เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 23 ตุลาคม 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ บางทีก็เรียกว่า วันปิยมหาราช เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๕

    เรื่องของในหลวงรัชกาลที่ ๕ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่เล่าเท่าไรก็ไม่จบ ประการแรกก็คือ พระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ตอนอายุไม่ถึง ๒๐ ปี ต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน แล้วก็เป็นผู้ที่ครองราชย์นานที่สุดในยุคนั้น คือ ๔๒ ปี ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีใครทำลายสถิติได้ ปรากฏว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำลายสถิติได้ เพราะว่าครองราชย์ไป ๗๐ ปี..! ต่อไปใครจะมีงานรัชมังคลาภิเษกนี่ คงต้องอยู่กันเป็นร้อยปีถึงจะมีได้

    ในวาระครองราชย์ที่สำคัญ ๆ อย่างเช่นว่าครองราชย์ ๒๕ ปี เขาเรียกว่า รัชดาภิเษก ถ้าครองราชย์ได้เสมอบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าในอดีตที่ครองราชย์นานที่สุด อย่างสมัยรัตนโกสินทร์ของเราก็มีรัชกาลที่ ๕ ครองราชย์ได้นาน ๓๐ ปี เท่ากับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก็จัดให้มีงานรัชมังคลาภิเษก

    พอมาถึงรัชกาลที่ ๙ ทรงครองราชย์ได้ ๔๒ ปีเท่ากับในหลวงรัชกาลที่ ๕ ก็จัดให้มีงานรัชมังคลาภิเษกเช่นกัน คราวนี้ถ้าใครทนอยู่ดูต่อไป มีพระมหากษัตริย์ไทยองค์ต่อ ๆ ไป ใครครองราชย์ได้มากกว่า ๗๐ ปี ก็จะมีงานรัชมังคลาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มี

    ถ้าครองราชย์ครบ ๕๐ ปี เขาเรียกกาญจนาภิเษก แล้วก็ไปครองราชย์ครบ ๗๕ ปี เป็นวัชราภิเษก ก็คือจากเงินไปเป็นทอง จากทองไปเป็นเพชร ยังไม่มีใครทำได้กระมัง ? วัชราภิเษก ๗๕ ปี มีใครจะอยู่ดูบ้างไหม ?

    สมัยในหลวงรัชกาลที่ ๕ ความเจริญของสาธารณูปโภคด้านต่าง ๆ ของเรา ถือว่าเจริญที่สุดในเอเชีย เป็นประเทศแรกที่มีรถไฟ เพียงแต่รถไฟไทยของเรา ต้องบอกว่าเสียงวิ่งมันไม่เป็นมงคล วิ่ง "ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง" ใช่ไหม ? จนทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ขณะที่รอบบ้านเราเขามีรถไฟความเร็วสูงกันหมดแล้ว

    จากประเทศที่มีสาธารณูปโภคเจริญที่สุดในเอเชียยุคนั้น เพราะว่าพระองค์ท่านไปเอาแบบอย่างมาจากยุโรป จากการเสด็จประพาสถึง ๒ วาระด้วยกัน เราได้สถานีรถไฟหัวลำโพงมา เลียนแบบสถานีรถไฟของเยอรมัน เราได้ถนนราชดำเนินมา เลียนแบบช็องเอลิเซ่ของฝรั่งเศส แล้วเราทำใหญ่กว่าด้วย สมัยนั้นเขาทำไปก็บ่นไปว่า "ทำไปใหญ่ขนาดนี้จะเอารถที่ไหนมาวิ่ง ?" สมัยนี้ไม่พอให้รถวิ่ง มีโทรเลข มีโทรศัพท์ มีรถไฟ คือพระองค์ท่านเห็นว่าอะไรดีก็เอามาทำที่บ้านเรา
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ตรงจุดนี้ ไปนึกถึงหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ กระผม/อาตมภาพนั่งเครื่องบินกับท่าน จากดอนเมืองไปเชียงใหม่ ท่านชวนคุยไปตลอดทาง ท่านบอกว่า "ไปไหนอย่าเอาแต่หลับ นั่งดูฟ้าดูดินบ้าง รอบข้างเขามีอะไรดี ก็เอาไปปรับปรุงของเรา"

    กระผม/อาตมภาพพอเจอแบบนั้นเข้า ก็เลยเคยชิน เดินทางไปต่างประเทศ ถ้าไม่ใช่หมดสภาพจริง ๆ จะไม่หลับกับใคร ดูฟ้าดูดิน บันทึกโน่นนี่นั่น ถ่ายรูปไปเรื่อย จนกลายเป็น "เด็กไฮเปอร์" ในสายตาของคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของเอ็นซีทัวร์

    คุณนวลจันทร์ปีนี้ ๘๐ ปี ย่าง ๘๑ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น..ย่าง ๖๓ ปีอย่างอาตมา ก็เลยกลายเป็นเด็กในสายตาของคุณนวลจันทร์ กลายเป็น "เด็กไฮเปอร์" เพราะว่านั่งรถไกลเท่าไรก็ไม่หลับ ผลุบเข้าผลุบออก ถ่ายรูปไปทั่ว ถึงเวลาเห็นตรงไหนสวยก็ "จอด ๆ ๆ" ถ่ายรูปก่อน ขอข้อมูลว่าตรงนี้เรียกว่าอะไร

    ไปยุโรปก็ตื่นตี ๒ ตี ๒ ของที่นั่นนะ พอตี ๓ ก็เริ่มเดินท่อม ๆ ไป ทางด้านโน้นสว่างเร็วมาก ตี ๓ สว่างแล้ว เดินไปทั่ว ดูฟ้า ดูดิน ดูบ้าน ดูเรือน ดูคน ชวนคนคุยบ้าง ชวนผีคุยบ้าง โน่น ๓ ทุ่ม..ตะวันจะลับฟ้าแล้วค่อยกลับ ไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ เดินทั้งวัน ถึงเตียงได้ก็สลบเหมือดไปเลย..! ตี ๒ ตื่นใหม่ก็ไปต่อ ชอบบรรยากาศของทางด้านยุโรป เพราะว่ามีเวลามาก ลองคิดดูว่าถ้าฟ้าสว่างตั้งแต่ตี ๒ ตี ๓ แล้วไปมืดตอน ๓ ทุ่ม เรามีเวลาทำอะไรเยอะมากเลยนะ

    การที่จะเป็นอย่างนั้นได้ บาลีเรียกว่า ต้องเป็นผู้รัตตัญญู แปลเป็นภาษาไทยว่า รู้ราตรีนาน ถ้าจะแปลอีกทีหนึ่ง ก็คืออยู่มานาน เห็นอะไรมามาก ที่ภาษิตจีนเขาบอกว่า "กินเกลือมามากกว่าเจ้ากินข้าวอีก" โห...ขนาดนั้นเลยหรือปู่ ? กินเกลือมากกว่าเรากินข้าวอีก กินมานานขนาดไหนวะนั่น !!?

    หรือว่า "เดินสะพานมากกว่าเจ้าเดินถนน" โอ้..พระเจ้า สะพานยาวกี่เมตร ? ถนนกี่ร้อยกิโลเมตรก็ไม่รู้ ? นี่แค่ปู่แกเดินข้ามสะพาน ตลอดอายุของแก รวมระยะทางแล้วมากกว่าเราเดินถนนอีกหรือ ? ตรงนี้ถ้าหากว่าพูดเป็นภาษาง่าย ๆ ก็คือ มีประสบการณ์มาก
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    แต่คราวนี้ประสบการณ์ก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรม ก็คือเราต้องเอามาใช้จริงได้ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมแล้ว กี่วัน ๆ ก็โดนกิเลสซ้อมน่วมอยู่ตลอดเวลา อย่างนั้นปฏิบัติไปทำอะไร ? ต้องชนะให้ได้บ้าง ตื๊อสู้เข้าไป อาตมาขอยืนยันคำสอนเดิม ๆ ว่า "ทำความดีต้องหน้าด้าน" หน้าด้านตื๊อสู้ไปเรื่อย

    แบบเดียวกับกระผม/อาตมภาพที่หน้าด้านสู้อาจารย์ โดนเท่าไรไม่มีหนี ถือว่าถ้าเรายังสั่งสอนได้ ท่านอาจารย์ถึงยอมทุบยอมตี ยอมด่ายอมว่า แล้วไปได้ดีทีหลัง กระผม/อาตมภาพสอบปริญญาโท ๑๕ นาที สอบปริญญาเอก ๒๒ นาที ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้..!

    ถึงเวลารุ่นน้องก็ถือแฟลชไดรฟ์ แฮนดี้ไดรฟ์ ธัมป์ไดรฟ์ อะไรก็ไม่รู้ มาเป็นกองเลย ขออนุญาต "ก็อปฯ" ตัวอย่าง บอกกับท่านว่า "ไม่มีประโยชน์ คุณ "ก็อปฯ" ไปคุณก็ได้แค่ตัวอย่าง แต่คุณรู้ไหมว่า กว่าที่จะมาเป็นตัวอย่างนี่ มาได้อย่างไร ? ปริญญาโท..กระผม/อาตมภาพวิ่งหาอาจารย์ โดนแก้ยับเยินมา ๑๘ รอบแล้ว..! พวกคุณเคยหาอาจารย์สักครั้งไหม ?"

    ส่วนปริญญาเอกนะหรือ ? กระผม/อาตมภาพวิ่งหาอาจารย์อาทิตย์ละครั้ง ขออนุญาตไว้เลย ท่านอาจารย์จะติดธุระอะไรไม่สำคัญ กระผม/อาตมภาพรอได้ วิ่งไล่ตามกันไป วิ่งไล่ตามกันมาแทบจะรอบประเทศ เลี้ยงข้าวท่านอาจารย์บ้าง ให้ท่านอาจารย์เลี้ยงบ้าง..ผลัดกัน แล้วไปสบายตอนสอบ เพราะว่าท่านอาจารย์ไม่รู้จะถามอะไรแล้ว เจอกันทุกอาทิตย์ ก็เลยผ่านง่าย ๆ แต่คราวนี้กว่าที่จะผ่านตรงนั้นได้ ต้องสู้ครู ต้องหน้าด้าน โดนเท่าไรไม่ถอย ท้อได้..แต่ห้ามถอย..!


    ตรงนี้ต้องไปดูปฏิปทาของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านเป็นพระเถระรูปแรก ๆ เลยที่ขอส่งพระบ้านเราไปต่างประเทศ ซึ่งมหาเถรสมาคมไม่ยอมอนุมัติ เพราะสมัยนั้นพระไปต่างประเทศ เขาสรุปอย่างเดียวว่า "ไปเที่ยว" ไม่ได้คิดในเรื่องของการไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านเองก็กำลังหนุ่มใหญ่ไฟแรง อายุเพิ่งจะ ๔๐ ต้น ๆ ก็วิ่งหา เข้าไปก็โดนพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมด่าเอาบ้าง ไล่เตลิดเปิดเปิงบ้าง ว่าเสีย ๆ หาย ๆ บ้าง ท่านเองก็ไม่เป็นไร รับเอาไว้ "ถ้าหากว่าวันนี้หลวงพ่อไม่อนุมัติก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาใหม่" ตื๊อไปจนกระทั่งพระผู้ใหญ่ทนไม่ไหว ก็พยักหน้า "เออ..จะทำอะไรก็ไปทำ..!" ก็เสร็จท่านสิ..!

    ทุกวันนี้ที่พระธรรมทูตไทยออกไปต่างประเทศ จนกระทั่งโด่งดังไปทั่วโลก เริ่มต้นมาจากวัดสระเกศ นั่นก็คือการที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านตื๊อสู้พระผู้ใหญ่ โดนเท่าไรก็ไม่ถอย จนผู้ใหญ่ระอาใจ ยอมอนุญาตไปเอง
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    ทำอย่างไรที่เราจะตื๊อสู้กิเลสแบบนั้นบ้าง กำลังใจเดียวกัน กำลังใจเท่ากัน ล้มแล้ว...ลุกใหม่ ลุกได้ก็ไปต่อ ถ้าไปต่อไม่ได้ ล้มอีกก็ลุกใหม่อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า

    ดูตัวอย่างเอดิสัน โทมัส แอลวา เอดิสัน ค้นคว้าหลอดไฟให้เราใช้งาน ทดลองมา ๒๐๐ กว่าครั้ง ล้มเหลวทุกครั้ง เริ่มทดลองครั้งต่อไป ลูกศิษย์ท้อกันหมดแล้ว "อาจารย์จะทำไปทำอะไร ? เราล้มเหลวมามากขนาดนี้" เอดิสันบอกว่า "คุณล้มเหลวหรือ ? ผมประสบความสำเร็จมา ๒๐๐ กว่าครั้งแล้วนะ ผมรู้ว่าไอ้ ๒๐๐ กว่าวิธีนี่ใช้ไม่ได้" ทำไมเขาคิดคนละอย่างกัน ?

    ดังนั้น..เราเองไม่ว่าจะแพ้กิเลสกี่ครั้ง เราจะได้ประสบการณ์ เราจะรู้ว่าเขาจะมามุมนี้ ต้องปิดจุดอ่อนให้ได้ ระมัดระวังป้องกันจุดนั้นให้ได้ สติ สมาธิ ปัญญา แค่ ๓ ตัวเท่านั้น สติต้องแหลมคมว่องไว สมาธิต้องหนักแน่นมั่นคง ปัญญาจะต้องแจ่มชัด จะต้องเห็นลีลาของกิเลสให้ได้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง แค่ ๔ ตัวเท่านั้น แต่มาเป็นล้าน ๆ ข้อเลย ไอ้ข้อนี้แพ้ วันนี้แพ้ พรุ่งนี้แพ้ มะรืนแพ้ ไม่เป็นไร ตื๊อสู้ไปเรื่อย


    ถ้าสังเกตดู จะเห็นว่าเรายืนระยะได้นานขึ้น ก่อนหน้านั้น แค่กระทบก็ร่วงแล้ว ตอนนี้ยื้อได้ตั้ง ๕ นาที หลังจากนั้นก็เป็น ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง ดูสิว่าเรายืนระยะได้นานขึ้นไหม ? เอ้า...ได้เป็นวันหนึ่ง สองวันแล้วค่อยพัง ไม่เป็นไร ได้ตั้งสองวัน อย่างน้อยก็กำไร


    เพราะฉะนั้น...นักปฏิบัติธรรม ในช่วงแรก ๆ ที่สู้กิเลส ถ้าไม่ท้อ รู้จักหน้าด้านในการทำความดี พอไปถึงช่วงระหว่างกลาง ๆ นี่สนุกอย่าบอกใครเลย มาลุ้นกันว่าแต้มนี้กิเลสจะได้หรือว่าเราจะได้ ? ลุ้นกันขาดใจเลย จะดูหนังดูละครอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    หลวงตามหาบัวท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเดินชนต้นไม้เลย ก็คือเดินจงกรมนี่แหละ เดินไป...เดินไป ไอ้ข้างในก็กำลังฟัดกันนัวเนีย กิเลสรู้ว่าสมาธิปัญญาของเราจะชนะ ก็สู้สุดใจ เดินพ้นทางจงกรมไม่รู้ตัว ชนต้นไม้โครม..! อ้าว...สุดทางแล้วหรือ ? กลับหลังหันเดินต่อ ไอ้ข้างในก็ฟัดกันต่อ

    ในเมื่อดูอยู่แต่ข้างใน ไม่ได้ดูข้างนอก มาสุดทางด้านนี้ ก็ชนโครม..! เข้าไปอีกแล้ว เพราะฉะนั้น...ในช่วงที่ก้ำกึ่งกันระหว่างกิเลสกับเราว่าใครจะได้แต้มนี่ สนุกสุด ๆ ลุ้นกันขาดใจ หลังจากนั้นเราก็จะชนะมากกว่าแพ้ ส่วนเป้าหมายก็คือ เราจะไม่แพ้อีก

    เพราะฉะนั้น...จำแม่น ๆ นะ วันนี้ที่บอกให้รู้ก็คือ การปฏิบัติธรรมของเราจะต้องเอาไปใช้งานจริงได้ แพ้กิเลสไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ขอให้สู้ต่อไปจนกว่าจะชนะ แล้วคุณก็ชนะแค่มุมนั้นแหละ เดี๋ยวมุมต่อไปมา เราก็ร่วงไม่เป็นท่าอีก..! แต่ให้สู้ไปเรื่อย ต่อให้แพ้..ก็ต้องยืนระยะให้ได้นานขึ้น

    จำลูกเจนนี่ (เมธาวี เหลืองถาวรกุล) ได้ไหม ? เล่นเทควันโด เป็นเด็ก ๔ ขวบ ตัวนิดเดียว ต้องไปสู้กับเด็ก ๙ ขวบ โดนไอ้ ๙ ขวบ ตัวใหญ่กว่าเป็นเท่าตัว เตะทีเดียวปลิวติดเชือกเลย..! แต่ไม่มีถอย...สู้..! แพ้ลงมา แต่คนตบมือให้ทั้งสนาม กำลังใจต้องให้ได้แบบนั้น..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,528
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,536
    ค่าพลัง:
    +26,373
    นั่นคือกำลังใจที่นักปฏิบัติต้องมี สัจจะ...จริงจัง จริงใจ แพ้แค่ไหน ไม่ถอย ไม่เลิก ขันติ อดทนสุด ๆ ต่อให้ใครเขาบอกว่า "เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย" ควายก็ควายเถอะวะ..! กูจะทนจนกว่าจะเป็นคนให้ได้...!

    วิริยบารมี...พากเพียรให้เต็มที่ ปัญญาบารมี...รู้จักประคับประคอง หลบซ้ายเลี่ยงขวาไปเรื่อย ไม่ใช่ไปเดินชนอย่างเดียว สู้กับกิเลส เดินชนอย่างเดียวแบบเถรตรง ก็ตายอย่างเดียวเหมือนกัน ต้องผ่อนสั้นผ่อนยาว รู้หลบรู้หลีก หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกว่า "หัดเป็น "นักหลบ" เสียบ้าง ไม่ใช่เป็น "นักรบ" อย่างเดียว ไอ้รบแล้วตาย เขาเรียกว่าโง่" โดนหลวงปู่ด่าทีค่อยชื่นใจ ก่อนหน้านี้เราโง่จริง ๆ..!

    ฉะนั้น...ในส่วนนี้ที่บอกกับพวกเรา ก็ให้จดจำเอาไว้บ้างว่า กำลังใจในการสู้กิเลสต้องเป็นแบบไหน เราถึงจะมีโอกาสชนะ แล้วหลังจากนั้นก็พยายามลุ้นให้ชนะมากกว่าแพ้ เพื่อที่จะต่อไปยังเป้าหมายของเรา คือ จะไม่แพ้มันอีก
    วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...