อุปมาความทุกข์ในนรก ความสุขบนสวรรค์

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย จิตสดใส, 1 มีนาคม 2013.

แท็ก: แก้ไข
  1. จิตสดใส

    จิตสดใส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    464
    ค่าพลัง:
    +1,260
    [​IMG]

    ดาวน์โหลด หนังสือ พุทธวจน ภพภูมิ ได้ที่นี่ครับ
    http://www.watnapp.com/book


    ภิกษุทั้งหลาย ! ลักษณะเครื่องหมาย เครื่องอ้า้ง
    ว่าเป็นพาลของคนพาลนี้ มี ๓ อย่าง ๓ อย่าง อย่างไรเล่า ?
    ภิกษุทั้งหลาย ! คนพาลในโลกนี้
    มักคิดความคิดที่ชั่ว มักพูดคำพูดที่ชั่ว มักทำการทำที่ชั่ว
    ถ้าคนพาลจักไม่เป็นผู้คิดความคิดที่ชั่ว พูดคำพูดที่ชั่ว และทำการทำที่ชั่ว บัณฑิตพวกไหนจะพึงรู้จักเขาได้ว่าผู้นี้เป็นคนพาล เป็นอสัตบุรุษ เพราะคนพาลมักคิดความคิดที่ชั่ว มักพูดคำพูดที่ชั่ว และมักทำการทำที่ชั่ว
    ฉะนั้น พวกบัณฑิตจึงรู้ได้ว่า นี่เป็นคนพาล เป็นอสัตบุรุษ.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    คนพาลนั้นนั่นแลประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว
    เมื่อตายไป ย่อมเขา้ ถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูกต้องพึงกล่าวถึงนรกนั้นนั่นแหละว่า
    เป็นสถานที่ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจโดยส่วนเดียว.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เพียงเท่านี้แม้จะเปรียบอุปมาถึงความทุกข์ในนรก ก็ไม่ใช่ง่ายนัก.
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อาจเปรียบอุปมาได้หรือไม่ ?
    ภิกษุทั้งหลาย ! อาจเปรียบได้.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เปรียบเหมือนพวกราชบุรุษจับโจรผู้ประพฤติผิดมาแสดงแด่พระราชาว่า “ขอเดชะ ! ผู้นี้เป็นโจรประพฤติผิดต่อพระองค์ ขอพระองค์โปรดลงอาชญาที่
    ทรงพระราชประสงค์แก่มันเถิด”
    พระราชาทรงสั่งการนั้นอย่า่งนี้ว่า่
    “ท่า่นผู้เ้จริญ ! ไปเถิด พวกท่า่นจงเอาหอกร้อยเล่มแทงบุรุษนี้ในเวลาเช้า” พวกราชบุรุษจึงเอาหอกร้อยเล่มแทงบุรุษนั้นในเวลาเช้า
    ครั้นเวลากลางวัน พระราชาตรัสถามอย่างนี้ว่า
    “พ่อมหาจำเริญ ! บุรุษนั้นเป็นอย่างไร ?”
    พวกราชบุรุษกราบทูลว่า “ขอเดชะ ! ยังเป็นอยู่อย่างเดิมพระเจ้าข้า !
    ” พระราชาทรงสั่งการนั้นอย่างนี้ว่า
    “ท่านผู้เจริญ ! ไปเถิด พวกท่านจงเอาหอกร้อยเล่มแทงมันในเวลากลางวัน” พวกราชบุรุษจึงเอาหอกร้อยเล่ม แทงบุรุษนั้นในเวลากลางวัน
    ครั้นเวลาเย็น พระราชาตรัสถามอย่างนี้ว่า่
    “พ่อ มหาจำเริญ ! บุรุษนั้นเป็น อย่างไร ?
    ” พวกราชบุรุษกราบทูลว่า “ขอเดชะ ! ยังเป็นอยู่อย่างเดิมพระเจ้าข้า !”
    พระราชาทรงสั่งการนั้นอย่างนี้ว่า
    “ท่านผู้เจริญ ! ไปเถิดพวกท่านจงเอาหอกร้อยเล่มแทงมันในเวลาเย็น
    ”พวกราชบุรุษจึงเอาหอกร้อยเล่ม แทงบุรุษนั้นในเวลาเย็น.
    ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
    บุรุษนั้น ถูกแทงด้วยหอกสามร้อยเล่มพึงเสวย ทุกข(ทุกทางกาย)โทมนัส(ทุกทางใจ)เพราะการที่ถูกแทงนั้นเป็นเหตุบ้างหรือหนอ ?
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
    บุรุษนั้นถูกแทงด้วยหอกแม้เ้ล่มเดียวก็เสวยทุกขโทมนัสเพราะเหตุที่ถูกแทงนั้นไ้ด้ ป่วยการกล่าวถึงหอกตั้งสามร้อยเล่ม.
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงหยิบแผ่นหินย่อมๆขนาดเท่าฝ่ามือ
    แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า :-
    ภิกษุทั้งหลาย !
    พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่า่งไรเล่า่ ?
    แผ่นหินย่อมๆ ขนาดเท่า่ฝ่า่มือที่เราถือนี้กับภูเขาหลวงหิมพานต์อย่างไหนหนอแลใหญ่กว่ากัน ?
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
    แผ่นหินย่อมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่ทรงถือนี้ มีประมาณน้อยนัก เปรียบเทียบภูเขาหลวงหิมพานต์แ์ล้วย่อมไม่ถึงแม้ความนับ ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว
    ย่อมไม่ถึงแม้การเทียบกันได้.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันนั้นเหมือนกันแล ทุกข(ทุกทางกาย)โทมนัส(ทุกทางใจ)
    ที่บุรุษกำลังเสวยเพราะการถูกแทงด้วยหอกสามร้อยเล่มเป็นเหตุ เปรียบเทียบทุกข์ของนรกยังไม่ถึงแม้ความนับยังไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ยังไม่ถึงแม้การเทียบกันได้.
    ที่มา หนังสือ พุทธวจน ภพภูมิ หน้า 63

    อุปมาความสุขบนสวรรค์
    ภิกษุทั้งหลาย !
    บัณฑิตนั้นนั่นแล ประพฤติสุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว
    เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง พึงกล่าวถึงสวรรค์นั้นนั่นแหละว่า
    เป็นสถานที่ที่น่าปรารถนาน่ารักใคร่ น่าพอใจโดยส่วนเดียว.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เพียงเท่านี้แม้จะเปรียบอุปมาถึงความสุขในสวรรค์ ก็ไม่ใช่ง่ายนัก.
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! อาจเปรียบอุปมาได้หรือไม่ ?
    ภิกษุทั้งหลาย ! อาจเปรียบได้
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เปรียบเหมือนพระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ
    และความสัมฤทธิผล ๔ อย่า่ง จึงเสวยสุข(สุขทางกาย)โสมนัส(สุขทางใจ)
    อันมีสิ่งเหล่า่ นั้นเป็นเหตุได้.
    (๑) ภิกษุทั้งหลาย !
    พระราชามหากษัตริยใ์นโลกนี้ผู้ทรงได้มุรธาภิเษกแล้ว ทรงสรงสนานพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถในดิถีที่ ๑๕ ซึ่งวันนั้นเป็นวันอุโบสถ เมื่อประทับอยู่ใน
    มหาปราสาทชั้นบน ย่อมปรากฏจักรแก้วทิพย์มีกำตั้งพัน พร้อมด้วยกงและดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่างครั้นทอดพระเนตรแล้วได้มีพระราชดำริดังนี้ว่า
    “ก็เราได้สดับมาดังนี้แล พระราชาพระองค์ใดผู้ทรงได้มุรธาภิเษกแล้ว
    ทรงสรงสนานพระเศียร ทรงรักษาอุโบสถในดิถีที่ ๑๕ ซึ่งวันนั้นเป็นวันอุโบสถ เมื่อประทับอยู่ในมหาปราสาทชั้นบน ย่อมปรากฏจักรแก้วทิพย์มีกำตั้งพัน พร้อมด้วยกงและดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทุกอย่า่ง พระราชานั้นย่อมเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือหนอ”
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ต่อนั้น พระองค์เสด็จลุกจากราชอาสน์ ทรงจับพระเต้าน้ำด้วยพระหัตถ์ซ้าย
    ทรงหลั่งรดจักรแก้วด้วยพระหัตถ์ขวา รับสั่งว่า
    “จงพัดผันไปเถิดจักรแก้วผู้เจริญ จักรแก้วผู้เจริญจงพิชิตให้ยิ่งเถิด”
    ลำดับนั้น จักรแก้ว นั้นก็พัดผันไปทางทิศตะวันออก
    พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคเสนาก็เสด็จตามไป
    พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการอย่างไรเล่า ?
    จักรแก้วประดิษฐานอยู่ ณ ประเทศใด พระเจ้าจักรพรรดิ
    ก็เสด็จเข้าประทับ ณ ประเทศนั้น พร้อมด้วยจตุรงคินีเสนา
    บรรดาพระราชาที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศตะวันออก
    เข้า้มาเฝ้า้ พระเจ้า้จักรพรรดิแล้ว ทูลอย่า่งนี้ว่า่
    “เชิญ เสด็จเถิดมหาราช ! พระองค์เสด็จมาดีแล้ว มหาราช !
    ข้าแต่มหาราช !แผ่นดินนี้เป็นของพระองค์ ขอพระองค์จงสั่งการเถิด”
    พระเจ้าจักรพรรดิรับสั่งอย่างนี้ว่า :-
    “ท่านทุกคนไม่ควรฆ่าสัตว์ ไม่ควรลักทรัพย์ที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่ควรประพฤติผิดในกาม ไม่ควรพูดเท็จ ไม่ควรดื่มนํ้าเมา และท่า่นทั้งหลายจงครอบครองบ้านเมืองกันตามสภาพที่เป็นจริงเถิด”
    บรรดาพระราชาที่เป็นปฏิปักษ์ในทิศตะวันออกเหล่านั้นแล ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนพระเจ้าจักรพรรดิต่อนั้น จักรแก้วนั้นได้พัดผันไปจดสมุทรด้านทิศ
    ตะวันออก แล้วกลับขึ้นพัดผันไปทิศใต้ ... พัดผันไปจดสมุทรด้านทิศใต้
    แล้วกลับขึ้นพัดผันไปทิศตะวันตก ...พัดผันไปจดสมุทรด้านทิศตะวันตก
    แล้วกลับขึ้นพัดผันไปทิศเหนือ ...
    ภิกษุทั้งหลาย ! ครั้งนั้นแล จักรแก้วนั้นพิชิตยิ่ง
    ตลอดแผน่ ดินมีสมุทรเปน็ ขอบเขต แลว้ กลับมาสูร่ าชธานีเดิม
    ประดิษฐานอยูเ่ ปน็ เสมือนลิ่มสลักพระทวาร ภายในพระราชวัง
    ของพระเจา้ จักรพรรดิ ทำใหง้ ดงามอยา่ งมั่นคงอยู่ .
    ภิกษุทั้งหลาย ! ย่อมปรากฏจักรแก้วเห็นปานนี้
    แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    (๒) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมปรากฏช้า้งแก้วอันเป็นช้า้งหลวงชื่ออุโบสถเผือกทั่วสรรพางค์กาย มีที่ตั้งอวัยวะทั้งเจ็ดถูกต้องดี มีฤทธ์ิเหาะได้
    ครั้นพระเจ้า้ จักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นแล้ว ย่อมมีพระราชหฤทัยโปรดปราน
    ว่า่ “จะเป็นยานช้า้งที่เจริญหนอ พ่อ มหาจำเริญ ถ้า้สำเร็จการฝึกหัด”
    ต่อนั้น ช้า้งแก้วนั้นจึงสำเร็จการฝึก หัดเหมือนช้า้งอาชาไนยตัวเจริญ ที่ถูกฝึก ปรือดีแล้วเป็นเวลานาน.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้า้ จักรพรรดิเมื่อจะทรงทดลองช้างแก้วนั้น จึงเสด็จขึ้นทรงในเวลาเช้าเสด็จเวียนรอบปฐพีมีสมุทรเป็นขอบเขต เสด็จกลับมา
    ราชธานีเดิม ทรงเสวยพระกระยาหารเช้าได้ทันเวลา.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ย่อมปรากฏช้างแก้วเห็นปานนี้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    (๓) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมปรากฏม้าแก้วอันเป็นอัสวราชชื่อวลาหก ขาวปลอด ศีรษะดำเหมือนกา เส้นผมสลวยเหมือนหญ้าปล้อง
    มีฤทธิ์เหาะได้ ครั้นพระเจ้าจักรพรรดิทอดพระเนตรเห็นแล้ว
    ย่อมมีพระราชหฤทัยโปรดปรานว่า
    “จะเป็นยานม้าที่เจริญหนอ พ่อมหาจำเริญ ถ้าสำเร็จการฝึกหัด” ต่อนั้น ม้าแก้วนั้นจึงสำเร็จการฝึกหัดเหมือนม้าอาชาไนยตัวเจริญ ที่ถูกฝึกปรือดีแล้วเป็นเวลานาน.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้า้จักรพรรดิเมื่อจะทรงทดลองม้าแก้วนั้น จึงเสด็จขึ้นทรงในเวลาเช้าเสด็จเวียนรอบปฐพีมีสมุทรเป็นขอบเขต เสด็จกลับมาราชธานีเดิม ทรงเสวยพระกระยาหารเช้าได้ทันเวลา.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ย่อมปรากฏม้าแก้วเห็นปานนี้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    (๔) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมปรากฏมณีแก้วอันเป็นแก้วไพฑูรย์ งามโชติช่วง แปดเหลี่ยม อันเจียระไนไว้อย่างดี มีแสงสว่างแผ่ไปโยชน์หนึ่งโดยรอบ.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้า้ จักรพรรดิเมื่อจะทรงทดลองมณีแก้ว นั้น จึงสั่งให้จตุรงคินีเสนายกมณีขึ้นเป็นยอดธง แล้วให้เคลื่อนพลไปในความมืดทึบของราตรีชาวบ้า้นที่อยู่รอบๆ พากันประกอบการงานด้วยแสงสว่า่งนั้น
    สำคัญว่าเป็นกลางวัน.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ย่อมปรากฏมณีแก้วเห็นปานนี้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    (๕) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมปรากฏนางแก้วรูปงาม น่าดู
    น่าเลื่อมใสประกอบด้วยความงามแห่งผิวพรรณอย่างยิ่ง ไม่สูงนัก
    ไม่ต่ำนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่ขาวนัก ล่วงผิวพรรณของมนุษย์ แต่ยังไม่ถึงผิวพรรณทิพย์ มีสัมผัสทางกายปานประหนึ่ง สัมผัสปุยนุ่น
    หรือปุยฝ้า้ย นางแก้ว นั้นมีตัวอุ่นในคราวหนาว มีตัวเย็นในคราวร้อน มีกลิ่นดัง
    กลิ่นจันทน์ฟุ้งไปแต่กาย มีกลิ่นดังกลิ่นอุบลฟุ้งไปแต่ปาก นางแก้วนั้นมีปกติตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังบรรหารใช้(ตรัสสั่ง) ประพฤติถูกพระทัย ทูลปราศรัยเป็นที่โปรดปรานต่อพระเจ้าจักรพรรดิ และไม่ประพฤติล่วงพระเจ้าจักรพรรดิ
    แม้ทางใจ ไฉนเล่า จะมีการประพฤติล่วงทางกายได้.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ย่อมปรากฏนางแก้วเห็นปานนี้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    (๖) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมปรากฏ คหบดีแก้ว ผู้มีจักษุอันเป็นทิพย์เกิดแต่วิบากของกรรมปรากฏ ซึ่งเป็นเหตุให้มองเห็นทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของ ทั้งที่ไม่มีเจ้าของได้เขาเข้า้ เฝ้า้ พระเจ้า้จักรพรรดิแล้ว กราบทูลอย่า่งนี้ว่า่
    “ขอเดชะ ! พระองค์จงทรงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด
    ข้าพระองค์จักทำหน้าที่การคลังให้พระองค์”
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้า้จักรพรรดิเมื่อจะทรงทดลองคหบดีแก้วนั้น
    จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งใหลอยล่องกระแสนํ้ากลางแม่น้ำคงคา แล้ว
    รับสั่งกะคหบดีแก้วดังนี้ว่า “คหบดี ! ฉันต้องการเงินและทอง”
    คหบดีแก้ว กราบทูลวา่
    “ข้า้แต่มหาราช ! ถ้า้เช่นนั้นโปรดเทียบเรือเข้าฝั่งข้างหนึ่งเถิด”
    พระเจ้าจักรพรรดิตรัสว่า “คหบดี ! ฉันต้องการเงินและทองตรงนี้แหละ”
    ทันใดนั้น คหบดีแก้วจึงเอามือทั้ง ๒ หย่อนลงในน้ำ ยกหม้อเต็มด้วยเงินและทองขึ้นมา แล้วกราบทูลพระเจ้าจักรพรรดิดังนี้ว่า
    “ข้าแต่มหาราช ! พอหรือยังเพียงเท่า่นี้ ใชไ้ด้หรือยังเพียงเท่า่นี้
    บูชาได้หรือยังเพียงเท่า่นี้”
    พระเจ้าจักรพรรดิจึงรับสั่งอย่างนี้ว่า
    “คหบดี !พอละ ใช้ได้แล้ว บูชาได้แล้วเพียงเท่านี้”
    ภิกษุทั้งหลาย ! ย่อมปรากฏคหบดีแก้วเห็นปานนี้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    (๗) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมปรากฏ ปริณายกแก้ว ปริณายกนั้นเป็น
    บัณฑิต ฉลาด มีปัญญา สามารถถวายข้อแนะนำให้พระองค์ทรงบำรุงผู้ที่ควรบำรุง ทรงถอดถอนผู้ที่ควรถอดถอน ทรงแต่งตั้งผู้ที่ควรแต่งตั้ง
    เขาเข้า้ไปเฝ้า้พระเจ้า้จักรพรรดิแล้ว กราบทูลอย่า่งนี้ว่า่
    “ขอเดชะ ! ขอพระองค์จงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด ข้าพระองค์จักสั่งการถวาย”
    ภิกษุทั้งหลาย ! ย่อมปรากฏปริณายกแก้วเห็นปานนี้แก่พระเจ้าจักรพรรดิ.
    ภิกษุทั้งหลาย ! พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการนี้.

    พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยความสัมฤทธิผล๔ อย่าง เป็นอย่างไรเล่า ?
    (๑) ภิกษุทั้งหลาย !
    พระเจ้าจักรพรรดิในโลกนี้ย่อมทรงพระสิริโฉมงดงาม น่าดูน่าเลื่อมใส ประกอบด้วยพระฉวีวรรณอันงดงามอย่างยิ่งเกินมนุษย์อื่นๆ
    ภิกษุทั้งหลาย ! พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยความสัมฤทธิผลข้อที่ ๑ ดังนี้.
    (๒) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงพระชนมายุยืน
    ทรงดำรงอยู่นานเกินมนุษย์อื่นๆ
    ภิกษุทั้งหลาย ! พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยความสัมฤทธิผลข้อที่ ๒ ดังนี้.
    (๓) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมเป็นผู้มีอาพาธน้อย ไม่ทรงลำบาก ทรงประกอบด้วยพระเตโชธาตุย่อยพระกระยาหารสม่ำเสมอ ไม่เย็นนัก ไม่ร้อนนัก เกินมนุษย์อื่นๆ
    ภิกษุทั้งหลาย ! พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยความสัมฤทธิผลข้อที่ ๓ ดังนี้.
    (๔) ภิกษุทั้งหลาย !
    ประการอื่นยังมีอีก พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงเป็นที่รักใคร่พอใจ ของพราหมณ์และคหบดี เหมือนบิดาเป็นที่รักใคร่พอใจของบุตรฉะนั้นพราหมณ์และคหบดีก็เป็นที่ทรงโปรดปรานพอพระราชหฤทัยของพระเจ้าจักรพรรดิเหมือนบุตรเป็นที่รักใคร่พอใจของบิดาฉะนั้น.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เรื่องเคยมีมาแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิพร้อมด้วยจตุรงคินีเสนาออกประพาส
    พระราชอุทยาน ทันทีนั้น พราหมณ์และคหบดีเข้าไปเฝ้าพระองค์
    แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า :-
    “ขอเดชะ ! ขอพระองค์อย่ารีบด่วน โปรดเสด็จโดยอาการที่พวกข้าพระองค์ได้ชมพระบารมีนานๆ เถิด”แม้พระเจ้าจักรพรรดิก็ทรงสั่งสารถีว่า
    “สารถี ท่านอย่ารีบด่วน จงขับไปโดยอาการที่ฉัน
    ได้ชมบรรดาพราหมณ์และคหบดีนานๆ เถิด”
    ภิกษุทั้งหลาย ! พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยความสัมฤทธิผลข้อที่ ๔ ดังนี้.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไรเล่า พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการ และความสัมฤทธิผล ๔ อย่างดังนี้ พึงเสวยสุขโสมนัสอันมีสิ่งประกอบนั้นเป็นเหตุบ้างไหมหนอ ?
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
    พระเจ้าจักรพรรดิทรงประกอบด้วยแก้ว แม้ประการหนึ่งๆ ก็ทรงเสวยสุขโสมนัสอันมีแก้วประการนั้นเป็น เหตุได้ จะป่วยกล่า่วไปไยถึงแก้วทั้ง ๗ ประการ และความสัมฤทธิผลทั้ง ๔ อย่าง.
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงหยิบแผ่นหินย่อมๆขนาดเท่าฝ่ามือ แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า :-
    ภิกษุทั้งหลาย !
    พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นอย่างไรเล่า แผ่นหินย่อมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่เราถือนี้กับภูเขาหลวงหิมพานต์อย่างไหนหนอแลมากกว่ากัน ?
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ !
    แผ่นหินย่อมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือที่ทรงถือนี้มีประมาณน้อยนัก เปรียบเทียบภูเขาหลวงหิมพานต์แ์ล้ว่ยอมไม่ถึงแม้ความนับ ย่อมไม่ถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว
    ย่อมไม่ถึงแม้การเทียบกันได้.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    ฉันนั้นเหมือนกันแล พระเจ้าจักรพรรดินี้ ทรงประกอบด้วยแก้ว ๗ ประการและความสัมฤทธิผล ๔ อย่าง ย่อมทรงเสวยสุขโสมนัสอันมี สิ่งเหล่านั้นเป็นเหตุได้ สุขโสมนัสนั้นเปรียบเทียบ สุขอันเป็นทิพย์แล้ว ย่อมไม่ถึงแม้การนับ ย่อมไม่เข้าถึงแม้ส่วนแห่งเสี้ยว ย่อมไม่ถึงแม้การเทียบกันได้.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    บัณฑิตนั้นนั่นแล ถ้ามาสู่ความเป็นมนุษย์ในบางครั้งบางคราว ไม่ว่ากาลไหนๆ โดยล่วงระยะกาลนาน ก็ย่อมเกิดในสกุลสูง คือ สกุลกษัตริย์มหาศาล
    หรือสกุลพราหมณ์มหาศาล หรือสกุลคหบดีมหาศาล เห็นปานนั้น
    อันเป็นสกุลมั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคะมาก มีทองและเงิน อุปกรณ์เครื่องปลื้มใจ และทรัพย์ธัญญาหารอย่างเพียงพอ และเขาจะเป็นผู้มีรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความงามแห่งผิวพรรณอย่างยิ่ง มีปกติได้้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และเครื่องตามประทีป
    เขาจะประพฤติกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ครั้นแล้วเมื่อตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.
    ภิกษุทั้งหลาย !
    เหมือนนักเลงการพนัน เพราะฉวยเอาชัยชนะได้ประการแรกเท่านั้น
    จึงบรรลุโภคสมบัติมากมาย การฉวยเอาชัยชนะของนักเลงการพนันที่บรรลุ
    โภคสมบัติมากมายได้นั้นแลเพียงเล็กน้อยที่แท้แล การฉวยเอาชัยชนะใหญ่หลวงกว่านั้น คือการฉวยเอาชัยชนะที่บัณฑิตนั้น ประพฤติกายสุจริต
    วจีสุจริต มโนสุจริต แล้วตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์นั่นเอง.
    ภิกษุทั้งหลาย ! นี้ภูมิของบัณฑิตครบถ้วนบริบูรณ์.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 56.jpg
      56.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.3 KB
      เปิดดู:
      653
  2. chuchart_11

    chuchart_11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    764
    ค่าพลัง:
    +2,932
    ขออนุโมทนาสาธุ ธรรมใดที่ท่านสำเร็จแล้ว ขอข้าพเจ้าสำเร็จด้วยเทอญ สาธุๆๆ
     
  3. NARKA

    NARKA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,568
    ค่าพลัง:
    +4,560
    ความสุขความทุกข์ที่อุปมา มันก็เป็นสมมุติทั้งสิ้นในทางโลก
    แม้ตายไปสู่ทุกคติหรือสุคติ แต่สุคตินั้นก็คือทุกข์อยู่นั่นเอง
    ต้องพ้นไปจากทุกคติและสุคติ คือ นิพพาน จึงสุขแท้จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...