เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 กรกฎาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,370
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,370
    วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ วันนี้ค่อนข้างจะยุ่งอยู่นิดหนึ่ง เพราะว่าทั้งหัวหน้าส่วนราชการ ทั้งฝ่ายแพทย์พยาบาล ก็มารวมกันอยู่ที่วัดท่าขนุนจนหมด นำโดยท่านนายอำเภอนภเดช เกลียวศิริกุล นายอำเภอทองผาภูมิ ท่านกำนันก้าน หงษาวดี กำนันตำบลท่าขนุน ท่านนายกฯ ประเทศ บุญยงค์ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลทองผาภูมิ พ.ต.อ.บุญส่งวิทย์ ห้องแซง ผกก.สภ.ทองผาภูมิ แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ นายมะ มาลาพงษ์ สาธารณสุขอำเภอทองผาภูมิ สจ.ตูน (นายอานนท์ ถนอมวงษ์) ส.อบจ.กาญจนบุรี เขตทองผาภูมิ

    มาร่วมกันพิจารณาว่า โรงพยาบาลสนามของวัดท่าขนุน สมควรที่จะได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการหรือไม่ ? แล้วก็จะเอาข้อมูลนี้ไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อของจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีนายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรีเป็นประธาน

    พวกท่านทั้งหลายจะเห็นว่าผมเองเตรียมตั้งโรงพยาบาลสนามมานานแล้ว แต่ว่าพอทางโรงพยาบาลทองผาภูมิทำการล้างตึก ไม่มีคนไข้ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ รักษาตัวอยู่อีก ผมก็ปล่อยทิ้งโรงพยาบาลสนาม ไม่ได้ไปใส่ใจเหมือนกัน แต่แล้วอยู่ ๆ ด้วยความสามารถของรัฐบาลของเรา ก็ทำให้เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดหนักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง..! แต่คราวนี้หนักถึงระดับ "เอาไม่อยู่" ในเมื่ออยู่กรุงเทพฯ แล้วมีสิทธิ์ตายมากกว่า เพราะว่าไม่มีเตียง ไม่ถึงมือหมอ ไม่ถึงมือพยาบาล คนเราส่วนใหญ่ก็ต้องกลับบ้าน

    คราวนี้การกลับบ้าน ถ้ามาในฐานะผู้ป่วยก็ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะว่าต้องมีการระมัดระวังป้องกันกันเต็มที่ก่อนจะนำส่งถึงโรงพยาบาล แต่ถ้าหากว่ามาโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นติดเชื้อ ตรงนี้ก็เวรกรรม..! ใครสัมผัสใกล้ชิดก็กลายเป็นผู้เสี่ยงสูง พร้อมที่จะรับความเสี่ยงนั้น ๆ ไปเอง

    ทางโรงพยาบาลทองผาภูมิแทบจะไม่เหลือเตียงแล้ว มิหนำซ้ำ..ยังมีญาติโยมที่ติดต่อขอเข้ามารักษาตัวอยู่อีก ๖ ราย ก็เลยต้องมาพิจารณาโรงพยาบาลสนามวัดท่าขนุนที่เตรียมการไว้ ซึ่งมีการสั่งปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไข เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน

    ในเมื่อหัวหน้าส่วนราชการมากันเอง ก็สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไร ? ตรงไหนบ้าง ? ตรงส่วนนี้ผมก็ต้องสั่งกั้นห้องกระจกเพิ่ม ติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม สั่งเตียงกระดาษเพิ่ม สั่งชุด PPE อีก ๕๐๐ ชุด เพราะว่าเมื่อสวมชุด PPE เข้าไปดูคนไข้ พอกลับออกมาก็ต้องถอดทิ้งเลย กลายเป็นขยะติดเชื้อไป แต่ว่าตรงนี้ก็คงไม่มีปัญหา เพราะว่าเตาเผาวัดท่าขนุนพอที่จะดำเนินการได้ เพียงแต่ว่าเผาขยะมาก ๆ จะลืมเผาศพไปหรือเปล่า ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,370
    วันนี้ยอดติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ทั้ง ๆ ที่ "กด" ยอดเอาไว้แล้วก็ยังทะลุเกินหมื่นคน ตายอีก ๑๔๐ กว่า ทำให้ทาง ศบค.หารือว่าจะล็อกดาวน์อย่างเด็ดขาด แต่คราวนี้การล็อกดาวน์แบบนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นว่าไร้ประโยชน์ เพราะว่าล็อกดาวน์ไปแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร

    การล็อกดาวน์ที่จะให้เกิดผลก็คือ ทันทีที่ล็อกดาวน์ ก็ต้องส่งสรรพกำลังทั้งหมดเข้าไปตรวจคัดกรอง เพื่อที่จะแยกเอาผู้ป่วยออกมาจากคนดีให้เร็วที่สุด กักตัวกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเสี่ยงน้อยเสี่ยงมากให้เร็วที่สุด ถ้าทำอย่างนี้ได้ เรามีโอกาสที่จะควบคุมโรคได้ แต่พวกท่านทั้งหลายเห็นเขาทำอะไรกันบ้าง ? นอกจากประกาศล็อกดาวน์ แล้วห้ามโน่น ห้ามนี่ ห้ามนั่น..!?

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องดำเนินการกันเอง โดยเฉพาะคนของเรา หรือต่อให้ไม่ใช่คนของเราแต่ในเมื่อบากหน้ามา เราก็ต้องรับผิดชอบช่วยเหลือเขา เรื่องแบบนี้ต้องบอกว่าถึงเวลาฉุกเฉิน สถานการณ์จะสร้างวีรบุรุษวีรสตรีขึ้นมาเอง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า วีรบุรุษและวีรสตรีหลายรายก็ตายไปแบบเงียบ ๆ เพราะว่าแพทย์พยาบาลที่ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จากการที่ตนเองพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่แล้วเสียชีวิต ก็มีจำนวนมากขึ้น

    ตรงส่วนนี้เราไม่ต้องโทษใคร แต่ว่าทำอย่างไรที่เราจะช่วยเหลือชาวบ้านให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าพวกท่านทั้งหลายสังเกตก็จะเห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นทางฆราวาสหรือว่าทางพระ เราก็พยายามให้การช่วยเหลือกัน ซึ่งตรงนี้ต่างประเทศชื่นชมเรามาก นี่คือทานบารมี คือจาคานุสติ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ แล้วคนไทยทั้งหลายรับเอามาปฏิบัติ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แต่ก็ตั้งใจทำเพื่อช่วยเหลือคนอื่น โดยที่บางทีตนเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีกำลังมาก หรือมีเงินทองมาก แต่ก็ยังเต็มใจช่วย ทำให้ต่างชาติเขาชื่นชมเรามาก

    ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดแบบนี้ เราต้องมองในส่วนที่ดี ๆ เอาไว้ อย่างเช่นการสร้างความดีด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ สามเณร ฆราวาส ในการทำอาหารแจกจ่ายก็ดี ตั้งตู้ปันสุข สร้างรถปันสุข เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่เดือดร้อน

    ในสถานการณ์แบบนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่เราตั้งใจปฏิบัตินั้นเอามาใช้จริงได้แค่ไหน ? เรื่องฉุกเฉิน เรื่องด่วนรุมเร้าเข้ามารอบด้าน เราตั้งสติได้หรือไม่ ? ถ้าหากว่าสามารถตั้งสติได้ ใช้ปัญญาไตร่ตรอง เราจะเห็นว่าปัญหาหลายเรื่องไม่ได้หนักหนาอะไรอย่างที่เราคิด เหตุที่เรื่องทุกอย่างหนักหนาสาหัส เพราะว่าเราแยกแยะความ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของปัญหาไม่เป็น แล้วก็เอาปัญหาหลาย ๆ ปัญหามาสุมรวมกัน ทำให้หนักเกินกำลังที่จะแก้ไข
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,370
    แต่ถ้าท่านมีสติ มีปัญญา รู้จักแยกแยะว่าอะไรก่อน อะไรหลัง อะไรเร็ว อะไรช้า ต่อให้เรื่องเกิดขึ้นห่างกันแค่ ๒ - ๓ นาที ก็ยังเร็วช้ากว่ากัน ๒ - ๓ นาที เราก็เร่งทำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อน เรื่องที่ด่วนก่อน เราก็จะมีปัญหาอยู่ตรงหน้าแค่ปัญหาเดียวและไม่เกินกำลังที่จะแก้ไข แต่ถ้าท่านทั้งหลายแยกแยะความก่อนหลังเร็วช้าของปัญหาไม่ออก เพราะว่าสติก็ไม่มี สมาธิก็ไม่พอ ปัญญาก็เลยไม่เกิด ก็ทำให้บรรดาปัญหาทั้งหลายสุมรวมกันเข้า กลายเป็นเรื่องใหญ่เกินกำลัง

    การปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านหวังในประโยชน์ ๓ สถาน คือทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ที่เห็นทันตา ก็เห็นกันตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เห็นกันชาตินี้ ว่าเราเอาไปใช้ประโยชน์จริงได้หรือไม่ ?

    สัมปรายิกัตถประโยชน์ หวังประโยชน์ในชาติต่อไป การให้ทาน เกิดมาใหม่ก็ร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ด้วยโภคสมบัติ การรักษาศีล เกิดมาเป็นผู้มีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม การเจริญภาวนา เกิดใหม่ก็มีปัญญามาก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเราทำไว้ ชาติต่อไปก็จะส่งผลให้เอง

    แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ท่านหวังผลก็คือปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์สูงสุด คือการหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน การที่พวกเราทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ระยะเวลายาวนานจนหาต้นหาปลายไม่เจอ พระพุทธเจ้าเปรียบว่า น้ำตาในแต่ละชาติที่เราร้องไห้เพราะพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ถ้าเอามารวมกันแล้วมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นไหน ๆ..!

    แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างจริง ๆ จัง ๆ ต่อให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ หนทางในการเวียนว่ายตายเกิดของท่านทั้งหลายก็ยังคงสั้นลง ไม่ต้องมีระยะเวลาที่ยาวนานจนไม่เห็นต้นเห็นปลายเหมือนกับคนอื่นที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม

    เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา เราจะรู้ว่าสิ่งที่เราปฏิบัติมาทั้งหมดพอใช้งานหรือไม่ อย่างตัวผมเอง พอถึงเวลาป่วยหนัก ๆ ใกล้ตาย เห็นกำลังใจของตนเองแล้ว พร้อมที่จะตายทุกเวลา ช่วงที่ผ่านมาไม่เสียทีที่เราปฏิบัติธรรมมา พอถึงเวลาความตายมาถึงก็เห็นเป็นธรรมดา สามารถปล่อยได้วางได้ พร้อมที่จะตายเสมอ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,533
    ค่าพลัง:
    +26,370
    ขอให้แยกให้ออกนะครับ นักปฏิบัติธรรมที่อยากตายยังใช้ไม่ได้ อารมณ์อยากตายเป็นอารมณ์ที่เศร้าหมอง ท่านที่ปฏิบัติมาถูกทางจริง ๆ ไม่ใช่อยากตาย แต่พร้อมที่จะตาย วางกำลังใจอยู่ในลักษณะว่า "อยู่ก็ได้ ตายก็ดี" ถ้ายังอยู่เราก็ได้สร้างบุญสร้างบารมี ถ้าตายตอนนี้เราก็ไปพระนิพพาน ท่านจะเห็นว่าเป็นกำลังใจคนละเรื่องกันเลย

    เมื่อถึงเวลาเกิดอุบัติเหตุ เกิดอะไรขึ้นมา กำลังใจของเรามีที่ยึดที่เกาะหรือไม่ ? ผมเองเวลาเกิดอุบัติเหตุหนัก ๆ ขึ้นมา สิ่งแรกเลยก็คือเราจะแก้ไขอย่างไรให้เบาที่สุด ให้ดีที่สุด รถชนตูมขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำก็คือวิ่งไปหาคู่กรณี ดูว่าเขามีใครเจ็บใครตายหรือเปล่า ? มีอะไรที่เราช่วยเหลือเขาก่อนได้บ้าง ? แล้วหลังจากนั้นค่อยถามหาว่ารถเขามีประกันหรือไม่ ? ถ้ามีประกันก็ให้โทรเรียกประกันมา ให้เขาคุยกันเอง

    ฉะนั้น...ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นเครื่องวัดว่าการปฏิบัติธรรมของพวกเราได้ผลหรือไม่ ถ้าหากว่าได้ผลจริง ต่อให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวายหรือฉุกเฉินขนาดไหนก็ตาม ต้องใช้งานได้ เพราะว่าสภาพจิตของเราเร็วมาก เร็วกว่าแสงอีก แสงเดินทาง ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที จากดวงอาทิตย์มาถึงโลกใช้ระยะเวลา ๘ นาทีกว่า แต่ใจของเราเร็วกว่าแสง เพราะว่าเราแค่คิด ใจเราก็ไปอยู่ที่ดวงอาทิตย์แล้ว

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้เรื่องฉุกเฉินวุ่นวาย เร็วขนาดไหนเราก็จะรู้สึกว่าช้า ทำให้แก้ไขทัน ระมัดระวังป้องกันได้ทัน โดยเฉพาะความเร็วของจิต ถ้าไม่พอ เราสู้กิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดเร็วมาก สภาพจิตเมื่อฝึกฝนไปแล้ว ความแหลมคมว่องไวต้องเร็วกว่ากิเลส

    มองยาวไปเลยว่า สิ่งที่เราเห็น ถ้าเราคิดแบบนี้ ผลดีจะเกิดขึ้น ถ้าเราคิดแบบนี้ ผลร้ายจะเกิดขึ้น หรือถ้าหากว่าไม่มีอะไรที่เราต้องยุ่งเกี่ยว ก็วางไว้ไม่คิดเลย ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่ต้องยุ่งเกี่ยว ก็คิดแต่ในด้านดีว่าจะทำอะไรให้เกิดผลดีขึ้นมา แล้วก็ละทิ้งในส่วนที่คิดแล้วเกิดผลร้าย ทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง กำเริบขึ้น เรื่องพวกนี้ ถ้าท่านทั้งหลายทำถึง สิ่งที่ผมพูดไป ท่านก็จะเข้าใจทันทีว่าอะไรเป็นอะไร

    จึงขอฝากเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะพระภิกษุสงฆ์ สามเณรหรือฆราวาส ทั้งที่อยู่ที่นี่หรือว่าที่บ้านก็ตาม การปฏิบัติธรรมต้องทำจนใช้งานจริงได้ ถึงจะเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ขอเจริญพรไว้แต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...