เคอคูเดี้ยน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย su_ra, 12 เมษายน 2011.

  1. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    เรื่องราวของ เคอคูเดี้ยน เป็นเรื่องราวของจิตวิญญาณดวงหนึ่งที่สื่อสัญญาณ
    มาและเล่าเรื่องราวผ่าน มีซีน กอนชาเลส วิปเปอร์ เนื้อหาค่อนข้างยาว มีทั้งหมด
    10 ตอน ผมจะทยอยโพสนะครับ มีหลายเรื่องราวที่น่าสนใจและบางชาติภพ ได้
    กล่าวถึงบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ ยิ่งใหญ่ และเรื่องราวของพลังงานที่มัน อาจ
    ช่วยเปิดกว้างด้านความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของพลังงาน


    "ถ้าคุณคิดว่าบางอย่างมันยิ่งใหญ่ไปสำหรับคุณ คุณอาจให้ความสำคัญตัวเองน้อยไปและพลาดบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปจริงๆ"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 1 เคอคูเดี้ยน

    ผมชื่อ เคอคูเดี้ยน นี่เป็นชื่อผมในโลกวิญญาณ ซึ่งผมเป็นวิญญาณระดับการชั้นสูง ความ
    จริงแล้ววิญญาณไม่ต้องการชื่อหรอก แต่เพื่อเป็นการระบุตัวตน ชื่อจะจำเป็นต่อโลกมนุษย์
    ซึ่งมีสิ่งของมากมายและไม่อาจช่วยให้วิญญาณอยู่รวมกันและจดจำซึ่งกันและกันได้

    ผมเคยอาศัยอยู่ในโลกต่างๆ มากมายและหลายภพหลายชาติ ผมเองก็มีชื่อหลายชื่อ แต่
    ขณะนี้วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดได้สิ้นสุดลงแล้ว วิญญาณของผมได้กระทำในสิ่งที่ผมต้อง
    ทำในโลกชั่วคราวเรียบร้อยแล้วการแสวงหาทางจิตวิญญาณของผมสิ้นสุดลงแล้ว


    การเดินทางของวิญญาณเป็นการแสดงจำนวนครั้งของการกลับชาติมาเกิด ซึ่งวิญญาณ
    ได้ผ่านช่วงเวลานี้เพื่อชำระบาป เมื่อการรอนแรมที่พันธนาการได้สิ้นสุดลงวิญญาณจะได้รับ
    การเสนอทางเลือก วิญญาณอาจอยู่ในระดับใดของภพภูมิก็ได้ ตามที่ระดับการวิวัฒนาการ
    ที่เตรียมไว้ หรือไม่ก็จะกลับมายังมนุษย์ตามที่เลือกไว้ หรือไม่ก็อาจเป็นผู้นำกลุ่มวิญญาณ
    โดยรวม เขาอาจทำเช่นนั้นในด้านความกล้าหาญ ความสุข ความศรัทธา ความหวัง ความรัก
    ใคร่ หรือคุณงามความดีที่ช่วยให้มนุษย์โลกเอาชนะต่อสัญชาตญาณฝ่ายต่ำ


    เมื่อมนุษย์ได้เสร็จจากแสวงหาทางวิญญาณ ผมถูกเสนอให้เป็นฑูตนำความโศกเศร้าแก่
    มนุษย์ ภารกิจนี้เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ เพราะประสบการณ์จากความโศกเศร้าทำให้มนุษย์
    มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการชำระบาประดับสูงได้ ถ้าวิญญาณที่นำพาความโศก
    เศร้าทำภารกิจของตนลุล่วงไปด้วยดี ผู้ที่ได้รับประสบการณ์ก็จะได้รับยารักษาบรรเทา
    ความพ่ายแพ้ เมื่อมนุษย์น้อมรับความโศกเศร้าโดยดี มนุษย์ก็จะมีความก้าวหน้าในวิถีทาง
    ของการพัฒนาจิต และขึ้นไปสัมผัสแสงแห่งพระเจ้า การถูกเสนอให้ทำภาพกิจนี้ถือว่าเป็น
    เกียรติอย่างยิ่ง แต่ตัวผมเองไม่เคยยอมรับความเจ็บปวดได้เลย สิ่งนี้จึงเป็นบทเรียนอัน
    แสนสาหัสที่ผมต้องเรียนรู้ บางที่สิ่งนี้อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้ทุกข์ทรมานแสนสาหัส
    ผมก็จะเล่าเรื่องของผมต่อไป


    เมื่อครั้งที่ผมได้รับคำเสนอให้เป็นฑูตแห่งความโศกเศร้านั้น ผมเองได้ปฏิเสธหน้าที่นี้ไป
    วิญญาณอาจจะเลือกที่จะยอมรับหรือปฏิเสธภารกิจที่หัวหน้าเสนอมาได้ เพราะสิ่งนี้ถือเป็นความ
    สมัครใจ ผมคิดว่าตัวเองใจแข็งไม่พอที่จะนำพาความโศกเศร้าได้ แต่เมื่อผมได้รับโอกาสที่จะ
    กลายเป็นที่มาของแรงบันดาลใจของมวลมนุษย์ทั้งหมด ผมก็มีความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก
    ผมรู้สึกว่าต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จ และผมยอมรับความท้าทายอันนี้อย่างไม่รั้งรอ


    ผมจำเรื่องราวครั้งแรกของตนเองได้อย่างชัดเจน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบนดาวเคราะห์ดวงที่
    3 ที่ชื่อว่า โซลาริส คนที่อาศัย ณ ที่นี้เรียกตัวเองว่า เทร่า (ดิน) ซึ่งเป็นชื่อสสารที่พวกเขาได้ก่อ
    กำเนิดขึ้นมา จิตวิญญาณที่เรียกผมนั้นอยู่ ณ ดินแดนอันกว้างไกล ที่เราเรียกในตอนนี้ว่าอาณาจักร
    รัสเซีย เธอมีชื่อว่าแอนนา


    แอนนา เป็นมนษย์ที่เปราะบาง ขี้โรคและอ่อนแอ คนรอบข้างจึงไม่สนใจและเพิกเฉย แต่
    เธอได้รับเลือกให้เป็นตัวอย่างของคนในโลกทั้งหมดและแหล่งแห่งความปีติยินดี ผมได้มาอยู่
    ข้างๆเธอ เมื่อเธออายุ 9 ขวบ ผมยังจำหิมะที่ตกหนักปกคลุมเมืองเซ็นปีเตอร์เบิร์กของฤดูหนาว
    ทุกปี และภาพของแม่น้ำซึ่งกลายเป็นน้ำแข็งก่อนที่ใบไม้จะเริ่มร่วงหล่นจากต้น ผมมองไป
    พร้อมๆ กันแอนนา ในขณะที่เกล็ดหิมะตกโปรยปราย เหมือนน้ำตานางฟ้าที่ร่วงหล่นมาจาก
    ท้องฟ้ามืดครึ้มดำทะมึนเต็มพื้นถนนทุกสายที่คราคร่ำด้วยฝูงชน โดยมีเสียงอึกทึกของม้าและ
    ผู้คนที่เร่งรีบ ความบริสุทธิ์ของหิมะที่เรามองเห็นถูกเหยีบย่ำกลายเป็นเถ้าถ่านจากรองเท้า
    ของผู้ที่สัญจรไปมา และรถม้าจากพระราชวังที่ผ่านหน้าไป ทำให้เห็นแสงวาววับจากเสื้อ
    คลุมที่ประดับประดาด้วยกระดุมทองเหลืองและขนสัตว์เอสทราและขนหมี ใบหน้าของพวก
    เขาดูหยิ่งทะนงโดยสวมหมวกทหารขนสัตว์ติดมงกุฏแซมด้วยขนนก


    นัยน์ตากลมโตที่เคลือบความโศกเศร้าคล้อยมองตามขบวนทหารขณะที่เหล่าทหารเดิน
    ผ่านไป ภาพเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกสนใจมาก ผมน่าจะเป่าลมเบาๆ ที่ผมของเธอ หรือริบบิ้น
    ที่ติดอยู่บนเสื้อเธอ เธอมักจะส่ายหัวหรือไม่ก็แต่งริบบิ้น และเมื่อเธอเหลือบมองอีกครั้ง เหล่า
    ทหารก็เดินลับไปจากมุมตรงนั้นเสียแล้ว


    ไม่มีใครสนใจแอนนาหรอก ผมเป็นเพื่อนเธอเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่บนตึก 2 ชั้นที่อยู่
    เหนือถนน จริงๆ แล้วแอนนาไม่เห็นผมหรอกเพราะผมเป็นฑูตวิญญาณ เธอไม่มีโอกาสได้
    เห็นผมเลย หน้าที่ผมต้องกระทำต่อเธอก็คือ ให้เธอเชื่อในคำแนะนำที่ผมจะกระซิบผ่านหูซึ่ง
    เป็นความคิดเพียงแวบเดียว ไม่ว่าเมื่อใดที่เธอสงสัยว่าความคิดเหล่านั้นได้โพล่งออกมาจาก
    ความคิดที่ไม่คุ้นมาก่อน นับว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่เธอเลือกที่จะยอมรับคำแนะนำที่ผมจะสื่อ
    ผ่านใจเธอหรือไม่ก็ได้ สิ่งนี้สำคัญทีเดียวเพราะภารกิจของผมต้องการทำให้เหมาะสมตาม
    กฏแห่งพระเจ้าที่ควบคุมจิตใจของมนุษย์


    เมื่อแอนนาอายุ 10 ขวบ เธอป่วยหนักมาก ปอดของเธอไม่แข็งแรง และเมื่อฤดูหนาว
    2 - 3 ครั้งที่ผ่านมานั้น เธอป่วยหนักเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคปอดบวมที่รุนแรง
    เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นั้นเกือบคร่าชีวิตของเธอไปแล้ว ผมไม่เคยห่างกายเธอเลยแม้ว่าหลังจากที่
    หมอหวังว่าเธอจะหายป่วย แม่ของเธอจึงหยุดร้องไห้ ผมยังอยู่เคียงข้างเธอและกระซิบพูดความ
    รู้สึกที่ดีและคำอ่อนหวานให้เธอฟังผมเล่าเทพนิยายจนเธอติดใจ และผมก็เตือนเธอหลายครั้งว่า
    เธอจะแข็งแรงสามารถเอาชนะความเจ็บป่วยของตัวเธอเองได้ และเธอจะต้องหายเพราะว่าเธอ
    มีสิ่งสำคัญมากที่ต้องกระทำ


    หลายเดือนต่อมา ในที่สุดเธอก็หายจากอาการเจ็บป่วยเป็นครั้งแรก แอนนาอยู่บนเตียงและ
    อยากรับประทานอาหาร แม่ของแอนนาที่นั่งสัปหงกข้างๆ เธอเกือบจะล้มตกมาจากเก้าอี้ หมอ
    หลายคนบอกว่าแอนนาเกือบจะไม่รอดชีวิต บ้านของเธอได้เคยกลายเป็นโรงพยาบาลบ้าของคน
    เสียสติมาแล้ว แม่ของแอนนาขอซุปผักกาดให้ลูกสาวรับประทานเพื่อบำรุงปอด แต่คุณยายได้
    แนะว่าหลานควรรับประทานมันฝรั่งต้มกับซอสแอปเปิ้ล แต่แม่ไม่ได้ทำตาม แอนนาเลยรับ
    ประทานซุปผักกาดที่ราดด้วยครีมเปรี้ยว 2 ชามเต็ม


    หลังเกิดเหตุการณ์วิกฤติครั้งนี้ ครอบครัวต่างดูแลเอาใจใส่แอนนาอย่างใกล้ชิด เธอได้รับ
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ ฉันกระซิบบอกแอนนาให้เธอขอร้องแม่เรื่องหนึ่ง คำขอนี้ก็คือ การ
    เข้าเรียนที่ Imperial Ballet School การเต้นบัลเลย์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รัก
    ของทุกคน จักรพรรดิและกษัตริย์ก็อาจยอมวางผืนแผ่นดินแทบเท้าเธอ มีแต่ความต้องการของ
    เธอเท่านั้นที่จะทำให้เกิดมนต์เสน่ห์แห่งการเต้นแก่โลก เธอสามารถเดินทางรอบโลกด้วย เรียก
    ว่าที่เดินไหวและเร้าความรู้สึกอันสูงส่งให้แก่ทุกคนที่เห็นเธอ ความมุ่งร้าย ความเกลียดชัง ความ
    อิจฉาริษยา และภาพลวงตาของปิศาจทั้งปวงจะยอมสยบหลีกลี้แทบเท้าเธอ เธอสามารถใช้คุณ
    ความดีของศิลปะโน้มนำจิตวิญญาณอนันตาบาลของมวลมนุษย์ไปสู่อัครสถานของพระเจ้า


    แม่ของแอนนาไม่สามารถปฏิเสธคำขอของลูกสาว ซึ่งยากที่จะกลับสู่ประตูแห่งความตายอีก
    ไม่กี่เดือนต่อมา แอนนาเริ่มเรียนที่ Imperial Ballet School จากการที่
    เพื่อนๆ ของครอบครัวแอนนาได้ติดต่อกับราชวงศ์โรมานอฟส์ ตอนนั้นเธออายุย่าง 11 ขวบ


    ในช่วง 8 ปีต่อมา ผมอยู่เคียงข้างกับแอนนามาโดยตลอดผมเป็นแรงบันดาลใจให้กับเธอ
    และทำให้จิตใจของเธอเข้มแข็งต่ออุปสรรคนานัปการที่เธอต้องเผชิญ การต่อสู้แข่งขันดูจะยากขึ้น
    และเมื่อแอนนาปรากฏตัวที่รัสเซียเมื่ออายุ 18 ปี ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีแววเอาเสียเลย แต่ผมไม่ได้
    ปล่อยให้เธอท้อแท้ ผมอยู่เคียงข้างเธอทั้งวันทั้งคืน คำพูดของผมทำให้จิตใจเธอแข็งแกร่งเดินทางไป
    สู่ชัยชนะตัวผมเองเป็นผู้จุดประกายไฟความทะเยอทะยานให้กับเธอ ในที่สุดแอนนาก็ได้รับเชิญใน
    การเดินทางไปแสดงศิลปะการเต้นแถบสแกนดิเนเวีย นับเป็นคืนแรกที่เธอต้องเต้นรำนอกประเทศ
    รัสเซียถัดจากสแกนดินีเวียเธอเดินทางไปอังกฤษ และต่อจากนั้นได้ไปประเทศอื่นๆ ในยุโรปและ
    อเมริกา ชื่อเสียงของเธอกึกก้องไปทั่วโลกศิลปะการเต้นรำที่เหนือชั้น ความอ่อนช้อยในแต่ละท่วงท่า
    ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนท่องเมืองสวรรค์ของเหล่าเทวดานางฟ้าและวิญญาณบริสุทธิ์ การเดินทางไป
    แสดงช่วงสั้นๆ นั้นสร้างความตื่นเต้นแก่ความรู้สึกของแต่ละคน และนำไปสู่ดินแดนที่สูงส่ง ซึ่งความ
    รู้สึกอันเลวร้ายได้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขอันล้นพ้น วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วิญญาณแต่ละตน
    ได้เห็นแสงอันเรืองโรจน์ของเทพอมตะและอยากจะพำนักบนสวรรค์ชั้นฟ้าที่เรืองรองนั้น เมื่อกลับมา
    สู่โลก ผมจึงมีประสบการณ์ที่จะยืนหยัดและช่วยเหลือมนุษย์หลายหมู่เหล่าให้พ้นจากความทุกข์โศกเศร้า
    และนี้ก็เป็นการสิ้นสุดของภาระหน้าที่ของผมที่มีต่อ แอนนา พาวโลวา
     
  3. สกั๊ง

    สกั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +131
    "ถ้าคุณคิดว่าบางอย่างมันยิ่งใหญ่ไปสำหรับคุณ คุณอาจให้ความสำคัญตัวเองน้อยไปและพลาดบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ไปจริงๆ"
    ประโยคนี้โดนผมมากๆเลย โดยเฉพาะขณะนี้
    ขอ จด จำ และนำไปใช้หน่อยนะครับ
    นี่ก็เป็นข้อมูลใหม่สำหรับผม ...มารอรับความรู้ฮะ ขอบคุณ
     
  4. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ยินดีครับ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
     
  5. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 2 บทเรียนเริ่มต้น

    มีระบบดาวเคราะห์ที่มีดวงอาทิตย์ 3 ดวง เรียกว่า Ixistar อยู่เหนือกลุ่มดาวลูกไก่
    ระบบนี้มีดาวเคราะห์ 14 ดวง แต่ละดวงจะเคลื่อนที่รอบวงโคจร 3 วง ของรอบดวงอาทิตย์
    3 ดวง นับเป็นภาพที่น่าตกตะลึงเมื่อได้มองเห็นจากจุดศูนย์กลางของรบบสุริยะ Ixistar
    ดาวเคราะห์แต่ละดวงหมุนครบรอบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ และเมื่อถึงจุดสูงสุดซึ่งเป็นจุดที่
    ไกลที่สุดจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราห์ก็จะหยุดผละออกมาจากวงโคจรนี้ และเริ่มโคจรรอบดวง
    อาทิตย์ดวงใหม่ เมื่อถึงจุดสิ้นสุดต่อไปก็จะหยุดผละออกไปยังดวงอาทิตย์ที่ 3 ก่อนที่จะกลับมา
    โคจรเหมือนเดิม ดวงอาทิตย์ทั้ง 3 ดวง มีระยะห่างไกลเท่ากัน เป็นรูป 3 เหลี่ยมอยู่บนท้องฟ้า
    ดาวเคราะห์จะหมุนรอบดวงอาทิตย์ในแต่ละจุด ไม่มีดาวเคราะห์ดวงไดที่จะเคลื่อนที่บนวงโคจร
    เดียวกันเลย และโคจรสวนกันจากดวงอาทิตย์หนึ่งไปยังอีกดวงหนึ่ง และจากวงโคจรหนึ่งไปยัง
    อีกวงหนึ่ง Ixistar เป็นระบบสุริยจักรวาลที่สามารถมองเห็นได้ชัดมากที่สุดในกาแล็กซี่


    ดาวเคราะห์ดวงแรกที่เดินทางรอบดวงอาทิตย์ 3 ดวง ดวงแรก มีชื่อว่า เฟอร์ซาห์ Firzanh
    เป็นดาวดวงเล็กและสวยงามมาก พื้นผิวดาวประกอบด้วยทองแดงที่สลับกันกับร่องที่กว้างใหญ่
    ของอะลูมิเนียม ดาวดวงนี้เต็มไปด้วยสินแร่ และจากรอยแตกที่มีแสงสว่างเรืองๆ เราสามารถพบ
    มรกตและเพชรฝังอยู่เนื่องจากดาวดวงนี้อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ 3 ดวงบรรยากาศจึงร้อนมากเกิน
    กว่าพืชและสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ สิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนี้มีรูปร่างส่วนใหญ่เป็นก๊าซหรือแร่ธาตุ เพอร์
    ซ่าร์เป็นดาวดวงแรกที่วิญญาณของผมมีประสบการณ์ครั้งแรกบนโลกมนุษย์

    วิญญาณใหม่ทั้งหมดเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ พวกวิญญาณมาที่โลกมนุษย์โดยไม่รู้ว่าชีวิตและการใช้
    ชีวิตนั้นจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของวิญญาณก็คือ เรียนรู้เรื่องราวจากโลกมนุษย์ที่ปรากฏเป็นสสาร
    และอยู่เพื่อชำระบาป มีวิญญาณเพียงเล็กน้อยที่จะสามารถทำหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงได้ในการกลับ
    ชาติมาเกิดในครั้งแรก โลกมนุษย์มีมวลหนาแน่น และมีพลังงานสั่นสะเทือนที่รุนแรง วิญญาณที่
    มาเกิดส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากสสารและทำให้เกิดการขาดการติดต่อจากดินแดนแถบสวรรค์
    ซึ่งเป็นที่วิญญาณได้อาศัยอยู่ที่นี่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะวิญญาณทั้งหมดต้องใช้ชีวิต
    มนุษย์ ซึ่งถูกตัดขาดจากโลกวิญญาณ ทำให้วิญญาณเกิดใหม่ลืมภาระหน้าที่และต้นกำเหนิดที่แท้จริง

    เมื่อสิ้นสุดการเป็นมนุษย์ในแต่ละชาติ วิญญาณจะได้บทเรียนใหม่ๆ ถ้าวิญญาณทำให้ตนเองมีพลัง
    อำนาจมากเกินไปจากโลกมนุษย์ผลที่ตามมาก็คือวิญญาณได้ฝ่าฝีนกฎแห่งจักรวาล วิญญาณก็ต้อง
    เจอบทเรียนเดิมๆ จนกว่าจะไม่มีการฝ่าฝืนกฎแห่งจักรวาล


    บทเรียนแรกที่ผมต้องรับรู้คือความเจ็บปวด วิญญาณจะมีภูมิคุ้มกันต่อความเจ็บปวด เพราะวิญญาณ
    มีความสมบูรณ์ในตัวเองความเจ็บปวดเป็นความรู้สึกที่บกพร่องในโลกมนุษย์ วิญญาณรู้จักความ
    เจ็บปวด แต่ร่างกายไม่รู้จักความรู้สึกเช่นนี้ ยังเป็นสิ่งที่น่าสงสัยข้อเท็จจริงนี้ แต่พลังแห่งสสารและ
    หลักฐานแสดงความรู้สึกที่เด่นชัดใด้นำให้สิ่งนี้รู้สึกสับสน ร่างกายของคนเราเชื่อว่าสิ่งที่เราได้เห็นได้
    รับรู้เท่านั้นคือสิ่งที่เป็นจริง ดังนั้นคนเราจึงต้องเจ็บปวดไม่ว่าจะในเรื่องทางจิตใจหรือร่ายกาย


    ผมสัมผัสกับความเจ็บปวดตั้งแต่เริ่มการเป็นมนุษย์ ในชาติแรกผมได้เกิดมาบนดาวเฟอร์ซาห์ ผมมี
    ร่างกายที่บางละเอียดเป็นก็าซร่างกายของผมนั้นหากจะเรียกตามที่ได้บอกไปแล้วนั้น จะประกอบด้วย
    ก็าซไฮโดรเจน ฟอสฟอรัสและนีออน รูปร่างของผมเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ทำให้ผมมีรูป
    ร่างเป็นเมฆเรืองแสงสีทอง มีริ้วลายสีเงินตรงกลาง วิญญาณอื่นๆ ก็มีรูปลักษณ์ส่วนประกอบเหมือน
    ผม แต่มีความแตกต่างอย่างไม่จำกัด ยิ่งวิญญาณตนไดมีความเฉลียวฉลาดซับซ้อนมากเท่าไหร่
    สีต่างๆ บนกายก็จะเพิ่มมากขึ้น ดวงอาทิตย์ทั้ง 3 ดวง จะส่งประกายรังศีเหมือนสีรุ้งที่มีสีสัน


    ไม่มีสิ่งได้กำเหนิดในดาวเฟอร์ซาห์ ชีวิตเกิดขึ้นมาเองโดยทันทีจากการับรู้และความเข้าใจ เพื่อพร้อม
    ที่จะเข้าร่วมอยู่ในสังคมที่ตนเองสังกัดอยู่ วิญญาณของผมห่อหุ้มด้วยก็าซ 3 กลุ่ม ส่วนจิตของผมอยู่ภายในนิเคลียส


    ความรู้สึกแรกคือความเจ็บปวด เพราะไม่รู้ว่าผมเป็นใคร อยู่ที่ใหน ผมเลยไปหาสิ่งที่มีชีวิตเหมือนผม
    ที่จะสามารอธิบายความเปลี่ยนแปลง ที่ผมกำลังเป็นอยู่ การสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ กับตัวเราเองการ
    ทำเป็นรูปธรรม แต่ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก อะตอมของวิญญาณตนหนึ่งไม่ได้ตอบรับกับตัวผม
    แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ได้รับข้อความที่สมบูรณ์และเร็วทันใจ


    ความรู้สึกอย่างที่สองก็คือ ความเจ็บปวดทางกายที่แสนทุกข์ทรมานที่รุนแรงและอึดอัดไปหมด ร่างกาย
    ของผมต้องเจ็บปวดแสนสาหัสที่แทรกด้วยอาการกำเริบอย่างรุนแรง ครั้งหนึ่งผมรู้สึกว่าผมได้เห็น
    เพื่อนคนหนึ่ง ร่างกายอันบางเบาของเขาบอกกับผมว่า ความเจ็บปวดนี้เกิดจากความดันของก็าซภาย
    ในนิวเคลียสของตัวผมเอง ในที่สุดผมจะเรียนรู้ที่จะทำตัวให้กลมกลืนความเจ็บปวด แต่เขาเข้าใจผิด
    ตลอด 300 ปี ที่ผมมีร่างกายเป็นไอก็าซ ผมรู้สึกว่าความเจ็บปวดไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย และไม่เคย
    จะทำตัวให้ความกลมกลืนกับความเจ็บปวดนี้ได้เลย ไม่มีสิ่งไดที่สามารถบรรเทาปลอบโยนได้เลย
    ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนวิญญาณที่ทนทุกข์ทรมานเหมือนกัน เวอร์ดิกริส เป็นเพียงผู้ปลอบโยนบรรเท่าทุกข์
    เท่านั้นบนดาวเฟอร์ซาห์

    ภารกิจของผมบนดาวเฟอร์ซาห์นั้นเริ่มขึ้นทันทีที่ผมได้รับรู้ว่ามีตัวตนขึ้นมา ภาพกิจอันนี้ก็คือ การ
    ทำให้ร่างกายครั้งที่ 2 บนดาวดวงนี้ดำเนินกิจกาารต่อไป ซึ่งร่างกายเป็นของแข็งเกิดจากก้อนหิน
    โลหะ และสารอื่นๆ มีมีลักษณะคล้ายคลึงกับร่างกายแบบนี้จะทำปฏิกิริยากับบุคคลอื่นๆ เช่นกัน
    สามารถเคลื่อนใหว สืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ และสามารถขยายตัวและเติบโตได้ รูปร่างแบบนี้
    สามารถเคลื่อนใหวข้ามหน้าผาของดาวเคราะห์ด้วยความเร็ว ขนาดทำให้หัวหมุนได้ แม้ว่า
    วิญญาณพวกนี้จะอยู่ในรูปของแข็ง แต่ก็มีแสงสว่างอย่างไม่น่าเชื่อ แร่ธาตุที่มีชีวิตจนบนดาว
    เฟอร์ซาห์นั้นดูสวยงดงามประณีต แต่มีความฉลาดน้อยกว่ามนุษย์เรา ถึงแม้มนุษย์จะมีสติ
    ปัญญาเหนือกว่าแต่ก็ต้องพึ่งพาร่างกาย เนื่องจาการเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องได้สร้างก็าซทีช่วย
    ในการดำรงชีวิตได้


    หลายครั้งหลายคลาที่ผมถามตัวเองว่าทำไม่เผ่าพันธุ์ของผมต้องการมีชีวิตด้วย ถ้าต้องทนทุกข์
    ทรมานจากความเจ็บปวดที่ทำให้หมดแรงอ่อนเพลีย แล้วคำภามนี้ก็มีคำตอบไว้แล้วเช่นกันก็คือ
    ว่า ความเจ็บปวดเป็นการแสดงถึงความรู้สึกทางกาย อันที่จริงแล้วสิ่งนี้ไม่ได้ปรากฎอีกครั้งที่
    วิญญาณของผมเองซึ่งถูกกระตุ้นที่จะเอาชนะความทุกข์โศก ไม่ยินดียินร้ายต่อความเจ็บปวด
    และหลุดพ้นจากความเจ็บปวดนี้ แต่ผมไม่เคยทำได้เลย วิญญาณของผมยังอ่อนหัดเกินไปและ
    ต้องเรียนรู้การควบคุมปฏิกิริยาทางร่างกาย


    หน้าที่ของผมบนดาวเฟอร์ซาห์ก็เหมือนกับวิญญาณอื่นๆที่ต้องเดินทางข้ามดาวดวงนี้ เพื่อกระตุ้น
    ให้ร่างกายเป็นแร่ธาตุเคลื่อนไหว เติบโตสืบพันธุ์ สิ่งเหล่านี้เกิดจากแรงดันบนพื้นผิวดาวเคราะห์
    ที่วิญญาณอาศัยอยู่


    ทางตอนเหนือของดาวเฟอร์ซาห์ พื้นผิวดาวจะเป็นก้อนหินที่สวยงามมีสีสินในรูปแบบที่ประณีต
    การมองเห็นสิ่งสวยงามทำให้ผมสับสน เพราะเผ่าพันธุ์ของเราไม่รู้จักที่จะแสดงความรู้สึกชื่นชม
    หรือเข้าใจต่อความต้องการได้ แม้ว่าจะมีสิ่งสวยงาม แต่บางสิ่งในตัวผมรู้สึกผิดหวังที่จะได้รับการ
    ดึงดูดจากสถานที่แห่งนี้ และผมก็อยากจะสัมผัสสิ่งเหล่านี้ทางร่างกายเสียจริง


    ผมกลับมาที่สวยงามแห่งนี้อยู่บ่อยๆ ซึ่งที่นี่ก้อนหินจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ ก้อนที่เปลี่ยนไปจะ
    สวยกว่าอันเดิม เมื่อมีโอกาสผมจะลงมาที่พื้นผิวแห่งนี้อย่างรวดเร็ว แต่จนถึงบัดนี้ผมได้แต่สังเกต
    จากเบื้องบนเท่านั้น ร่างที่เป็นก็าซของผมสามารถแผ่ออกไปคล้ายกับเมฆสีทองเหนือก้อนหินที่สวย
    ที่สุดเหล่านี้ได้ และผมได้สัมผัสก้อนหินอย่างอ่อนโยน ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นโดยทันที และไม่อาจจะ
    บรรยายให้ใครฟังได้ ร่างกายของผมสั่นกระตุกและผมรู้สึกเหมือนจะสูญเสียการรับรู้ชั่วคราวไป
    ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นเป็นประจำซึ่งผมเคยมีก็หายเป็นปลิดทิ้ง
    แล้วผมก็ดีดตัวออกจากก้อนหินด้วยความกลัว แล้วความเจ็บปวดก็กลับมาอีกพร้อมกับความโกรธ
    ของตนเอง มันราวกับว่าการที่ความเจ็บปวดหายไป ทำให้เกิดการกระตุ้นที่เจ็บปวดครั้งใหม่


    ก้อนหินที่ผมสัมผัสได้แกว่งขยับโอนเอนและสีที่สว่างได้ส่องแสงอย่างเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น สีสันที่ส่อง
    กระพริบเป็นจังหวะเปล่งสีเป็นกลุ่มควันสีเขียวและสีเงิน ที่ลอยอย่างช้า มาที่ผม สิ่งนี้เป็นร่างกายใหม่
    ของสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากตัวผม โดยเกิดจากการสัมผัสแค่ชั่วคราวกับก้อนหิน และนี่ก็คือวิธีที่เวอร์ดิกริส
    ได้เข้ามาพัวพันในชีวิตผม


    นับตั้งแต่นั้นมา ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีก ตลอดที่ผมเกิดบนดาวเฟอร์ซาห์ ผมได้ติดต่อกับสมาชิก
    เผ่าพันธุ์เดียวกันที่สื่อโดยโทรจิต ในการติดต่อนั้น ผมไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลย การติดต่อที่กระทำ
    กันมาจากความรู้สึกทางปัญญาซึ่งจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมด้วย แต่เวอร์ดิกริสเกิดจากการรับรู้
    ของผม ผมได้รู้ซึ้งถึงความหมายในชีวิตจากเธอ เพราะผมได้แบ่งปันทุกสิ่งทุกอย่างกับเธอทั้งชีวิตและวิญญาณ

    เมื่อผมเห็นเธอในครั้งแรก ผมรู้สึกอยากติดต่อกับเธอขึ้นมาในทันที และการสัมผัสของเธอได้ซึมซับ
    ความปลื้มปีติในวิญญาณของผม เวอร์ดิกริส ทำให้เพื่อนพวกเดียวกันกับฉันเจ็บปวด การติดต่อกับ
    เธอนั้้นแสนอ่อนหวานและอ่อนนุ่ม และเพียบพร้อมด้วยความอ่อนโยนที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ วิญญาณ
    ของเธอส่งแสงเหมือนอัญมณี เป็นแสงของแก้วผลึกที่สองแสงจากก้อนหินที่เคยให้ชีวิตเธอ ความเจ็บ
    ปวดในตัวผมยังไม่ได้สูญสลายไปในขณะที่ได้พบกับเธอ แต่ทำให้ผมอดทนมากกว่าเดิม


    เพียงชั่วครู่เดียว เวอร์ดิกริสและตัวผมก็ไม่สามารถแยกจากกันได้ เราเดินทางไกลมากและปฏิบัติ
    ภารกิจร่วมกันเพื่อสร้างชีวิตใหม่แต่เราสองคนไม่เคยกลับมายังสถานที่ที่เธอได้ถือกำเหนิดขึ้นอีกเลย
    เมื่อเวอร์ดิกริสเกิดมา เธอมีความหมายต่อชีวิตผมบนดาวเฟอร์ซาห์มาก ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของ
    เราได้เพิ่มมากขึ้นตามกาลเวลาที่ล่วงเลยไป และหลังจากได้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว เราจะรวมร่างเป็น
    อันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อเพิ่มพลังของเรา แต่สิ่งนี้ไม่ใช่การรวมร่างทางกามารมณ์ ไม่มีใครรู้จักความ
    รู้สึกเช่นนี้ แต่การวามร่างแบบนี้จะมีอำนาจมากกว่าการรวมร่างกายธรรดาๆ สิ่งนี้เป็นการระบุวิญญาณ
    ของเรา เป็นการหล่อหลอมความเป็นตัวเราเข้าด้วยกันรวมทั้งความคิดและร่างกายเข้าด้วยกัน


    จริงๆแล้วเวอร์ดิกริสไม่ได้มีเชื้อสายเหมือนผม ความเจ็บปวดที่ปรากฏหลอกหลอนพวกเราตลอดมา
    เป็นพลังที่ทำให้เผ่าพันธุ์ของเราดำเนินต่อไป เวอร์ดิกริสไม่รู้จักความเจ็บปวด ร่างกายของเธอห่อหุ้ม
    ด้วยลมหมุนที่ประกอบด้วยแร่เงินและมรกต ซึ่งเป็นชีวิตที่มีความสุขอย่างน่าอัศจรรย์ และเป็นสิ่งที่เรา
    รับรู้ว่าสวยงามบนดาวดวงนี้


    ผมไม่รู้ว่าผมเห็นความอ่อนแอของพลังของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ผมรู้สึกได้ตอนที่เราร่วมร่างกัน วิญญาณ
    ของเธอไม่ได้สั่นสะเทือนในระดับความถี่เหมือนเดิม ความแข็งแกร่งของเธอเริ่มจางหายไปกับความ
    อ่อนโยนซึ่งได้บ่งบอกถึงลักษณะของเธอทั้งหมด บางสิ่งบางอย่างในตัวผมเริ่มสั่นสะเทือนด้วยความกลัว
    เวอร์ดิกริสก็รู้สึกเช่นนั้นแล้วความสุขของเธอก็ลดน้อยเป็นเวลาชั่วครู่หนึ่ง แต่ความสุขนี้ก็ได้เริ่มใหม่
    เป็นครั้งที่สอง และเพิ่มมากว่าเดิม เธอบอกผมว่า "อย่ากลัวไปเลย" เราจะพบกันอีกครั้งในชาติหน้าในอีกภพหนึ่ง


    ตั้งแต่นั้นมา ร่างของเธอก็เริ่มจางหายไป จนในที่สุดเธอก็หายสาปสูญไป ผมไม่รู้จะบรรยายความรู้สึก
    ในตอนนั้นได้อย่างไรผมเคยบอกแล้วว่าเผ่าพันธ์ของเราไม่มีอารมณ์ความรู้สึก แต่เวอร์ดิกริสได้สร้าง
    ความรู้สึกใหม่ๆในตัวผม และเร่งกระตุ้นวิญญาณของผม วิวัฒนาการบางอย่างในตัวผมดูเหมือนจะ
    ล้มหายตายจากไปเมื่อไม่มีเธอ ความเจ็บปวดที่รุนแรงดูเหมือนจะล้มหายตายจากไปเมื่อไม่มีเธอ
    ความเจ็บปวดที่รุนแรงดูเหมือนจะลดน้อยลง ผมได้กลับมาที่นี่เมื่อหนึ่่งร้อยปีก่อน ผมเคยได้สัมผัสกับ
    พื้นผิวก้อนหินและที่นี่เองที่เวอร์ดิกริสได้ปรากฏขึ้น ทัศนียภาพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงก้อนหินต่างๆ
    หายไปกลายเป็นทะเลทองแดงหลอมเหลวอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยคลื่นสีเหลืองอำพันกระทบกับเส้นของฟ้า


    ผมทะยานตัวพุ่งไปจุดที่สูงที่สุดของจักรวาล และสลายตัวท่ามกลางอากาศ ก็าซต่างๆที่เคยประกอบเป็น
    ร่างผมกระจายแตกตัวอย่างรวดเร็ว โดยเป็นแสงริ้วลายแวววาวระยับสีทองและสีเงินความเจ็บปวดที่
    เป็นประหนึ่งเพื่อนสนิทบนดาวเฟอร์ซาห์ก็ได้มลายสิ้นไปพร้อมกับความตายของผม


    ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆในเผ่าพันธุ์เดียวกันจะเห็นการจากไปของผมหรือไม่ แต่ผมรู้ว่าพวกเขาไม่ได้โศกสลด
    อาลัยถึงผมหรอก บนดาวดวงนี้ทุกคนไม่มีความรู้สึก


    ผมไม่ได้ทำลายตัวเองเพระความเจ็บปวดทางกาย แต่เป็นความเจ็บปวดทางจิตวิญญาณ การปฏิเสธ
    ลงโทษตัวผมให้รับกรรมโดยมีชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้ง และเรียนรู้บทเรียนชีวิตเดิมจากการเกิดในหลายๆ ชาติ


    ถ้าผมรู้ราคาแห่งบทเรียนผมก็อยากจะชดใช้ เนื่องมาจากกระทำที่หุนหันพลันแล่น ผมน่าจะลองใช้
    ชีวิตด้วยความโศกเศร้าผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ผมได้ทรมานมาถึง 300 ปี กับความทุกข์ทางกายที่รุนแรง
    ที่พอจะนึกออกได้ ถ้าการที่ผมจะทำลายชีวิตตนเองหรือปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันไม่ใช่เพราะ
    ความขลาดกลัว แต่เป็นเพราะขาดความรัก หลังจากที่ผมได้ร่วมชีวิตกับเวอร์ดิกริส ผมไม่สามารถจะ
    มีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากไม่มีเธอ


    มันช่างเป็นภาพลวงตาที่โงเขลา ผมต้องชดใช้การกระทำของตนอย่างขื่นขมเพียงได ผมต้องทนทุกข์
    กับความเจ็บปวดมากเท่าใหร่ และผมต้องเกิดอีกกี่ชาติ แล้วอีกกี่หลายร้อยปีที่ผมจะได้พบเวอร์ดิกริสอีกครั้ง
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เดี๋ยวจะรออ่านตอนต่อไปต่อนะครับ

    .....................................
     
  7. วสุธรรม

    วสุธรรม พลังรักอมตะ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    2,323
    ค่าพลัง:
    +8,220
    ขอเป็นกำลังใจแก่ท่านเจ้าของกระทู้อีก1คน
    ขออนุโมทนา ครับ
     
  8. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ;aa49

    เข้ามาทักทาย และให้กำลังใจ คุณ su_ra จ้า
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวของเคอคูเดี้ยนนะคะ
    ตามอ่าน
    อยู่ค่ะ


     
  9. mawmee

    mawmee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +622
    มาตามอ่านด้วยคนค่ะ(f)
     
  10. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 3 คู่แท้ต่างภพ

    วิญญาณมากมายต้องกลับมาเกิดในหลายชีวิตและหลายภพชาติ เพื่อต้องการชำระบาป สิ่งนี้
    ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณเกิดหลายชาติเหมือนกันและเวลาที่ตรงกันในโลกวิญญาณ
    วิญญาณบางตนต้องการกลับมาเกิดใหม่หลายครั้งมากกว่าวิญญาณอื่นๆเพื่อทำให้วัฏจักรการ
    เรียนรู้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ การที่่วิญญาณไม่สามารถเรียนรู้บทเรียนใดบทเรียนหนึ่งวิญญาณต้อง
    มาเกิดใหม่เหมือนชาติเดิมๆ หลายครั้งจนกว่าบทเรียนพิเศษที่ว่านี้จะได้ถูกกระทำโดยสมบูรณ์


    ดังที่ผมได้กล่าวมาก่อนแล้วนั้น บทเรียนชีวิตที่หนักหนาสาหัสที่สุดที่ผมต้องเจอก็คือ ความโศกเศร้า
    ทุกข์ระทมตลอดช่วงหลายร้อยปีนับไม่ถ้วน ผมจำต้องเกิดมาในช่วงที่แตกต่างกัน และเผชิญเหตุการณ์
    ที่ทรมานใจและการฆ่าตัวตายจากทีตนเองพยายามที่จะหลบหนีในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้


    ความสิ้นหวังที่ทำให้ตัวเองฆ่าตัวตายบนดาวเฟอร์ซาห์นั้นเป็นบทเรียนราคาแพง ตอนผมตายผมรู้
    แต่เพียงว่าผมได้ตกลงไปในสิ่งที่ผมอยากจะอธิบายว่าเป็นการหลับที่สนิท หลังจากนั้นผมก็ตื่นด้วย
    ความรู้สึกที่มีแรงและมีพลังงานใหม่ทดแทน ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเท่าไร และไม่รู้
    จักสถานที่ที่ตนเองฟื้นขึ้นมาเลย ต่อมาผมรู้ว่าได้นอนเป็นเวลา 2,000 ปีในเวลาโลกมนุษย์ และเป็น
    สถานที่ซึ่งผมรู้ว่าตัวเองคือ วิญญาณในภพที่สองของโลกวิญญาณ

    สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อตื่นขึ้นมานั่นก็คือ ผมหงายตัวลอยบนท้องฟ้าอวกาศที่กว้างใหญ่ ร่างของผม
    เหมือนมีชีวิตในดาวเฟอร์ซาห์ผมได้พบวิญญาณ 2 ตนที่ไม่รู้จักมาก่อน ทั้งสองตนถูกห่อหุ้มด้วย
    หมอกควันที่สว่างโร่ จากคำพูดที่สะท้อนจากใจผมนั้น พวกเขาบอกผมว่าเขาสองคนเป็นฑูตทาง
    วิญญาณของผม โดยพวกเขาเป็นวิญญาณที่ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า เพื่อช่วยปรับตัวกับภพ
    ใหม่ของผมเอง คำถามต่างๆ ที่ถูกเผาไหม้เสมือนเม็ดไฟประทุในจิตใจผมนั้นได้รับคำตอบก่อนที่
    ผมจะพูดเสียอีก จากการติดต่อทางโทรจิตผมได้รับรู้การดับชีวิตตนเองบนดาวเฟอร์ซาห์ไม่ได้ถูกลง
    บันทึกไว้ใน Trianic Record เนื่องจากการกระทำที่หุนหันพลันแล่นนั้นสืบเนื่องมา
    จากความรักต่อผู้อื่น และความรักเป็นสิ่งสูงสุดในจักรวาล แต่ฑูตทั้งสองอธิบายต่อไปว่า บทเรียนที่
    ผมปฏิเสธนั้นผมจะยังคงต้องเรียนรู้อยู่เหมือนเดิม


    พวกเขาได้อธิบาย "The Trianic Record" เป็นรายชื่อบัญชีการละเมิดฝ่าฝืนกฎ
    สำคัญแห่งจักรวาล 3 ข้อ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอิสระหรือการกลับชาติมาเกิด กฎ 3 ข้อนั้นเป็นกฎง่ายๆ


    ข้อแรก ก็คือว่า วิญญาณต้องไม่กระทำหรือแสดงตัวเป็นใหญ่ในจักรวาล แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า
    ข้อสอง กล่าวว่า วิญญาณจะต้องไม่หลีเลี่ยงวิวิฒนาการความก้าวหน้าของวิญญาณโดยหลีกเลี่ยงเรียนรู้ประสบการณ์ และ
    กฎข้อสาม กล่าวว่า ประเภทของประสบการณ์อย่างเช่น รูปลักษณ์ทางกายจะต้องไม่ถูกทำลายโดยเจตนา


    กฎ 3 ข้อนี้ ยังมีกฎย่อยอีก 3 ข้อซึ่งไม่ได้เป็นกฎเกณฑ์แต่เป็นแหล่งปัญญาที่จะนำไปสู่พลังแห่ง
    พระเจ้า ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง สุดท้ายของการปรับเปลี่ยนพัฒนาตนเอง

    กฎย่อยข้อ แรกกล่าวว่า การเลียสละเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น เป็นเครื่องชี้นำการเข้าถึงการตรัสรู้สำหรับวิญญาณที่ได้รับรู้ระดับวิวัฒนาการ ซึ่งวิญญาณนั้นได้ประกอบจากส่วนต่างๆ
    กฎย่อยข้อที่ สองก็คือว่า การยอมรับต่อการปรากฏในร่างต่างๆ เป็นที่มาของการอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งเป็นคุณความดีที่มีค่ามากที่สุดและนำไปสู่ความสุขได้
    กฎย่อยข้อที่ สาม ได้กล่าวว่า ความรักจะนำไปสู่การเกิดเผ่าพันธุ์ใหม่และความเป็นเอกภาพ รวมทั้งเป็นทางไปสู่พระเจ้า


    กฎหลัก 3 ข้อและกฎย่อย 3 ข้อ จะถูกส่งไปยังวิญญาณ เมื่อพระเจ้าได้ประกาศออกไป แต่เราจะลืม
    กฎเหล่านี้ไปเมื่อกลายเป็นมนุษย์และเติบโตตามวิถีชีวิต พระเจ้าซึ่งคือพระผู้สร้างหรือผู้ครอบครอง
    จักรวาล ได้แสดงตัวพระองค์ในรูปวิญญาณต่างๆ หรือมีจุดประสงค์ในการเรียนรู้ประสบการณ์
    วิญญาณแต่ละตนเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ และในที่สุดวิญญาณแต่ละตนกลับมาและทำให้วัฏจักร
    แห่งประสบการณ์ และในที่สุดวิญญาณแต่ละตนจะกลับมาและทำให้วัฏจักรแห่งประสบการณ์เสร็จ
    สมบูรณ์แล้ว วิญญาณจะได้ชำระบาปตามวิถีทางการวิวัฒนาการ


    ผมอยากรู้ว่าทำไม่ผมยังอยู่ในสภาพเดิม เมื่อผมจำการฆ่าตัวตายบนดาวเฟอร์ซาห์ ทูตวิญญาณที่ผม
    รู้จักชื่อ เจเรไม และ โจแอ็บ นั้นได้อธิบายเหตุผลที่ผมยังเห็นตัวเองมีรูปร่างหน้าตาเหมือนดวงดาว
    เฟอร์ซาห์ เพราะว่าเป็นทางเดียวที่ผมจะรู้จักตัวเอง ความเจ็บปวดที่ผมต้องทนทุกข์ตลอดเวลาหลาย
    ร้อยปีได้หมดสิ้นไปเนื่องจากสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผมต้องทนทุกข์ในชาตินั้น


    เมื่อผมถามถึงเวอร์ดิกริส แสงพร่ามัวที่ล้อมรอบทูตทั้งสองคนก็เริ่มมีสงบริบหรี่อ่อนนวลขึ้น พวกเขา
    บอกผมว่า ตามกฎแห่งธรรมชาติของจักรวาลนั้น ทุกสิ่งจะมีคู่ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขั้วบอกกับ
    ขั้วลบ ชายกับหญิง ตรงใจกลางของอะตอมโปรตอน และอิเล็กตรอนจนถึงสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาขั้นสูงสุด
    นั้น สิ่งที่ปรากฏทั้งหมดจะมีประจุต่างกันในความสมดุลที่ผสมผสานกลมกลืนกัน จากการรวามตัวที่
    สมบูรณ์ก่อให้เกิดแสงแห่งชีวิต วิญญาณคู่แฝดหรือเพื่อนร่วมวิญญาณ ซึ่งรวมตัวจากความรักที่เหมือน
    อะตอมหรือพระเจ้านั้นจะมี 2 เพศในร่างเดียว เพราะวิญญาณที่ถูกเชื่อมโยงไว้จะมีทั้งเพศชายและ
    เพศหญิง ดังนั้นจากสภาพตามธรรมชาติ วิญญาณที่มี 2 ร่างนั้นจะประกอบด้วยพลังดีและร้าย มีทั้ง
    หญิงและชายอยู่ในโลกมนุษย์ วิญญาณจะถูกแยกชั่วคราวเป็น 2 ส่วน เพื่อว่าแต่ละตนจะได้เรียนรู้
    ประสบการณ์ และตระหนักถึงความสำคัญของการรวมตัวเป็นเอกภาพ บ่อยครั้งที่พบว่าวิญญาณใน
    ส่วนของผู้หญิงกลับมาเกิดเป็นผู้ชาย หรือเกิดในทางกลับกัน ซึ่งได้สร้างความเจ็บปวดและความ
    วุ่นวายของวิญญาณที่อยากรู้เพศที่แท้จริงของตน หลังจากการกลับชาติมาเกิด ซึ่งเป็นช่วงที่วิญญาณ
    แต่ละส่วนจะฝังตัวเองอยู่ในโลกมนุษย์เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพตัวเองและชำระบาปนั้น วิญญาณแต่ละ
    ส่วนก็จะสามารพบกันและรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งชั่วนิรันดร์


    แต่โลกมนุษย์นั้นมีพลังมาก และในที่สุดวิญญาณแต่ละฝ่ายที่กลับชาติมาเกิด แต่ละส่วนจะถูกห่อหุ้ม
    ด้วยร่างกายและชีวิตใหม่ ทำให้ลืมร่ายกายที่แท้จริงไป บ่อยครั้งที่สิ่งนี้ทำให้ยากที่จะรวบรวมจดจำ
    ประสบการณ์ตลอดชีวิตทั้งหมดได้

    สิ่งหนึ่งที่วิญญาณไม่เคยลืมว่าตนเองนั้นยังไม่สมบูรณ์ ส่วนหนึ่งในร่างกายได้ขาดหายไป นี่จึงเป็น
    สาเหตุว่าทำไม่จึงใช้เวลานานมากกว่าวิญญาณจะกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณจะค้นหาคู่แฝด
    ที่หายไปอย่างต่อเนื่อง และจะสนใจต่อบุคคลที่เตือนใจเขาถึงวิญญาณคู่แฝดที่แท้จริง แต่การค้นหานี้
    ไร้ประโยชน์ นับเป็นเรื่องยากมากที่วิญญาณคู่แฝด 2 ร่างจะกลับมาเกิด ณ สถานที่เดียวกันและเวลา
    ตรงกัน เหตุกาณ์นี้ได้เกิดขึ้นความสนใจก็จะเกิดขึ้นในทันทีและโดยรอบ แม้ว่าวิญญาณคู่แฝดทั้ง 2
    ร่างจะไม่ทราบเหตุผลถึงความใกล้ชิดกัน แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะมีวิญญาณเพียงดวงเดียวเท่านั้นที่จะ
    กลับมาเกิดในขณะวิญญาณคู่แฝดอีกหนึ่งดวงจะอยู่ในโลกวิญญาณ


    โจแอบและเจเรไม่บอกว่า เวอร์ดิกริสเป็นวิญญาณคู่แฝดของผม เป็นวิญญาณอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ
    เมื่อผมได้สัมผัสก้อนหินในดาวเฟอร์ซาห์ เวอร์ดิกริสนั้นรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่ไม่อาจทนทานได้ ต่อการ
    กลับชาติมาเกิดและได้อยู่เคียงข้างผม แต่การที่เธอทำเช่นนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎจักวาลข้อแรก เพราะ
    ว่าเราจะไม่พบกันในเวลาหลายชาติ ดังนั้นเธอไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อพระเจ้า แต่ทำเพื่อใครคนหนึ่ง
    ซึ่งก็คือตัวผมนั้นเอง จากสาเหตุนี้และจากที่ผมได้จบชีวิตก่อนเวลา เราทั้งสองจำต้องพลัดพรากจาก
    กันนานแสนนานจนกว่ากฎแห่งจักรวาลที่เราฝ่าฝืนได้ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่


    ทันทีที่ผมเข้าใจถึงสิ่งนี้ ผมรู้สึกขมขื่นใจมาก ผมได้ถามว่า ผมจะต้องทอนเวลาให้น้อยลงเท่าที่ผมจะ
    ต้องพรากจากเวอร์ดิกริสทันใดนั้นผมก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผมจะหยุดคำถามโดยการ
    ยอมรับและเชื่อฟัง


    ต่อจากนั้นผมจะได้เกิดในภพใหม่ที่ผมสามารถพัฒนาวิญญาณบทเรียนชีวิตบทใหม่ที่รอคอยผมอยู่
    คือการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกโดยเฉพาะอย่างยิ่งความโศกเศร้าและความเจ็บปวด


    ผมได้รับชีวิตใหม่ที่เปี่ยมด้วยความสูงส่ง โดยต้องการถูกทดสอบไม่ว่าจะหนักหนาเพียงใดก็ตาม
    เพื่อให้ถึงเวลาที่รวมจิตวิญญาณกับเวอร์ดิกริสได้เร็วขึ้น แต่ฑูตวิญญาณมองดูความตื่นเต้นของผม
    อย่างเย็นชา เขาสองคนกล่าวว่า "คุณยังเป็นวิญญาณที่ยังเด็กมาก จงควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่น
    ชีวิตในภพหน้าของคุณจะยากลำบากมาก และมีสิ่งยั่วยุมากมาย คุณอย่ายอมแพ้ต่อสิ่งเหล่านี้ แต่ผม
    แทบไม่ได้ฟังเลย ผมอยากจะไปเกิดใหม่ให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้เพื่อว่าผมจะได้ใปสู่ช่วงเวลาที่มีค่า
    เมื่อตอนที่ผมได้อยู่กับเวอร์ดิกริสอีกครั้งหนึ่ง"


    การถือกำเนิดของผมในภพหน้านั้นจุติ ณ ระบบดาวแห่งหนึ่งซึ่งรู้จักกันในชื่อ วาร์เนียร์ (Varmya)
    ดาวกลุ่มนี้จะโคจรรอบดาวดวงใหญ่สีแดงสุกใสที่มีชื่อเดียวกันโดยอยู่ในขั้นที่แตกสลาย เมื่อสิ่งนี้เกิด
    ขึ้น ดวงดาวก็จะระเบิดอย่างรุนแรง และพลังมหาศาลจะถูกดูดซับภายในตัวดวงดาวเอง ทำให้เกิด
    พลังที่มีอำนาจซึ่งไม่อาจอธิบายได้ โดยได้ทะลวงผืนอวกาศทำให้เปิดหลุมที่นำไปสู่จักรวาล จักรวาล
    เหล่านี้จะมีภพของสิ่งมีชีวิตแตกต่างกันไป โดยเป็นส่วนหนึ่งของโลกวิญญาณมีหลุมจักววาลนับล้าน
    แห่ง และหลุมที่ว่าเป็นทางไปสู่โลกวิญญาณต่างๆ


    ดวงดาวที่ผมได้จุติในชาติที่ 2 คือ ดาวดวงที่เจ็ดถัดจากวาร์เนีย ซึ่งก็คือดาวเดล (Del) แม้ว่า
    ดาวดวงนี้จะอยู่ห่างไกลมากจากดาวที่สาบสูญไปแล้ว แต่แสงสีแดงที่เปล่งออกจากดาววาร์เนียยัง
    ทรงอำนาจมากจนแสงได้สาดส่องไปทั่งดาวเดล ทั้งเวลากลาววันและกลางคืน บรรยากาศบนดาว
    ดวงนี้เป็นสีแดงเพลิงสดใสจนทำให้ทุกสิ่งพบพื้นผิวดาวกลายเป็นสีแดงเพลิง พื้นผิวของดาวเดล
    ประกอบด้วยแร่เหล็ก โมลิบเดนัม (ธาตุโลหะคล้ายเงิน) และธาตุที่ 3 คือ ไทรเทียมซึ่งแสงสีแดงของ
    มันทำให้ดาวเดลมีบรรยากาศคล้ายสีเลือด ไทรเทียมมีนิวเคลียสที่มีน้ำหนักมากกว่ายูเรเนียมแต่มีค่าเสถียรมากกว่า


    พื้นผิวทั้งหมดของดาวเดลนั้นสลับกับแม่น้ำที่มีไทรเทียมเหลวมีพืชสีแดงได้ขึ้นหนาตาอยู่ทุกหนทุกแห่ง
    โดยรากแก้วของต้นไม้จะไซลึกไปใต้ดินไปยังริมแม่น้ำ เพื่อหาอาหารจากสารหลอมเหลวที่ลุกเป็นไฟ
    ชีวิตที่นี่แตกต่างจากการใช้ชีวิตที่ยาวนานในดาวเฟอร์ซาห์ผมอยู่บนดาวสีแดงดวงนี้เกือบสิบปี นับว่าเป็น
    ช่วงเวลาแรมปีที่น่าอัศจรรย์ใจทีเดียว


    มีสิ่งมีชีวิตมากมายจนนับไม่ถ้วนบนดาวเดล เช่นอยู่ในสภาพของเหลว ของแข็ง และก็าซ รวมสิ่งมีชีวิต 2
    สายพันธุ์ ที่มีลักษณะเฉพาะของตนเองบนดาวดวงนี้ ประเภทแรกคือ ซิโลมี มีรูปร่างเป็นเจลเหนียว แต่อัน
    ที่จริงแล้วไม่ได้มีสารใดเจือปนอยู่ ซิโลมีไม่ได้เป็นทั้งของเหลวและของแข็งแต่สามารถอธิบายได้ว่ามีรูปร่าง
    ที่ไม่แน่นอนสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดประเภทที่ 2 คือ ยาต้า มีรูปร่างเป็นก็าซขุ่นพร่ามัว แต่ความจริงมี
    ลักษณะค่อนไปทางของแข็ง ยาต้าสัมผัสสิ่งไดก็จะเป็นอันตราย ยาต้าอาจเปรียบเสมือนสัตว์ล่าเหยื่อ ซิโลมี
    เป็นศัตรูของยาต้า และทั้งสองคนทำสงครามกันมาโดยตลอด

    ในภพที่ 2 นี้ ผมเป็นต้นไม้อยู่บนดาวดวงนี้ ผมเป็นต้นไม่มีใบปกคลุมหนาครึ้ม โดยมีลำต้นซึ่งเกิดจากธาตุ
    ชนิดหนึ่งที่มีสีม่วง ที่ลำเลียงไปตามเส้นใยสีส้ม ผมมีใบเป็นสีส้มและจะออกดอกพร้อมกับรักษาชีวิตตนเอง
    ให้อยู่ในความผสมกลมกลืน และแน่ใจว่าการติดต่อกับชีวิตรอบตัวผมนั้นมีความกลมกลืนต่อกัน กิ่งก้าน
    ของผมก็คือลูกๆของผม และใบของผมก็คือผู้พิทักษ์ปกป้อง ผมจะฝังรากลึกลงในใต้พื้นดินเพื่อไปยังแม่น้ำ
    ที่จะให้อาหารแก่ผม ชีวิตของผมดูน่าจะผ่านไปอย่างสงบสุข ถ้าไม่มีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นอยู่ด้วย


    ยาต้าเป็นสัตว์ในดาวเดล ที่มีความชั่วร้ายสุดจะบรรยายได้มันจะทำลายทุกสิ่งที่ขวางกั้นอย่างไม่มีเหตุผล
    นอกจากความสุขที่ได้ทำให้คนอื่นเจ็บปวด ยาต้าเป็นสัตว์ฉลาดที่สุดบนดาวเดลและมีพลังมากที่สุด ยาต้า
    แตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อยู่บนดาวสีแดงแห่งนี้ และเติบโตเป็นสิ่งต่างๆ มากมาย ยาต้าเป็นสัตวย์ที่เกิด
    จากากรรวมสายพันธุ์ชีวิตต่างๆ ไว้ในตัวเองทั้งหมด เป็นสัตว์แบบนี้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ยาต้าเป็นสัตว์ที่
    สวยงามมากจนบอกไม่ถูกและดุร้ายโหดเหี้ยมพอกัน มันมีสองเพศ แม้ว่าจะไม่มีความรู้สึกทางเพศแบบ
    ในโลกมนุษย์ก็ตาม มันมีสองร่างในตัวเดียวกัน ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรวมระหว่างเพศชายและเพศหญิง
    เข้าด้วยกัน ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรวมระหว่างเพศชายและเพศหญิงเข้าด้วยกัน ร่างของมันมีพื้นเป็น
    มรกตสุกสว่างที่ได้สัดส่วนสมบูรณ์แบบ รูปลักษณ์นี้จะเปลี่ยนไปโดยแสดงให้เป็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันที่
    ดูแปลกตา อย่างเช่นเวลาที่อารมณ์ดีเป็นที่รู้กันว่าความโหดร้ายและเจ้าเลห์ของยาต้าทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
    บนดาวเดลถอยห่างจากสัตว์ที่มีแสงสว่างพลิงนี้ เมื่อใดก็ตามที่ยาต้าสัมผัส นั้นหมาถึงว่าจะเกิดความตายที่
    โหดเหี้ยมและเกิดในทันที เมื่อสัตว์ผู้เคราะห์ร้ายตัวใดก็ตามเดินผ่านมา สิ่งที่สัมผัสกับยาต้าจะถูกดูดซึม
    อย่างช้าๆ และเป็นช่วงๆดูเหมือน เหยื่อจะไม่ได้รับความเจ็บปวดจากความตายที่กินเวลานานจากพิษร้าย
    ดังนั้นยาต้าจึงหาอาหารกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดาวเดลโดยไม่มีใครกล้าขัดขืน นิสัยตะกละตะกลามและ
    ความรู้สึกที่เหี้ยมโหดไม่เทียบเท่ากับความเจ้าเลห์ของมัน มันจะจู่โจมล่าอยู่บ่อยครั้ง จะไม่มีสิ่งไดเหลือเลยยามมันตื่นขึ้นมา


    ซิโลมีเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวบนดาวเดลที่สามารถต้านทานยาต้าได้ ซิโลมีเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเป็นวุ้น
    โดยมีรูปร่างน่าเกลียด แต่มีจิตวิญญาณภายในที่เมตตาและใจดี

    สิ่งมีชีวิตที่เป็นต้นไม้บนดาวเดลที่ผมเป็นอยู่นี้ สามารถเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ตามต้องการ
    เนื่องจากมีรากที่ไวต่อความรู้สึก ทำให้รู้เมื่อเวลาที่ยาต้าเดินเข้ามาและสามารถป้องกันตนเองและผลบน
    ต้นไม้ โดยเคลื่อนไหวหนีไปเมื่อยาต้าใกล้เข้ามา


    นับเป็นครั้งแรกที่กิ่งก้านของผมออกดอกออกผล ในขณะที่ยาต้ากำลังหาอาหารอยู่อีกด้านหนึ่ง ครั้นยาต้า
    มุ่งหน้ามาที่พวกเรานั้น พวกสิ่งมีชีวิตอื่นๆ กำลังเก็บผลของผมกันอยู่โดยรอบ ยาต้ารู้สึกโกรธเมื่อพบว่าผล
    ไม่ถูกเด็ดไปหมดแล้ว เนื่องจากผลไม้เหล่านี้หายากมากและไม่พบที่ใดนอกจากบบนดาวเดล ต้นไม้แต่ละ
    ต้นที่มีสายพันธุ์ชนิดเดียวกับผมจะออกดอกออกผลชั่วชีวิตได้สองครั้งเท่านั้นทำให้ผลไม้นี้เป็นที่ต้องการเพิ่ม
    เป็นทวีคูณ ในวันนั้นสิ่งมีชีวิตนับพันได้ล้มตายเนื่องจากยาต้าโมโห เมื่อความโกรธทุเลาลง มันได้สาบาน
    ว่าจะกัดกินผลของผมแต่เพียงผู้เดียว และเมื่อผมออกผลอีกครั้ง ยาต้าสัญญาว่าจะฆ่าผมในทันทีที่มันกินผล
    สุกของผมในคราวหน้า มันขู่คำราม ผลจะเป็นอย่างไรในเมื่อผมไม่สามารถออกผลไดอีกแล้ว


    หลายปีผ่านไป ผมหลบเลี่ยงยาต้ามาโดยตลอด ซิโลมีกลายเป็นมิตรกับผม และสัญญาว่าจะปกป้องผมจาก
    ปิศาจร้ายที่เป็นศัตรูตัวฉกาจอยู่ชั่วนาตาปี ตอนรุ่งเช้าที่สดใสวันหนึ่งดวงอาทิตย์ทอแสงสีแดงสาดส่องไปทั่ว
    ฟ้า กิ่งก้านของผมได้ออกผลเป็นครั้งสุดท้าย คราวนี้ผลโตอวบอิ่มและหอมหว่ากว่ากครั้งแรกที่ได้เก็บกิน
    กันไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในดาวมาล้อมรอบผมและขอกินความอุดมสมบูรณ์ กิ่งก้านของผมแกว่งไกวอย่าง
    ยินดีและออกผลสีม่องเต็มต้น


    ทันใดนั้นฉันเห็นซิโลมีอยู่ตรงหน้าฉัน ซิดโลมีได้ส่งสารผ่านมาถึงฉันด้วยเสียงเหมือนนกหวีดเสียงเหลม
    เล็กเพื่อใช้สื่อสาร ซิโลมีเตือนผมว่ายาต้ากำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และผมต้องหนีหลบไปให้เร็วที่สุด
    เนื่องจากต้องแบกผลไม้ที่หนักจึงทำให้ผมเคลื่อนที่ลำบาก และก่อนที่ผมจะสื่อสารกับซิโลมีนั้น มีร่างอัน
    มหึมาของยาต้ายืนตระหง่านอยู่เหนือผมเสียแล้ว ผมไม่เคยเห็นสัตว์ตัวใดงดงามมากกว่ามันเลย ผมจ้อง
    ไปที่ตัวมันโดยไม่สามารถขยับเขยื่อนและตำตะลึงในความสง่างามของมัน ทันทีที่ผมรวบรวมพลังเพื่อ
    ถอยหนีมันก็เข้าประชิดตัว ฉีกกิ้งก้านและลำต้นของผมอย่างโหดร้าย


    ซิโลมีเข้ามาขวางอย่างกล้าหาญ แต่เวลานี้ยาต้ามีความแข็งแกร่งที่รุ่มร้อนด้วยความเกลียดและความโกรธ
    อย่างรุนแรงที่แสดงออกมา ซิโลมีต่อสู้จู่โจมยาต้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ถูกยาต้าผลักด้วยพลังแห่งความ
    โหดร้ายเสียทุกครั้ง ยาต้าพยายามทิ่มแทงสำต้นของผม ฉีกและทึ้งกิ่งก้านออกเป็นชิ้นๆ ต่อมายาต้าได้
    ทำลายส่วนที่มีค่าที่สุดของผมไป และยังเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุด กิ่งก้านเป็นสิ่งที่ให้ความแข็งแกร่งและความ
    มั่นคง แต่ผมก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ทุกครั้งที่ยาต้าหักโค่นกิ่งของผม มันได้ทำลายให้สิ้นซากตลอดไป


    ผมรู้สึกสิ้นหวังเนื่องจากเป็นทั้งเหยื่อและผู้รับรู้ต่อการสังหารโหด ผมไม่สามารถหลบหนีไปได้เพราะยาต้า
    ผนึกตัวของมันกับลำต้นของผม ผมเห็นความตายที่ปรากฏชัดขึ้นมาทุกที ผมรู้แต่เพียงว่าผมต้องยอมรับ
    ต่อความตาย และยอมแพ้ต่อสังขารให้กับจักรวาล แต่มีบางสิ่งบางอย่างในตัวผมที่ต่อต้านการยอมแพ้อย่าง
    ง่ายดายครั้งนี้ ผมสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด และโกรธเคืองด้วยความสิ้นหวัง ผมบังคับรากให้ถอนออกจาก
    พื้นเหล็กที่ได้ฝังรากไว้และได้ห่อม้วนตัวยาต้าอย่างเจ็บปวด พลังของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้น่ากลัวมากแต่ความ
    สิ้นหวังทำให้ผมไม่อย่ากต่อสู้ การต่อสู้กับศัตรูครั้งนี้เกิดจากความเจ็บปวดในตัวผม ผมดึงตัวเองลงในแม่น้ำ
    สีแดงฉานที่เคยหล่อเลี้ยงผมเป็นเวลานาน แล้วผมก็เหวี่ยงตัวและกระซากเจ้าสัตว์ร้ายลงไปในแม่น้ำที่อันตราย
    ในชั่วพริบตาเดียว เราสองคนก็จมลงในลำน้ำสีทับทิมอยู่ชั่วกาลนาน


    คราวนี้ผมได้หลับฝันอยู่บนโลกอยู่นานนับพันปี เมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมพบว่าตนเองอยู่ที่ประตูแแห่ง
    วิญญาณ ฑูตวิญญาณ 2 คนยืนอยู่เคียงข้างผม ผมได้ลอยตัวขึ้นอีกครั้งกลางอวกาศ แต่ช่วงแรกผมยังมีสติ
    จดจำเรื่องราวในชาติปางก่อน 2 ชาติแรก และประสบการณ์ที่ผมได้เห็นมาทำให้ผมเห็นภาพหมุนที่น่า
    วิงเวียน ผมเกิดใหม่อีกครั้งในตอนนั้น แต่ผมไม่มีความรู้สึกเลย มันเหมือนกับว่าผมกำลังดูฉากละครที่
    แสดงอยู่ต่อหน้าผมและผมเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้วิญญาณของผมสั่นไหวระริก คือการที่
    ผมคิดถึงเวอร์ดิกริส


    มีความหนึ่งที่ไม่ได้พูดคุยซึ่งส่งมาจากเจเรไม พร้อมๆกับ ความคิดคำนึงของผมได้รับนั้นมีใจความว่า
    "คุณ 2 คนจะยังไม่ได้พบกันหรอก"


    ผมถามว่า "ทำไม่หรือ"
    เจเรไมตอบโดยไร้เสียงว่า "ก็เพราะว่าคุณได้ผ่านชีวิตมาถึง 2 ชาติ เพื่อเรียนรู้ความเจ็บปวด แต่คุณก็ยัง
    ล้มเลิกมันเสีย คุณจะได้รวมวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกับเวอร์ดิกริสก็ต่อเมื่อคุณได้สัมผัสเข้าเข้าใจถึงความเจ็บปวด"



    คำพูดเหล่านี้ทำให้ผมสิ้นหวังท้อแท้ ผมจึงคร่ำครวญว่า "สิ่งที่ผมทำไปก็เพื่อปกป้องกันตัวเองต่อเจ้าปิศาจ
    ร้าย มันยุติธรรมแล้วหรือท่าน ที่ สิ่งมีชีวิตตัวใดตัวหนึ่งจะทำลายชีวิตหนึ่งโดยได้รับการอภัย จุดประสงค์
    ของบทเรียนชีวิตนี้มันคืออะไรกันแน่"


    คราวนี้โจแอ็บกล่าวขึ้นบ้างและคำพูดนั้นดูเศร้าปนโศกว่า
    "จุดประสงค์ของบทเรียนชีวิตนี้ก็คือสอนให้รู้ว่าความเจ็บปวดและความโศกเศร้าเป็นภาพลวงตาของโลก
    มนุษย์ ความรู้สึกนี้จะปรากฏในสภาพแวดล้อมที่มีมวลสารเท่านั้น คุณจะยอมรับความโศกเศร้าบนดาวเดล
    อย่างไม่ขัดขืน และยินยอมให้วิญญาณของตนเองแก่พระเจ้า คุณก็จะสัมผัสลึกซึ้งในบทเรียนสอนใจนี้ และ
    ยกระดับพัฒนาวิญญาณได้มากขึ้น และสามารถค้นหาวิญญาณคู่แฝดของคุณได้ ส่วนยาต้านั้นไม่ได้เป็น
    สัตว์ร้าย แต่เป็นวิญญาณที่มีการพัฒนาจิตในระดับสูงได้รับเลือกให้ทำหน้าที่อันสูงส่งเพื่อบ่งบอกความสำคัญ
    ของบทเรียนชีวิตเกี่ยวกับความโศกเศร้าแก่ดาวดวงนี้"


    ผมรู้สึกประหลาดใจอย่างมากต่อคำพูดเมื่อครู่นี้ โดยผมเองถึงกับตะลึงไปเลยทีเดียว แต่ทันใดนั้นความ
    ทรงจำเรื่องความโหดร้ายของยาต้าและความเจ้าเล่ห์ที่โฉดชั่วก็ได้แว่วเข้ามาในจิตวิญญาณของผม ซึ่ง
    ทำให้ผมโมโหโกรธและเกลียดชัง


    ผมร้องคร่ำครวญว่า "สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร การกระทำที่ชั่วร้ายอำมหิตจะเป็นเครื่องหมาย
    แสดงถึงสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการพัฒนาขัดเกลาได้อย่างไร"


    พอคำพูดที่ต่อต้านโพล่งออกมาจากจิตใจของผม ตัวผมเองก็รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมา

    ผมกล่าวเสียงอ่อยว่า "ยกโทษให้ผมด้วย ผมไม่อยากพูดด้วยถ้อยคำที่สามหาวเช่นนี้ ผมเองรู้สึกสับสน
    เป็นอย่างมาก ผมรู้ว่าคุณมีความเมตตากรุณาและห่วงใยต่อวิญญาณของผม ได้โปรดชี้ทางสว่างให้ผมด้วย อย่าทิ้งผมไปเลย"


    เจราไมกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า "เราจะทิ้งคุณไปได้อย่างไรกันในเมื่อคุณเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา ความ
    รู้สึกสับสนของคุณเป็นเรื่องปกติ ยังมีอะไรอีกมากมายที่คุณต้องเรียนรู้"


    โจแอ็บ ฑูตวิญญาณคนที่ 2 นั้นเรืองแสงระยิบระยับเหมือนชุดคลุมที่สว่างไสวต่อหน้าวิญญาณที่ร้อนรน
    สับสนของผม แล้วผมก็อยู่ในความสงบและความสุขอันยิ่งใหญ่ที่แทรกผ่านในตัวผม


    ฑูตวิญญาณกล่าวว่า "จงฟังอย่าทรมานตัวเองเลย เจ้าเด็กหนุ่มเอ๋ย" คุณจำความโหดร้ายของยาต้า แต่ไม่
    ลืมความสวยงามอันเป็นความงามและมีรูปร่างที่ได้สัดส่วนซึ่งทำให้คุณติดตาต้องใจเมื่อคุณได้ใกล้กับยาต้า คุ
    คุณจำได้ถึงวิธีที่ยาต้าผลึกรวมตัวเองเป็นหนึ่งเดียว สิ่งนี้สืบเนื่องมาจากยาต้าเป็นวิญญาณรวมในในเผ่าพันธุ์
    หนึ่งตัวอย่างแบบนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสิ่งมีชีวิตพันธุ์หนึ่งได้พัฒนาตนเองในระดับสูง เพื่อจะรวบรวมสิ่งมีชีวิต
    มากมายไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นับว่าเป็นขั้นตอนแรกที่เผ่าพันธุ์หนึ่งจะต้องกระทำก่อนที่จะกลานเป็น
    เอกภาพรวมกับพลังแห่งจักรวาล ยาต้ารู้ดีว่าความเจ็บปวดคืออะไร เพราะตัวยาต้าเองมีประสบการณ์เรื่อง
    ความโศกเศร้าที่แตกต่างกัน และมีรูปแบบที่ต่างกันออกไปมากมายมายแล้วยาต้ารู้ว่า ความโศกเศร้าเป็น
    ภาพลวงตา ความพอใจยินดีก็เช่นกัน แต่มันก็ต้องการส่งความรู้นี้แก่คคุณและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ บนดาวเดล
    ยาต้าเป็นผู้ชำระบาปบนดาวเดล หรือเป็น อะเธเนอร์


    ผมสงสัยถามไปว่า "อะเธเนอร์คืออะไร"
    โจแอบบอกว่า "มันเป็นวิธีเรียนรู้ชีวิตของวิญญาณ หรือเป็นการชำระบาป เมื่อฝ่าฝืนกฎใดกฎหนึ่งของ
    กฎจักรวาล 3 ข้อบางครั้งที่จิตวิญญาณระดับสูงจะได้รับหน้าที่เพื่อทำประโยชน์แก่วิญญาณตนใดตนหนึ่ง
    หรือวิญญาณมากมาย อย่างเช่นตัวอย่างของยาต้านี้


    ผมถามอย่างไม่หายสงสัยว่า "แล้วอะไรคือสัจธรรมของวิญญาณหละ"

    โจแอ็บตอบอย่างอ่อนโยนว่า "สิ่งนี้ก็คือความสงบสุขอันเป็นนิรันด์ไงล่ะ ความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์และ
    ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลนั่นล่ะคือความสุข ความสุขนี้เป็นความรู้สึกอันสูงส่งที่คุณยังไม่เข้าใจ แต่
    คุณต้องการมันเมื่อคุณมาถึงจุดที่สูงกว่าเดิมของการยกระดับจิตวิญญาณ"


    วิญญาณของผมได้สัมผัสไออุ่นมาเป็นเวลานาน จากคำพูดของโจแอ็บที่แสนดีทำให้เห็นภาพขึ้นมาบ้างอยู่
    ในจิตใจของผม แต่แล้วความวิตกกังวลอันใหม่ได้ก่อกวนฝังลึกอยู่ในตัวผม


    "แล้วผมจะจำความปรารถนานี้ เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง ความทรงจำในชาติก่อนๆของผม และคำสอนของพวก
    คุณจะถูกลบเลือนในทันทีที่ผมเกิดใหม่"


    เจราไมตอบว่า "ร่างกายที่คุณถือกำเหนิดจะลืมเรื่องราวในอดีตของคุณ แต่วิญญาณของคุณจะไม่ลืมเลย
    ถ้าคุณได้ประสานตัวคุณเองกับตัวตนที่แท้จริงภายในของคุณ คุณก็จะรู้ได้เอง คุณจะต้องกระทำอย่างไรในแต่ละภพชาติที่คุณเกิด"


    ผมถามด้วยความเกรงใจว่า "แล้วขณะนี้เกิดอะไรขึ้น ผมจะถูกลงโทษหรือเปล่า"

    คราวนี้เจราไมและโจแอ็บตอบพร้อมกันว่า "ไม่มีการลงโทษอย่างที่คุณคิดหรอก ในแต่ละชาตินั้นจะมี
    บทเรียนชีวิตและภาระหน้าที่ ซึ่งวิญญาณจะต้องปรับตัวและยอมรับสิ่งเหล่านี้ เมื่อวิญญาณไม่ยอมรับ
    หรือเมื่อไรก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎใดกฎหนึ่งของจักรวาล วิญญาณต้องการชำระบาปจากผู้ช่วยชำระบาป ซึ่ง
    มักเป็นประสบการณ์ที่วุ่นวายต่อวิญญาณ คุณอาจคิดถึงการถูกลงโทษ แต่อันที่จริงวิญญาณเองนั่นหละที่
    สร้างเหตุการณ์ในชีวิตที่ไร้ความสุขเหมือนที่คุณได้ทำมาแล้วใน 2 ชาติก่อน มีวิญญาณมากมายในภูมิต่ำๆ
    ในโลกวิญญาณที่ไม่ยอมรับบทเรียนอันนี้และฝ่าฝืนกฎ ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกนี้ไม่ได้รับแสงสว่างแห่งจักรวาลชั่วกัปชั่วกัลป์"


    "แล้วตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง"
    "ได้มียาต้าตัวใหม่บนดาวเดล และคุณยังต้องเรียนรู้บทเรียนแห่งความโศกเศร้า แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
    ในการกลับไปเกิดในภพหน้าของคุณนั้น คุณจะต้องต่อสู้กับความอวดดี ความหยิ่งทะนง ความตระหนี่
    ความเห็นแก่ตัว ความกลัว ความไม่ปลอดภัย ความอิจฉาริษยา ความระแวงสงสัย ความอยากในอำนาจ
    ความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันสิ้นสุด การโกหก การก่ออาชญากรรมและสิ่งมายาลวงตาอื่นๆเมื่อคุณเอาชนะ
    สิ่งเหล่านี้หมดไปได้ คุณก็จะต่อสู้กับสิ่งที่คงทนอยู่เสมอ นั่นคือความเจ็บปวดและความโศกเศร้า สิ่งทั้งหมด
    ที่คุณต้องการค้ำจุนพยุงตัวคุณไว้ก็คือ ความหวังและความเชื่อมั่น คุณพร้อมที่จะไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์แล้วหรือยัง"


    ฑูตวิญญาณทั้งสองคนลอยขึ้นไปเหนือตัวผม แสงริบหรี่เปล่งออกมาจากการรวมร่างของฑูตวิญญาณและ
    ได้ห่อร่างผมไว้ แล้วทันใดนั้นผมก็หมดสติไป เมื่อผมมีสติขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าผมได้ไปเกิดใหม่อีกหนซะแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 เมษายน 2011
  11. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนะครับ เนื้อหาจะเริ่มแข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณดวงนี้เป็นแรงบรรดาลใจให้บุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์หลายท่าน และวิญญาณดวงนี้เป็นบุคคลที่สำคัญในประวัติศาสตร์โลกด้วย !!!
     
  12. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 4 หลายภพโลก

    เจเรไมกล่าวว่า ผมต้องเผชิญและเอาชนะความโศกเศร้า แต่ในช่วงแรกของชีวิต ผมต้องเรียนรู้
    บทเรียนอื่นๆก่อน วัฏจักรของการเกิดใหม่จะแตกต่างกันไปตามวิญญาณแต่ละคน และถูกกำหนด
    จากความสามารถที่จะเรียนรู้และปรับบทเรียนขึ้นมาใช้


    ในชาติต่อไปนั้นผมได้อาศัยในร่างที่มีความรู้สึกในรูปของน้ำที่ดาวอาร์เดนิส ซึ่งจะพบเห็นได้เหนือ
    กลุ่มดาวลูกไก่ขึ้นไป มันเป็นขีวิตที่ยาวนานปราศจากความสับสนบางทีเจเรไมและโจแอ็บคิดว่า
    ภพที่แหมาะสมจะถูกแนะนำให้รู้จักหลังจากเกิดความวุ่นวายในชีวิตของ 2 ชาติแรก บทเรียนชีวิต
    บนดาวนี้ คือความอดทนน้ำไม่เคยไหลเชี่ยวและไม่มีความกังวล


    อาร์เดนิส เป็นดาวเคราะห์ดวงเล็กดวงหนึ่งจากดาวเคราะห์ทั้งหมด 3 ดวง ที่โคจรหมุนรอบดวงอาทิตย์
    ที่สวยงามสว่างไสว โดยแสงของดวงอาทิตย์ได้ทำมุมหักเหบนดาวอาร์เดนิสเป็นวงรุ้งที่มีสีสันสวยงาม
    จนมิอาจจะพรรณนาได้ ดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงเป็นที่อาศัยของเผ่าพันธุ์ที่พัฒนาเท่าเทียมกันของเหล่า
    อัจฉริยชนที่มีหน้าที่ในการสำรวจกาแลกซีเป็นเวลามากว่าหลายล้านปีมาแล้วที่พวกเขาได้เดินทางไป
    ยังเขตหวงห้ามของจักรวาล


    ดาวเคราะห์ทั้ง 3 ดวงมีชื่อว่า อาร์เดนิส ดรามานิส และ กราทิลิส เป็นดาวที่มีวิวัฒนาการเหมือนกันและ
    อยู่ใกล้กัน ผู้อาศัยในหมู่ดาวเหล่านี้เรียกตัวเองว่า เดรคโดกี้ และเคยประสบความสำเร็จในการเดินทาง
    ข้ามกาแล็กซีโดยใช้รังสี 3 เส้น ซึ่งสามารถนำพวกเขาไปยังดาวเคราะห์และระบบไปก็ได้ที่อยากจะไป
    ในทันที ดาว 3 ดวงนี้มีชื่อว่า รังสี 3 เส้น ก็เพราะว่าตัวดาวเคราะห์เชื่อมโยงซึ่งกันและกันทั้ง 3 ดวง
    แหล่งกำเหนิดรังสีเกิดจากการเชื่อมโยงของพลังจิตของชาวเดรคโคกี้


    น้ำในดาวอาร์เดนิสไม่ได้มีส่วนประกอบด้วยไฮโดรเจนและออกซิเจนเหมือนน้ำในโลกมนุษย์ แต่เป็นส่วน
    ผสมของปรอทและไนโตรเจนเหลว แร่ธาตุอย่างนี้ทำให้น้ำในดาวอาร์เดนิสมีลักษณะเหนือชั้น แต่โปร่งแสง
    มีสีเงินเรือง น้ำจะลดและไหลไปตามความเร็วของกระแสน้ำซึ่งหมายความว่าน้ำจะเคลื่อนที่จากระลอกคลื่น
    หนึ่งไปยังอีกอันหนึ่ง โดยได้ส่งความรู้สึกนึกคิดไปตามพื้นน้ำอันกว้างใหญ่นี่คือสิ่งที่บอกว่า ผมอยู่ที่นี่นาน
    ถึง 500 ปีได้อย่างไร โดยผมยกตัวเคลื่อนจากจุดสูงสุดของดาวอาร์เดนิสไปยังอีกจุดหนึ่งทำให้ผมเข้าใจ
    กระจ่างขึ้นด้วยการสั่นสะเทือนที่เปล่งแสงเจิดจ้า


    ชาวเดรคโคกี้เป็นชนชาติที่มีความรู้ความฉลาดที่ยอดเยี่ยมในจักรวาล และพวกเขาพยายามที่จะยกระดับ
    สติปัญญาโดยรวมของชนชาติที่พวกเขาได้ไปเยือนด้วย เขาไปเยี่ยมโลกมนุษย์เป็นครั้งคราวพวกเขาปรากฏ
    กายโดยฝังร่างไว้ เหล่าประชากรมนุษย์ชาวเดรคโดกี้เหล่านี้ได้อยู่ในร่างของนักวิทยาศาสตร์หรือนึกคิดที่มี
    พรสวรรค์พิเศษซึ่งช่วยพัฒนาสติปัญญาบนโลกมนุษย์ รวมทั้งประชาชนบนโลกด้วยจะไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า
    เขาเป็นมนุษย์นอกพิภพ อันที่จริงแล้วมนุษย์โลกได้รอคอยผู้มาเยือนจากดินแดนนอกพิภพมานานแล้ว โดย
    ไม่ได้คิดเลยว่ามนุษย์นอกพิภพมีชีวิตอยู่เช่นเดียวกับพวกมนุษย์โลกมานานนับศตวรรษแล้ว


    การสิ้นภพจบชาติบนดาวอาร์เดนิสองผมได้เกิดขึ้นเร็วมากเหมือนตอนเริ่มต้น ตัวผมเองค่อยๆ ออกจากลำน้ำ
    และรู้สึกอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้เจอกับโจแอ็บและเจเรไม


    เจเรไม่พูดว่า "ระยะเวลาที่สงบในช่วง 500 ปี ช่วยจิตวิญญาณผมได้มากทีเดียว รัศมีของคุณจะเปล่งแสง
    เพิ่มมากขึ้นและไฟสีแดงก็จะดับมอดไป"


    ผมถามไปว่า "ทำไม่คุณพยายามพามาจากดาวอาร์เดนิสนี้เสียล่ะผมอยู่ที่นั่นก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ผมอยาก
    จะอยู่บนดาวอาร์เดนิสชั่วนิรันดร์กาลเลย"


    เจเรไมตอบว่า "คุณลืมเวอร์ดิกริสไปแล้วหรือ"
    วิญญาณของผมที่เปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำว่า ในอดีตที่ผ่านๆมาและเกิดความโหยหาในตัวของเวอร์ดิกริส
    อันเป็นที่รัก ผมรู้ว่าตัวผมรู้สึกอึดอัดอยู่ภายใน


    ผมร้องตะโกนอย่างสิ้นหวังว่า "เวอร์ดิกริส! เกิดอะไรขึ้นกับเวอร์ดิกริส คุณสัญญากับผมว่าจะอยู่ด้วยกัน
    นานเท่าไหร่ที่ผมจะต้องรอเพื่อจะได้รวมร่างกัน"


    โจแอ็บกล่าวด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบด้วยแสงแห่งจักรวาลว่า "คุณแทบจะไม่ได้เริ่มการเดินทางแสวงบุญทาง
    จิตวิญญาณเลย แต่คุณได้สิ้นหวังต่อภาระหน้าที่ของตนเองเสียแล้ว ระยะเวลาแห่งความสงบช่วง 500 ปี
    บนดาวอาร์เดนิสน่าจะสอนให้คุณมีความอดทนมากกว่านี้"


    ผมกล่าวด้วยความละอายว่า "คุณพูดถูกต้อง ผมต้องได้รับบทเรียนมากกว่านี้ ความอดทนเป็นทบเรียนที่ดี
    งามที่สุด ในตอนนนี้ผมคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยผมได้เผชิญกับการทดสอบที่จะมาถึงได้โดยใช้ความแข็งแกร่งของ
    จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่"


    โจแอ็บบอกว่า "ผมพอใจในคำพูดของคุณมาก คำพูดของคุณแสดงให้เห็นว่าคุณมีการพัฒนาเพิ่มมากขึ้น
    พวกเราได้อยู่ร่วมกันใน เกรทไวท์ เคาน์ซิล ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบวิญญาณที่มีระดับขนาดคุณและจะกำหนด
    ว่าระยะเวลาที่เหลือในการเป็นมนุษย์ของคุณจะไปปรากฏในระบบดาวเคราะห์ที่มีชื่อว่า ซาลาร์ส (ดวงอาทิตย์)
    ระบบนี้ประกอบด้วยดาวเคราะห์ที่โคจร 12 ดวง ซึ่งในแต่ละดวงจะมีลักษณะสิ่งมีชีวิตที่เด่นขัดเป็นของตัว
    เอง ดวงดาวเหล่านี้แตกต่างห่างไกลกันมากจนไม่มีใครสนใจสิ่งมีขีวิตบนดาวอื่นๆ ดาวเคราะห์ที่มีวงโคจร
    ใกล้กับซาลาร์สมากที่สุดในจักรวาลนั้นก็คือ เมอร์เกอร์ ดาวดวงนี้เป็นดาวขนาดเล็กมีพื้นผิวที่หลอมเหลว
    เนื่องจากอยู่ใกล้ดาวซาลาร์ส สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนดาวดวงนี้มีรูปร่างเป็นก๊าซและของเหลว เหมือนกับที่คุณรู้จัก
    ในภพแรกของผมบนดาว ไอซิสตาร์ ระดับวิญญาณของดาวดวงนี้อยู่ในระดับกลางของแสงสว่างในโลก
    วิญญาณ แต่อัตราการพัฒนาทางวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ในไม่ช้าดาวดวงนี้จะทำให้เกิดความสน
    ใจในดินแดนที่เหลือของจักรวาล ในวงโคจรที่สองมีดาวที่ชื่อว่า วินิริส บนพื้นผิวดาวจะมีเมฆหมอกหนา
    ปกคลุม สิ่งนี้เป็นผลมาจากบรรยากาศที่หนาแน่น ซึ่งประกอบด้วยซัลเฟอร์และไททาเนียม สิ่งมีชีวิตที่อยู่
    บนดาววินิริสมีลักษณะเป็นก็าซ ของเหลวและของแข็งและยังสามารถเปลี่ยนรูปได้ไม่มีที่สิ้นสุด สติปัญญา
    ความฉลาดจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างเป็นก็าซจะสื่อสารทารโทรจิต และไม่ต้อง
    การรูปทรงที่เป็นของแข็ง เผ่าพันธุ์นี้ได้ครอบครองดาววินิริส และเผ่าพันธุ์นี้มีชื่อว่า เทปเส็ค" (Tepsech)

    ผมถามโจแอ็บว่า "แล้วเรารู้จักพวกเขาได้อย่างไร หรือนี่คือชื่อที่เขาเรียกตัวเอง"

    โจแด็บตอบว่า "ชื่อของชนชาติเผ่าพันธุ์และดวงดาว จะเหมือนกันหมดในจักวาล"

    คนในดาวเหล่านี้จะสื่อสารโทรจิตกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ โดยใช้พลังที่ควบบคุมจักรวาล

    "แล้วถัดจากดาววินิริส นั้นคือดาวอะไร"
    "โลกมนุษย์อยู่ในวงโคจรลำดับ 3 ที่ล้อมรอบดวงอาทิตย์ บนโลกมนุษย์สิ่งมีชีวิตจะมีรูปร่างเป็นก็าซ
    ของเหลว และสถานะของแข็งและมีเผ่าพันธุ์มากมายนับไม่ถ้วน มนุษย์เกือบทุกคนในโลกสื่อสารทารโทรจิต
    แต่มีเผ่าพันธุ์เดียวที่ยกเว้น ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ระดับกลางของเขามีลักษณะเป็นของแข็งและรู้จักในจักรวาลว่า
    เป็น มนุษย์ พวกเขาเรียกตนเองว่า มนุษย์ชาติ และเชื่อว่าตนเองเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในดาวดวงนี้
    แต่เปล่าเลย เผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดเป็นพวกที่มีรูปร่างเป็นก็าซชื่อ เอเธอริส ก๊าซจะมีลำดับชั้นของสถานะที่
    ซับซ้อนและพัฒนาตัวเองได้ดีมาก พวกก๊าซนี้เองที่ปกป้องโลก และให้ชีวิตแก่สรรสิ่งทั้งหลาย อาทิเช่น
    มนุษย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุม ก๊าซได้ช่วยมนุษย์มาตลอด อาจจะกล่าวได้ว่าพวกก๊าซเป็นพรรพบุรุษสาย
    เลือดเดียวกันของเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ได้รับการเลือกสรรแล้ว และอยู่ ณ บริเวณที่คาบเกี่ยว
    ระหว่างการพัฒนาทางจิตวิญญาณและทางวัตถุ แม้ว่ามนุษย์จะเห็นเชื้อชาติทีสูงส่งแต่ความก้าวหน้าทางการ
    ยกระดับจิตใจที่ช้าจะทำให้พบกับความหายนะในอนาคตได้ ถ้าพวกมนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่รอด ณ เวลาใน
    ปัจจุบัน โดยไม่ได้มีการฆ่าฟันกันเอง พวกมนุษย์ก็อาจจะมีโอกาสไปถึงระดับการพัฒนาทางจิตและวัตถุได้
    สมบูรณ์ในดาวของตนเอง"


    ผมถามออกไปว่า "อันตรายอะไรที่จะคุกคามพวกมนุษย์"
    เจเรไมตอบว่า "ก็คือความไม่เข้าใจและการปรับตัวเองได้ให้เหมาะสมกับวัตถุ และความเชื่อที่ว่าโลกมนุษย์
    คือสรรพสิ่งทั้งหมด"

    ผมถามด้วยความสงสัยว่า "แล้วพวกมนุษย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหรือบนโลก"

    เจราไมตอบว่า "ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่โลกเป็นดาวที่สวยงามมากสิ่งนี้จะทำให้เขาพัฒนาความปรารถนา
    อย่างแรงกล้าเพื่อคงอยู่บนโลกตลอดกาล โดยยินดีต่อความพึงพอใจต่างๆ ที่อาจจะมีขึ้นได้ที่นั่น"


    ผมพูดว่า "ผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณกล่าวถึงจากทุกชาติที่ผ่านมาของผม ผมไม่เคยได้รัสแห่งความสุขเลย"

    โจแอ็บตอบว่า "ตัวคุณยังหนุ่มอยู่นะ คุณไม่อาจต้านทานสิ่งยั่วยุบนโลกได้หรอก ถ้าเราส่งคุณไปบนโลกใน
    ตอนแรก วิญญาณที่จะไปอยู่บนโลกนั้นเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการพัฒนาทางร่างกาย โลกเป็นดาววิญญาณ
    จะถูกยั่วยุและทรมานอย่างแสนสาหัส หลายคนไม่อาจต้านทานต่ออำนาจเหล่านี้ได้ และได้ฝ่าฝีนกฎจักรวาล
    มาโดยตลอดหรือไม่ก็จะไม่ยอมรับบทเรียนที่กำหนดไว้ แต่บุคคลอื่นๆ ที่ได้ไปถึงจุดสุดยอดของประสบการณ์
    ในโลกมนุษย์ด้วยความผ่องใสพวกเขาเหล่านั้นก็จะสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดของสังขารบนโลกแต่ส่วนใหญ่
    แล้วจะเรียนรู้เฉพาะบทเรียนชีวิตของตนเอง และจะเกิดใหม่ซ้ำๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า"


    ผมถามว่า "แล้วใครกันล่ะที่ยั่วยุมนุษย์เหล่านี้"
    เจเรไม่ตอบว่า "เป็นพวกเวร็คกลี พวกนี้ทำงานร่วมกันกับผู้ชำระบาป โดยมีหน้าที่ทดสอบวิญญาณเพื่อให้ยอมรับกับบทเรียนของตนเอง"

    ผมถามต่อว่า "ยาต้าเป็นพวกเวร็คกลี ใช่หรือไม่"
    "เปล่า ยาต้าเป็นวิญญาณระดับสูงกว่าทุกเผ่าพันธุ์บนดาวเดล ยาต้าถูกเลือกเป็นผู้ชำระบาปบนดาวเดล เพื่อ
    ช่วยให้มีการพัฒนาจิตวิญญาณเร็วยิ่งขึ้น พวกเวร็คกลีทำงานร่วมกันกับผู้ชำระบาปคนอื่นๆตามเผ่าพันธุ์
    ของตนเองและพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกฎแห่งจักรวาล"


    "แล้วพวกเขาจะยั่วยุผมหรือเปล่า"
    โจแอ็บกล่าวว่า "เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่คุณจะถูกยั่วยุในแต่ละชาติ สิ่งนี้เป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญเพื่อให้
    เกิดการพัฒนาแห่งจักรวาล"

    ผมถามว่า "ก่อนนี้ทำไมคุณไม่ได้บอกอระไรเลยเกี่ยวกับพวกเวร็คกลี"

    เจราไม่ตอบว่า "ก็เพราะว่าคุณยังไม่เข้าใจนะสิ แตตอนนี้ความรู้สติปัญญาของคุณพัฒนามากพอแล้วที่ได้
    รับบทเรียนนี้ ถ้าคุณได้เรียนรู้มันอย่างดี บทเรียนนี้ก็จะช่วยคุณได้มากทีเดียวเมื่อคุณเกิดในภพหน้า"


    ผมยืนกรานพร้อมทั้งความรู้สึกฉงนเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเจ้าสัตว์ประหลาด โดยกล่าวว่า "แล้วผมจะรู้จักพวก
    เวร็คกลีนี้ได้ยังไงกันพวกมันมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร"


    แสงสว่างที่โชติช่วงเปล่งออกมาจากฑูตสององค์ที่ได้ห่อหุ้มร่างกายเขาอยู่ ร่างของโจแอ็บมองเห็นได้ชัดเจน
    จากแสงที่ปกคลุมไว้ผมได้เห็นฑูตมีความสวยงานเหลือเกิน ซึ่งดูเหมือนจุดไฟส่องแสงในทะเลเวิ้งแห่ง
    แสงสว่างของจักรวาล


    เขาบอกว่า "พวกเวร็คกลีไม่ได้ปรากฏตัวตนเป็นแสงสว่าง แต่จะปรากฏเป็นความมืด เวร็คกลีเป็นส่วนหนึ่ง
    ของความสับสนวุ่นวายซึ่งจักรวาลแรกเริ่มเดิมทีถือกำเหนิดมาจากความวุ่นวานนี้ พวกเวร็คกลีถือว่าเป็นผู้นำ
    ชั้นสูงของเฟิร์ส เคาน์ซิล แต่อย่าวิตกครุ่นคิดเกี่ยวกับพวกเขาไปเลย ภาระหน้าที่ของเวร็คกลีไม่ใช่การทำลาย
    ล้างแต่เป็นการชำระบาป คุณคงไม่เข้าใจสิ่งนี้ในสภาพปัจจุบันของคุณหรอกพวกเวร็คกลีจะปฏิบัติภาพกิจ
    ให้สำเร็จ โดยภาพกิจนั้นได้กำหนดโดยพลังสร้างสรรค์แห่งจักรวาล ซึ่งพวกเขา คุณและฉันเองก็เป็นส่วน
    หนึ่งของพลัง"


    ผมถามโดยคิดว่าฑูตทั้งสองคนต่างไม่ต้องการพูดอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับเวร็คกลีว่า "ดวงดาวที่อยู่ถัดจากโลกคือดาวอะไร"

    เจเรไมตอบว่า "มาเร็ก (ดาวอังคาร) อยู่ในวงโคจรทีสี่ ผิวของดาวดวงนี้เป็นทะเลทรายที่กว้างใหญ่สีแดง
    ธาตุประกอบทั่วไปนั้นเป็นคาร์บอน ออกซิเจน ทองแดง และธาตุผสมทั้ง 3 อย่างที่กลายเป็นของแข็งโดยมี
    รูปร่างคล้ายก้อนหิน พวกนี้ไม่ได้พัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นการบ่งบอกถึงการับรู้ของจักรวาลนั้นมีความละเอียดลออ
    และธาตุพวกนี้จะพัฒนาได้ช้ามาก ในวงโคจรลำดับที่ 5 มีดาวเคราห์ขนาดยักษ์ชื่อว่า เฮอร์เซล (ดาวพฤหัสบดี)
    โดยมีบรรยากาศที่เป็นก๊าซก่อตัวขึ้นจากไฮโดรเจนและฮีเลียม รวมทั้งส่วนประกอบของแอมโมเนียที่มีปริมาณมาก
    ดาวดวงนี้มีระบบที่ไม่เหมือนดาวอื่นใดโดยมีพื้นผิวประกอบด้วยชั้นก๊าซมากมาย ในตอนกลางของกลุ่มก๊าซ
    เหล่านี้จะร้อนจัดและก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านของก๊าซบริเวณพื้นผิวดาว"


    ผมถามไปว่า "มีสิ่งมีชีวิตที่เป็นวิญญาณเหมือนผมบนดวงดาวนี้หรือเปล่า"

    โจแอ็บตอบว่า "ผิวของดาวเฮอร์เซล เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดของพลังงานจักรวาลในกาแล็กซี่ ผู้เดินทางข้าม
    ดวงดาวหลายคนได้หยุดพักที่นี่เพื่อเติมพลัง เหมือนที่วิญญาณได้ทำกัน เพื่อติดต่อกับพลังจักรวาลอื่นๆ สิ่ง
    มีชีวิตบนดาวเฮอร์เซลต่างมีรูปร่างเป็นก๊าซและมีความสามารถทางจิตวิญญาณได้เยื่ยมยอด นับว่าเป็น
    ความยากลำบากอีกครั้งสำหรับคุณที่จะเข้าใจความก้าวหน้าเช่นนั้นของพวกเขา ในสภาพการพัฒนาทางจิต
    วิญญาณของคุณในตอนนี้"


    ผมถามในทันทีว่า "มีดวงดาวอื่นๆอีกหรือเปล่าในระบบสุริยจักรวาล"

    "ถัดจากดาวเฮอร์เซล ก็คือ ดาวแซทเทอร์นัส (ดาวเสาร์) เป็นดาวที่มีวงแหวนล้อมรอบขนาดใหญ่ ตัววงแหวน
    ประกอบด้วยก๊าซและหินกรวด และวงแหวนจะถูกควบคุมดึงดูดโดยดวงจันทร์บริวารเล็กๆ 2 ดวง ที่โคจร
    รอบดาวดวงนี้ บนดวงจันทร์มีผู้เฉลียวฉลาดที่พัฒนาก้าวไกลมากที่สุดของดาวแซทเทอร์นัส สิ่งนี้ก็คือเผ่าพันธุ์
    ที่มีการพัฒนาตนเองอย่างสูงของชีวิตของหินนั้นเอง ถัดจากดาวแซทเทอร์นัส ก็คือวงโคจรของดาวเนปจูเนียส
    (ดาวเนปจูน) ดาวยูเรติส (ดาวยูเรนัส) ดาวปราติลิส (ดาวพลูโต) ดาวดราโคนิส และดาวเครปติส ดวงดาวเหล่า
    นี้เป็นถิ่นอาศัยของชนชาติเผ่าพันธุ์ที่มีความฉลาดระดับอัจฉริยะที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน เครปติสเป็น
    ดาวดวงสุดท้ายซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะของเหลวกึ่งแข็งอาศัยอยู่โดยอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจำพวกน้ำแข็งที่
    ประกอบด้วยน้ำกับธาตุอาร์กอน แสงของพระอาทิตย์แทบจะส่งไม่ถึงดาวดวงนี้เลย ดาวดวงนี้ปกคลุมไปด้วย
    ความมืดทั้งหมด และมีแสงเพียงอันเดียวเท่านั้นที่เกิดจากการปะทะกันของก๊าซอิออน และอาร์กอนที่มีพลังสูงมาก
    ดาวดวงนี้มีเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดปราดเปรื่องมากและมีระดับการวิวัฒนาการชั้นสูง อิธิพลของดาวดวงนี้ช่วยสร้าง
    ความกลมกลืนของระบบสุริยจักรวาลเป็นอันหนึ่งเดียวกัน ในที่สุดเมื่อสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธุ์มาถึงจุดสูงสุดของ
    การวิวัฒนาการโดยรวมทั้งหมดพวกเขาเหล่านี้จะรวมกันโดยมีพันธกิจที่แปลงกาแล็กซี่ให้กลายเป็นจักวาล
    ทั้งหมดในที่สุด นี่คือเหตุผลที่ช่วยบอกว่าดาวทุกดวงในระบบนี้มีความสำคัญและมีกฎเกณฑ์ที่จะปกครองและคุ้มครองตัวเอง"


    เมื่อโจแอ็บกล่าวจบ แสงรัศมีได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจเรไมกลายเป็นแสงปะทุที่ระยับตา

    ฑูตที่อยู่ในร่างเดียวกันถามผมว่า "คุณได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องทั้งหมดนี้บ้าง"

    ผมตอบว่า "ผมยังตัวเล็กและยังเด็กมาก ยังต้องเรียนรู้อีกมากมาย"

    "แล้วคุณจะได้รับโอกาสนั้นโดยเร็ว คราวนี้คุณมีโอกาสที่จะเรียนรู้บทเรียนต่างๆ มากมาย และได้ประสบพบ
    สิ่งต่างๆ ในช่วงเวลาชาติหนึ่ง"


    ผมร้องถามด้วยความตื่นเต้นว่า "เป็นบทเรียนอะไรหรือครับกรุณาช่วยบอกผมได้ใหม และมันอยู่ที่ไหนกัน"

    "โลกเป็นทั้งสถานที่และเป็นบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับความยินดีซึ่งคุณได้ถามหามาก่อนหน้านี้ ในขณะที่คุณได้
    รับประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจ คุณเองจะได้พบกับความรู้สึกตระหนี่ ความอิจฉาริษยาและตัณหา และตกอยู่
    ใต้อิทธิพลการทำลายล้างของอำนาจและการเข่นฆ่า สิ่งนี้ไม่ได้เป็นชีวิตที่แสนง่ายเลย และคุณต้องจำในจิต
    วิญญาณส่วนลึกว่าเวร็คกลีจะยั่วยุและทรมานคุณตลอดที่คุณยังมีชีวิต ถ้าคุณจำนนต่อสิ่งเหล่านี้ คุณต้องเกิด
    ใหม่หลายภพชาติกว่าจะได้พบเวอร์ดิกริส"


    ผมถามทันทีว่า "แล้วพวกคุณสองคนจะตามผมไปด้วยหรือเปล่า วิญญาณของผมถูกความรู้สึกที่ไม่เคยเกิด
    ขึ้นมาก่อนครอบงำ ซึ่งผมรู้ว่าคือความกลัวนั้นเอง"


    ฑูตทั้ง 2 คนกล่าวพร้อมกันว่า "เราสองคนจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ คุณจะไม่อยู่โดดเดี่ยวอ้างว้าง แม้ว่าคุณ
    จะไม่ได้สัมผัสมองเห็นตัวพวกเราก็ตาม วิญญาณของคุณอาจจะแข็งแกร่งขึ้นจากการทดสอบที่ใกล้จะมาถึง"


    แสงโชติช่วงนั้นวูบดับไป แล้วผมก็หมดสติไป เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็รู้สึกตัวเองอยู่บนโลกแล้ว
     
  13. LadyOfLight

    LadyOfLight เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    755
    ค่าพลัง:
    +2,472
    ขอบคุณคุณ su_ra ค่ะ

    ตอนนี้เริ่มติดงอมแงม รออ่านต่อเรื่อยๆแล้ว *-*
     
  14. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 5 ค่อนข้างยาว และมีธุระด้วยอาจจะ ไม่ต่อเนื่อง แต่จะค่อย ๆ โพสเรื่อยๆ นะครับ
     
  15. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 1

    สิ่งที่ผมประทับใจในโลกใบนี้ก็คือความหนาวเย็น เป็นความเย็นที่หนาวเหน็บ มีมือที่หยาบกระด้าง
    อุ้มผมออกมาสู่สถานที่อบอุ่นและสบายตัวซึ่งดูเหมือนตัวผมจะลอยคว้างอยู่ชั่วนิรันด์ ผมรู้สึกไม่
    พอใจต่อเสียงดังและกรีดร้องที่น่าตื่นตกใจ ผมจำคำสัญญาที่ได้ให้ไว้กับฑูตทั้ง 2 คน ผมพยายาม
    ทุเลาความโกรธด้วยความอดทนที่ผมเคยได้เรียนรู้บนดาวอาร์ดานิสแต่มันเป็นการปลอบใจตัวที่แย่จริงๆ

    มือที่หยาบกระด้างคู่เดิมได้ใช้น้ำอุ่นอาบตัวผมและห่อตัวผมด้วยผ้าที่แข็งหยาบ ต่อมาผมรู้ว่าผ้าผืน
    นั้นอันที่จริงแล้วเป็นผ้าลินินที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเหมือนก้อนกรวดในดาวเดล ซึ่งสัมผัส
    ผิวกายที่อ่อนไหวของผม ผมมีชีวิตอยู่ได้กับน้ำพุอุ่นนุ่ม และอาหารที่ผมได้จากน้ำพุนั้นอร่อยมาก
    แต่มีกลิ่นแแปลกๆต่อมาผมรู้ว่าน้ำพุนั้นก็คือ น้ำนมจากมารดาของผมนั้นเอง


    วันที่ผมถือกำเหนิดนั้นผมรู้สึกพอใจทีเดียว มีความสับเปลี่ยนหมุนเวียนในชีวิต ได้แก่ ความอ่อน
    โยน การนอนหลับ อากาศหนาวเย็นช่วงสั้นๆ และความอึดอัดไม่สบายตัว เมื่อผมตื่นนอนขึ้นมา
    ผมได้ใช้เวลาไปกับมือของคนหลายคน แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจภาษาของบุคคลเหล่านั้นก็ตาม ผม
    รู้สึกว่าการถือกำเนิดเป็นที่มาแห่งความยินดีน่าพอใจแก่ผู้คนรอบข้อง ถ้าชีวิตในชาตินี้ลำบาก
    ยากเข็ญตามที่เจเรไม และโจแอ็บกล่าว ผมของอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตเถอะ ผมคิดอย่างพึงใจ


    วันเวลาผ่านไป ผมเริ่มจำคนต่างๆ รอบตัวผมและเริ่มเข้าใจอย่างช้าๆ ถึงภาษาของพวกเขา แม่
    ของผมเป็นสตรีเลอโฉม มีรูปร่างงดงาม เป็นคนเจ้าระเบียบมาก พ่อไม่เคยเถียงแม่ แต่ผมก็พอรู้
    อยู่หรอกึงสีหน้าอันเบื่อหน่ายของพ่อที่พยายามจะไม่เถียงแม่


    สถานที่ที่ผมอยู่ในช่วง 2 - 3 เดือนแรกนั้นสุขใจมาก เตียงนอนของผมตกแต่งด้วยสีทองและอยู่ใน
    อากาศโปร่งถ่ายเท โดยหันหน้าไปทางทะเลสีครามจรัสตา หญิงที่ดูแลผมคือ นูเบียน ตัวเธอดำตัด
    กับชุดลินินที่เธอสวมใส่อย่างพอเหมาะพอเจาะ


    ตอนแรกๆ นั้น แม่แวะมาเยี่ยมดูผม 2 ครั้งต่อวัน แต่หลังๆแม่จะมาน้อยลงและในที่สุดแม่ก็แวะมาดู
    ผมแค่สัปดาห์ละครั้งสองครั้งและจากนั้นก็แวะมาเยี่ยมมช่วงสั้นๆเท่านั้นตอนนั้นผมได้กินอาหารจาก
    หญิงร่างใหญ่ที่อุ้มเด็กอายุน้อยกว่าผม ที่เธอได้เลี้ยงดูและให้กินข้าวต่อจากผม เพราะว่าบางทีอาจจะ
    ไม่มีอาหารพอสำหรับเด็กทารก 2 คน เด็กที่เธออุ้มมานี้นผอมซีด แม่ของเด็กคนนี้ไม่เคยปริปากบ่น
    เรื่องความไม่ยุติธรรมที่เห็นได้ชัดเจนนี้ เธอยังคงมาที่นี่และป้อนข้าวป้อนน้ำให้ผมวันละ 4 ครั้ง วัน
    หนึ่งเธอไม่ได้นำลูกมาด้วย ซึ่งนับตั้งแต่บัดนั้นก็ไม่เห็นเด็กคนนั้นอีกเลย ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนี้นเป็นตาย
    ไปล้วหรือยังไง ต่อมาไม่นาน ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่เหยียบย่างมาที่นี่อีกเลยอาหารของผมเปลี่ยนเป็นนมแพะ
    ซึ่งน่ากินและอร่อยมาก


    ในบางครั้งโจแอ็บและเจเรไมมาหาผมโดยได้สั่งสอนผมผ่านทางโทรจิตเรื่องภาระหน้าที่ซึ่งผมต้องกระทำ
    บนโลกใบนี้ พวกเขาบอกผมว่าหลังจากนี้พวกเขาไม่สามารถมาหาผมได้อีก อำนาจอิธิพลของโลกน่า
    จะเริ่มปรากฏเพื่อจะได้รู้สึกบ้าง แล้วผมก็ลืมเรื่องภพชาติของผมไป นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นทีเดียวที่ผม
    ได้สอนสั่งให้จิตสำนึกภายใน จำคำสั่งสอนของโจแอ็บและเจเรไม่อย่างเงียบๆเพื่อว่าจะได้มีหลงลืมคำสอนนี้ไป


    การติดต่อสื่อสารระหว่างฑูตวิญญาณกับผมไม่ได้ติดต่อโดยผ่านภาษาใด แต่เป็นการสัมผัสติดต่อทางจิต
    ที่ผ่านข้ามวิญญาณของเรามากกว่า ผมไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดออกมาเมื่อผมได้เห็นพวกเขาปรากฏ
    กายอย่างปัจจุบันทันด่วน หากจะพูดในอีกความหมายหนึ่งนั้นก็คือว่า บนโลกมนูษย์นั้นแต่ละคนพูดจา
    แตกต่างกัน และผมก็ได้รับรู้ในหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาพูด โดยไม่ได้สะท้อนออกมาจากจิตใจพวกเขา
    เมื่อผมภามโจแอ็บว่า สิ่งนี้หมายถึงอะไร เขาก็บอกว่า การพูดคุยที่ไม่เป็นจริงเรียกว่า การโกหก คำโกหก
    จะไม่สะท้อนจากวิญญาณเพราะเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ผมรู้สึกประหลาดใจเขาเลยกล่าวต่อไปว่า การโกหก
    เป็นเรื่องปกติเพราะมนุษย์ไม่ได้ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ผมอยากรู้ว่า
    "ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น" เขาตอบว่า "เพราะ
    มนุษย์คิดถึงแต่ตนเองเท่านั้น และทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อตอบสนองสัญชาตญาณพื้นฐานและตันหาของตนเอง
    เท่านั้น นี่คือโศกนาฏกรรมของชีวิตมนุษย์เราเรียกสิ่งนี้ว่า ความเห็นแก่ตัวคุณต้องหลีกเลี่ยงอำนาจความ
    เห็นแก่ตัวนี้ เพราะมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามายุ่งเกี่ยว"


    เหมือนดังที่โจแอ็บและเจเรไมทำนายทายทักไว้ ทันทีที่ผมเริ่มพูดภาษาของโลกมนุษย์ได้ และปรับเข้ากับ
    สภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างกระตือรือร้น ความทรงจำของผมส่วนหนึ่งก็เริ่มเลือนหายไปแสงรัศมีโชติช่วง
    ที่ฑูตวิญญาณอาศัยอยู่นั้นได้ทึบแสงลง เสียงฑูตทั้งสองเริ่มขาดหาย เช้าวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาโดยรู้สึกตัวว่า
    ตัวเองเป็นเด็กบนโลกที่มีอายุ 1 ขวบครึ่ง หลังจากนี้ไปชีวิตของผมคงจะยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผมไม่
    รู้จะอธิบายสิ่งแปลกๆ ที่ผมได้เห็นและได้ฟังเป็นประจำ เหล่าพวกคนรับใช้ดูแลผมนั้นวันๆ ไม่ได้ทำอะไร
    เลย นอกจากดูแลอาหารการกินของผมและหาสิ่งของมาวางรอบๆตัว ผมรู้สึกเบื่ออยู่ตลอดเวลา เวลาที่ผม
    อยู่กับพ่อเท่านั้นที่ผมมีความสุข พ่อมาอยู่เคียงข้างผมในทันทีที่แม่ไม่สนใจผมแล้ว

    ในบางครั้งพ่อของผมจากไปเป็นเวลานานเพื่อต่อสู้กับข้าศึกศัตรูหรือบางทีพ่อก็บอกให้ผมรู้ เมื่อพ่อกลับมา
    พ่อจะนำของแปลกและหายากจากการสู้รบและก็จะอยู่เป็นเพื่อนผมข้างๆ เพื่อชดเชยเวลาที่พ่อไม่อยู่ สำหรับ
    พ่อกับแม่แล้วนั้น หากเป็นไปได้จะหลบหน้าไม่ยอมเจอกัน แต่เมื่อพ่อกับแม่เจอกันทีไร ผมรู้สึกตกใจกลัว
    คำด่าทอโต้เถียงกันของพ่อกับแม่ เสียงร้องของผมมักทำให้เสียงพ่อแม่เงียบลงเสมอ แต่พ่อมักจะเป็นฝ่าย
    เดินออกไปจากห้องเอง


    ผมผ่านวัยทารกไปอย่างรวดเร็ว พอผมอายุได้เพียง 5 ขวบพ่อก็สอนให้ผมให้ใช้หอกและดาบสั้น แต่สิ่งหนึ่ง
    ที่พ่อชอบก็คือ ให้ผมระวังทาสอายุแกกว่าผมคนหนึ่ง ซึ่งสอนให้เขาโจมตีตัวผมราวกับว่าผมเป็นคนโตแล้ว
    ทาสคนนี้ได้รับการฝึกปรือมาอย่างดี ในด้านศิลปะการต่อสู้ และพ่อของผมได้ฝึกฝนให้เขาเก่งกาจ ผมประจัญ
    หน้ากันเขาโดยไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด เท้าเปล่าเล็กๆ ทั้งสองข้างของผมยืนปักหลักแน่น ผมใส่ชุดเกราะสีทอง
    และหมวกเหล็กที่ติดขนนกมีสีสวมบนศรีษะที่ยุ่งเหยิง ผมถือโลหะสีทองด้วยมือซ้ายที่สลักเสลาเป็นแสงอาทิตย์
    ส่วนมือขวาผมถือดาบสั้นจังก้าพร้อมต่อสู้
     
  16. redangel01

    redangel01 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +0
    จากหนังสือ คู่แท้ต่างภพ หรอคะ ^^
     
  17. rnuir

    rnuir เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +218
    มารออ่านครับ
     
  18. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    คู่แท้ต่างภพเป็นหนังสือที่ผมเคยอ่านและชื่นชอบ เรื่องราวของเคอคูเดี้ยน เราได้อ่านแล้วรู้สึกถึงกลิ่นอายที่คล้ายกัน
    หนังสือเรื่องนี้ชื่อเรื่อง "หลังความตายและการกลับชาติมาเกิด" ซึ่งเป็นหนังสือแปลและจัดพิมพ์เมื่อปี 2543 หรือ
    ประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ผู้เขียนคือ มีชีนกอนซาเลซ วิปเปลอร์ เดิมทีเป็นภาษาสเปน และถูกแปลเป็นอังกฤษ และก็ถูกแปล เป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่ง
     
  19. su_ra

    su_ra เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +736
    ตอนที่ 5 โลกมนุษย์ ส่วนที่ 2

    ผมและทาสได้ประลองฝีมือกันครั้งแล้วครั้งเล่า โดยต่อสู้กันไม่มีใครแพ้ใครชนะ ตอนแรกทาสทำท่า
    จะชนะ โดยได้ปัดดาบหลุดออกจากมือผมอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ดาบหลุดจากมือ พ่อจะทำโทษผมด้วย
    ความนิ่งเงียบและหายหน้าหายตาไปหลายวัน สำหรับผมแล้วการที่พ่อทำอย่างนี้ มันเลวร้ายกว่าการ
    หวดตีโดยพวกทาสอีกผมรักแม่แต่ไม่ได้มีความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างผมกับแม่ แต่ผมรักเทิดทูน
    พ่ออย่างจับใจ จนทำให้ผมรู้สึกเป็นเรื่องน่าลำบากใจ หากอยู่โดยลำพังไม่เห็นพ่อ

    จากที่ผมฝึกฝนฝีมืออย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือน ทาสคนนี้ก็ไม่อาจปลดอาวุธผมลงได้อีก เมื่ออายุได้ 7 ขวบ
    ผมสามารถเอาชนะทาสผู้นี้ได้ในไม่กี่วินาที ผมรู้ว่าพ่อภูมิใจที่ผมทำสำเร็จ แต่พ่อไม่เคยแสดงให้ผม
    เห็น ผมเท่านั้นที่รู้ถึงสิ่งนี้ เพราะพ่อจะมาหาผมทุกวันเมื่อพ่อไม่ได้ออกไปไหนและมักจะซื้อของเล่น
    มาให้เสมอ พ่อดูแลอาหารการกินของผมอย่างรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้กินของหวานใดๆ
    ของหวานที่ผมกินได้คือผลไม้และน้ำผึ้ง แม่เอาของหวานซึ่งทำมาจากน้ำผึ้งและลูกนัทมาให้ แต่เมื่อ
    พ่อเห็น พ่อจะโกรธมากจนผมคิดไปเองว่า พ่อน่าจะทำร้ายแม่ได้ ผมไม่เคยเห็นพ่อโกรธเป็นฟืนเป็น
    ไฟแบบนี้มาก่อน พ่อตวาดว่าแม่กำลังพยายามจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อลงแรงทำ และว่าแม่กำลัง
    ทำให้ผมเป็นเด็กอ่อนแอปวกเปียก และเลี้ยงผมเหมือนเด็กผู้หญิง พ่อสบภด่าว่า "นักรบต้องไม่กินเค้กน้ำผึ้ง"

    บางครั้งนักรบจะไม่กินอาหารอะไรเลยเป็นเวลาหลายวันเป็นสัปดาห์ แม่ตวาดกลับไปว่า ผมยังไม่ได้
    เป็นนักรบ แต่เป็นแค่เด็กที่มีอายุยังไม่ถึง 8 ขวบ พ่อเหวี่ยงหมวกเหล็กลงบนพื้นอย่างโมโห และผลุน
    ผลันออกจากห้องนี้ไปกับเหล่าทหารของพ่อ จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็ไมเคยยอมกินของหวานที่แม่เอา
    ให้อีกแล้วแม่ก็ไม่เคยเอาให้กินอีกเลย


    เพื่อไม่ให้แม่มามีอิทธิพลเหนือตัวผม พ่อได้จ้างผู้สอนการต่อสู้ให้แก่ผม เขาเป็นบุคคลที่เจ้าเล่ห์และน่า
    รังเกียจชื่อ ลีโอนิดาสเขามีหน้าที่สอนผมเกี่ยวกับศิลปะและกลยุทธด้านสงคราม เขาเป็นคนเกี้ยวกราด
    และดุร้าย และสั้งสอนผมโดยไม่ปรานีปราศรัย เขาบังคับให้ผมตื่นนอนก่อนรุ่งสาง และสั่งให้ผมเดิน
    สวนสนามรอบๆ อยู่หลายชั่วโมง ก่อนที่จะอนุญาตให้ผมกินข้าวเช้าที่น้อยเท่าแมวเลียแม้แต่ชาวสปาต้า
    ก็ต้องโอดครวญ ในช่วงบ่ายผมได้ฝึกรบแบบทหาร หลังจากนี้ผมจะได้กินข้าวเที่ยงอันน้อยนิด และต้อง
    เดินสวนสนามที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย โดยสิ้นสุดตอนถึงอาหารค่ำซึ่งเป็นสิ่งที่เคร่งครัดเช่นกัน เวลาผ่าน
    ไปวันแล้ววันเล่า ผมทนต่อความเบื่อหน่ายและกิจวัตรประจำวันที่ต้องบากบั้นเพียรพยายามโดยไม่มี
    ความสุขที่จะเล่นของเล่นหรือสิ่งที่น่่าพอใจอะไรได้เลย พ่อแวะมาหาผมทุกวันและพอใจฝีมือที่ก้าวหน้า
    ของผม และผมก็ไม่เคยปริปากบ่นเนื่องจากกลัวว่าพ่อจะผิดหวัง แม่มาเยี่ยมผมนานๆ ครั้ง โดยไม่ได้
    รับการต้อนรับที่ดีจากลีโอนิดาสและยังถูกเกียจชังจากพ่ออีกด้วย จากความรู้สึกที่ครอบคลุมตัวผมและ
    บรรยากาศที่กดดันบีบคั้นที่บ้านทำให้ผ่านวัยเด็กโดยไม่ได้สัมผัสและดื่มด่ำกับความสุขสดชื่น


    หลายปีผ่านไป พ่อได้เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่อย่างกระตือรือร้น แม้ว่าจะหายหน้าหายตาไปบ่อยครั้ง และ
    ไปหาความสุขกับสุรานารีพ่อตระหนักที่จะให้ผมอยู่ในความควบคุมดูแลของลีโอนิดาส แต่ลีโอนิดาส
    ไม่ได้สนใจต่อการพัฒนาจิตวิญญาณการเป็นนักรบของผมเลยดังนั้นพ่อจึงไล่เขาออก และจ้างครูฝึก
    คนใหม่เพื่อแก้ปัญหาแทน ก่อนที่พ่อจะตัดสินใจทำสิ่งนี้ พ่อแน่ใจแล้วว่า ผมจะไม่ลืมสิ่งหนึ่งที่ผมจะ
    ต้องเป็นนักรบ ด้วยความตั้งใจจริงอันนี้พ่อจึงมอบของขวัญอันล้ำค่ามากที่สุดนั่นก็คือ ม้าสีขาวที่สง่างาม
    และมีชีวิตชีวาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ต่อสายตาทุกคนที่แวะมาหาพ่อ ผมตั้งชื่อมันในทันทีว่า บิวเซฟาลุส โดย
    มีความหมายว่า "เจ้าหัวกระทิง" เนื่องจากหัวของมันโตมากเหมือนกับความเฉลียวฉลาดของมัน


    ตอนที่พ่อให้พวกทาสนำม้าตัวนี้มาให้ผมนั้น มันทั้งเตะถีบและทำเสียงฮึดฮัดไป ลมหายใจออกจากรูจมูก
    อันใหญ่ของมันหัวใจของผมเปี่ยมด้วยความปลื้มปีติ ผมรอพวกทาสอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อนำมาตัวนี้เข้าใกล้
    เพื่อผมจะได้ขี่มัน แต่มันไม่ยอมให้ขี่หรือยอมให้ใครควบคุมมันได้ ผมมสังเกตเห็นว่ามาวิเศษตัวนี้กลัว
    เงาที่เกิดจากการเคลื่อนของตัวมันเอง ผมเลบจับบังเหียนอย่างไม่เกรงกลัว และพามันหลบแดดไป พร้อม
    ทั้งพูดกับมันดีๆ อยู่พักหนึ่ง เมื่อมาตัวนี้สงบลงผมก็ขึ้นขี่มัน และมันไม่ได้สะบัดผมลงแต่อย่างใด ชั่วครู่
    เดียวก็กลับขี่มันรอบๆบริเวณที่ว่างของพระราชวัง ผมอยู่บนตัวบิวเซฟาลุสราวกับตัวติดกัน ผมเพิ่งมีอายุ
    ย่าง 13 ปี ในช่วงเวลาอีก 17 ปี ข้างหน้าบิวเซฟาลุสก็จะเป็นสหายผู้ติดตามผมตลอดการต่อสู้ดิ้นรน
    ของชีวิตในท้ายที่สุดเมื่อมันตายเนื่องจากอายุมากและเป็นสัตว์ที่เก่งกาจ ผมได้สร้างเมืองจำลองขนาด
    ใหญ่เหนือหลุมศพ และตั้งชื่อว่าบิวเซฟาลา


    ผมดีใจที่ความสามารถขี่ม้าได้ ต่อมาพ่อได้พาผมไปพบครูฝึกคนใหม่ ครูคนนี้ยังหนุ่มแน่น มีหน้าตา
    หล่อเหลาและสายตาที่สงบนิ่งเขาเป็นสาวกของชายคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศกรีซและแม้
    ว่ายังไม่มีใครรู้จักเขาดี แต่ชื่อเสียงของเขาเริ่มโด่งดังขึ้นเนื่องจากสติปัญญาอันชาญฉลาดหลักแหลม
    และความเข้าใจอย่างถ่องแท้ด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะและปรัชญา ชื่อของชายผู้นี้คือ อริสโตเติ้ล


    ผมประทับใจในตัวอริสโตเติ้ลตั้งแต่แรกแม้ว่ามีความจริงอันหนึ่งที่ว่า ใครก็ตามย่อมดีกว่าลีโอนีดาส
    ที่น่ารังเกียจ ครูคนใหม่ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นคนอ่อนโยน และเข้าใจโดยไม่ต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่
    ตั้งตั้งแต่นั้นมาชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มุมมองในบางสิ่งที่ชัดเจนของอริสโตเติ้ลนั้นทำให้
    วิญญาณของผมได้อยู่ในความทรงจำของใบหน้าและเสียงที่โชติช่วงในสายลม แต่ความทรงจำยังริบหรี่
    ที่คิดถึงโจแอ็บและเจเรไม่ยังคงลึกอยู่ในตัวผม และความเฉลียวฉลาดของอริสโตเติ้ลทำให้ความทรงจำ
    เหล่านี้ไม่อาจกลับมาได้อีก


    อริสโตเติ้ลสอนให้ผมรักวิทยาศาสตร์และธรรมชาติ และใช้ตรรกศาสตร์ในการใช้เหตุผล อริสโตเติ้ลเป็น
    คนสอนผมว่า สำหรับกษัตริย์นั้นการควบคุมอารมณ์สำคัญมากว่าการครอบครองอริศัตรู คำสอนนี้นับ
    เป็นสิ่งที่น่าสนใจที่อริสโตเติ้ลได้ปลูกฝึงเรื่องวิทยาศาสตร์แก่ผมเป็นเวลาหลายปีต่อจากนั้น ผมน่าจะส่ง
    ตัวอย่างที่หายากของพืชและสัตว์จากการสู้รบที่มากมายให้แก่อริสโตเติ้ล


    สิ่งแรกที่อริสโตเติ้ลรู้ดีเมื่อเขาพบผมครั้งแรกก็คือว่า ผมต้องการเพื่อนผู้ชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
    พ่อได้เลือกบุตรชาย 3 คน ของขุนนางที่มีอายุไล่เลี่ยกับผม ตามคำแนะนำของอริสโตเติ้ลและนี่ก็เป็น
    ครั้งแรกในชีวิตที่ผมมีเพื่อน เฮฟาธิออน เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กลายเป็นน้องชายของผมมากกว่าเพื่อน
    อย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาเป็นเหมือนตัวผมอย่างแท้จริง ผมอยู่ไม่ได้เลยหากไม่มีเขา นับว่าเป็นครั้งแรก
    ที่ผมรู้ซึ่่งถึงมิตรภาพที่แท้จริงและความรักใคร่จริงจังจากที่ผมมีชีวิตอันเลวร้ายเปล่าเปลี่ยว มิตรภาพ
    ทำให้ผมมีความสุขสบายใจและบรรเทาทุกข์ลงได้


    อริสโตเติ้ลได้ถ่ายทอดความรู้สึกในการชื่นชอบในวรรณคดีแก่ผม นักเขียนที่ผมชื่นชอบคือ พินดาร์
    ซึ่งอยู่ที่ธีบีส แต่ผมชอบมหากาพย์ของโฮเมอร์ เรื่องอีเลียด ที่ได้บรรยายถึงสงครามระหว่างกรุงทอย
    และกรีซ ผลงานวรรณชิ้นสุดท้ายนี้ช่วยพัฒนาสติปัญญาผมได้มาก ซึมซับคุณค่าและแนวคิดจากกรีก
    โบราณเป็นอย่างมาก ตลอดชีวิตของผม ผมนอนอยู่กับหนังสือเล่มนี้ที่วางไว้ใต้หมอนและมีกริชด้าม
    เล็กวางไว้ข้างๆ

    การเรียนหนังสือกับอริสโตเติ้ลก็ต้องหยุดลงทันที เมื่อผมอายุได้ 16 ปี เนื่องจากผมต้องขึ้นครองราชย์
    แทนพ่อ ในขณะที่พ่อได้ต่อสู้ในการรบเป็นเวลายาวนาน และแสนลำบากในอาณาจักรไบเซนเทียมที่
    อยู่ทางใต้ของเมืองเทรซ พวกขุนนางราชสำนักจ้องที่จะครองอาณาจักร นับว่าเป็นงานหนักหนาสำหรับ
    เด็กหนุ่มที่กำลังเรียนไวยากรณ์และเลขพีชคณิต แต่จิตวิญญาณกลับต้องมามีภาระเงื่อนไขที่กำหนดโดย
    พ่อที่ควบคุมอำนาจตั้งแต่ผมยังเด็ก และผมก็ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนหน้านี้ผมได้เคย
    ลองสวมมงกุฏของพ่อ และหมวกเหล็กทำสงคราม พวกเมดี้เป็นชนเผ่าเมืองเทรซที่พ่ายแพ้ต่อมาร์ซีโดเนีย
    ได้ฉวยโอกาสตอนพ่อไม่อยู่และก่อกบฏต่อบ้านเมืองเรา นับเป็นครั้งแรกที่ผมส่งกองกำลังทหารของพ่อซึ่ง
    ต่างยอมรับความเป็นผู้นำของผมโดยไม่ได้ทะเลาะขัดแย้งกัน และผมได้นำทัพพาพวกเขาไปยังเนินเขา
    เตี้ยๆ ที่พวกกบฏซ่อนตัวอยู่ พวกเราได้กำจัดกวาดล้างพวกกบฏได้อย่างรวดเร็ว ผมได้ตั้งเมืองขึ้นใหม่
    เหมือนที่พ่อเคยปฏิบัติ นั่นก็คือ เมืองอเล็กซานโดรโปลิส ซึ่งเป็นเมืองของจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็น
    ฉายาหนึ่งที่กลายเป็นชื่อของผม พ่อภูมิใจที่ผมชนะชนเผ่าเมดี้มากจนแต่งตั้งผมเป็นนายพลประจำกองพัพ
    ในทันที ตอนนั้นผมอายุย่าง 18 ปี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2011
  20. ดาวจรัสแสง

    ดาวจรัสแสง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    542
    ค่าพลัง:
    +3,015
    กำลังสนุกเลยค่ะ มานั่งรอและให้กำลังใจ รอติดตามตอนต่อไป ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...