เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 1 มิถุนายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔


     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    วันนี้เป็นวันอังคารที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ พักเดียวขึ้นเดือนใหม่อีกแล้ว ตัวกระผม/อาตมภาพเองช่วงที่บวชมา ๒-๓ พรรษาแรก รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก เหตุที่รู้สึกว่าผ่านไปเร็วมาก เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทอยู่กับการปฏิบัติ ไม่ได้ดูฟ้าดูดิน ดูเวล่ำเวลา ก็คือว่างเมื่อไร จะลงมือปฏิบัติธรรมทันที กลางค่ำกลางคืนก็ไม่ค่อยได้หลับได้นอน เดินจงกรมภาวนาไปเรื่อย เหนื่อยตรงไหนก็หลับตรงนั้น

    ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม เราจะรอเวลาและสถานที่ไม่ได้ เพราะว่ากิเลสไม่รอด้วย ก็มีอยู่อย่างเดียว คือพวกเราต้องทุ่มเทเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมตลอดเวลา เพราะว่ากิเลสไม่เคยปล่อยมือให้เราได้พัก


    ดังนั้น..ถ้าหากว่าเรามีโอกาส ก็ต้องตามตีกิเลสให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่เนื่องจากว่ากิเลสนั้นมีมายามาก อาศัยเราอยู่ ก็คืออาศัยอยู่ในขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ เมื่อถึงเวลาถ้าไม่สามารถที่จะสู้กำลังของเราได้ ก็ทำท่าจะตาย แต่มักจะหลอกให้เราเข้าใจผิดว่าตัวเราจะตาย แล้วเราก็จะเลิกการปฏิบัติที่เป็นการที่เข่นฆ่ากิเลสให้วอดวายลงไปได้ เพราะไปคิดว่าตัวเราจะตาย ไม่ใช่กิเลสจะตาย..!


    ดังนั้น..นักปฏิบัติสายวัดป่าจึงมีคำพูดติดปากว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ก็คือต้องแลกกันด้วยชีวิต ไม่ใช่พอทำไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกว่าร่างกายไม่ไหว เราก็หยุด ก็แปลว่าเราโดนกิเลสหลอกอยู่ตลอดเวลา แต่พอเวลาได้เปรียบ กิเลสกลับไม่ปล่อยเรา แต่บี้เราชนิดที่ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ว่า พวกเราเองโง่ขนาดไหน ที่ถึงเวลาแล้วก็ไปปล่อยให้กิเลสมีโอกาส แล้วก็หวนกลับมาเข่นฆ่าทำลายเรา ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    พระพุทธเจ้าจึงสอนพวกเราว่า ให้ปฏิบัติในลักษณะที่พยายามรวบรัดตัดทางให้กิเลสมีอำนาจเหนือเราให้น้อยที่สุด ก็คือต้องมี "อินทรีย์สังวร" สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้กิเลสดึงเราไปได้

    ตาเห็นรูป ถ้าเราสนใจ กิเลสจะมีอำนาจเหนือกว่าเรา หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิดก็เหมือนกัน เมื่อกิเลสมีอำนาจเหนือเรา ก็จะบงการ ควบคุม บังคับ ให้เราต้องไปหารูปที่กิเลสชอบใจ หาเสียงที่กิเลสชอบใจ หากลิ่นที่กิเลสชอบใจ หารสที่กิเลสชอบใจ หาสัมผัสที่กิเลสชอบใจ แล้วก็คิดในเรื่องที่กิเลสชอบใจ

    ถ้าลักษณะอย่างนี้ เราปฏิบัติธรรมให้ตายก็สู้กิเลสไม่ได้ เพราะว่าปฏิบัติธรรมแล้ว รักษากำลังใจเอาไว้ไม่ได้ กำลังที่สะสมได้จากการปฏิบัติภาวนา รั่วออกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รั่วไปหมดทุกช่อง จึงมีกำลังไม่พอตัดกิเลสสักที

    พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เราสำรวมอินทรีย์ ก็คือตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ต้องหยุดให้ได้ โดยเฉพาะหยุดตัวความคิดปรุงแต่ง ถ้าหากว่าเราหยุดได้ กิเลสก็จะตายไปเอง เพราะว่าไม่มีอาหารกิน


    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบว่า ถ้าหากว่าเราลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่ามา ก็คงไม่มีใครอยากกิน แต่เรากลับไปใส่หมูสับ ใส่ต้นหอม ใส่ตังฉ่าย ใส่กุ้งแห้ง ใส่ลูกชิ้น เติมน้ำส้ม เติมพริก เติมน้ำปลา เติมถั่วคั่ว ยิ่งปรุงก็ยิ่งอร่อย ยิ่งอร่อยก็ยิ่งอยากกินมากขึ้น จึงตกเป็นทาสกิเลสไม่รู้จบ

    ดังนั้น...ถ้าหากว่าเราหยุดการปรุงแต่งได้ กิเลสก็จะไม่มีอำนาจเหนือเรา ก็คือเมื่อตาเห็นรูป สักแต่ว่าเห็น จมูกได้กลิ่น สักแต่ว่าได้กลิ่น ลิ้นได้รส สักแต่ว่าได้รส กายสัมผัส สักแต่ว่าสัมผัส ใจไม่เก็บมาคิด
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เป็นพระเป็นเณร สิ่งที่รบกวนเราอย่างมากประการหนึ่งก็คือเพศตรงข้าม แค่เราเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายก็แย่แล้วครับ เพราะว่าใจปรุงแต่งไปแล้ว ทำอย่างไรที่เราจะสักเห็นว่าเป็นรูป สักแต่เห็นว่าเป็นธาตุ ไม่มีอะไรเป็นหญิงเป็นชาย

    ก็แปลว่า สติเราต้องรู้เท่าทันว่าถ้าคิดแล้วจะเกิดโทษอย่างไร สมาธิต้องมีกำลังเพียงพอที่จะหยุดยั้งการคิดนั้นได้ ปัญญาต้องรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังจะคิดในสิ่งที่ไม่ดี ถ้าหักห้ามไม่ได้ ก็เปลี่ยนมาคิดในสิ่งที่ดีแทน อย่างเช่นว่าคิดถึงคุณพระพุทธ คิดถึงคุณพระธรรม คิดถึงคุณพระสงฆ์ เป็นต้น


    หลังจากนั้น พระองค์ท่านยังสอนเราให้รู้จักประมาณในการกิน กินมาก กินอิ่ม กินล้น กินเกิน มีแต่โทษทั้งนั้น แม้กระทั่งวิทยาการสมัยใหม่เขาก็ยังค้นพบว่า ร่างกายของเราจะมีสุขภาพดี ถ้าปล่อยให้หิวเสียบ้าง จึงมีข้อแนะนำว่าอย่ากินให้อิ่ม


    ถ้าเป็นการปฏิบัติแบบสายวัดป่าก็คือ พอรู้สึกว่าอิ่มก็หยุด แต่คราวนี้ การที่เราจะรู้สึกว่าอิ่ม อาหารต้องลงไปอยู่ในท้องประมาณ ๑๕ นาที แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ๑๕ นาที ถ้าเป็นพระวัดท่าขนุนน่าจะฉันอิ่มไปสองรอบแล้ว..! ดังนั้น..ของพวกเราถ้ารู้สึกอิ่ม มักจะจุกไปแล้ว ต้องระวังให้ดีครับ กะปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับตัวเอง

    อีกข้อหนึ่ง พระองค์ท่านตรัสว่า ต้องปฏิบัติธรรมของผู้ตื่นอยู่ ก็คือมีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่า ตอนนี้เราต้องรักษาศีล เราต้องเจริญภาวนา เราต้องพินิจพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ ของโลกนี้ นักปฏิบัติที่แท้จริง จะไม่เห็นแก่กินแก่นอน ช่วงที่ผมปฏิบัติหนัก ๆ อย่างเก่งคืนหนึ่งก็นอนแค่ ๒ ชั่วโมง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,722
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,268
    ค่าพลัง:
    +25,988
    เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าพวกเราจะทำก็ต้องทุ่มเท ในขณะเดียวกันก็ต้องดูกำลังตัวเองด้วย ถ้ากำลังของเราไม่เพียงพอ จะไปทุ่มเททั้งวันทั้งคืนก็ไม่ไหว ทำอย่างไรที่จะให้เราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว ถ้าถามว่ากำลังใจทรงตัวคือระดับไหน ? คือระดับที่รู้ลมหายใจและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ถ้าทำถึงตรงจุดนี้ได้ ทุกอย่างจะง่าย ก็คือตั้งสติประคองอารมณ์เอาไว้ อย่าให้หลุดไปจากตรงนี้ รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดไม่ได้ชั่วคราว แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ ใช้ปัญญาไปพินิจพิจารณาตัดละไปทีละส่วน

    ดังนั้น...ในส่วนของการปฏิบัติธรรมนั้น การสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นแหล่งก่อให้เกิดกิเลส ต้องรู้จักประมาณในการกิน เพราะถ้าอิ่มเกินก็เอาแต่นอน ต้องปฏิบัติธรรมให้สติตื่นอยู่เสมอ พูดง่าย ๆ ว่าจะหลับหรือตื่นต้องมีสติเท่ากัน ไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสที่กินเราไม่ได้ เพราะตอนกลางวันเราตั้งสติระมัดระวัง ก็จะไปกินเราตอนกลางคืนที่เผลอสติหลับไป


    บางคนทั้งวันพยายามระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบท แม้แต่มดตัวหนึ่งก็ไม่กล้าเหยียบ เผลอหลับตอนกลางคืนหน่อยเดียว ฝันว่าฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..! นั่นคือลักษณะของกิเลสที่ไปกำเริบตอนเราหลับ บางคนกลางวันสำรวมหูสำรวมตาอย่างมาก เพศตรงข้ามไม่กล้าพูดด้วยแม้แต่คำเดียว กลางคืนฝันว่าปล้ำลูกสาวชาวบ้านไปแล้ว..!

    นั่นคือลักษณะของกิเลสที่กินเราตอนหลับ ดังนั้น..ถ้าเราสามารถภาวนาจนกระทั่งสติรู้อยู่ตลอดเวลา จะหลับหรือตื่นก็รู้เท่ากัน ถ้าอย่างนั้นเราถึงจะมีโอกาสชนะกิเลสได้

    หลักการที่กล่าวถึงในวันนี้ ต้องบอกว่าเป็นหลักปฏิบัติที่ทั้งพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรือฆราวาสต้องใช้งานทุกคน ไม่ใช่เฉพาะท่านทั้งหลายที่เป็นนักบวช แต่ว่านักปฏิบัติธรรมทุกคนก็ต้องอยู่ในแนวนี้ ถ้าหลุดพ้นไปจากนี้ โอกาสที่ก้าวหน้าก็จะมีน้อย

    จึงขอเรียนถวายทุกท่านและเจริญพรให้แก่ญาติโยมที่ฟังอยู่ได้ทราบแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...