อารมณ์พระอนาคามีและอารมณ์พระอรหันต์ หลวงปู่ครูบาพรหมจักร

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คนหลงเงา, 15 ธันวาคม 2011.

  1. คนหลงเงา

    คนหลงเงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    71
    ค่าพลัง:
    +541
    อารมณ์พระอนาคามีและอารมณ์พระอรหันต์ หลวงปู่ครูบาพรหมจักร<O:p</O:p
    หลวงปู่ครูบาพรหมจักรและท่านพระครูบาศรีวิชัย<O:p</O:p
    ................................<O:p</O:p
    ที่มาของข้อมูล<O:p</O:p
    หนังสือธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๔ <O:p</O:p
    การพิจารณาอสุภะต้องพิจารณาให้ครบวงจร<O:p</O:p
    พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม<O:p</O:p
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่าน<O:p</O:p
    ................................<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    การพิจารณาอสุภะต้องพิจารณาให้ครบวงจร<O:p</O:p


    <O:p</O:p



    <O:p</O:p

    <O:p</O:p

    เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๔ พ.ค.๒๕๓๖ เพื่อนผู้มาร่วมปฏิบัติธรรมของผมได้ยกเอาคำพูดของผมที่ว่า เมื่อพิจารณาอสุภะแล้วก็ให้พิจารณากลับมาเป็นอสุภะใหม่ มาพิจารณาหาเหตุผลเพื่อให้เกิดปัญญา ท่านบอกว่า ท่านพยายามดูร่างกายของตนเองซึ่งมันไม่มีส่วนไหนที่สวยงามนั้น ให้มันสวยงาม จะดูอย่างไรมันก็ไม่สวย หรือกลับมาสวยได้อีก นี่คือ เรื่องที่เรา ๒ คนจะสนทนาธรรมกันในวันนี้
    <O:p</O:p
    ผมขออนุญาตชี้แจงความสำคัญในการสนทนาธรรมกันในวันนั้นไว้เป็นข้อๆ ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. เพื่อนผมท่านเข้าใจผิดในเจตนาของผม ที่ผมพูดเช่นนั้นผมหมายถึง การพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา มิใช่พิจารณาความสกปรกของร่างกาย ซึ่งถูกของท่านแล้วที่มองร่างกายส่วนไหนมันก็สกปรกทั้งสิ้น จะให้มันสะอาดนั้นก็เป็นไปไม่ได้
    <O:p</O:p
    ๒. ต้นเหตุ ที่ผมพูดธรรมประโยคนั้นออกไปก็เพราะเธอเล่าว่า ก่อนจะกินข้าวได้ปลงอาหารให้เป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา จนเห็นอาหารมันสกปรกไปหมด เลยกินอะไรไม่ค่อยลง ของบางชนิดเลยกินไม่ได้เลย เช่น เนื้อหมูเป็นต้น เพราะมันจะอาเจียน (คิดเหมือนพวกแขกที่อินเดีย ซึ่งไม่ยอมกินเนื้อหมู เพราะเห็นหมูมันมากินขี้ของตนเองทุกวัน)
    <O:p</O:p
    ๓. ผมให้ใช้ปัญญา คือ ธรรมหรือกรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ซึ่งเป็นอริยสัจอันเป็นปัญญาสูงสุดในพุทธศาสนา และมีแต่เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้น (กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ พระพุทธองค์ทรงรู้ถึงต้นเหตุแห่งกรรมนั้น และรู้วิธีดับกรรมนั้นด้วย)
    <O:p</O:p
    ๔. เมื่อปลงหรือพิจารณาอาหารจนเป็นอสุภะ แล้วจิตเราไปยึดว่ามันเป็นอสุภะ ทุกข์ใจก็เกิดขึ้นตรงนั้น(เกิดอัตตาเป็นตัวตนขึ้นทันที) มีใครบ้างที่พิจารณาอาหารจนเห็นเป็นสิ่งปฏิกูลมีหนอนขึ้นเต็มไปหมด แล้วกินสิ่งเหล่านั้นเข้าไปได้ ใหม่ ๆ จะเหมือนกันหมด คือ มีความรู้สึกรังเกียจ บางคนคลื่นไส้จะอาเจียน เพราะไม่พิจารณาต่อไปให้ครบวงจรว่าทุกสิ่งในโลกนี้ล้วนมีวงจร หรือมีวัฏฏะของมันทั้งสิ้น (สสารไม่มีวันสูญหายไปจากโลก วัตถุธาตุใด ๆ ในโลกล้วนประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป วงเวียนกันอยู่อย่างนี้แหละ ไม่สูญหายไปไหนหรอก)
    <O:p</O:p
    ๕. ให้ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไป ว่าโดยธรรมชาติหรือธรรมดาทุกสิ่งในโลกนี้มันก็วนเวียนเป็นวัฏฏะของมันอยู่อย่างนี้แหละ หมูกินขี้คน ขี้เป็นอาหารของหมู หมูชอบมาก แต่เมื่อเข้าท้องหมูแล้ว อาหารนั้นก็เคลื่อนหรือเปลี่ยนสภาวะไปตามลำดับ เครื่องจักรของหมูสามารถเปลี่ยนขี้คน หรือสิ่งปฏิกูลทั้งหลายให้กลายเป็นเนื้อหมูคือเปลี่ยนจากสภาวะหนึ่งมาสู่อีกสภาวะหนึ่งอย่างอัศจรรย์แต่ผู้ที่รู้ความจริงแล้ว ก็ไม่อัศจรรย์เห็นเป็นของธรรมดาหมด
    <O:p</O:p
    ๖. หากดึงโลกมาหาธรรม ด้วยปัญญาทางพุทธ ท่านให้มองทุกสิ่งในโลกเป็นสภาวะธรรมหรือกรรมหมดผมขอไม่อธิบายรายละเอียด เพราะธรรมในพุทธศาสนานั้นเป็นปัจจัตตัง ปฏิบัติถึงแล้วจะรู้ได้ด้วยจิตของตนเอง เฉพาะตนของใครก็ของมันและที่สุดของโลกก็ไม่มีอะไรเหลือเพราะโลกทั้งโลก แม้เทวโลกและพรหมโลกก็ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ผมขอสรุปว่า พระองค์ทรงให้ยึดตัวปัจจุบันเป็นหลักสำคัญ (ธรรมของตถาคตจริงในปัจจุบันเท่านั้น) เวลาเรากินอาหารในปัจจุบัน เรากินเนื้อหมูมิได้กินขี้ มันเป็นคนละสภาวะกัน อย่าเอาอดีตธรรมมาเป็นปัจจุบันธรรม
    <O:p</O:p
    ๗. เพราะอุปาทานของจิตเราเป็นเหตุ จึงต้องแก้ที่อารมณ์จิตของเรา โดยใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา เมื่อเราปลงอาหารให้เป็นอสุภะได้ เราก็ปลงอาหารนั้นให้เป็นสุภะได้เช่นกัน ด้วยปัญญาทางพุทธ และจบลงที่ตัวธรรมดาให้ได้ มิฉะนั้นเราก็ต้องเป็นโรคเบื่ออาหาร ผอมลง ๆ หัวโต ตัวผอมเหมือนกุ้งแห้ง จิตก็เศร้าหมอง หากตายในขณะนั้น ก็มีทุคติเป็นที่ไป เป็นการเบียดเบียนจิตตนเอง แล้วมีผลทำให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น คือ ร่างกายที่เรา หรือจิตมาอาศัยอยู่ชั่วคราวนั้นด้วย ขาดเมตตากรุณา หรือพรหมวิหาร ๔ ผมขออธิบายสั้น ๆ แค่นี้
    <O:p</O:p
    เมื่อเพื่อนของผมท่านเกิดอารมณ์สงสัยขึ้นหลวงปู่ครูบาพรหมจักร ท่านก็เมตตาสอน เรื่องอารมณ์พระอนาคามีและอารมณ์พระอรหันต์ให้ มีความสำคัญดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. ในสายตาของพระอรหันต์นั้นท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่สวยไม่งามมาแล้ว ในสมัยที่ผ่านอารมณ์พระอนาคามีมาแล้ว เห็นรูป รูปก็ไม่เที่ยง แม้เสียง กลิ่น รส สัมผัสก็ไม่เที่ยง สิ่งเหล่านี้อาศัยร่างกายมีอายตนะสัมผัส จึงรับรู้ได้ว่าสิ่งกระทบภายนอกเข้ามาเป็นอย่างไร เช่น ตาเห็นรูป เป็นต้น แต่รูปก็ไม่เที่ยง สวยก็สวยไม่จริง รูปเคลื่อนไปทุกขณะ หูก็ได้ยินเสียง เสียงก็เสื่อมลงไปทุกขณะ จมูกได้กลิ่น กลิ่นก็ไม่คงที่ ลิ้นสัมผัสรส รสก็ไม่เที่ยง หลุดจากโคนลิ้นไปก็หมดรส สัมผัสระหว่างเพศก็ไม่เที่ยง ล่วงเข้ารูทวารไปน้ำกามหลั่งก็หมดสัมผัสสิ่งเหล่านี้อาศัยร่างกายเป็นอายตนะสัมผัสทั้งสิ้น
    <O:p</O:p
    ๒. ทวารทั้ง ๖ ของร่างกาย มันก็เสื่อมอยู่ตลอดเวลา ตาก็เดินเข้าไปหาความเสื่อม หูก็เดินเข้าไปหาความดับ จมูกก็เช่นกัน เดี๋ยวเป็นหวัด หายใจไม่สะดวกอายุยิ่งมากยิ่งหายใจได้น้อยเข้าลิ้นก็เสื่อมความรู้รสน้อยลง ร่ายกายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ปัญญามีอยู่แล้วมันเสื่อมลงทุกวัน
    <O:p</O:p
    ๓. สายตาที่ท่านผ่านพระอนาคามีมาแล้วมองเท่าไหร่ๆ ก็ไม่สวยขึ้นมาได้ จึงตัดกามฉันทะในกามคุณ ๕ ได้ตรงนี้ ความพอใจและไม่พอใจก็เกิด เพราะท่านเห็นธรรมซ้อนธรรม คือ ความสวยก็สวยไม่จริง ความไม่สวยก็ไม่จริง ในธรรมของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสระหว่างเพศหาสาระไม่ได้ เพราะรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมีทั้งดีและเลว เช่นคนด่าอยู่หยก ๆ ประเดี๋ยวก็มาสรรเสริญเสียแล้ว หรือชมอยู่ดี ๆ ประเดี๋ยวก็ด่าแล้ว อารมณ์ท่านจึงวาง เพราะยอมรับกฎของธรรมดา คือ โลกนี้มีธรรมอยู่ ๒ ตัว กุสลาธัมมา กับ อกุสลาธัมมาท่านเห็นปกติของธรรมซึ่งซ้อนอยู่ในธรรม ดีก็ไม่จริง เลวก็ไม่จริง มันมีแต่ธรรมดา
    <O:p</O:p
    ๔. มาอารมณ์พระอรหันต์ท่านเห็นทุกสิ่งเป็นสมมุติหมดเห็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสระหว่างเพศ เป็นเหตุสมมุติอันเกิดจากกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม จิตท่านพ้นสมมุติอันเหล่านั้น การทรงขันธ์ ๕ อยู่ ก็แค่อาศัยปัจจัย ๔ อันพึงมีความจำเป็นที่จะไม่เบียดเบียนร่างกายเท่านั้นจิตท่านพร้อมที่จะทิ้งร่างกาย อันเป็นเหยื่อสมมุติของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมนี้อยู่ตลอดเวลา ท่านเห็นสมมุติที่ไม่เที่ยง แม้กระทั่งลมหายใจ เข้า – ออกจิตพร้อมที่จะไปเมื่อร่างกายหยุดลมหายใจทุกๆ ขณะจิต
    <O:p</O:p
    ๕. การทรงชีวิตอยู่ในสายตาของพระอรหันต์ของสวยไม่มี ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุ ท่านมองเห็นเป็นธาตุหมดอะไรจะมาติดใจท่านไม่มีเลยม่ติดใจแม้กระทั่งขันธ์ ๕ ของท่านเอง เห็นอะไรเป็นธรรมดาไปหมด
    <O:p</O:p
    ๖. ศัพท์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายเมื่อเธอแยกกายออกเป็นอาการ ๓๒ แล้ว พิจารณาเห็นความเสื่อม ความสกปรกของร่างกายได้ตามนั้น ในเมื่อชีวิตอินทรีย์ไม่สิ้นไป ก็จงรวมอาการ ๓๒ นั้น กลับเข้ามาใหม่ทรงหมายถึงเมื่อรู้ว่ามันเสื่อมสกปรก แต่เมื่อมันยังไม่ตาย ก็อย่าไปทำลายมัน อยู่ทำความเพียรไปตามปกติ โดยยอมรับนับถือกฎธรรมดาของร่างกาย เหมือนตอนลงท้ายในมหาสติปัฏฐานสูตร คือ เธอจงอย่าสนใจในกายตนเองและในกายผู้อื่นและวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา ให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย จึงทรงสอนให้เคารพในสัทธรรม ๕ อันพึงเกิดแก่ร่างกายว่าเป็นปกติ และทรงสอนให้เราพ้นทุกข์กันที่จิต คือ พ้นเสียจากการเกาะร่างกายเสียได้ก็พ้นทุกข์
    <O:p</O:p
    ๗.สุขที่อิงอายตนะสัมผัสมันไม่สุขจริงทุกข์ที่อิงอายตนะสัมผัสก็ไม่ทุกข์จริงอาการที่ร่างกายรับสัมผัสนั้นมันมีวิญญาณบอกให้รู้ สัมผัสเป็นปกติธรรมดาของร่างกายยึดไม่ได้ เพราะมันมีแต่ความไม่เที่ยงเป็นปกติ แล้วในที่สุด ร่างกายมันก็ต้องตาย จิตมันออกจากร่างกายไปแล้ว อายตนะทั้งปวงก็หยุดทำงาน เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว จะไปติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทำไมกัน ติดอายตนะภายนอกเท่าไหร่ ก็ติดร่างกายมากเท่านั้น
    <O:p</O:p
    ๘. ขอให้คิดใคร่ครวญดู ทำความเบื่อหน่ายให้เกิดจริง ๆ ทำจิตให้ยอมรับกฎธรรมดาเห็นทุกข์อันเกิดจากการเกาะยึดของอายตนะสัมผัสนั้น ๆ เห็นจนให้เห็นเป็นปกติ ของสวยของดีไม่มี ของไม่สวยไม่ดีก็ไม่มีมีแต่สันตติเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ จิตมันก็จักคลายกำหนัดคือ หมดอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจลงได้ เมื่อนั้นแหละจิตเองก็จะวางจากอารมณ์คู่นี้ หรือธรรมคู่นี้ลงได้ (หมายเหตุ วิญญาณบอกให้รับรู้ในข้อ ๗ ท่านหมายถึงระบบประสาทรับสัมผัสของร่างกาย อันมีประสาทของตา หู จมูก ลิ้น และกาย ศูนย์รวมของประสาทอยู่ที่สมอง แต่ผู้ที่ไปรับรู้เรื่องของสมอง ก็คือจิต ซึ่งเป็นตัวของเราและเป็นของเราตัวจริง)
    <O:p</O:p
    จากนั้นท่านพระครูบาศรีวิชัยก็เมตตามาช่วยสอนต่อ มีความสำคัญ ดังนี้
    <O:p</O:p
    ๑. รู้แล้วก็หมั่นทำความเพียรละสังโยชน์ให้ได้ ก่อนที่ลมหายใจจะหมดด้วย อย่าประมาทกาลเวลา ในโลกมนุษย์นี้สั้นนิดเดียวพยายามใช้ทุกขณะจิตให้มีค่าไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่หลายคนรวมเป็นหมู่ จงหมั่นรักษาอารมณ์ของจิตให้วิเวกสงบอยู่กับศีล สมาธิ ปัญญา มุ่งพระนิพพานให้มากที่สุด
    <O:p</O:p
    ๒. โอกาสที่จะทำความเพียรอยู่ที่กำลังใจของเราเองอย่าเลือกหมู่เหล่า อย่าเลือกสถานที่หากทำไม่ได้ก็จงอย่าโทษใคร โทษจิตของตนเองที่โง่ ไม่ฉลาดหาความวิเวกไม่เป็น
    <O:p</O:p
    ๓. จำไว้ คนที่ปฏิบัติธรรมจะต้องเอาจิตรู้ลมทุกขณะจิต
    <O:p</O:p
    ๔. ค่อย ๆ ทำไป ระเบียบก็ต้องเป็นระเบียบ จะเอาสงบสงัดต้องทำให้ได้เป็นอกาลิโกซิ มันถึงจะเป็นของแท้ ขยันมาก ๆ ก็แล้วกัน มรรคผลมันไม่หนีไปไหนหรอก
    <O:p</O:p
    ๕. เรื่องการกล่าวโทษโจทย์ความผิดของผู้อื่น เลิกกันเสียทีทุกอย่างเป็นกฎของกรรมทั้งสิ้น ใครจะว่าอะไร อะไรมันจะเกิดก็เรื่องของกฎของกรรม เอ็งทำจิตให้ยอมรับเข้าไว้ เห็นธรรมดาของกฎของกรรม ให้เข้าถึงใจ แล้วมันก็จะสบายไปเอง
    <O:p</O:p
    พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม<O:p</O:p
    .............................<O:p</O:p
    ที่มาของข้อมูล<O:p</O:p
    หนังสือธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๔ <O:p</O:p
    หนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น ทุกเล่ม<O:p</O:p
    หาข้อมูลศึกษาได้จาก.......<O:p</O:p
    http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html<O:p</O:p
    ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือหลวงพ่อหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต<O:p</O:p
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ<O:p</O:p
    …………………………………
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 มกราคม 2012
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
  3. Santajitto

    Santajitto เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2010
    โพสต์:
    263
    ค่าพลัง:
    +455
    อนุโมทนา สาธุ ครับ
    โลกนี้ไม่มีอะไร จริงแท้แน่นอน มีแต่จิต ตัวเดียวเท่านั้น คือของจริง
     
  4. อุทยัพ

    อุทยัพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    3,564
    ค่าพลัง:
    +18,112
    [​IMG]

    [​IMG]
     
  5. babaecomputer

    babaecomputer Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +77
    น้อมนำจิตพิจารณา ให้เห็นความจริง ตามความเป็นจริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...