หัวอกนก กฎแห่งกรรม ของ ท.เลียงพิบูลย์ Touching Story

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Jt Odyssey3, 27 พฤศจิกายน 2020.

  1. Jt Odyssey3

    Jt Odyssey3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +68

    เช้าวันหนึ่ง ท่านอาจารย์พระครูปัญญาภรณ์โสภณ วัดเทพศิรินทราวาส ได้โทรศัพท์มาบอกว่า มีผู้บันทึกเรื่องจริงในชีวิตที่ได้ประสบเหตุการณ์ผ่านมาแล้ว อยากจะให้เกิดประโยชน์ทั่วไป จึงอยากให้คุณท.ส่งคนไปรับต้นฉบับที่กุฏิ

    ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ และให้คนไปรับบันทึกฉบับนั้นมาพิจารณา ท่านผู้บันทึกนั้นขอร้องไม่ให้ลงนามจริง ไม่อยากจะให้ผู้ที่ได้รู้จักได้อ่านแล้วจะทำให้เกิดความสะเทือนใจในบั้นปลายแห่งชีวิต ข้าพเจ้าก็รับปากกับท่านอาจารย์พระครูปัญญาภรณ์โศภณ จะไม่ออกนามผู้บันทึก

    ข้าพเจ้าอ่านแล้วก็อยากจะตั้งชื่อว่า "หัวอกนก" ความจริงอยากจะให้ความหมายถึงอกเขาอกเรา หมายถึงชีวิตของแต่ละบุคคลต่างก็ย่อมรักชีวิตด้วยกัน ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์โลกทั่วไป เมื่อมีชีวิตเคลื่อนไหวได้ก็ไม่อยากตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าคนหรือสัตว์

    เรารักชีวิตอย่างไร เขาก็รักชีวิตอย่างน้น เมื่ออ่านบันทึกแล้ว ทำให้กลับไปนึกถึงครั้งอดีตที่ผ่านมา ยังอยู่ในความทรงจำว่า

    เมื่อครั้งถนนสายบางปู สมุทรปราการ เปิดขึ้นใหม่ๆ เวลานั้น เรายังรักสนุกสนานในการล่าสัตว์ ยังไม่เคยนึกถึง "อกเขาอกเรา" มาก่อน ว่าเรารู้สึกสนุกสนานเมื่อได้ล่าชีวิตนก ส่วนนกจะรู้สึกอย่างไร เราไม่เคยสนใจเลย ทำให้นึกถึงภาพสมัยก่อน เราได้ไปกับผู้ชำนาญทาง และผู้มีความรู้ในการยิงนก เวลาเช้าตรู่ เราสะพายปืนลูกซองเที่ยวซุ่มแอบคอยหาฝูงนกที่บินลงมาเกาะตามชายทะเล และที่วิ่งไล่จิกกุ้ง ปู ปลา และพวกหอย กินตามสภาพของนกทะเล

    ภาพที่เราเห็นยามเช้าตรู่นั้น รู้สึกว่าโลกเรานี้ธรรมชาติสร้างให้มีความสวยงามประทับตาประทับใจเสียงคลื่นสาดเข้าหาชายฝั่งทะเลละลอกแล้วละลอกอีกไม่ขาดสาย แสงอาทิตย์เริ่มจะจับขอบฟ้าก่อนรุ่งอรุณ ฟากตะวันออกเริ่มสว่างด้วยแสงสีที่สวยงามก่อนพระอาทิตย์จะผุดขึ้น พวกนกทะเลมากมาย เช่น นกยาง นกอีก๋อย และหมู่นกตีนเทียน นกนางนวล และนกทะเลนานาชนิด มากมายเกินที่จะจดจำได้หมด เริ่มลงเป็นฝูงไล่จิกปลา ปู อย่างสนุกสนาน ยามนั้นชายทะเลจะเต็มไปด้วยฝูงนก เสียงแหลมและเสียงหวานมากระทบความรู้สึกทางประสาทหู ทางตา ทำให้ต้องรำพึงอยู่ในใจว่า ชายทะเลเมื่อแสงเงินแสงทองจะเริ่มแจ้ง พร้อมด้วยนกน้อยใหญ่ส่งเสียงที่ชายเลน ดูช่างงดงามน่าดูยิ่งนัก นกจำนวนพันๆ หมื่นๆ บินขึ้นลงเป็นฝูงกระจายอยู่ทั่วไป ในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกสดชื่น จิตใจผ่องใสที่มีโอกาสได้เห็นความงามของธรรมชาติ นกทะเล น้ำทะเลสีคราม ละลอกคลื่น และแสงจับท้องฟ้า สีส้ม แดง เหลือง ซึ่งอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นมาพ้นขอบฟ้า เป็นความงามธรรมชาติในก่อนรุ่งแจ้ง น้อยคนจะมีโอกาสได้เห็นภาพที่งามประทับตาประทับใจเช่นนี้

    ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นภาพเช่นนั้นมานานแล้ว ปัจจุบันนี้เราจะได้เห็นแต่แสงทองเมื่อก่อนดวงอาทิตย์จะโผล่ขึ้นส่องโลก และน้ำทะเลเป็นคลื่นม้วนเป็นละลอกเข้าซัดฝั่งเท่านั้น แต่เราไม่ได้เห็นฝูงนกทะเลนานาชนิดจำนวนพันจำนวนหมื่น นกเหล่านั้นได้สูญสิ้นไปแล้วจะมีเหลือก็ไม่มากนัก สมัยก่อนในระยะบางปู คลองด่าน ยังมีนกเป็ดน้ำฝูงหนึ่งจำนวนเป็นพันๆตัว บินมาครั้งหนึ่งมองดูมืดมัวไปด้วยนก แทบจะบังแสงอาทิตย์

    แต่บัดนี้ สัตว์ปีกเหล่านั้นเหลือน้อยกำลังจะสูญสิ้นไปแล้ว เวลาปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าผ่านบางปูในยามก่อนรุ่ง จะหาเสียงนกเหมือนสมัยสามสิบกว่าปีนั้นหายาก

    นี่ก็เป็นฝีมือของมนุษย์ได้ทำลายสิ่งสวยงามของโลก สมัยก่อนวันอาทิตย์มีนักยิงนกยิงได้รวมกันแล้วนับพันๆ ตัว ในจำนวนนี้พวกข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย มาในยุคปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าคิดถึงอดีตที่ได้สร้างบาปกรรมแล้วเศร้าใจ แต่เวลานั้นคิดแต่หาความสนุกมิได้มีความเมตตาปรานี มิได้นึกถึงอกของนกที่ตกเป็นเป้าของกระสุนปืนเลย เอาแต่ความสนุกใส่ตัว เอาความบาดเจ็บทรมาน ความตาย ให้แก่นกที่น่าสงสาร

    คราวหนึ่งเราซุ่มยิงอยู่กับผู้ชำนาญ นกไม่รู้มาเกาะกันเป็นหมู่เป็นพวก วิ่งไล่จิกปู ปลา หอย อย่างเพลิดเพลิน ไม่นึกว่าความตายจะมาถึงตัว ผู้ชำนาญยิงนกบอกให้คอยดู เมื่อนกจับกลุ่มใหญ่กว่านี้จึงค่อยยิง พวกเราก็ต้องเชื่อฟัง คอยได้เวลาเห็นว่าจับกลุ่มใหญ่แล้วก็ลั่นไกปืน ปล่อยกระสุนลูกปลายออกไป เสียงระเบิดดังปังใหญ่ เสียงนกร้องตกใจต่างบินเผ่นขึ้นบนท้องฟ้า ปากก็ร้องกันเสียงโหยหวนอย่างน่าสงสาร

    ส่วนพวกที่ถูกกระสุนก็ตายเกลื่อนบนชายเลน ที่ปีกหักเพราะถูกลูกปืนบินขึ้นไม่ไหวก็พยายามวิ่งหนี แต่ก็วิ่งไปไม่ไกลก็ล้ม เพราะปีกห้อยถ่วงน้ำหนักตัววิ่งไม่ไหว ดูแล้วน่าสงสาร เราพยายามจะออกจากที่ซุ่มเพื่อไปเก็บนก แต่คนชำนาญพยายามฉุดเราไว้ บอกว่า "อย่าเพิ่ง ประเดี๋ยวได้ยิงอีกพวกหนึ่ง ค่อยไปเก็บ" เราก็เชื่อ ซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ เพราะเวลานั้นเราใช้เสื้อผ้าสีพรางตาได้ดี

    เสียงนกที่ถูกปืนยังไม่ตาย ปากก็ร้องกันเซ็งแซ่แสดงความเจ็บปวดสาหัส ส่วนนกที่ไม่ถูกกระสุนก็บินหนีไปไม่ไกลนัก และบินวนสูงเวียนไปมาคอยดูห่วงพวกตัว พอนกที่บินอยู่บนอากาศได้ยินเสียงพวกตัวบาดเจ็บ ยังไม่ตายแต่บินไม่ไหว และไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ก็พากันบินลงมาล้อมพวกที่บาดเจ็บ ถ้าหากในเวลานั้นเรามีศีลธรรมและมนุษยธรรมก็จะเกิดความเมตตาสงสาร เราก็คงไม่สามารถยิงมันต่อไปอีก แต่เรามีแต่ความสนุกตื่นเต้น จิตจึงไม่เกิดเวทนาปรานี สงสารสัตว์ที่เคราะห์ร้ายพวกนี้

    เมื่ออายุมากขึ้นผ่านวัยคะนองมาแล้วนึกถึงการฆ่าสัตว์ อดีตที่ผ่านมา นึกขึ้นมาคราวใดให้นึกชังตัวเองว่า ทำไมเวลานั้นเราจึงมีจิตใจเหี้ยมโหด ไม่รู้สึกสงสาร พวกนกนี้มันรักพวกพ้องต่างก็บินลงมาร้องกันเซ็งแซ่ ล้อมตัวที่ถูกยิงบาดเจ็บ ประเดี๋ยวเดียวก็บินมาจับกันเป็นกลุ่มใหญ่ พอเห็นว่านกบินลงมามากพอแล้ว ผู้ชำนาญยิงนกก็ปล่อยกระสุนออกไป นกที่ถูกกระสุนบาดเจ็บล้มตายก็เพิ่มขึ้นอีกมากมาย

    คราวนี้พวกเราก็ให้เด็กบุกลงไป บางคนก็ถีบกระดานออกไปที่ดินอ่อนๆ ริมน้ำ เก็บนกที่ถูกยิงตายไว้ที่หัวกระดานเป็นกองใหญ่ เมื่อนับทั้งตัวใหญ่ ตัวเล็ก นำมารวมกองคราวหนึ่งจำนวนร้อยกว่าตัว ซึ่งไม่ใช่ฝีมือพวกเรา เป็นฝีมือผู้ชำนาญ ส่วนพวกเราเคยใช้กระสุนหลายนัด แต่ยิงไม่ค่อยจะได้นก นี่เป็นครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้ากับพวกเพื่อนๆ ไปล่านก ที่ชายทะเลบางปู เมื่อสมัยก่อนโน้นเราเคยเอาเรือออกไปทางคลองด่าน เวลานั้นมีนกมากมายยิงกันไม่ไหว ยิงเอามาแบ่งกันก็ยังกินไม่หมด มีความสนุกสนานตื่นเต้นในเวลานั้น แต่ปัจจุบันนี้นึกแล้วก็เศร้าใจ เพราะชีวิตผ่านเหตุการณ์ประสบกับตัวเองมาแล้ว พวกใหม่ๆ เราห้ามก็มักจะอวดดีหาว่าโง่เง่าเตาปูปลา พวกนี้ไม่เคยผ่านจึงคิดว่าตัวดี ฉลาด เป็นคนสมัยใหม่

    ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะเขียนตามบันทึกของท่านผู้หนึ่ง ที่ได้จากท่านพระครูปัญญาภรณ์โศภณ วัดเทพศิรินทราวาส ข้อความบันทึกมาให้ดังนี้

    สมัยเมื่อผมอยู่ในวัยหนุ่มนั้น ผมคิดว่าการยิงนกเป็นเกมกีฬาอย่างหนึ่ง สามารถทำให้ร่างกายทุกส่วนออกกำลัง หูตาแจ่มใสว่องไว และมีทั้งตื่นเต้นสนุกสนานไปในตัว เวลานั้นไม่ได้นึกถึงศีลธรรมอันใด ความเมตตากรุณาสงสารไม่อยู่ในความรู้สึก มีแต่ความสนุกสนาน

    ผมชอบยิงนกก็จริงแต่ไม่ชอบนกที่เป็นเป้านิ่ง ไม่นิยมยิงนกที่เกาะตามกิ่งไม้ หรือเดินหากินตามริมตลิ่งริมคลอง หรือเกาะนิ่งคอยจับต้องดูพอได้ทีก็บินลงมาจิกปลาขึ้นไปกิน ผมไม่ยอมยิงแม่แต่นกเดินตามดินลงเก็บข้าวตกตามท้องนา

    เป็นนิสัยของผมที่ไม่ชอบยิงนกที่เป็นเป้านิ่ง เพราะการยิงแบบนี้เป็นการเอาเปรียบนกไม่ใช่กีฬา นี่เป็นความรู้สึกของผม เพราะนกจะมีโอกาสหนีได้น้อยมาก เป็นแบบที่เราเอาเปรียบนกมากเกินไป นกมีโอกาสรอดตายได้น้อยที่สุด

    ผมจึงใช้วิธีไล่ให้ฝูงนกบินขึ้นบนท้องฟ้าเสียก่อน จึงจะยิง ส่วนมากผมชอบยิงพวกนกปากซ่อม ในท้องนารวงข้าวสุก การยิงนกปากซ่อมนั้นถือว่าเป็นเกมกีฬาที่สนุกสนาน เพราะนกปากซ่อมนั้นหากผู้ไม่เคยยิงและไม่ชำนาญแล้ว จะใช้กระสุนสักสี่ห้าสิบนัดบางทีก็ยิงไม่ถูกนกปากซ่อมแม้แต่ตัวเดียว เพราะนกปากซ่อมเป็นนกที่ฉลาด มีวิธีพลิกแพลงว่องไวกว่านกชนิดอื่นมาก วิธีบินหนีภัยเมื่อรู้ตัวแล้ว มันจะบินแยกย้ายกระจัดกระจายออกจากฝูงห่างไปคนละทางสองทาง ผู้ยิงจะต้องรู้วิธีอย่างมีฝีมือ รู้นิสัยอันชาญฉลาดของนกจึงจะได้ มิฉะนั้น มัวแต่เล็งแล้วปล่อยกระสุนออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า เสียกระสุนปืนมากต่อมากแต่ไม่ได้นกปากซ่อม เพราะนกพวกนี้ส่วนมากมีสัญชาตญาณหรือธรรมชาติที่สร้างมาไว้ป้องกันชีวิต จึงมีวิธีบินอย่างฉวัดเฉวียน บินอย่างพลิกแพลงหลบหลีกได้ว่องไว ผู้ฝึกยิงส่องปืนตามไม่ทัน จึงปล่อยกระสุนไปในอากาศที่ว่างเปล่าเป็นส่วนมาก

    ฉะนั้น ผมจึงชอบยิงนกที่บินขึ้นบนอากาศ ทำให้ตื่นเต้นและเป็นเกมกีฬาที่แสดงฝีมือในการยิง และไม่เอาเปรียบนกมากนัก

    ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงบุญบาป ชั่วดี ต่อมาหลายปีเหมือนจะถึงกำหนดเวลาให้ผมหยุดเกมกีฬาที่ผมชอบมาก ครั้งนั้นเป็นฤดูแล้ง ผมได้ถือปืนออกจากบ้าน ไปเที่ยวหานกในสวนตามนิสัยชอบและอยู่ว่างไม่ค่อยได้

    เมื่อผมเดินเข้าไปในเขตสวนมีต้นหมากมาก ก็ได้พบนกเขาคู่หนึ่งเกาะอยู่ที่ยอดก้านหมาก กำลังจับคู่เพลิดเพลินกันอยู๋ เมื่อนกเห็นเดินเข้าไปในมือถือปืน สัญชาตญาณทำให้นกทั้งคู่รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัว ทั้งสองรีบโผบินหนีไปทั้งคู่ ผมยกปืนขึ้นเล็งแล้วปล่อยกระสุนออกไป ตัวหนึ่งถูกกระสุนของผมหล่นลงมา อีกตัวหนึ่งยังบินแฉลบวนเวียนไปมาอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมทิ้งคู่ จะคอยดูเหมือนจะรู้ว่าคู่ของตัวได้ตายเสียแล้ว ถ้าพูดถึงความรู้สึกและเดาเอาเองว่า นกตัวที่อยู่นั้นคงจะรู้สึกเสียใจมากมาย หากเป็นคนก็คงฟูมฟายน้ำตา ผมใช้สายตาคอยจ้องมองดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นึกในใจว่า ทำไมมันจึงไม่หนีไปให้ไกลนะ มันคงรู้แล้วว่าคู่ของผมถูกยิงตายนอนอยู่แทบเท้าของผม ยิงมันอีกตัวและมันไม่กลัวตาย ผมจับตามองตลอดเวลา นึกว่าควรสงเคราะห์ให้มันตายไปตามกัน ยังไม่ทันจะยกปืนขึ้น

    ทันใดนั้นผมเห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเห็นมันเหินขึ้นสู่ท้องฟ้าสูง แล้วห่อตัวหุบปีก พุ่งตัวเอาหัวดิ่งลงสู่พื้นดินตรงหน้าผม ถึงแก่ความตายทันที

    เหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้าผมอย่างรวดเร็ว โดยไม่นึกฝันว่าจะได้พบเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้ผมสะดุ้งงงงันลืมตัวขาดสติไปครู่หนึ่ง ทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก เพราะไม่นึกว่าความรักของนกทั้งสองจะรุนแรงเช่นนี้ ยอมสละชีวิตตายร่วมกัน ผมตะลึงไปครู่หนึ่ง พอได้สติรู้สึกว่าภาพที่เห็นทำให้หัวใจผมเศร้า เมื่อผมเห็นนกทั้งสองมานอนตายอยู่ต่อหน้าผม อย่างไม่น่าจะเป็นได้เลยที่มานอนเคียงคู่กัน

    พอผมได้สติ ก็ก้มลงไปหยิบนกตัวแรกขึ้นมาดู ก็ทราบและได้เห็นว่าถูกลูกปืนที่หน้าอกทะลุเป็นนกตัวเมีย ส่วนตัวหลังที่บินขึ้นสูงแล้วพุ่งหัวดิ่งลงมาตายนั้นเป็นตัวผู้ ไม่มีรอยถูกกระสุนเลยแต่ก้านคอหัก มีเลือดไหลออกทางปาก

    เมื่อเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ด้วยการกระทำของผมทำให้นกคู่นี้ต้องตายลง เมื่อผมคิดได้เช่นนี้ก็เกิดจิตสลดเศร้าหมอง เริ่มสะอึกสะอื้นตื้นตันภายในหัวอก ผมเห็นภาพนกคู่นั้นแล้วจิตใจผมอ่อนระโหยโรยแรง ผมต้องนั่งลงเอามือทั้งสองกุมขมับไว้ ผมเป็นลูกผู้ชายน้ำตาผมออกยาก ผมเล่าอย่างไม่อาย ว่าครั้งนั้นผมต้องนั่งน้ำตาไหลออกมา ยิ่งคิดถึงชีวิตรักของนกคู่นี้แล้วก็สะอึกสะอื้น เหมือนคนได้รับความทุกข์ทรมานใจที่สุดในชีวิต เพราะผมได้สร้างกรรมทำบาปให้กันนกเขาคู่นี้ ต้องตายลงต่อหน้าต่อตา ผมร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มสะอึกตื้นตันใจ ในการสร้างบาปของตัวเองอยู่เป็นนาน กว่าจะสะกดจิตใจให้ค่อยคลายได้สติ คิดตามหลักธรรมว่า เราจะเสียใจร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด ก็ไม่สามารถทำให้นกทั้งสองกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ ทำให้เกิดจิตเศร้าหมองเพราะเราได้สร้างบาปไว้แล้ว คิดหาทางสร้างบุญดีกว่า กีฬาฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเราจะเลิกและสุดสิ้นลง นับแต่นี้เหตุการณ์อย่างวันนี้จะไม่ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองเป็นอันขาด

    เคราะห์ดีที่เวลานั้นในสวนเงียบสงัด ปราศจากผู้คนเดินไปมา เพราะอยู่ห่างจากบ้านผู้คน มิฉะนั้นถ้ามีผู้คนมาเห็นผมนั่งร้องไห้ เขาจะเข้าใจว่าเป็นอย่างอื่นหรือคิดว่าเป็นคนเสียสติก็ได้

    ผมใช้สติสะกดความเสียใจไว้ได้ ก็คิดว่ารังของนกเขาคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พลางแหงนหน้าขึ้นมองตามยอดไม้ ก็มองเห็นที่ยอดหมากมีรังนกอยู่รังหนึ่ง คงจะเป็นรังของนกคู่นั้นเป็นแน่ หูคล้ายจะได้ยินเสียงลูกนกร้อง จะเป็นอุปาทานก็ได้ คิดแล้วก็อยากจะให้คนขึ้นไปดู หากมีลูกนก ถ้าขาดพ่อแม่ มันก็คงจะอยู่ได้ไม่นานก็อดตาย เราจะรับบาปเพิ่มมากขึ้น เราควรใช้หนี้กรรมให้เบาบางลงเสียบ้าง

    เมื่อผมคิดเช่นนั้นแล้วก็ไปตามหาชาวบ้านแถวนั้น เมื่อพบก็ขอร้องให้เขาช่วยขึ้นไปเอานกในรังลงมาให้ด้วย จะให้สินจ้างรางวัล บังเอิญผมไปพบชายชาวสวนใจบุญ แกพูดว่า


    "ผมไม่ยอมรับจ้างคุณไปพรากลูกนกลูกกา บาปกรรมมันจะอยู่กับผมด้วย"


    ผมได้ฟังแล้วก็นึกละอายใจ จึงต้องแข็งใจเล่าความจริงให้ฟัง คราวนี้ผมจะไถ่บาปให้เบาลงบ้าง โดยจะช่วยชีวิตไม่ให้ลูกนกอดตายเมื่อมันขาดพ่อแม่ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่แล้วมาที่ได้ฆ่านกทั้งสองทั้งสองซึ่งเป็นพ่อแม่ของลูกนก ชายผู้นั้นนั่งฟังด้วยความสนใจและรู้สึกเศร้าสงสารนก คงจะนึกแช่งด่าผมในใจไปด้วย เมื่อรู้ความจริงแล้ว ชาวสวนผู้นั้นก็ยินยอมขึ้นต้นหมากไปเอารังนกลงมาให้

    ในรังนกปรากฏว่ามีลูกนกอยู่ 2 ตัว ขนกำลังจะขึ้นเต็มตัว อ้าปากร้องอย่างแสดงว่าหิวอย่างน่าสงสาร ก่อนที่ผมจะนำลูกนกกลับบ้าน ผมได้ขอร้องให้ชายใจบุญผู้นั้นขุดหลุมฝังซากนกทั้งสองตัวไว้ใต้ต้นหมาก ต้นที่มีรังนกอยู่ แล้วทำจิตให้สงบคล้ายจะพูดกับพ่อแม่นก เหมือนผมได้กล่าวให้สัญญาว่าจะรับเลี้ยงดูลูกนกให้ดีที่สุด จนกว่าจะเติบโตหากินเองได้

    เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็ไม่ค่อยสบายใจนัก ได้พยายามทะนุถนอมลูกนกทั้งสองให้ดีเท่าที่จะทำได้ หากรงนกมาใส่ลูกนกไว้ ในกรงตบแต่งให้ลูกนกอยู่อย่างสบายใจ เท่าที่คิดว่าคล้ายสภาพตามธรรมชาติของนก

    วันแรก ครั้งแรกเริ่มให้อาหารแก่ลูกนกโดยใช้มือป้อน ลูกนกทั้งสองหันหน้าหนีไม่ยอมกิน ผมก็ไม่สบายใจที่ลูกนกทั้งสองไม่ยอมกินอาหาร คิดว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ลูกนกกินอาหารได้ นั่งนึกตรึกตรองอยู่พักหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่า เวลาแม่นกพ่อนกมันป้อนอาหารให้ลูก มันจะอ้าปากให้ลูกนกสอดปากเข้าไปในปากของพ่อแม่นกเอาออกมากิน

    ผมก็พยายามเคี้ยวข้าวและอาหารสำหรับเลี้ยงนกเขา แล้วใช้ทางปากของผมป้อนอาหารให้ลูกนก ลูกนกทั้งสองก็ยอมกินแบบนั้น ทำให้ผมรู้สึกค่อยสบายใจขึ้น เพราะรู้ว่าเมื่อลูกนกกินอาหารได้คงไม่อดตายแน่

    ผมเลี้ยงนกสองตัวนี้จนสามารถจะจิกกินอาหารช่วยตัวเองได้จนเติบใหญ่แข็งแรง ผมเลี้ยงประมาณเกือบปี ผมให้อยู่ในห้อง โชคดีบ้านผมไม่มีแมว นกทั้งสองนี้เชื่องมาก ผมปล่อยให้ออกจากกรงเดินเล่น และบางครั้งก็จะบินออกจากหนัาต่างที่เปิดไว้ บินออกไปโต้ลมเล่นแล้วก็บินกลับเข้ามา เมื่อถึงเวลาผมไปเคาะที่กรงเรียกเป็นสัญญาณให้นอน นกทั้งสองก็ว่าง่ายต่างพากันโผเข้ากรง เวลานอนผมก็เอาผ้าคลุมกรงให้ความอบอุ่น บางเวลาผมจะออกจากบ้าน ด้วยใจเป็นห่วงนกสองตัวนี้จึงเคาะที่กรง สัญชาตญาณนกจะรู้ว่าผมต้องการให้เข้ากรง ทั้งสองก็เข้าไปแต่โดยดี เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็เปิดกรงให้ออกมาเดินเล่นอย่างอิสระ น้ำท่าอาหารการกินผมจัดไว้มิให้ขาด

    รู้สึกความสัมพันธ์ของผมที่มีต่อนกทั้งคู่นี้ไม่สามารถจะพูดออกมาเป็นตัวหนังสือได้ แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่ง นกก็เริ่มขันแต่เช้าผิดปรกติกว่าทุกวันที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งนกจะขันเป็นเวลาแต่คราวนี้ขันกันไม่หยุดจนสาย ผมนึกสงสัยนกขันกระชั้นชิด เวลาขันนกหันมาทางผมทั้ง 2 ตัวตลอดเวลา ผมจัดอาหารวางไว้บนโต๊ะด้วยความรักและสงสารที่เห็นกิริยาท่าทางของนกผิดแปลกกว่าวันธรรมดาที่ผ่านมา

    เมื่อนกเห็นผมกองอาหารไว้บนโต๊ะ พร้อมทั้งน้ำที่ใส่ไว้ในถ้วย นกก็เข้าไปจิกอาหารกินคำ 2 คำไปกินน้ำแล้วก็กลับมาขันอยู่ตรงหน้าทั้งสองตัว คล้ายจะบอกให้รู้เหตุการณ์อะไรสักอย่างหนึ่ง จึงแสดงกิริยาแปลกๆ เช่นนี้ ผมจึงเอื้อมมือไปลูบตัว นกทั้งสองก็หมอบนิ่งคล้ายว่ามือผมให้ความอบอุ่นปลอดภัยจากอันตราย นกแสดงกิริยาแปลกๆ ในวันนั้นหลายครั้ง

    เมื่อนึกถึงพ่อแม่ของนก ผมก็ยังตื้นตันใจไม่หาย แต่วันนี้นกทั้งสองแสดงกิริยาผิดปรกติ เวลาผมเอามือลูบตัว ทั้งสองตัวก็แสดงกิริยาหมอบตัวลงสงบนิ่ง กิริยาท่าทางแกมเศร้าๆ หลายครั้ง ทำให้ผมเกิดสงสารเอ็นดูยิ่งนัก

    เมื่อผมปล่อยมือก็ลุกขึ้นไปจิกอาหารกิน และดื่มน้ำเล็กน้อยทั้งสองตัว แล้วก็บินไปเกาะที่หน้าต่างที่เปิดไว้ แล้วก็แข่งกันขันหันหน้ามาทางผม แล้วหันหลังให้ผมโผบินออกจากหน้าต่างบ้านไป สักครู่หนึ่งต่างก็บินกลับมาแล้วก็จิกอาหารบนโต๊ะกิน และจิบน้ำ แล้วขันขึ้นพร้อมกัน แล้วก็โผไปเกาะที่หน้าต่างหันมามองผมอีก แล้วหันหลังบินออกจากบ้านไป ทำเช่นนี้ถึง 2 ครั้ง บินออกไปแล้วก็บินกลับเข้ามาอีก แล้วก็บินออกไป

    ทำให้ผมนึกว่า นกนี้ถึงเวลาจะต้องจากเราไปอยู่ตามธรรมชาติในป่าดงพงพี และหาคู่สืบพันธุ์ตามธรรมชาติที่สร้างไว้แล้ว เมื่อคิดว่านกสองตัวจะต้องจากไป ยิ่งคิดผมยิ่งเศร้าใจ ไม่ว่าสัตว์หรือคนเมื่อเลี้ยงมาแต่เล็กๆ ย่อมจะมีจิตใจเกิดความรักความเอ็นดูปรานีสงสาร เมื่อจะจากก็มีความอาลัยเป็นธรรมดาทั่วไป

    กำลังนั่งรำพึงอยู่ในใจพักหนึ่ง นกทั้งสองตัวก็บินโผเข้ามาทางหน้าต่าง และตรงมาหมอบลงข้างมือทั้งสองตัว ซึ่งเป็นขณะผมกำลังกวาดอาหารนกไว้เป็นกองไม่ให้กระจัดกระจาย

    เมื่อเห็นนกทั้งสองมาหมอบอยู่ข้างมือก็นึกสงสารเอ็นดู พลางตัดสินใจพูดทั้งน้ำตาว่า

    "พ่อรู้ในท่าทางกิริยาของลูกว่ากำลังจะจากพ่อไป แต่ลูกยังมีความอาลัยพ่อมากจึงหวนกลับมาหาพ่อตั้งสองสามครั้ง พ่อเองก็ห่วงและอาลัยลูกมาก ไม่อยากให้ลูกจากไป เป็นธรรมชาติที่พ่อเป็นคน แต่ลูกเป็นนก พ่อจึงตัดสินใจได้ ไม่ว่าพ่อจะเสียใจคิดถึงลูกเพียงใด พ่อจะจับลูกขังอยู่ในบ้านตลอดไปไม่ได้ ถ้าทำพ่อก็เป็นคนเห็นแก่ตัว

    ฉะนั้น พ่อตัดสินใจแล้ว อนุญาตให้ลูกไปอยู่ตามธรรมชาติของนก ในป่าดงพงไพรไปเป็นอิสระ ต่อไปนี้ลูกคงจะหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ไปเถิดลูก ไปตามสมัครใจของลูก ไปหาคู่ครองที่จะสืบพันธุ์ต่อไป พ่อจะไม่ยอมเห็นแก่ตัวอีกเป็นอันขาด"


    นกทั้งสองลุกขึ้นขันอีกเป็นการใหญ่ ขันอยู่เป็นเวลานานก่อนจะโผบินจากหน้าต่างออกไปเป็นครั้งสุดท้าย ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ได้พบกันอีกเลย

    ประสบการณ์ของผมครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกสะเทือนสะท้อนจิตใจอย่างลึกซึ้ง รู้สึกฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของผมตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้

    ทำให้ผมคิดว่าแม้แต่นกเป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน ยังมีความรู้สึกกตัญญูรู้คุณที่ผมได้ถนอมอุ้มชูเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ จนสามารถออกหากินเองได้ แต่สัญชาตญาณเตือนให้เรารู้ว่านกกับคนจะอยู่กันตลอดไปไม่ได้ เป็นการผิดกฎของธรรมชาติ นกย่อมจะต้องอยู่ป่าดงไปสมสู่ต่อไป ฉะนั้น ผมจึงบอกอนุญาตให้นกทั้งสองจากผมไป ทั้งที่ยังแสนรักแสนอาลัย

    จดหมายท้ายเรื่องของท่านผู้เขียนบันทึกเรื่องนี้ ได้มีท่านพระอาจารย์พระครูปัญญาภรณ์โศภณ (พระมหาอำพัน บุญหลง) วัดเทพศิรินทราวาส ดังต่อไปนี้

    นมัสการพระคุณเจ้า

    เรื่องที่กระผมได้เลิกยิงนก ทั้งๆ ที่กระผมชอบกีฬานี้มาก ซึ่งพระคุณเจ้าได้แนะนำให้กระผมเขียนเพื่อบันทึกเผยแพร่เป็นกุศลต่อไปสำหรับคนรุ่นหลังนั้น เพื่อพระคุณเจ้าจะได้มอบให้คุณ ท.เลียงพิบูลย์ นำไปเรียบเรียงสำนวนเสียใหม่ กระผมยินดีและขอบคุณมาพร้อมจดหมายนี้ด้วย กระผมขอร้องอย่าได้เอาชื่อของกระผมใส่ในเรื่องนี้เลย

    เมื่อเพื่อนฝูงเห็นและได้อ่านเข้าก็จะซักถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ซึ่งพูดครั้งใด ก็จะทำให้จิตใจกระผมเกิดความเศร้าหมองขึ้นมาทันที บางครั้งคิดขึ้นมาครั้งใดจิตใจหดหู่เศร้าหมอง เพราะเป็นเรื่องกรรมที่สร้างไว้ฝังอยู่ในจิตใจลืมยาก กระผมตั้งใจอุทิศกุศลโดยอธิษฐานจิต คิดว่าบาปกรรมอันนี้คงจะค่อยคลายทางใจได้บ้าง

    กราบนมัสการพระคุณเจ้า




    บุญกุศลใด ที่จะพึงเกิดขึ้น ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ดวงวิญญาณของท่านเจ้าของเรื่อง และคุณ ท.เลียงพิบูลย์ผู้เรียบเรียง


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 พฤศจิกายน 2020

แชร์หน้านี้

Loading...