เรื่องเด่น อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น( โดยสมเด็จองค์ปฐมฯ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 17 มกราคม 2015.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,970
    SomdetOngPathom000.jpg

    อย่าตำหนิกรรมของผู้อื่น

    (โ ด ย ส ม เ ด็ จ อ ง ค์ ป ฐ ม)


    ทรงเมตตาสอนไว้เมื่อ ๒๗ กันยายน ๒๕๓๕ พิจารณาแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากสำหรับผู้ที่อ่าน แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผล มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

    ในวันนี้ข้าพเจ้าและเพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม มองเห็นชายคนหนึ่งที่แพเลี้ยงปลาของวัด จับปลาสวายตัวใหญ่ (ปลาของวัดเชื่องมาก) ขึ้นมาจากน้ำ ปลาก็ดิ้นจนหลุดจากมือตกน้ำไป เขาก็จับปลาขึ้นมาใหม่ด้วยความสนุกสนาน ในครั้งนี้ปลาดิ้นแล้วตกลงที่พื้นกระดานของแพปลา แล้วจึงตกลงไปในน้ำเมื่อพวกเราเห็นการกระทำ (กรรม) ของเขา ก็เกิดอารมณ์ปฏิฆะ (ไม่พอใจ) พูดขึ้นว่า ”บ้า” อีกท่านหนึ่งพูดว่า “ทะลึ่ง” ซึ่งเป็นการคิดชั่ว พูดชั่ว (สอบตกในมโนกรรมและวจีกรรมทั้งคู่)

    สมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาตรัสสอนว่า (เพื่อสะดวกในการจดจำ แล้วนำไปปฏิบัติต่อ ขอเขียนเป็นข้อๆ) ดังนี้

    ๑. "เหตุที่จิตมีอุปาทาน ยึดเอากรรมของผู้อื่นมาใส่จิตของเรา จึงกล่าวเป็นวจีกรรมหลุดออกไป เพราะเหตุไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของจิต ที่ยึดเอาอุปาทานนั้นๆ(บุรุษผู้สร้างกรรมกับปลา) ถ้าไม่ใช่อดีตกรรมส่งผลให้เขาทำกับปลา กล่าวคือ ถ้าไม่ใช่ปลาเคยเป็นคนมาแล้ว จับคนที่เป็นปลาอยู่อย่างนี้แล้ว กรรมนี้ก็เป็นกรรมปัจจุบัน คือ มีอารมณ์ฟุ้งซ่านเหลวไหล เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ มีอารมณ์สนุกไปกับการเบียดเบียนปลา จึงสร้างกรรมนี้ให้เกิดขึ้น ซึ่งกรรมนี้เมื่อลุล่วงไปแล้ว ก็เป็นกายกรรมอันส่งผลให้เกิดกรรมในอนาคตได้ กล่าวคือจะต้องมีชาติหนึ่งในต่อไปข้างหน้า บุรุษนี้ก็จะเกิดมาเป็นปลาสวาย และปลานั้นกลับชาติมาเกิดเป็นคนจับเงี่ยงปลาชูให้ดิ้นรน จนกระทั่งตกลงกระแทกแพอีก นี่คือกรรมภายนอก แต่เจ้าทั้งสองเอามาเป็นกรรมภายใน สร้างวจีกรรมให้เกิด เท่ากับเห็นคนผิด เห็นปลาถูก จึงไปตำหนิกรรมอยู่อย่างนั้น วจีกรรมคือนินทากับสรรเสริญนั่นเอง”

    ๒. "ถ้าจิตยังละการตำหนิกรรมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นมโนกรรมหรือวจีกรรม ก็เท่ากับสร้างผลกรรมให้ต่อเนื่องกันไป ในการตำหนิกรรมไม่รู้จักสิ้นสุด ในเมื่อโลกนี้มันเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ ผิดถูกในโลกนี้ไม่มี มันมีแต่กรรมล้วนๆ”

    ๓. "ในเมื่อเจ้าทั้งสองตำหนิกรรมอย่างนี้แล้ว พอไปชาติหน้าก็ประสบมาเป็นคน จากคนที่เป็นปลาก็ต้องมาตำหนิกรรมอีก เมื่อมัวแต่ตำหนิธรรมหรือกรรมของผู้อื่น อันสืบเนื่องเป็นสันตติประดุจกงกำกงเกวียน หมุนเวียนต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วพวกเจ้าจะเอาชาติไหนมาตัดสินว่าใครผิด-ใครถูก โลกทั้งโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้ เพราะกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน-อกุศลกรรมเป็นเหตุ ทำให้จิตของคนกระทำกรรมให้เกิดแก่มโน-วจีและกายได้อยู่เป็นอาจิณ”

    ๔. "เจ้าต้องการพ้นกรรม ก็จงหมั่นปล่อยวาง มองเห็นเหตุแห่งกรรม อะไรจักเกิดก็ต้องคิดว่า กรรมใครกรรมมัน รู้สันตติของกฎแห่งกรรมว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาไม่ทำกรรมกันมาก่อน กรรมนี้ก็จักไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นมาได้ ตถาคตจึงได้ตรัสยืนยันว่า กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เมื่อเรารู้เหตุก็จงดับที่เหตุแห่งกรรมนั้น จงอย่ามองว่าใครผิดใครถูก กรรมถ้าไม่ใช่เขาก่อขึ้นเอง มันก็เกิดขึ้นไม่ได้เองหรอก”

    ๕. "เมื่อพวกเจ้าเข้าใจดีแล้ว ก็จงหมั่นทำจิตให้พ้นจากการตำหนิธรรมเถิด ค่อยๆวางค่อยๆทำ กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็จะละเอียดขึ้นตามลำดับ กำหนดจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในวิมุติธรรม ทำอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ยอมรับนับถือกฎของกรรมให้เกิดขึ้นในจิต ทำบ่อยๆเข้ามรรคผลก็จะปรากฏขึ้นเอง อย่าละความเพียรเสีย กระทบเท่าไหร่-เมื่อไหร่-ที่ไหนก็ต้องรู้ อย่าตำหนิธรรมให้เกิดขึ้นกับจิต เห็นกรรมที่เป็นสภาวะอย่างนี้อยู่ให้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลาอยู่กับจิต ผู้ไม่รู้ย่อมกอปรกรรมให้เกิดด้วยจิตอุปาทานในกรรมนั้น ๆ กรรมใครกรรมมัน พวกเจ้าอย่าไปเกาะยึดเอากรรมนั้นๆมาตำหนิดีเลว เพราะเท่ากับว่ามีอุปาทานเห็นกรรมนั้น ๆ ว่าดี-เลว เมื่อจิตมีอุปาทานตำหนิดี-เลวจนเป็นมโนกรรม แล้วยับยั้งไม่อยู่ ก็ออกปากตำหนิดี-เลว จนเป็นวจีกรรมอีก”

    ๖. "ถ้าบุคคลไม่รู้อุปาทานนี้ ทำกรรมโดยลงแพไปต่อว่าต่อขานคนที่จับปลาเข้า ถ้ายังอารมณ์ปฏิฆะให้เกิด ก็จะทะเลาะกัน ดีไม่ดีก็จักทำร้ายร่างกายกัน จนเป็นกายกรรมสืบเนื่องต่อกันไปได้ ดังมีตัวอย่างมามากมาย คนอื่นเขาทะเลาะกัน สร้างกรรมกัน คนนอกเข้าไปสอดแทรก เป็นกรรมการห้ามปราม คู่กรณีไม่ยอมฟังเกิดอารมณ์โทสะขึ้นหน้า ลงมือทำร้ายกรรมการเสียจนตายไปด้วยความหมั่นไส้ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าปรารถนามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ควรต่อกรรมกันไปอีก ยุติการตำหนิกรรมลงเสียให้ได้ ไม่ว่าจักเป็นกายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม ก็ต้องยุติลง ใช้ศีล-สมาธิ-ปัญญาอันเกิดแก่จิต พิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงในสันตติวงล้อวัฏจักรกรรมว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้เอง พยายามทำจิตให้ยอมรับกฎของกรรมโทษของกรรมไม่ว่าดีหรือเลวนั้นไม่มี เห็นแต่กงกำกงเกวียนหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด จงยอมรับกฎของกรรมซึ่งยุติธรรมที่สุด ใครทำใครได้ อย่าไปมีหุ้นส่วนกรรมกับใครๆเขาโดยการตำหนิกรรมเป็นอันขาด จำไว้นะ ”

    ขอยกตัวอย่างอารมณ์ที่สอบตกสัก ๒ เรื่อง

    เรื่องแรก...มีความโดยย่อว่า มีคนมาเล่าให้ฟังว่า หญิงแก่คนหนึ่งว่าจ้างรถจากในเมืองให้มาส่งที่วัดท่าซุงในราคา ๕๐ บาท พอรถมาส่งที่วัด หญิงแก่กลับให้ค่ารถเพียง ๑๐ บาท บอกว่าฉันมีแค่นี้จะเอาหรือไม่เอา คนรถก็ตำหนิหญิงคนนั้นว่า อะไรกัน คนมาปฏิบัติธรรมที่วัดใหญ่โต แต่ไม่มีสัจจะ พอได้ยินเขาเล่าเพียงแค่นี้ จิตก็ปรุงแต่งตำหนิหญิงแก่นั้นเสียยืดยาว คือ ร่วมวงนินทาปสังสากับผู้เล่าเสียเพลิน กว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผิดทั้งมโนกรรมและวจีกรรม ก็ว่าไปครบสูตรแล้ว จึงต้องขอขมาพระรัตนตรัย

    เรื่องที่ ๒ คือ ตัวของข้าพเจ้าเอง พอขอขมาพระรัตนตรัยเรื่องการตำหนิกรรมของบุรุษผู้สร้างกรรมกับปลาแล้ว ตาก็เห็นหนังสือพิมพ์พาดหัวโต ๆ ว่า เมืองไทยมีคดีฆ่าคนตายมากเป็นอันดับ ๒ ของโลก จิตก็ตำหนิกรรมทันทีว่าไม่จริง เป็นอุปาทานของนักข่าวเอง เพราะประเทศอื่นๆอีกหลายประเทศที่มีคดีฆ่าคนมากกว่าเรา แต่หนังสือพิมพ์เขาไม่ประโคมข่าวในหนังสือพิมพ์หน้าแรกเหมือนเมืองไทย เมืองไทยชอบประโคมข่าวชั่วร้ายข่าวไม่ดีในหน้าแรกตัวโตๆ ชอบขายข่าวบนความทุกข์ของชาวบ้าน ว่าเสียยาวกว่าจะรู้ตัวว่าสอบตก ผลก็คือต้องขอขมาพระรัตนตรัยอีกครั้ง

    : หมายเหตุ

    นี่คือตัวอย่างเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว ผู้อ่านพระธรรมบทนี้แล้วหากหวังก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม เมื่อรู้ตัวเองว่าผิดก็ควรจะละอายแก่ใจ (มีเทวธรรมหรือหิริ - โอตตัปปะ) ให้ขอขมาพระรัตนตรัยทุกครั้งจนเป็นนิสัย

    ผมขออาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ขอให้ผู้อ่านด้วยความศรัทธาทุกท่าน จงโชคดีในธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ ในชาติปัจจุบันนี้




    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,970
    [​IMG]
     
  3. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    สาธุ สาธุ สาธุ อุเบกขาสัมโพชฌงค์
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,970
    ...เห็นสิ่งใด ให้ทราบถึงเหตุ และต้นเหตุ
    ผู้มีธรรมละเอียดอ่อน และมีปัญญาสัมมาทิฐิ มีมรรค-ผลเป็นแก่นแล้ว จิตจะไม่เข้าไปก่อคดีใหม่ทางจิตให้กับตนและชีวิตอื่นอีก เพราะ เห็นสภาวะธรรม ที่เข้าไปปรุงแต่งจิตของชีวิตทั้งหลายให้เป็นไป ตามความเป็นจริง "


    ............" เห็นภายนอกแล้ว จิตภายในเกิดแรงดึงดูด ผลักต้าน หรือแปรเปลียนด้วยอะไร ผ่องใสด้วยธรรมวิจัยยิ่งขึ้นหรือไม่ ตนจงวัดจิตใจตน ด้วยตนเอง".......


    ( โพธิจรรยา ปฏิปทา )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2015
  5. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ช่วงแรกที่ผมเข้าแชร์ประสบการณ์ในเว็บนี้ ผมโดนคุณ "บุญยง โคกกระทา" เหน็บมาหน่อยนึง ตอนนั่งสมาธิจำได้เลยว่าจิตมันวิ่งเข้าไปเชื่อมต่อกันโดยอัตโนมัติ กำลังจะเริ่มต้นบักทึกกรรมต่อกัน ไม่ยอมละง่ายๆ ต้องนั่งให้เกิดสมาธิอยู่สักพักถึงใช้สติตัดการเชื่อมต่อระหว่างจิตนั้นได้ ด้วยการอโหสิกรรม และสอนจิตไม่ให้สร้างกรรมด้วยการตำหนิโทษคนอื่นแบบนี้อีก เพราะมันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกนาน แปลกดีครับ จากนั้นจนถึงวันนี้ค่อยสบายขึ้นหน่อย ใครดีจริงเราโมทนาก่อน ใครผิดเราเตือนได้ก็ทำ ไม่ได้ก็เฉยไป

    ถ้าคุณบุญยง โคกกระทาผ่านมาในกระทู้นี้หรือไม่ ผมก็ขออนุญาตบอกว่าคุณคือครูของผมคนหนึ่งในนี้ที่ได้สอนเรื่องอุเบกขา การล่วงเกินใดๆด้วยกาย วาจา ใจ ที่เรามีต่อกัน ผมได้อโหสิกรรมต่อกันแล้ว ผมสบายตัวแล้ว ขอให้ท่านอโหสิกรรมด้วยเทอญ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,080
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,002
    ค่าพลัง:
    +69,970
    ผู้เจริญสติปัฏฐานสี่จนใช้การได้

    พรหมวิหารสี่จะเจริญมาก ธรรมกุศลอื่นๆก็เจริญมาก เพราะ สติสัมปชัญญะตั้งมั่นภายใน
    เห็นความจริงว่า....


    " ทุกชีวิตน่าสงสาร โดนกิเลส ตัณหา ฯลฯ สภาวะแวดล้อมทั้งนอกและใน บงการ ครอบงำ น้อมดึง ให้ทำกรรมสารพัด ทั้งกาย วาจา ใจ " ..........

    อันเดิม ก็ซ้ำแล้วซ้ำอีก อันใหม่ก็ถมเข้าไป

    ใหม่ๆที่ได้เห็นชัดในใจ

    อาจ สลด สังเวช น้ำตาไหล ว่าทำไม ตัวเรา และชีวิตทั้งหลาย เป็นกันไปได้มากมายขนาดนี้


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 มกราคม 2015
  7. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    [ขอบคุณพี่ดาบหัก ดิฉันติดตามพี่ๆบ้างเป็นระยะ แม้บางวันไม่ได้ล๊อคอินแต่ก็แอบๆอ่านบ้างตามเวลา .. ก็พอเข้าใจ..
    เมื่อวันก่อนก็แบบประมาณข้อความของพี่ข้างบนเลยนิ ก็เห็นแบบนั้น เข้าใจอย่างนั้นอยู่ ใจมันเลยวาง
    แต่เช้านี้นี่รวมไปเกือบ 2 ชั่วโมงแล้วก่อนเข้ามาเห็นกระทู้นี้ที่มันวนเวียนๆในหัว
    อืมมม...
    จริงๆมันไม่น่ามีไร แต่พอๆไปคิดมันอยากปะฉะดะไปทุกที ก็ให้มันเป็นแค่ความคิดเนาะพี่ มันผ่านไปแล้ว เอาใหม่ๆๆ..
    สัพเพฯกันไปดีกว่า
    โมทนาบุญกับพี่ๆทั้งหลายด้วยค่ะ
    สาธุ COLOR="black"]
    [/COLOR]
    สลด สังเวช ... อืมมมๆ ใช่ๆ แบบนั้นจริงๆค่ะ มันทั้งหมดเลย ไม่ใช่เขาหรือเราเท่านั้น
    ไปสวดมนต์ก่อนนะคะ ค่อยเข้ามาสนทนาต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035

    ขออนุญาตแสดงความเห็นร่วมด้วยครับ
    จะเขียนไว้เป็นข้อๆเพื่อเป็นหลักในการสังเกตุนะคับ
    และจะบอกว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ
    ๑. แรกๆจิตเราอาจจะร่วมโดยไม่รู้ตัว
    แล้วก็ปรุงแต่งไปเรื่อยตามความคิดที่เกิดจากจิต ตามอารมย์
    ตามกิเลส ด้วยการไปยึดมั่นถือมั่นในความคิด ในอารมย์และไหล
    ไปตามกิเลสถ้าถูกใจก็เป็นสุขเวทนา ไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์เวทนา
    บางทีเราอาจไม่รู้ตัวเพราะเผลอไปปรุ่งร่วมกับจิต
    จนมันมีกำลังมากแต่
    ใช้เวลานานมันก็สงบได้แต่มันจะไม่หายไปจากจิตคับ
    เพราะมันจะผุดขึ้นมารบกวนจิตใจเราเรื่อยๆ
    แต่ถ้าพอรู้ทันจากกำลังสติตอนไหนได้ ไม่ว่าจะปรุงไปแล้วหรือยังไม่ปรุง
    ก็ให้ดับ ให้ควบคุมไว้ก่อน ณ เวลานั้นครับ.
    แล้วก็เริ่มต้นใหม่โดยไม่ต้องสนที่เคยผ่านมา
    แต่มันก็จะขึ้นมาอีก...
    ๒.พอเรามีกำลังสติมากขึ้น. เราก็จะรู้ตัวเร็วขึ้น
    ตั้งแต่มันเริ่มปรุงแรกๆ ไม่ได้ปล่อยให้นานเหมือนเมื่อก่อน
    ซึ่งทันตอนไหนก็ดับตอนนั้นอีกครับ ไม่ต้องซีเรียส แต่มันก็จะยังผุดขึ้นมาได้อีก.
    ก็ต้องอาศัยการดับบ่อยๆอาศัยความเพียรร่วมด้วย ณ ตรงนี้ครับ

    ๓.พอกำลังสติเรามีเพิ่มมาอีกหน่อย. เราก็จะเริ่มดับได้ทันตั้งแต่ต้นเรื่อง
    และมันก็มักจะมาได้หลายๆเรื่องแม้ในเวลาไม่นาน เราจะเห็นได้
    เนื่องจากกำลังสติเราจะไวขึ้น เราก็ดับมันอีกเพื่อลดกำลังเรื่องที่ขึ้นมาพวกนั้นครับ
    ๔.พอกำลังสติเราไวขึ้นอีกนิด. เราก็จะดับมันทันตั้งแต่ที่มันจะผุดเป็นเรื่องขึ้นมา
    ถ้าทันตรงนี้บ่อยๆ ก็เหมือนการตัดกำลังไม่ให้มันขึ้น. พอมันไม่มีกำลังพอที่จะขึ้น
    มันก็ผุดขึ้นมาได้ยาก. แต่มันก็ยังไม่หายไปจากจิตเพราะยังมีเชื้ออยู่
    .
    ๕. พอกำลังสติเราไวขึ้นมาอีกระดับ. กำลังสติตรงนี้ก็จะสังเกตุทัน
    ตั้งแต่ตอนที่ความคิดมันจะรวมกับตัวจิต. ถ้าเรามาถึงตรงนี้ได้
    เห็นมันทันตรงนี้ได้. ตัวความคิดตรงนี้ก็จะดีดจะแยกออกจากตัวจิตทันทีครับ
    เราก็จะเห็น กิริยาของจิต กิริยาของความคิดได้ชัดเจนครับ.
    ๖.ต่อมา กำลังสติของเราก็จะเริ่มเห็นความคิดตัวหนึ่ง ที่มันผุดขึ้นมาโดยที่เราไม่ได้คิดมาก่อน
    ไม่ได้ตั้งใจมาก่อน เป็นเรื่องราวในอดีต
    ผุดขึ้นมาวนเวียนเป็นประโยคซ้ำๆ เรื่องราวซ้ำๆ
    หรือที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือวิบากกรรมนั่นหละครับ
    และก็ทำให้จิตเรามันเกิดด้วยครับ. ถามว่าทราบได้อย่างไรว่าจิตเรามันเกิด
    ก็จากการที่เราทราบกิริยาทางจิต กิริยาทางความคิดในขั้นตอนที่ ๖.ก่อนหน้านั้นเองครับ

    ๗.แต่เราก็ต้องดับมันอีกครับ เพราะเราจะยังพิจารณาไม่ได้ เนื่องจากจิตเรามันเกิดอยู่
    จิตจึงยังไม่มีความเป็นกลาง ให้ดับจนกว่าจิตเราจะสงบ จนจิตเราเข้าสู่สภาวะเป็นกลาง

    ๘.ที่นี้พอขันธ์ ๕ นามตรงนี้มันขึ้นมาอีก อย่าไปตั้งใจเพ่ง ตั้งใจไปดู เด่วมันจะเปลี่ยนเรื่องหนี
    ไปเป็นเรื่องอื่นๆ เราจะไม่ได้ปัญญาทางธรรม
    ให้เราเฉยๆไว้ครับ รอจนกว่าจิตเราจะสงบ รอจนจิตเรานิ่ง บ้างก็เรียกว่า
    จิตตั้งมั่นจะเรียกว่าอะไรก็สุดแล้วแต่ คือให้จิตมันไม่เกิด ให้มันนิ่ง
    ในความนิ่งตรงนี้ ในความเฉยๆตรงนี้. กำลังสติทางธรรมจะทำหน้าที่ คอยควบคุมจิต
    ให้เค้าว่างรับรู้อยู่ภายในตรงนั้น. จนเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาตัวหนึ่งได้
    ก็คือปัญญาทางธรรมครับ. ปัญญาทางธรรมตรงนี้ ก็จะทำให้จิตคลายเรื่อง
    ที่มันผุดขึ้นมาอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจได้ เนื่องจากจิตเห็นว่ามันน่าเบื่อ มันเป็นสาเหตุของทุกข์
    จิตก็จะวางเรื่องนั้นๆได้ของเค้าเองครับ หลักสังเกตุถ้าจิตมันวางได้ เรื่องนั้นก็จะไม่ผุด
    ขึ้นมาปรุงร่วมกับจิต แม้เราพยายามคิดมันก็ไม่เกิดครับ เพราะจิตถ้าวางได้จริงๆ
    จากการรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยความเป็นกลาง ณ เวลานั้น มันจะวางแล้ววางเลยครับ
    ๙.พอในเวลาปกติ. ถ้าเจอเหตุการณ์เดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ ที่เคยเป็นเหตุให้จิตเกิดเหมือนเมื่อก่อน
    กำลังสติที่สะสมมาก็จะจับและตัด เหตุการณ์นั่น เรื่องนั้นๆได้แค่ภายในเสี้ยววินาทีครับ
    และจิตก็จะนิ่ง และสงบ โดยที่ไม่มีความคิด ไม่มีอารมย์และกิเลสเข้าไปปรุงร่วม.
    กริยาทางจิตอย่างนี้ เรียกว่า รู้แต่ไม่ยึดครับ เป็นการอุเบกขารับรู้อยู่ภายในแต่ไม่ยึดติดคับ
    ในทางปฎิบัติเรา ก็จะฝึกมาให้ถึงขั้นนี้ แต่ต้องอาศัยความเพียร อาศัยการสร้างกำลังสติพอสมควร
    ถึงจะสังเกตุเห็นครงนี้ ถึงจะเข้าใจกิริยาตรงนี้ได้ครับ.

    ๑๐.ส่วนถ้ามีกำลังมากกว่าขั้นตอนที่เล่าให้ฟังมา จนสามารถจับสติทางธรรมที่จับและตัดในขั้นตอน
    สุดท้ายตรงนี้ได้นานขึ้นเท่าไร. กำลังสติเราก็จะพัฒนาเป็นมหาสติได้ครับ.
    ขั้นตอนนี้ต้องสำหรับบุคคลที่อาศัยความเพียรอย่างยิ่งยวดร่วมด้วย
    กับเหตุปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมกันครับ
    ก็จะมีปัญญาทางธรรมที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นที่เป็นเหตุให้เราลดละกิเลสได้จริงตามกำลังสติ
    ทางธรรมที่เราสังเกตุทันในขั้นนี้ได้ของมันเองครับ
    เพราะฉนั้นในเวลาปัจจุบันถ้ารู้ตัวตัวเองได้ว่าอยู่ขั้นไหน
    เราก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป ตามเหตุและปัจจัยครับ
    สามารถทำกันได้ทุกๆคนครับ ขอเพียงอย่าหลอกตัวเอง
    อย่าพึ่งเอาความรู้ทางสมมุติเข้ามาปรุงร่วม
    อย่าพึ่งเอาทิฐิมานะตัวเองมาปรุงร่วม ให้วางเอาไว้ก่อนครับ
    แล้วลองสังเกตุตัวเองดูว่าตอนนี้ว่ากำลังสติทางธรรมของ
    เรามันอยู่ขั้นตอนไหนครับ
    จิตเราก็จะเริ่มเข้าสู่ความสงบได้ของมันเอง
    เริ่มจากวินาทีแล้วพัตนาต่อไปให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
    จากการคลายเรื่องอื่นๆ อารมย์อื่นๆ กิเลสตัวอื่นๆ
    กันต่อไปในอนาคตตามเหตุและปัจจัยครับ

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ
     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    การปรารภตรงนี้ จะถือว่า เอา สมถะ ไปเป็นตัวปัญญา เอาจิตเที่ยงเป็นตัวนิพพาน
    หรือ ยังไม่เคยยกวิปัสสนา แม้แต่ นามรูปปริเฉทญาณ

    ทำไมปรักปรำแบบนั้น

    จริงๆแล้ว การเห็นตามความเป็นจริงคืออะไร

    การเห็นตามความเป็นจริงคือ เมื่อมีผัสสะกระทบ หรือมีเหตุให้ความคิดเกิด มันก็
    ต้องเกิดสิคร้าบท่าน .... เนี่ยะ เห็นตามความเป็นจริง และ ถ้า ความคิดมันแยก
    จากจิต ตามจริงแล้ว ความคิดมันเกิดก็เรื่องของมันสิคร้าบ ไม่ใช่ไปเห็นว่า มัน
    เป็นส่วนเดียวกับจิต จนต้องไปตกอกตกใจ เกิด วิตก วิจาร

    " กามวิตก " ที่พระพุทธองค์กล่าวถึง บาทฐานของ ปฐมฌาณ เนี่ยะ มันจะปรากฏ
    ให้ทราบ

    แต่ถ้าเอา โลกียปัญญา(ฌาณ ก็เรียก) ไปกดไว้ จนเที่ยง ภาวนาให้ตาย ก็ไม่รู้ว่า
    เขาเข้าถึง ปฐมฌาณในศาสนาพุทธกันแบบไหน นามรูปปริเฉทญาณ เนียะ คืออะไร


    กำหนดรู้ทุกข์ ไม่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม อย่าไปกล่าวว่า เจริญสติเป็น มหาสติก็ไม่ต้องกล่าวถึงว่าสู่รู้



    " พระพุทธองค์ก่อนตรัสรู้ ท่านสำเร็จฌาณเป็นว่าเล่น แต่แล้ว ก็หวนระลึกได้ใน
    อานาปานสติ ที่สำเร็จ ปฐมฌาณ ในครั้งนั้น !!!! "

    เนี่ยะ สมาทานตามพระพุทธองค์ได้หรือเปล่า หรือยัง แยกความคิดจากจิตไม่ออก
    เห็นเป็น สัตว์อื่นกล่าวธรรม ฮิววววววส์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  10. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    :cool::cool::cool: ชัดเจน แจ่มแจ้ง ล้วงลึก ชี้ชัด สมกับเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ปรจิตวิชาแห่งสำนักพลังจิตดอทคอมจริงๆ ครับท่านอาจารย์นพ ไม่เสียแรงที่ผมติดตามผลงานคุณมาตลอดหลายปี...ขออนุโมทนากับบารมีที่คุณทุ่มเทแรงกาย แรงใจโดยการเสียสละเวลาอันมีค่า...มาให้ความรู้ในเว็บแห่งนี้...ขอให้ท่านยืนหยัด และทุ่มเทตลอดไปครับ...ผมเป็นแฟนคลับคุณเสมอ...คงไม่ว่าอะไรถ้าท่านจะมีศิษย์เพิ่มอีกสักคน...ถ้ามีคำชี้แนะในการปฏิบัติอะไร ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะน้อมรับไปปฏิบัติครับ แต่ต้องขออนุญาตเน้นคำชี้แนะที่เป็นแนวทางที่มาจากประสบการณ์จริงๆ เหมือนที่คุณนพได้แสดงนี่แหละ เพราะทฤษฎีผมไม่ถนัดสักเท่าไหร่ และผมต้องบอกก่อนว่า ผมยังปฏิบัติไม่ถึงไหนหรอกครับ ยังไม่ถึงขั้นเป็นครูอาจารย์ใครได้...ไปเรื่อยๆ...เหมือนพายเรือใบ...ถ้าวันไหนคุณเหนื่อยก็นึกถึงผม PM มาครับ ผมจะส่งดอกไม้ไปให้กำลังใจ (f)(f)(f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  11. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    มีข้อสงสัย

    ว่าการที่เราไม่ไปว่าใครเอง ทั้งยังคุยกับเขาราวประดุจมิตร
    แต่กลับไปกดอนุโมทนาไม่พอ ยังกดไลค์ อีก
    กับคนที่ด่าเขาสาดเสียเทเสีย..
    แบบนี้ เราคิดกับเขาอย่างไรกันแน่จ๊ะ
     
  12. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผู้ได้ชื่อว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ
    อานนท์ ! อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศ (อนุตฺตรา อินฺทฺริยภาวนา) ในอริยวินัย เป็นอย่างไรเล่า ?
    อานนท์ ! ในกรณีนี้
    อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ – ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ
    อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุเพราะเห็นรูปด้วยตา.
    ภิกษุนั้นรู้ชัดอย่างนี้ว่า
    “อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วแก่เรานี้ เป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง (สงฺขต)
    เป็นของหยาบ ๆ (โอฬาริก)
    เป็นสิ่งที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น (ปฏิจฺจ สมุปฺปนฺน);
    แต่มีสิ่งโน้นซึ่งรำงับและประณีต, กล่าวคือ อุเบกขา” ดังนี้.
    (เมื่อรู้ชัดอย่างนี้)
    อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ - ทั้งเป็นที่ชอบใจและไม่เป็นที่ชอบใจ
    อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป, อุเบกขายังคงดำรงอยู่.

    อานนท์ ! อารมณ์อันเป็นที่ชอบใจ – ไม่เป็นที่ชอบใจ - ทั้งเป็นที่ชอบใจ และไม่เป็นที่ชอบใจ
    อันบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ย่อมดับไป เร็วเหมือนการกระพริบตาของคน อุเบกขายังคงดำรงอยู่.
    อานนท์ ! นี้แล เราเรียกว่า อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศในอริยวินัย ในกรณีแห่ง รูปที่รู้แจ้งด้วยจักษุ.
    (ในกรณีแห่ง เสียงที่รู้แจ้งด้วยโสตะ กลิ่นที่รู้แจ้งด้วยฆานะ รสที่รู้แจ้งด้วยชิวหา
    โผฎฐัพพะที่รู้แจ้งด้วยผิวกาย และ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยใจ ทรงตรัสอย่างเดียวกัน
    ต่างกันแต่อุปมาแห่งความเร็วในการดับแห่งอารมณ์นั้น ๆ, คือ
    กรณีเสียง เปรียบด้วยความเร็วแห่งการดีดนิ้วมือ,
    กรณีกลิ่น เปรียบด้วยความเร็วแห่งหยดน้ำตกจากใบบัว,
    กรณีรส เปรียบด้วยความเร็วแห่งน้ำลายที่ถ่มจากปลายลิ้นของคนแข็งแรง,
    กรณีโผฏฐัพพะ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการเหยียดแขนพับแขนของคนแข็งแรง,
    กรณีธรรมารมณ์ เปรียบด้วยความเร็วแห่งการแห้งของหยดน้ำบนกระทะเหล็ก ที่ร้อนแดงอยู่ตลอดวัน)
    อุปริ. ม. ๑๔/๕๔๒–๕๔๕/๘๕๖–๘๖๑
     
  13. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เห็น "กริยาจิตชัดเจน" คืออะไร

    อันนี้ ก็ต้องเอาของ หลวงตามหาบัว มากล่าว เพราะ ชัดเจนที่สุด [ อาศัย อำนาจ ท่านย้ำว่า ใช่แน่นอน ]

    ท่านเล่าถึง

    " สังขารขันธ์ มันไปคว้าเอา ผัสสะ คือ รูปที่เห็นด้วยตา ในที่นี้คือ กิ่งไม้หงิกงอ "

    " แล้ว สังขารขันธ์มันก็ ปรุงไปว่า งู !! "

    " แล้ว สังขารขันธ์มันก็ แสดงกริยา กระโดดโหยงตัวลอยจากพื้น " !!!

    *********************

    เนี่ยะ กริยาจิต มันทำงานของมันไปตามเรื่องของมัน ไม่ใช่ไป ตัดจนนิ่ง
    ไม่กระโดด ไม่กระดุกกระดิก ติดเพ่ง จุดเบ้าตาเหล่ เป็นอาธิ

    " สังขารมันเห็น มันปรุงตามปัจจัย มันกระโดด " ก็เรื่องของมัน ไม่ได้ไปเกี่ยว
    อะไรกับ จิต สักแอะ

    ท่านกล่าวสำทับ สามรอบ ว่า เนี่ยะ จิตอรหันต์มีสังขารทำงานแบบนี้ได้
    [ ต้องหยิบ จิตอรหันต์มากล่าว เพราะว่า กำลังสนใจ การเห็น " กริยาจิต "
    " อาการของจิต " ] ....การเห็นตามจริง อยู่เป็นประจำ

    ซึ่ง มันจะคนละเรื่องกับ การ เห็น " งูแล้วไม่กระโดด " เอาสมาธิตัดฉึบ!!! แข็งทื่อ
    เหมือนลูกหมาหลับตาปี๋บริกรรมหงิงๆ หาอาวุธทะลุออกจากอก รอมันเขมือบจนหมดตัว
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ทั่วๆไปนะครับ คุณ ปุณฑ์
    สังเกตุประโยคที่ถามทั้งหมดนี้ออกไหมครับ คุณ ปุณฑ์
    ประโยคนี้ มีความคิดที่เกิดจากจิต + กับตัวจิตมันปรุงร่วมกันอยู่ครับ..
    เพราะฉนั้นตัวจิตมันจึงยังไม่มีความเป็นกลางครับ.บวกกับความยึดมั่นถือ
    มั่นในความคิดเดิมที่มีอยู่ในจิตร่วมด้วยครับ.
    ถ้าเอาแบบไม่ทั่วไป ประโยคนี้กระแสความคิดมันวิ่งวนอยู่ภายใต้กระโหลก
    ศรีษะของคุณในระดับเดียวกับท้ายทอย และไม่มีกระแสขึ้นไปเชื่อมกับ
    ครูบาร์อาจารย์ข้างบนเลย แถมกระแสมันยังมาเหนี่ยวให้ตัวจิตเรามันเกิด
    และการรอคอยคำตอบว่าจะตรงกับที่กระแสความคิดในสมองมันมี
    ตอนนี้ด้วยหรือเปล่าด้วยครับ.ถ้าจิตเรามันมีลักษณะกะแสแบบนี้
    เราจะต้องระมัดระวังไม่ให้มันเกิดครับ.เพราะมันเป็นลักษณะของดวงจิต
    ของพวกภูมิอสูกายครับ.ถ้ามันมีกะแสดึงลงมาถึงจักระข้างล่างร่วมด้วยแล้ว
    หละก็ ดวงจิตดวงนั้นๆมันจะลงสู่ข้างล่างทันที ณ เวลานั้นครับ.ตรงนี้ก็เล่า
    ให้ฟังนะครับ สุดแล้วแต่จะพิจารณานะครับ....ถ้าสมมุติได้รับคำตอบใน
    ทางที่ถูกกับความคิดที่เกิดจากจิต เราก็จะรู้สึกไปอีกอย่าง ถ้าได้รับคำตอบ
    ไม่ตรงกับความคิดจากจิตเราก็จะรู้สึกไปอีกอย่าง...เพราะอะไรทราบไหมครับ..
    เพราะเราไม่ทันความคิดตรงนี้ ไม่ทันอารมย์ตรงนี้
    มันถึงรวมออกมาเป็นประโยคแล้วก็มาถามแบบนี้ครับ..
    เพราะตัวจิตเรามันมีการแบ่งแยก แบ่งฝ่าย มีการชี้นำคำตอบ

    ไว้ในใจอยู่ก่อนเป็นทุนครับ.พูดง่ายๆก็คือมันเลือกข้างไปแล้ว.

    และกรณีต่อไปนี้ผมขอเล่าให้ฟังเล่นๆนะครับ..ส่วนจะฟังไม่ฟังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
    การที่เมื่อก่อนจิตเรามันพอมีฐานที่จะทำสมาธิได้นานมาก่อนนั้นก็เพราะ
    เมื่อก่อนจิตตัวนี้มันมีการสะสมบารมีทางด้านฤิทธิ์มาก่อนครับ..แต่การมัว
    แต่ไปสนใจเรื่องภายนอก..แถมยังไม่ทันความยึดมั่นถือมั่นในความคิด
    ไม่ทันเรื่องอารมย์บวกกับกิเลสละเอียดที่เราก็ไม่ทันนั้น มันทำให้ฐานกำลังที่เคย
    หนุนการนั่งสมาธิตรงนี้ของเรามันตกไปครับ. ฐานความดีที่เราเคยมีเคย
    สร้างตอนนี้มันก็ไม่แยกเป็นส่วนๆชัดเจนเหมือนเมื่อก่อนครับ
    เพราะมันไหลมารวมกับเรื่องของสัมผัสทางด้านนามธรรม
    ต่างๆ กำลังพันธมิตรป้องกันของตนเองก็ลดถอยลงมาด้วยครับ...

    เพราะฉนั้นๆอย่าไปมีเรื่องกับบุคคลที่เค้ามีภพภูมิป้องกันฝ่ายฤิทธิ์
    อยู่ในส่วนพันธมิตรของเค้า..ไม่งั้นเราจะเสียตรงนี้ไปอย่างคาดไม่ถึงครับ..
    ไม่ต้องไปสนใจว่าเค้าจะคิดเห็นอย่างไร มันเรื่องของเค้าไม่ใช่ของเรา
    ไม่ต้องไปพูดหรือต่อความยาวเพื่อที่จะยืนยันว่าสิ่งที่เราคิดมันถูกเพราะ
    จะเป็นการไปสร้างความยึดมั่นให้เกิดขึ้นกับตัวเราเองได้อย่างไม่รู้ตัวครับ..
    ถ้าเราจะคิดห้ามใครไม่คิดชั่ว ทำชั่ว หรือพูดชั่ว ก็ควรจักห้ามใจตนเอง
    ไม่ให้คิดชั่ว พูดชั่ว มันจะมีประโยชน์กว่าครับ
    ..

    พยายามระลึกไว้อย่างหนึ่งนะครับ..
    ดวงจิตที่มีฐานของฤิทธิ์ติดมาตั้งแต่ชาติก่อนนั้น
    จะต้องพึงปฏิบัติลักษณะนิสัย ๓ อย่างนี้ให้ได้ ๑.อย่าหวังว่าเราไปอยู่ที่แห่ง
    หนไหนหรือที่ใดๆก็จะแล้วคาดหวังลึกๆว่าจะต้องได้รับการยอมรับด้วยหมาย
    ปั่นมือว่าตนเองนั้นมีอะไรๆที่เหนือกว่าบุคคลอื่นๆไม่ว่าทางด้านไหนๆครับ..
    .
    ๒.อย่าพูดหรือทำอะไรก็ตามที่เป็นเหตุให้เกิดการพูดต่อความ
    หรือต่อความยาวโดยไม่รู้จักจบสิ้น จนกลายเป็นพูดกันจนเยินเหย่อ
    ไร้ประโยชน์หารสาระอะไรไม่ได้ครับ..๓.และอย่าพยายามไปคลุกคลีกับ
    สถานที่หรือบุคคลหมู่มาก ที่มีเสียงอึกทึกคึกโครมด้วยครับ
    อืมๆ ข้อนี้ของคุณคงไม่น่าเป็นห่วง..

    ทั้ง ๓ ข้อนี้หากเราไม่
    สำรวมระวังให้ดีๆ..เนื่องจากว่าปัจจุบันนี้ ตัวจิตยังไม่มีความสามารถถึงขั้น
    ที่จะดึงพลังจิตหรือสร้างพลังจิตให้ขึ้นมาใช้งานได้จริงๆ ทำให้บุคคลอื่นๆสัมผัส
    ได้จริงแล้ว.ทั้งๆที่เคยนั่งสมาธิได้มาก่อนมาเป็นชัวโมงๆครับ.เพราะเราขาด
    การสำรวจระวังทั้งไปหลายข้อ หรือบ้างข้อที่กล่าวมาทำให้กำลังสมาธิของเรามันตกแล้วดันไปมี
    เรื่องกับบุคคลที่เค้าสร้างบารมี ที่เค้ามีภูมิทางด้านฤิทธิ์คอยหนุนอยู่
    ตรงนี้เลยเป็นผลทำให้
    ไปตัดฐานฤิทธิ์ ไปดึงเอาภูมิมีฤิทธิที่เคยหนุนเราจากจิตตัวเดิมที่
    เคยติดดวงจิตเรามาให้ค่อยๆหายไป..และมันก็
    จะทำให้สัมผัสทางด้านนามธรรมของเราคลาดเคลื่อน รวมทั้งกำลังป้องกัน
    พลังงานไม่ดีภายนอกต่างๆเราตกลง..
    เด่วอนาคตคุณไปเจอเซียนสวดคาถา
    กำลังจิตแข็งๆคุณจะเอาตัวไม่รอดได้ครับ..

    ปล.ประมาณนี้หวังว่าจะเข้าใจที่สื่อนะครับ.ขอบคุณครับ.
     
  15. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    กั๊กๆๆๆๆ

    คนที่เข้าถึง " ไตรสรณะ " บ้านใครครับ ไปนั่งกลัวขี้หด ตดหาย
    กับ พวกไอ้ฤทธิ์กินแบล๊ค

    การจะมี ฤทธิ์ มีจิตที่ไม่ห่างจากฌาณ บ้านไหน เขาไปปรารภว่า
    มีเหตุจากการไปไม่เคารพคนมีฤทธิ์

    จะมีฤทธิ หรือไม่มีฤทธิ์ พระพุทธองค์ตรัสชี้คำเดียวว่า เป็น ปัจจัยเรื่องความปราถนา

    เช่น พระสุขวิปัสสโก ที่ พูดภาษาชาวบ้านว่า ไม่มีฤทธิ์ อันนี้ อย่าไปโง่คิดว่า
    ท่านแสดงฤทธิ์ไม่ได้

    หลวงพ่อฤาษี ยกตัวอย่าง พระอาจารย์...อ้าวลืมชื่อ ท่านระบุว่า พระท่านนั้นเป็นสุขวิปัสสโก
    แต่ถ้าพระท่านั้น ปราถนาจะแสดงฤทธิ์ ก็ง่ายเหมือน คู้แขนเข้าเหยียดแขนออก

    แล้ว อำนาจอะไรกันแน่ ที่ทำให้แสดงฤทธิได้ ก็ต้องบอกว่า ด้วยอำนาจวิปัสสนา(สุขวิปัสสโก)

    มันไปเกี่ยวอะไรกับพวก ติดติ่ง มีแตด แสดงฤทธิ ไม่ทราบ !!! [ สัตว์ร้อยละร้อยมีฤทธิ์ ก็เพราะ เวรกรรม มีวิบากกรรม ]

    กลัวเขา ริบทรัพย์ เพราะเข้าใจว่า เป็น ทรัพย์ที่มีการดลบันดาล หรือไงฮับ .....

    อำนาจดลบันดาล หากมองมุมนี้ ก็ เออ ดูดีเนอะ มีเจ้านายประทานให้

    แต่ถ้ามองอีกมุม ไอ้ลูกทาส !!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  16. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,942
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ในบรรดา ฤทธิ์ อะไร ต่ำสุด

    เคยได้ยินไหมว่า

    อิทธิฤทธิ์ แพ้ บุญฤทธิ์
    บุญฤทธิ์ แพ้กรรม


    คำว่า แพ้กรรม ......กรรมคำนี้ หากเป็น พวกไม่เคย ยกวิปัสสนา มันก็ คิดแต่เรื่องกรรมชั่ว
    ก็เลยปรารภว่า แพ้กรรมชั่ว จนติดปาก คิดอย่างอื่นไม่ออก

    แต่ถ้า เคยยก วิปัสสนา ฮะเอ่อ กรรม ที่ บุญฤทธิยังแพ้ ราบคาบเป็นหน้ากลองเนี่ยะ
    กรรมอะไร การงานอะไร !?


    สรรเสริญธรรม ไม่เป็น อย่าสำคัญนะว่า มีสัมมาทิฏฐิ !!!
     
  17. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เรามีความเป็นกลางซิ
    ไม่งั้นคงไม่รอให้ถึงเพลาที่สมควรกับการถามหรอก
    กับเม้นท์ของคุณที่พูดถึงการวางอุเบกขา..

    ...ที่จริง ไม่ได้สนว่าจะได้รับคำตอบพอใจไม่พอใจ
    แต่สนใจว่าคำตอบ จะนำพาไปสู่การรู้จักกันมากขึ้นแค่ไหน??

    เราชอบคนที่พูดจาตรงกับคำถาม
    เพราะกลัวจะออกทะเลไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ข่มขู่เรื่องฤทธิ์อะไรแบบนั้นอีก
    เราว่าอันนี้แหละ ยิ่งกว่าเยิ่นเย้อ ยืดยาว

    และเรื่องที่จริง มันไม่ใช่การไปหาเรื่องคนมีฤทธิ์อะไรก่อน
    (แต่อาจมาจากกระทู้ถกธรรมอะไรบางอย่างมาก่อนก็ได้)
    เลยมีการอาฆาตจองเวรกันตามมาของพวกมีฤทธิ์กระมัง?
    ส่วนจะมาอ้างไม่อยู่ใต้กรรมว่าใครก็ได้ เขาจะเชื่อหรือ?

    และเราก็เชื่ออย่างคุณ..
    ว่าถึงขั้นเอาพลังทางจิตมาใช้ได้จริงหรือไม่..??
    ถ้ามีฤทธิ์จริง ทายปัจจุบันได้หรือยัง ถึงจะไปทายอดีต
    อาทิ คุณกำลังเป็นๆๆๆๆๆ อยู่ใช่ไหม ถ้าใช่ค่อยไปทายอดีตนะ
    เพราะเราเคยเจอคนที่บอกปัจจุบันได้โดยไม่รู้จักกัน
    ถ้าปัจจุบันบอกไม่ได้ จะไปบอกอดีตแล้วเชื่อได้..??

    ส่วนเรื่องของคนที่ไม่ว่าใครแถมดูเป็นมิตร
    แต่กลับไปกดไลค์กดอนุโมทนา ให้คนๆนึงที่กำลังด่าเขาอยู่
    เหตุเป็นเพราะปกป้องพวกชอบฤทธิ์ด้วยกัน แค่นั้นหรือ?
    ก็เลยประดุจช่วยรุมสะกรัมเขาให้พวกมีฤทธิ์ซะ เราว่ามันจะฮาเอานะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2015
  18. ZIGOVILLE

    ZIGOVILLE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    196
    ค่าพลัง:
    +792
    ผมรักทุกคนน๊าาาาา ท่านอาจารย์ปุณฑ์...ผมเป็นมิตรได้กับทุกคน...ผมไม่สนใจฤทธิ์อะไรทั้งนั้น...มีก็ดี ได้ก็ดี ฟรีก็เบิ้ล...อันที่จริงโดยปกติไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครอยู่แล้วที่เข้ามาในเว็บนี้ก็เป็นเพราะครูอาจารย์ท่านสั่งไว้ว่าให้เอาประสบการณ์มาแชร์น้องๆ รุ่นใหม่ๆในอนาคต ได้เห็นแนวทางการปฏิบัติ แบบไหนผิด แบบไหนถูกจะได้ไม่เสียเวลามาก...และถ้าพวกเราทุกคนคิดแบบนี้...เว็บนี้ก็จะเต็มไปด้วยเนื้อหาสาระที่จะพอเป็นแนวทางให้น้องๆ รุ่นใหม่ๆได้เข้ามาเก็บเป็นความรู้ต่อๆ ไปครับ...ท้ายที่สุด ...ผมจะบอกว่าผมเป็นคนอนุโมทนาคนง่ายครับ เป็นคนมือไว มือเบา เห็นข้อความไหนมีธรรมะแฝงอยู่แล้วใจง่ายครับ...เพราะพื้นฐานเดิม "จิต" ดวงนี้แสวงหา "อนุตรธรรม" เพื่อเป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูง(แต่ตอนนี้ยังไม่สูงสักที ใครก็ได้ช่วยผมสักทีเถอะครับ :'()...แต่ในทุกบทความที่ผมกดอนุโมทนานั้นจะมีธรรมะอยู่ในนั้นเสมอ...เพราะวัตถุประสงค์ผมคือ...อยากให้น้องใหม่ๆ มองหาสาระธรรมในบทความนั้นๆ...

    ผมจะบอกความลับให้นะครับทุกครั้งที่ผมกดอนุโมทนาความคิดเห็นไหนที่มีธรรมะแฝงอยู่ "จิต" จะเกิดพลังงานบางอย่างขึ้น ซึ่งเป็นพลังงานในทางที่ดี ทำให้ "จิต" ได้สั่งสม "กำลังใจ" ซึ่งก็ถือว่าได้สั่งสม "ทานบารมี" จากการอนุโมทนา "เพราะ การให้ธรรมะเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง" นี่ืคือแนวทางการสั่งสมแบบง่ายๆ แทบไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แถมเรายังได้ฝึก "จิต" ให้มีเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลกเป็นปกติ...ผมไม่ได้เก่งถึงขนาดจะมานั่งพิมพ์คอมฯ สอนใครในนี้ได้แค่เอาตัวรอดได้ สอนตัวเองได้ก็หรูแล้ว...ส่วนใครจะโน้มจิตไปในทิศทางไหน หรือมองว่าเป็นการสร้างความแตกแยก หรือยุยงใครนั้น...ก็มีความเป็นไปได้ครับ เพราะโดยธรรมชาติ จิตทุกดวงมีความแตกต่างกันอยู่แล้วด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างที่เกื้อกูลครับ แต่ท้ายที่สุด "จิต" ทุกดวงเหล่านั้นก็ย่อมต้องรับผลที่ "จิต" นั้นได้สร้างขึ้นไว้อย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยครับ...

    และผมมั่นใจว่าเราเป็นเพื่อนสหธรรมิกกันได้นะครับ ไม่ว่าจะเป็น อาจารย์ปุณฑ์ , อาจารย์นพ และท่านบุคคลทั่วไป 3 คน ฯลฯ เรามาร่วมแรง ร่วมใจกันเผยแผ่ประสบการณ์การปฏิบัติให้น้องๆ ได้เป็นแนวทางกันดีกว่านะครับ สู้ๆ นะทุกคน

    :cool::cool::cool:(f)

    อนึ่ง อยากแชร์...ภาพที่ผมเห็นมามันน่ากลัวมาก คือเวลาต่อจากนี้ไป จากบ้านเมืองทั่วไปก็จะกลับกลายเป็นป่า สัตว์ป่าจะเยอะขึ้น อันหมายถึงสังคมต่อจากนี้ไปก็จะอยู่กันเหมือนอยู่ในป่า คือต่างคนต่างอยู่ นิสัยมนุษย์ก็จะไม่ต่างจากสัตว์ป่า มนุษย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ จะเหลือน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย...แต่คนที่จะรอดพ้นจากเหตุการณ์ต่างๆ นั้นได้คือ "ผู้ที่บำเพ็ญเพียรภาวนา" และท่านที่มาทำภาพให้เห็นนั้นก็คือบรมครูของผม ดันนั้น ผมจึงเชื่อว่าน่าจะพอมีเค้าโครงของความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง...แต่นั่นทำให้แต่เดิมนิสัยอวดเก่ง อวดดี มันหายไปเยอะมาก...เพราะไม่อยากไปเสียเวลาแล้ว...และที่สำคัญผมจะไม่เสียเวลามาอวดดี อวดเก่งกับใครไม่ว่าในเว็บนี้ หรือที่ไหนก็ตาม จะไม่เอา "จิต" เข้าไปยุ่งกับใครเด็ดขาด ถ้าไม่มีเหตุเกี่ยวเนื่องที่จำเป็นต้องช่วยเหลือ เพราะผมมีเป้าหมายชัดเจนคือ "การค้นหาอนุตรธรรม และจิตเดิมแท้" เพราะท่านบอกว่าถ้าอยากรู้ว่านิพพานเป็นยังไง ให้หาจิตเดิมแท้ให้เจอนั่นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2015
  19. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    แหมช่างจมูกดีไปเจอกลิ่นเหม็นของใครๆเขา
     
  20. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,761
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    ถ้าอ่านให้ดี ลองจับอารมณ์ดูดีๆ
    มันเป็นเรื่องมิตรภาพ ระหว่างคนที่ยังมีเยื่อใยให้กัน

    ว่าแต่คุณได้กลิ่นอะไรรึไง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2015
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...