เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 กันยายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันนี้กระผม/อาตมภาพเข้ารับการอบรมเพื่อที่จะพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริต ก็คือ Anti-Corruption ซึ่งหลักสูตรพวกนี้จะว่าไปแล้ว ถ้าออกมา อย่างน้อยก็จะเป็นระดับประกาศนียบัตร หรือว่าปริญญาตรี ซึ่งไม่ทันกิน..! เพราะถ้าหากว่าเราจะอบรมเด็กไม่ให้ทุจริต ก็ต้องเริ่มตั้งแต่เล็ก ๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือต้นแบบ อยู่บ้านเด็กจะทำตามพ่อแม่ อยู่โรงเรียนเด็กจะทำตามครู โดยเฉพาะผู้ที่เด็กเห็นว่าเป็นแรงบันดาลใจของตนเอง เป็นวีรบุรุษวีรสตรีของตนเอง

    ดังนั้น...ในการพัฒนาหลักสูตรที่ต้องอบรมกันถึง ๕ วาระ ซึ่งผ่านไป ๔ ครั้งแล้ว กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าจะแก้ที่ต้นเหตุ ต้องแก้ตั้งแต่เด็กเกิดมา หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น พอเริ่มรู้ว่ามีเด็กอยู่ในท้อง พ่อแม่ก็ต้องขยันเข้าวัด ขยันสวดมนต์ไหว้พระ ขยันเจริญพระกรรมฐาน เป็นการสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจของเด็กตั้งแต่ต้น

    อย่าคิดว่าเด็กที่เพิ่งเกิดจะไม่รู้ ผมยืนยันว่าอยู่ในท้องแม่ก็รู้ เพราะผมเคยตามไปดูมาแล้วว่า ตอนที่ผมยังอยู่ในท้องแม่เป็นอย่างไรบ้าง ย้อนหลังกันไกลไปหน่อย ซึ่งเด็กรับรู้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเจ็บปวด หนาว ร้อน หิว กระหาย อะไรก็รู้หมด แต่การแสดงออกทำได้จำกัดมากเท่านั้น


    ดังนั้น...ในเรื่องของหลักสูตรต้านทุจริตที่ทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจัดการอบรมขึ้นมาในครั้งนี้ ก็ถือว่าสมควรที่จะมีอย่างยิ่ง เนื่องจากว่าประเทศของเรานั้น ระดับการทุจริตเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ถ้านับในอาเซียนด้วยกัน คะแนนความโปร่งใสของเราก็รั้งท้าย...น่าปลื้มใจ ในระดับโลกเราก็อยู่ในอันดับร้อยกว่า..ซึ่งถือว่าย่ำแย่เป็นอย่างมาก

    ตรงจุดนี้ถ้าหากว่าเราแก้ไขตั้งแต่เด็กแล้ว ยังต้องกำหนดหลักสูตร แนวทาง หรือวิธีการ ให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะให้เด็กมีคุณธรรมจริยธรรม ในระดับอนุบาลต้องทำอย่างไร ในระดับประถมต้องทำอย่างไร ในระดับประถมต้องทำอย่างไร แล้วถ้าจะให้ดีก็ถึงระดับปริญญาตรีเป็นอย่างน้อย

    ถ้าได้รับการปลูกฝังอย่างนี้ต่อเนื่องกันสัก ๓ รุ่น ถ้านับอายุ
    ตั้งแต่แรกเกิดจนจบปริญญาตรีก็ ๒๒ ปี ถ้า ๓ รุ่น ก็ ๒๔ ปี เราถึงจะได้คนรุ่นใหม่ที่ละอายชั่วกลัวบาป การทุจริตต่าง ๆ จะลดน้อยถอยลง แต่ไม่ใช่หมดไป
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ขอให้รู้ว่าการทุจริตนั้นเป็นการสมยอมกัน ฝ่ายหนึ่งยอมจ่ายเพื่ออำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ อีกฝ่ายหนึ่งก็ตั้งใจรับ บางทีก็เรียกร้องเอง จึงหมดไปยากมาก เพราะอะไร ? ก็เพราะว่าในเรื่องของการทุจริตนั้น ถ้าจะแก้ไขเราต้องพัฒนาทั้งในระดับศีล โดยเฉพาะศีลข้ออทินนาทานฯ จัดเป็นของที่ไม่สมควรได้ ในระดับสมาธิ ต้องรู้จักระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ในระดับปัญญา ต้องเห็นโทษว่า การที่เราละโมบโลภมาก จะก่อให้เกิดโทษอย่างไร จึงจะไปสัมพันธ์กับการสร้างจิตสำนึกให้ละอายชั่วกลัวบาปที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็ก

    เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ต้องบูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน โดยมีรัฐบาลเป็นผู้นำ กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่กันเลย ไม่อย่างนั้นแล้วไม่มีทางสำเร็จ กว่าจะมาถึงพระก็สายเกินไป เพราะว่าอย่างดี ๓ ปีแรกก็อยู่กับพ่อแม่ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็อยู่กับพี่เลี้ยงมากกว่า ๓ ปีถัดมาอยู่โรงเรียนอนุบาล ๑๒ ปีถัดไปอยู่ในระบบการศึกษาที่ตัดเอาคุณธรรมจริยธรรมออกไป ไม่มีหลักสูตรบังคับ

    ดังนั้น..ก็แปลว่ากว่าจะมาถึงมือของพระ อย่างน้อยก็อายุ ๑๘ ปีขึ้นไป กลายเป็นไม้แก่ ดัดไม่ไหวแล้ว ยกเว้นบางท่านที่มีปุพเพกตปุญญตา รักษาคุณงามความดีมาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ มาถึงชาตินี้ก็เป็นผู้ที่ใฝ่ดี มีมโนธรรมเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งก็มีน้อยมาก

    ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ต้นแบบนั้นสำคัญที่สุด ถ้าแม่แบบไม่ดี สิ่งที่เราหล่อหลอมออกมาก็บิด ๆ เบี้ยว ๆ หาความสวยงามไม่ได้ โดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรของเรา ต้องทำตัวเป็นแม่แบบอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเราเป็นปูชนียบุคคลที่ญาติโยมให้ความเคารพนับถือ แม่แบบทั้งหลายเหล่านี้จะแสดงผ่านกาย ผ่านวาจา ผ่านใจของเรา

    ทำอย่างไรที่จะคิดต่อคนอื่นด้วยความเมตตา ที่จะพูดต่คนอื่นด้วยความเมตตา จะทำต่อคนอื่นด้วยความเมตตา ถ้าสามารถที่จะทำได้ เราก็เป็นผู้ที่เย็นทั้งกาย เย็นทั้งวาจา เย็นทั้งใจ ใคร ๆ ก็อยากจะอยู่ใกล้ คนเห็นก็อยากเลียนแบบและทำตาม
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ ถ้าท่านทั้งหลายสังเกต ผมเองนั้นดูมามากแล้ว สมัยก่อนโน้นศิษย์สายท่านอาจารย์ยันตระ พูดน้อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ เคลื่อนไหวช้า ๆ ไม่รู้ตัวหรอกว่าซึมซับต้นแบบมาจากครูบาอาจารย์ สายสันติอโศกก็ทำตัวปอน ๆ ติดดินเต็มที่ ไปไหนไม่ใส่รองเท้า สายธรรมกายก็แต่งตัวอย่างชนิดเรียบหรูดูดีทุกมุม ถ้าหากว่าไว้ผมได้ เส้นผมก็แทบจะไม่กระดิกเลย นั่นคือความสำคัญของต้นแบบ

    แต่คราวนี้ต้นแบบของเราก็คือพระพุทธเจ้า เราน่าจะเลียนแบบกันไม่ถึง เพราะว่าต่ำสุดก็ต้องสร้างบารมีกันมา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ในเมื่อเลียนแบบไม่ถึง ขอสักครึ่งหรือขอสัก ๑ ใน ๔ ก็ยังดี ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้แค่ ๑ ใน ๔ ของพระพุทธเจ้า เราก็จะเป็นต้นแบบให้กับญาติโยมได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน แล้วท้ายที่สุด..สังคมที่ปราศจากทุจริต สะอาด โปร่งใส ก็จะเกิดขึ้นเอง

    ตอนช่วงนี้ก็ให้เขาสัมมนาจัดหลักสูตรกันไปก่อน ถึงแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้มาก อย่างน้อย ๆ เอาสัก ๕ เปอร์เซ็นต์ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ยังดี แล้วหลังจากนั้นก็ไปแก้ไขกันที่ต้นเหตุอีกทีหนึ่ง วันนี้ได้เข้าร่วมอบรมสัมมนาในเรื่องนี้ จึงคิดขึ้นมาว่า จริง ๆ แล้วหลักธรรมของพระพุทธเจ้าสำคัญที่สุด รู้จักละอายชั่ว กลัวบาป ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าสามารถควบคุม รัก โลภ โกรธ หลง ของตนให้อยู่ในกรอบได้
    คอรัปชั่นทุกอย่างจะไม่มี และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป

    ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...