เรื่องเด่น อัศจรรย์บารมี "พระสังฆราช"(สมเด็จญาณฯ) !!! ตำนานที่เล่าขานไม่รู้จบ "เรียกฝนดับไฟ"ที่บางลำพู

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย montrik, 23 พฤศจิกายน 2019.

  1. montrik

    montrik แดง แดนอุทัย สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    10,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    74
    ค่าพลัง:
    +12,075
    อัศจรรย์บารมี "พระสังฆราช" !!! ตำนานที่เล่าขานไม่รู้จบ "เรียกฝนดับไฟ" ในชุมชนตรอกบวรรังษี !!! แท้จริงท่านมีสิ่งหนึ่งเหนือกว่า "ปาฏิหาริย์"
    FB_IMG_1574499868662.jpg
    เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ เวลาประมาณ ๐๒.๐๐ น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ที่ชุมชนตรอกบวรรังษี บางลำพู หลังวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งตรงนั้นชาวบ้านอาศัยกันอยู่อย่างเนืองแน่น ต้นเหตุเพลิงเกิดจากบ้านของแขกขายถั่วซึ่งอยู่ติดกับตึกอบรมพระกรรมฐาน ตึก สว.ธรรมนิเวศ ที่เตรียมทอดถั่วสำหรับขายในวันต่อไป ไฟได้ลุกลามแผ่ขยายออกไปเรื่อยๆ อย่างใหญ่โตมโหฬารไม่อาจยับยั้งได้ อีกทั้งถนนเข้าชุมชนนั้นก็เล็กคับแคบมาก และมีสิ่งกีดขวางมากมาย ยากที่รถดับเพลิงจะเข้าไปทำการสกัดไฟใดๆ ได้

    ศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก บางท่านได้ทุบประตู “พระตำหนักคอยท่าปราโมช” ชั้นบนอันเป็นที่ประทับอย่างแรง เพื่อปลุกเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ให้หนีไฟ ซึ่งตอนนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ กำลังทรงนั่งสมาธิอยู่ จึงทรงมีรับสั่งสั้นๆ อย่างพระทัยเย็นแต่เพียงว่า “ไฟไหม้รึ ??”

    ครั้นแล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ทรงครองจีวรเสด็จลงจากพระตำหนัก ตอนนั้นพระสัทธิวิหาริกต้องการนำเสด็จไปที่ศาลา ๑๕๐ ปีอันตั้งอยู่กลางวัด ซึ่งน่าจะเป็นที่น่าจะปลอดภัยกว่า ทว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มิโปรดที่จะกระทำเช่นนั้น แต่กลับเสด็จเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุที่เพลิงกำลังโหมไหม้อย่างหนักหน่วงอยู่ โดยเสด็จขึ้นไปยังบนชั้น ๕ ของตึก สว.ธรรมนิเวศ ซึ่งอยู่ติดๆ กับเขตเพลิงไหม้อย่างน่ากลัวที่สุดโดยมิทรงหวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆ เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เสด็จขึ้นถึงชั้นที่ ๕ ก็มีรับสั่งให้ศิษย์เปิดหน้าต่างออก ทำให้แลเห็นพระเพลิงกำลังโชนไหม้ชุมชนแออัดอย่างรุนแรง เสียงไฟที่กำลังโหมกระหน่ำ เสียงผู้คนที่ขนของหนีไฟเอาชีวิตรอดดังอึงคะนึงสับสนอลหม่านระงมไปหมด เป็นที่น่าหวาดหวั่นปนน่าเวทนายิ่งนัก

    เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ก็ทรงมองตรงไปยังเบื้องหน้า แล้วก็ทรงมองขึ้นไปยังฟ้าเบื้องบน ก่อนที่จะยกพระหัตถ์ขึ้นโบก ๓ ครั้ง และแล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งที่สุด ก็พลันบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของทุกผู้คนในฉับพลัน
    FB_IMG_1574499866573.jpg
    พริบตาเดียว ก็ปรากฏมหาเมฆก้อนใหญ่ลอยเหนือบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้ในทันใด ลมที่กำลังกรรโชกแรงที่ทำให้ไฟไหม้แผ่ขยายรุนแรงยิ่งขึ้นก็หยุดกึกราวกับปิดสวิทซ์ แม้กระทั่งใบไม้ก็ไม่ไหวกระดิก

    และในบัดดลนั้น ก็เกิดฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก หนักเสียจนไม่มีทีท่าวี่แววว่าจะหยุดได้ง่ายๆ ทำให้เพลิงไหม้มหาวินาศนั้นค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ ทีละน้อยทีละน้อย บรรเทาความร้อนแรงลงจนมอดดับไปต่อหน้าต่อตา ทั้งที่รถดับเพลิงยังไม่ได้ทำการฉีดน้ำสักหยด อย่างน่าตื่นตะลึงเป็นที่สุด !!

    เมื่อทอดพระเนตรเห็นฝนตกลงมาดับไฟ บรรเทาทุกขเวทนาแก่สัตว์ผู้ยากได้สมพระประสงค์แล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็เสด็จกลับเข้ามากราบองค์พระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่ที่ชั้น ๕ อยู่พักใหญ่ จากนั้นก็เสด็จลงมายังชั้นล่างของตึก สว.ธรรมนิเวศ เพื่ออำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยพระองค์เอง

    เพียงย่างพระบาทแรกที่เสด็จออกมา ฝนที่กำลังตกอยู่ก็หยุด ฟ้าที่กำลังฉ่ำด้วยเม็ดฝนก็เปิดโล่งขึ้นมาในทันที บรรดาชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็มาคุกเข่ารับเสด็จ พลางส่งเสียงสาธุการแด่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ที่ได้ทรงพระเมตตาอธิษฐานจิต “เรียกฝนดับไฟ” หรือเพิ่งกสิณดับไฟให้มอดดับไป หลายๆ คนต่างร่ำไห้น้ำตาไหลอาบหน้าด้วยความตื้นตันและซาบซึ้งในพระกรุณาปาฏิหาริย์ซึ่งทรงสำแดงให้ปรากฏต่อหน้าต่อตาของทุกๆ คนเพื่อให้พ้นจากวิบัติภัย อย่างที่ไม่มีใครอายใคร นี่ก็นับได้ว่าเป็นความอัศจรรย์ของอานุภาพแห่งธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจะปรากฏและมีได้กับผู้ทรงศีลทรงธรรมอันบริสุทธิ์

    ทั้งนี้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทรงเคยตรัสสอนเหล่าภิกษุนวกะ (ภิกษุผู้บวชใหม่) ในเรื่องลักษณะเหตุแห่งธรรมว่า “หากเรามีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิที่สงบ จิตตั้งมั่นดีแล้ว อะไรๆ ก็ปรากฏเกิดขึ้นได้ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่งเหมือนกัน”

    นอกจากนี้แล้วหลังเหตุการณ์คลี่คลายลง พระองค์ท่านยังทรงพระเมตตาเปิดวัดบวรนิเวศวิหารให้ประชาชนที่บ้านเรือนได้รับความเสียหายเข้ามาพักอาศัยเป็นการชั่วคราวอีกด้วย โดยในเช้าวันถัดมายังได้เสด็จไปทอดพระเนตรความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชุมชน และตึก สว.ธรรมนิเวศ ซึ่งอยู่ติดกับพื้นที่เกิดเหตุในครั้งนี้ด้วย พบว่าตึก สว.ธรรมนิเวศ ได้รับความเสียหายน้อยมากอย่างน่าอัศจรรย์ มีเพียงกระจกอาคารชั้นล่างแตกเพราะความร้อนของไฟมหากาฬเพียงไม่กี่บานเท่านั้น นี่ถ้าหากมิได้พระบารมีของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แล้ว เชื่อแน่ว่า ตึก สว.ธรรมนิเวศ ตึกอบรมพระกรรมฐานแก่พระภิกษุ สามเณร อุบาสก และอุบาสิกาแห่งนี้ และวัดบวรนิเวศวิหารในหลายๆ ส่วน ก็ยากจะรอดพ้นอุบัติภัยอันร้ายแรงที่สุดในคราครั้งนั้นมาได้เป็นมั่นคงเลยทีเดียว

    ปัจจุบันชุมชนตรอกบวรรังษีแห่งนี้ไม่มีอยู่แล้ว เพราะพื้นที่ทั้งหมดได้ถูกเวนคืนเพื่อสร้างเป็นอาคารปฏิบัติธรรมของวัดบวรนิเวศวิหาร และอาคารเรียนของโรงเรียนวัดบวรนิเวศ

    กรณีเหตุเพลิงไหม้ใหญ่ที่ชุมชนตรอกบวรรังษี หลังวัดบวรนิเวศวิหารในครั้งนี้ ต่อมาปรากฏเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ

    คำบอกเล่าในเหตุการณ์คืนนั้นจาก "ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระศากยวงศ์วิสุทธิ์"

    เหตุการณ์ในคืนนั้น ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ได้เล่าให้ฟังว่า คืนนั้น เวลาประมาณตี ๒ ที่ชุมชนตรอกบวรรังษี ซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังของวัดบวรฯ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้น ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีเพียงรั้วสังกะสีเท่านั้นที่กั้นระหว่างชุมชนและวัด โดยพระศากยวงศ์วิสุทธิ์นั้นเมื่อทราบเหตุก็รีบวิ่งไปยังตำหนักสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งก่อนเกิดเหตุพระองค์ท่านบรรทมอยู่ในตำหนัก ก็รีบวิ่งไปยังตำหนัก เข้าไปด้านในเพื่อจะนำพระองค์เสด็จไปหลบเพลิงไหม้ ณ ตำหนักอีกหลังหนึ่งที่มีการจัดเตรียมไว้

    ทว่า หลังทูลสมเด็จพระสังฆราชฯ เพื่อจะให้พระองค์เสด็จไปประทับ ณ ตำหนักอีกหลัง พระองค์ทรงตรัสถามว่า เหตุเพลิงไหม้นั้นเกิดขึ้นที่จุดไหน? และสถานการณ์ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง? โดยพระองค์ปฏิเสธที่จะเสด็จไปหลบภัยเพลิงไหม้ยังตำหนักหลังที่มีการจัดเตรียมไว้ ซึ่งหลังจากสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงทราบเหตุการณ์ และทรงสวมจีวรเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้เสด็จไปยังพื้นที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งเป็นบริเวณด้านหลังของวัดโดยทันที ทั้งนี้ ทางพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ได้เล่าไว้ว่า

    “หลังทราบว่ามีเหตุเพลิงไหม้ ทรงถามว่า ที่ไหน ยังไง โดยหลังเสด็จลงจากตำหนักไป ท่านก็เข้าไปยังพื้นที่ใกล้ๆ กับบริเวณที่ไฟกำลังไหม้อยู่ทันที เมื่อไปถึง ทรงบอกให้ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ในบริเวณนั้นช่วยกันทุบสังกะสีที่ทำเป็นรั้วกั้นไว้ออกให้หมด เพื่อเปิดเป็นทางสำหรับประชาชน เพื่อเป็นเส้นทางให้ประชาชนได้ใช้เป็นเส้นทางหนีไฟเข้ามาหลบภายในวัดบวรฯ ซึ่งบริเวณด้านหลังวัดนั้นปกติจะไม่มีทางเข้า-ออก นอกจากนั้นท่านยังบอกให้ทุกคนเร่งช่วยกันทำสะพานชั่วคราวขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนใช้ในการขนของหนีไฟได้สะดวกขึ้น และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ยังสามารถใช้เป็นเส้นทางเพื่อเข้าไปดับไฟได้ด้วย” เป็น “คำบอกเล่า” จากหนึ่งในบุคคลที่อยู่ข้างพระวรกายสมเด็จฯ

    และพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ยังเล่าถึงรายละเอียดให้ ฟังอีกว่า คืนนั้น ตัวท่านเป็นผู้หนึ่งที่เดินตามสมเด็จพระสังฆราชฯ โดยหลังจากความพยายามที่จะโน้มน้าวให้พระองค์เสด็จออกจากพื้นที่เกิดเหตุไม่เป็นผล ก็ได้แต่เดินถือไฟฉายตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราชฯ ซึ่งเรื่องนี้พระศากยวงศ์วิสุทธิ์ ยังระบุว่า ถ้าใครเคยเห็น “ภาพข่าวในอดีต” ของเหตุการณ์นี้ ก็คงจำได้ว่า สมเด็จพระสังฆราชฯ รวมถึงลูกศิษย์ที่ตามเสด็จ เนื้อตัวและอังสะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เป็น “น้ำดับไฟ” จากหัวฉีดดับเพลิง

    ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรฯ บอกว่า เมื่อสมเด็จพระสังฆราชฯ เสด็จถึงกุฏิหลังสุดท้าย ซึ่งเป็นกุฏิของรองเจ้าอาวาส ทรงพิจารณาและบอกกับทุกคนว่า...จะพยายามหาวิธีช่วยให้กุฏิหลังนี้รอดจากเพลิงไหม้ให้ได้ โดยทรงบอกให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันช่วยดับไฟ ซึ่งทรงอยู่ให้กำลังใจทุกคน ณ จุดนั้น ทรงอยู่ร่วมกับประชาชน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง โดยไม่ยอมเสด็จไปไหน ที่สุดก็สามารถสกัดกั้นเพลิงในส่วนนั้น เพลิงไม่ไหม้กุฏิ ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้มีผู้คนนำไปบอกเล่าต่อๆ กันไปมากมาย

    “เหตุการณ์นี้มีคนนำไปเล่ามากมาย จนกลายเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ แต่อาตมาเอง วันนั้นอาตมาไม่เห็นมีฝนตก มีแต่น้ำที่ถูกฉีดจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับความเชื่อส่วนบุคคล คงจะห้ามไม่ได้” เป็นการระบุถึงจุดที่ไปที่มาเกี่ยวกับ “ตำนานเรียกฝนดับไฟ” ที่ผู้คนเล่าต่อๆ กัน ที่ถึงแม้จะผ่านมากว่า ๒๔ ปีแล้ว เรื่องนี้ก็ยังมีการเล่ากันอยู่

    ทั้งนี้ ทางพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ กล่าวไว้ด้วยว่า เหตุการณ์คืนนั้นที่ท่านเองสัมผัสได้ คือเรื่อง “ความสงบเยือกเย็น” ของสมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านไม่เพียงไม่ทรงตื่นตระหนก แต่ยังทรงให้คำแนะนำกับผู้คนที่อยู่ในอาการตื่นตกใจจากเหตุเพลิงไหม้อีกด้วย ทำให้ประชาชนที่ต่างพยายามหนีเอาตัวรอด มีสติ และหันมาร่วมมือร่วมใจช่วยกันดับไฟ การที่ทรงไม่เสด็จหนีไปไหน แต่ปรากฏพระองค์ในสถานที่เกิดเหตุตลอด ช่วย “เรียกขวัญ” ให้ผู้คนที่กำลังตื่นตกใจกับเหตุเพลิงไหม้

    จะมีฝนตกหรือไม่ ก็ “ทรงเป็นกำลังใจให้ผู้คน”

    “พระเมตตาของพระองค์นี้ เหนือกว่าสายฝน”

    อ้างอิงข้อมูลจาก - www.dhammajak.net , www.web-pra.com

    เรียบเรียงโดย

    ปิยะนัย เกตุทอง

    ภาพและข้อมูลจากทีนิวส์
    FB_IMG_1574499864482.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...