เรื่องเด่น เหนือขีดจำกัดของมนุษย์!! ไขปริศนาญาณหยั่งรู้ของพุทธะ ... พระพุทธเจ้ามองเห็นอนาคตเพราะสามารถส่องญาณไปได้ทั่วจักรวาลด้วยจิตที่เร็วเหนือแสง!!

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 27 มกราคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    เหนือขีดจำกัดของมนุษย์!! ไขปริศนาญาณหยั่งรู้ของพุทธะ ... พระพุทธเจ้ามองเห็นอนาคตเพราะสามารถส่องญาณไปได้ทั่วจักรวาลด้วยจิตที่เร็วเหนือแสง!!

    12331739_990182131028537_142270349_n.jpg


    ชาวพุทธเรามีความเชื่อกันอยู่อย่างหนึ่งว่า "พระพุทธเจ้าทรงมีญาณหยั่งรู้อนาคต" (หรือที่ภาษาพระเรียกว่า "อนาคตังสญาณ")

    หากใครเคยอ่านพระไตรปิฎกหรือได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติก็จะพบว่า พระพุทธเจ้าทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตเอาไว้มากมายหลายเรื่อง และคำทำนายเหล่านั้นก็จะต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน เพราะพระองค์ย่อมไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริงตามที่พูด

    คำถามก็คือ "การหยั่งเห็นอนาคต" หมายความว่าอย่างไร?

    หมายถึงการคาดการณ์แบบคณิตศาสตร์ใช่หรือไม่? อย่างเช่น ถ้ารถยนต์วิ่งด้วยความเร็ว ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เราก็สามารถคำนวณได้ว่า อีก ๗ ชั่วโมง รถคันนั้นจะต้องวิ่งได้ระยะทาง ๗๐๐ กิโลเมตร

    การคาดการณ์แบบคณิตศาสตร์นี้ไม่น่าจะใช่ เพราะถ้าหมายถึงอย่างนี้ การหยั่งเห็นอนาคตก็จะไม่ใช่ "การเห็น" จริงๆ แต่จะเป็นเพียงแค่ "การคาดคะเน" เท่านั้น ซึ่งอาจผิดพลาดได้ (เช่น รถเกิดยางแบนระหว่างทาง ทำให้วิ่งไปไม่ถึง ๗๐๐ กิโลเมตร)

    การหยั่งเห็นอนาคตของพระพุทธเจ้าจะเป็น "การเห็น" จริงๆ ได้ก็ต่อเมื่อ "เหตุการณ์ในอนาคต" นั้นมีอยู่จริงและเกิดขึ้นแล้วจริงๆ (ทำนองเดียวกับที่เหตุการณ์ในปัจจุบันมีอยู่และกำลังเกิดขึ้น) เพราะถ้าเหตุการณ์ในอนาคตมีอยู่จริงและเกิดขึ้นจริง การมองเห็นอนาคตก็สามารถเป็นไปได้



    be%282%29.jpg

    คำถามต่อมาก็คือ "เหตุการณ์ในอนาคตที่มีอยู่จริงและเกิดขึ้นแล้วจริงๆ" นั้นหมายความว่าอย่างไร?

    คำถามนี้สามารถตอบได้ด้วยทฤษฎีของไอน์สไตน์ที่ว่า "ไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง" ดังนี้

    สมมุติว่า เรามีเพื่อนเป็นมนุษย์ต่างดาวซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปีแสง ถ้าเราอยากรู้ว่า "ขณะนี้" ดาวของเพื่อนเป็นอย่างไร เราจะไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะภาพดาวของเพื่อนที่เราเห็นในกล้องส่องทางไกลนั้นเป็นภาพของอดีตเมื่อ ๑๐,๐๐๐ ปีที่แล้ว (แสงต้องใช้เวลาเดินทาง ๑๐,๐๐๐ ปี ในการสะท้อนภาพจากดาวของเพื่อนมาถึงดวงตาของเรา) หรือถ้าใช้วิธีโทรศัพท์ไปหา เราก็ต้องรอ ๑๐,๐๐๐ ปี เสียงของเราถึงจะเข้าหูเพื่อน แล้วก็ต้องรออีก ๑๐,๐๐๐ ปี เสียงของเพื่อนถึงจะเข้าหูเรา (คลื่นโทรศัพท์ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็เคลื่อนที่ได้เร็วเท่าแสงเช่นกัน) ถึงตอนนั้น คำตอบเกี่ยวกับ "ขณะนี้" ของดาวของเพื่อนก็กลายเป็นอดีต ๒๐,๐๐๐ ปีไปแล้ว

    นี่คือข้อจำกัดของธรรมชาติที่ผูกมัดมนุษย์เอาไว้!!

    แต่สำหรับพระพุทธเจ้านั้น การตรัสรู้ของพระองค์ส่งผลให้พระองค์มีความสามารถพิเศษที่จะ "ส่องญาณ" ไปในที่ใดก็ได้ในจักรวาล โดยไม่ต้องกินเวลา เพราะทรงก้าวข้ามข้อจำกัดของคนธรรมดาไปแล้ว

    ความสามารถพิเศษนี้จึงทำให้พระพุทธเจ้ามองเห็นเหตุการณ์ที่คนธรรมดามองไม่เห็น … และ "เหตุการณ์ในอนาคต" สำหรับคนอื่น ก็จะกลายเป็น "เหตุการณ์ในปัจจุบัน" สำหรับพระองค์

    ขอให้นึกถึงตัวอย่างสมมุติเมื่อสักครู่นี้ว่า เมื่อเราถามเพื่อนต่างดาวเกี่ยวกับความเป็นไปของดาวของเพื่อน แล้วเพื่อนตอบกลับมาว่า "ดาวของฉันกำลังจะแตก" เราต้องรออีกหมื่นๆ ปี ถึงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวของเพื่อน แต่ถ้าบังเอิญว่า ตอนนั้นเราอยู่กับพระพุทธเจ้า ซึ่งเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับดาวดวงนั้น (ด้วยการส่องญาณ) พระองค์ก็จะสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ (ล่วงหน้า) เกี่ยวกับดาวดวงนั้นให้เราฟังได้อย่างแม่นยำไม่มีผิดเพี้ยน

    นี่คือคำตอบของปริศนาที่ว่า…พระพุทธเจ้ามองเห็นอนาคตได้อย่างไร!!!



    be2re.jpg

    be3re.jpg



    --------------------------------------------------------------------------

    ที่มา : Buddhist Philosophy in Abhidhamma Pitaka

    ณัฐวุฒิ/สำนักข่าวทีนิวส์ : รายงาน








    -----------------
    ขอบคุณที่มา
    http://panyayan.tnews.co.th/contents/221845/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 มกราคม 2017
  2. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,111
    ค่าพลัง:
    +3,402
    เห็นอนาคตนี่ดูเป็นรายบุคคลได้มั้ย รึว่าน่าเป็นเรื่องรู้เฉพาะตนมากกว่า
    ดังฝันใครฝันมัน แต่อาจมีเทพแจมเป็นพักๆ
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขออนุญาตเสริมนะครับ
    ถ้าเข้าใจได้ก็เข้าใจครับ
    ส่วนตัวมองว่าตามทฤษฎีนี้
    มีความเป็นไปได้สูง
    แต่มีอะไรมากกว่านั้น
    ที่วิทยาศาสตร์
    ยังต้องตามหลังมาเรื่อยๆอยู่ครับ
    ขอเล่าเหตุแห่งการรู้ได้
    ในทางกิริยาของจิต
    (ไม่ใช่ของพระพุทธฯนะครับ
    เพราะไม่น่ามีใครทราบได้แท้จริง
    นอกจากพระพุทธฯเหมือนกัน)

    เท่าที่เคยได้ยินมาทั่วๆไป
    หรือลักษณะการจะรู้อะไรได้แบบพิเศษของจิตทั่วไป
    ที่บุคคลที่ใช้งานทางจิตทำกันอยู่เป็นปกตินะครับ
    จะเป็นการรู้จากภายในไปภายนอกครับ
    หมายถึงจิตขยายตัวแล้วออกไปรู้
    สิ่งที่ส่งจากจิตที่ขยายตัวไปถึงสิ่งนั้นๆครับ

    ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพง่ายๆนะครับ
    ขออิงดาวตามบทความนะครับ
    เพื่อว่าอ่านข้างบนที่ส่วนตัวเขียนแล้วยังงงๆ

    มีฝ่ามือหนึ่งหงายอยู่สมมุติว่าเป็นจิตเรานะครับ
    ทำหน้าที่คล้ายผู้ดูเฉยๆ
    แล้วฝ่ามือนี้ขยายตัวออกไป
    หรือส่องแสงออกไป
    บางก็เรียกว่าส่งตัวไปเชื่อม
    หรือแล้วแต่จะเรียก
    และส่งไป
    ถึงยังดาวเพื่อนของเรา
    ซึ่งธรรมชาติของจิต
    จะใช้เวลาเร็วกว่าวินาที

    ทีนี้เมื่อแสงที่ส่ง หรืออะไรที่ส่งจากจิตไปถึง
    ยังดาวเพื่อนเราแล้ว
    เราจะมีอีกตัวหนึ่ง เรียกกันว่าผู้รู้
    ที่จะไปรู้ว่า สิ่งที่ส่งจากจิตไปนั้น
    คืออะไรครับ นี่เป็นกิริยาการรู้แบบ
    พิเศษทั่วๆไปครับ ที่บุคคลใช้งานทางจิตได้
    จะเกิดขึ้นได้เป็นปกติครับ
    (ลองค่อยๆสังเกตุดูนะครับ)
    เหมือนจิตส่งผ่านตาไปเห็นเก้าอี้
    แต่จิตไม่รู้ว่าเป็นเก้าอี้
    ตัวที่บอกว่าเป็นเก้าอี้คือผู้รู้
    และรู้ว่าเป็นเก้าอี้เฉยๆ
    แต่ไม่รู้ว่าก่อนจะมาเป็นเก้าอี้
    มีต้นเหตุมาจากอะไร

    แต่ถ้าสังเกตุสิ่งที่ผมกล่าวดีๆท่าน
    จะพบว่าจิตมันไม่ได้รู้อะไรนะครับ
    มันมีตัวผู้รู้ว่าคืออะไรเฉยๆ
    จากสิ่งที่จิตมันส่งไปกระทบครับ
    ต่างฝ่ายทำหน้าที่ของใครของมันครับ

    ถ้าท่านสังเกตุเพิ่มขึ้นอีกจะพบว่า ผู้ดูกับผู้รู้
    มันคนละตัวกันนะครับ
    แต่ถ้าสองตัวนี้ได้รวมกันเมื่อไรมัน
    ก็จะเป็นตัวตนเราขึ้นมาทันทีครับ
    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
    เช่น เก้าอี้ไม่สวย เก้าอี้ควรใช้สีนี้ ฉันไม่ชอบเก้าอี้
    ทำไมไม่ทำเก้าอี้แบบโน้นนั่นนี่
    นี้คือกิริยาที่เป็นตัวตนแล้วครับ
    พอมองภาพออกนะครับ

    โดยความรวมแล้วเรื่องที่เล่ามานี้
    ถือว่าเป็นเพียงพื้นฐาน
    ถ้าเราฝึกสมาธิแบบเพ่ง
    หรือใช้ภาพมาก็จะพอเห็นผู้ดู ผู้รู้ได้
    กันเป็นเรื่องปกติทุกคนครับ
    ยกเว้นถ้าไปวิปัสสนาเลย
    จะยังมองไม่เห็นครับ
    เพราะมันพิจารณาอยู่ภายในกาย
    เราเลยไม่เห็น สิ่งที่ส่งไปยังสิ่งที่จะไปรู้นั่นๆ
    ตามตัวอย่าง คือ ไม่เห็น สิ่งที่ไปกระทบดาว
    หรือไม่ทันสังเกตุเห็นสิ่งที่ไปกระเก้าอี้
    แล้วทำให้รู้ว่าเป็นดาวหรือเก้าอี้นั่นหละครับ
    พอมองภาพออกนะครับ
    ภาพรวมก็ถือว่าเป็นกิริยาการไปรู้ได้ปกติทั่วๆไปครับ


    แต่ในระดับมากกว่านี้
    ก็คือจะมีอีกตัวหนึ่ง
    ที่ทางโลกเราเรียกว่าปัญญาญาน
    หรือปัญญาทางธรรม หรือแล้วแต่จะเรียก
    ที่จะเข้าไปรู้ถึงสาเหตุต่างๆ
    ที่จะเกิดเป็นผู้ดู ผู้รู้ ว่าเกิดจากอะไร
    ตลอดจนไปรู้ถึงสิ่งที่ผู้รู้ไปรู้จากสิ่ง
    ที่ผู้ดูส่งไปถึง
    เช่น รู้ว่าเก้าอี้เกิดจากอะไร ทำจากอะไร
    มาเป็นเก้าอี้ได้อย่างไร ดาวก็เช่นเดียวกัน
    คล้ายๆที่เปรียบกับเก้าอี้ครับ แค่ตัวอย่างนะครับ

    ปัญญาญานตรงนี้นี่หละครับ
    ที่มนุษย์อย่างเราไม่มีทาง
    ที่จะรู้ได้ หรือเราจะไปรู้ได้
    ว่าท่านที่มีวิสัยที่จิตทำงานได้มีปัญญาญานอย่างนี้
    ว่าแต่ละท่านจะรู้ได้ละเอียดมากน้อยเพียงใดครับ
    บ้างท่านอาจรู้ย้อนเหตุ ห้าปี ร้อยปี พันปี ก็ว่ากันไปครับ
    ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างอจิณไตยครับ
    ซึ่งไม่มีทางรู้ได้ จากการคิด วิเคราะห์
    นอกจากจะปฏิบัติด้วยตัวเองครับ

    แต่สิ่งที่เราพอเชื่อกันได้คือว่าศาสดาเอกท่านนี้
    หรือพระพุทธเจ้าท่านมีแบบไม่มีทางประมานได้
    มีมากกว่าใครในไตรภพ ไม่ว่าจะระดับภพภูมิไหนๆ
    ก็หาเทียบเท่าได้ เป็นที่มาของคำว่า
    ผู้เป็นเลิศทั้งสามภพนั่นหละครับ
    นี่พูดแค่เพียงด้านเดียวนะครับไม่นับด้านอื่นๆ

    ปล.หวังว่าจะมีประโยชน์
    และมีคนอ่านแล้วเข้าใจนะครับ(^_^)
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ยอดคนเข้าดูใน Fanpage พลังจิต
    เข้าถึงแล้ว 53,340 คน
     
  5. gratrypa

    gratrypa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,286
    ค่าพลัง:
    +1,507
    .
    เขียน ๒๑.๓๐

    เอ..สูตรของเรากะท่านนพไม่เหมือนกันแฮะ
    ของเรามีแต่ ผู้รู้ กะสิ่งที่ถูกรู้ ไม่มีผู้ดู
    จะโม้แยะๆ ก็ไม่มีอารมณ์จะทำ
    รอ ิbat of light ก่อน
    ไม่คืน ก็ไม่โม้
    ช่างหัวมัน


    ค้างคาวแห่งแสง / กระต่ายป่า ข้างวัด

    .
    ปล. รำคาญหมาวัดจัง หลายวันนี้ชอบหอนกลางวันแสกๆ
    ใครแถวนี้ คงหงุดหงิดรำคาญใจ หมาเลยหอนบ่อยๆ
    นิพพานชั่วคราว ก็รอไปก่อน ถึงจะให้ใครมายืม
    เสาแสงที่วัดไปแล้วก็เหอะ ยืมไปสามต้น
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ผู้ดูเป็นคำอุปโลกน์เรียก
    ลักษณะของจิตที่คลายตัวแล้วเฉยๆ
    เป็นการพูดให้เห็นต้นกำเนิดในการรู้
    ในทางกิริยา..อยู่ดีๆมีผู้รู้เลย แต่ไม่มี
    แหล่งต้นกำเนิดของผู้รู้ อาจจะทำให้งงๆได้แค่นั่นหละ
    ส่วนสิ่งที่ถูกรู้ ก็มาจากสิ่งที่ส่องออกจากผู้ดู
    แล้วไปกระทบนั่นหละ ส่วนที่รู้ว่า
    สิ่งที่กระทบหรือสิ่งที่ถูกรู้คืออะไร
    นั่นมาจากผู้รู้ แต่แค่รู้เฉยๆว่าคืออะไร
    ไม่ได้รู้เหตุแห่งการเกิดของสิ่งที่ถูกรู้นั่นเอง.
    ปล.แปลกดีหมาหอนตอนกลางวัน ๕๕
     
  7. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ขอแสดงความเห็นนะครับ

    คำอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ "อนาคตังสญาณ" ตามบทความนี้ อาจยังคลุมเครือและจุดน่าสงสัยอยู่ครับ

    ประการแรก อ้างอิง ถึงความเร็วแสงและมวลสาร จากคำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง"

    หนึ่ง ตรงจุดนี้ ไม่ได้อธิบายอนาคตังสญาณแต่อย่างใด เพราะสเกลของแสงและมวลสารยังอยู่ภายใต้เส้นทางของเวลา เช่น ณ ปัจจุบันนี้ สมมุติเราอยู่ที่ดาว A ซึ่งห่างจาก ดาว B เป็นระยะทาง 20000 ปีแสง นัันหมายความว่า สิ่งที่เราจะเห็นคือ แสงที่สะท้อนมาจากจุดเกิดเหตุการณ์บนดาว B เหตุการณ์ต้องเกิดแล้ว เพียงแต่เวลาปัจจุบันตาคนธรรมดาบนดาว A ยังไม่เห็น เพราะแสงยังเดินทางมาไม่ถึง การที่บุคคลผู้หยั่งรู้บนดาว A บอกกล่าวสิ่งที่เป็นปัจจุบันกำลังเกิดหรือเป็นไปอยู่หรือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วบนดาว B แต่คนธรรมดาบนดาว A ยังไม่เห็นเพราะแสงยังเดินทางมาไม่ถึง จึงไม่ใช่การหยั่งรู้อนาคต แต่เป็นการหยั่งรู้อดีตครับ

    สอง หากอนาคตังสญาณ คือ การทำงานของจิตที่ทำงานประดุจดังดวงแก้วที่รวมแสง เหมือนกล้องฮับเบิ้ล(กล้องโทรทรรศน์อวกาศขนาดใหญ่) แต่ว่าสิ่งที่เป็นอนาคตจริง คือ ยังไม่เกิดขึ้น แล้วแสงจะไปกระทบและสะท้อนกับอะไรที่ยังไม่เกิด ได้ยังไง (แสง ตามวิทยาศาสตร์เบื้องต้นมีความเร็วค่อนข้างคงที่ เพราะไม่ได้มีตัวเร่งอนุภาค และตัวเร่งอนุภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ดวงอาทิตย์นั้นเอง ซึ่งก่อให้กำเนิด แสง ที่มีความเร็วในจุดที่เรียกว่า ความเร็วแสง) หรือหากว่า อนาคตังสญาณคือ การระเบิดของจิตที่เปล่งแสงสว่างออกไปเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสง แต่ว่า มันไม่ประโยชน์เพราะสิ่งที่ยังไม่เกิด ก็คือยังไม่เกิด แสงก็วิ่งผ่านมวลสารไป โดยไม่เห็นอะไร

    ยกตัวอย่าง ปัจจุบันที่โลกนี้ ผู้หยั่งรู้พยากรณ์ว่า อีก ๗ วัน นาย ก จะถูกฆ่าตายโดยนาย ข คำถามคือ นาย ก และ นาย ข ซึ่งอยู่ในโลกวัตถุปัจจุบันภายใต้กฎเกณฑ์ที่ว่า "ไม่มีอะไรในจักรวาลนี้ที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง" นาย ก และ นาย ข เป็นมวลสารซึ่งคงเคลื่อนไหวภายใต้กฎดังกล่าวและเวลา แสงของผู้มีอนาคตังสญาณไปในอนาคตได้ยังไง ไม่ต้องไปคำนึงถึง แต่คำถามคือ นาย ก และ นาย ข ซึ่งอยู่ในโลกปัจจุบัน จะเคลื่อนจากจุดปัจจุบันไปได้อย่างไร ในอนาคต ๗ วันข้างหน้า การที่แสงของผู้หยั่งรู้ไปถึงและกระทบและสะท้อนกลับมาให้ผู้หยั่งรู้ทราบ แสงจะไปกระทบมวลสารของ นาย ก และนาย ข และโลกอนาคตได้ยังไง
    นั้นมิเท่ากับว่า แสงไปกระทบสิ่งที่กำลังเกิดหรือเกิดขึ้นแล้ว(เพราะต้องมีมวลสารให้แสงกระทบ) หากคุณเชื่อว่า อนาคตเกิดขึ้นแล้วเหมือนฟิล์มทีวี มันจะตลก เพราะฟิล์มทีวีหรือภาพยนตร์ มันเป็นการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่คำว่า อนาคตในพระไตรปิฎกก็บอกอยู่แล้วว่า คือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่มาถึง และหากไปเชื่อว่าอนาคตมีอยู่แล้ว ก็เท่ากับว่า เชื่อว่าทุกอย่างถูกลิขิต หรือถ่ายภาพไว้แล้ว ซึ่งมันขัดแย้งกันกับคำนิยามว่า อนาคต

    เพราะว่า อนาคตังสญาณ ไม่ได้หมายความว่า ญาณหยั่งรู้ตลอดสามกาลของทุกสรรพสิ่ง และสัพพัญญุตญาณก็ไม่ได้หมายความว่า ญาณหยั่งรู้ตลอดสามกาลของทุกสรรพสิ่ง เช่นเดียวกัน

    เราย่อมไม่อาจหยั่งทราบถึง ญาณของพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่ของผู้มีอนาคตังสญาณ

    แต่ธรรมดาแล้ว ญาณดังกล่าวย่อมใช้แสง แต่แสงดังกล่าวมิใช่แสง ตามหลักวิทยาศาสตร์พื้นฐาน แต่ใกล้เคียงกับแสงตามหลักกลศาสตร์ควอนตัมสมัยใหม่กว่า ที่พบว่าแสงหรือมวลสารเอง มีลักษณะพิศดารกว่าความเข้าใจเดิม โดยอนุภาคบางชนิดสามารถแสดงสถานะเป็นทั้งวัตถุมวลสาร และคลื่นแทบจะในเวลาเดียวกัน และส่วนที่เป็นคลื่นนั้นเองที่สามารถทะลวงไปในอนาคตได้ (มีการทดลองที่พบว่า อนุภาคเหมือนหายไปในเวลาปัจจุบันแล้วโผล่มาในอนาคต (เป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ยุ่งยาก))

    นั้นหมายความว่า มวลสารและแสงในปัจจุบัน จะมีบางส่วนที่แสดงสถานะอย่างนั้น คือ เคลื่อนหรือเป็นไปในอนาคต ซึ่งมันจะบ่งชี้ทิศทางของมวลสารในปัจจุบันนั้นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า มวลสารทั้งหมดจะมุ่งไปทางนั้น แต่ในขณะเดียวความเป็นไปของมวลสารในส่วนที่แสดงเป็นคลื่น ก็สามารถทำนายได้ (แต่ว่า คนเราไม่อาจทราบว่า มวลสารในสถานะแบบใด รูปแบบใด สามารถแสดงสถานะคลื่น(คลื่นเมื่อเกิดขึ้น ก็จะกระจายเป็นวงออกจากจุดกำเนิดออกไป ส่งออกเป็นระยะ วงคลื่นไป จึงเกิดการทำนายคลื่นได้ เหมือนเราปาหินลงในน้ำ วงคลื่นที่เกิดซ้ำๆ กันจึงทำให้ทำนายได้)

    การระลึกชาติ รู้อนาคต จึงมีอยู่สองแบบ แบบที่ย้อนคลื่นหรือสอดคลื่นของตน ก็คือจะเห็นอดีต อนาคตจากมุมมองจริงๆ ของตน กับอีกแบบที่เป็นการเห็นแบบ ตนเป็นบุคคลที่สาม แต่จิตจะไปตั้งที่จุดใดๆ จุดหนึ่งๆ ในไทม์ไลน์แต่ละจุด

    การหยั่งรู้การเป็นไปของสรรพสิ่งโดยรวม ก็จะเห็นแบบหนึ่ง แต่กรณีที่เป็นจุดเล็กนั้นๆ ต่อให้ไม่ชัดแต่ก็เห็นสรรพสิ่งโดยรวมได้ หมายความว่า เราสามารถเห็นพระอาทิตย์ หรือโลกเป็นไปอย่างหนึ่ง แต่การเห็นชีวิตหนึ่งหน่วย อาจยังไม่ต้องแน่นอนก็ได้ ไม่กระทบการเห็นภาพรวม(ทฤษฎีที่ว่า แม้จะไปเปลี่ยนอดีต ก็ไม่กระทบต่อไทม์ไลน์หลัก เหมือนเอาหินปาลงในมหาสมุทรแค่ก้อนเดียวซึ่งไม่อาจเปลี่ยนกระแสมันได้)

    โดยหลักนี้ จึงมีสิ่งที่สามารถทำนายได้ กับมีสิ่งที่ยังไม่สามารถทำนายได้อยู่ ก็จะไม่ขัดกัน เพราะยังไง อนาคตก็คือ สิ่งที่ยังไม่เกิด แต่พระญาณที่เห็น คือ เห็นในสิ่งที่แน่นอน ซึ่งขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยของ กิเลส กรรม วิบากกรรม

    ปล. แต่พระสัพพัญญุตญาณ เป็นญาณที่หยั่งรู้พิเศษกว่า อันนั้นเกินกว่าการหยั่งรู้โดยหลัก แสง(ในนิมิตของอภิญญา ญาณ) นะครับ
     
  8. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ขออนุญาติแสดงความเห็นอีกมุมหนึ่งนะครับ

    ผมคิดว่าเราแค่ใช้งานญาณหยั่งรู้เพื่อรู้เห็นสิ่งต่างๆได้ก็พอ ไม่จำเป็น
    ต้องเข้าใจว่าต้องใช้หลักการใดในทางวิทยาศาสตร์อธิบายหรอกครับ
    เปรียบเทียบคล้ายๆกับมนุษย์เรามีตาที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้
    แต่เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจถึงการทำงานของเส้นประสาท
    รับแสง หรือ การทำงานของเลนส์ เพื่ออธิบายให้คนตาบอดเข้าใจ
     
  9. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    ความเข้าใจเรื่อง อนาคตังสญาณ อตีตังสญาณ และสัพพัญญุตญาณ ที่ถูกต้องมีผลต่อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความรู้ทางศาสนาพุทธที่ถูกต้องด้วยนะครับ

    อย่างที่ผมกล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ถ้าตามคำอธิบายของโพสต์ตั้งกระทู้จะเห็นว่า ทำให้คนอ่านเข้าใจได้ว่า อนาคตมันเกิดขึ้นแล้ว แล้วญาณไปเห็น มันกลายเป็นทำให้คนอ่านเข้าใจไปได้ว่าทุกสรรพสิ่งมันถูกลิขิต หรือเป็นไปแล้ว มันเป็นความเชื่อแบบพราหมณ์โบราณ หรือจีนโบราณที่เชื่อว่า มีเทพเขียนเรื่องราวมนุษย์ สัตว์ไว้แล้ว การอธิบายจึงไม่สอดคล้องกับความรู้ทางศาสนาพุทธที่สอนว่า กรรมอยู่ที่การกระทำของคน

    อีกประการ โพสต์ตั้งกระทู้นำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาเพื่ออธิบาย ญาณหยั่งรู้
    ซึ่งตัวอย่างที่ยกมาอธิบาย มีข้อบกพร่องให้โต้แย้งได้ จึงเป็นการอธิบายที่ต้องช่วยกันแก้ไขเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับทั้ง ความรู้ทางศาสนาพุทธ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งบอร์ดถือว่าเป็นแหล่งระดมความคิดเห็นและความรุ้ประการหนึ่ง ที่จรรโลงสังคมให้เจริญ เหมือนที่ญี่ปุ่นยุคเมจิ ที่เค้าพัฒนาแค่สิบกว่าปี ก็สามารถตามทันชาติยุโรป เค้ามีแหล่งความรู้ที่ต้องมาถกกัน ซึ่งในการถกกันมันได้ประโยชน์ทุกฝ่าย ถ้าเราถือว่า ความรู้เรายังไม่สุด และถ้าเรายังประสงค์จะรู้ เราก็ต้องวาง ล่อเป้า เพื่อให้มีการระดมความคิดเห็น ระดมความรู้กัน เพื่อจะได้พัฒนาปัญญาของสังคม

    เราจึงต้องกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น แม้หลายครั้งอาจไม่ถูกต้อง แต่เพื่อจะได้มีความรู้มากขึ้น

    อีกประการ การที่โพสต์ตั้งกระทู้อธิบายด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก็เพื่อให้พ้นจากความงมงาย เป็นวิธีการที่ต้องการทำลายความคิดเห็นของคนหลายๆคน หลายกลุ่มที่คิดหรือเชื่อไปว่า ศาสนาพุทธเป็นเรื่องงมงายที่พิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์เป็นของจริงที่พิสูจน์กันได้ ทั้งที่ เราย่อมทราบกันว่า ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าศาสตร์ใด พิจารณาดูบทสวดครับ

    บทพระธรรมคุณ
    - บาลี
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนฺทิฏฺฐิโก
    อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ
    เวทิตพฺโพ วิญฺญูหีติ
    - แปล
    พระธรรม เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
    เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
    เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล
    เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
    เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
    เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน

    บทนี้ เป็นบทที่ชี้ชัดให้รู้ว่า ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์

    วิทยาศาสตร์ เดิม พัฒนามาจากปรัชญา ซึ่งสมัยก่อนผูกติดกับความเชื่อทางศาสนาด้วย คือมาพร้อมกัน แต่ว่าเพราะในส่วนของศาสนา มีระบบศรัทธาด้วย ทำให้ระบบปรัชญามันตีบตัน จึงมีการแยกปรัชญาที่เป็นการพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ และโลก โดบยริสุทธฺิ์เพื่อได้ความรู้หรือปัญญาอันแท้จริง พัฒนาจนกลายเป็นวิทยาศาสตร์ แยกระบบศรัทธาแบบโบราณกาลออกไป แต่ศาสนาพุทธเป็นระบบศาสนา ซึ่งตัวระบบก็ย่อมมีระบบศรัทธาแบบโบราณเจือปนอยู่ตามบริบทของสังคม การมี หมวด"อภิธรรม" เป็นสิ่งที่แสดงว่า พระสงฆ์ในระบบศาสนาพุทธเห็นว่า ระบบศรัทธาในศาสนาแบบดั้งเดิม มีผลต่อระบบศาสนาอยู่ เพื่อให้ความรู้พ้นจากระบบศรัทธาเดิมที่เจือปนเพราะระบบสังคม จึงแยก อภิธรรม ให้เป็นศาสตร์บริสุทธฺ์ นั้นคือ วิทยาศาสตร์ครับ จะเห็นได้ว่า อภิธรรม จะเน้น ความจริงเกี่ยว มนุษย์และโลก (หรือ ธรรมของพระพุทธองค์นั้นแหละ) เราจึงเห็นการอธิบาย การเห็นด้วยตา เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบาย เรื่อง ผัสสะ ซึ่งสอนได้แม้คนตาบอด เพราะคนตาบอดย่อมมีผัสสะเช่นกัน

    ในส่วนที่ผม ต้องอธิบายวิทยาศาสตร์ต่อจากโพสต์ตั้งกระทู้ เพราะว่า ปัจจุบันความรู้วิทยาศาสตร์ สามารถอธิบายได้ถึงระบบ ญาณ แม้กระทั้งวัฏฏสงสารด้วย เราก็ควรอธิบายให้มันถูกต้อง ฝ่ายวิทยาศาสตร์จะได้ปราศจากข้อโต้แย้งเพราะความรู้ของเค้ามันปิดปากเค้าเอง แต่ถ้าเราอธิบายแล้วมีข้อบกพร่อง แล้วเราไม่ช่วยกันแก้ไข ก็กลายเป็นว่า ฝ่ายที่เป็นวิทยาศาตร์ก็จะเห็นคนในศาสนาพุทธเป็นแค่พวก งมงาย หรือเป็นกบในกะลา เท่านั้น

    ปล. ในสมัยพุทธกาล บุคคลที่ออกบวชมากๆ คือเจ้าชาย ซึ่งเป็นวรรณะที่เรียนรู้ศาสตร์ถึง ๑๘ แขนง ชาวบ้านทั่วไปเค้าไม่ได้เรียน ชาวบ้านจึงศรัทธาตั้งแต่ยังไม่ได้ฟังธรรมด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันพระสงฆ์เรา หรือวัด ไม่ได้เป็นแหล่งความรู้ชั้นสูงเหมือนเดิม ชาวบ้านจึงเห็นระบบศาสนาเป็นของโบราณไปแล้ว ความเชื่ออันนี้เฉพาะในสังคมไทย มันทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เข้าวัด ในฐานะชาวพุทธผมจึงคิดว่า หากเราแสดงให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่า พุทธศาสนาในฟากฝ่ายปัญญา เป็นสิ่งที่มีคุณค่ากว่า วิทยาศาสตร์และพิสูจน์ได้โดยความรู้วิทยาศาสตร์ระดับสูง เมื่อเค้าเห็นอย่างนั้นแล้ว การที่จะทำลายความเชื่อของคนที่ผิดๆ ว่า ศาสนาพุทธเป็นเรื่องงมงาย โบราณล้าสมัย (ระบบศรัทธาแบบโบราณ) ก็มีความเป็นไปได้ คนรุ่นใหม่ที่เข้ามาอ่านก็จะได้ทราบว่า ศาสนาพุทธเป็นสิ่งที่ควรศึกษา วิทยาศาสตร์ให้แค่ของใช้ไฮเทค แต่พุทธศาสนาจะให้การหลุดพ้น (ซึ่งในสมัยพุทธกาลหรือก่อนพุทธกาล คนสมัยนั้นเค้าเห็นเป็นสิ่งที่ทันสมัย เป็นสิ่งที่ต้องแสวงหา แทบจะทุกคนถึงเดินทางเป็นพันๆ ลี้ เพื่อมาฟังพระพุทธองค์ (อ่านจากพระไตรปิฎก))
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มีนาคม 2017
  10. จันทร์เจ้า

    จันทร์เจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +1,948
    ในอนาคตมนุษย์จะสามารถอธิบายทุกเรื่อง
    โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ได้
    ขออนุโมทนาครับ
     
  11. thth

    thth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    537
    ค่าพลัง:
    +887
    ไม่ใช่ตามความเห็นนะครับ ถ้าเห็นภาพในปํจุบันถึงจะอยู่ห่างกี่ปีแสงก็ตามก็เป็นปัจจุปปันนังสญาณ ไม่ใช่อนาคตังสญาณนะครับ เรื่องนี่เป็นอจินไตยข้อแรกครับ คือ พุทธวิสัย ไม่ควรคาดเดาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...