เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 24 กุมภาพันธ์ 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ช่วงนี้ทุกท่านก็ต้องทนเหม็นกลิ่นสีกลิ่นทินเนอร์กันหน่อย เพราะว่าทางช่างเร่งรัดในการสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน เป็นช่วงที่จะต้องลงสี ตอนนี้ก็สำคัญที่ว่าพระพุทธรูปแก้วของเราที่ช่างกำลังขัดแต่งอยู่นั้น จะต้องส่งมาให้ทันกำหนด ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าช่างปิดประตูก็จะเข้าไม่ได้ เพราะว่าส่วนที่ให้คนเดินนั้นคับแคบเกินไป ไม่สามารถที่จะเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปแก้วองค์ใหญ่ขนาดนั้นได้

    งานพวกนี้จะเร่งรัดเข้ามา แล้วค่าใช้จ่ายจากที่เคยคุยกันว่าประมาณเดือนละ ๘ ล้านบาทนั้น กระผม/อาตมภาพตั้งแต่ทำงานมา "ไม่เคยเชื่อเลย" แล้วพวกท่านก็เห็นว่า ช่วงนี้เดือนหนึ่งเขาจะเบิกตั้ง ๓ งวด ๔ งวด..! เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงของการซื้อข้าวของต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพวกสื่อมัลติมีเดียแสงสีเสียง ซึ่งพอตรวจสอบการซื้อเสร็จสรรพเรียบร้อย ก็สามารถที่จะส่งงานขอเบิกเงินงวดต่อไปได้เลย..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของการทำงานมีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือมีเงินพร้อมอยู่ในมือแล้วค่อยทำ ถ้าเป็นแบบนี้ท่านทั้งหลายก็จะไม่เครียด แต่ว่าให้บวก ๓๐ เปอร์เซ็นต์เอาไว้เสมอ ถ้าสมมติว่าค่าก่อสร้างเป็นเงิน ๑ ล้านให้ ก็ต้องเตรียมไว้ ๑ ล้าน ๓ แสนบาทเป็นอย่างน้อย เพราะว่าในระหว่างที่ทำงาน ข้าวของบางอย่างอาจจะขึ้นราคาได้

    แบบเดียวกับช่วงที่กระผม/อาตมภาพยังก่อสร้างอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เหล็กขึ้นราคาไปกิโลกรัมละ ๗ บาท พวกเราฟังดูแล้วก็รู้สึกว่าขึ้นมานิดเดียวเอง แต่ท่านต้องเข้าใจนะว่าตันหนึ่งขึ้นไปถึง ๗,๐๐๐ บาท..! แล้วการก่อสร้างนั้นเหล็กตันเดียวพอที่ไหน ? หรืออย่างช่วงที่สร้างศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้ก็เหมือนกัน ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเหล็กลงมาทีมัดหนึ่งประมาณครึ่งโอบ ราคาสี่ห้าแสนบาท ใช้ไม่กี่ชั่วโมงก็หมดแล้ว..! ดังนั้น..เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเผื่อเงินเอาไว้ก่อน

    ส่วนอีกประเภทหนึ่งก็ต้องทำอย่างกระผม/อาตมภาพ ก็คือ มอบความไว้วางใจให้กับพระ ให้กับพรหมเทวดา ให้กับครูบาอาจารย์ไปเลย มั่นใจว่าท่านสงเคราะห์เราได้แน่นอน เพียงแต่ว่าต้องวางกำลังใจให้ถูก ถ้าวางกำลังใจไม่ถูกก็เครียดหัวหงอกไปเลย..!

    แบบเดียวกับตอนที่ก่อสร้างที่เกาะพระฤๅษี กระผม/อาตมภาพวางแปลนตามที่พระท่านสั่ง แล้วพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล "พระครูแสง" น้องชาย อุตส่าห์พยายามเตือนว่า "หลวงพี่ครับ..ถ้าพลาดขึ้นมานี่ติดหนี้หัวโตเลยนะครับ..!" เพราะว่าอาคารตั้ง ๑๐ กว่าหลัง

    สำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ก็จะกลัวแบบนั้น แต่กระผม/อาตมภาพมีประสบการณ์ตั้งแต่สมัยพระคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ จนกระทั่งมาถึงพระคาถาเงินล้าน โดยเฉพาะถ้าหากว่าพระหรือครูบาอาจารย์ท่านสั่ง ก็จะมีกำลังของท่านมาช่วยอีกส่วนหนึ่งด้วย ไม่ใช่ให้เราแบกอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    ในเมื่อเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางกำลังใจให้ถูก หลายท่านเมื่อต้องทำการก่อสร้างก็เครียดจนหัวหงอก หน้าเหี่ยว สารพัด แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ชัดเจนว่า การก่อสร้างนั้นถ้าทำกำลังใจได้ถูก จะเข้าถึงมรรคผลได้เร็วกว่าปกติ เพราะว่าสารพัดเรื่องที่ท่านทั้งหลายแบกอยู่นั้น ก็ไม่ต้องไปแบก

    อย่างที่พวกเราอาจจะคิดว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านพูดเล่น ๆ ว่า "ติดหนี้ก็เป็นปัญหาของเจ้าหนี้ ไม่ใช่ปัญหาของท่าน" นั่นคือการวางกำลังใจที่ถูกต้องเลย ก็คือประเภท "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" ประมาณนั้น เพียงแต่ว่าการทำกำลังใจในระดับนั้นได้ ถ้าปล่อยวางไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องแบกอยู่ดี จึงเป็นเรื่องที่ถ้าหากว่าใครจะออกไปทำการก่อสร้าง ถ้าไม่มั่นใจขนาดกระผม/อาตมภาพก็อย่าได้ทำแบบนี้ ก็คือต้องหาทุนให้พอเสียก่อน

    แบบเดียวกับหลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมินั่นแหละ ท่านจะหล่อพระ
    กระผม/อาตมภาพถามท่านว่าองค์ละเท่าไร ? "สองแสนบาท" กระผม/อาตมภาพก็ถวายท่านไปสองแสนบาท ปรากฏว่าท่านหาเจ้าภาพได้อีก ๒๓ ราย..! ก็แปลว่า ๒๓ รายนั้นคือส่วนกำไรล้วน ๆ เพราะว่าในส่วนที่ควรจะจ่ายนั้น กระผม/อาตมภาพรับเป็นเจ้าภาพไปแล้ว ถ้าหากว่าได้ในลักษณะอย่างนั้นก็เบาใจได้ แต่กระผม/อาตมภาพไม่นิยม เพราะว่าถ้าหากว่าได้เงินแล้วก็คือทำเลย จะไม่ไปบอกใครอีก หรือว่าถึงไม่ได้ก็ทำอยู่ดีถ้าเป็นคำสั่ง ส่วนในระหว่างที่ทำ จะได้หรือไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องของกระผม/อาตมภาพเหมือนกัน

    แบบเดียวกับสมัยที่ทำการก่อสร้างที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ต้องวิ่งลงไปซื้อปูนในตัวเมืองกาญจนบุรี เพราะว่าร้านค้าแถวทองผาภูมิไม่ตุนสินค้าไว้ให้ กระผม/อาตมภาพก็ลงไป สั่งปูนซีเมนต์ทีหนึ่ง ๓๐๐ ลูก ลูกหนึ่ง ๕๐ กิโลกรัม ครั้งหนึ่งก็ตันครึ่ง คราวนี้เป็นช่วงหน้าฝน แล้วรถก็เป็นรถหกล้อของหน่วยป่าไม้ ไม่มีหลังคาไม่มีอะไรเลย แต่ก็จำเป็นที่จะต้องใช้

    ในเมื่อจำเป็น ถึงเวลาขนข้าวของขึ้น คนขับก็ยังกังวล
    กระผม/อาตมภาพบอกว่า "ไม่ต้องกังวลหรอก เราทำงานให้กับพระพุทธศาสนา ของทุกอย่างเท่ากับเป็นของสงฆ์ ถ้าเทวดาไม่ช่วยรักษา อาตมาจะถือว่าเทวดาทำลายของสงฆ์...!" พวกท่านอย่าได้ทะลึ่งคิดแบบนี้เชียวนะ..! กำลังไม่พอโดนแน่นอน แต่ปรากฏว่าเทวดาท่านเกรงใจ กลัวจะโดนข้อหา ก็เลยกลายเป็นว่าฝนตกหนักกระหน่ำนำหน้ารถไปตลอดทางเลย ตั้งแต่ตัวเมืองกาญจน์ยันทองผาภูมิ ๑๔๐ กิโลเมตร ก็คือตกตามปกติ แต่ตกอยู่ข้างหน้ารถ รถวิ่งไปก็คือฝนหมดแล้ว..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้เราต้องประเมินกำลังตัวเองด้วย ถ้าหากว่ากำลังตัวเองไม่พอแล้วไปเลียนแบบทำตาม เดี๋ยวก็ได้ตายกันบ้าง..! อย่างที่โบราณบอกว่า "เห็นช้างขี้ อย่าได้ขี้ตามช้าง" เพราะถ้าไม่ใช่ช้างด้วยกัน ขี้อย่างไร ก็ก้อนไม่ใหญ่เท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ให้พวกเราฟังกันเอาไว้เท่านั้นเอง แล้วก็คาดว่าคงจะไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ ไอ้คนที่กล้าทำยังไม่เกิด แล้วไอ้คนที่คิดจะทำก็มีหวัง "โดน" แน่นอน..!

    ดังนั้น..ในเรื่องของการก่อสร้าง ถ้าหากว่าเราวางกำลังใจได้ จะช่วยในเรื่องของมรรคผลได้เร็วมาก เพราะว่าการปฏิบัติของพวกเรา ถ้าไปภาวนาอย่างเดียว กระผม/อาตมภาพทำมาเองแล้ว ไปไม่รอดหรอก เพราะว่ากำลังของเรามีจุดสิ้นสุด พอถึงเวลาเหมือนกับแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้ว ไม่สามารถที่จะบรรจุต่อไปได้ ต้องหาทางใช้ให้ไฟฟ้าที่ชาร์จอยู่นั้นหมดลง หรือน้อยลง เพื่อที่จะเพิ่มเติมได้ ก็คือต้องหางานทำ

    แต่คราวนี้ตอนที่ทำงาน ก็ต้องระมัดระวังกำลังใจของตนเองด้วยว่า อย่าให้ฟุ้งซ่านตามงานไป หรือถ้าหากว่าอย่างแย่ ๆ เลย เวลางานใจเราจดจ่ออยู่กับงาน ก็คือใช้กำลังสมาธิไปอยู่กับงานนั้น ๆ ไม่ไปสนใจเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง อื่น ๆ พอเลิกงานแล้วใจเราก็อยู่กับกรรมฐาน ก็คือรีบกลับเข้ามาหาความสงบของเราให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้ว ถึงเวลาถ้าหากว่ากำลังใจของเราฟุ้งซ่าน จะเอาคืนได้ยากมาก

    เรื่องพวกนี้พวกเราต้องมีประสบการณ์เอง ถ้าหากว่าให้ออกไปทำกันเองตั้งแต่ต้น ไม่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลืองานการต่าง ๆ ภายในวัด เราจะจัดการกับกำลังใจตนเองไม่ถูก เมื่อถึงเวลา ถ้าการงานต่าง ๆ ประเดประดังเข้ามาแล้วกำลังใจไม่พอ เราก็อาจจะสึกหาลาเพศไปเลย..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราต้องระวังไว้ให้มากที่สุดก็คือ ในแต่ละวันกำลังใจของเราต้องละนิวรณ์ให้ได้ในระยะเวลายาวนานที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ถ้าท่านใดสามารถทรงฌานได้แล้ว ให้เอาสติประคับประคองให้ฌานนั้นอยู่กับเราให้นานที่สุด ถ้าเผลอสติเมื่อไร ก็จะโดนกิเลสดึงเราหัวทิ่ม แต่ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาสนใจ ให้รีบวิ่งกลับไปหาการภาวนาของเราใหม่

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบเอาไว้หลายครั้งแล้วว่า คนสองคนเดินมา ล้มลงพร้อมกัน คนหนึ่งลุกได้ก็ไปต่อเลย ขณะที่อีกคนหนึ่งมัวแต่นั่งคร่ำครวญอยู่ "เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน เดินมาตั้งไกลแล้ว ไม่น่าล้มเลย" ระหว่างสองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็ต้องคนที่ล้มแล้วลุกไปต่อเลย อย่ามัวแต่ไปเสียดายอะไรกับของที่ตกแตกกระจายไปแล้ว ให้เริ่มต้นหาใหม่ทันที

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...