เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 13 กุมภาพันธ์ 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพเพิ่งกลับจากการพาคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ และคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน เดินทางไปดูงานที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งถ้าวิ่งจากวัดท่าขนุนนี่ไปก็ ๙๘๐ กิโลเมตร เรียกว่าเกือบ ๆ จะ ๑,๐๐๐ กิโลเมตรทีเดียว

    แล้วด้วยความที่มีงานรออยู่ทางด้านนี้ เมื่อดูงานที่ตลาดสวนไผ่สร้างสุข หรือตลาดสวนไผ่ขวัญใจเสร็จแล้ว ก็มอบหมายหน้าที่ให้รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมินำคณะไปดูงานต่อ ส่วนตนเองก็วิ่งกลับมา ก็ต้องเรียกว่าระยะเวลา ๒ วัน ๑ คืนเดินทางเกือบ ๒,๐๐๐ กิโลเมตร ตรงจุดนี้ต้องบอกว่าอาศัยความสามารถส่วนตัวคนเดียวทำไม่ได้ โดยเฉพาะต้องมีคนขับรถที่มีความสามารถพอ ที่จะนำพาเราไปได้ตลอดรอดฝั่ง

    ในส่วนนี้ต้องบอกว่าคนเราไม่สามารถที่จะอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าว่ากันตามหลักมานุษยวิทยา ก็คือมนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม และการทำงานนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีทีมงาน จึงจะปรากฏความสำเร็จได้ง่าย ตรงส่วนนี้โบราณของเราก็กล่าวเอาไว้ว่า "หากการงานสิ่งใดเหลือกำลังลาก ให้ออกปากบอกแขกช่วยแบกหาม"

    ในส่วนของงานพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ทีมงานที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนาคือ ทีมงานพุทธบริษัท ๔ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า เปรียบเหมือนกับรถยนต์ที่มี ๔ ล้อ ล้อทั้ง ๔ นั้นจะนำเอาองค์กรพุทธบริษัท ๔ หรือว่าองค์กรพระพุทธศาสนาของเราให้มุ่งไปสู่จุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

    แต่ว่าพุทธบริษัท ๔ ของเราซึ่งประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานั้น ภิกษุณีบริษัทไม่มีแล้ว แม้ว่าหลายประเทศพยายามที่จะพลิกฟื้นภิกษุณีขึ้นมา ก็ต้องบอกว่าไม่เป็นไปโดยถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ซึ่งตรงส่วนนี้จะไม่เสียเวลานำมาถกเถียงกัน

    แต่จะบอกว่าในเมื่อเราปราศจากภิกษุณีบริษัท องค์กรพุทธบริษัท ๔ ของเราก็กลายเป็นรถยนต์ที่มีแค่ ๓ ล้อ ในเมื่อมีแค่ ๓ ล้อ โอกาสที่จะวิ่งไปสู่จุดหมายปลายทางก็เป็นไปโดยยาก แม้ว่าบางแห่งจะพยายามสงเคราะห์เอาแม่ชีเข้ามาทดแทน แต่ว่าแม่ชีนั้นจัดอยู่ในอุบาสิกาบริษัทอยู่แล้ว ไม่สามารถจะเข้ามาแทนที่ได้
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ในปัจจุบันนี้ อีก ๒ ล้อ คือ อุบาสกอุบาสิกา ก็เข้าใจหน้าที่ตนเองผิด ทำหน้าที่ตนเองผิด ก็คือในฐานะอุบาสกอุบาสิกา แทนที่จะเร่งรีบปฏิบัติธรรมเพื่อให้เห็นผล สามารถนำไปบอกต่อ หรือว่าสามารถแก้ไขวาจาที่ผู้อื่นกล่าวจาบจ้วงพระพุทธศาสนาได้ เรากลับไม่ได้ทำหน้าที่นั้นกัน หากแต่กลับไปเพ่งเล็งว่าพระภิกษุนั้นปฏิบัติได้อย่างใจของเราหรือไม่ ถ้าปฏิบัติไม่ได้อย่างใจของเรา ก็มีการตำหนิ ด่าว่า โพนทะนาออกสื่อ เป็นต้น

    แล้วก็เป็นอย่างคำพังเพยโบราณที่ว่า คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ จึงทำให้ภิกษุที่โดนตำหนิด่าว่า ก็มีคนที่มาถกเถียง ปกป้อง ซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดการแตกความสามัคคีขึ้นในพระพุทธศาสนาของเรา มีการแบ่งเป็นพวกฉัน พวกเธอ มีการแบ่งเป็นหลวงพ่อของเรา หลวงพ่อของเขา

    ตรงจุดนี้เมื่อเกิดความแตกแยกขึ้น ก็เหมือนกับรถยนต์ที่ล้อเลิกทำงาน ลำพังล้อเดียวของภิกษุบริษัทก็ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่อยู่แล้ว เพราะว่าส่วนใหญ่หรือว่าเกือบทั้งหมดไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง ไม่สามารถที่จะสร้างความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่อุบาสก อุบาสิกาได้อย่างเต็มที่

    ในเมื่อล้อ ๔ ข้างสูญหายไป ๑ ข้าง ทำผิดหน้าที่ไป ๒ ข้าง ทำไม่เต็มกำลังของตนเองไปอีก ๑ ข้าง องค์กรพุทธบริษัท ๔ ของเราจึงขาดความเป็นทีมงานอย่างแรง..!

    และในปัจจุบันนี้ องค์กรของเราก็ยังมีการทำเกินหน้าที่ อย่างเช่นว่าในปัจจุบันนี้ อุบาสกอุบาสิกาทำหน้าที่สอนธรรมแทนพระภิกษุ มีจำนวนมากด้วยกันที่เปิดสถานที่เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม จะว่าไปแล้วก็เป็นการดีต่อพระพุทธศาสนาที่ว่าบุคคลเราใกล้ที่ใด ก็จะได้มีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่นั้น แต่ถ้ามองในแง่ลึก ๆ แล้วกลับไม่ใช่

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ไม่เพียงแต่ภิกษุบริษัทที่เข้าถึงธรรมน้อยมาก อุบาสกอุบาสิกาที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงก็ยิ่งน้อยลงไปอีก โอกาสที่จะคิดผิด พูดผิด ทำผิด สอนผิดจึงมีอยู่มาก ถ้าหากว่าสอนผิดก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ ทำให้คนห่างไกลความดีไปมาก จะยกตัวอย่างสัก ๒ ที่

    สถานที่หนึ่งเป็นอุบาสิกาบริษัท เปิดสำนักสอนธรรม มีการนำพาบริวารไปอาบแสงทิพย์อริยธรรม เพื่อเลื่อนขั้นความเป็นพระอริยเจ้าได้ ตรงจุดนี้จะตำหนิผู้นำก็ไม่ได้เต็มปาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตัวผู้นำเองก็โดนมารหลอกให้หลงทางไป เพียงแต่ว่าขาดปัญญานิดหนึ่ง ไม่ได้คิดว่าถ้ามีเรื่องง่ายเช่นนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงจะนำพาพวกเราเป็นพระอริยเจ้ากันไปหมดแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,529
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ส่วนอีกสถานที่หนึ่งนั้นเป็นอุบาสกบริษัท พยายามเผยแผ่หลักการไปพระนิพพานโดยการอธิษฐานเท่านั้น ได้ส่งเอกสารมาหากระผม/อาตมภาพมาหลายครั้งมาก ว่าให้ช่วยเผยแผ่ข้อมูลนี้ด้วย เพราะว่าท่านมีลูกศิษย์ลูกหามาก ซึ่งกระผม/อาตมภาพพิจารณาแล้วว่า เผยแผ่ไปเท่าไรก็นำคนเป็นมิจฉาทิฐิเท่านั้น เนื่องเพราะว่าการอธิษฐานนั้น เป็นการปักใจมั่นว่าเราจะทำสิ่งหนึ่งประการใด เมื่อปักใจแล้วไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งนั้นจะสำเร็จได้หรือไม่ ?

    จากการที่เขาพยายามยกตัวอย่างคนนั้นคนนี้ว่า อธิษฐานแล้วถึงเวลาตายก็ไปพระนิพพานได้ กระผม/อาตมภาพอยากให้พิจารณาว่าก่อนตายเขาทำอะไร ซึ่งจะขอยืนยันตรงนี้ว่า ไม่มีใครสามารถไปพระนิพพานได้ด้วยการอธิษฐานอย่างเดียว หากแต่ต้องชำระจิตใจของตนเองให้ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง อย่างแท้จริง


    โดยเฉพาะบุคคลที่อธิษฐานขอไปพระนิพพาน แล้วสามารถไปได้ก่อนตายนั้น ส่วนใหญ่ก่อนตายเกิดทุกขเวทนาบีบคั้นร่างกายหนักมาก ทำให้เห็นทุกข์เห็นโทษ จิตใจของตนก็เลยปลดออกจากการยึดเกาะร่างกายนี้ ซึ่งมีแต่ความทุกข์ ปลดจากการยึดเกาะโลกนี้ที่มีแต่ความทุกข์ ในเมื่อไม่ยึดติดอะไรเลย ก็ย่อมมีพระนิพพานเป็นที่ไป ซึ่งตรงจุดนี้เป็นจุดที่สำคัญที่สุด เพราะว่าต้องมีปุพเพกตปุญญตา คือบุญเก่าที่สร้างสมมาดีด้วย จึงทำให้เกิดปัญญาญาณแก่กล้า สามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานตอนช่วงก่อนตายได้


    ไม่ใช่อธิษฐานอย่างเดียวแล้วจะไปพระนิพพานได้ หากแต่ต้องมีวิปัสสนาญาณที่แท้จริง เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมีร่างกายนี้ เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดมีในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ แล้วเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ปลดใจของตนเองจากการยึดเกาะจากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ถึงจะไปพระนิพพานได้

    ดังนั้น...ในส่วนนี้ของอุบาสกอุบาสิกาบริษัทซึ่งทำเกินหน้าที่ ก็คือสอนธรรมผิด ๆ มีสิทธิ์พาคนเป็นมิจฉาทิฐิอีกมาก เมื่อนำคนเป็นมิจฉาทิฐิ ย่อมทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นต้องเวียนว่ายตายเกิดทุกข์ยากในห้วงวัฏสงสารนี้แบบไม่รู้จบ ซึ่งต้องบอกว่าผู้สอนก็จะมีโทษที่หนักมาก ไม่ว่าจะสอนด้วยความเข้าใจผิดหรือไม่ก็ตาม เท่ากับว่านำพาหนทางของคนอื่นให้ยาวไกลไปโดยใช่เหตุ

    จึงเป็นเรื่องที่ทุกท่านจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูงว่า ตัวเราแม้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็ยังอาจจะหลงออกนอกลู่นอกทางได้ง่าย แต่ก็ต้องเร่งปฏิบัติโดยอาศัยศีล ๕ เป็นกรอบ หรืออาศัยกรรมบถ ๑๐ เป็นกรอบ ถ้าไม่หลุดจากกรอบของศีล ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ โอกาสที่ท่านจะหลงทางไปไกลก็น้อยลง ทำให้การปฏิบัติธรรมของท่านมีโอกาสที่จะเห็นผลได้ง่าย เมื่อเห็นผลแล้ว ก็สามารถเป็นทนายแก้ต่างแทนให้พระพุทธศาสนาได้ เพราะว่ามีความเข้าถึงและเข้าใจในธรรมอย่างแท้จริง


    สำหรับวันนี้ก็ต้องขอบอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ทั้งที่นี่และที่บ้าน ทั้งในและต่างประเทศแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...