เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 มีนาคม 2025 at 12:08.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,678
    ค่าพลัง:
    +26,539
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๘


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,678
    ค่าพลัง:
    +26,539
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ อากาศที่โรงแรม DEL Style Osaka - Shin Umeda เขตฟูกุชิมะ เมืองโอซากา อยู่ที่ ๕ องศาเซลเซียส ห้องอาหารเปิดตรงเวลามาก แต่วันนี้ได้รับบทเรียนจากเมื่อวานแล้ว จึงตักข้าวเพิ่มขึ้น ๑ ถ้วย และอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อฉันเสร็จแล้ว ต้องหอบถ้วยโถโอชามที่ใช้แล้วไปวางไว้บริเวณที่เขาเตรียมไว้ให้ด้วย เมื่อวานนี้ยังไม่ทราบธรรมเนียมของเขา จึงทิ้งคาโต๊ะเอาไว้ ต้องบอกว่า "ขายหน้าเป็นที่สุด..!"

    ครั้นเวลา ๐๗.๓๐ น. ของประเทศญี่ปุ่น คณะของเราก็เดินไปยังสถานีรถไฟกลางโอซากา เพื่อที่จะต่อรถไฟไปยังโคยะซัง ได้ยินว่าต้องนั่งกันสองต่อสามต่อเลยทีเดียว ด้วยความที่ว่าในคณะของเรานั้นมีป้ามอย (นางสาวมณีวรรณ สัมฤทธิ์) ลูกน้ำ (ผศ.ดร.สพญ.ชลาลัย เรืองหิรัญ) และไอ้ตัวเล็ก (นางสาวพัชรีภรณ์ หยกอุบล) ซึ่งขาสั้นกว่าผู้ชายในคณะทั้งหมด ก็เลยทำให้เดินไปไม่ทันรถที่กำลังจะออกจากสถานี

    แต่ว่าด้วยบุญอุปถัมภ์ ก็เลยทำให้ประตูอัตโนมัติของรถไฟเที่ยวนั้นมีปัญหา ต้องใช้เวลาแก้ไขถึง ๒ นาที พวกเราจึงสามารถขึ้นรถไฟได้ทัน ทั้ง ๆ ที่น่าจะตกรถไปแล้ว..!

    พวกเรามาลงที่สถานีชินอิมามิยะ ทำการเติมเงินใส่บัตรเสียก่อน เพื่อที่จะได้ใช้งานสำหรับทั้งรถเมล์ รถไฟ และเคเบิลคาร์ หลังจากนั้นก็นั่งรอจนรถไฟที่ไปโคยะซังมาถึง พวกเราก็ได้อาศัยรถไฟนั่นแหละตรงไปยังจุดหมายปลายทาง

    โคยะซังเป็นสถานที่สำคัญมากในการแสวงบุญของชาวญี่ปุ่น เนื่องจากว่าเป็นที่เก็บอัฐิของท่าน Kobo Daishi ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนาลัทธิชิงอน ท่านมาตั้งนิกายชิงอนขึ้นในประเทศญี่ปุ่น แล้วได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างสูง ท่านไปสร้างวัดเอาไว้ที่บริเวณภูเขาโคยะซัง แล้วก็เลยทำให้บรรดาบุคคลที่ต้องการพึ่งใบบุญของท่าน พากันไปอาศัยสร้างสุสานไว้บริเวณนั้นเป็นจำนวนมากมายมหาศาล โดยเฉพาะบรรดาเจ้าผู้ครองนคร หรือว่าขุนนางอำมาตย์ใหญ่ ๆ ในสมัยก่อน

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โคยะซังจึงกลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะเต็มไปด้วยสุสานแต่ก็มีคนตั้งใจไป เพื่อที่จะสัมผัส หรือว่ารับพลังจากท่าน Kobo Daishi ซึ่งถ้าหากว่าเป็นแถวบ้านเราก็คงประมาณที่เก็บสังขารของครูบาอาจารย์ที่มรณภาพแล้วกายสังขารไม่เน่าไม่เปื่อยประมาณนั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,678
    ค่าพลัง:
    +26,539
    การเดินทางไปครั้งนี้ ทางคุณเผือกน้อย (นายเฉลิมเดช รุจิราวรรณ) เจ้าภาพในการเดินทาง จองตั๋วรถไฟที่นั่งพิเศษไว้ให้ แต่ว่าเป็นที่นั่งซึ่งพิเศษจริง ๆ เนื่องเพราะว่าเราไม่สามารถจะนั่งไปจนสุดทางได้ เพราะว่าทางด้านภูเขาโคยะซังมีหิมะตกหนักตั้งแต่เมื่อคืน ทั้ง ๆ ที่เป็นฤดูร้อนแล้ว ทำให้มีต้นไม้ล้มทับทางรถไฟ เขาต้องเสียเวลาเคลียร์เอาต้นไม้ออกก่อน จึงให้พวกเราต้องลงกลางทาง แล้วต่อรถบัสขึ้นไปบนเขาโคยะซังเลย

    โดยปกติแล้วพวกเราต้องไปถึงสถานีรถไฟสุดท้ายตอนประมาณ ๑๐ นาฬิกาเศษของญี่ปุ่น แล้วก็นั่งเคเบิลคาร์ขึ้นไปบนยอดเขา แต่เนื่องจากว่ารถไฟไม่สามารถจะไปถึงได้ตามกำหนด เจ้าหน้าที่การรถไฟญีปุ่นจึงจัดรถบัสมารับพวกเรา แล้วก็วิ่งขึ้นไปส่งบนภูเขาโคยะซังเลย นับว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ดีมาก ๆ

    พวกเรายิ่งขึ้นสูงไปก็ยิ่งใจคอไม่ดี เพราะเห็นยอดเขาไกล ๆ มีหิมะปกคลุมขาวโพลนไปหมด มัวแต่ใจคอไม่ดีอยู่ได้พักเดียว ปรากฏว่าหิมะตกลงมาเสียแล้ว คราวนี้ยิ่งขึ้นสูง หิมะก็ยิ่งขาวสะพรั่งไปหมด รถก็ไม่สามารถที่จะทำความเร็วได้ เพราะว่าถนนลื่น รถที่สวนลงมาบางคันมีหิมะคลุมเต็มหลังคา หนาเป็นฟุต ๆ แสดงว่าเมื่อคืนนั้นมีหิมะตกอยู่ข้างบนแทบทั้งคืนทีเดียว..!

    พวกเรามาลงรถบัสที่สถานีโคยะซัง แล้วต้องเข้าไปแตะบัตร เพื่อเป็นการจ่ายเงินที่ปลายสถานี หลังจากนั้นก็มาต่อรถบัสช่วงสุดท้ายขึ้นไปด้านบน กว่าที่จะไปถึงด้านบนก็ ๑๑ โมงครึ่งกว่าแล้ว พวกเราจึงได้ตรงเข้าไปยังร้านอาหารก่อน ทำการสั่งข้าวปลาอาหารตามที่ตนต้องการ

    แต่ว่ากระผม/อาตมภาพนั้น เนื่องจากว่าจะขึ้นไปสักการะท่าน Kobo Daishi ซึ่งต้องบอกว่าเป็นปรมาจารย์ของนิกายชิงอน จึงตั้งใจว่าถ้าเราฉันเจขึ้นไป จะเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพมากกว่า แต่ด้วยความที่ว่าเป็นอาหารเจ เขาก็เลยทำอาหารให้กับคนอื่นจนครบ แล้วค่อยทำอาหารเจออกมากให้ ทำเอากระผม/อาตมภาพนั่งชมวิวที่หิมะกำลังตกหนักริมหน้าต่างอยู่นานกว่าคนอื่น..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,678
    ค่าพลัง:
    +26,539
    ครั้นฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงมาข้างล่าง ซึ่งชั้นล่างนั้นเป็นร้านชำขายของทั่วไป แต่ว่าชั้นบนเป็นร้านอาหาร ทางผู้จัดการร้านบอกว่า "ไม่เคยพบมาก่อนเลยในชีวิต ว่าฤดูร้อนแบบนี้จะมีหิมะตกหนักได้อย่างนี้" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่น้อมจิตกราบขอบพระคุณท่าน Kobo Daishi ที่ต้อนรับพวกเราอย่างประทับใจสุด ๆ..!

    พวกเราถ่ายรูปกันรอบบริเวณนั้นอยู่พักใหญ่ กว่ารถเมล์ที่ไปยังสุสานท่าน Kobo Daishi จะมาถึง เมื่อขึ้นรถแล้วเขาก็ไปส่งตรงปากทางเข้าสุสาน ส่วนที่เหลือพวกเราต้องเดินผ่านหิมะหนาเป็นฟุต ๆ เข้าไปกันเอง ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลไม่น้อยเลย ตลอดทางก็มีแต่บรรดาสุสานของบุคคลที่หวังจะมาพึ่งบุญพึ่งบารมีท่าน Kobo Daishi สร้างเอาไว้อย่างงดงามเต็มไปหมด

    พวกเราเดินถ่ายรูปไปเป็นระยะ ทั้ง ๆ ที่เขาห้ามถ่ายรูปในบริเวณนี้ เมื่อคุยกันถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงห้ามถ่าย ทั้ง ๆ ที่ทิวทัศน์สวยงามสุด ๆ โดยเฉพาะป่าสนต้นใหญ่มหึมา ๒ - ๓ โอบ ซึ่งทำให้เข้าใจชัดเลยว่า ทำไมวัดซึ่งสร้างด้วยไม้ของทางด้านประเทศญี่ปุ่นนั้น ถึงสามารถหาเสาต้นใหญ่มหึมาขนาดนั้นได้ ก็เพราะว่าเป็นต้นสนอายุหลายร้อยจนถึงพันปีเหล่านี้นั่นเอง บรรดาผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์กันแล้วก็ฟันธงว่า เนื่องจากว่าเป็นป่าสนที่รกทึบมาก และมีแต่สุสานเต็มไปหมด ถ้าหากว่าถ่ายรูปแล้วไปติดบุคคลของโลกอื่นเข้า ก็อาจจะทำให้คนตกใจกลัวแล้วไม่กล้ามากันอีก..!

    เมื่อคุยกันไปเดินกันไป จึงทำให้ลืมระยะทางที่ค่อนข้างจะไกลไปเสียหมด จนกระทั่งผ่านสถานที่คล้ายกับอาคารต้อนรับแขกของวัด เขามีการจำหน่ายของที่ระลึกและเขียนคำอวยพรอะไรประมาณนั้น พวกเราผ่านเข้าไปยังศาลาใหญ่ อ้อมไปทางด้านหลัง ซึ่งเป็นที่บูชาและที่เก็บอัฐิของท่าน Kobo Daishi เข้าไปกราบสักการะ อธิษฐานกันตามอัธยาศัย

    ระหว่างนั้นหิมะก็ยังคงตกอยู่ตลอดเวลา พวกเราจึงปรึกษากันว่าไม่ควรจะไปที่อื่นอีกแล้ว เนื่องเพราะว่าถ้าหิมะตกหนัก รถอาจจะลงจากภูเขาไม่ได้ หรือว่าถ้ามีต้นไม้ล้มทับทางอีก ก็อาจจะเสียเวลากันระดับข้ามวันข้ามคืน จึงได้เดินย้อนกลับมาถึงสถานที่หนึ่ง ซึ่งขากลับเป็นด้านขวามือ มีอาคารลักษณะกุฏิเล็ก ๆ ให้คนสามารถสอดมือเข้าไปภายในได้ ซึ่งด้านในนั้นมีหินลื่น ๆ ลักษณะเหมือนหินน้ำตกอยู่ก้อนหนึ่ง โตประมาณฟักเขียวของบ้านเราได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า "ถ้าใครเป็นบุคคลที่จัดอยู่ว่าเป็นคนดี ไปยกก็สามารถที่จะยกขึ้นได้" แต่ว่าไม่มีใครกล้าเสี่ยง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,678
    ค่าพลัง:
    +26,539
    กระผม/อาตมภาพจึงลองยื่นมือเข้าไปดู ปรากฏว่าสามารถตะล่อมหินด้วยมือเดียว แล้วยกขึ้นมาได้ แต่รู้สึกว่าหนักมากจริง ๆ ครั้นลองใช้สองมือยื่นเข้าไปก็ปรากฏว่าใช้ได้อีก จึงยกทั้งสองมือขึ้นมา แต่ประหลาดตรงที่ว่าทั้งสองมือ รู้สึกว่าหินนั้นน้ำหนักเท่ากัน พูดง่าย ๆ ว่ายกมือเดียวหนักแค่ไหน ยกสองมือก็รู้สึกว่าหนักแค่นั้น กลายเป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่เหมือนกัน..!

    แล้วพวกเราก็เดินย้อนทางออกไปด้านนอกชนิดที่จ้ำอ้าวเลยทีเดียว เพราะไม่ค่อยจะแน่ใจในสุขภาพของตนเอง เพราะว่าอากาศบนนี้ตามป้ายของเขาก็คือ - ๑.๖ องศาเซลเซียส ลงมาถึงบริเวณสุดทางรถเมล์ซึ่งมีร้านค้าอยู่ พวกเราแวะไปเข้าห้องน้ำ หลายคนที่เดินทางไกลจนหมดพลัง ก็ได้ซื้อขนมเติมพลังให้กับตัวเองด้วย

    พวกเราลงมาถึงสถานีรถบัสโคยะซังแล้ว ก็เข้าไปแตะบัตรทางด้านในเพื่อจ่ายค่ารถ หลังจากนั้นก็รอจนได้เวลา เคเบิลคาร์ก็ออก แต่ว่ามีคนไม่ถึงครึ่งคัน เนื่องเพราะอาจจะมีข่าวว่า ต้นไม้ล้มทับทางทำให้รถไฟมาไม่ได้ ก็เลยไม่มีบุคคลมาแสวงบุญกันมากมายเหมือนวันก่อน ๆ พวกเราโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าดูตามตารางแล้วเราต้องรอรถไฟอยู่เกือบ ๓๐ นาที แต่ปรากฏว่าลงมาถึงรถไฟจอดอยู่พอดี ต้องกราบขอบพระคุณท่าน Kobo Daishi เป็นอย่างยิ่งที่บริการทุกระดับประทับใจขนาดนี้..!

    พวกเรานั่งรถไฟย้อนกลับลงมา จนกระทั่งถึงบริเวณสถานี ซึ่งได้ทำการเปลี่ยนไปนั่งรถบัสในขาขึ้น ก็ต้องมาเปลี่ยนขบวนรถไฟ มาลงที่สถานีชินอิมามิยะ แล้วต่อรถไฟกลับไปยังสถานีกลางโอซากา แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน อย่างเช่นว่าหาซื้อยาแก้ไข้ของคนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นยาที่กระผม/อาตมภาพฉันแล้วรู้สึกถูกกับธาตุขันธ์มาก แต่ว่าต้องเว้นช่วงอย่างน้อย ๖ ชั่วโมงถึงจะฉันซ้ำได้ บางคนก็ไปหาซื้อร่ม ที่ได้สามารถต้านได้แม้แต่พายุไต้ฝุ่น บางคนก็ออกไปหาข้าวหาขนมของตัวเองกิน

    กระผม/อาตมภาพฝากทางด้านทิดโฮป (นายกฤตบุญ ปัญจรัตนากร) และหมอโส (นายโสภณ ศิริปุณย์) ว่า ถ้าใครผ่านไปทางห้างสรรพสินค้า ให้ช่วยหา "เซ็นฉะ" สัก ๒๐๐ หรือว่า ๓๐๐ กรัม เนื่องเพราะว่าตนเองไม่นิยมที่จะไปเดินห้างในลักษณะแบบนั้น จึงกลับเข้าสู่ที่พักของตนเอง ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนของวันนี้เอาไว้ก่อน แล้วจะได้แช่น้ำร้อนเพื่อไล่ความหนาวตกค้างในร่างกายต่อไป

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...