เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 กุมภาพันธ์ 2025 at 17:09.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_9423.jpeg
      IMG_9423.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      259.7 KB
      เปิดดู:
      6
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพไข้จับแต่เช้า กว่าจะรู้ตัวว่าอากาศเปลี่ยนแปลงขนาดฝนตก ก็ต้องออกจากกุฏิริมป่าช้ามาแล้วถึงได้รู้..! บุคคลที่มีเชื้อมาลาเรียเรื้อรังอยู่ภายในสายเลือด จะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมากเป็นพิเศษ จึงได้ฉันยา แล้วแต่งองค์ทรงเครื่องออกไปต้อนรับของคณะของท่านอาจารย์ รศ., ดร. สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งท่านเป็นอาจารย์เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ให้พวกกระผม/อาตมภาพได้เรียนเพิ่มวุฒิการศึกษาของตนเอง จนสามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีได้

    ต้องบอกว่า "ไม่ต่อยตี ไม่รู้จักกัน" เนื่องเพราะว่าตั้งแต่เรียนระดับบริหารกิจการคณะสงฆ์ กระผม/อาตมภาพเป็นตัวแทนนิสิตประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ของภาค ๑๔ ก็คือ จังหวัดนครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และสมุทรสาคร ขึ้นไปให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนวิชานี้ ร่วมกับตัวแทนจากภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่งตัวเอกของเขา ก็คือ พระครูปลัดวัชรินทร์ (พระครูเมตตามงคลวิศิษฏ์, ดร.) ขึ้นไปชนิดที่เรียกว่า "
    กะจะบี้นิสิตของภาคอื่นให้ตายคาเวทีไปเลย..!"

    แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงคิวกระผม/อาตมภาพ ที่ฟังการชื่นชมในการเรียน ตลอดจนกระทั่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะมาช่วยให้การปกครองคณะสงฆ์ของเราให้ดีขึ้นแล้ว ก็เกิดอาการ "ของขึ้น" บอกว่า
    "ขออนุญาตพระบ้านนอกติดกับพม่าอย่างกระผม/อาตมภาพพูดเสียหน่อย เรื่องที่ท่านทั้งหลายนำมาให้เรียนนี้ ถ้าไม่ได้เกรงใจว่าเป็นไปด้วยความหวังดีต่อคณะสงฆ์แล้ว กระผมจะว่าท่านทั้งหลายบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ เพิ่มเติมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้เพิ่มเติม..!

    การปกครองคณะสงฆ์ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีอะไรเลยก็ได้ ขอให้สอนพระภิกษุสามเณรของเราละอายชั่ว กลัวบาป รักศีลของตนเอง ทุกอย่างก็จบแล้ว ไม่ใช่มาเรียนประกาศนียบัตร เรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แล้วก็กลายเป็น "เหี้ยติดปีก" ก็คือสามารถชั่วได้เนียนกว่าเดิมเพราะว่ามีความรู้มากขึ้น..!"


    ทำเอาเสียงกองเชียร์ปรบมือกระทืบเท้าจนเวทีแทบถล่มทลาย บรรดาบุคคลที่มาแสดงวาทะต่าง ๆ ก็นึกไม่ถึงว่า การที่ตนเองโดดขึ้นรถไฟสายเทคโนโลยีไปนั้น จะโดนพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ จับพลิกตีลังกาหัวทิ่ม กลับมาอยู่จุดเดิม ประมาณว่าสูงสุดคืนสู่สามัญ..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    จนกระทั่งท่านอาจารย์ ซึ่งตอนนั้นคือ ดร.สุรพล สุยะพรหม ผู้อำนวยการหลักสูตรประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ต้องขึ้นไปพูดถึงข้อดีต่าง ๆ ของการเพิ่มวุฒิการศึกษา "ก็เพื่อให้พระสังฆาธิการระดับบริหาร ก็คือเจ้าคณะตำบลขึ้นไป ได้มีโอกาสร่ำเรียนในส่วนที่สูงขึ้น แนวความคิดในการบริหารจะได้กว้างไกลขึ้น

    ส่วนการที่ท่าน (กระผม/อาตมภาพ) ยึดหลักพระธรรมวินัยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อนำเอาพระธรรมวินัยมาประสานกับความรู้สมัยใหม่ เราก็จะช่วยให้การบริหารกิจการคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี และทันสมัย ทันโลก ทันเหตุการณ์"
    ลงจากเวทีมา ยังมีคนแอบกระซิบว่า "ทำไมไม่แจกนวมให้เขาไปชกกันหลังห้องให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย ?!" กระผม/อาตมภาพก็ยังบอกว่า "ถ้าชกกันผมก็ไม่แพ้หรอก..!" เล่นเอาทุกคนตีหน้าประหลาดไปตาม ๆ กัน

    พอมาเรียนระดับปริญญาโท ปริญญาเอก จากการที่ได้ "ทุบ" ท่านอาจารย์ไปตั้งแต่ตอนนั้น ท่านอาจารย์ก็ "ทุบ" คืนแบบไม่เลี้ยงเหมือนกัน แต่กระผม/อาตมภาพเป็น "เด็กสู้ครู" พูดง่าย ๆ ก็คือหาเหตุผลมาหักล้างท่านอาจารย์ได้ทุกชั่วโมง ดีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทำให้อาจารย์ทุกท่านต้องเตรียมการสอนมาอย่างดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าลูกศิษย์คนนี้จะถามอะไรบ้าง ?!

    ครั้นเมื่อถึงเวลาสอบวิทยานิพนธ์ กระผม/อาตมภาพก็สู้ครูอีกตามเคย ก็คือปริญญาโทบุกไปหาท่านอาจารย์ครั้งแล้วครั้งเล่า แก้วิทยานิพนธ์ชนิดแก้ยับแก้เยินมา รวมทั้งหมด ๑๘ ครั้ง จนกระทั่งอาจารย์ไม่มีที่จะให้แก้ไขแล้ว ดังนั้น..เวลาสอบ เพื่อนฝูงโดนกันคนละ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง กระผม/อาตมภาพโดนไม่ถึง ๑๕ นาที จบปริญญาโทมาแบบสวย ๆ เลย..!

    ครั้นปริญญาเอก
    กระผม/อาตมภาพสู้ครูหนักกว่านั้นอีก นัดท่านอาจารย์อาทิตย์ละครั้ง..! ตลอดระยะเวลาทำวิทยานิพนธ์ พูดง่าย ๆ ว่าบางทีก็ต้องไปกินไปนอนอยู่ที่กุฏิอาจารย์บางท่าน หรือว่าตามถึงบ้านอาจารย์ฆราวาสหลายท่าน จนกระทั่งเวลาสอบ ท่านอาจารย์ตอนนั้นเป็น ผศ., ดร. สุรพล สุยะพรหมแล้ว นั่งเงียบอย่างเดียว จนประธานกรรมการคุมสอบถามว่า "ท่านอาจารย์สุรพล ปกติถามมากที่สุด วันนี้ไม่คิดจะถามอะไรหรือ ?" ท่านอาจารย์ตอบว่า "กระผมถามมาทุกอาทิตย์จนไม่มีให้ถามแล้วครับ"
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    สรุปว่าขณะที่คนอื่นโดนกัน ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ในขณะสอบปริญญาเอก กระผม/อาตมภาพโดนอาจารย์เชิญออกนอกห้อง เพื่อให้คณะกรรมการปรึกษากันว่าจะให้สอบผ่าน สอบไม่ผ่าน ? จะให้เกรดระดับไหน ? กลับเข้ามาแล้วถึงได้เห็นว่า ตนเองเปิดเครื่องบันทึกเสียงทิ้งเอาไว้ ลืมปิด จึงจัดการปิดแล้วก็ฟังผลที่ท่านอาจารย์ทุกท่านให้ผ่านโดยไม่มีข้อแม้ มาดูเวลาที่บันทึกไว้ก็คือ ๒๒ นาที จนป่านนี้ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้..!

    แล้วขณะเดียวกัน วิทยานิพนธ์ที่ได้แค่ B+ กลายเป็นวิทยาพนธ์ตัวอย่างที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยต้องขอเพิ่มทุกปี ท่านอาจารย์ซึ่งตอนนี้ก็คือ รศ., ดร. สุรพล สุยะพรหม ยังบอกว่า "เป็นเรื่องอัศจรรย์มากครับ ปกตินิสิตเรียนจบแล้ว ก็พิมพ์วิทยานิพนธ์ส่งบัณฑิตวิทยาลัยครั้งเดียวเลย แต่ของหลวงพ่อเล็กต้องพิมพ์อยู่ทุกปี" เพราะว่ามีทั้งการวิจัยในลักษณะเชิงคุณภาพ แล้วเอาการวิจัยเชิงปริมาณมาเพื่อยืนยันว่า การวิจัยเชิงคุณภาพนั้นถูกต้องดีงามอย่างไรบ้าง แล้วยังมีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ตลอดจนกระทั่งทำโฟกัสกรุ๊ป ซึ่งตอนนั้นกำหนดว่าต้องมีอาจารย์อย่างน้อย ๑๒ ท่านขึ้นไป..!

    เมื่อถึงเวลานิสิตอยากได้ตัวอย่างวิทยานิพนธ์แบบไหน กระผม/อาตมภาพก็มีให้ จึงกลายเป็นถึงเวลาตนเองไม่จบก็ไม่คายวิทยานิพนธ์ที่ยืมจากมหาวิทยาลัยไป รุ่นต่อมาพอจะยืมก็ไม่มีให้ จึงต้องมาขอพิมพ์เพิ่ม เมื่อล่าสุดปีที่ผ่านมา ก็พิมพ์ไป ๑๒ เล่ม โดยพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.,ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ช่วยออกทุนให้ กระผม/อาตมภาพค่อยสบายใจหน่อย ไม่เช่นนั้นพิมพ์แต่ละครั้งก็หมดเงินหลายพันบาทอยู่..!

    ต้องบอกว่าท่านอาจารย์สุรพลเป็นฆราวาสสุดยอดฝีมือ เนื่องเพราะว่าในช่วงที่ของบประมาณจากรัฐบาลมาสนับสนุนวิทยาลัย ท่านสามารถของบประมาณสร้างสนามกีฬาแก่มหาวิทยาลัยสงฆ์ได้ ทั้ง ๆ ที่คณะกรรมาธิการงบประมาณถามว่า "พระภิกษุสามเณรจะเล่นกีฬาอะไรได้ ?"

    ท่านอาจารย์สุรพลชี้แจงว่า การศึกษาหลายหลักสูตรของมหาวิทยาลัย เป็นการศึกษาที่รับนิสิตฆราวาสด้วย อย่างเช่นว่าคณะสังคมศาสตร์ มีทั้งรัฐประศาสนศาสตร์ บริหารรัฐกิจ จิตวิทยา การปกครอง ตลอดจนกระทั่งวิชาอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นครุศาสตร์ พุทธจิตวิทยา ในเมื่อมีนิสิตซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อความแข็งแรงของบรรดานิสิตฆราวาส จึงจำเป็นที่จะต้องมีสนามกีฬาให้ด้วย ท่านสามารถชี้แจงจนกระทั่งทุกคนเห็นประโยชน์ แล้วยอมอนุมัติงบประมาณให้..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    ดังนั้น..จึงไม่ต้องแปลกใจว่าท่านเป็นรองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ชนิดที่เรียกว่า "ผูกขาด" มาตลอด ทั้ง ๆ ที่ระเบียบของมหาวิทยาลัยนั้นระบุไว้ว่า ผู้บริหารระดับสูงต้องเป็นพระภิกษุเท่านั้น แต่ที่ต้องมาแก้ระเบียบให้ท่านอาจารย์สุรพล ก็เพราะว่าต้องไป "ไฟท์" กับชาวบ้านเขาในเรื่องประมาณนี้ ซึ่งพระเราจะไปนั่งถกเถียงกับคณะกรรมาธิการงบประมาณก็คงจะไม่ใช่ที่..!

    ท่านอาจารย์สุรพลซึ่งอายุน้อยกว่ากระผม/อาตมภาพปีเดียว จึงกลายเป็น "บิ๊กสุ" ก็คือผู้ทรงอิทธิพลไปโดยปริยาย แต่ว่าท่านรักและเคารพกระผม/อาตมภาพมาก เนื่องเพราะว่าช่วยสนับสนุนงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด ไม่เคยทอดทิ้งกัน และเป็นนิสิตตัวอย่างที่ยกให้กับรุ่นหลัง ๆ เขาฟังอยู่เสมอว่า "วีรกรรมของหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน เป็นอย่างไรบ้าง ?"

    ส่วนทางด้านคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านเจ้าคุณพระอุดมสิทธินายก (กำพล คุณงฺกโร ป.ธ. ๙), รศ., ดร. คณบดีคณะสังคมศาสตร์

    ท่านพระครูสังฆวิริยกิจ, รศ., ดร. รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ฝ่ายวิชาการ

    รศ.ดร. ภัทรพล ใจเย็น รองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ฝ่ายบริหาร

    ท่านพระครูโอภาสนนทกิตติ์, รศ., ดร. เจ้าคณะอำเภอบางกรวย ที่ปรึกษาคณะสังคมศาสตร์

    ท่านพระครูวิมลสุวรรณกร, ผศ., ดร. รองเจ้าคณะอำเภอปากเกร็ด ที่ปรึกษาคณะสังคมศาสตร์

    ยกทีมมาถวายมุทิตาสักการะ กลายเป็นว่าคณะสังคมศาสตร์แทบจะยึดไปทั้งงาน ท่านเจ้าคุณพระอุดมสิทธินายกยังบอกว่า "ถ้าไม่รีบมา เดี๋ยวคณะอื่นจะยึดตัวที่ปรึกษาของผมไป" ก็คือกระผม/อาตมภาพเองเป็นที่ปรึกษาของคณะสังคมศาสตร์ มจร.นี้เช่นกัน
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    อีกท่านหนึ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ รศ.,ดร. สมศักดิ์ บุญปู่ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้านกิจการและทรัพย์สิน ผู้อำนวยการหลักสูตรบัณฑิตศึกษา สาขาพุทธบริหารการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านอาจารย์สมศักดิ์สอนพวกกระผม/อาตมภาพมาตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์เช่นกัน

    ต้องบอกว่าเป็นอาจารย์ที่รักลูกศิษย์มาก ถึงเวลาใกล้สอบก็จะแอบเอากระดาษช็อตโน้ตมาให้ บอกว่าให้อ่านบทนั้นบทนี้มา แล้วถึงเวลาสรุปมาให้ได้ว่าใจความสำคัญเป็นอย่างไร ครั้นถึงเวลาสอบ ปรากฏว่าข้อสอบมาตามแนวนั้นจริง ๆ พวกกระผม/อาตมภาพแทบจะอุ้มท่านอาจารย์โยนขึ้นฟ้าไปเลย เพราะถ้าหากท่านไม่บอกว่าบริเวณไหน พวกเราก็ต้องอ่านกันทั้งเล่ม แต่ถ้าบอกว่าบทไหนนี่กลายเป็นเรื่องเล็ก เพราะว่าเราทำสรุปกันทุกบทอยู่แล้ว

    ส่วนท่านอื่นที่นึกไม่ถึงอย่างเช่นว่าคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ประธานกรรมการบริหารบริษัทเอ็นซีทัวร์นั้น พาน้องหนึ่ง (นางสาวณิชารีย์ จั่นแก้ว) และน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) สองผู้ช่วยคู่บารมีของตัวเองมา พร้อมกับโปรแกรมนิมนต์กระผม/อาตมภาพไปกราบองค์ดาไลลามะที่ประเทศอินเดีย

    แม้ว่าโปรแกรมจะแพงอยู่ในระดับหกหมื่นกว่าบาท แต่ดูสถานที่พัก ตลอดจนกระทั่งการเดินทางภายในด้วยเครื่องบินแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างจะเป็นมิตรทีเดียว กระผม/อาตมภาพคงต้องหาเวลาในช่วงหลังสงกรานต์แล้ว ถึงจะเดินทางไป เพราะว่าองค์ดาไลลามะอยู่ที่รัฐหิมาจัลประเทศ ซึ่งเป็นรัฐอยู่ตีนเขาหิมาลัย อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ถ้าไปช่วงเวลาอื่น เกิดญาติโยมร่วมคณะเดินทางทนหนาวไม่ไหวก็จะยุ่งยากอีก

    ในส่วนอื่น ๆ นั้น ทั้งพระภิกษุสามเณรและญาติโยมที่แห่แหนกันมา ส่วนมากก็มาร่วมแสดงความยินดีที่กระผม/อาตมภาพรับภาระมากขึ้น สิ่งต่าง ๆ ที่นำมาถวาย แทบต้องเอารถสิบล้อมาขน ถึงจะกลับวัดท่าขนุนได้..! ต้องบอกว่านาน ๆ เปิดโอกาสให้สักทีก็กลายเป็นอย่างที่เห็นนี้
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,674
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,643
    ค่าพลัง:
    +26,502
    เมื่อถึงเวลากระผม/อาตมภาพขอตัวไปฉันเพล แล้วก็มาตรวจการณ์ในเว็บไซต์วัดท่าขนุน มี "นักเลงดี ตาถึง" ถามว่า เขี้ยวเสือสาลิกา หลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ที่กระผม/อาตมภาพให้ไอ้ตัวเล็กนำไปลงเพื่อร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนนั้น บางตัวดำปี๋เงาวับมาเลย ลักษณะโดนทอดน้ำมันมาหรือไม่ ?

    กระผม/อาตมภาพก็ต้องบอกไปอย่างชนิดที่เรียกว่าให้ความรู้กันอย่างไม่ต้อง "กั๊ก" ก็คือถ้าเป็นเขี้ยวเสือทอดน้ำมันมาจะมีการแตกราน ซึ่งลักษณะเป็นเสี้ยน ๆ เหมือนกับเสี้ยนไม้ ท่านที่ไม่มีประสบการณ์จะไม่รู้ว่าแล้วทำไมเขี้ยวเสือที่กระผม/อาตมภาพนำมาให้ จากญาติโยมผู้มีจิตศรัทธานั้น บางตัวถึงได้ชุ่มโชก ฉ่ำแฉะ และค่อนข้างดำเหมือนกับทอดน้ำมันมาเลย ?

    พวกนั้นส่วนใหญ่จะโดนยัดอยู่ในตลับสีผึ้งมาเป็นระยะเวลายาวนาน บางทีก็ ๕๐ ปี ๖๐ ปี บางตัวอาจจะถึง ๑๐๐ ปี เนื่องเพราะว่าตั้งแต่สมัยต้นรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ดังนั้น..ถ้าเจอลักษณะอย่างนั้นอย่าไปฟันธงว่าเป็นของทอดน้ำมันแกล้งเก่า เนื่องเพราะว่าท่านจะพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดาย เพราะไม่รู้ว่าในสมัยก่อน คนเรานิยมใช้สีผึ้งกัน เมื่อถึงเวลามีของขลังก็มักจะยัดเอาไว้ในตลับสีผึ้ง

    กระผม/อาตมภาพเจอญาติโยมท่านหนึ่ง ที่ได้สมบัติจากบรรพบุรุษมา ต้องค่อย ๆ ควักเสือขึ้นมาแล้วก็ทำความสะอาด ไม่ว่าจะเช็ด จะล้าง จะลงแปรงอย่างไร สีผึ้งก็ไม่ค่อยจะยอมหลุดจากตัวเสือ เมื่อมาถามกระผม/อาตมภาพ จึงบอกไปว่า "คุณฉลาดน้อยไปหน่อย ถึงเวลาตอนเที่ยงเอาไปตากแดด พอสีผึ้งละลาย ก็ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยเสือออกมา เอาผ้าสะอาดเช็ดสองทีก็จบแล้ว" ทำเอาอีกฝ่ายหนึ่งแทบจะตบกบาลตัวเอง เพราะว่าขาดประสบการณ์เหล่านี้เป็นต้น เพียงแต่ว่าไอ้ตัวเล็กแจ้งมาว่า ญาติโยมทั้งหลายจองหมดเกลี้ยงไปแล้ว ท่านที่มาช้าก็โปรดรอของแพงในโอกาสหน้าไปก็แล้วกัน..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...