อาทิสมานกายเป็นรูปของจิต หรือรูปในนาม พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คนหลงเงา, 4 ตุลาคม 2011.

  1. คนหลงเงา

    คนหลงเงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +541
    อาทิสมานกายเป็นรูปของจิต หรือรูปในนาม

    คนเราตกเป็นทาสของอารมณ์ปรุงแต่ง<O:p</O:p
    เรื่องของอรูปพรหม<O:p</O:p
    เวลาฝึกมโนมยิทธิ ส่วนใหญ่สงสัยกันว่าอาทิสมานกายไม่ใช่จิต<O:p</O:p
    เรื่องวิชชาสาม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระพุทธเจ้าองค์ปฐม<O:p</O:p
    ................................<O:p</O:p
    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒เดือนสิงหาคม พศ ๒๕๔๒ตอนสอง<O:p</O:p
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่าน<O:p</O:p
    ..........................................
    <O:p</O:p
    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๗. อาทิสมานกายเป็นรูปของจิต หรือรูปในนาม ซึ่งเป็นกายในซึ่งละเอียดเห็นได้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ (ตาเนื้อมองไม่เห็น) ตอนฝึกมโนมยิทธิหรือฤทธิ์ทางใจ ก่อนฝึกหลวงพ่อก็ดี ครูฝึกก็ดีได้แนะนำให้เราตัดขันธ์ ๕ ว่ามันมิใช่เรา มิใช่ของเรา ในขณะนั้นจิตมีความบริสุทธิ์ชั่วคราวอาทิสมานกายก็เป็นพระวิสุทธิเทพชั่วคราวจึงเอาจิตขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าที่บนพระนิพพานได้ คนบางคนมีหิริ - โอตตัปปะ (มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวผลของบาปทั้งต่อหน้าและลับหลัง) ซึ่งเป็นคุณธรรมของเทวดา นางฟ้า กายในหรืออาทิสมานกายหรือกายของจิตเขา ก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าตั้งแต่ยังไม่ตาย ทำนองเดียวกันคนที่ไม่มีศีล ละเมิดศีล ทำกรรมชั่วหนัก กายในหรืออาทิสมานกาย เขาก็เป็นสัตว์นรกตั้งแต่ยังไม่ตายเช่นกัน (เพื่อนผู้ปฏิบัติธรรมร่วมกับผม ท่านสงสัยว่าแต่พอลงมาจากพระนิพพาน กิเลสโลก โกรธ หลง เข้าครอบงำจิตของท่าน แล้วท่านจะเป็นพระอริยเจ้าได้อย่างไร) พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ที่จิตของเจ้าได้ไปเห็นสภาพพระนิพพานนั้น เป็นเพราะบารมีของพระท่านทำให้เห็นเพื่อเป็นการให้ความมั่นใจว่าพระนิพพานมีจริงเพราะแดนพระนิพพานเป็นแดนที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากกิเลสตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมทั้งมวล จิตของบุคคลใดที่ยังไม่บริสุทธิ์ขนาดนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปสู่แดนพระนิพพานได้จึงหมดสงสัยเรื่องพระท่านสงเคราะห์ให้เห็นพระนิพพานได้ตามความเป็นจริง และทำให้เข้าใจเรื่องหลวงพ่อท่านสอนตอนหนึ่งว่า ผีไม่ต้องการให้คนเห็น คนก็เห็นผีไม่ได้ เทวดาไม่ต้องการให้ผีเห็น ผีก็เห็นเทวดาไม่ได้ พรหมไม่ต้องการให้เทวดาเห็น เทวดาก็เห็นพรหมไม่ได้ พระอรหันต์ไม่ต้องการให้พรหมเห็น พรหมก็เห็นท่านไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ต้องการให้พระเห็น พระก็เห็นพระองค์ไม่ได้ ทรงตรัสสอนเรื่องเหล่านี้ว่า คนที่ยังไม่หมดกิเลส หรือยังมากอยู่ด้วยกิเลส เห็นพระนิพพานได้ด้วยพุทธานุภาพ เจ้าจงอย่าทิ้งพุทธานุสสติใครก็ตามที่ไม่ทิ้งพุทธานุสสติ ในเวลาที่มีการสนทนาธรรมอยู่ ใครถามอะไรเกี่ยวกับธรรมะ แม้ไม่รู้มาก่อน หรือตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็จักตอบแทน เจ้าจงอย่าสงสัยว่าบางครั้งตอบออกไปได้อย่างไร ให้รู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วจงอย่าเหลิงใจว่าพระพุทธเจ้าอยู่กับเรา ทั้งนี้จักต้องคิดเอาไว้เสมอว่า ตัวเรายังไม่ดีพอ พุทธานุสสติยังไม่ทรงตัวจริง ยังขาดความต่อเนื่องเป็นอันมากที่พระพุทธเจ้าสงเคราะห์ก็เนื่องด้วยความเมตตาของท่าน ถ้าเราไม่ทิ้งท่านท่านก็ไม่ทิ้งเรา หมั่นเจริญพุทธานุสสติให้มาก แล้วเจ้าจักพบกับพุทธานุภาพบ่อยยิ่งขึ้นไป และเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาด้วย
    <O:p</O:p
    ๘. คนเราตกเป็นทาสของอารมณ์ปรุงแต่งเกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกนึกคิดของตนเองว่าถูกต้อง ที่ถูกต้องจริงๆ จักต้องถูกต้องตามพระธรรมยึดพระธรรมคำสั่งสอนเป็นหลัก ก็ไม่มีความผิดพลาด จิตใจที่เห็นโลกตามความเป็นจริงย่อมไม่มีการปรุงแต่งธรรมไม่เอาทิฐิหรือความเห็นของตนเข้าไปปรุงแต่งธรรม จิตที่มีพระธรรมประจำจิตเป็นการละอุปาทานขันธ์ตัวปรุงแต่งธรรมความรู้สึกนึกคิดนี่แหละร้ายที่สุด เป็นอารมณ์ยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าหากรู้เท่าทันสังขารไม่ใช่เรา จิตก็คือผู้รู้ ที่สักแต่ว่ารู้ เพียงสักแต่ว่าผู้อาศัย ไม่ใช่ตัวตนของเราหรือของใคร ก็ไปลงสรุปที่มหาสติปัฏฐานสูตรทุกบรรพนั่นแหละ จบอุปาทานขันธ์ ๕
    <O:p</O:p
    ๙. เรื่องของอรูปพรหมอรูปพรหมมีจิตเป็นดวงกลมๆ สีขาวๆ ลอยอยู่ในดินแดนเวิ้งว้างเต็มไปหมด ในดินแดนอรูปพรหมทั้ง ๔ แดน นั่นแหละคือดวงจิตที่ไม่มีรูป เนื่องจากอรูปพรหมมาจากคนที่บำเพ็ญอรูปฌานเพื่อหนีในการมีรูป สภาพที่เห็นจึงมีแต่เพียงดวงจิตที่ไม่มีรูป เนื่องจากคนเหล่านี้เห็นโทษของการมีอายตนะสัมผัสแต่ดวงจิตของอรูปพรหมเป็นสีขาวเฉยๆ ไม่มีรัศมีเป็นแก้วประกายพรึก ซึ่งต่างกับดวงจิตของพระอริยเจ้า พระโสดาบันมีสีดวงจิตที่ใสเป็นแก้วประกายพรึก ๑ ใน ๔ ส่วน พระสกิทาคามีใส ๒ ใน ๔ ส่วนพระอนาคามีใส ๓ ใน ๔ ส่วน พระอรหันต์ใสทั้งหมดทั้ง ๔ ส่วน แล้วในไตรภพทั้งหมดหรือพระนิพพานก็ดี ดวงจิตนั้นย่อมมีรูป หรือมีอายตนะสัมผัส หรืออาทิสมานกายด้วยกันทั้งสิ้นอย่างพระตถาคตเจ้าที่เข้าสู่ปรินิพพานไปแล้ว ขันธ์ ๕ หมดไปแล้ว แต่อาทิสมานกายนี้ยังมีอยู่ พวกเจ้าปฏิบัติพระกรรมฐานในหมวดมโนมยิทธิ ยิ่งจักเห็นชัดว่ายังมีรูปหรืออาทิสมานกายของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ แม้จักปรินิพพานไปแล้วก็ยังมาปรากฏให้พวกเจ้าได้พบได้ อย่างคนบางคนแม้ยังมีชีวิตอยู่ในร่างของคน แต่จิตใจของเรามีหิริ โอตตัปปะ รูปของจิตหรือาทิสมานกายของเขา ก็เป็นเทวดาอยู่ในร่างของคนนั่นแหละ แล้วในขณะที่คนทำกรรมชั่วมีบาปอกุศลครอบงำจิตอยู่ รูปของจิตหรืออาทิสมานกายของเขาก็เป็นสัตว์นรก ทั้งๆ ที่ยังไม่ตายนั่นแหละในเรื่องเหล่านี้หลวงพ่อฤๅษีเคยถูกกล่าวหาว่าอวดอุตริมนุสธรรม ที่คุยกับวิญญาณได้ เพราะเขาไม่เชื่อ หลวงพ่อท่านกล่าวว่า ถ้ารู้แต่วิญญาณก็พูดคุยกันไม่ได้ หรือรู้แต่จิตก็คุยกันไม่ได้ จะต้องรู้ถึงอาทิสมานกายด้วย จึงจะพูดคุยกันได้
    <O:p</O:p
    ๑๐. รูปของจิตหรืออาทิสมานกาย ทำไมจึงมีเกิดแต่สัตว์โลก หรือไตรภพและพระนิพพาน จะมีแต่จิตผู้รู้ เป็นดวงกลมๆ ไม่ได้หรือ (คิดสงสัย) ทรงตรัสว่ากรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เรามาคุยกันตรงนี้ ตั้งแต่อบายภูมิ ๔ มนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหมทั้งหมดนี้ ยังละอุปาทานขันธ์ ๕ ไม่ได้จึงได้ชื่อว่ายังติดอยู่ในรูป หรือร่างกายที่เป็นธาตุ ๔ อันเป็นรูปที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ที่จุติอยู่ในโลกนี้ตายไปแล้วก็ตาม จิตได้ออกจากร่างกายที่ดับไปตามวาระกรรม บุญและบาปจึงพาดวงจิตนั้นไปตามภพต่างๆ เป็นการไปด้วยรูปของบุญและบาปนั้นๆอาทิสมานกายจึงไปตามกรรมหรือการกระทำ จักไปเป็นรูปพรหม เทวดา นางฟ้า มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ก็ด้วยกรรมนั้นๆ อาทิสมานกายก็เปลี่ยนแปลงไปตามกำลังบุญและบาปที่กระทำเอาไว้นั้นๆ แล้วคราวนี้เจ้ามาดูอาทิสมานกายของพระอรหันต์กัน เนื่องจากไตรภพทั้งหมด ดวงจิตของผู้จุตินั้น มีทั้งติดรูปด้วยคิดว่าเป็นคุณ มีผู้ไม่ติดในรูปด้วยคิดว่าเป็นโทษ แม้แต่อรูปพรหมก็คิดว่ารูปเป็นโทษ ก็ยังได้ชื่อว่าไม่ต้องการรูป (ยังมีอารมณ์ไม่พอใจในรูป) บางดวงจิตก็ติดในบุญ บางดวงจิตก็ติดอยู่ในบาปแต่พระอรหันต์ท่านได้พิจารณารูปจนเห็นเป็นปกติธรรม คุณและโทษของรูปไม่ติดอยู่ในจิตของท่านเมื่อจบกิจแล้ว บาปหรือบุญก็ไม่ติดอยู่ในดวงจิตของท่าน ท่านไม่ได้ตัดรูปด้วยความไม่ต้องการรูปเหมือนอรูปพรหม หากแต่ท่านวางรูปหรือขันธ์ ๕ ด้วยสังขารุเบกขาญาณ คือรู้ตามความเป็นจริงของขันธ์ ๕ เมื่อขันธ์ ๕ ถึงวาระแตกดับ ดวงจิตของท่านจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาทิสมานกายหรือรูปของจิตที่เป็นพระวิสุทธิเทพ รูปนี้ไม่แปรเปลี่ยนไปสู่ภาพใดๆ อีก
    <O:p</O:p
    ๑๑. เวลาฝึกมโนมยิทธิ ส่วนใหญ่สงสัยกันว่าอาทิสมานกายไม่ใช่จิต ท่านพระ..... อธิบายว่าขณะฝึกครึ่งกำลัง จิตคือตัวรู้นั่งอยู่ตรงนี้ แต่อาทิสมานกายไปอยู่ข้างนอก (ที่อื่น) ตรงนี้เป็น ๒ ในวิชชา ๓ ขาดอาสวักขยญาณ แต่ถ้าฝึกเต็มกำลัง จิตผู้รู้ไปอยู่กับอาทิสมานกาย คือ หลุดไปกับร่างกายตรงนี้เป็น ๕ ในอภิญญา ๖ ขาดอาสวักขยญาณเช่นกัน ทรงตรัสว่าเหล่านี้เป็นหลักสูตรในพระพุทธศาสนา อย่างตถาคตยังมีชีวิตอยู่ ในสมัยที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็ใช้พลังจิตที่บริสุทธิ์นี้ สำแดงการแยกร่างออกเป็นหลายท่าอิริยาบถ ในขณะเดียวกันกลางอากาศ นี่เป็นการใช้ดวงจิตบันดาลให้รูปของจิต คืออาทิสมานกายแสดงไปในท่าต่างๆ ได้เหมือนกับผู้ฝึกมโนมยิทธิ กำหนดจิตและอาทิสมานกายเป็นหลายๆ รูป กราบพระพุทธเจ้าได้หลายๆ พระองค์ในคราวเดียวกัน แต่ก็ยังแตกต่างกันด้วยอำนาจของจิตบริสุทธิ์ที่ไม่เท่ากันพระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ในหมวดอภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทัตปัตโต สามารถแสดงรูปหรือออาทิสมานกายให้ไปปรากฏที่ไหนก็ได้เมื่อจิตต้องการ ไม่ว่าร่างกายธาตุ ๔ นี้ยังอยู่ หรือร่างกายธาตุ ๔ นี้แตกดับไปแล้ว
    <O:p</O:p
    ๑๒. เรื่องวิชชาสาม ตรัสสอนโดยสมเด็จองค์ปัจจุบัน ความว่ายามต้นตถาคตได้บรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ ระลึกชาติหนหลังที่ผ่านๆ มาแล้วโดยอเนกชาติ ซึ่งจัดว่าอยู่ในหมวดวิชชาสามในขณะนั้น ตถาคตนั่งตรงนี้ใต้โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ (ต้นอัสสัตถพฤกษ์) จิตตถาคตก็อยู่กับกายของตถาคตนี้ แต่การระลึกชาติก็ไปเห็นรูปของจิต หรืออาทิสมานกายของจิตในแต่ละชาติๆ เกิดแล้วดับๆ จุติจากภพโน้นไปสู่ภพนี้ อย่างหาที่สิ้นสุดมิได้ หาประมาณภพชาติไม่ได้ และอย่างกับท่านพระอานนท์อยากจักทราบว่า สมัยที่ตถาคตจักเข้าสู่พระปรินิพพาน ตถาคตไปอย่างไร อยู่ที่ใดในขณะนี้ ก็ได้ท่านพระอนุรุทธ อันเป็นผู้เลิศในทางด้านทิพจักขุญาณ หรือวิชชาสามนี่แหละคอยติดตามตถาคต และคอยบอกแก่ท่านพระอานนท์ และบรรดาภิกษุทั้งหลายที่คอยฟังอย่างใจจดใจจ่อ ท่านพระอานนท์ถาม ขณะนี้พระองค์อยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร ท่านพระอนุรุทธก็ตอบ กำลังเข้าฌานนั้น เข้าญาณนี้ แล้วตอนที่จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน รูปของจิตคืออาทิสมานกายของพระพุทธองค์ก็ออกจากกายเนื้อนั้น อาทิสมานกายของท่านพระอนุรุทธก็กราบอยู่แทบพระบาทพระพุทธองค์พระวรกายทิพย์นั้นสู่ดินแดนพระนิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธก็กล่าวแก่ท่านพระอานนท์ว่า เวลานี้ องค์สมเด็จพระพุทธชินสีห์ได้เข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว เจ้าจักเห็นได้ว่าท่านพระอนุรุทธก็ไม่ได้นั่งหลับตา แต่จิตของท่านเป็นสมาธิ สามารถเข้าฌานตามรูปของจิตของตถาคตได้ โดยอำนาจของวิชชาสาม อาทิสมานกายหรือรูปของจิตของท่านพระอนุรุทธ ไปปรากฏอยู่กับตถาคตได้ ในขณะที่จิตผู้รู้ของท่านพระอนุรุทธก็อยู่กับกายเนื้อของท่าน ซึ่งนั่งอยู่ปลายเท้าของกายเนื้อของตถาคต ท่านคอยฟังคำถามและตอบให้ท่านพระอานนท์ทราบเป็นระยะๆ ได้ โดยไม่มีการเสียสมาธิแต่อย่างไร การฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังเป็นส่วนหนึ่งของวิชชาสาม คือ กายนั่งอยู่ตรงนี้ จิตผู้รู้อยู่ในกาย รู้อิริยาบถของกายไปด้วย ในขณะเดียวกันรู้อาทิสมานกายหรือรูปของจิตไปรู้เรื่องต่างๆ ได้
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    .................................<O:p</O:p
    ที่มาของข้อมูล<O:p</O:p
    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒เดือนสิงหาคม พศ ๒๕๔๒ตอนสอง<O:p</O:p
    หนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น ทุกเล่ม<O:p</O:p
    หาข้อมูลศึกษาได้จาก.......<O:p</O:p
    http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html<O:p</O:p
    ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือหลวงพ่อหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต<O:p</O:p
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ<O:p</O:p
    …………………………………
    หมายเหตุ<O:p</O:p
    การศึกษาตอนนี้เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง<O:p</O:p
    คนมาฝึกมโนมยิทธิ ก็ยังมีกิเลส แล้วไปเห็นไตรภพและพระนิพพานได้อย่างไร<O:p</O:p
    ควรศึกษาให้สมบูรณ์ด้วย<O:p</O:p
    ..................................................<O:p</O:p
     
  2. คุรุวาโร

    คุรุวาโร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    3,465
    ค่าพลัง:
    +13,430
    มีสมาชิกบางท่านยกคำสอนดังนี้ครับ

    มโนมยิทธิ คืออะไรครับ ?

    ตอบ มโนมยิทธิก็คือการฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิอย่างที่เราฝึกอยู่นี่ ก็คือการฝึกมโนมยิทธิ แต่มโนมยิทธิเขามีวิธีการถ้าใครท่อง นะ มะ พะ ธะ แล้วตัวมันสั่น ๆ นั่นคือมโนมยิทธิ ที่พวกปลุกพระนั้น เมื่อปลุกพระแล้วตัวสั่นขึ้นมานี่ไม่ให้เห็นนรก ไม่ให้เห็นสวรรค์ เพราะไม่มีผู้นำคือไม่มีผู้บอก มโนมยิทธินี่ใครคนหนึ่งมาภาวนา นะ มะ พะ ธะ พอรู้สึกว่า สั่น ๆ ขึ้นนี่ เขาก็สังเกตุรู้แล้วว่า จิตกำลังเริ่มสงบสว่าง มีปิติเกิดขึ้นในช่วงนั้นเขาจะกรอกคำพูดคือคำสั่งเข้าไป เขาจะบอกว่า " ทำตาให้สว่างมองไปไกล ๆ แล้วจะเห็นโน่นเห็นนี่ " แล้วเขาจะบอก ทีนี้พอบอกไปแล้ว ในขณะนั้นจิตของผู้ภาวนามันจะสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง ลอยเคว้งคว้างอยู่ในเมื่อได้ยินคำสั่งแล้วจิตมันจะยึดคำพูดทันที พอจิตมายึดคำพูด ต่อไปผู้กำกับการแสดงสั่งไปอย่างไร จิผายลมวงนี้จะปฏิบัติตาม บอกว่าให้ไปข้างหน้าไปดูนรก หรือไปดูสวรรค์ แล้วผู้ภานาจะรู้สึกว่าเขามีกายเดินออกไปจากร่างของเขา แม้ว่าร่างนี้จะสั่นอยู่อย่างนี้ แต่ความรู้สึกในทางจิตของเขาเหมือนกับเขาเดินเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ไปดูนรกก็รู้สึกว่าไปเดินอยู่ที่ขอบปากหม้อนรกโน่นแหละ ไปดูสวรรค์ไปย่ำอยู่ที่ปราสาทวิมานของเทวดา ความรู้สึกของเขาจะเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นแบบฝึกสมาธิกับการสะกดจิต อย่างเรา ๆ นั่งสมาธิกันอยู่อย่างนี้ ถ้าหากว่าภาวนาพุทโธ ๆ ๆ เป็นต้น แล้วก็มีผู้คอยกล่าวนำ ให้ทำจิตให้สงบ ให้ทำจิตให้สว่าง กล่อมกันอยู่อย่างนี้ ในเมื่อจิตสงบสว่างแล้วจะเห็นโน่นเห็นนี่ แล้วกระแสจิตส่งออกไปข้างนอกจะเกิดภาพนิมิตขึ้นมาทันที ต่อไปถ้าหากสมมติว่าผู้ภาวนามีอาการสั่น ปิติกำลังเกิด ยิ่งสั่งให้ไปที่ไหนก็ไปได้ ไปดูอะไรที่ไหนได้ทั้งนั้น อันนี้คือมโนมยิทธิ มโนมยิทธิกับการฝึกสมาธิอย่างเดียวกัน อย่าว่าแต่มโนมยิทธิกับสมาธิก็ฝึกอย่างเดียวกัน แม้แต่พิธิเชิญวิญญาณเข้าประทับทรง ก็ฝึกอย่างเดียวกัน ผู้ที่เชิญวิญญาณเข้ามาทรง อย่างสมมติว่าจะทรงวิญญาณพระศิวะ เขาก็ให้นึกในใจว่า ศิวะ ๆ ๆ จนจิตสงบเป็นสมาธิ เมื่อจิตสงบลงเป็นสมาธิแล้วก็มีปิติ มีความสุขสบายเหมือนกัน กับเราทำสมาธิธรรมดา ๆ เพราะความคิดและความตั้งใจจะเชิญวิญญาณมาประทับทรง จิตมันก็ส่งกระแสออกไปข้างนอก หลังจากที่เกิดความสงบแล้วก็มองหาตัววิญญาณประเดี๋ยวร่างของวิญญาณที่เรา เรียกหานั้นจะปรากฏรูปร่างมายืนอยู่ต่อหน้า แล้วผู้ทำพิธีการเชิญนั้นก็จะน้อมจิตน้อมใจให้วิญญาณเข้ามาประทับทรง เมื่อวิญญาณเข้ามาถึงตัว นิมิตที่มองเห็นด้วยตาหายไป แต่ความรู้สึกภายในตัวจะมีความรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบหน่วงไปทั้งตัว ปิติและความสุขซึ่งมีอยู่ก่อนนี้หายไปหมดสิ้น ความรู้สึกอันเป็นส่วนตัวนั้นก็หายไป จิตตกอยู่ในอำนาจของวิญญาณที่มาประทับทรงต่อไปนั้นแล้วแต่วิญญาณจะพาไป ให้สมาธิเหมือนกันหมด หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ตอบปัญหาธรรม


    ส่วนตัวน่าจะยกพระไตรปิฏกมาอ้างครับ จะได้หมดปัญหาเรื่องความเห็นต่างครับ
    ไม่เช่นนั้นก็ไม่จบสักทีครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...