เนวะสัญญานาล้างยากไหมครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย pl12, 31 พฤษภาคม 2021.

  1. pl12

    pl12 มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นโดยสันติวิธีการ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +4
    ในบรรดาขันธ์ห้า ตัวเนวะสัญญานาน่าจะล้างยากสุด แล้วมันคืออะไรหรอครับ อยากให้ผู้รู้ช่วยอธิบายคำนี้ทีครับ คำว่า เนวะสัญญานา
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,302
    ค่าพลัง:
    +12,628
    ยังไม่รู้จักมัน คุณและโทษมันมีแค่ไหน
    เตรียมจะล้างมันเพื่ออะไรฮับ??
    ถ้าต้องการบรรลุธรรมไต่ระดับ
    เริ่มต้นไปตั้งแต่โสดาปฏิมรรค
    โสดาปฏิผล
    ไม่ต้องไปใช้ญานระดับอรูปฌาน
    สูงสุด
    หรอกฮับ ยกเว้นอยากเป็นพระพรหม
    ยาวๆ 55
     
  3. pl12

    pl12 มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นโดยสันติวิธีการ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +4
    ตัวนี้คือ ความจำ ตามที่ผมได้ทราบมา บัดเดี๋ยวก็จำได้ เดี๋ยวก็จำไม่ได้ การจะล้างตัวนี้ได้ ต้องเข้าสมาธิใช่ไหมฮะ (ความจริงขันธ์ห้าชะล้าง ได้ก็ต้องเข้าสมาธิให้ได้ก่อน ใช่ไหมฮะ อุปจาระขั้นต้น )
    แต่ถ้ามีจิตอิ่นมาแทรกก็จะยากหน่อย
     
  4. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    อย่าไป ตรึกแบบกระโดดจับความ คาดเดา จิฮับ

    ต้อง ตรึกไปตามเหตุ ตามปัจจัย

    เนวสัญญาคืออะไร

    คือผลที่เกิดจากการ หมั่นภาวนา อากิญนัญจะ

    หากตรึกตามเหตุ ตามปัจจัย ก็จะไม่ไป กระโดดถาม เนวะฯ
    แต่จะถาม อากิญนัญจะ ก่อง

    ทีนี้หาก อากิญนัญจะ คืออะไร ก็ไม่รู้ ก็ใช้วิธีเดิม
    ตรึก"ตรอง"ตามเหตุ ตามปัจจัย

    ปัจจัยให้เกิด อากิญนัญจะ ก็จะเป็น วิญญานัญจะฯ

    วิญญานัญจะ คืออะไร ก็ไล่ไปอีกว่าเกิดจาก อากาสาฯ

    อากาสาฯ คืออะไร ก็ไล่ไปอีกว่าเกิดจาก พ้นรูปฌาณ
    หรือ พ้นจตุถฌาณที่ใช้รูปเป็นอารมณ์

    ทีนี้ สมมติว่า สามารถตรึกตามเหตุได้

    จะเห็นเลย ต้องไปกลัว เนวสัญญา ไหม ล้างยากไหม

    มันจะล้างของมันเอง หาก เหตุไม่มี

    หากวันนี้ จตุฌาณ ยังไม่เคยสัมผัส ก็เป็นอันว่า ล้าง
    เนวสัญญาอัตโนมัติ

    ทีนี้ เอาเข้าจริงๆ เนวสัญญา มันเกิดขึ้นได้ไหม
    ก็ต้องบอกก่องว่า มันเกิดขึ้นได้ ถ้าปัจจัยมันมี
    เพียงแต่ว่า ไม่ใช่การ ทรงไว้ได้ ไม่ชำนาญใน
    การเข้า ออก อยู่ และ ใช้งาน(สำเร็จเจโตสมาธินั้นๆ)

    เชน สมมติมีสมาชิคนนึง มีกล้วยข่ายปลายหวีเหี่ยว
    เป็นสรณะแทนหน้าตา เวลาเจออะไรที่ไม่พอใจ ก็
    ไปสร้าง "วิภวตัณหา" แล้วพอกระทบ รูปจจรใด ก็ฝึก
    ทำข้าวปั้นหน้าชิสุ ส่ายหน้าปฏิเสธ แสวงหาสิ่งตรง
    กันข้ามแล้ว เข้าถือ อะไรแบบนี้ ก็เท่ากับ อาศัยรูปวจร
    กระทบแล้วสร้างวิภวตัณหาแล่นไป ส่ายหน้ายิ๊กๆ
    แต่ก็ยึดเอาไว้ในสัญญาอย่างหนึ่งโดยไม่เห็นว่า
    สัญญามีปรกติเกิดแล้วดับทั้งสิ้น ก็จะเข้าไปติดสัญญา
    นั้นด้วยอาการ ดัดจริต ปูหนีบอิปิยังเรียกพรี่ขา อะไร
    แบบนี้ก็จะเกิด เนวสัญญาฯ เข้ากุมจิตได้ ทำบ่อยๆ
    ก็อาจจะแล่นไปเกิดในภูมิพรหมดังกล่าว แก้ยาก
    ที่จะไม่แล่นไป แต่ทว่า ความชำนาญในการทรง
    ไม่มี พอตายจากมะนุด ก็อาจจะไปเกิดในพรหม
    เนวสัญญา ชั่วเวลาแค่นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ
    ก็หมดบุญจากพรหม แล่นไป นาหญ้าขึ้นรกทันที
    ไม่สามารถประกอบกุศลใดต้านได้ เพราะ ภพมะนุด
    เป็นภพเดียวที่จะเอาไว้สร้างกุศล นอกนั้นเป็นเพียง
    การไปเสวยวิบาก ด้วยเหตุนั้น ในกรณีนี้ การเผลอ
    ไปเนวสัญญาฯ จึงน่ากลัว

    ดังนั้น

    จขกท ก็แค่สังเกต ทำความเข้าใจ กามตัณหา
    ภวตัณหา และ วิภวตัณหา ศึกษา ตัณหา3 ให้
    เข้าใจ กำหนดรู้ความเกิด ความดับ เนืองๆ
    ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ก็สามารถ ถอนรูปวจร
    อรูปวจร ได้ที่ ราก เหมือนคนทำงานเสร็จ
    ก็นั่งรอรับเงินเดือน ไม่ต้องพะวงว่า อะไรจะขาด
    หรืออะไรจะเกิน


    ปล ลิง : จากประวัติการโพส การรับจ้างดูดวง
    อะไรแบบนี้ ไม่ใช่อาการของคนจะแล่นไป อรูปฌาณ
    ที่มีเส้นทางไป เนวสัญญาฯ สิ่งที่ จขกท ควร
    ทำการเข้าใจคือคำว่า "อเนญชา" ซึ่งจะคน
    ละอารมณ์กับ อรูปฌาณ อุปมา จขกทไปสั่ง
    คาปูชิโน่ รู้ชัดในรสอร่อยของคาปูชิโน่ แต่ทว่า
    จะไม่แสวงหาเอง จะแค่ทำนิมิต แล้วให้ผู้อื่น
    จัดมาให้

    งง ไหม เหมือนจะ ล่วงรูป แต่ จริงๆ หลงรูป
    เต็มๆ เพียงแต่วางกลในการได้มาซึ่งรูป ให้บิด
    ไปนิดนึงแทนที่จะแสวงหาเอง ก็ให้โลกมัน
    บันดาลมาให้

    เหมือนคนรู้ว่า ข้าวกินแล้วเกิดนิวรณ์ เกิดกาย
    ก็ปฏิเสธการขวนขวายการมีกาย แต่ก็รอให้คน
    อื่นส่งมาให้แทน เรียกว่า มโนยุกยิก ก็ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 พฤษภาคม 2021
  5. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    ถ้า ตามโพสนี้

    ถ้า ตามโพสนี้ ไม่ใช่เรื่อง เนวสัญญา

    แต่เป็นการ "แจ้ง" "รู้แจ้ง" ว่า สัญญามี ปรกติดับ

    อะไรแบบนี้ ไม่ต้องล้าง

    แต่ให้ ใช้ตามนำไปเลย ในการถอนความเห็นผิด
    ว่า

    1.สัตว์มีสัญญา(จำได้ไม่ลืม) เป็น มิจฉาทิฏฐิ
    จริงแล้ว สัญญามีปรกติเกิด แล้วก็ดับ ต้องกระทบ
    เหตุ จึงจะเกิด สัญญา เช่น ตากระทบแก้วน้ำ
    สัญญาก็จะแล่นไปว่า แก้วน้ำ ไม่ใช่ ตามไปกระทบ
    ขวด แล้วบอกว่า แก้วน้ำ ค้างเติ่ง

    สัญญาเกิด แล้วก็ดับ ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ once
    ที่เมื่อไหร่ ตากระทบแก้วน้ำ สัญญารู้ว่าแก้วน้ำ
    จึงจะเกิด

    ทีนี้ สัญญาจะ หมายรู้ว่า แก้วน้ำ ต้องเกิดทุกครั้งไหม
    ก็ไม่จำเป็น

    สมมติว่า จขกท ฝึกสติ ให้มากๆ ตากระทบแก้ว
    น้ำ สัญญาอาจจะกลายเป็น "ความว่าง" เหมือน
    คนจำอะไรไม่ได้ ซึ่ง ไม่ใช่นะฮับ

    สัญญามันจำได้ว่า แก้วน้ำเป็นของโมฆะ(ว่างเปล่า
    จากมรรคผล) มันก็ วางไว้ สญญาคำว่า แก้วน้ำ
    ไม่เกิด แต่ มืออาจจะหยิบแก้วน้ำ ยกขึ้นมาดื่ม
    น้ำสบายใจไปแล้ว ไม่มี ทำแก้วหล่นจากมือ
    แล้วไม่ได้กินน้ำ เพราะไปเห็นว่า แก้วน้ำเป็นของว่าง(space เอ๋อเหรอ ขึ้นมา)

    ดังนั้น

    ต้องพินา สัญญาที่มันผลิกไป จับอีก ความหมายหนึ่ง

    จิตเกิดเมื่อใด สัญญาเกิดเมื่อนั้น ไม่มี จิตเกิดแล้วสัญญาไม่เกิด
    (นอกจาก สัญญา ก็มี เวทนา ที่เกิดพร้อมกับจิต)


    2. สัตว๋ไม่มีสัญญา เป็น มิจฉาทิฏฐิ
    3. สัตว์มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เป็น มิจฉาทิฏฐิ

    ข้อ 2 และ 3 เว้นการอธิบาย เพราะ สาระจริงๆ สัญญา มีปรกติ
    เกิดแล้วต้องดับ
     
  6. pl12

    pl12 มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นโดยสันติวิธีการ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +4
    อันนี้ผมคงจำผิด ระหว่าง สัญญา ในขันธ์ห้า กับเนวะ ในที่เจอบ่อยๆในยอดพระกัณฑ์ ขอโทดทีครับ
    ตัวหลังต้องเข้าจตุชาญใช่ไหมครับ ถ้างั้น ผมคงไม่ผ่าน เพราะทุกวันนี้ ระดับทุติย ยังค่อนข้างแย่
    มีจิตอื่นแทรกเข้ามามากมายเลย ขวางไว้บ่อยๆ
    เดวก็มากวนตอนระดับหนึ่ง เดวก็ไปขวางไว้ที่สอง ที่สาม ชาตินี้คงไม่ไปถึงไหน
    แล้วสองตัวนี้ต่างกันไงฮับ สัญญา กับเนวะสัญ
     
  7. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    อย่าไป ตำหนิ จิต แบบนั้น

    อย่าสำคัญว่า จตุถฌาณ ตนไม่มี ไม่เคย เป็น โยคาวจร ทางฌาณ

    ฌาณ1-8 เป็น รูปวจร อรูปวจร จขกท ไม่ได้ฝึก จิตมันก็จะ
    จรของมัน มีการแล่นไปของมันอยู่แล้ว หากมีเหตุ

    ฌาณ1-8 เป็น รูปวจร อรูปวจร จขกท ไม่ได้ตังใจฝึก
    มันก็เกิดของมันอยู่แล้ว เป็นปรกติ เพียงแต่ไม่ได้มา
    ถาม จขกท ว่าจะเข้าไหม จะออกไหม

    เช่น จขกท ส่ายสายตากวาดไป สังเกตไหม ว่ามี สิ่งของ
    มากมายที่มันไม่มารายงานว่า เห็น นก ช้าง ม้า ใบหญ้า
    แสงแดง เงา ฯลฯ

    สื่งที่ไม่ขึ้นวิธี ทั้งที่ วิญญาณแล่นไปกระทบ บางส่วน
    มันจะผลิกเป็น วิภวตัณหาของมันเอง ตามความเคยชิน
    มันไม่ต้องรอถาม จขกท และ อะไรเหล่านั้น คือ เนวสัญญาวิญาตนะ

    ในทางอภิธรรม จตุฌาณ เกิดทุกขณะจิต หนึ่งลมหาย
    ใจของเรา จตุฌาณ เกิดเป็น ล้านขณะ เพียงแต่มัน
    สัดส่าย ไม่ได้ คงไว้ในการหมาย ในรูปเดียว อารมณ์เดียว

    หาก จิตไม่มี จตุถฌาณ เซลมะนุด จะผลัด จะอุบัติ จะสลาย
    กลายเป็นคลี่ไคร ไม่ได้
     
  8. ละอองไฟ

    ละอองไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    2,469
    ค่าพลัง:
    +1,398
    เนวสัญญา
    เป็นการหลงยึดว่าจิตเที่ยง
    ท่านอุทกดาบส
    ท่านอาฬารดาบส
    ก็หลงติดเนวสัญญา
    เพราะไม่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
     
  9. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    สมมตินะ สมมติ

    สมมติ จขกท ไปรับคำท้า นักกสิณ สักคนหนึ่ง

    แล้ว เขาก็ ครอบงำจตุฌาณเพ่ง"การสลาย(ธาตุไฟ)" ให้บังเกิดกับ จขกท

    แต่ จขกท ยืนชิวๆ จิตไม่ได้กระเพื่อม ยินดี ยินร้าย
    และก็ไม่ได้ มุ่งเอาการเฉยๆ

    แต่ อำนาจกสิณที่เขาเพ่งมาไม่เกิด

    แปลว่าอะไร

    แปลว่า ขณะนั้น จิตคุณเข้าฌาณภ4 บังหวนการสลายที่เขาเพ่ง
    มาด้วยอำนาจแห่ง บุญฤทธิ์ โดยไม่ต้องเหนือย

    แถม ผลเสียก็แล่นกลับคืนไปยังนักกสิณ ทันที เพราะ สัจจธิษฐาน
    ถูกทำให้บิดพริ้วกายเป็น มุสาวาทา ตัดอำนาจกสิณถาวร ในทันที

    เป็นต้น


    พระท่านจึงมีโศลกธรรมพูดกันว่า

    อิทธิฤทธิ แพ้ บุญฤทธิ์
    บุญฤทธิ์ แพ้ กรรม(หากไม่ได้ประกอบกุศลไว้ให้ถึงพร้อม ก็ แด๊กซๆ)
     
  10. pl12

    pl12 มุ่งแสวงหาทางหลุดพ้นโดยสันติวิธีการ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2020
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +4
    ผมพอเข้าใจแล้วฮะ
    ขอบคุณนะฮะที่ตอบให้พอกระจ่าง แต่เรื่องการหาดูดวง ก็เพราะความสามารถผมยังน้อย ยังไปดูฝันของตนเองไม่ได้
    คือ ถอดจิตไปดูความคิดคนอื่นได้ รึว่ามีตาทิพย์นั่นเอง จึงอยากหาคนมาดูให้เรื่องนี้ เพราะฝันผมมีความหมายบางอย่างอยู่ ก็อยากได้พยานบุคคลมาช่วยยืนยัน
    แต่คิดมาคิดไป ฝึกจิตนี่น่าดีกว่าฝัน แต่ถ้าคุณลิซ่าไม่รังเกียจ อยากเชิญมาร่วมเป็นพยานด้วยจะได้ไหมฮะ
     
  11. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    ก็ดูไป ฮับ ไม่ห้าม ฉันทะ ที่มันจะเกิด ตามวิบาก

    แต่ พึงทราบอยางหนึ่งว่า

    เหนือกระดาษ ยังมี ซาลาเปา
    เหนือซาลาเปา ยังมี ไข่เค็ม

    เหนือกรรม ยังมี การกำหนดรู้ ฉันทะ ที่เกิด ดับ
     
  12. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    ฝึกจิต ดีกว่า ฝัน แน่นอน ฮับ

    เพราะ จะทำให้ทราบ ธรรม อย่างหนึ่ง ที่ท่านเรียกว่า "การครอบงำ"

    ฝัน นี่ การครอบงำ จะเกิดในลักษณะ เราถูกกระทำ

    แต่ถ้า ฝึกจิตชำนาญระดับหนึ่ง จะ เห็นอาการ ครอบงำ ที่เกิดขึ้นได้โดย
    เราบริหารจัดการ ( แต่ ร้อยละร้อย จะมี กิเลส ตัดหน้าเอามาหลอก
    อีกทีหนึ่ง คือ พอเรา บริหารจัดการได้ แต่ทว่า เป็นการสนองกิเลส
    สนองอุปทาน สร้างความ วิตก หนักกว่า ถูก ฝันเล่นงาน หลายเท่าพันทวี )

    ฝึกจิต จึงต้องมี ฝึกกาย ด้วย เพื่อให้ พอเห็น หรือ รู้จัก กิเลสที่มัน
    แอบชิงผลงาน
     
  13. LiSaBDoDaYup

    LiSaBDoDaYup เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2008
    โพสต์:
    1,251
    ค่าพลัง:
    +657
    ไหนๆ ก็ ไหนๆ แล้วนะ ฮับ

    ขออนุญาติ จขกท เล่าถึง สิ่งที่ อยู่เหนือไข่เค็ม

    ที่ต้องเล่า เพราะ จขกท เองก็มี แวว เพราะสามารถ
    กำหนดเห็น ความปรกติของสัญญา ว่ามี ปรกติดับ

    เพียงแต่ว่า สัญญาที่เกิด ขึ้น อาจจะไม่ตอบโจทย์

    ผู้ที่อยู่เหนือไข่เค็ม ที่จะเล่านี้ก็คือ พระสารีบุตร ฮับ

    พระสารีบุตร จะเป็น ผู้หนึ่งที่ยก "สัญญาขันธ์" จำแนก
    แยกแยะออกมาเป็น สิ่งเดียว กิจเดียว และ รสเดียว
    ในการเห็นว่า เกิด ดับ

    วันหนึง มียักษ์ตนหนึ่ง มีตะบองและพลังกสิณมาก
    ชนิดทุบเขาพระสุเมร ให้กระเทือนได้ เขาพระสุเมร
    ตามตำราวิทย์ปัจจุบัน จะเป็น สนามแรงโน่มถ่วง
    แกนกลางใหญ่ที่มีกาแลคซี่ทางช้างเผือก และ แอนโดร
    เมดราเป็นแค่แขนระบบดาวของมัน เท่านั้น

    ยักษ์นั้นเห็น พระสารีบุตร วักน้ำล้างหน้าอยู่ในลำธาร
    ก็เห็นว่า เผลอแน่ๆ ก็ทุบ

    ที่ไหนได้ พระสารีบุตรบังหวนอำนาจตะบองกลับ
    คืนไปโดยที่ ไม่มีใครสังเกตเห็น( พระสารีบุตร เจ้า
    ตัวเองก็ไม่ทันเห็น จิต ตน มันแล่นเข้าออก สัญญาเวทยิตนิโรธน)
    ผลประกด ยักษกระเดนลงนาหญ้าขึ้นรกไปเลย

    นะ

    ลองพินาดูฮับ

    แค่เห็น สัญญา มีปรกติเกิด ดับ นี่ อบรมกาย อบรมจิต
    มีสัลเลขาเครื่องขัดเกลากิเลสพร้อม

    วักน้ำล้างหน้าข้างลำธารชิวๆ ไม่ต้องสนใจเลยว่า
    ในคลองจิตจะมี นิมิตอะไรเกิดขึ้นบ้าง


    ปล : สัญญาของพระสารีบุตร แล่นไป สัญญาเวทยิตนิโรธน
    นะฮับ แต่ทว่า สัญญาที่พระสารีบุตรเห็น หรือที่มันขึ้นวิถี
    ให้รู้คือ อาการคันศรีษะ ( แต่ที่ไหนได้ เข้าฌาณ4แล่นไป
    ฌาณ9 ส่งยักษลงนารกไปโน้นนนนน ) ดังนั้น อย่าไปหัวเราะ
    เยาะ พระสารีบุตรทีเดียวว่า ท่าน จำอะไรได้บ้าง

    พระสารีบุตร จะตอบแค่ว่า ก็แค่ รู้สึกคันศรีษะ

    คนไปหัวเราะเยาะพระสารีบุตรว่า ไม่มี อภิญญา ละก้อ
    ฮาคลี่แตกคลี่แตน
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เล่าให้ฟังเล่นๆนะครับ ถ้าเข้าใจคือเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร
    ถือว่าเป็นข้อมูลหนึ่งแล้วกันนะครับ
    คำว่า เนวะสัญญา เป็นชื่อ ทางสมาธิ ในที่อยู่ในส่วนของอรูปฌานครับ
    คำว่า สัญญา คือ เป็น ๑ ในส่วนของ ขันธ์ ๕ แต่เป็นส่วน นามธรรมครับ
    ต่างกันคือ สัญญาคือ สิ่งที่เก็บเอาไว้ในตัวจิตครับ แต่ว่ามันมีความสัมพันธ์กันอยู่
    เนื่องด้วยความสัมพันธ์ตรงนี้ การที่ จขกท จะเข้าใจคลาดเคลื่อนเพราะภาษาที่ใช้
    เรียกก็ไม่แปลกอะไรครับ

    เพราะเนวะสัญญา เป็นทางการปฏิบัติด้านสมาธินะครับ ยังไม่ได้ส่งผลทางด้านปัญญานะครับ
    ซึ่งต้องอาศัยกำลังสมาธิระดับที่สูงหน่อยเป็นพื้นฐานก่อนครับ
    และต้องมาจากสมาธิที่เริ่มต้นด้วยการสร้างภาพด้วยตัวจิตก่อนด้วยนะครับ


    จะเล่าภาพรวมๆของอรูปฌานให้ฟังก่อนนะครับ
    คืองี้ครับ สภาวะอรูปฌาน
    ๑.แม้คนไม่เคยฝึกอะไรมาก็ตาม นอนๆอยู่ก็เข้าได้ครับ
    แต่ว่ามันจะเข้าไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้ เหมือนไปมองดูดวงดาว
    ลืมตาขึ้นมา ไม่มีผลอะไรต่อตัวจิต ซ้ำยังทำให้หลงตัวเองได้
    ส่วนมากถ้าไม่เคยผ่านสมาธิระดับสูง หรือ กรรมฐานที่ขึ้นต้นด้วยภาพมาก่อน
    มักจะเข้าใจไปเองว่า ตัวเองเข้าอรูปฌานได้ หรือ ได้อรูปฌานครับ คือว่าไม่ดีถ้าเผลอ
    ไปยึดนะครับ วิธีแก้คือไม่ต้องไปสนใจ

    ๒.กรณีที่ฝึกกรรมฐานแบบเพ่งวัตถุอย่างเดียว แต่ไม่ได้สร้างเป็นขึ้นมา
    กรณีแบบนี้ ก็สามารถข้ามไปอรูปฌานได้เช่นกันครับ แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์อะไร
    ส่วนมากถ้าฝึกแบบนี้ จะมาพร้อมแสงสว่าง เหมือนมีคนเปิดสปอร์ตไลท์แม้นั่งอยู่
    ในที่มืดๆ สภาวะแบบนี้ มักจะทำให้นักปฏิบัติหลงตนเองได้ว่า บรรลุโน้นนี่นั่นครับ
    สภาวะแบบนี้ก็ไม่ดี ถ้าเผลอไปยึดอีกนะครับ วิธีแก้คือไม่ต้องไปสนใจครับ

    ๓.กรณีถ้าเรานั่งสมาธิ ทั่วๆไป แต่ไม่ได้ขึ้นด้วยภาพ แม้ว่าเข้าถึงระดับฌาน ๔ ได้จริงๆ
    แต่มันจะไม่มีกำลังที่จะไปต่อในระดับอรูปฌานได้ครับ ระดับนี้ถ้าเอากำลังมาต่อทางด้าน
    ปัญญาถึงจะมีประโยชน์ครับ

    ๔.กรณีไปอรูปฌานได้ หลังจากที่เข้าถึงกรรมฐานที่ขึ้นด้วยภาพได้ ในระดับสมาธิระดับสูง
    คือ อย่างน้อยจะต้องเล่นกับภาพที่จิตสร้างขึ้นมา หรือ เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต ในกำลังระดับสูง
    ให้ได้ก่อน แล้วถึงมาทิ้งภาพและสร้างภาพขึ้นมาใหม่ ควรทิ้งแล้วสร้างซักสองรอบเพื่อความชัว มันก็จะไปเข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า อรูปฌานได้เองครับ

    และ สภาวะอรูปฌานนั้น ฐานกำลังมันเท่ากันครับ หากเราสามารถเข้าถึงจริงๆ
    ในเวลาลืมตาปกติ จิตจะเกิดความสามารถใช้งานได้ขึ้นมาของมันได้เองครับ
    บุคคลที่เข้าถึงได้จะทราบดี ด้วยตนเอง ย้ำว่าใช้งานได้จริงในเวลาลืมตาปกตินะครับ
    ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วถึงใช้งานได้ แต่ประเด็นไม่ใช่ตรงนี้ เพราะพวกนี้ยังถือว่า
    เป็นสมาธิอยู่ ไม่ใช่ทางด้านปัญญา ซึ่งไม่ตรงทางด้านพุทธเท่าไหร
    แต่ถ้านำไปใช้งานในทางที่มีประโยชน์ก็คงไม่มีใครว่าอะไรครับ
    และถ้าเกิดเอากำลังระดับนี้ มาหนุนทางด้านการเดินปัญญาก็จะดีมากครับ
    เพราะจะเข้าถึงในส่วนนามธรรมได้ดีกว่าปกติทั่วๆไปครับ



    และสภาวะอรูปฌาน อีก ๓ สภาวะนะครับ ไอ้วิญญาน อากาศ ความว่างอะไรนะ
    คือพวกนี้ เวลาใช้งานแล้ว มันจะทำงานร่วมกันแบบแยกไม่ได้ครับ
    ซึ่งมันก็ส่งผลต่อ สภาวะเนวะสัญญาด้วยครับ ส่งผลอย่างไร

    **** อย่าลืมว่า มาสภาวะเนวะฯ มันคือ ทางสมาธินะครับ ไม่ใช่ปัญญา ***
    เมื่อดวงจิตใด เข้าถึงกำลังระดับอรูปได้แล้ว และสามารถใช้งานทางจิตได้แล้ว
    และใช้งานมาในระดับหนึ่ง และ ใช้งานไปจนกระทั่ง จิตเกิดเวทนา จากการใช้งานได้แล้ว
    ระยะเลวาตรงนี้แล้วแต่คนด้วยครับ บางคนก็ใช้งานแบบ สร้างตนเป็นผู้วิเศษไปเลยก็มี
    บางคนทั้งชาติก็ใช้งานอย่างเดียวและเน้นฝึกเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาไปอีก บางคน
    ก็ใช้ในระดับนี้ แต่ใช้ในทางวิบากแห่งตนเอง


    และเมื่อมาถึงสภาวะ ที่จิตเกิดเวทนาได้แล้ว ต่อไป จิตจะใช้งานก็ต่อเมื่อจำเป็นแล้วเท่านั้น
    ที่สำคัญต่อไป คือ ต้องมาทิ้งครับ ทิ้งแบบว่า ไม่สนใจความสามารถที่เคยทำได้มาก่อนเลย
    ประหนึ่งว่า ตนไม่เคย มีความสามารถใดๆ เป็นเหมือนคนปกติทั่วไป ในระยะเวลาหนึ่งก่อนครับ
    แล้วมาเน้นทางด้านปัญญา จนกระทั่ง ตัวโมหะ โลภะ โทสะ มันเริ่มคลายลง มีน้อยลง
    ในระดับหนึ่งก่อน มันถึงจะเข้า สภาะเนวะนี้ ได้ของมันเองครับ
    ย้ำว่า เข้าได้ของมันเอง ระยะเวลาตรงนี้ก็แล้วแต่คนอีกนั่นหละครับ
    (สังเกตุไหม แม้ว่า จะมีกำลังสมาธิเข้าถึง สภาวะอรูปฌานได้ แต่เนวะสัญญา
    มันจะเข้าได้ ก็ต่อเมื่อทิ้งก่อน แล้วมาเดินปัญญานะครับ และเข้าได้ของมันเองนะครับ)

    คำว่าเข้าได้ของมันเอง คือ ไม่มีตัวไปกระทำให้มันเข้าไปครับ
    ไม่ว่า ความชำนาญทางสมาธิ กำลังจิตหรือ
    แม้แต่ตัวจิตเองก็ไม่ได้กระทำนะครับ
    (ส่วนนี้ฟังอาจจะยังไม่เข้าใจครับ แต่อ่านไปก่อนได้ครับ)


    ถ้าหากเข้าสภาวะ เนวะฯ ได้ประโยชน์มันก็คือ
    ช่วยในเรื่องของการ ละคลาย พวกตัว โทสะ โมหะ โลภะ ที่อยู่ในจิตให้มัน
    ค่อยๆน้อยลง พูดง่ายๆคือ มันเป็นกระบวณเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เคยเป็นเหตุ
    แห่งการเกิดของจิตจนเป็นกายเราขึ้นมา ด้วยการไปคลายเอาสิ่งที่อยู่
    ในจิต ที่เราเรียกว่า สัญญา ไปคลาย ไปลดให้มันน้อยลงไปครับ
    ย้ำว่า ลดน้อยนะครับ ไม่ใช่ว่าไม่มี

    ดยมาก ถ้าทางสายที่ชำนาญทางด้านสมาธิก็จะแนะนำให้เข้าบ่อยๆ
    เพราะยังต้องอาศัยผลของกำลังสมาธิไปใช้งานที่เกิดประโยชน์บางอย่างอยู่
    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่จิตจะละคลาย โทสะ โมหะ โลภะ ได้จริงๆ
    แบบที่ส่งผลให้ในชีวิตประจำวัน จิตใจเราปล่อยวางได้ดีขึ้น
    โกรธน้อยลง โลภน้อยลง มีความหลงน้อยลง ยังไงก็หนีไม่พ้นทางด้านปัญญาครับ



    ปล. โดยสรุป ถ้าเราไม่ใช่บุคคลที่จะต้องนำผล ที่ได้จากสมาธิเพื่อไปใช้งาน
    ที่เกิดประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆอะไร และเราเน้นผลสมาธิในระดับที่ใช้เดินปัญญาได้
    เรื่องเนวะฯ เรื่อ อรูปฌาน ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรครับ
    เพราะเรื่องการปฏิบัติทางสมาธิ มันขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละบุคคลด้วยครับ

    ถ้าไม่อยากไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ให้มาเน้นทางด้านเจริญสติ เดินปัญญาไว้ก่อน
    และเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า กำลังสติยังไปต่อถึงขั้นที่จะเดินปัญญาได้ ก็มาหนุนการเจริญสติ
    ให้ต่อเนื่องจนจิตแยกฝ่ายอารมย์ ที่เป็นนามได้ และเดินปัญญาไปก่อน
    และถ้าไปต่อไม่ได้ทางด้านปัญญา ค่อยมาเสริมด้านสมาธิไปหนุนครับ
    และเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า ติดสมาธิมากไป ก็ให้ถอยมาทางปัญญาครับ
    สมดุลย์ระหว่างสมาธิและปัญญา ตัวเราเองจะทราบดีที่สุด
    ขอเพียงอย่าไปยึด ไม่ว่าด้านสมาธิและด้านปัญญา ก็พอครับ
    แต่ต้องไม่ลืมเรื่องสร้างสติทางธรรม ที่ได้มาจากการเจริญสติ
    ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญนะครับ

    ส่วนถ้าจะไปทางด้านสมาธิระดับสูง ระบบหายใจพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญครับ
    อย่างน้อย ระบบหายใจในชีวิตประจำวัน ปกติจะต้องหายใจลึกถึงท้อง
    ไม่ใช่ถึงระดับหน้าอกเหมือนฝึกสมาธิทั่วๆไปนะครับ หรือที่ๆหายใจกันปกติอยู่
    ถึงจะพอไปต่อทางสมาธิระดับที่สูงได้ครับ



    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ.....
     

แชร์หน้านี้

Loading...