เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 2 สิงหาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มีบางเรื่องที่อยากจะบอกกล่าวให้พวกเรารับรู้ ก็คือว่า เรื่องแรก กระผม/อาตมภาพให้ไอ้ตัวเล็กเปิดกระทู้ร่วมทอดผ้าป่าสร้างวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรี ซึ่งวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมินั้น ต้องบอกว่าเกิดขึ้นในจังหวะที่ไม่ดีเอาเลย

    เหตุที่เป็นเช่นนั้น อันดับแรกเลยก็คือว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่พระธรรมพุทธิมงคล (สอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ.๘) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ ช่วงนั้นท่านสร้างหลวงพ่ออู่ทององค์ใหญ่ที่หน้าผามังกรบิน เขาทำเทียม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี

    ด้วยบารมีของเจ้าคณะจังหวัดที่คนเคารพนับถือกันมาก ทุกคนก็ช่วยกันบริจาคเงินร่วมสร้างหลวงพ่ออู่ทององค์ใหญ่ ซึ่งมีสโลแกนว่า "หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก" แม้แต่กระผม/อาตมภาพเองก็ร่วมสร้างกับท่านไป ๒ ครั้ง รวมแล้ว ๑ ล้าน ๒ แสนบาท ในเมื่อทุกคนทุ่มเทให้กับการสร้างหลวงพ่ออู่ทอง แล้วอยู่ ๆ วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรี จะสร้างขึ้นมา ใครจะยังเหลือเงินอีก ?

    จังหวะต่อไปก็คือว่า เมื่อเปลี่ยนผ่านเจ้าคณะจังหวัดจากพระเดชพระคุณหลวงปู่พระธรรมพุทธิมงคล มาเป็นหลวงพ่อพระเทพปริยัติกวี (เชษฐา ฉินฺนาลโย ป.ธ.๙) วัดสุวรรณภูมิ ซึ่งหลวงพ่อท่านเป็นคนบอกเองว่า "ผมเป็นคนไม่มีกำลัง" ก็คือท่านไม่มีญาติโยมที่สนับสนุนมากมายเหมือนกับหลวงปู่พระธรรมพุทธิมงคล จึงทำให้การสร้างวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรี ไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้

    เมื่อท่านเกษียณอายุไปแล้ว พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ (ประไพ ปุญฺญกาโม ป.ธ.๓) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้น เรียนกับกระผม/อาตมภาพมา ตั้งแต่ยุคประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรี ปริญญาโท แล้วพอมาถึงปริญญาเอก ท่านบอกว่าท่านเดินทางไม่ไหว เพราะว่าแต่ละปีค่าเดินทางมาเรียนก็หมดไปมหาศาลแล้ว จึงขอไปเรียนที่ใกล้บ้านตัวเองแทน มาตอนหลังท่านก็มารับหน้าที่ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิ

    ท่านเองตั้งใจออกวัตถุมงคลเพื่อสร้างอาคารเรียนรวมให้เสร็จ แต่ก็ดวงแตกอีก พอปลุกเสกเสร็จ เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็ระบาดตูมพอดี จนกระทั่งทุกวันนี้วัตถุมงคลก็ยังเหลืออยู่เยอะแยะบานเบิก..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    กระผม/อาตมภาพก็เคยถวายปัจจัยช่วยท่านไป ๑ ล้านบาท เพราะว่าวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์นั้น สร้างเสร็จก็ด้วยแบบที่ท่านเมตตาแบ่งปันมาให้ ก็คือแปลนเดียว แบบเดียวกัน ขนาดเดียวกัน กว้าง ๒๐ เมตร ยาว ๖๓ เมตร มี ๔ ชั้น ปรากฏว่าทางวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีที่กระผม/อาตมภาพเป็นประธานโครงการจัดหาเงินสร้าง สร้างทีหลังท่าน ๓-๔ ปี เสร็จก่อนไป ๒ ปีแล้ว ของท่านเองก็ยังไม่เสร็จ

    เมื่อถวายเงินท่านไป ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อช่วยสร้าง ท่านก็เกิดติดขัดในเรื่องของงบประมาณบริหารภายใน จึงขออนุญาตนำเงินนี้ไปใช้ก่อน ซึ่งใช้ได้แค่ ๒ เทอม ก็หมดไปแล้ว วันนี้ท่านขอความช่วยเหลือมาอีกครั้ง ซึ่งกระผม/อาตมภาพรู้ว่า เพื่อนคนนี้ถ้าไม่ใช่ลำบากสุดขีดจริง ๆ จะไม่เอ่ยปากขอให้ใครช่วย จึงให้ไอ้ตัวเล็กเปิดกระทู้ร่วมทอดผ้าป่าสร้างอาคารเรียนรวม วิทยาลัยสงฆ์สุพรรณบุรีศรีสุวรรณภูมิขึ้นมา

    โดยนำเอาพระสมเด็จคำข้าว รุ่น ๒ วัดท่าซุง ซึ่งปิดทองและมีกล่องใส่เรียบร้อย จำนวน ๑๐๐ องค์ ไปลงในกระทู้ก่อน โดยออกในราคาแค่องค์ละ ๑,๐๐๐ บาทเท่านั้น เพราะว่าต้องการปัจจัยเร่งด่วน เนื่องจากว่าเขาจะทอดผ้าป่าในวันที่ ๑๙ นี้ กระผม/อาตมภาพให้ตัดยอดตามวันเวลาปกติของเว็บไซต์วัดท่าขนุน คือวันที่ ๑๕ ถ้าหากว่าช่วงนี้มีวัตถุมงคลอะไรเพิ่มเติมก็จะให้ลงไปทีหลัง

    ในเรื่องของวัตถุมงคลของวัดท่าซุงนั้น โดยเฉพาะรุ่นหลัง ๆ อย่างพระสมเด็จคำข้าว พระสมเด็จหางหมาก หรือว่าพระสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ก็ตาม หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำเอาไว้ ส่วนหนึ่งก็คือตั้งใจเอาไว้รับภาวะสงคราม ซึ่งก็ยืดเยื้อมาจนป่านนี้ สัญลักษณ์ของสงครามใหญ่ที่จะเกิดอย่างแท้จริง ขอบอกพวกเราให้รู้ไว้เลยก็คือ ทางสหรัฐอเมริการและองค์การนาโต ส่งกองทัพอากาศเข้ารบกับรัสเซีย น่าจะเริ่มจากทางด้านประเทศโปแลนด์

    แล้วทางฝั่งบ้านเรา ก็จะมีการปะทะกันระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ซึ่งสหรัฐอเมริกาพยายามยั่วยุทุกวิถีทาง โดยอ้างว่าประธานรัฐสภาของตนมีสิทธิ์ที่จะไปเยือนไต้หวัน แต่ภาษิตโบราณเขาบอกว่า "อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่" ว่ามึงตั้งใจไปทำอะไร ถึงแม้ว่าประเทศจีนแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรงแล้ว แต่ก็จะไป เพราะถ้าหากว่ารบกันเมื่อไร ตัวเองจะขายอาวุธได้อีกมาก..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    แต่คราวนี้ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่ารัสเซียนั้นพูดน้อยต่อยหนัก ส่วนประเทศจีนพูดมาก แต่ก็ต่อยหนักเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าใครมีวัตถุมงคลอะไรที่ตัวเองมั่นใจ ก็หามาติดตัวแล้วภาวนาเอาไว้ทุกวัน หวังอยู่อย่างเดียวว่าอย่าถึงกับสิ้นสติใช้อาวุธนิวเคลียร์กัน แต่ถ้าต้องการชัยชนะอย่างเด็ดขาด อาจจะมีใครตัดสินใจกดปุ่มนิวเคลียร์ก่อน ก็เป็นเรื่องเท่านั้นเอง..!

    ดังนั้น...ในเรื่องของพระสมเด็จคำข้าว นอกจากเรื่องของลาภผลแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และขณะเดียวกัน ถ้าภาวนานึกถึงเป็นปกติ ใครคิดร้ายก็จะแพ้ภัยตัวเอง เรื่องพวกนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่พระท่านจะสงเคราะห์ให้

    แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพเอาข้าวปากหม้อมาเสก เพื่อทำผงสร้างตามที่พระท่านสั่ง ปรากฏว่าแม่ชีชื่น (อุบาสิกาชื่น ศรีสองแคว) ก็ดี พี่มุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ก็ดี ป้ามอย (นางสาวมณีวรรณ สัมฤทธิ์) ก็ดี ที่ไปช่วยกันตำผง บอกว่าปวดหัวแทบจะระเบิด ต้องบอกว่าสมควรตายเป็นอย่างยิ่ง..! คือถ้าจะทำในลักษณะอย่างนั้น เราต้องกราบขอขมาพระรัตนตรัย และกราบขออนุญาตก่อน หลังจากเสร็จงานแล้วยังต้องขอขมาซ้ำอีกรอบ ไม่ใช่นึกจะตำก็ตำเลย ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่พวกเรา บางทีก็มองข้ามไป ในเมื่อมองข้ามไปก็ต้องรับรางวัลไปนิด ๆ หน่อย ๆ แบบนั้น..!

    ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ระยะนี้พวกเรามีงานในด้านของการประชุมพระนวกะของอำเภอต่าง ๆ อีกไม่กี่วันก็จะมาลงที่อำเภอทองผาภูมิของเรา ซึ่งกองงานเลขานุการต้องไปเตรียมการก่อนล่วงหน้าให้เรียบร้อย ถึงเวลาถ้าไม่จำเป็นก็เดินทางไปกลับ ถ้าจำเป็น..อนุญาตให้ใช้สัตตาหกรณียะไปเพื่อทำงานนี้ได้

    จะว่าไปแล้ว วัดปากลำปิล็อกก็ไม่ได้อยู่ใกล้ ไกลถึง ๒๐ กว่า ๓๐ กิโลเมตรเหมือนกัน แล้วถ้าหากว่างานต่อเนื่อง ก็อาจจะมีปัญหาเดินทางไป เดินทางกลับ ก็คือจะมีใครรับส่งหรือเปล่า ? นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหากว่าเป็นการทำงานเพื่อคณะสงฆ์ โดยเฉพาะการอบรมให้ความรู้แก่พระใหม่ ถึงแม้ว่าไม่ได้มีอนุญาตเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่สมควรจะไปได้
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,665
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,258
    ค่าพลัง:
    +25,975
    ส่วนเรื่องสุดท้ายที่อยากพูดในวันนี้ก็คือ กระผม/อาตมภาพเข้าร่วมอบรมสัมมนาในโครงการสร้างหลักสูตรต่อต้านการทุจริต คราวนี้มีพระท่านถามว่า "ถ้าหากว่าบอกบุญญาติโยมว่าเอาเงินมาสร้างโบสถ์ แต่พอดีต้นไม้ล้มทับศาลาการเปรียญ หลังคาพัง เราสามารถเอาเงินส่วนนี้ไปซ่อมศาลาก่อนได้หรือไม่ ?" ปรากฏว่า ในที่สัมมนาเขาตอบปัญหาไม่ชัดเจน เพราะว่าผู้ตอบมีฆราวาสอยู่ด้วย เขาก็เน้นไปเรื่องความโปร่งใสของบัญชี

    ขอให้พวกท่านที่เป็นพระภิกษุสามเณรจำไว้เลยว่า สิ่งหนึ่งประการใดที่เราจะทำ ต้องระลึกถึงความเป็นพระเป็นเณรของเราก่อนเพื่อน ว่า ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว ตัวเองจะโดนอาบัติปาราชิกหรือไม่ ? เพราะว่าพระเรามีราคาแค่ ๕ มาสก ซึ่งเขาตีราคาให้แค่ ๑ บาทเท่านั้น เจตนาทุจริตแม้เพียงบาทเดียว ก็ขาดจากความเป็นพระแล้ว..!


    แต่คราวนี้ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเราจำเป็นต้องทำ และทำไปโดยพลการ ก็อาจจะโดนปรับอาบัติอีก เพราะว่าไปทำศรัทธาไทยให้ตกไป ก็คือคนถวายเงิน ถ้ารู้เข้าก็เสียกำลังใจ เพราะว่าเขาต้องการจะสร้างโบสถ์ ไม่ได้ต้องการที่จะซ่อมศาลา..!


    เพราะฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ เจรจาทำความตกลงกับทางเจ้าภาพว่า ขออนุญาตนำเงินนี้ไปใช้ในกรณีเร่งด่วนนี้ก่อน หลังจากนั้นจะจัดการสร้างโบสถ์ให้โยมอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าภาพตกลง เราถึงจะใช้ได้ ถ้าไม่ตกลงก็ใช้ไม่ได้ ต้องยอมนอนตากแดดตากฝนเพราะหลังคาพังไปก่อน

    เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เอากฎหมายเข้ามาจับ ไม่ใช่เอาหลักการทำบัญชีเข้ามาอ้าง แต่เราต้องระลึกถึงศีลของพระ คือพระวินัยไว้ก่อนเพื่อนเลย ในเมื่ออยู่ในลักษณะนี้ เราก็ต้องดูว่าถ้าทำแล้วจะขาดจากความเป็นพระหรือไม่ ? ถ้าทำแล้ว ทำให้ศรัทธาของโยมตกไปหรือไม่ ? จึงเอามาบอกเล่าให้พวกเราได้ฟังเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ


    เนื่องเพราะว่าบางทีฆราวาสก็ไปเน้นในความชำนาญของตัวเอง ก็คือถนัดในเรื่องบัญชีก็จะให้แยกแยะออกมาให้ชัดเจนว่า ยืมจากบัญชีนี้เท่าไร ไปใช้เรื่องนั้นเท่าไร ถึงเวลาต้องหามาคืนเท่าไร เรื่องนั้นไว้ทีหลัง เพราะว่าอาบัติพระ ทันทีที่ทำการสำเร็จ เราก็ขาดจากความเป็นพระเลย ซวยไม่รู้จบจริง ๆ เพราะฉะนั้น...ในเรื่องของการทำบัญชีวัด สำคัญที่สุดคือเราต้องมีความละอายชั่วกลัวบาป สำนึกถึงสมณภาวะของตนเอง ถ้าหากว่าขาดตรงนี้แล้วทำบัญชีเมื่อไร ก็เตรียมตัวตายได้เมื่อนั้น..!


    โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นมาเยอะมาก บางทีเพื่อนฝูงด้วยกันมอบหมายให้ช่วยทำหน้าที่ คุณรู้จักพระมาก ก็มอบซองปัจจัยเอาไว้เลย ถวายพระระดับนี้เท่านี้ ถวายพระระดับนั้นเท่านี้ แต่ที่
    กระผม/อาตมภาพเห็นก็คือ พระท่านมาไม่ครบ พอถวายเสร็จสรรพเรียบร้อย เหลือกี่ซองท่านยัดใส่กระเป๋าตัวเอง แล้วแต่ละซองนั้นบาทเดียวเสียเมื่อไร มีโอกาสตายน้ำตื้นโดยคิดไม่ถึงเลยทีเดียว..!

    ดังนั้น...เรื่องพวกนี้ท่านทั้งหลายต้องระวังสุดขีด ต้องรักความเป็นพระเป็นเณรของเราให้มากเข้าไว้ ทำอะไรต้องระลึกถึงเรื่องของธรรมเรื่องของวินัยก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วโอกาสที่เราพลาดแล้วเสียชาติเกิดมีสูงมาก เพราะว่าถ้าโดนอาบัติปาราชิกไปก็ปิดมรรคปิดผลเลย ไม่ใช่แค่การบวชเป็นหมันอย่างเดียว ต่อให้สึกเป็นฆราวาสไป โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลก็ไม่มี


    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...