เกิดความกล้า อาสวะสูญจากใจ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย wisarn, 4 กุมภาพันธ์ 2022.

  1. wisarn

    wisarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    726
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +2,503
    FB_IMG_1643983979014.jpg

    ดับกระแสโลกอย่างสนิท
    .
    ความดับนี้ก็เป็นความดับที่ไม่เคยคาดคิดไว้ก่อนเช่นกัน แต่เป็นความดับที่นิ่มนวล ปรากฏชัดเจนเฉพาะตัวว่าดับอย่างไร ความดับนี้จะดับทั้งภายในและภายนอก คำว่าภายในคือวิญญาณภายในใจ คำว่าภายนอกคือ อายตนะ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย
    .
    เมื่อวิญญาณภายในดับไปอย่างเดียวเท่านั้น สื่อสารแห่งการสัมผัสของอายตนะ คือวิญญาณในตา วิญญาณในหู วิญญาณในจมูก วิญญาณในลิ้น และวิญญาณที่มีอยู่ในร่างกายทั่วไปก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกทันที จะสัมผัสอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่มีวิญญาณในตา ไม่มีวิญญาณในหู ไม่มีวิญญาณในจมูก ไม่มีวิญญาณในลิ้น ไม่มีวิญญาณในกาย และไม่มีวิญญาณในใจ จึงไม่รู้ในการสัมผัสภายนอกคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแต่อย่างใด แม้ใจก็ไม่มีธรรมารมณ์ที่จะรู้
    .
    ในขณะนั้นความเคลื่อนไหวทางกาย ความเคลื่อนไหวทางวาจา และความเคลื่อนไหวทางใจ ก็เคลื่อนไหวในการสัมผัสอะไรไม่ได้เลยเพราะไม่มีวิญญาณรู้ในความเคลื่อนไหว จึงเป็นการดับในวิญญาณอย่างสนิท ความสุขกาย ความสุขใจ และความทุกข์กาย ความทุกข์ใจจะมีมาจากที่ไหนเพราะไม่มีวิญญาณรู้ว่าสุขว่าทุกข์
    .
    คำว่านิโรธคือ ความดับทุกข์ก็อยู่ในช่วงนี้ ความดับที่ได้อธิบายมานี้จะเป็นธรรมชาติเกิดขึ้นเอง ผู้ภาวนามาถึงจุดนี้แล้วจะรู้เฉพาะตัว เรื่องการเกิดขึ้นของวิปัสสนาญาณที่อธิบายผ่านมานั้น จึงเป็นปัจจัยเชื่อมโยงต่อกันกับความดับในลักษณะนี้ โดยไม่มีการทิ้งช่วงแต่อย่างใด มีแต่จะก้าวไปเพื่อจะถึงความบริสุทธิ์เต็มที่
    .
    "รู้" ไม่มีนิมิตหมาย
    .
    ในช่วงขณะความดับในขันธ์และความดับในอายตนะอยู่นี้เอง ความรู้ที่เป็นธรรมชาติรู้ของจิตดั้งเดิมยังปรากฏอยู่ แต่ความรู้ชนิดนี้ไม่เกี่ยวกันกับวิญญาณของอายตนะ และไปรู้ในอายตนะไม่ได้เลย และไม่ไปสัมผัสกับอายตนะอะไร เป็นความรู้ที่ไม่มีนิมิตหมายในอะไรและไม่รู้ในส่วนใดๆ ของรูปธรรม นามธรรม เป็นรู้ที่เป็นเอกเทศอยู่เฉพาะรู้เท่านั้น รู้ประเภทนี้ไม่มีการเอนเอียงไปกับสิ่งใดๆ ของโลกและไม่รู้ในเรื่องของโลกและไม่รู้ในเรื่องของธรรม เป็นรู้อยู่เฉพาะรู้ และไม่รู้ในสมมติใดๆ จึงว่ารู้ไม่มีสมมติโลกเข้าแอบแฝง ความรู้ประเภทนี้ผู้เขียนจะหาคำสมมติเปรียบให้ท่านได้เข้าใจนั้น ยังหาคำสมมติไม่ได้เลย แต่เพียงบอกได้ว่า
    .
    นี้แลคือจิตเดิมที่ว่าเป็นประภัสสร การจะไปวิจัยดูจิตเดิมที่เป็นประภัสสรว่าเป็นอย่างไรนั้น อย่าไปคิดให้เสียเวลา แม้ผู้จะเข้าอรูปฌาน เข้าสมาบัติ ให้จิตมีความสงบมีความละเอียดถึงขนาดไหน ก็จะรู้จิตเป็นประภัสสรอันดั้งเดิมไม่ได้เลย เพราะจิตไม่ได้ละเชื้อแห่งความสกปรกคือ กิเลสตัณหาภายในใจออกไปได้เลย ถึงจิตจะมีความละเอียดในการทำสมาธิ ก็ยังมีเชื้อแห่งความเกิดอยู่นั้นเอง
    .
    เกิดความกล้า อาสวะสูญจากใจ
    .
    เมื่อความดับดังอธิบายมานี้อยู่ได้พอประมาณ ก็มีความกล้าเกิดขึ้นที่ใจ ความกล้าของใจนี้เกิดขึ้น สติก็กล้า ปัญญาก็กล้า ความกล้าของใจนี้ จะทำลายอะไรต้องสำเร็จในชั่วพริบตา ในขณะจิตที่มีความกล้าเกิดขึ้นนั้น วิญญาณในขันธ์ห้า วิญญาณในอายตนะ ก็มีการสัมผัสได้ตามปกติ รู้จักคิดพิจารณาในความกล้า รู้จักในความกล้าภายในใจว่าเป็นลักษณะอย่างไร
    .
    ความกล้านี้เป็นความกล้าที่ทำลายโดยตรง จึงเป็นความกล้าที่ตัดกระแสของโลก ตัดกระแสแห่งความเกิด ตัดกระแสของเหตุแห่งความเกิด ตัดกระแสของวัฏฏะ ตัดกระแสของอวิชชา และตัดกระแสของสามภพให้หมดไปสิ้นไป ที่เที่ยวมาเกิดมาตายอยู่ในโลกนี้ ไม่รู้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ นับชาติไม่ถ้วนประมวลไม่ได้ ก็เพราะใจมีอวิชชาตัณหาพาให้เป็นไป บัดนี้ความกล้าได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมที่จะตัดให้กระแสโลกขาดไปจากใจในช่วงนี้เอง ความกล้านี้ กล้าทำอะไรได้ทั้งนั้น จะนั่งสมาธิกี่วันกี่คืน นั่งได้ทั้งวัน จึงไม่มีอะไรในโลกนี้จะมาขัดขวางความกล้าไว้ได้เลย
    .
    ในขณะนั้นมีความรู้ตัวว่า อาสวขยญาณ ได้เกิดขึ้นแก่ตัวเองแล้ว และรู้ตัวอยู่ว่าอาสวะจะสิ้นไปในขณะนี้เอง เมื่อผู้ภาวนามาถึงจุดนี้แล้ว จะยืนอยู่ก็ตาม จะเดินอยู่ก็ตาม จะนั่งอยู่ก็ตาม จะนอนอยู่ก็ตาม ไม่เป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม อีกในชั่วจริมกจิตเดียวเท่านั้น อาสวะก็ขาดไปในชั่วพริบตา ท่านผู้นั้นจะรู้ทันทีว่า อาสวะได้สิ้นไปในชั่ววินาทีนี้เอง
    .
    --หลวงพ่อทูล ขิปฺปปญฺโญ‎--
     

แชร์หน้านี้

Loading...