เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 9 กุมภาพันธ์ 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพหายจากวัดไป ๘ วันเต็ม ๆ เพราะว่าการงานต่าง ๆ เข้ามาแบบ "รัว ๆ" เนื่องจากว่ามีคำสั่งด่วนในเรื่องของการอบรมพระอุปัชฌาย์และอบรมบาลีก่อนสอบเข้ามา ซึ่งโดยตำแหน่งหน้าที่แล้วก็ต้องเป็นกรรมการทั้ง ๒ โครงการ ต้องบอกว่าแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตนเอง

    ในเรื่องของงาน อย่างที่เคยบอกทุกท่านไว้ว่า ถ้าเราจัดระดับความสำคัญ ก่อนหลัง เร็วช้า ของงานได้ เราก็จะไม่สับสนวุ่นวาย สามารถที่จะทำงานทุกอย่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างวันนี้ถ้าหากว่าใครติดตามงานทางเฟซบุ๊ก จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพมีงานตั้งแต่เช้ายันเย็น หลังทำวัตรแล้วช่วง ๒ ทุ่มยังต้องไปงานศพต่ออีก

    สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ถ้ากำลังใจของเราทรงตัว คำว่ากำลังใจทรงตัวในที่นี้ก็คือ อย่างน้อย ๆ ต้องทรงฌานได้ในระดับใดระดับหนึ่ง เราก็จะมีกำลังสู้กับงานได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ในเมื่อร่างกายไม่ใช่ของเรา เราก็ต้องบังคับบัญชาร่างกาย ไม่ใช่ให้ร่างกายบังคับบัญชาเรา

    แต่ว่าคนที่จะมีกำลังใจเช่นนี้ก็ต้องเลิกกลัวตายก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วสำหรับคนทั่ว ๆ ไป ถึงเวลางานหนัก รู้สึกว่าเกินกำลังก็มักจะท้อถอยและวางมือไป โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำเช่นนั้น เพราะมีความกลัวตายแฝงอยู่ กลัวว่าถ้างานหนักกว่านี้ เรารับไม่ไหว อาจจะถึงตาย เป็นต้น

    ดังนั้น...ก่อนที่จะถึงตรงจุดนี้ กำลังวิปัสสนาญาณของเราจะต้องเห็นธรรมดาของร่างกายว่า มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด ถ้ายังมีชีวิตอยู่ เราก็อาศัยร่างกายนี้กระทำความดีให้มากที่สุด ถ้าจะหมดสภาพตายลงไปตอนนี้ก็เป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ได้เกี่ยวกับเรา ตรงนี้อาจจะค่อนข้างยากสำหรับทุกท่าน แต่ว่าก็ไม่เกินกำลังนัก
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    สำหรับบรรดานาคทั้งหลาย เมื่อมาถึงวัดแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือต้องซ้อมขานนาคให้มีความคล่องตัว ไม่อย่างนั้นแล้วก็ต้องว่าคนเดียวในโบสถ์ ว่าไม่ได้ก็ยังไม่ต้องบวช

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าการบรรพชาอุปสมบท เป็นการที่กุลบุตรนำเอาผ้ากาสาวพัสตร์เข้าไปร้องขอในท่ามกลางสงฆ์ ว่าให้สงฆ์ยกตนขึ้นเป็นอุปสัมบัน คือผู้ที่มีศีลเสมอกันด้วย ในเมื่อเราเป็นผู้ร้องขอ ก็ต้องว่าด้วยตนเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นสอนให้ ถ้าว่าไม่ได้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็เป็นอันว่ารอไปก่อน จนกว่าที่จะว่าได้คล่องตัว ซึ่งก็ไม่ต้องกังวล เพราะว่าวัดท่าขนุนมีการบวชฟรีถึงปีละ ๔ ครั้ง แล้วในแต่ละครั้งที่เข้ามา ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะผ่านการขานนาคได้ทั้งหมด

    แม้กระทั่งการสอบพระอุปัชฌาย์ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นผู้ที่จะควบคุมดูแล และอนุมัติให้การบรรพชาอุปสมบทนั้นสำเร็จลงหรือไม่ ก็ยังมีการสอบตกอยู่ทุกปี ดังนั้น...ถ้าหากว่าพวกเราขานนาคไม่ได้ ถือว่าสอบตก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

    เพียงแต่ว่าส่วนหนึ่งนั้น นอกจากเราต้องว่าเองแล้ว ยังต้องเสียงดัง ฟังชัด พระทุกรูปที่อยู่ในโบสถ์ต้องได้ยินเสมอกัน เพราะว่าเราเข้าไปร้องขอต่อคณะสงฆ์ ไม่ใช่ต่อพระภิกษุสงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง จึงไม่สามารถที่จะอุบอิบกระซิบกันอยู่แค่ ๒ คนได้ เสียงดัง ฟังชัด ว่าให้ถูกอักขระ พยายามให้มีความผิดพลาดให้น้อยที่สุด

    โดยเฉพาะในเรื่องของภาษาบาลี ไม่ใช่เรื่องที่เราเคยชิน บางคำเขียนอย่างหนึ่งก็ออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง บางเสียงก็เป็นสระควบกล้ำ ทำให้ออกเสียงยาก อย่างเช่น เอยยะ แต่ต้องออกเสียง ไอยะ เป็นต้น อย่างเช่นว่า ละเภยยาหัง ภันเต ออกเสียง เอย กับ ไอย อย่างละครึ่ง เวเนยยะ ก็เป็นเสียง เอยยะ เหมือนกัน แต่ว่าต้องออกเสียง ไอย ครึ่งหนึ่ง

    เรื่องพวกนี้เราค่อย ๆ ศึกษาไป เพราะว่าการบวชพระจะสมบูรณ์พร้อมก็ต้องประกอบไปด้วย

    อันดับแรกคือ วัตถุสมบัติ ตัวตนของเราต้องเกิดเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษ มีอวัยวะครบ ๓๒ อายุได้อย่างน้อย ๒๐ ปี ไม่เป็นผู้ที่ต้องห้ามในทางการบวชทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกอย่างเช่นว่าเป็นคนหนีคดีมาบวช ทางธรรมอย่างเช่นว่าป่วยเป็นโรคร้ายแรง เป็นต้น

    สีมาสมบัติ ก็คือต้องบวชในเขตสีมาเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพัทธสีมา หรือว่าอุทกกุกเขปสีมาก็ตาม

    ปริสสมบัติ ก็คือคณะสงฆ์ อย่างน้อยต้องเป็นปัญจวรรค คือ ๕ รูปขึ้นไปในปัจจันตชนบท เป็นทศวรรค คือ ๑๐ รูปขึ้นไปในมัชฌิมชนบท

    และท้ายที่สุดคือ กรรมวาจาสมบัติ การสวดญัตติต้องเป็นไปโดยถูกอักขระฐานกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับ "คนต่างชาติ" อย่างพวกเรา

    เหตุที่ใช้คำว่า "คนต่างชาติ" ก็เพราะว่าไม่ใช่ภาษาของเรา ดังนั้น...โอกาสที่จะสวดได้ถูกต้องอย่างแท้จริง จึงเป็นไปได้ยากมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า แต่ละท้องถิ่นมีการออกเสียงสำเนียงที่ไม่เหมือนกัน บางเสียงเป็นเสียงควบกล้ำ เราออกได้ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ก็ต้องเอาให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

    ฉะนั้น...ในเรื่องของการบรรพชาอุปสมบทจึงเป็นของหนัก เป็นไปได้ยาก พวกเราเองกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษ อยู่รอดมาจนอายุ ๒๐ ปีขึ้นไป ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ แล้ว เพราะว่าโอกาสที่จะตายมีอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกส่วนหนึ่งนอกเหนือจากงานทั่วไป กระผม/อาตมภาพก็ได้ไปร่วมงานหล่อรูปท้าวจาตุมหาราชที่ทุ่งป่าสวนสนธรรมสถาน ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา เสร็จงานแล้วก็รีบกลับ เพราะว่ามีงานอบรมพระอุปัชฌาย์รออยู่ แต่ปรากฏว่าทำให้ทางด้านโน้นเข้าใจผิด คิดว่ากระผม/อาตมภาพไปแล้วไม่ได้รับการต้อนรับขับสู้ ก็เลยรีบกลับ ทำให้ตัวเจ้าสำนัก คือ ท่านอาจารย์นิค (พระฉัตรชัย อภิวิชฺโช) ตามมากราบขอขมาในงานเปิดอบรมบาลีถึงวัดไร่ขิง

    ความจริงแล้วไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ถ้าหากว่าเสร็จงาน กระผม/อาตมภาพจะรีบกลับเลย ด้วยสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือมีงานรออยู่ ประการที่สองก็คือญาติโยมมักจะมาขอทำบุญด้วย ซึ่งกระผม/อาตมภาพถือว่าเสียมารยาทมาก อยู่ที่ไหนก็ควรจะทำบุญกับสถานที่นั้น ไม่ใช่ทำบุญกับคนอื่น ดังนั้น...งวดนี้ไม่ว่าญาติโยมจะมาขอทำบุญอะไรด้วย กระผม/อาตมภาพจะบอกว่าไปทำบุญกับทางวัดนี้ แต่กลับทำให้เข้าใจผิดกันว่ากระผม/อาตมภาพไม่พอใจที่ไม่ได้รับการต้อนรับ

    เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเป็นเจ้าของงานก็จะรู้ ว่าไหนจะต้องดูแลความเรียบร้อยของงานทั้งหมด ไหนจะต้องคอยต้อนรับพระผู้ใหญ่ที่เป็นประธานในงาน ไม่มีเวลาที่จะไปสนใจคนอื่น แม้กระทั่งตัวกระผม/อาตมภาพเอง เวลาเป็นเจ้าของงาน เจอหน้าพระเถรานุเถระที่เคารพนับถือซึ่งได้นิมนต์มา บางทีก็ได้แค่กราบทักทายสวัสดีกันเท่านั้น เวลาที่จะคุยก็ยังไม่มี

    แต่ด้วยเหตุว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนพูดน้อย ยกเว้นเวลานั่งอยู่ต่อหน้าไมค์ฯ แบบนี้ แล้วก็มักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับญาติโยมทั้งหมด เพราะเกรงว่าเขาจะมาขอทำบุญด้วย ก็เลยทำให้ญาติโยมส่วนหนึ่งของทางด้านโน้นเข้าใจว่า เมื่อทางเจ้าสำนักไม่มาต้อนรับ กระผม/อาตมภาพก็เลยไม่พอใจ ซึ่งถ้าหากว่าพูดกันตามภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ก็คือ "มึงน่ะคิดมาก" ส่วนตัวกระผมเองเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร เพราะว่าไม่ว่าที่ไหนก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น

    อีกส่วนหนึ่งก็คือญาติโยมที่ตั้งใจนำของมาถวาย มักจะถวายแบบไม่ดูกำลังคน หอบมาทีหนึ่งก็เป็นคันรถ แล้วกระผม/อาตมภาพจะขนกลับมาอย่างไร ? อย่างเช่นบางท่าน ซึ่งกระผม/อาตมภาพนั่งเครื่องบินไป ได้ถวายเหรียญเงินมา ๗,๐๐๐ กว่าบาท เมื่อบอกว่าให้ไปแลกเป็นธนบัตรให้ด้วย ก็ยังยืนยันขันแข็งว่า "ไม่ได้..เพราะว่าผมสวดคาถาเงินล้านด้วยเหรียญพวกนี้"

    แล้วลองคิดดูว่าเหรียญ ๗,๐๐๐ กว่าบาท น้ำหนักเท่าไร ? ต้องบอกว่าถวายมาเจ้าเดียว ก็แทบที่จะกินน้ำหนักสำหรับขึ้นเครื่องบินไปหมดแล้ว ต้องบอกว่าเป็นการทำบุญที่ขาดปัญญาเป็นอย่างมาก บางแห่งไป ทุกคนที่มาก็คือผ้าไตรมาคนละไตร อย่างไม่มี ๆ แต่ละครั้งก็รับมา ๔๐ - ๕๐ ไตร ในเมื่อต้องขึ้นเครื่องบินกลับ แล้วจะทำอย่างไร ?


    ดังนั้น...ในส่วนนี้ใครก็ตาม ถ้าหากว่าไปเจอกระผม/อาตมภาพที่อื่นแล้วขอทำบุญ ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพจะเดินหนีเสมอ อยากจะทำก็ไปทำกับเจ้าของที่ ยกเว้นว่าโดนเจ้าของที่ยึดย่ามไป แล้วก็เอาไปรับญาติโยมแทน..นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    อีกส่วนหนึ่งก็คือ มีการนำเอาข้าวของเงินทองให้กับคนขับรถ ซึ่งกึ่ง ๆ เป็น "การติดสินบน" ตรงนี้จะเป็นสาเหตุของการคอรัปชั่น เพราะว่าถ้าหากว่าได้ไปแล้ว อาจจะเกิดความพอใจ เกิดอคติ ลำเอียงเพราะรักขึ้นมา ถึงเวลางานครั้งหน้า ก็อาจจะมีการเชียร์ว่า "ไปที่นี่ดีกว่า"

    ตรงจุดนี้สำหรับกระผมแล้วไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเชียร์ให้ตายก็ไปตามงานที่รับเอาไว้ ถ้าหากว่ารับงานแรกเอาไว้แล้ว ต่อให้เป็นงานเล็กขนาดไหนก็ตาม ถ้ามีคนมานิมนต์ซ้ำในวันเวลาเดียวกันจะไม่รับ ต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่รับ

    ดังนั้น...อันดับแรกเลยก็คือ ถ้าหากว่าจะถวายข้าวของอะไรกรุณาหอบไปถึงวัดท่าขนุนแล้วค่อยถวาย อย่าไปถวายกลางทาง เพราะว่าไม่มีปัญญาจะเอากลับ ประการที่สองก็คือ อย่าติดสินบนคนขับรถหรือเลขานุการ เพราะว่าไม่มีประโยชน์ เนื่องจากว่ากระผม/อาตมภาพไม่ได้ฟังใคร จะว่าตัดสินใจตามอารมณ์ก็ไม่ใช่ เพราะว่าหลายอย่าง พระ หรือพรหม หรือเทวดา หรือครูบาอาจารย์ท่านก็เป็นผู้สั่ง ท่านบอกอย่างไร
    กระผม/อาตมภาพก็ทำตามแค่นั้น เป็นต้น

    ดังนั้น...ในวันนี้ที่มีงานตั้งแต่เช้าจนค่ำก็ดี และพรุ่งนี้ก็มีงานทั้งวันอีกเช่นเคย ก็อาจจะทำให้ต้องหายหน้าไปอีก เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก็จะขาดตกบกพร่อง ญาติโยมทั้งหลายไปตามฟังของเก่าเอาก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน หรือว่าธรรมบรรยายในวาระต่าง ๆ

    ถ้าหมดท่าขึ้นมาจริง ๆ ก็ไปนั่งภาวนาพระคาถาเงินล้าน โดยเปิดในยูทูบ ตั้งใจฟังแล้วกำหนดใจตามไป ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าที่จะมาร้อนใจ ชะเง้อคอรอว่าเมื่อไรเสียงธรรมจะมาเสียที

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวกับญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...