////// อานาปานสติ นี้ ดีจริงหรือ //////

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย xeforce, 5 พฤศจิกายน 2013.

  1. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขออนุญาตเล่าถึงการปฎิบัติที่เกิดขึ้นกับผม เพื่อนักปฎิบัติอาจจะได้ข้อคิดบ้างอย่าง
    ในการปฏิบัต


    ทำสมาธิ

    คือก่อนหน้านี้ผมสนใจธรรมะ และปฏิบัติธรรมมาแทบทุกสาย ใครว่าที่นั่นดี
    ใครว่าที่โน่นดีก็ทำตามเค้า ทั้ง พุท-โธ ยุบหนอ-พองหนอ หรือกสิณก็ทำมาแล้ว
    ผลของมันดีครับ ได้ความสงบ มีความสุขในสมาธิมาก แม้ออกจากสมาธิมาความ
    สุขนั้นก็เยิ้มออกมาด้วย แต่ถ้าสิ่งแวดล้อมที่กระทบภายนอก วุ่นวาย ความสุขนั้น
    ก็ค่อยๆ หายไป อารมณ์ในตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าเกิดมีความโกรธ จะรุนแรงมากกว่า
    ตอนที่ไม่ได้ทำสมาธิ ช่วงนั้นนั่งสมาธิบ่อยเอาจริงเอาจัง เพราะทำแล้วเห็นผลไป
    ตามลำดับ ใจก็อยากบรรลุธรรมเร็ว คิดไปผมเองทำเหตุ ปัจจัยเพียงอย่างเดียว
    คือสมถะ จะไปเข้าใจธรรมะได้อย่างไร ตอนนั้น ผมเองไม่เคยเข้าหาพระเลย
    อยากรู้อะไร ก็หาหนังสือมาอ่าน หรือไม่ก็เปิดอินเตอร์เน็ต เว็บพลังจิตนี่ผมก็เข้ามา
    อ่านอยู่บ่อยๆ อ่านแล้วก็พยายามเทียบเคียงว่าเรา ได้ฌานไหนแล้ว ก็รู้สึกภูมิใจ
    ตอนนั้นไม่เคยเข้าหาพระสงฆ์องค์ไหนๆเลย เพราะความที่ใจลึกๆไม่รู้สึกศรัทธา
    ในองค์ไหนเป็นพิเศษเลย


    เป็นทุกข์

    ตอนนั้นใช้ชีวิตปกติ ค่อยๆห่างจากธรรมะออกมาเรื่อยๆ นั่งสมาธิน้อยลงไป ไม่ได้ฟัง
    ธรรมะ แทบจะลืมความศรัทธาในพระพุทธเจ้าในตอนแรกไปเลย ก็ว่าได้ ชีวิตตอนนั้น
    ทำแต่งาน แล้วก็ไปเที่ยว ชีวิตช่วงนี้เรียกว่า เป็นช่วงขาขึ้น ของชีวิต ตอนนั้นมีโอกาส
    เปิดบริษัทรับออกแบบ มีเงินเข้ามาพอสมควร ตอนนั้นคิดว่าตัวเป็นคนมีบุญ วาสนา
    ได้มีโอกาส มีผู้ใหญ่หลายคนช่วยเหลืออยู่ คิดว่าคงไม่นานอายุไม่ถึง 30 ต้องรวยแน่ๆ
    แต่ไม่เป็นอย่างนั้นครับ จากชีวิตที่ดี มันกลับเลวร้ายลง บริษัทขาดทุนเรื่อยๆ งานน้อยลง
    ชักหน้าไม่ถึงหลัง หวังจะกู้แบงค์เพื่อต่อลมหายใจ แต่ก็กู้ไม่ผ่าน เงินก็หมด บริษัทก็ต้อง
    ปิดตัวลง หลังจากนั้นก็ตามมาด้วย หมายศาลในเรื่องภาษี และยังมีปัญหา
    ในครอบครัวอีก ตอนนั้นเป็นทุกข์มาก มันเหมือนว่าหมดทุกอย่าง ทำไมต้องมาเป็นอย่างนี้
    เราทำผิดอะไร หรือว่าเราอาจดวงไม่ดี ก็ไปสะเดราะห์เคราะ รดน้ำมนต์ ให้หมอดูดวงว่า
    เมื่อไหร่ชีวิตจะดีเหมือนเดิม ไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตคนมันทุกข์มากขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำไง
    แล้ววันหนึ่งก็คิดขึ้นได้ กลับมาหาที่พึ่งทางใจคือ พุทธศาสนา อีกครั้งหนึ่งแต่ครั้งนี้ต่างออกไป
    ผมไม่ได้อยากฝึกสมาธิ ไม่ได้อยากบรรลุธรรมใดๆ เพียงแค่อยากจะพ้นจากความทุกข์ตอนนี้
    เหลือเกิน



    กลับสู่เส้นทาง

    วันนั้นเดินเข้าร้านอินเตอร์เน็ต เปิดยูทูปดู หวังจะฟังเทศน์ให้หายทุกข์ เลยค้นหา ไปที่คำว่า
    "ทุกข์" เลยเข้าไปที่คลิปหนึ่ง ชื่อว่า "ความจริงไม่มีใครทุกข์" เปิดดูตอนนั้นงงมาก แต่ก็พอรู้
    แล้วว่า พุทธศาสนาเนี้ยแหละอาจจะพาผมพ้นทุกข์ได้ เลยกะจะย้อนไปปฏิบัติแบบเดิม คือ
    พุท-โธ และ ยุบหนอ-พองหนอ แต่ก็เห็นว่าทางนี้มันแค่ความสงบ ซึ่งตอนนั้นผมทำไม่ได้จริงๆ
    เพราะมันคิดมากเหลือเกินคิดได้อย่างนั้น เลยเปิดดูต่อไปที่ "พุทธวจน" ตอนนั้นคิดว่า
    เอ้า!! ลองเชื่อพระพุทธเจ้าดู ปฎิบัติตามที่พระองค์ สรรเสริญ คือ อานาปานสติ ตอนนั้นนั้น
    ผมจำมาเพียงท่อนเดียว "เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า" จากนั้นผมเริ่มทำหลังออกจาก
    ร้านอินเตอร์เน็ตเลย วันแรกที่ทำ ทำตลอดทั้งวัน ใจมันก็อยากไปบริกรรม พุท-โธ เพราะเป็นสิ่ง
    ที่เคยทำอยู่ แต่ก็ต้องฝืนไม่เอา พยายายามรู้ที่ลมอย่างเดียว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะวางจิตอย่างไร
    ไว้ตรงไหน ถ้าเป็นพุท-โธ ผมจะวางจิตไว้ที่ปลายจมูก แต่พอเป็นอานาปานสติ เลยไม่รู้
    จะวางจิตที่ไหนดี ลองเปิดอินเตอร์เน็ต เค้าก็ไม่ได้บอกไว้ (ไม่ได้บอกเป็นภาษาปฎิบัติ)
    เลยไม่เข้าใจ ย้อนกลับไปอ่านคำพระพุทธเจ้าอีก ก็กลับเข้าใจความหมาย คำของพระองค์
    ที่ตรัสออกมานั้นแหละ สั้นและตรงที่สุดแล้ว คือมี "มีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า" ความหมาย
    อยู่ในนี้แล้ว ผมนี่มันโง่จริง พยายามไปหาคำอธิบายอีกทำไม



    เริ่มปฎิบัติ

    วันแรกที่เริ่มปฎิบัติจิตยังเคยกับคำบริกรรมอยู่ เลยใส่คำให้มัน ว่าเข้า-ออก ที่ใช้คำนี้เพราะจิต
    มันจะเข้าใจถึงกริยาที่เกิดขึ้นจริงคือ ตอนนี้ลมเข้า ตอนนี้ลมออก จะไม่เหมือนกับ พุท-โธ
    เพราะจิตมันจะไปรวมเข้ากับลมหายใจ จิตเราก็จะสงบโดยไม่มีสติอยู่ที่ปัจจุบัน จะรู้แต่คำ
    บริกรรมว่า พุท-โธ เท่านั้น ซึ่งอันนี้จะทำให้จิตได้พักผ่อน อยู่ในความสงบ ตามขั้น ฌาน1-4
    การที่ผมเอาสติไปรู้ลม ช่วงแรกสติอ่อนมาก จึงบริกรรมว่าเข้า ทำความรู้สึกรู้ที่ลมหายใจกำลัง
    ผ่านเข้าไป ลมออกก็ทำเช่นเดียวกัน ผมเห็นว่าการวางจิตเป็นจุดสำคัญกับผลออกมาของการ
    ปฎิบัติเลย การวางจิตที่ถูก ผลปฎิบัติจะเร็วมาก เหมือนคำพระพุทธเจ้าที่ทรงสรรเสริญ
    อานาปานสติไว้ ไม่ผิดเลย

    วันต่อมาเริ่มตื่นมาก็เอาเลย จิตตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้หวังผลที่ปฏิบัติ ทำไปเพียงเพราะ
    พระพุทธเจ้าบอกว่าดี ก็ตั้งใจทำ ไม่ได้คิดว่าต้องพิจารณาอะไร ทำอย่างเดียว คือ พยายามรู้ลม
    ไม่ว่าผมจะเดินไปไหน จะทำอะไร ก็พยายามที่จะรู้ มาที่ลม ทำไปได้ซักพัก ก็เห็นจิตที่มีความคิด
    ผุดขึ้น แต่เห็นเพียงลางๆ ผมก็กลับมารู้ที่ลมอีก ทำอย่างนี้อยู่ทั้งวัน จนสติเริ่ม ชัดขึ้น รู้สึกที่ลม
    ชัดขึ้น บ่อยขึ้น เห็นความคิดที่ผุดชัดขึ้น แต่ผมไม่สนใจที่ความคิด เห็นเป็นภาพต่างๆขึ้นมา
    ผมพยายามกลับดึงมา ที่รู้สึกที่ลม เห็นทั้งจิต ที่คิดดี และคิดไม่ดี ก็กลับมารู้สึกที่ลมตอนที่สติ
    เริ่มแข็ง ไม่ต้องใช้คำบริกรรมช่วยแล้ว จิตจะรู้สึกถึงลมที่ เข้า-ออก แต่ถ้ากระแสความคิดมัน
    แรงมาก ผมจะถามตัวเองว่า ตอนนี้หายใจเข้าหรือออกอยู่ ก็จะดึงสติกลับมาได้ เห็นการ
    เปลี่ยนไปของจิตเห็นอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วจิตมันก็เข้าใจถึงการที่มันบังคับ ไม่ได้เปลี่ยน
    แปลงไปตลอด เป็นอนิจจัง เข้าใจไปถึงจิต จิตมันรู้เอง ตอนนี้มันอธิบายไม่ค่อยถูกครับ อันนี้
    พยายามอธิบาย แต่สิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน เป็นพยานในตนเอง หากใครผ่านจุดนี้มาแล้ว
    จะทราบดี คำนี้ไม่ผิดเลย สิ่งที่จิตผมเข้าไปรู้ อันนี้จิตเข้าไปเห็นเอง เข้าใจเอง ผมมักเห็น
    นักปฎิบัติส่วนใหญ่มักเป็นอย่างนี้ พอมีอะไรผุดขึ้นมาที่จิต มักตามดูและไปใส่ความคิดซ้อนว่า
    มันต้องหายไป คิดต่อไปว่าจิตมันเป็นอนิจจัง เอาความคิดเข้าไปซ้อน พยายามสอนจิตอย่างนั้น
    แต่ความจริงจิตมันไม่เชื่อเราหรอก จะทำให้จิตคิดวนอยู่ในนั้น พยายามกล่อมจิต ความเป็นจริง
    ต้องจิตเข้าไปเห็นสิ่งนั้นเอง สัมผัสเอง ปราศจากการคิดใดๆ และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่นักปฎิบัติ
    ไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้ พยายามนั่งสมาธิให้ได้นานๆ เดินจงกรม ทั้งวันทั้งคืน แต่ทำไมไม่เข้า
    ถึงธรรมเสียที สะสม สมาธิกันมามาก สะสมปริยัติ กันมามาก วาสนาบารมีอาจจะพร้อมแล้ว แต่
    การวางจิตในขณะปฏิบัติ ผิดที่ ถ้านักปฏิบัติทั้งหลาย เฝ้ารู้สึกที่ลมเหมือนคนโง่ คือทำไปอย่างนั้น
    ไม่ต้องใส่ความคิด ผู้ปฏิบัติก็จะเข้าถึงธรรมะกันมาก เหมือนคำที่ว่า "หยุดคิดจึงรู้"


    การที่ผมทำอานาปานสติทำตลอดทั้งวัน ทำได้ตลอดทั้งลืมตา-หลับตา ไม่ได้นั่งสมาธิเลย เพราะ
    ขณะที่รู้สึกลมอยู่นั้น สติ สมาธิ ได้เกิดขึ้นในจิตแล้ว กล่าวว่า วินาทีที่เจริญอานาปนสตินั้น
    ได้เจริญมรรค 8 ให้ครบแล้วในขณะจิตนั้น พร้อมที่จะเข้าถึงธรรมะ และบรรลุธรรมได้ ทุกขณะจิต
    อานาปานสติ จึงเป็นกรรมฐาน ที่มีผลใหญ่มีอนิสงค์ใหญ่ ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว



    ....................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2013
  2. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    จากที่ได้อ่านมา น่าสรรเสริญมากเลยทีเดียวครับ
    ขอให้ได้มรรคผลสมหวังดั่งตั้งใจครับ ........​
     
  3. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    บรรลุธรรม ๆ ๆ

    ขออนุญาตครับ

    องค์หลวงปู่มั่น ออกบวช ๓๒ ปี จึงบรรลุธรรม

    องค์หลวงตามหาบัว ออกบวช ๑๘ ปี จึงบรรลุธรรม

    แล้วที่ท่านบอกเล่าว่า


    ตกลงว่า

    "บรรลุธรรม" ของท่าน มันคือ อะไรกันแน่

    มันเหมือนที่ครูบาอาจารย์ท่านบรรลุไหม ?

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา


    "ธรรมนั้น คนไม่รู้ ถามไม่ได้"
    "ธรรมนั้น คนไม่รู้ ตอบไม่ได้"
    (หลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2013
  4. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ก็โมทนากับความตั้งใจของท่าน
    แต่ท่านต้องระลึกรู้ตัวให้มากๆเลย
    ต้องเข้าใจว่า การบรรลุธรรม บรรลุด้วยอะไร บรรลุอย่างไร
    ที่ท่านโพสไว้ ยังมีที่เข้าใจคราดเคลื่อนอยู่บ้าง
    ขออนุญาติ ชี้แนะ

    การฝึกสมาธิแล้ว รู้สึกจิตมันนิ่ง ไม่คิดพิจารณาสิ่งใดๆ
    แล้วเข้าใจว่าเข้าถึงธรรม เข้าถึงความบรรลุได้นั้น
    จริงๆแล้ว ยังไม่ใช่การบรรลุธรรมอะไรเลย ไม่ได้เข้าถึงธรรมใดๆเลย
    เพียงแต่ ความนิ่งในสภาวะนั้น ไร้ซึ่งกิเลสต่างๆที่ปรากฏให้สัมผัส
    เหมือนตะกอนที่นอนก้น น้ำในโอ่งย่อมใส ก็เพราะกำลังสมาํธิ
    แต่กิเลสจริงๆก็ยังอยู่ ไม่ได้ดับไม่ได้หายไป
    กิเลสยังนอนก้นอยู่ เมื่อไรกำลังสมาธิถดถอย ตะกอนกิเลสมันก็แสดงตัวออกมา
    ผู้บรรลุธรรม ผู้เข้าถึงธรรม ต้องเป็นผู้ละหมดแล้ว ตะกอนนอนก้นก็ไม่เหลือ
    และการบรรลุธรรม จะหาศัยความนิ่ง ไม่คิดไม่พิจารณาไม่ได้
    เพราะการบรรลุธรรมคือ ความเข้าใจต่อธรรมชาติ เข้าใจในความเป็นจริง

    ตัวอย่าง การรักษาศีล เมื่อสมาธิทานศีลมาใหม่ๆ เราเข้าใจว่าเราศีลบริสุทธิ์
    เพราะเรายังไม่ทำผิดศีลเลย แล้วก็อยู่นิ่งๆเฉยๆอย่างนั้นตลอดวัน
    แล้วก็มาบอกว่าเรารักษาศีลบริสุทธิได้หนึ่งวัน
    ถามว่าได้บุญหรือไม่ ต้องตอบว่าไม่ได้เลย
    เพราะถ้าเราสำรวมระวัง รักษาศีล โดยการอยู่เฉยๆ ก็ไม่ต่างจากก้อนหิน

    สมมุติว่าเราคิดว่าเราดับ ปฏิฆะ ได้แล้ว คือเราหมดความโกรธแล้ว
    เราใช้ชีวิตอยู่กับตนเอง อยู่ในที่ิวิเวกมานาน
    จิตสงบนิ่งมากๆ ไม่มีกิเลสอีกแล้ว
    ปรากฏว่า พอเดินออกไปพบปะผู้คน เจอสรรเสริญเราชอบใจ
    เจอนินทาเราก็ไม่ชอบใจ ความโกรธมันก็โผล่มา
    เราจะรู้ว่าเราบรรลุธรรมจริงหรือไม่ ก็ต้องออกมาโดนกระทบเท่านั้น
    มิใช่เก็บตัวคนเดียวไม่คุยกับใครไม่โดนใครด่า
    แล้วบอกว่า หมดโกรธแล้ว มันไม่ใช่
    หมดโกรธแล้วคือ ต้องโดนด่าแล้วไม่โกรธต่างหาก

    [​IMG]

    เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเร้า และเอาชนะแรงกระตุ้นของกิเลสให้ได้
    มิใช่ เจอราคะ เจอสาวงาม เกิดความกำหนัดขึ้น
    เพื่อมิให้เกิด เราจึงหลับตาเสีย ไม่มอง ไม่จินตนาการถึงรูปอันงามนั้น
    กิเลสราคะก็ดับไป แต่เราจะบอกว่าเราชนะมันไม่ได้
    เพราะที่กระทำนั้นเป็นการหนีกิเลส ไม่ใช่การดับกิเลส
    ผู้ที่ชนะกิเลสได้จริง มาจากความเข้าใจที่ว่า ร่างกายก็เป็นเพียงธาตุ
    มีสิ่งเน่าเสียอยู่ภายใน ไม่น่ายินดี ไม่ใช่ของที่น่าชอบใจ
    เมื่อพิจารณาได้อย่างนี้ แม้จะเจอสาวงามที่สวยยั่งความกำหนัดเพียงใด
    ความกำหนัดก็ไม่เกิดขึ้น แม้จะได้มองดูอยู่ แต่เพราะความชอบใจในรูปนั้น
    ไม่มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาดับราคะ เพราะราคะไม่เกิดตั้งแต่แรก

    ฉะนั้น สมาธิฝึกได้ให้จิตนิ่งมีกำลัง
    ต่อมาก็ต้องเอาจิตมาพิจารณาความเป็นจริงนั้นๆ
    เพื่อให้เราได้เข้าใจธรรมชาติ ยอมรับธรรมชาติ
    และไม่ฝืนธรรมชาติ ปล่อยวางจากความอยากต่างๆ
    การบรรลุธรรม ทำให้ด้วยการใช้ปัญญาพิจารณาเท่านั้น
    เรียกกันว่า "วิปัสสนา" ซึ่งต้องต่อยอดจาก "สมถะ" ที่ท่านได้ฝึกนั่นแล
     
  5. Kaotok

    Kaotok สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    ขออนุญาตแนะนำนิดนึงนะคะ
    คุณ xeforce ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้แล้วลองกลับไปดูศีลของตัวเองดูนะคะว่าครบหรือไม่ หรือความรู้สึกที่มีต่อศีลก่อนกับหลังปฏิบัติเปลี่ยนไปอย่างไร
    อีกนิดค่ะ ระวังอย่าอ่านหนังสือเอง ปฏิบัติเอง ของอย่างนี้ต้องมีครูบาอาจารย์แนะนำค่ะ
    ธรรมะมีหลากหลายวิธีแต่จุดหมายคือที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอาณาปาณสติ มโนมยิทธิ หรือสติตามการเคลื่อนไหว(หลวงพ่อเทียน) ดิฉันเองปฏิบัติมาทางสมถะวิปัสนา แต่มีเพื่อนกัลยาณมิตรที่ฝึกมาหลายๆ แบบ คุยกันไปมา แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ว่าท้ายสุดก็คืออันเดียวกัน คือใช้สติกำกับทุกอิริยาบท ไม่ว่าจะกิน นั่ง ยืน นอน หากเกิดอารมณ์ไหนไม่ว่าดี หรือไม่ดี ก็ใช้สติตามด้วยการกำหนด ดีหนอ รู้หนอ ให้ละเอียดเข้าไปอีกคือต้องให้รู้ว่าเจ้าลมหายใจเข้า หายใจออก หรือแม้แต่อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นนั้นมันดับไปเมื่อไร(ตรงนี้แหละที่ยาก5555)
    แรกๆ ครูบาอาจารย์ท่านจะแนะนำให้เราทำอะไรช้าๆ เพื่อให้สติตามทัน ไม่ให้จิตส่งออกนอกด้วยการใช้คำบริกรรม พอสมาธิแข็งคำบริกรรมจะหายไปเองอย่างที่คุณว่า
    หลังๆ มาขณะขับรถกำหนดรู้ปั๊บก็สงสัยทำไมรถมันช้าลงดูที่หน้าจอไมล์ที่ขึ้นก็เท่าเดิมแต่ทำไมมันช้าลงเล่าให้พระอาจารย์ฟัง ถึงบางอ้อเพราะสติเราตามทัน
    แหมว่าจะนิดเดียวนะเนี้ยะ
     
  6. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    ผมก็ อานาปานสติ ตลอดเหมือนกันครับ ดีจริงๆ
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
    หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา" (น.๔๖๑)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2013
  8. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ตอบ ลุงมหา๑

    ภูมิธรรม ของหลวงปู่มั่น หรือ หลวงตามหาบัว ท่านพระอรหันต์ ท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว

    ตัวผมเองเพียงแค่ จิตเข้าไปเห็นและแจ้งในแล้วธรรมชาติ ความเป็นไปแห่งกฏไตรลักษณ์
    ไม่ได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ผมเองก็ยังเป็นผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ ไม่ได้จบกิจที่ต้องทำ เพียงแต่
    ทำประโยชน์เฉพาะตนแล้ว ถึงได้ออกมาแนะนำ เผื่อท่านใดที่ มีสมาธิจิต เพียงพอ มีความ
    รู้ในธรรมะมากแล้ว ได้ลองวางจิตของตนใหม่ ทำตามพระพุทธเจ้า จะได้เข้าถึงธรรมะ
    ในชาติปัจจุบันนี้
    ตัวผมเองปีนี้อายุ 28 ปี เริ่มเข้ามาศึกษาธรรมะเมื่อ 3 ปี ที่แล้ว ระยะเวลาไม่ได้เป็นตัว
    กำหนดจากเข้าถึงธรรมของเรา หากแต่เป็นการปฎิบัติที่ถูกต้องต่างหาก

    .........................
     
  9. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ตอบ คุณ tsukino2012

    สิ่งที่ผมตั้งใจจะบอกพวกนักปฎิบัติทั้งหลายคือเรื่องนี้ เรื่องการทำสมาธิ
    ผมได้เขียนอธิบายบอกไปแล้ว และผมพยายามเล่าย้อนไปถึงการปฏิบัติ
    การทำสมาธิของผมเมื่อก่อนนี้ ที่อยากจะบอกตามตรงว่า "ติดสมาธิ"
    ผมมองย้อนไปในตอนนั้น ก็เหมือนผู้ปฏิบัติธรรมในตอนนี้
    เมื่อก่อน ผมก็ทำสมาธิ จิตเข้าไปฌานต่างๆ ถอยออกมา พิจารณาทุกอย่าง
    พิจารณา อสุภะ พิจารณา กฎไตรลักษณ์ เคยทำมาหมดแล้ว แต่จิตไม่ได้เชื่อ
    อย่างที่ผมพยายามพิจารณาเลย เพราะจิตนี้ไม่ได้เห็นเอง
    ผมทำแล้วได้ผลอย่างไรก็เพียงเล่าให้ฟังอย่างนั้นเอง

    ส่วนเรื่องความวาง ในการทำสมาธิ ที่บอกว่าผมเข้าใจผิด อันนี้รบกวนอ่่าน
    อีกครั้งครับ มันเป็นช่วงแรก ที่ผมวนอยู่ในสมาธิ

    ส่วนเรื่องของศีล รวมไว้อ่านที่คุณ Kaotok ครับ


    ส่วนการเผชิญหน้ากับสิ่งเร้า ในจิตผม ตัวผมเองเป็นฆราวาส ทั่วไปเหมือนท่านๆ กระทบย่อมมีแน่

    ลองอ่าน ที่นี่ดูครับ ผมเคยตอบไว้กับผู้สงสัยท่านนึง
    ขออนุญาติแปะลิงก์ครับ /////////// มายืนยัน คำสอนของพระพุทธเจ้า ครับ //////////// - Pantip





    อ้างอิงผู้ตั้งคำถาม

    ผมรู้สึกชื่นชมคุณ สมาชิกหมายเลข 1082144 ที่กล้าออกมายืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้าในที่สาธารณะ โดยไม่เกรงกลัวใดๆ ผมก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ แสวงหาความพ้นทุกข์ และยังต้องการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ ผมก็เริ่มศึกษาทางธรรมะมาได้สี่ห้าปีแล้วครับ โดยได้อ่านหนังสือหลายๆเล่มแนวคล้ายๆ ไอสไตน์พบนั่นแหละครับ พยายามปฎิบัติอานาปานะสติแต่ไม่ค่อยเห็นผลครับ คงจะไม่เป็นการรบกวนเกินไปถ้าผมขอถามไปเรื่อยๆนะครับ ด้วยความเคารพครับ

    1. ในปัจจุบันนี้คุณยังแสวงหาความสุขอยู่หรือไม่ เช่น กินข้าวก็ต้องหาร้านอร่อยๆ ต้องไปดูหนังฟังเพลงสนุกๆ แสวงหาความยอมรับนับถือจากผู้คนรอบข้าง ชอบมองสิ่งสวยๆงามๆ ความต้องการทางเพศ
    2. ยังมีจิตที่ฟุ้งซ่าน มีความคิดที่ผิดศีลห้าอยู่หรือไม่ ความคิดและความไร้สติ สามารถควบคุมการกระทำคุณโดยไม่รู้ตัวได้หรือไม่ เช่น เห็นสาวนุ่งสั้น
    ตาก็เหล่ไปมอง โดยไม่รู้ตัว
    3. คุณคิดว่าการดื่มเหล้าจิบๆ เพื่อเข้าสังคมผิดหรือไม่ และการโกหกสีขาว เช่นบอกเด็กว่าอย่าซนนะเดี๋ยวตำรวจมาจับ ผิดหรือไม่
    4. ความคิดที่อยากจะแก้แค้นเอาคืนคนอื่นมีหรือไม่ แค่ความคิดนะครับไม่ต้องถึงกับกระทำ เช่นโดนขับรถปาดหน้า อยากจะไปปาดคืน โดนแซงคิวจ่ายเงิน หรือโดนเอาเปรียบ จะโกรธและต้องการแก้แค้นหรือไม่
    5. มีความกลัวอยู่หรือเปล่า เช่น กลัวตาย กลัวป่วย กลัวเจ็บ กลัวสูญเสียสิ่งที่ตนรัก กลัวความสูง กลัวผู้ร้าย กลัวผี
    6. การทำอานาปนสติ ในแต่ละครั้ง ควรใช้เวลาอย่างน้อยเท่าไหร่ครับ แล้วควรจะต้องทำบ่อยแค่ไหน
    7. คุณ 1082144 มีครอบครัวและลูกหรือไม่ครับ และ คุณคิดว่าการมีครอบครัวเป็นอุปสรรค์ต่อการบรรลุธรรมหรือไม่ และการมีลูกเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่
    8. การกราบไหว้พระพุทธรูป เป็นสิ่งที่สมควรทำหรือไม่ มีอานิสงส์อย่างไร
    9. คุณเห็นด้วยกับพรบ นิรโทษกรรม หรือไม่

    ถ้าเห็นว่าคำถามผมไม่เหมาะสม ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ครับ วันนี้ขอถามแค่นี้ก่อน แล้ววันหลังถ้าคิดอะไรได้ขอรบกวนถามเพิ่มครับ




    ตอบ

    อนุโมทนา คุณ Johny ด้วยนะครับที่แสวงหาทางพ้นทุกข์ และพยายามปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
    ตอบคำถามเลยนะครับ

    1.ยังแสวงหาความสุขอยู่ครับ แต่ก็เป็นไปตามสัญญาเก่าๆ คือ อย่างไปร้านอาหารที่เราเคยไป
    ส่วนการดูหนัง ฟังเพลง อันนี้ยังทำอยู่แต่จะน้อยลง ส่วนใหญ่จะฟังธรรมะ มันอิ่มในอารมณ์
    มากกว่า ในการแสวงหาการนับถืออันนี้ลดน้อยลงมากแต่ต้องยอมรับว่ายังมีมะนะอยู่

    2.จิตยังฟุ้งซ่านอยู่ครับ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าหาบรรลุธรรม โสดาบัน หรือสกิทาคามี แล้ว
    จะมีสติตลอดเวลา ความจิตคือไม่ได้มีสติตลอด ความคิดบางช่วงยังไร้สติ แต่หากจิตมีความ
    สุขหรือทุกข์เกิดขึ้น สติจะตามไปรู้ทันทีเป็นอัตโนมัติ สุข ทุกข์ จะเกิดดับไปเป็นช่วงสั้นๆ
    ลักษณะทุกข์ที่เกิดนั้นจะรู้ถึงการมีสภาพแน่นที่อกอยู่แว่บนึงจะจะหายไปเอง สุขก็เช่นกัน
    สุขจะสั้นกว่าเดิม

    3.อันนี้น่าจะเป็นข้อของศีล ส่วนตัวผมไม่ดื่มเหล้าอยู่แล้ว แต่คิดว่าการดื่มเหล้าเพื่อเข้าสังคม
    อันผมว่าไม่ผิดอะไร ดูที่เจตนาหาไม่ได้เพื่อดื่มไปเพื่อให้ตัวเองขาดสติ ไม่ได้ดื่มไปเพื่อแก้กลุ้ม
    ไม่ทำอันตรายให้ตัวเองและผู้อื่น หรือไม่ให้ไม่ทุกข์ เพราะจิตที่แจ้งแล้วจะรู้ทางที่ดับทุกข์ที่
    ถูกต้องแล้ว

    4.จิตที่อาฆาตอยากแก้แค้น อันนี้ไม่มีแล้วครับ จะถูตัดออกไปตั้งแต่เริ่ม อึดอัดหงุดหงิด อย่างเช่น
    ถ้ามีรถมาตัดหน้า พอมันเริ่มอึดอัด จะถูกตัดทันที ทำให้การกระทำหลังจากนั้นไม่เกิด อันนี้ผมเลย
    เปรียบเทียบเองว่า ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มี อบาย นรก เปรต เดรัจฉาน สิ้นแล้ว เพราะจิตไม่
    เอาทั้งสิ่งดีและไม่ดีเป็นสาระแล้ว

    5.ความกลัวตาย อันนี้หมดสิ้นเชิงครับ เพราะจิตเราเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างล้วนอนิจจัง เชื่อ
    พระพุทธเจ้า ทรงทรงแสดงธรรมไว้มีจริงเป็นจริงทุกอย่าง แม้ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสให้ไปตาย
    ผมก็ไปครับ เรื่องการสูญเสัยของรักอันนี้ไม่กลัว เพราะจิตมันเข้าใจความเปลี่ยนแปลง ความ
    ไม่เที่ยงแล้ว จะเห็นได้ว่าผมพูดถึงความเป็นอนิจจัง บ่อย ก็เพราะว่าของทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนอยู่
    ในกฎไตรลักษณ์ ฉะนั้นทุกเรื่องจิตจะเทียบเคียงเองอัตโนมัติ เข้าใจแล้วเลยปล่อย เลยไม่เอาเป็น
    สาระให้มาทุกข์

    7.ผมมีครอบครัว ภรรยาและลูกสาว ต้องว่าเป็นโชคดีหรือเป็นกรรมจัดสรรก็ไม่รู้ ที่ช่วงเวลา
    เข้าถึงธรรมนั้น ภรรยาเอาลูกสาวไปเลี้ยงอยู่ต่างจังหวัด จึงทให้ผมได้อยู่กับสติได้ทั้งวัน ส่วนการ
    มีครอบครัวนั้นผมว่าเป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม ลำพังการเป็นฆราวาสอย่างเราๆท่านๆ ก็
    เป็นอุปสรรคแล้ว แต่ก็ยังมีข้อดี คือ เพราะสิ่งกระทบกับเราแรงและบ่อย กว่าการเป็นพระ ถ้าเรา
    มีสติมากพอก็จะแจ้งในธรรมได้อย่างรวดเร็ว

    8.การกราบพระพุทธรูป ส่วนตัวผมไม่มีแขวน ไม่มีในรถ ไม่มีสะสม แต่ไปวัดยังกราบไหว้อยู่ครับ
    แต่ใจไม่ได้กราบที่พระพุทธรูปองค์นั้นๆ ใจผมน้อมไปที่พระพุทธเจ้า ยกตัวอย่างนะครับ ผมกราบ
    หลวงพ่อโสธร หรือหลวงพ่อโต ผมไม่ได้กราบที่รูปป้ันนั้น แต่จิตผมเลยไปหาพระพุทธเจ้าแล้ว
    ส่วนอานิสงค์ คือเราลดอัตตาตัวตนของเราลง การก้มกราบใครได้ซักคนจิตเรานั้นต้อง ต้องลดมานะ
    ลงมาที่สุด แต่ส่วนมากผมเห็นคนส่วนใหญ่กราบไหว้ก็หมายไปที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า คิดว่าสิ่งนี้น
    เป็นสิ่งศักสิทธิ์ ก็เลยกราบไปที่สิ่งนั้นๆ จิตไม่ได้น้อมไปที่คุณพระพุทธเจ้าจริง



    .........................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2013
  10. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ตอบคุณ Kaotok

    อนุโมทนาคุณ Kaotok

    ในการปฎิบติกรรมฐาน ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งดี เป็นเหตุปัจจัย ไปถึงที่จุดหมายเดียวกัน
    คือทำพระนิพพานให้แจ้ง สิ่งใดพระพุทธเจ้าตรัสไว้ถูกต้องตรงจริง ทุกประการ
    ผู้มีความเพียรอยู่ นิพพานก็อยู่ไม่ไกล



    เรื่องของศีลมีหลายท่านสงสัย ศีลผมนั้นผมไม่ี้เคยสมาทานศีล และผมก็ไม่ทำผิดศีล
    แต่อาจมีพลาดเหยียบมดหรือแมลงบ้าง แต่ทุกการกระทำผมไม่เคยมีเจตนาที่ทำผิดศีล
    ส่วนก่อนและหลัง เหมือนเดิมน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไปน้อยมาก แต่จะหนักแน่นขึ้น

    อาจจะเห็นว่าผมพูดอวดตนหรอเปล่าเรื่องศีล ที่ไม่ต้องไปให้พระท่านสมาทานศีลให้
    แล้วเราต้องคอยมาระวัง ความเห็นผม ศีล คือ ความปกติ ไม่ใช่หรอ ผมใช้ชีวิตปกติ
    ไม่ได้เบียดเบียนใคร และใจก็ไม่ได้คิดเบียดเบียนด้วย ศีลมันอยู่ ที่ ใจ ไม่ใช่ การ
    สมาทานศีล ทำใจให้ไม่เบียดเบียนใคร เราก็ไม่ผิดศีล และก็ไม่ต้องคอยระวังด้วย


    เรื่องของพระอริยะสงฆ์ จิตผมนอบน้อมท่าน ทั้งหลาย อยู่แล้ว แต่จริตผมเป็นอย่างนี้
    จริงๆ ธรรมพระอริยะสงฆ์ผมฟังมาแล้วทั้งนั้น และเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ผมฟังธรรมะ
    จะหาได้จากไหนถ้าไม่ใช่พระท่านโปรดแสดงธรรมให้ฟัง แต่ตอนที่ผมปฏิบัติ ผมเอา
    คำตรัสของพระพุทธเจ้า ที่ผมเห็นว่า ถูกต้องตรงจริงที่สุด ปฎิบัติแล้วเห็นผล ก็เหมือน
    กับพระอริยะสงฆ์ผู้ถึงธรรมะแล้วทั้งหลาย ท่านก็สอนแนะนำ ให้ลูกศิษย์แนวเดียวกับ
    สิ่งที่ท่านปฎิบัติมาแล้วเห็นผล

    ....................................................
     
  11. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    สาธุธรรมครับ ท่านอินทรบุตร
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สัพเพธัมมานาลัง อภินิเวสายะ - ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
     
  13. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    น่าสนใจ น่าติดตาม ?

    ขออนุญาตครับ

    น่าสนใจ น่าติดตาม ?

    ว่าจะมีอะไร ออกมาแนะนำบ้าง

    จะให้ดี อย่าลืมนำธรรมที่ท่านค้นพบ ไปเปรียบเทียบกับ
    "จิตที่พ้นจากทุกข์" ของท่านลุง "หวีด บัวเผื่อน"
    เพราะ ท่าน เป็นของจริงครับ
    เผื่อจะทราบว่า ตนอยู่ตรงไหน ตนจะต้องไปไหน ตนจะไปอย่างไร

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  14. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    สาธุ ขอบคุณ คุณ Tboon ที่เตือนสติครับ
     
  15. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413
    ขอบคุณลุงมหาสำหรับคำแนะนำครับ

    ตัวผมเองสามารถแนะนำได้แค่ ส่วนที่เป็นประสบการณ์ ที่ตนเคยติดขัด
    และผ่านมา ส่วนในเรื่องเนื้อหาธรรมะ เชื่อว่าหลายท่าน มีปัญญามาก
    อยู่แล้ว ในส่วนธรรมะชั้นลึกไปอีก ผมเองไม่กล้าแนะนำ กลัวจะเป็นการ
    แนะนำผิด เพราะจิตผมยังไม่ได้ผ่านจุดนั้น

    .............................................
     
  16. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    อนุโมทนาสาธุนะครับ อยากฝึกบ้างจริงๆ

    อาณาปานสติ คือรู้สติ รู้ตัวเอง รู้ลมหายใจตลอดเวลาเลย คือเริ่มจากนั่งสมาธิ-ภาวนาก่อนใช่ไหมครับ ใครพอรู้แนะนำผมบ้างที
     
  17. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    คุณเป็นคนมีบุญที่คิดได้ ผิดกับดิฉันและอีกหลายๆคนที่ใช้เวลานานมากในการจะเชื่อ
    หรือศรัทธา และหาคำตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผลให้สอดคล้องกับความเชื่อและเหตุผลทางโลก
    นะคะขอบคุณที่เล่าประสบการณ์ให้ฟังด้วยคะ เพราะนี้แหละที่ดิฉันว่ามีประโยชน์
    ไม่เคยอ่านธรรมะที่ยาวๆแบบนี้ให้จบ แต่กระทู้ของคุณพูดถึงปัญหาเรื่องทุกข์ด้วย
    ทำให้คนอื่นที่มีทุกข์ก็มีกำลังใจว่า ถ้าทำตามก็คงพ้นทุกข์เหมือนกัน

    ดิฉันเองก็เหมือนกันคะพออายุ เข้าเลข 29ก็มีทุกข์ สองเดือนให้หลัง ทั้งๆที่แต่ก่อนไม่เคยทุกข์เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2014
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ johny
    ในพันทิพย์เขาถามเพิ่มเติมดังนี้ครับ ช่วยตอบที (ตอบในนี้ก็ได้ครับอยากฟังเหมือนกัน)

    1. คุณคิดว่าการปฏิบัติอานาปาณสติแบบแท้จริงนั้น สามารถทำใด้ในระหว่างทำงานที่ต้องใช้ความคิดมากเช่นการเขียนรายงาน การคำนวณ และวางแผน ได้หรือไม่ และถ้าได้ควรทำลักษณะไหนครับ 
    2. ที่คุณบอกว่าผู้ปฏิบัติถึงธรรมแล้วจะสามารถ เห็นและเข้าใจภูมิธรรมของผู้ที่มีธรรมต่ำกว่านั้น จริงหรือไม่ คุณสามารถเห็นว่าคนที่เดินไปเดินมาทั่วไป คนไหนเป็นคนดี คนไหนเลว คนไหนมีศีลห้า คนไหนไม่มีศีล โดยไม่ต้องรู้จักเลยได้หรือไม่
     
  19. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413


    มองย้อนไปถ้าผมไม่เจอกับความทุกข์ในตอนนั้น ที่ทุกข์เหมือน
    เจียนตาย นอนอยู่บนที่นอนก็ไม่อยากลุก เหมือนคนไม่มีแรง
    เดินไปนอกบ้านใจหวิวตลอด หันไปทางใดก็ไม่มีที่พึ่ง อยากให้
    ทุกข์นั้นหายไว ๆ แต่มันก็ไม่หาย มีแต่จะเพิ่มขึ้น ดูหนัง ฟังเพลง
    ได้ซักหน่อย จิตมันก็ไปคิดถึงปัญหา สร้างทุกข์ขึ้นมาเองอยู่ร่ำไป
    แต่มองย้อนไปถ้าวันนั้น ไม่เกิดทุกข์สาหัส วันนี้ก็ยังหลงเพลิน
    อยู่ในโลกธรรม ยังมองไม่เห็นความจริงของทุกข์ทุกข์ที่เกิดนั้นมัน
    เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผมไปอย่างสิ้นเชิง แต่การเปลี่ยนแปลงนั้น
    ไม่ทำให้ผมจมในทุกข์ ก็เพราะธรรมะของพระพุทธองค์.. ดับทุกข์ได้จริง


    ผมขอวิเคราะห์ตนเองให้อ่านเผื่อได้ประยชน์บ้างนะครับ

    เมื่อผมเกิดทุกข์หนัก ต้องการหาที่พึ่ง แล้วเชื่อมั่นว่า ธรรมะของพระพุทธองค์
    นี่แหละจะพาผมพ้นทุกข์ได้ จิตตอนนี้ละวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย)

    ผมปฏิบัติอานาปานสติ ด้วยคิดว่า ทางนี้แหละทางเดียวที่จะทำให้ผมพ้นทุกข์ได้
    ไม่คิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ด้วย การสะเดราะห์เคราะห์ หรือรดน้ำมนต์ จิตขณะนั้น
    ละสีลัพพตปรามาส (ไม่คิดว่าจะพ้นทุกข์ได้ด้วย พิธีกรรมใดๆที่งมงาย)

    จะเห็นว่าผมละสังโยชน์ได้ขาดใน 2 ข้อแรก ถ้าอย่างนั้นก็เหลือสังโยชน์เพียง
    ข้อเดียว คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่ากายนี้เป็นของเรา) ได้ก่อนทำ
    ตามมรรควิธีของพระพุทธองค์ และปฏิบัติตามมรรค 8 (มรรค8 นี้สำคัญมาก)

    ต่อไปก็แค่ปฏิบัติตามมรรควิธี สักว่าทำไป ตามพระพุทธองค์... จนเห็นแจ้ง
    ถึงความไม่เที่ยง บังคับไม่ได้ ไม่มีตัวตน คนที่เห็นตรงนี้ สะอื้นทุกคน
    เห็นว่าทำไมเราโง่ติดยึดอยู่ที่ผ่านมา ว่าร่างกาย มันของเรา ... ถ้าเห็นตรงนี้
    ก็ละสังโยชน์ข้อ สักกายทิฏฐิ ได้ พอละได้ 3 ข้อ ข้อสักกายทิฏฐิ สำคัญ
    ต้องเห็นแจ้ง ถ้าเห็นแจ้ง ก็บรรลุธรรมได้ ไม่กลับไปเห็นผิดอีก และไม่ต้อง
    คอยระวังว่าสังโยชน์ที่เราละไปแล้วจะย้อน เกิดอีก เมื่อบรรลุธรรม ละแล้ว
    ก็ละเลย


    ถ้ามองให้ดีไม่ได้ยากเกินกว่าคนธรรมดาจะทำได้เลย แต่เมื่อไหร่บุคคลนั้น
    จะเกิดศรัทธาที่ถูกต้องเมื่อไหร่(ศรัทธาในพระพุทธเจ้า) จะปฏิบัติตามตาม
    มรรควิธีถูกต้องหรือไม่ แล้วมีความพยายามอย่างที่สุดหรือเปล่า ถ้าทุกอย่าง
    ประชุมพร้อม ที่สุดแห่งทุกข์ ก็ไม่ได้ยากจนเกินความสามารถ แล้วก็อย่าเพิ่ง
    ท้อใจไปก่อนครับ คุณเองก็สามารถทำนิพพานให้แจ้งได้ในชาตินี้....


    ...................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2014
  20. xeforce

    xeforce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    140
    ค่าพลัง:
    +413

    ตอบนะครับ
    1.อานาปานสติที่ผมปฏิบัติ ผมปฏิบัติตลอดทั้งวัน เมื่อมีสติมารู้สึกที่ลมนี้
    แต่เว้นเวลาที่ต้องใช้ความคิด และ ตอนขับรถ จะใช้สติรู้ว่าผมทำอะไรอยู่
    เช่น ขับรถ ก็จะทำความรู้สึกว่าขับรถอยู่

    2.ผู้มีภูมิธรรมต่ำกว่าจะเห็นได้ว่าเค้ามีความคิดถูกต้องเป็น สัมมาทิฐิหรือไม่
    เห็นข้อนี้ก็ทราบแล้ว เพราะผู้ถึงธรรมแล้ว แม้ขั้นต้น การกล่าวออกมาทุกอย่าง
    ต้องเป็นสัมมาทิฐิทั้งหมด ไม่มีมิจฉาทิฐิเลย หากเผลอเอามิจฉาทิฐิ ออกมาก็
    จะทราบแล้ว ส่วนภูมิธรรมเสมอกัน ก็ทราบได้แต่ คนนั้นต้องแสดงปฏิปทาออกมา
    เพราะผู้ถึงธรรม จะเหมือนกัน แจ้งสิ่งเดียวกัน แม้มรรควิธีต่างกัน ส่วนคนที่เดิน
    ผ่านมาผ่านไป ไม่สามารถบอกได้ว่าใคร มีภูมิจิตแบบไหน มีศีลครบหรือไม่
    เป็นคนดี คนไม่ดี อันนี้ส่วนตัวผมครับไม่มีญาณหยั่งรู้ใดๆ


    ...........................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...