เรื่องเด่น เรื่องของจิต, แต่ผู้รู้คือปัญญา ตามรู้ ตามเป็นจริง : หลวงปู่ชา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 18 สิงหาคม 2017.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    IMG_6110.JPG

    ..เรื่องของจิต


    นั้นนะ มันเป็นเรื่องของอาการของมัน แต่ที่สำคัญคือ มันรู้


    รู้ดีมันก็รู้ รู้ชั่วมันก็รู้ รู้สงบมันก็รู้ รู้ไม่สงบมันก็รู้ อันนี้คือตัวรู้


    พระพุทธเจ้าของเราท่านให้ตามรู้ ตามดูจิตของเรา


    จิตนั้นคืออะไร จิตนั้นอยู่ที่ไหน ?


    ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เราก็คงรู้ตัวของเรา ความรู้ที่มันรู้นี่ มันรู้อยู่ที่ไหน จิตนี้ก็เหมือนกัน


    จิตนี้คืออะไร มันเป็นธรรมชาติ หรือเป็นสัญชาตญาณอันหนึ่งที่มันมีอยู่


    อย่างที่เราได้ยินอยู่เดี๋ยวนี้แหละ มันมีความรู้อยู่ ความรู้นี้มันอยู่ที่ไหน ในจิตนั้นมันเป็นอย่างไร ทั้งความรู้ก็ดี ทั้งจิตก็ดี เป็นแต่ความรู้สึก ผู้ที่รู้สึกดีชั่ว เป็นสักแต่ว่าความรู้สึก


    รู้สึกดีหรือชั่ว รู้สึกผิดหรือถูก คนที่รู้สึกนั่นแหละเป็นคนรู้สึก ตัวรู้สึกมันคืออะไร มันก็ไม่คืออะไร ถ้าพูดตามส่วนแล้วมันเป็นอยู่อย่างนี้


    ถ้ามันรู้สึกผิดไปก็ไปทำผิด มันรู้สึกถูกก็ไปทำถูก ฉะนั้นท่านจึงให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา


    เรื่องจิตของเรานั้น มันเป็น อาการของจิต เรื่องมันคิดมันคิดไปทั่ว


    แต่ผู้รู้ คือปัญญาของเรา ตามรู้ ตามรู้อันนั้นตามเป็นจริง ...




    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ที่มา ตามดูจิต

    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Seeing_the_Mind.php
     
  2. เทียนหอม959

    เทียนหอม959 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2017
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
     
  3. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    20664435_1615806971785725_1377747223017138090_n.jpg

    เออ...ทุกข์มันก็เท่านั้นแหละ สุขมันก็เท่านั้นแหละ

    มันเป็นของหลอกลวงทั้งนั้นแหละ เรายืนตัวอยู่เช่นนี้เลย

    ยืนตัวอยู่เสมอเช่นนี้ ไม่วิ่งไปกับมัน

    ไม่วิ่งกับสุข ไม่วิ่งกับทุกข์ รู้อยู่ รู้แล้วก็วาง

    อันนี้ปัญญาจะเกิด...

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ตามดูจิต

    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Seeing_the_Mind.php
     
  4. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    19961575_1397116703656927_8533683828431736382_n.jpg

    ".. ความรู้สึก นึกคิด ของเรา
    ไปมีอุปาทาน มั่นหมายมันขึ้นเมื่อไร มันก็เป็นทุกข์ เมื่อนั้น
    ฉะนั้น ในการประพฤติปฏิบัติ ท่านจึงให้ ปล่อยวาง .."

    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ตามดูจิต

    http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Seeing_the_Mind.php
     
  5. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    แม่ชอบบอกว่า รู้เฉย รู้เฉย
     
  6. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,293
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    ปล่อยวางแม้ความอยากสงบ
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,427
    ค่าพลัง:
    +35,047
    กระทู้นี้ มีประโยชน์มาก ขออนุญาติ
    ร่วมถ่ายทอดการแนะนำด้วยนะครับ
    ในระดับนี้เป็นระดับปัญญาทางธรรม
    ที่เกิดขึ้นจากการตามรู้ตามความเป็นจริงใช่คับ
    แต่ก็ไม่ใช่ง่ายๆนะครับ ที่จะเข้าถึงได้
    ซึ่งไม่ได้มีข้อติดขัดใดๆในบทความที่นำมาลงนะครับ
    และเพื่อจะทำให้ท่านสะกิดใจอะไรบางอย่างได้


    แต่ถ้าจะไปถึงระดับที่จิตจะปล่อยวางได้จริง(ที่ไม่ใช่กิริยาปล่อยวางเพราะ
    มันทำเอาได้อยู่ครับ )
    แล้วคลายตัวด้วยได้ตัวจิตเองโดยธรรมชาติ
    จะต้องมีสเตปต่อจากนี้อีกครับ...



    พราะปัญญาในระดับนี้ มันจะแค่รู้เฉยๆ
    จริงอยู่มันรู้ตามความเป็นจริง มันเลยเฉยๆ
    และเหมือนปล่อยวางได้
    แต่ตัวจิตมันไม่คลายตัวเองได้จากการปล่อยวางนี้นะครับ
    เพราะว่าปัญญา มันจะยังไม่พอรู้ว่า สิ่งที่มันไปรู้นั้นเกิดขึ้นจากอะไร
    แล้วรู้ผลว่า เกิดแล้วมันส่งผลอะไรกับตัวจิต ยังไม่พอที่จะทำให้ตัวจิตหน่ายได้
    ที่ทางปฏิบัติชอบพูดกันว่า การรอบรู้ในกองสังขารนั่นหละครับ

    เพราะการไปรู้เหตุรู้ผลที่เกิดขึ้น จากสิ่งที่มันไปรู้
    ตรงนี้คือปัญญาญาน ตัวนี้ครับ ถึงจะเพียงพอ
    ที่จะทำให้จิตปล่อยวางและคลายตัวเองได้ครับ
    อย่าพึ่งงงนะครับ
    ขอยกตัวอย่างง่ายๆเปรียบเทียบนะครับ....


    เช่น ถ้าเรากำลังยืนมอง กองไฟกองหนึ่งที่กำลังลุกไหม้อยู่นะครับ
    ความรู้สึกว่า ไฟมันร้อนที่กาย นี่คือรู้ตามความเป็นจริง
    ปัญญาทางธรรมจะทำให้เรารู้ว่า เราควรอยู่ห่างกองไฟเท่าไร
    และเราจะตัดการไปดึงกองไฟที่เราเห็นเข้ามาปรุง เช่น ใครมาจุด
    ทำไมมันร้อนจัง มาจุดตรงนี้ได้อย่างไร ฯลฯ

    ตัวปัญญาทางธรรมที่ว่า ที่รู้แบบนี้ มันมาจาก สิ่งที่เรียก ว่า ตัวรู้ นั้นหละครับ
    นึกภาพตาม ตัวเรายืนอยู่เฉยๆ แต่ลองตัดร่างกายออกไปก่อนนะครับ
    คิดว่า ท่านจะพอเข้าใจอะไรได้มากขึ้น....

    จิตจะส่งสัญญานอย่างหนึ่งออกจากตัวจิตไป กระทบยังกองไฟข้างหน้า

    (ถ้าท่านมีกาย มันก็ผ่านอาตนะทางตาไปกระทบกองไฟนั่นหละครับ)
    ไอ้ตัวที่ส่งไปกระทบ แล้วรู้ว่าแบบนี้เป็นกองไฟ(รู้จากสัญญา)นี่หละคือ
    ''ตัวรู้ ผู้รู้ ตัวไปกระทบตัวไปรู้ แล้วแต่จะเรียกครับ'' แต่ย้ำว่า รู้เฉยๆนะครับ
    แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรนะครับ


    ส่วนที่รู้ว่า เป็นกองไฟ แล้วรู้สึกว่า มันร้อนเป็นเรื่องปกติ นี่คือตัวที่เรียกว่า
    ปัญญาทางธรรม ถ้าพอมี มันก็จะรู้ว่าร้อนเฉยๆ ไม่ดึงเข้ามาบ่นอะไรพูดง่ายๆ
    เรียกว่า รู้เห็นตามความเป็นจริง ณ เวลาปัจจุบัน แล้วถ้าจิตมีปัญญาทางธรรม
    มากขึ้น ก็จะรู้ว่า ควรระมัดระวัง อยู่ห่างกองไฟมากน้อยแค่ไหน พอเห็นภาพนะครับ
    และถ้ารู้มากกว่านี้ ก็จะรู้ว่า ควรระมัดระวัง ไม่ให้ลามไปโดนที่โน้นที่นี่
    เพราะจิตจะเห็นว่า มันเกิดโทษอย่างไร พอเห็นภาพอีกนะครับ.....


    แต่การจะเห็นอย่างข้างบนได้ มันจะต้องประกอบด้วยอีกตัวหนึ่ง
    คือ ตัวที่อยู่ที่จิตที่เราเรียกว่า
    ''ผู้ดู'' ผู้ดูตัวนี้ ก็คือ ตัวที่จะทำหน้าที่
    ดูในสิ่งที่
    ''ตัวรู้'' มันไปกระทบนั้นหละครับ ในนี่ที้ ก็คือ ดูตัวรู้ ผู้รู้ ไปกระทบ
    กับสิ่งที่เรียกว่า กองไฟนั่นหละครับ...การที่เราคุ้นๆหูเรียกว่า ตามรู้ ตามดู
    ก็คือ กิริยา ที่ตัว ผู้ดู มันดูในสิ่งที่กระทบโดยที่ไม่ไปปรุงร่วมอะไร

    (คือ ไม่บ่น ไม่วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ แสดงความเห็นอะไร)
    ทำหน้าที่ดูเฉยๆ ดูสิ่งที่ส่งออกจากตัวมันไปกระทบ
    สิ่งที่อยู่ข้างหน้า ที่เราเรียก ผู้รู้ ในที่นี้ก็คือ กองไฟ นั่นหละครับ
    แต่จะเกิดปัญญาทางธรรม คือ รู้ว่ามันร้อนเป็นปกติ อะไรทำนองนี้ครับ...
    .


    ถ้าท่านหนักไปทางวิปัสสนาอย่างเดียว ท่านจะเห็น
    ได้เฉพาะตัวที่ส่งออกไปกระทบครับ คือ ตัวไปรู้ ผู้รู้ ตัวรู้ เท่านั้นครับ
    ท่านจะเห็น ได้ทั้งตัว ผู้ดู และ ผู้รู้ ท่านต้องมาทางสมถะร่วมด้วยครับ
    ให้ลองสังเกตุดูดีๆนะครับ


    เพราะถ้าท่านเพียวทางวิปัสสนาเลย ท่านก็จะเข้าใจว่า ตัวที่รู้ว่า
    ไฟมันร้อน เป็นปัญญาทางธรรมนะใช่ แต่ท่านจะไม่เห็นว่า
    แท้จริงแล้ว มันยังมีอีกตัวหนึ่ง ที่อยู่กับจิต ก็คือตัวผู้ดู อีกตัวหนึ่งครับ
    ทำให้ท่านจะเข้าใจได้ว่า เป็นองค์ความรู้เดิมที่มาจากตัวจิต
    และเข้าใจว่ามันเป็นตัวเดียวกันครับ แต่ไม่เห็นว่า ผู้ดูนั้น
    แท้จริงแล้วนั้น มันก็ยังเป็นการปรุงแต่งอยู่
    ไม่ใช่
    ''การรู้แบบอัตโนมัติ หรือรู้แบบธรรมชาติของจิตเอง
    หรือรู้ตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิตท่านนั้นหละครับ
    แล้วแต่จะเรียก''



    จะทำให้ท่านเกิดปัญหา ในการจะต่อยอดไป ปัญญาญานได้ครับ
    ซึ่งพอท่าน ไปเจอกับกิริยาเดิมๆ ไปเจอเรื่องที่ท่านเคยเฉยๆไปแล้ว
    ท่านจะพบว่า ตัวจิตท่าน มันยังมีการยินดี ยินร้าย อยู่
    จะแตกต่างกันเพียงแค่ว่า ท่านจะวางหรือเฉยได้เร็วขึ้นเท่านั้นเอง
    แต่จิตท่านจะยังไม่คลายตัว จิตท่านจะยังไม่เบา
    ความรู้ท่านจะยังไม่ทะลุปุโปร่งครับ ตลอดจนพบว่า
    ท่านที่มีสัมผัสนามธรรมได้ทั้งหลาย ท่านจะไม่พัฒนาในตรงจุดนี้ครับ


    แต่ถ้าท่านเพียว สมถะมา แม้ว่าท่านจะเห็นได้ ทั้ง ผู้ดู ผู้รู้ แต่ถ้าท่าน
    ไม่มาสังเกตุต่อ ไม่มาเดินไปวิปัสสนาญานต่อ ท่านก็จะเข้าใจ
    ในระดับของปัญญาทางธรรมเท่านั้นเช่นกันครับ
    แม้ว่าจิตท่าน จะเกิดสิ่งพิเศษอะไรขึ้นมา
    แต่ท่านจะพบว่า จิตท่านจะไม่พัฒนาใน
    เรื่องของการคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติ
    ท่านยังคงต้องใช้ สมาธิ ตบะ ฯลฯ เพื่อให้มันสงบอยู่.....



    ''ดังนั้นให้เข้าใจเอาไว้เลยว่า ไม่ว่า ตัวผู้ดู หรือ ตัวผู้รู้
    นั้นล้วนแล้ว แต่ยังเป็นการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่นะครับ''

    ท่านต้องมาสังเกตุต่อว่า ตัวรู้มันเกิดขึ้นตอนไหน
    และเหตุเกิดเพราะอะไรจากภายในหรือภายนอก
    (ส่วนมากจะรู้ตอนที่เกิดแล้ว
    ทันช่วงกลางๆให้รีบดับซะ ยกเว้นบุคคลที่มีสติทางธรรมหรือ
    ฝึกสติร่วมด้วย และมีปัญญาทางธรรมเยอะหน่อย
    ก็จะเฉยๆจะตัดได้เร็วกว่าปกติ ซึ่งถ้าสังเกตุตัวเฉยๆนี่ทันบ่อยๆ
    กำลังสติท่านจะมากขึ้นอย่างน่าตกใจได้ครับ)
    และสังเกตุไม่ทันกันว่ามันดับไปตอนไหนและดับไปเพราะอะไร
    (ส่วนมากจะไม่ทันกันคือ มันดับไปแล้วและก็จะลืมไปเฉยๆ)
    เป็นเหตุให้ในอนาคต เรื่องนั้นๆมันยังกลับขึ้นมาอีกนั่นหละครับ
    ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติกันทุกคนนะครับ


    ท้ายนี้ ยังไงลองใช้กำลังสติ ทางธรรม เข้าไปสังเกตุเพิ่มเติมอย่างที่แนะนำอีกเล็กน้อย
    อย่างที่ได้เล่าให้ฟังมา ถ้าอนาคตท่านทำได้จริง จิตท่านจะคลายตัวเอง
    ได้ของมันเองอย่างธรรมชาติ ในเวลาลืมตาปกตินี่หละครับ.....
    แม้ระยะเวลาที่มันคลายตัวได้เพียงไม่กี่วินาทีนั้น


    ท่านจะพบว่า ความรู้ความเข้าใจทางด้านนามธรรมของท่าน
    จะดีขึ้นมากอย่างน่าประหลาดใจ เรื่องอะไรต่างๆก็ตาม
    ที่มันเคยเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับท่าน มันเคยรบกวนจิตใจท่าน
    มันก็จะกลายเป็นอะไรๆ ที่เหมือนเรื่องสิวๆ...
    ส่วนท่านที่กำลังฝึกสมาธิอยู่ ก็จะพบว่า
    ท่านจะมีการพัฒนา ในกรรมฐานที่ท่านฝึกอยู่ได้อย่างรวดเร็ว
    และในบุคคลที่ใช้งานทางจิตได้ ท่านก็จะพบว่า
    ความสามารถในการใช้งานท่านก็จะคล่องขึ้น
    พัฒนาขึ้นและค่อยๆเป็นอัตโนมัติขึ้นเรื่อย
    ไม่ต้องเกรงกล้ามก่อนใช้งานเหมือนสมัยก่อนครับ

    ฝากไว้พิจารณานะครับ
    ''จิต ณ เป็นธาตรู้นะครับ เราปล่อยให้เค้ารับรู้
    แต่ไม่ได้ปล่อยให้เค้าเกิดนะครับ
    รู้คือ รู้เห็น ตามความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน
    รู้จนกว่า จิตจะรู้ว่า สาเหตุนั้น ทำให้จิตเค้าเป็นทุกข์
    เมื่อรู้ว่า จิตเป็นทุกข์ เค้าก็จะไม่เกิดได้ของเค้าเอง
    เมื่อไม่เกิด มันก็จะเกิดกิริยาที่เรียกว่า คลายตัวเอง
    ได้โดยธรรมชาตินั่นหละครับ''
    ปล. ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ตามสภาวะที่ตนเองเข้าถึง
    เป็นไปตามขั้นตอนนะครับ อย่าไปเผลอ ไปหยุด ไปหลงระหว่าง
    ขั้นบันไดนะครับ เด่วขึ้นลานบ้านได้ก่อน ท่านก็จะมองเห็น
    บันไดที่ผ่านมาได้ทุกขั้นเอง เพราะยังไง บันได
    ทุกขั้นมันก็อยู่ในราวบันไดเดียวกันนั้นหละครับ
    เข้าใจที่สือนะครับ

     
  8. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    puth09.jpg

    เวลาเรามีไม่มาก เรามาฝึกจิตก็ต้องดูจิต ดูอาการของจิต


    ลองดูจิต ให้เห็นจิตเรา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น


    ถือมั่นก็เห็นสุขเป็นของจริง สุขเป็นเรา สุขเป็นของเรา ทุกข์เป็นเรา ทุกข์เป็นของเรา มันคิดเช่นนี้


    แต่ความเป็นจริงนี้ สุขสักแต่ว่าสุข ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา ทุกข์นี้ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา


    ตัวคนที่รู้ทุกข์หรือสุขนี้ ก็ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ถ้าเราเห็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรจะเกาะ


    เกิดสุขขึ้นมา สุขก็เกาะเราไม่ได้ เกิดทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ก็เกาะเราไม่ได้


    ทำไมไม่ได้..เพราะว่ามันไม่แน่ เป็นของปลอมทั้งนั้น เป็นของไม่แน่นอน ถ้าเราคิดเช่นนี้ จะภาวนาได้เร็ว


    จะยืนจะเดิน จะนั่งจะนอน จะไปจะมา ทุกอย่างจิตกำหนดอยู่เสมอ ให้รู้


    มีอารมณ์มันเข้ามา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส อะไรต่างๆนี้


    มันจะเกิด ความชอบ ไม่ชอบ ขึ้นมาทันที มันจะเกิดสุข เกิดทุกข์ ขึ้นมาทันที อันนี้เราเรียกว่าอ่านดูจิต มันจะเห็นจิต


    เพราะมันเกิดจากจิตดวงเดียวเท่านี้ มันจะให้สุข มันให้ทุกข์ ทุกอย่างเกิดจากจิต


    ถ้าเราตามดูจิตของเราอยู่เช่นนี้ มันจะเห็นกิเลส มันจะเห็นจิตของเราสม่ำเสมอเลยทีเดียว


    ..อันนี้แหละ คือการภาวนา


    หลวงปู่ชา สุภัทโท
    ตามดูจิต
     
  9. กำลังเดินทาง

    กำลังเดินทาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2018
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +103
    เสขะ บุคคล
    ..
    โมทนาด้วยครับ ที่มีกระทู้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งมาให้อ่านหาความรู้และแก้ไขข้อสงสัย ทุกคำถามคำตอบทรงคุณค่าเสมอ
    ..
    ขอบคุณจากใจยิ่ง
    ..
    :):)
     
  10. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    รู้อริยสัจ 4 แน่นอนสุดแล้ว หลวงพ่อชาท่านสอนแนวทางไปตามสัจจะของท่าน

    สัจจะนี้คือ ตามความเป็นจริง ลักษณะตามเหตุของแต่ละคนหรือตามวิบากกรรม ครับ

    เข้าจะเข้าถึงอริยสัจ 4 เราต้องรู้จักพฤษติกรรมของจิต หรือ ราคะ โทสะ โมหะ

    เทคนิคแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน แต่ยากมากคือ การยอมรับตามความเป็นจริง แต่อาการมันจะไม่ยอมรับหรือจะหนี
    แต่ถ้ารู้ตามสัจจะ จิตก็จะรู้ทุกข์อริยสัจ4 เลย

    ทุกข์อริยสัจ มีจริง
    เช่นพอเรามีเหตุปัจจัยกระทบ เราก็ต้องโกรธใช่ไหม ห้ามปล่อยวางแต่ให้รู้ตามความเป็นจริงของสภาวะ ความโกรธเป็นไตรลักษณ์ไปเลยเช่น บีบครั้น ทนอยู่ไม่ได้ อาศัยผัสสะเป็นปัจจัยเพื่อรู้แจ้งอริยสัจ 4
     
  11. ไม่ใช่ตัวตน

    ไม่ใช่ตัวตน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2018
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +175
    อริยสัจ 4

    ก่อนจะรู้สึกมีตัวตน ก่อนจะโกรธ ก่อนจะมีเรา

    จะเป็นลักษณะของทุกข์เกิดที่ใจ เป็นความทุกข์ที่ประหลาด มีลักษณะ ยิ้ม

    ใจเต้นรุนแรง เมื่อมีเหตุ

    พระพุทธเจ้า กับ พระอานนท์สนทนากัน
    โต้ตอบกันไปมา
    สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
     

แชร์หน้านี้

Loading...