมูมา ๓ หัว ไก่ ๑ ตัว ต้มเสร็จ จัดเครื่องสังเวยเสร็จ พอวันรุ่งขึ้นประมาณสัก ๓ โมงเศษๆ ๙ นาฬิกาเศษๆ ๓ โมงเช้าท่านบอกให้ตั้งพิธีบวงสรวง พอจัดของครบท่านก็เริ่มพิธีบวงสรวง ท่านบวงสรวงแล้วท่านบอกว่า เอ้า วันนี้ใครจะคุยอะไรกับฉันก็คุยนะ นับตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้วน่ะ ฉันจะไม่คุย ฉันจะไม่คุยละนะ นับตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้ว ใครเขาสงสัยอะไรเขาก็มาคุยกับท่าน ท่านก็คุยอย่างคนสบายๆ แต่ว่านอนคุย ไม่ได้ลุกขึ้นมานั่งคุย ลุกไม่ค่อยจะไหว รู้สึกว่าแรงท่านไม่มี ท่านคุยไป พอนาฬิกาตีเที่ยง ท่านมีคำสั่งบอกลิงดำเอ๊ย นับตั้งแต่นี้ต่อไปนะ ใครเขามีธุระอะไรละเอ็งจดไว้นะ ใครเขาต้องการอะไรจากพ่อละก็จดไว้ พ่อจะพูดเป็นคราวๆ แต่ว่าอย่าให้ใครเขามากวนใจพ่อนะ วันนี้พ่อยังไม่ตาย พรุ่งนี้พ่อถึงจะตาย วันนี้ยังมีเวลาพูด แต่ว่าปล่อยให้พ่อได้สบายๆบ้าง ฉันก็รับคำ พระทุกองค์ พระปีนั้นเอาพรรษากันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีพระมาประมาณสัก ๒๐๐ องค์ เขารู้ว่าท่านจะตาย ชาวบ้านน่ะหรือมาเท่าไหร่ ชาวบ้านที่มาน่ะ จะพูดให้ฟัง ฉันตั้งกระทะหุงข้าว ๘ กระทะ สั่งตาเชดกะตาเผือดเป็นพ่อครัวใหญ่กับผู้ใหญ่ยง บอกให้ดูแลคนไปมาให้ดี ปรากฏว่าข้าว ๘ กระทะนี่ไม่ทันคนกิน ดูเถอะ ไม่ทันคนกินนะ แต่ว่าอาหารประจำพระราชสำนัก คือว่าสำนักวัดหลวงพ่อปานดีกว่า ล่อพระราชสำนักเข้ามันจะยุ่ง มันเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ เรื่องของพระมหากษัตริย์นี่หลวงพ่อปานท่านไม่ก้าวก่าย ท่านเทิดทูนเหลือเกิน ท่านบอกว่าคนไม่มีบุญจริงๆเป็นพระมหากษัตริย์ไม่ได้ อาหารประจำก็แกงคั่วส้มผักบุ้ง นี่พวกคนตำบลรางจรเข้ขนผักบุ้งเข้ามาเป็นลำๆ สำหรับหัวตาลต้มปลาร้านั่นไม่แน่ มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้ กับแกงจืด ต้มจืดน่ะนะ นี่เป็นอาหารที่ฉันสั่ง มันทำง่าย แล้วก็ผสมกับน้ำปลากินสบายๆ ข้าวปลาอาหารกับข้าวกับปลาบริบูรณ์ ใครไปใครมาก็ขนกันมา คนเต็มวัด คนเต็มวัดจริงๆ นะ ลานวัดนี่เด็กเดินไม่ค่อยได้หรอก คนเต็มจริงๆ เขามาเรือกัน ต้องนอนเรือ เรือจอดเรียงเต็มแม่น้ำเลยเหนือวัดใต้ไปตั้งเยอะ
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    อวสาน

    ต่อมาถึงวันแรม ๑๔ ค่ำ ตอนเช้าท่านพูดว่า นับตั้งแต่เที่ยงวันนี้ไปฉันจะไม่พูดกับใครเลยนะ ใครมีอะไรจะพูดกับฉันเชิญพูดเสียเลย คนเขาก็เกรงใจ ที่มีธุระน้อย เมื่อไม่มีใครพูดก็เลยถามว่า หลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อจะสั่งอะไรศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายบ้างขอรับ วันนี้เป็นวันสุดท้ายของหลวงพ่อแล้ว ถือว่าเป็นปัจฉิมวาจา ท่านบอกว่า ขอให้สั่งพระกับสั่งชาวบ้านทั้งหมดนะ ขอให้ทุกคนตั้งใจทำความดี คนไหนที่ทำความดีอย่างอื่นมากนักไม่ได้ ก็ให้สร้างความดีทั้งสองอย่างที่ฉันต้องการ ท่านว่ายังงั้น ความดีทั้งสองคือ ๑ อย่าดื่มสุราเมรัย และประการที่ ๒ อย่าลักอย่าขโมย อย่าประพฤติตนเป็นโจร นี่เป็นปัจฉิมวาจา แล้วท่านก็เงียบ ฉันก็ไม่มีเรื่องจะพูด เพราะกลัวจะรบกวนท่าน หลังจากนั้นมา หลังจากเที่ยงไปแล้ว มีฉันคนหนึ่งไอ้ ๒ ลิงนั่นด้วย กับท่านผู้ใหญ่ยง ฉันนั่งอยู่ด้านขวามือของท่าน เอามือจับชีพจรท่านไว้ ผู้ใหญ่ยงนั่งอยู่ทางเท้าข้างขวา เอามือจับชีพจรไว้ ไอ้ลิงเล็ก ไอ้ลิงเล็กนั่งเท้าข้างซ้ายจับชีพจรซ้าย ไอ้ลิงขาวจับมือซ้าย จับชีพจรซ้าย ตรวจดูว่าเมื่อไหร่หลวงพ่อจะตาย ดูชีพจรของท่านเต้นเป็นปกติ ชีพจรเต้นแบบนั้นมันไม่ใช่อาการของคนตายนี่ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าชีพจรอ่อนมาก สังเกตดูอาการของหลวงพ่อท่านเข้าฌานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีพระอีกองค์หนึ่ง พระครูอุดมสมาจารย์ เจ้าอาวาสวัดน้ำเต้า เป็นเจ้าคณะอำเภอบางบาลเป็นลูกศิษย์ องค์นี้เข้าฌานอยู่ปลายเท้า นั่งหลับตาปี๋ บางครั้งก็ปรากฏว่าชีพจรของท่านไม่เต้น ตอนนี้เป็นเข้าสมาธิ ๘ ตอนเข้าสมาธิ ๘ น่ะมีอาการเหมือนคนตาย ท่านนอนแบบสงบ นิ่งสงัด เวลาจะปรากฏลมหายใจก็ระรวยน้อยๆ แต่บางครั้งดูเหมือนว่าไม่มีลมหายใจ เมื่อนานๆเข้าฉันสงสัย ฉันนึกว่าหลวงพ่อตายซี ก็หันไปถามพระครูอุดมสมาจารย์ มองดูนาฬิกามันยังไม่ถึง ๖ โมงเย็น ถามว่าหลวงพี่ หลวงพ่อไปไหน ท่านก็บอกว่าเวลานี้ยังอยู่ในสมาบัติ ๕ เวลานี้ยังอยู่ใน ฌาน ๔ ฌาน ๓ ฌาน ๒ ฌาน ๑ ท่านก็ว่าไปตามลำดับ ทีหลังท่านเห็นฉันสงสัย เวลาหลวงพ่อไปพักอยู่ในฌานไหนละก็ ท่านก็บอกฉัน ท่านลืมตาบอกว่า เอ้อ เวลานี้หลวงพ่อพักอยู่ฌานชั้นโน้นฌานชั้นนี้นะ ในที่สุดบางครั้งท่านก็บอกว่าหลวงพ่อย่องไปดูบ้าน แล้วท่านบอกว่าเวลานี้เทวดากับพรหมมามาก พระมามาก ฉันเลยสงสัยขึ้นมามั่งซี กับไอ้ลิง ๒ ลิงนะ ไอ้เจ้าลิง ๒ ลิงเวลานี้เขาอยู่พม่า เขาแหงนหน้าขึ้นมา พอพูดชื่อขึ้นมาเขาแหงนหน้าขึ้นมายิ้ม แล้วเขาก็ชี้หน้าว่า ไม่ช้าเอ็งก็ตายหรอกวะ เออ พ่อลิงเอ๊ย แล้วเอ็งล่ะไม่ตายเรอะ ข้าตายเมื่อไรข้าก็สบายโว๊ย ข้าจะไปทุกข์อะไร บ้านของข้าก็สวย เขาก็เลยชี้บ้านของเขาบ้าง เขาบอกว่าบ้านของเขาก็สวยเหมือนกัน นั่นซี คนอย่างข้าจะมีแปลกอะไร บ้านของข้าก็เยอะ เวลานี้ลูกหลานของข้าก็สร้างกันสวยๆแล้ว ข้าสบายใจแล้วว่ะ ข้าจะตายก็ไม่เป็นไร อ้าว ขอโทษนะ หันพูดกะเจ้าลิงเสียอีกแล้ว ลืมไป เอาก็ว่ากันต่อไป พอเวลาใกล้จะ ๖ โมง เหลืออีกประมาณสัก ๕ นาที พระนั่งประชุมกันเต็มวัด ข้างในมีแต่พระ ก็มีผู้ใหญ่อยู่ ๒-๓ คน คือมี พระยาประเสริฐ พระยาศรยุทธเสนี มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร หลวงพินิจมาตรา ก็นั่งอยู่ข้างๆ แล้วนอกจากนั้นฆราวาสก็อยู่ข้างนอกกันเต็มอัดหมด คอยฟังเครื่องขยายเสียงว่าพวกเราจะให้สัญญาณอะไรบ้าง อ๋อ เวลาไม่ใช่ ๕ นาทีซี เวลาเหลือประมาณสัก ๑๐ นาที ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านถามว่าใคร ท่านมองหน้าฉันนะ ถามว่าใคร บอกว่าผมครับหลวงพ่อ เจ้าลิงดำขอรับ ต้องรายงานแบบนี้ ลิงดำเรอะ เออ ดีแล้วนะลูกนะ ถ้าพ่อตายละก็ เอ๊งช่วยไปสร้างโบสถ์วัดเสาธง ตำบลสารี อำเภอบางปลาม้า ให้เสร็จด้วยนะ


    ก็ตอนนั้นอายุฉันนิดเดียว ฉันก็ตอบว่า ถ้าหากว่าเขามาขอร้องนะขอรับหลวงพ่อ เพราะผมเป็นเด็กอยู่ จะไปรับอาสาเขาทำจะไม่มีใครเขาเชื่อ ท่านบอกเออ ถูกแล้วๆลูก เลยถามท่านว่า หลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระมานั่งกันอยู่เต็มประมาณ ๒๐๐ รูป แล้วหลวงพ่อจะต้องการให้พระสงเคราะห์อะไรบ้างครับ ท่านเลยบอกว่า ถ้าพระจะสงเคราะห์นะลูกนะ ให้ท่านสวดอิติปิโสนะ แล้วลูกจุดธูปหอมๆ ให้พ่อได้กลิ่นด้วยนะ ฉันก็ลุกไปจุดธูป ให้สัญญาณพระสวดอิติปิโส เจ้าลิงขาวลงไปกระซิบที่ข้างหูท่าน บอกว่าหลวงพ่อขอรับ เวลานี้พระสวดอิติปิโสแล้วครับ ท่านทำหัวผงกนิดๆ แสดงความเคารพในพระรัตนตรัย พอพระสวดไปได้พักหนึ่ง เวลาเหลืออีกนิดจะ ๖ โมง ท่านลืมตาขึ้นมา ท่านบอกว่าลิงดำเอ๋ย บอกพระกับพวกชาวบ้านนะ บอกพ่อลานะ แล้วขอให้ทุกคนเขามีความสุขนะ ทุกคนตายแล้วจงไปสวรรค์ จงไปพรหมโลก จงไปนิพพาน ก็รับคำท่านว่าผมจะบอกให้ ท่านก็หลับตา พอหลับตาอีกทีนาฬิกาตีเป๋งแรก ๖ โมง เอากันเป๋งแรกนะ ท่านลืมตาแล้วก็หลับปั๊บ ปรากฏว่าชีพจรดับพร้อมกัน พระครูอุดมสมาจารย์ที่นั่งหลับตาอยู่ห่างๆ ลืมตาขึ้นมาบอกว่าหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพ่อไปแล้วอย่างสบาย ออกไปสวยเหลือเกิน บอกว่ารูปร่างท่านสวยเหลือเกิน ไปชั้นดุสิต ท่านบอกว่าเทวดาพรหมห้อมล้อมไปส่งถึงชั้นดุสิต ฉันก็ส่งข่าวให้สัญญาณกับพระ พระท่านสวดอยู่ท่านไม่รู้ว่าหลวงพ่อปานไปแล้ว ฉันยกมือขึ้น บอกว่าเวลานี้หลวงพ่อมรณภาพแล้ว พระหลายองค์แกเลิกสวดอิติปิโส แต่แกสวดใหม่ สวดร้องไห้โฮขึ้นมาเลยพ่อเจ้าประคุณ พระแกนี่สำคัญ มีพระแก่หลายองค์ เลิกสวดอิติปิโสกัน สวดร้องไห้ขึ้นมา เมื่อพระร้องไห้นี่ ชาวบ้านที่อยากจะร้องอยู่ก็เยอะ แล้วเลยช่วยกันเป็นการใหญ่ ล่อกันเสียพัก ฉันกับไอ้ ๒ ลิงนั่งยิ้มๆ ท่านพระครูอุดมสมาจารย์ หลวงพ่อเล็ก อาจารย์ฉัตร พวกนี้กรรมฐานหนักทั้งนั้นนะที่ออกชื่อมา แต่ก็นั่งยิ้มๆว่าเจ้าพวกนี้มันโห่อะไรกันนะ หลวงพ่อเล็กบอก เอ๊ะ นี่เขาโห่แปลกนะ พอท่านใหญ่ไปสวรรค์เขาโห่ส่งท้าย แต่ไอ้โห่แบบนี้ขี้มูกขี้ลายมันโป่งเต็มหน้าไปหมด มันโห่อะไรของมัน ท่านพูดยิ้มๆ พวกเราไม่ใคร่ตกใจก็เฉยๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าหลวงพ่อไปสบายกว่าเรา


    เมื่อท่านตายแล้วทำยังไง เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ข่าวเล่าลือในการตายน่ะมันมีเยอะ ถ้าฉันจะไม่นำมาเล่าเสียบ้างมันก็จะลำบาก ท่านตายในกุฏิของท่าน คนจะเข้ามาเยี่ยมศพก็แสนจะลำบาก เลยต้องเคลื่อนศพมาไว้ที่ศาลา ทีแรกดำริกันว่าจะใส่หีบศพ จะใส่โลงผีน่ะ เอาว่ากันอย่างนั้นนะ ก็มาปรึกษากันว่าถ้าใส่หีบศพเข้าแล้ว คนเขามาไหว้ก็ลำบาก เพราะลูกศิษย์ลูกหาท่านมาก เอาไว้ข้างนอกสัก ๓ วันเป็นยังไง สมัยนั้นยาฉีดกันเน่ากันเหม็นน่ะมันไม่มีนะลูกหลาน ก็เลยปรึกษากันว่า ๓ วัน หลวงพ่อคงยังไม่เป็นไร ก็ช่างเถอะ ถ้าเป็นก็ค่อยเอาใส่หีบศพกัน ก็ทำเตียงเข้าไว้ เอาท่านนอนลงไป คนทุกคนที่มาก็ให้มีโอกาสสรงน้ำ สรงน้ำก็อนุญาตให้รดแต่เพียงแค่เท้า ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประทังความเหม็นและความเน่า ท่านนอนอยู่ ๓ วันบนที่นั้น ก็ปรากฏว่ามีอาการเหมือนคนหลับ กลิ่นสางสักนิดหนึ่งก็ไม่มี เนื้อหนังที่จะผิดปกติอย่างคนตายก็ไม่มี เขาก็เกิดสงสัยว่า คนเราถ้าตายเอาไว้ในที่แจ้งๆ นี่มันไม่ค่อยเน่า เขาก็ว่ายังงั้นนะ เขาไม่ว่าเป็นเหตุอัศจรรย์หรอก เขาลือกันว่ายังงั้น วันนั้นเป็นวันที่ ๓ หลังจากวันที่ ๓ ไปแล้วเป็นวันที่ ๔ ตาเก๊าที่ตลาดบ้านแพนตาย เขาเห็นหลวงพ่อปานเอาไว้ยังงั้นไม่เน่า พวกลูกหลานเขาก็ดีใจ ว่ายังงั้นเราก็เอาไว้อย่างหลวงพ่อปานบ้าง พวกนี้พยายามขี้ตามช้างเขาเอาไว้บ้าง พอวันที่ ๓ นะลูกหลานที่รัก พระไปฉันไม่ได้ สวดก็ไม่ได้ พระบอกว่าอ้าปากไม่ขึ้น ถามว่าทำไม บอกว่าหูตามันปลิ้นไปหมด ลิ้นจุกมือกางแขนขากางไปเต็มที่เน่าเฟะ แล้วทีนี้มาดูหลวงพ่อปานครบวันที่ ๖ แล้วยังไม่เป็นไร เป็นปกติ ร่างกายของท่านน่ะเป็นปกติ เอาไว้กันอย่างนี้ตั้งแต่วันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ จนกระทั่งถึงวันขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๙ กี่วันนับไปก็แล้วกัน ร่างกายของท่านไม่ผิดปกติเลย เมื่อถึงเวลาก็เก็บศพ ระหว่างเวลาที่ยังเอาศพท่านไว้ ที่เขาเล่าลือกันนะ บอกว่ามีปาฏิหาริย์ต่างๆ ฉันไม่อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ไม่เล่าให้ฟังเดี๋ยวใครเขามาพูด ลูกหลานจะสงสัย มันมีอยู่คราวหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณพิมลธรรมวัดมหาธาตุ สมัยนั้นยังดำรงตำแหน่งพระศรีสุธรรมุนี เป็นเจ้าคณะจังหวัดอยุธยากำลังเทศน์ กลางวันนะ ก็มีแสงขึ้นไปจับอยู่ที่เพดานตรงกับหลวงพ่อปาน แล้ววนไปวนมาตลอดเวลาเทศน์ แสงสว่างมากเป็นจุดคล้ายๆกับแสงไฟฉายขนาดใหญ่ กลางวันนี่ ใครจะฉายไฟขึ้นไปเราก็เห็น แต่ว่าเขาไม่ได้ฉายกันเราก็เลยไม่เห็นคนฉาย อันนี้อย่างหนึ่ง แล้วมีนกกลุ่มหนึ่งมาจับ เข้ามาหาท่านอยู่เสมอ อันนี้ก็ไม่แปลก อีกอย่างหนึ่งคือเต่า เต่าตัวนี้หลวงพ่อท่านปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเขียนชื่อท่านไว้ แม่สุ่นแล้วก็ตาเซ่งหลีหรือไงก็ไม่ทราบที่ตลาดบ้านแพนเขาไปซื้อมาจากคนเมามันจะแกง แล้วเขาก็มาถวายท่าน ท่านเขียนไว้ที่อกว่า พระปานปล่อยที่จังหวัดสิงห์บุรี แม่สุ่นแล้วก็พ่ออะไร ซุ่นหลีอะไรก็ไม่ทราบ ท่านเขียนไว้ที่หน้าอกด้วยตะปู รอยยังอยู่ แต่ว่าปล่อยหลายปีมาแล้วประมาณว่าสัก ๑๐ ปี เจ้าเต่าตัวนี้มันโตมาก ขนาดเด็กขี่ได้ ไปกับผักชวา พอไปถึงหน้าวัดก็ไต่ขึ้นมาบนเขื่อน คนเดินดูกัน ก็ไต่ไปตามถนนของเขื่อน พอถึงถนนหน้าศาลาแล้วมันก็เลี้ยว เลี้ยวขึ้นไปจะขึ้นบันไดศาลา คนก็เลยจับขึ้นบันได แล้วไปไหน ก็ปรากฏว่าไปนอนอยู่ใต้ศพหลวงพ่อปาน ต่อมาเจ้าของชื่อที่เขาเอามาถวายท่านปล่อย เมื่อเขานำศพไปเก็บแล้วก็เอาไปเลี้ยงไว้จนกระทั่งเต่าตัวนั้นตาย สงเคราะห์ตลอดไป นี่เรื่องก็มีเท่านี้นะ เรื่องอัศจรรย์ก็ไม่มีมาก


    คราวนี้เอาตรงไหนดีล่ะ หลวงพ่อปานตายแล้วนี่นะ ตายแล้วก็มาว่ากันถึงเรื่องเผา เรื่องเผานี่เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกัน เวลาหลวงพ่อปานตายปรากฏว่ามีเงินอยู่ในกระเป๋า ในย่ามของท่าน ๒๐ บาท แล้วก็ค้นไปค้นมาพบอีก ๖๐ บาท รวมเป็นเงิน ๘๐ บาทด้วยกัน นี่เงินสดนะรวยมาก หลวงพ่อมีเงินตั้งชั่ง แต่ปรากฏว่าค้นไปค้นมาไปพบหนี้เข้าอีก ๔,๐๐๐ บาท พวกเราทำยังไงเล่า ไม่ได้ เรื่องหนี้ของหลวงพ่อนี่มันต้องว่ากันละต้องชำระกัน ก็เชิญเจ้าหนี้เขามา บอกให้เผาเสร็จเรียบร้อยเถอะจะใช้หนี้ ไม่เป็นไร ใครเขาไม่รับฉันรับคนเดียว ฉันรับจะเทศน์ชำระหนี้หลวงพ่อจนกว่าจะครบ ทุกคนเขาโมทนา เขาไม่บอกว่ายังไง เขาก็ดีใจว่าฉันรับหนี้ พระองค์อื่นเขานั่งทำตาปริบๆกันเงียบ พูดถึงเรื่องหนี้หลวงพ่อละก็ เขานั่งทำตาปริบๆ เขาไม่พูด ไม่มีใครรับชำระ ฉันก็นึกว่า เอ ท่านเป็นพ่อฉันนี่ ฉันก็รับชำระน่ะซี หันมาปรึกษาไอ้ลิง ๒ ตัว บอกเฮ้ย ถ้าเผาหลวงพ่อแล้วเงินไม่พอทำไงเว้ย ไอ้เจ้านั่นเขาบอกว่า เอ็งรับชำระก็เทศน์ใช้หนี้เขาไปซิหว่า เลยถามว่าเอ็ง ๒ ตัวล่ะ บอกข้าไม่ได้รับปากเขานี่ แต่ว่าข้าจะช่วย เท่าไรเท่ากันซีวะ มันว่ายังงั้น หลวงพ่อให้ของเราได้ดีกว่าเงินเสียอีก เรื่องเงิน ๔ พันบาทเป็นเรื่องเล็ก เจ้า ๒ ตัวเขาว่ายังงั้น พอเจ้า ๒ คนว่ายังงั้นฉันก็ดีใจเพราะมันเก่ง ไอ้เจ้านี่มันหาได้แน่ ยังไงๆมันก็หาได้แน่ มันเป็นพระอภิญญานี่ ไอ้ฉันน่ะไม่ไหวแล้ว นอกจากจะเทศน์เอาลมไปขายแล้วไม่มีอย่างอื่น เป็นอันว่าเลิกกันไป ก็ทำบุญกัน ๗ วัน หรือ ๘-๙ วันนั่นแหละ แล้วมาทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน นี่ไม่ต้องว่ากัน เงินของท่านเวลาใช้จริง เมื่อตายแล้วเงินมันหลั่งไหลมาบอกไม่ถูก โอ๊ย บอกไม่ถูกเลย เงินเต็มหีบเรื่อย ทำบุญ ๕๐ วันก็เยอะ ทำบุญ ๑๐๐ วันก็เยอะ มาพอถึงเวลาจะเผา ได้เยอะตอนนั้น ฉันและบรรดาคณะกรรมการทั้งหมดก็ถวายพระกันหมด ไม่มีใครเขาเก็บ ถึงเวลาเผาเข้าจริงๆ ก็สั่งบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย บอกว่าขอให้มารับหนี้พร้อมๆกันนะในวันเผา แต่ทว่าทุกคนก็ขอให้เตรียมสตางค์ใส่กระเป๋ากันมาอีกคนละพันบาทด้วย หากว่าในงานของหลวงพ่อเกิดเงินไม่พอจะได้เป็นหนี้ต่อน่ะซี ไม่ชำระ ให้เขาเอามาอีกคนละพันบาท จะได้ขอยืมต่อเอาเป็นทุน เห็นไหมล่ะคนชั้นดี นี่อาจารย์เจิมท่านก็มีคนรู้จักมาก เพราะติดตามหลวงพ่อปานนานก็สั่งไว้เหมือนกัน สั่งคนไว้หลายคน แต่รายที่ถูกสั่งเขาเตรียมกันมาคนละพันบาท รวมเงินแล้วประมาณสัก ๒ หมื่นได้มั้ง แล้วทุกคนเขามาบอกว่า เงินเอามาแล้วนะขอรับ เอาหรือยัง พวกเราบอกว่าถ้าหากยังไม่ขาดยังไม่เรียก ถ้าขาดเท่าไรจะขอเท่านั้น เขาก็เตรียมเอาไว้ ในที่สุดงานหลวงพ่อปานเผาเสร็จไปแล้ว เจ้าหนี้ทั้งหมดในวันจะเผา เวลาเทศน์จบลุกขึ้นประกาศถวายหนี้ เอาเข้านั่นไหมล่ะ ถวายว่าหนี้ทั้งหมดที่เป็นอยู่กับเขานั้นเขาไม่รับ เขาขอถวายหลวงพ่อปานหมด สบายไป ๔ พัน แล้วนอกจากนั้นสตางค์ในกระเป๋า คนละพันๆ ก็งัดเอาออกมาอีก อันนี้ขอช่วยถวายในงานศพ จะใช้อะไรก็ตาม เอาเสียอีก ๒ หมื่นกว่า นี่เจ้าหนี้น่ะคนละพัน เข้าไป ๔ พันนะไม่ได้ ๔ พันก็ควักมาคนละพัน แล้วคนอื่นอีกคนละพันๆๆ รวมแล้ว ๒ หมื่นกว่าๆ นั่นเงินพิเศษ แต่ว่าเงินจำนวนนี้ไม่ได้ใช้งานเลย งานของท่านเลี้ยงตัวได้ดีที่สุด เลยดี ตั้งโรงครัวกันขนาดหนัก เลี้ยงกันขนาดหนัก คนมากที่สุด ไม่เคยมีงานครั้งใดคนมากเท่านั้นเลย สำหรับเวลายกศพลงจากศาลาเอาไปลานวัด เจ้าพระคุณพระมหาโพธิวงศาจารย์ วัดอนงคาราม สมัยนั้นเป็นพระมงคลเทพมุนี ท่านมีจริยาอ่อนช้อยเหลือเกิน ท่านอาราธนายืนพนมมือตลอดเวลา เวลาจะบอกพระท่านพนมมือ เดินพนมมือแต้บอก ขอรับขอนิมนต์ พระทุกองค์ยืน ๒ แถวจากบนศาลาลงไปแล้วก็ยืนล้อมเมรุไว้ ฆราวาสให้อยู่ข้างนอก เขาแห่ศพก็นำศพไม่กี่คน นำไปในระหว่างภายในแถวของพระ พระยืนกั้นเป็นรั้ว ๒ แถวติดๆกันแล้วเข้าไปถึงเมรุ แล้วพระที่เหลือจากนั้นก็ยืนล้อมเมรุไว้เป็นวงกลม นี่เขากลัวแย่งศพเหมือนกัน แล้วปรากฏว่าพระเหลือแหล่เลยเป็นรั้วกั้นเมรุ พระเป็นรั้ว ๒ แถว เหลือแหล่จากศาลาลงไปหาลานวัด พระมากเหลือเกิน บรรดาประชาชนก็ขนาดเดินชนกัน ปี่พาทย์ ไม่ได้หามานะ มากัน ๘ วง พ่อประชันกันขนาดหนัก ล่อกันเต็มที่ ปี่พาทย์ไม่ได้หาเลย ลิเก ละครไม่ได้หากัน มากันจนกระทั่งไม่มีที่ตั้ง ปี่พาทย์ลาดตะโพนตั้งกันที่ศาลาน้ำบ้าง ที่หอฉันบ้าง ที่ไหนต่อไปไหนบ้าง บนศาลาไม่มีที่ตั้ง ลิเกละครมากันจนถึงต้องรวมวงกันเล่น ไปเล่นกันคนละวงไม่ได้ นี้เป็นยังงั้น นี่เป็นบารมีของท่าน เมื่อท่านตายแล้วก็ได้เอาเงินที่เหลือจากนั้นสร้างมณฑปของท่าน แล้วก็สร้างโรงเรียนประชาบาลให้ท่าน เงินก็ยังเหลืออยู่บ้าง ปรากฏว่าท่านอาจารย์เจิมฝากใครไว้ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ทราบ แล้วต่อจากนั้นไปเงินจำนวนนั้นไปไหนก็ไม่รู้เหมือนกันไม่ได้ติดตาม เรื่องเงินส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ปล่อยไป เรื่องของใครก็เรื่องของใคร


    ตานี้มาว่ากันตอนหลัง เมื่อหลวงพ่อปานตายแล้วพวกฉันก็แตกกระสานซ่านกระเซ็นกันไป ฉันก็เข้ากรุงเทพฯ ไอ้ที่เข้ากรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหนหรอก นึกว่าจะไปดูพระในกรุงเทพฯ เขาเป็นเจ้าคุณ เขาเป็นสมเด็จ เขาเป็นอะไรต่ออะไรกันนี่ ว่าจะมีจริยาเหมือนหลวงพ่อฉันไหม หลวงพ่อปานท่านเป็นพระบ้านนอก แล้วก็คนอื่นน่ะ ที่เป็นอะไรต่ออะไรน่ะ จะเป็นนักเสียสละมีจริยาเหมือนกันไหม ก็มีโอกาสย่องๆๆไปดูมาตั้งเยอะ ท่านจะเป็นยังไงบ้างไม่มาเล่าให้ฟังละ ไม่ขอเล่าให้ฟังมันเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่พอครบ ๑๐ พรรษา เจ้า ๒ ลิงก็เข้าป่าไป
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ดาบกายสิทธิ์

    หลังจากหลวงพ่อปานตายแล้วปีหนึ่ง ฉันนอนนึกถึงสมุดตำราของหลวงพ่อปานที่อาจารย์แจงขอยืมไป ฉันมานึกขึ้นมาได้ว่าท่านขอยืมเอาไปปีหนึ่ง ท่านจะมาส่ง นี่ไม่เห็นท่านมาส่ง แล้วหลวงพ่อปานก็ตายแล้ว จะลองๆ ไปถามท่านว่าท่านจะให้ไหม จะได้เอามาใช้บ้าง เผื่อจะฮิตขึ้นมา


    เมื่อไปถึงอำเภอสวรรคโลก อีตอนนี้มันเป็นจังหวัดหรือยัง ดูเหมือนจะเป็นจังหวัด จังหวัดสวรรคโลก พอไปถึงที่นั่นก็ไปถามเขาว่าอาจารย์แจงอยู่ที่ไหน ความจริงท่านก็อยู่ไม่ไกลอำเภอนัก ก็มีคนนำทางไป ไปพบภรรยาท่าน พอไปถึงบ้านได้ยินข่าวปรากฏว่าอาจารย์แจงตาย ตายไล่ๆกับหลวงพ่อปาน เลยแจ้งกับภรรยาของท่านว่า ฉันนี่น่ะเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปานจะมาขอตำราที่ท่านอาจารย์แจงมอบให้แก่หลวงพ่อปานคืนไป จะได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ภรรยาของท่านก็หยิบหนังสือขึ้นมา อาจารย์แจงเขียนเป็นหนังสือตัวคล้ายๆโบราณ แต่เป็นกระดาษสมุดธรรมดา บอกว่าตำราเล่มนี้เป็นตำราของอาจารย์พระร่วง ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายมาจากต้นตระกูล เพราะตระกูลของข้าพเจ้าเป็นตระกูลของพระร่วง ท่านว่ายังงั้น ถ้าหากว่าบุคคลใดจะนำตำรานี้ไปใช้เป็นประโยชน์ ให้นำดาบ ๒ เล่มนี้ไปรำที่กลางนอกชาน รำกลางแจ้ง ถ้ารำดาบแล้วมีฟ้าผ่าลงมาใกล้ๆ ฟังเสียงชัด ก็มอบตำรานี้ให้ได้ ถ้าใครเอาดาบนี้ไปรำกลางนอกชานฟ้าไม่ผ่าลงมา ห้ามไม่ให้มอบตำรานี้ให้ไป และเมียเขาบอกว่า เขามารำกันเยอะแล้ว พอท่านอาจารย์ตายก็มารำกันเยอะ ฟ้าไม่ผ่า ฉันก็นึกว่า เอ เราไม่เคยเรียนวิชารำดาบกับเขาสักที เคยเล่นกลองยาวสมัยเด็กๆ รำดาบนี้มันจะใช้ได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ ก็นึก....อธิษฐานในใจว่า....เอาละโยม เอายังงี้ก็แล้วกัน อาตมาคิดว่าถ้าอาตมามีบุญนะ อาตมาเอาดาบไปถือไว้กลางนอกชานพอขยับนิดหนึ่งฟ้าคงจะผ่าลงมา แสดงสัญลักษณ์ว่าให้ตำรา หากว่าอาตมาไปขยับดาบหรือรำดาบฟ้าไม่ผ่าก็กฎของกรรม เรียกว่าวาสนาบารมีไม่ควรกับตำรา เป็นอันว่าเจ๊ากันไปนะโยมนะ โยมผู้หญิงแกก็บอกว่าใช่ท่าน ยังงั้นถูกแล้ว แล้วแกก็ส่งดาบให้ ฉันก็หยิบดาบมา เอาตำราไปวางไว้ที่หน้าพระพุทธรูป แล้วฉันก็จุดธูปเทียนบูชา ว่าถ้าวาสนาบารมีของฉันนี้เคยเกี่ยวข้องกับท่านเจ้าของตำราเล่มนี้มาบ้าง แล้วควรที่จะรับตำรานี้ไปไว้เป็นสมบัติของตน และคาถาในตำรานี้จะให้ประโยชน์แก่ฉัน ขอให้ฟ้าผ่าลงมาในขณะที่ฉันถือดาบนี้ออกไปกลางแจ้ง ถ้าหากว่าฉันถือดาบอยู่ประมาณ ๑๐ นาทีฟ้าไม่ผ่า แสดงว่าท่านเจ้าของตำราไม่อนุมัติ ฉันอธิษฐานเสร็จฉันก็ถือดาบออกมากลางนอกชาน ฉันไม่ได้รำไม่ได้เริมอะไรหรอก ไปรำเข้า พระนี่ดีไม่ดีตำรวจจะมาจับ พระรำดาบ ในที่สุดพอเดินออกไปกลางนอกชาน ถึงกลางแจ้งไม่ทันถึง ๒ นาทีละมั้ง ฟ้าผ่าเปรี้ยง หูอื้อไปตามๆกัน เป็นอันว่า ฉันมีสิทธิ์ในการใช้ตำรา แล้วฉันก็รับตำรามา เมื่อรับตำรามาแล้วฉันก็ไม่ใช้ ฉันมานอนคุมไว้เฉยๆ มาคืนหนึ่งเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม ฉันฟังวิทยุเปิดฟังข่าวจากสถานีวิทยุจากประเทศไทย ปกติห้องฉันน่ะมีลูกกรงรอบ ปิดประตูแล้วใครเข้าทางไหนไม่ได้ ก็ดับตะเกียง ปกติฉันไม่อยากจุดตะเกียง ก็ปรากฏว่าเสียงคนเดินมาข้างหลังแล้วก็มานั่งบนเตียง มองไปดูเห็นนุ่งขาวห่มขาวเป็นผู้ชาย ถามว่าเป็นใคร บอกว่าฉันเป็นพรหมชั้นที่ ๘ ฉันเป็นเจ้าของตำราของท่านปาน ท่านบอกว่าท่านเป็นเจ้าของตำรานะ ถามว่าเธอทำไมไม่ท่องคาถาใช้บ้างล่ะ ก็เลยเรียนกับท่านว่า ไม่เอาละ คนสมัยนี้มันอกตัญญูไม่รู้คุณคน ทำอะไรให้มันก็ไม่มีความดี หลวงพ่อปานสร้างความดีมาตั้งเยอะ ได้คนที่เห็นความดีไม่กี่คน ไม่เอาฉันขี้เกียจเหนื่อย ท่านเลยบอกว่า ตำรานี่น่ะพ้นจากคุณไปแล้วใครเอาไปใช้ได้ผลไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์นะ เพราะว่าคุณนี่นะเป็นลูกคนสุดท้ายนะ แล้วเป็นคนสุดท้ายที่มีสิทธิ์ใช้ตำรานี้ ท่านบอกยังงั้นฉันก็ไม่เอา ฉันขี้เกียจฉันน่ะ เมื่อเห็นว่าทำยังไงๆ ฉันก็ไม่เอา ท่านก็ทำเป็นผ้ายันต์ใหญ่มาผืนหนึ่ง ผ้าธงมหาพิชัยสงคราม ท่านบอกว่าเอายันต์นี่แน่ะไปจ้างเขาพิมพ์แล้วก็เอามาเสก จะใช้อะไรก็ได้ ฉันก็ไม่เอา บอกว่าไม่เอาละขี้เกียจ ท่านนั่งอยู่ประเดี๋ยว ท่านก็เลยบอกว่าไม่ต้องว่าคาถาหมดหรอก เอา ๔ ตัวนี่ไปก็แล้วกัน บอก ๔ ตัวก็ไม่เอา ไม่ทำ เรื่องทำน่ะฉันขี้เกียจ ไม่เอาละ ท่านนั่งนิ่งอยู่สักพักหนึ่ง แล้วท่านก็แสดงภาพเป็นพรหม สวยเหลือเกิน ท่านบอกว่าฉันนี่น่ะเป็นต้นตระกูลของเธอนะ เธอนี่นะเป็นลูกคนสุดท้อง แล้วก็ดื้อด้านอย่างนี้มาหลายชาติแล้ว ไม่ค่อยจะเอาอะไรกับใครหรอก ถ้าลงได้บทที่จะเอาขึ้นมาชาวบ้านเขาไม่ให้ทำก็ทำ แบบนี้เป็นมาหลายร้อยหลายพันชาติแล้ว ชาตินี้ยังจะคบอยู่อีกรึ ก็บอกว่ามันคบหามาหลายพันชาติแล้วจะทิ้งมันยังไง คบมันต่อไปดีกว่าจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย ท่านก็เลยนิ่ง ไปโดนคนรั้นเข้า มันเคยรั้นมาแล้ว ท่านเลยบอกว่าเอายังงี้แล้วกันนะ ทีหลัง เอาละเธอ มันไหนๆ ก็ต้องทำ คาถาอาคมนี่มันทิ้งไม่ได้ มันต้องทำ เพราะจะต้องบวชไปจนแก่ ถ้าจะทำอะไรก็ตาม เอาผ้าขาวปูเข้า แล้วจุดดอกไม้ธูปเทียนเข้านะ บอกฉัน ฉันจะมาทำให้ทุกอย่างละฉันจะทำให้ เอาเถอะแกขี้เกียจก็แล้วไป ลูกคนสุดท้ายฉันนี่น่ะต้องเหน็ดเหนื่อยเพราะแกมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติแล้วนะ ไอ้โรครั้นๆ แบบนี้น่ะ ถ้าแกไม่ทำฉันก็ต้องทำ เอ้า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้วฉันจะทำให้แก ท่านว่ายั้งงั้นนะ ฉันคิดว่าท่านจะขี้เกียจ ก็เป็นอันว่าเลิกกัน ท่านไป ฉันก็สบาย นี่ฉันขี้เกียจได้ดีนะนี่นะ ถ้าฉันไปท่องเข้าซีพ่อให้ทำคนเดียว นี่ฉันขี้เกียจเลยทำให้ฉัน นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ใครให้ฉันทำอะไรฉันไม่ทำหรอก ที่ใครเขาว่าฉันเสกอะไรต่ออะไรนี่ ฉันไม่ได้เสกหรอก ฉันหลับตาได้ ฉันก็เรียกท่านซิ อยากบอกนี่ ท่านอยากเป็นต้นตระกูลน่ะ องค์เดียวไม่พอ แล้วเดี๋ยวนี้ว่าดะเลย เรียกดะเลย องค์นั้นบ้าง องค์นี้บ้าง องค์โน้นบ้าง ตามอัธยาศัย เป็นอันว่าเรื่องนี้จบไปเสียดีกว่า


    อยากให้มันเลิกพูดกันเสียวันนี้แหละ มันหลายชั่วโมงมาแล้ว ไม่ไหวละฟังกันนานๆ เบื่อ มาว่ากันต่อมาเลย ฉันตายวาระที่ ๒ เอา มาตรงฉันบ้างละนะ ที่เล่ากันมานี่นะฉันอยากให้ทุกคนรู้เรื่องตายนะ แต่เรื่องมันผ่านมาก็เลยเล่ากันเปะปะมา เรื่องของหลวงพ่อปานที่ว่าจะจบลงไปแล้ว อย่านึกว่าหมดนะ มันยังไม่หมด ยังอยู่อีกเยอะ ที่ฉันไม่รู้ก็ยังมีอีกมาก ที่รู้ยังไม่ได้เล่าก็มี แต่มันนึกไม่ออก มันนึกอะไรได้ก็ว่ากันไปตามเรื่องเท่าที่จะได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...