เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ มีเด็กนักเรียนมาเข้าวัดสวดมนต์ ตามโครงการนำนักเรียนเข้าวัดทุกวันศุกร์ ถือว่าเป็นโครงการที่ดีมาก เนื่องเพราะว่าไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ฆราวาสชายหญิงทุกท่านก็ตาม ทุกวันนี้เราขาด "อาหารใจ" เป็นอย่างมาก

    หลายท่านอาจจะรู้สึกเหนื่อยกับงาน เหนื่อยกับชีวิต พักผ่อนเท่าไรก็ไม่รู้จักหายเหนื่อยเสียที บางทีก็อยากจะนอนสัก ๓ วัน ๓ คืน นั่นความจริงเกิดจากความเหนื่อยใจ ไม่ใช่เหนื่อยกาย ความเหนื่อยใจเหล่านี้เกิดจากการที่สภาพจิตใจไม่แข็งแรงพอ เนื่องเพราะว่าขาดอาหาร ในเมื่อจิตใจไม่แข็งแรงพอ เพราะว่าขาดอาหาร ถึงเวลาเราใช้กำลังใจมากเกินไป ก็จะทำให้เกิดอาการเหนื่อยหน่าย หรือว่าถ้าเป็นเด็กวัยรุ่น กำลังกายยังแข็งแรงอยู่ ก็จะเกิดอาการสมาธิสั้น เนื่องเพราะว่าไม่มีกำลังใจ

    ดังนั้น..เรื่องของการสวดมนต์ ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ถ้าหวังความเรียนเก่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องฝึกหัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอาไว้ เพราะว่าอันดับแรก ถ้าสภาพจิตของเรานิ่ง สงบ ฟังสิ่งที่ครูบาอาจาย์สอน หรือว่าอ่านหนังสือครั้งเดียวก็เข้าใจ

    ประการที่สอง ถ้าหากว่าจิตของเรานิ่ง สงบ จะมีกำลัง สามารถต่อต้านสิ่งเย้ายวนต่าง ๆ ที่มาจากภายนอกได้ ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไรก็ตาม โดยเฉพาะในส่วนของการกิน การเที่ยว การหลงไปกับยาเสพติด เป็นเพราะว่าใจเราไม่เข้มแข็งพอ จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกหัดขัดเกลาตนเองเอาไว้ แต่ไม่ใช่แค่เข้าวัดทุกวันศุกร์ ถ้าแค่นั้นรับประกันว่าไม่พอกิน แค่เดินพ้นวัดไปก็หมดแล้ว..!

    เด็ก ๆ ทั้งหลายอาจจะเคยได้ยินว่าหลวงพ่อวัดท่าขนุนเรียนโคตรเก่งเลย ก็คือในชีวิตสอบได้คะแนนเต็มร้อยเกือบทุกวิชา เรียนปริญญาตรีก็ได้เกียรตินิยมอันดับ ๑ และเป็นที่ ๑ ของประเทศในปีนั้น ก็เพราะว่ามีการสวดมนต์ไหว้พระมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพิ่งจะรู้ภาษา พ่อก็อุ้มคอพับคออ่อนไหว้พระสวดมนต์แล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เราเห็นผลอย่างชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะตอนอ่านหนังสือ ถ้าสมาธิดี กำลังเข้มแข็งมาก บางทีอ่านหนังสือเหมือนกับจมหายเข้าไปในหนังสือ ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอกเลย แค่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๒ หลวงพ่ออ่านหนังสือหมดไปแล้วหนึ่งห้องสมุด รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่อ่านครบทุกเล่ม พอเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ก็หมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด เพราะว่าเปลี่ยนโรงเรียน เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ หมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด

    แล้วถามว่าปัจจุบันนี้อ่านหนังสือประมาณเท่าไร ? ต้องพยายามบังคับตัวเองให้อ่านแค่วันละ ๑ เล่ม แต่ว่า ๗ วันที่ผ่านมาอ่านไป ๑๖ เล่ม..! เหตุที่ต้องบังคับให้อ่านแค่วันละ ๑ เล่ม เพราะหนังสือออกให้อ่านไม่ทัน แล้วที่สาหัสกว่านั้นก็คือกลับมาอ่านใหม่ไม่ได้ เพราะว่าจำได้ทั้งหมด..!

    ฉะนั้น..ถ้าพวกเราทุกคนอยากจะเรียนเก่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสวดมนต์ ไหว้พระ หรือนั่งกรรมฐานทุกวัน ไม่ใช่แค่วันเดียว ลองทำดูสักวันละ ๕ นาที ๑๐ นาทีแล้วเพิ่มขึ้นไป เอาให้ได้เต็มที่แค่ครั้งละครึ่งชั่วโมง ไม่ต้องมากกว่านั้น ถ้าทำได้ทุกวัน เช้าครึ่งชั่วโมง เย็นครึ่งชั่วโมง การเรียนจะดีขึ้นทันตาเห็น เพราะว่าหลวงพ่อแนะนำเด็กนักเที่ยวมาหลายคนแล้ว

    ในชีวิตไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่ภูมิใจเลย ก็ลองทำดูสักทีหนึ่ง ก็คือเอาผลการเรียนไปให้พ่อแม่ภูมิใจบ้าง แต่ว่าเด็ก ๆ ส่วนใหญ่พอเห็นใบ รบ.หรือว่าใบสุทธิของหลวงพ่อก็มักจะทำหน้าเซ็ง บอกว่าไม่ได้มีความหลากหลายอะไรเลย มีแต่ A, A, A, A สู้เขาไม่ได้ A, B, C, D กระทั่ง F มีครบทุกตัว ก็จริงของมัน..!

    ดังนั้น..การที่พวกเรามาวัด จะมาทุกวันศุกร์ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็คือกลับบ้านไปแล้วทำเองด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่เราทำมาไม่เพียงพอ ก็เป็นเรื่องยากที่จะพยายามปรับตัวของเราเองให้เรียนเก่งขึ้น หรือว่าให้สนใจการเรียนมากขึ้น โดยเฉพาะพวกเราอยู่ในช่วงวัยรุ่น มักจะไปสนใจเพศตรงข้ามมากกว่าเรื่องเรียน แล้วก็จะไปตกอยู่ในวงจรอุบาทว์อีก

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกตดู จะเห็นว่าพี่น้องชนกลุ่มน้อยของเราเรียนแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็ออกไปมีผัว มีเมีย มีลูก แล้วก็ต้องทำงานหัวปักหัวปำเลี้ยงลูก พอถึงเวลาลูกไปเรียนหนังสือ แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ก็รีบมีผัวมีเมียอีก ก็ "วนลูป" อยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ ไม่เปลี่ยนแปลงสักที
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะหมดไปได้ ก็ต่อเมื่อกำลังใจเราเข้มแข็งพอที่จะเป็นนายของตัวเอง อยากจะมีผัวมีเมียก็ปล่อยมัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ให้ตั้งใจเรียน ถึงเวลาเรียนจบ เอาสัก ม.๖ หรือปริญญาตรี แล้วอยากจะมีกี่คนก็มีไป เพราะถือว่าเราเองประสบความสำเร็จในการศึกษาระดับหนึ่งแล้ว

    การศึกษาทำให้เรามีสายตากว้างขึ้น หนทางชีวิตเปิดกว้างขึ้น ยิ่งเรียนสูงเท่าไร โอกาสที่จะเลือกทางชีวิตได้ ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น โบราณเขาถึงใช้คำว่า "อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" ก็คือต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้ก่อน พยายามศึกษาให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ ไม่ใช่เรียนไปครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วก็ต้องไปเป็นผู้ใช้แรงงาน แล้วก็มีผัว มีเมีย มีลูก แล้วลูกเราก็วนมาอยู่ในวงจรอุบาทว์แบบนี้ไปไม่รู้จบ ถ้าคิดจะทำอย่างนั้นก็สงสารลูกที่จะเกิดมาบ้าง ถ้าตัวเรายังหาความก้าวหน้าไปกว่านี้ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าลูกจะก้าวหน้าไปกว่านี้เลย..!

    ถ้าหากว่าพวกเราศึกษากันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบนี้ แล้วไปเป็นกำลังของประเทศชาติ ก็เป็นได้แค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ โอกาสที่จะหาความเจริญใส่ตัวให้มากกว่านี้ก็น้อย เพราะว่าความรู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคมเราไม่มี หน้าที่การงานที่ดี เขาก็ต้องการความรู้ที่สูงกว่านี้ เราลองมานึกทบทวนว่า ถ้าเราเรียนแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ จบ ม.๔ บ้าง ม.๖ บ้าง ก็ยังเอาตัวไม่รอด เพราะว่าเป็นความรู้ของระดับกรรมกรเท่านั้น จบปริญญาตรี ยังไม่แน่ว่าจะได้งานหรือเปล่า ?

    การศึกษาเป็นเรื่องที่ส่งพวกเราให้ก้าวขึ้นไปสู่ที่สูง มองเห็นได้ไกลขึ้น เลือกทางชีวิตได้ดีขึ้น ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น พวกเราดูพี่ ๆ หลายคนที่เป็นนักเรียนทุนของหลวงพ่อวัดท่าขนุนดูก็ได้ แต่ละคนประสบความสำเร็จ เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ หรือสถาบันที่ดีได้ หลายท่านทางมหาวิทยาลัยหรือสถาบันก็รับตรงเลย
    ในเมื่อมีสิบนิ้วเท่ากัน พี่เขาทำได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    เรื่องชั่ว ๆ ทำมาเยอะแล้ว ทำไมเรื่องดี ๆ เราจะทำให้พ่อแม่ภูมิใจบ้างไม่ได้ ? เพราะว่ากำลังใจในการทำดีหรือทำชั่วก็เป็นกำลังใจที่เท่ากัน เราก็แค่เปลี่ยนจากการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว มาคิดดี พูดดี ทำดีเท่านั้น แรก ๆ อาจจะแปลกแยกจากสังคมบ้าง แต่ถ้าฝืนทำไป ถ้าเรามั่นคงจริง ๆ เดี๋ยวสังคมก็จะตามมาเอง เพราะว่าหลวงพ่อเองโดนมาตั้งแต่เด็ก ปฏิบัติธรรมตั้งแต่เด็ก เขาบอกว่าบ้า แต่พอเรียนได้ที่ ๑ ทุกปี คะแนนเต็มร้อยเกือบทุกวิชา ยกเว้นวิชาที่อาจารย์หมั่นไส้แล้วไม่ให้คะแนน บางท่านก็บอกว่า "เธอได้เยอะแล้ว เอาไปแค่นี้แหละ..!"

    ในเมื่อคนอื่นทำได้ แล้วเราทำได้ วิธีการต่าง ๆ ก็มีอยู่ ใครต้องการเรียนรู้ให้มากกว่านี้ สามารถมาถามได้ หลวงพ่อจะสอนให้ ประสบความสำเร็จในชีวิตให้เป็นที่ภูมิใจทั้งของตนเองและครอบครัว ได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองดีของชาติ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต จะเป็นศิษย์เก่าดีเด่นของโรงเรียนหรือไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เพราะว่าอันดับแรก เราก้าวเข้าไปอยู่ในจุดที่ไม่ต้องอายใครแล้ว การเรียนก็ประสบความสำเร็จ การงานก็สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่ที่กำลังใจของเราเข้มแข็งพอเท่านั้นเอง

    จึงเป็นเรื่องที่หวังว่าพวกเราทั้งหลายจะรู้ว่าควรที่จะเลือกอะไร ถ้าหากว่าเลือกหนทางเก่า ๆ ก็วนอยู่ในวงจรอุบาทว์ต่อไป ถ้าเลือกหนทางใหม่ก็พยายามต่อสู้ไป อีกไม่กี่ปีพวกเราจะต้องเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ตอนนั้นก็จะวัดกันได้เอง

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยม ตลอดจนกระทั่งนักเรียนทุกคนแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...