เหรียญถุงเงินมหาโภคทรัพย์หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337


    พระฝักไม้ขาวหลวงพ่อแขกวัดสุนทรประดิษฐ์พิษณุโลกปี๒๕๓๗

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240318_180256.jpg IMG_20240318_180322.jpg IMG_20240318_180228.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    fb_img_1708698934351-jpg-jpg.jpg

    หลวงปู่ลี ตาณํกโร
    เจ้าอาวาสวัดหัวตลุกวนาราม (วัดป่าหัวตลุก) ตำบลสระแก้ว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
    ประวัติ
    หลวงปู่ลี ตาณํกโร
    เจ้าอาวาสวัดหัวตลุกวนาราม (วัดป่าหัวตลุก)
    ตำบลสระแก้ว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
    ปฐมวัย
    หลวงปู่ลี ตาณํกโร มีนามเดิมว่า ลี นามสกุล ถุวัตถี เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2479 ตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู ณ บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่2 บ้านนาฝายเหนือ ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดาชื่อ นายเคน ถุวัตถี โยมมารดาชื่อ นางอ่อนจันทร์ ถุวัตถี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด 8 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 3 คน ดังนี้
    1. นางอบมา บูรพันธ์ (ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
    2. นายบุญตา ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
    3. นางคำภา ม่องคำหมื่น(ถุวัตถี) ถึงแก่กรรม
    4. นายบุญเส็ง ถุวัตถี ถึงแก่กรรม
    5. นายอังคาร ถุวัตถี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อ-สกุลเป็น นายวิธาน สุชีวคุปต์และเป็นข้าราชการบำนาญมหาวิทยาลัยรามคำแหง)
    6. หลวงปู่พุฒ ฐานิสฺสโร มรณภาพ
    7. หลวงปู่ลี ตาณํกโร สำนักสงฆ์ป่าหัวตลุก
    8. นางบุญนาง ทองสงคราม อาชีพทำนา ปัจจุบันอาศัยที่บ้านนาฝายเหนือ

    เด็กชายลีต้องกำพร้าบิดาในขณะที่อายุได้เพียง 3 ขวบ ซึ่งยังเล็กมาก จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของโยมมารดาและพี่ๆ ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลครอบครัว และอบรมสั่งสอนเด็กชายลีมาโดยตลอด จนเมื่ออายุครบเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียน
    เด็กชายลีเริ่มต้นเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาล 19 วัดบ้านนาฝายเหนือ หมู่ที่ 2 ตำบลบัวเงิน อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีนายสมาน พินิจมนตรีเป็นครูใหญ่ในขณะนั้น จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนแล้วมาช่วยครอบครัวทำนา
    เด็กชายลีเป็นเด็กที่ชอบเล่นสนุก ชอบพูดจาหยอกเย้าเพื่อนฝูง แต่ไม่เคยรังแกเพื่อนหรือทำร้ายใคร แต่กลับเป็นเด็กที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่ชอบมีเรื่องชกต่อยและเป็นเด็กที่รู้จักกลัวในบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟังนิทานสอดแทรกคำสอนจากหลวงปู่จันดี ซึ่งเป็นตาของเด็กชายลี ทำให้เด็กชายลีซึมซับธรรมะมาโดยไม่รู้ตัว หล่อหลอมให้เด็กชายลีมีจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรมและยังได้คอยชี้แนะเพื่อนๆไม่ให้ทำบาปอีกด้วย
    เหมือนโชคชะตากำหนดให้เด็กชายลีต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนา ทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์ที่เกือบคร่าชีวิตไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น
    วันหยุดเรียนวันหนึ่ง เพื่อนๆได้ชักชวนเด็กชายลีไปยังทุ่งนาเพื่อเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก และอาจจะได้กบหรือเขียดไปประกอบอาหารเป็นของแถม ขณะที่กำลังเดินอยู่บนคันนานั้น สายตาของเด็กชายลีก็เหลือบไปเห็นรูบนพื้นดิน ด้วยความสงสัยว่าจะมีกบหรือเขียดอยู่ในรู จึงเอามือขวาล้วงเข้าไป แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อสัตว์ที่อยู่ในรูนั้นไม่ใช่กบหรือเขียด หากเป็นงูเห่าที่ฉกกัดนิ้วกลางของเด็กชายลีทันที
    ในสมัยนั้นยังไม่มีโรงพยาบาล ครอบครัวจึงต้องให้หมอยาพื้นบ้านมาทำการรักษา แต่พิษงูเห่าแผ่ซ่านทำให้เด็กชายลีเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว แต่เหมือนปาฏิหาริย์ เด็กชายลีมีอาการทุเลาดีขึ้นและหายเป็นปกติในที่สุด เหลือเพียงนิ้วกลางที่หงิกงอไม่สามารถเหยียดตรงได้เหมือนนิ้วอื่นเป็นร่องรอยมาจนถึงปัจจุบันนี้เท่านั้น การรอดชีวิตดังกล่าวจึงเหมือนเป็นการสะสมบารมีธรรมมาเพื่อบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ดังคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสไว้ว่า “สัตว์ผู้มีภพในที่สุด จะไม่เป็นอันตรายใดๆทั้งสิ้น ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลนิพพานเสียก่อน”เข้าสู่ร่มกาสวพัสตร์
    ออกจากบ้านมุ่งหน้ามาสู่วัด
    เพราะวัดดัดอารมณ์ที่งมโง่
    ยอมเป็นวัวเขาหลุดดุจคนโซ
    หมดพยศ หมดโก้ หมดเกียรติงาม
    ออกจากบ้านเข้าป่าสงบเงียบ
    เพื่อฝึกจิตให้เรียบดังมุ่งหมาย
    ออกจากบ้านไปหาที่ไม่มีตาย
    จิตกับกายก็ต้องพรากจากกันเอย

    เมื่อเติบใหญ่และเจริญวัยจนอายุสมควร เด็กชายลีจึงได้ตัดสินใจบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุประมาณ 19 ปีเพื่อศึกษาธรรมะและพระปริยัติธรรม ที่วัดโพธิ์ชัย บ้านนาฝายเหนือ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน โดยมีพระอาจารย์บุญมา กลฺลญาโณ น.ธ.เอก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นครูผู้สอนพระปริยัติธรรม
    สามเณรลีได้ศึกษาหลักสูตรนักธรรมตรี ต่อเนื่องถึงนักธรรมโทแต่ตัดสินใจไม่ศึกษาต่อในชั้นนักธรรมเอก เนื่องจากต้องการที่จะศึกษาวิปัสสนากรรมฐานมากกว่าการเรียนปริยัติธรรมและภาษาบาลีที่กำลังตื่นตัวกันมากในสำนักเรียนวัดโพธิ์ชัย ดังนั้นในปี พ.ศ. 2502 สามเณรลีในขณะนั้นจึงได้ออกเดินทางจากวัดโพธิ์ชัยไปอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโนเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามแนวทางของตัวเอง

    การปฏิบัติธรรม
    พระราชาในกลดน้อย
    กลดหนึ่งคันนี้หรือคือปรางค์มาศ
    แม้เสื่อขาดเปรียบที่นอนอันอ่อนนุ่ม
    มีมุ้งห้อยย้อยยานต่างม่านคลุม
    มีบาตรอุ้มเปรียบเช่นเป็นโรงครัว

    การเบนเข็มชีวิตในร่มกาสวพัสตร์สู่พระนักปฏิบัติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล สืบเนื่องจากวันหนึ่งหลังจากที่เสร็จสิ้นจากการเรียนการสอบนักธรรม สามเณรลีได้กลับไปเยี่ยมครอบครัว และได้รับรู้ข่าวร้ายที่สะเทือนจิตใจเป็นอย่างมาก นั่นคือ พี่สาวได้เสียชีวิตจากการคลอดลูก
    ความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักโดยมิได้คาดฝัน ทำให้สามเณรลีคิดถึงสัจธรรมของชีวิตข้อหนึ่งว่า “สิ่งใดมีเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา” หลังจากนั้นสามเณรลีได้เดินทางด้วยเท้าเปล่ากลับวัดโพธิ์ชัยด้วยระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร เป็นการเริ่มต้นสละภาระของชีวิต และได้ออกเดินทางสู่ป่าช้าบ้านหนองโนในปี พ.ศ. 2502
    ก่อนที่จะออกเดินทางนั้น สามเณรลีได้พูดกับโยมมารดาและญาติพี่น้องอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เบิ่งดูหน้าข้อยให้คักๆเด้อ ครั้นข้อยบ่ได้เห็นธรรม สิบ่มาให้พวกเจ้าเห็นหน้าอีก” คำพูดนี้เป็นเหมือนการให้สัจจะปฏิญาณเพื่อที่จะเริ่มต้นศึกษาและปฏิธรรมอย่างจริงจังของหลวงปู่ลี
    หลวงปู่ลีได้เดินทางมาอยู่ที่ป่าช้าบ้านหนองโน ห่างจากบ้านนาฝายเหนือประมาณ 3 กิโลเมตรและได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อทองสุข สิริจนฺโท วัดป่าบ้านหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
    หลวงพ่อทองสุขเป็นพระปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ป่าช้าฉันเอกามื้อเดียว นั่งสมาธิ เดินจงกรมภาวนาเป็นหลัก เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของชาวบ้านโดยทั่วไป เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ซึ่งเป็นศิษย์สายบูรพาจารย์ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
    ภายหลังหลวงปู่ลีได้ขาดการติดต่อกับญาติพี่น้อง และไม่มีใครทราบว่าท่านได้บวชเป็นพระภิกษุตั้งแต่เมื่อใด แต่ญาติพี่น้องก็มิได้เป็นห่วงเนื่องจากเห็นว่าท่านได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและงดงามดีแล้ว รับรู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์ไปจำพรรษาตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดป่าบ้านไร่ย็อก อำเภอศรีธาตุ จังหวัดอุดรธานี และอีกหลายแห่งในจังหวัดนครพนม ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่ออกเดินทางจาริกแสวงบุญไปเรื่อยๆ ไม่อยู่อาศัยประจำที่ อันแสดงถึงความไม่ยึดติด ดังที่ท่านได้เคยเล่าให้บรรดาศิษยานุศิษย์ฟังดังนี้
    ปีพ.ศ. 2503 หลวงปู่ลีซึ่งมีอายุได้ 21 ปีได้ออกเดินธุดงค์ไปเรื่อยๆ จนได้มีโอกาสกราบศึกษาธรรมะจากหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีอายุประมาณ 59 ปีในขณะนั้น
    ปี พ.ศ. 2504 เมื่อหลวงปู่ลีเดินธุดงค์จนถึงอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีโยมถวายปัจจัย แต่หลวงปู่ลีไม่รับ เนื่องด้วยหลวงปู่มีปฏิปทาไม่จับเงินทอง โยมจึงถวายเป็นตั๋วรถไฟ หลวงปู่ลีจึงขึ้นรถไฟเดินทางไปถึงเพียงจังหวัดอุตรดิตถ์เท่านั้น หลังจากนั้นก็เดินธุดงค์ต่อไปจนถึงจังหวัดเชียงใหม่ และจำพรรษาที่ถ้ำปากเปียง ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับถ้ำผาปล่อง ในอำเภอเชียงดาว โดยในหนังสือบูรพาจารย์ได้บันทึกถึงความสำคัญของถ้ำปากเปียงเอาไว้ว่า
    “เมื่อท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้พักบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำเชียงดาวพอควรแล้ว ท่านได้จาริกผ่านมาบริเวณวัดถ้ำปากเปียง ต่อมาท่านได้ปรารภกับหลวงปู่แหวนว่า ถ้ำปากเปียงเป็นถ้ำที่เป็นมงคล มีพระอรหันต์มาดับขันธ์ที่นี้”
    หลวงปู่ลีได้จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงอยู่แต่เพียงรูปเดียว ท่ามกลางสภาพที่เป็นป่าเขา เงียบสงัดและเหมาะสมแก่การภาวนายิ่งนัก และท่านได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง ซึ่งเป็นพระป่ากรรมฐานสายบูรพาจารย์ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่แว่น ธนปาโล (วัดถ้ำพระสบาย อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง) ขณะที่หลวงปู่ลีมีอายุได้ 24 ปี หลวงปู่สิมมีอายุได้ประมาณ 59 ปี และหลวงปู่แว่นมีอายุได้ประมาณ 50 ปีเศษ
    หลวงปู่ลีมีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมและรับใช้หลวงปู่สิมอย่างอดทน ไม่เห็นแก่ความยากลำบากของการเดินทางสู่ถ้ำผาปล่องที่ต้องปีนป่ายเชิงเขา เมื่อฝนตกทำให้พื้นลื่น ก็ทำให้ไถลลงมา สองข้างทางก็เป็นป่าเขารกชัฏ ไม่ได้มีไฟฟ้าส่องสว่างหรือเป็นทางคอนกรีตสะดวกสบายอย่างเช่นทุกวันนี้
    หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำปากเปียงและศึกษาพระธรรมจากหลวงปู่สิมและหลวงปู่แว่นได้ 1 ปี โดยหลวงปู่สิมได้กล่าวแก่หลวงปู่ลีอันมีนัยยะเป็นปริศนาธรรมเอาไว้ในคราวที่หลวงปู่ลีสรงน้ำถวายหลวงปู่สิมว่า “คุณลี ภาวนาดีๆ ปฏิบัติตัวให้เหมือนพระพุทธรูป”
    ปี พ.ศ. 2505 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอหนองบัวโคก จังหวัดชัยภูมิ
    ปี พ.ศ. 2506 ปฏิบัติธรรมที่อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
    ปี พ.ศ. 2507 ปฏิบัติธรรมที่เขาช่องลม จังหวัดลพบุรี
    ระยะเวลาหลังจากนี้ไม่มีใครทราบว่าหลวงปู่ลีได้ออกเดินธุดงค์ไปยังสถานที่ใดบ้าง เนื่องจากปกติแล้วหลวงปู่ลีไม่ค่อยได้อธิบายประวัติส่วนตัวมากนัก ด้วยอุปนิสัยที่ไม่ชอบพูดจาโอ้อวดนั่นเอง
    ปี พ.ศ. 2511-2512 หลวงปู่ลีได้เดินทางไปหาพระพี่ชาย (พ่อใหญ่วิธาน) ซึ่งได้บวชเป็นพระสงฆ์อยู่ในขณะนั้นที่วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องขอญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย ซึ่งพระพี่ชายได้แนะนำไปว่าให้ไปญัตติเป็นธรรมยุติกนิกายที่วัดสุรพิมพาราม ตำบลตูมใต้ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี เนื่องจากมีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายโยมแม่ซึ่งได้แก่คุณน้าอาจารย์โฮม เป็นผู้อุปถัมภ์วัดอยู่ รวมทั้งมีพระอุปัชฌาอาจารย์ที่เคร่งครัด เคารพพระธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ดังนั้นในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2512 เมื่อหลวงปู่ลีมีอายุได้ 32 ปีเศษ จึงได้ขอญัตติจตุตถกรรมใหม่เป็นพระสงฆ์ในธรรมยุตินิกายที่วัดสุรพิมพาราม โดยมีพระครูสารเมธากร (ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณประสาทสารคุณ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสมุห์ชนเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูคุณสารวิจิตรเป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า “ตาณํกโร” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ต่อสู้เอาชนะซึ่งกิเลส นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อใหญ่วิธานได้ให้ข้อมูลอีกว่า ภายหลังจากที่ท่านได้ลาสิกขามาใช้ชีวิตเป็นฆราวาสในทางโลก มีครอบครัว ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงแล้ว ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ลี แล้วก็ได้รับคำตักเตือนให้สติจากหลวงปู่ลีว่า “พี่กำลังหลงระเริงไปตามวิถีโลก” คำเตือนนี้พ่อใหญ่วิธานได้จดจำไม่รู้ลืมมาจนถึงทุกวันนี้
    ปี พ.ศ. 2516 ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดหนองคาย ซึ่งในขณะนั้นถือเป็นพื้นที่สีแดง ในช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังปราบปรามผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์
    ปี พ.ศ. 2520- พ.ศ. 2524 ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย และได้ปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆในละแวกใกล้เคียงวัดหินหมากเป้ง เช่น ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท วัดลุมพินี เป็นต้น โดยเมื่อถึงวันลงอุโบสถ ท่านก็จะมาลงอุโบสถที่วัดหินหมากเป้ง โดยมีเพียงแคร่ไม้ กระท่อมพอกันแดด กันฝน ไม่มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ใช้น้ำฝน หากอยู่ในป่าช้าก็ใช้น้ำที่ขังตามหลุมบ่อในป่าช้านั้นเอง แตกต่างจากกุฏิที่พักอาศัยในทุกวันนี้ที่เหมือนพระเศรษฐี ดังที่หลวงปู่ลีมักกล่าวแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเสมอ
    ปี พ.ศ. 2523 ปฏิบัติธรรมพักอาศัยที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ได้ฝันไปว่ามีไฟไหม้พระพุทธรูป เมื่อรุ่งเช้าญาติโยมที่มาทำบุญได้นำหนังสือพิมพ์มาถวาย จึงได้ทราบข่าวเรื่องพระสงฆ์สุปฏิปันโนสายบูรพาจารย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้แก่หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ หลวงปู่วัน อุตฺตโม หลวงปู่สิงห์ทอง ธมฺมวโร พระเถระและพระนวกะรวม 7 รูป ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกมรณภาพทั้งหมด ที่ตำบลคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งหลวงปู่ลีเคยได้มีโอกาสกราบหลวงปู่จวนมาแล้ว
    บางครั้งในระหว่างการธุดงค์จากภาคเหนือสู่ภาคอีสานนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล จนค่ำมืดแล้วไม่พบหมู่บ้าน ท่านจึงปักกลดพักแรมข้างทางซึ่งเป็นป่าทึบ พอรุ่งเช้าได้ยินเสียงไก่ขันจึงรู้ว่ามีหมู่บ้านอยู่ใกล้ๆ จึงได้ออกบิณฑบาต และถามถึงสถานที่แห่งนั้น จึงได้รู้ว่าท่านได้ปักกลดที่สี่แยกหนองบัวโคก อำเภอจตุรัส จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งต่อมาโยมก็ได้นิมนต์ให้หลวงปู่ลีจำพรรษาอยู่ที่นี่ด้วยความศรัทธา และหลวงปู่ก็รับนิมนต์ อันแสดงถึงคุณลักษณะของการเดินธุดงค์ที่ไม่ยึดติดในสถานที่ใดๆของหลวงปู่ลีนั่นเอง
    ปี พ.ศ. 2524 ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ สภ.อ.ลานสัก จังหวัดอุทัยธานี (ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ได้จัดซื้อที่ดินมา 1 แปลงเพื่อจัดสร้างวัด โดยได้ปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่เกี่ยวกับการที่จะกราบนิมนต์พระสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติดีงามมาจำพรรษา ในที่สุดก็ได้รับคำแนะนำให้นิมนต์หลวงปู่ลี ตาณํกโร และหลวงปู่ถวิล สุจิณฺโณ(วัดป่าศรีอุดมรัตนาราม ตำบลทมนางาม อำเภอโนนสะอาด จังหวัดอุดรธานี) มาจำพรรษา โดย ร.ต.อ. กัมปนาท ทองคำพันธ์ได้เดินทางไปนิมนต์ด้วยตนเอง แต่หลวงปู่ทั้งสองรับนิมนต์มาจำพรรษาได้ไม่นานนัก ก็แยกย้ายกันเดินธุดงค์ต่อไป โดยหลวงปู่ลีได้เดินธุดงค์มาปักกลดพักอาศัยที่ป่าหัวตลุก อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ในช่วงเวลาก่อนเข้าพรรษา 16 วัน
    สภาพป่าหัวตลุกในขณะนั้นเป็นพื้นที่แน่นขนัดไปด้วยป่ามะพร้าว แต่หลวงปู่ลีก็ตั้งจิตมั่นที่จะปักกลดปฏิบัติเจริญวิปัสสนากรรมฐานที่นี่ ณ บริเวณต้นมะม่วงใหญ่ (ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันในบริเวณด้านหลังกุฏิของหลวงปู่ลี) ซึ่งป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของนายเล็ก ชื่นสุขุม ต่อมาเมื่อญาติโยมชาวบ้านทราบข่าวว่ามีพระธุดงค์มาปักกลด จึงได้ร่วมกันปลูกสร้างกระท่อมมุงหลังคาแฝกให้หลวงปู่ลี
    ในช่วงแรกที่หลวงปู่ลีมาปักกลดที่ป่าหัวตลุก ได้มีพระผู้ปกครองเขตตำบลลาดยาว เดินทางมาตรวจสอบโดยสอบถามชาวบ้านว่าหลวงปู่ลีได้เรี่ยไรเงินทองจากชาวบ้านหรือไม่ มีการกระทำผิดกฏของสงฆ์ประการใดบ้างหรือไม่ เพราะในขณะนั้นสภาพสังคมเต็มไปด้วยผู้ไม่ประสงค์ดีต่อประเทศชาติแอบแฝงมาในรูปแบบต่างๆ เป็นความจำเป็นที่พระผู้ปกครองจะต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวด แต่คำตอบที่ได้รับจากชาวบ้านคือ หลวงปู่ลีดำรงตนเป็นพระสงฆ์ที่มีวัตรงดงามและน่าศรัทธา โดยหลวงปู่ลีได้เคยจดบันทึกถึงเหตุการณ์ในขณะนั้นเอาไว้ว่า
    “การมาสร้างวัดครั้งแรกก็มีปัญหามากมาย บางคนเขาก็ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ก็มี พวกญาติโยมเขาก็พูดไปตามกิเลสของเขานั้นเอง ญาติโยมเขาเห็นเราเป็นของแปลก เป็นคนแปลก เขาว่าพระอะไรไปอยู่ป่า พระต้องอยู่วัด ตอนแรกๆสถานที่อาตมาอยู่นี้เป็นป่า ญาติโยมปลูกกระท่อมให้อยู่ พอหลายปีไปญาติโยมเขาก็ค่อยรู้ไปเอง ครั้งแรกญาติโยมเขายังไม่รู้ ถ้าเขารู้เขาก็มีความภูมิใจที่เขาได้อุปัฏฐากเรา เขาว่าหลวงพ่อมาอยู่ทางนี้เป็นโชคดีของผม เป็นโชคดีของฉัน คนเราจะรู้ว่าคนร้ายคนดี ต้องอยู่ไปนานๆจึงรู้ ครั้งแรกก็ย่อมไม่รู้ คนเห็นกันครั้งแรกจะว่าดีเลยใช้ไม่ได้”
    ต่อมาหลวงปู่ลีได้ตั้งสำนักสงฆ์ป่าหัวตลุกขึ้นบนเนื้อที่เพียงประมาณ 2 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน ญาติโยม ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันทำบุญจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมจนมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 38 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา และอยู่ในระหว่างขั้นตอนขอจัดตั้งเป็นวัดจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
    ตอกย้ำความเป็นพระนักปฏิบัติที่มากด้วยบารมีและมุ่งมั่นเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
    พระอาจารย์อุทัย ฌานุตฺตโม (พระอาจารย์ติ๊ก) วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ได้เมตตาเล่าประวัติการปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่ลี ตาณํกโร เมื่อครั้งเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่โดยผ่านจังหวัดนครสวรรค์ ให้กับคณะศิษย์ได้ฟังเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ณ ภัตตาคารเล่งหงส์ว่า
    ประมาณปีพ.ศ.2520 หลวงปู่ลีได้ปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชีงใหม่ จังหวัดหนองคาย โดยได้ศึกษาปฏิบัติก่อนหน้าพระอาจารย์อุทัย ในช่วงที่อยู่ในวัดหินหมากเป้งนั้น มีหลายครั้งที่หลวงปู่ลีออกเดินจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วัดลุมพินี วังน้ำมอก วัดป่าราชนิโรธเทสรังสี ถ้ำฮ้าน ถ้ำพระบท ฯลฯ จนเมื่อหลวงปู่เทสก์จะรื้อศาลาไม้เพื่อก่อสร้างเป็นศาลาคอนกรีต หลวงปู่ลีก็ได้ไปกราบลาขออนุญาตหลวงปู่เทสก์ออกธุดงค์ไปยังป่าเขาต่างๆ หลวงปู่เทสก์ก็ได้อนุญาต ตั้งแต่นั้นมาพระอาจารย์อุทัยก็ไม่ได้เจอกับหลวงปู่ลีอีกเลย รู้แต่เพียงว่าหลวงปู่ลีเคยปฏิบัติธรรมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพลอำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ วัดเจติยาคีรีวิหาร อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย เป็นต้น
    พระอาจารย์อุทัยยังได้เล่าอีกว่า ปกติหลวงปู่ลีเป็นพระสงฆ์ที่พูดน้อย ไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องอะไร เยือกเย็น ไม่ชอบมีปากเสียงกับใคร ไปเร็ว มาเร็ว ไม่ยึดติด ชอบวิเวก มุ่งมั่นปฏิบัติละกิเลส ไม่สะสม มุ่งเน้นการพิจารณากายและจิต เพื่อความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เมื่อครั้งที่ร่วมปฏิบัติธรมกับหลวงปู่ลี เคยฉันข้าวลิงด้วยกัน กล่าวคือมีข้าวนิดเดียวเท่านั้น แล้วต้องนำน้ำเปล่าเทลงไปให้ผสมกับข้าวในบาตรให้ข้าวพองจะได้มีปริมาณมากขึ้น จะได้อิ่มท้องไม่เกิดทุกขเวทนาขณะปฏิบัติธรรม จากที่เคยอยู่ร่วมกันก็ต่างคนต่างอยู่ กุฏิใครกุฏิมัน ไม่มีการพูดคุยสุงสิงนินทาใคร ต่างมุ่งปฏิบัติรีบเร่งความเพียรแต่เพียงอย่างเดียว จากกันไปนานเกือบ 30 ปี มาพบกับหลวงปู่ลีอีกครั้งเมื่อคราวก่อนสร้างศาลาใหญ่ วัดป่าบ้านห้วยลาด อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อปีพ.ศ 2549 นี้เอง
    หลวงปู่เถื่อน กนฺตสีโล วัดพระธาตุหินเทิน อำเภอแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ได้เมตตาให้สัมภาษณ์แก่นายประทิน พรมชาติ เจ้าของอู่ศุภชัยรุ่งเรืองการช่าง อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ และนายวิสุทธิ สินเพ็ง รองปลัดเทศบาลนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น. ณ วัดพระธาตุหินเทิน ซึ่งได้เรียบเรียงจากการถอดเทปคำสัมภาษณ์ได้ดังนี้ว่า ท่านเคยนิมิตเห็นหลวงปู่ลีขณะกำลังปฏิบัติธรรม
    “ในปี พ.ศ. 2545 ซึ่งเป็นปีแรกที่อาตมามาอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้เจอท่านหรอก เพราะตัวเองประสบการณ์ก็ยังมีน้อยก็เลยมาปฏิบัติ ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ตอนอาตมาเดินจงกรม (ณ ป่าที่วัดพระธาตุหินเทิน) เห็นเป็นลำแสงพุ่งขึ้นมาจากในป่า มองเห็นด้วยตาเปล่า อาตมาก็ว่าเอ๊ะ! มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นนะ
    ปี พ.ศ. 2547 ก็เลยมานิมิตขึ้นมาอีกว่าไปเจอพระรูปร่างสูงขาว เห็นท่านเดินจงกรมอยู่รอบเขา อาตมาก็ไม่ได้ใส่ใจ ท่านก็เดินไปเดินมา พอเห็นเป็นพระท่านก็หายตัวไปในก้อนหินที่ในป่า ในนิมิตนะ คืออาตมาก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนหลวงปู่ลีท่านแสดงอยู่ หรือมาสอนอะไรก็ไม่รู้นะ ท่านก็เดินไปเดินมาแล้วหายเข้าไปนั่งสมาธิในก้อนหิน ท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านก็นั่งดู เราก็ดูท่าน ท่านก็เลยนอน ในนิมิตท่านเป็นอัมพาตนะ ท่านเป็นอัมพาตนี้ท่านก็ดูสดใสดี อาตมาก็คิดว่าท่านเป็นอัมพาตยังไงเดินจงกรม หายไปหายมาได้ อาตมาก็เลยเกิดศรัทธาก็เลยเข้าไปกราบแล้วนมัสการพูดคุยกับท่าน
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อเป็นอีหยัง”
    หลวงปู่ลี “ผมพิการ เป็นมานานแล้ว”
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อไม่มีคนดูแลแล้วหลวงพ่ออยู่ยังไง”
    หลวงปู่ลี “ผมก็อยู่ยังงี้ของผมก็อยู่อย่างสบายๆผมไม่ได้ยึดมั่นในสังขารผมก็ สบายดี”
    หลวงปู่เถื่อน “เวลากินอาหาร ฉันอาหารล่ะ ใครเอามาให้”
    หลวงปู่ลี “ก็ฉันเท่าที่มี บางทีก็ไม่ฉัน ผมก็อยู่อย่างงี้ของผม” (แล้วท่านก็พูดในเรื่อง ธรรมะว่าสังขารร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้)
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อปฏิบัติธรรมไปถึงไหนแล้วล่ะ”
    หลวงปู่ลี “ผมสามารถรู้นะ”
    หลวงปู่เถื่อน “รู้อะไรล่ะหลวงพ่อ”
    หลวงปู่ลี “รู้ว่าคนจะไปสวรรค์น่ะ”
    หลวงปู่เถื่อน “อ้าว รู้ได้อย่างไร”
    หลวงปู่ลี “คนที่จะไปสวรรค์น่ะต้องผ่านผม”
    หลวงปู่เถื่อน “งั้นผมจะรู้ได้ไงว่าที่ไปสวรรค์ต้องมาผ่านหลวงพ่อ”
    หลวงปู่ลี “มีอยู่ 2 คนในหมู่บ้านที่ท่านไปอยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์ จะได้ไปสวรรค์” (แล้วท่านก็ได้บอกชื่อคนที่จะได้ไปสวรรค์)
    หลวงปู่เถื่อน “หลวงพ่อรู้ได้ยังไง”
    หลวงปู่ลี “เขามาหาผม”
    ..........................................................................
    อาตมาได้ถามในนิมิตต่อว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าเป็นคนขอนแก่น ท่านมีรูปร่างสูงขาว เห็นท่านก็ยังไม่รู้หรอกว่าเป็นหลวงพ่อลี ก็เกิดนิมิตอันนี้แหละ ว่าเอ้อ! นิมิตเราต้องมีพระมาหาเรา ไม่รู้ว่าเป็นดวงจิตหลวงพ่อมาหาอาตมาบ่อยมาก มาครั้งแรกบอกว่ามาเที่ยวดูเห็นเธอ อาตมาก็ถามว่าหลวงพ่ออยู่วัดไหน ท่านก็ตอบว่าวัดหัวตลุกนั่นแหละ หลวงพ่อมาดูเธอนั้นแหละ มาดูวัดทุ่งหินเทิน....
    หลวงพ่อลีมาให้ธรรมะ เมื่ออาตมาได้เห็นท่านองค์จริงๆก็เห็นว่าร่างที่เห็นกับในนิมิตเหมือนกันกับท่าน จึงถามท่านว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่นหรือ ท่านก็บอกว่าหลวงพ่ออยู่ขอนแก่น ได้เห็นมหัศจรรย์ก็เห็นหลวงพ่อลีนี่แหละมาปรากฏให้เห็นในนิมิตก่อน
    อาตมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อลีเมื่อปี พ.ศ.2547 ตอนนั้นยังอยู่กุฏิเก่า โดยโยมพาไป ไปเจอท่านท่านก็ไม่ค่อยพูด ไปนั่งรออยู่ 1-2 ชั่วโมงกว่าท่านจะออกมาจากกุฏิ อาตมาก็กราบท่าน ก็เป็นองค์เดียวกับในนิมิตเลย แล้วก็บอกว่าจะมาปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อ และเล่านิมิตให้หลวงพ่อฟังอย่างที่เล่ามานี่แหละ ถ้าอาตมาไม่นิมิตก็ไม่รู้ ตั้งแต่มาก็ไม่ได้นิมิตถึงใครเลย ได้กราบหลวงพ่อลีคนเดียวนี่แหละ หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ บอกว่าไม่มีใครมาพูดอย่างอาตมา แล้วบอกว่าอาตมาพูดถูกแล้ว ไม่ได้สอนอะไรมาก

    fb_img_1708698905843-jpg-jpg.jpg
    อาตมาได้นิมิตถึงหลวงพ่อลีก็ป็นสิ่งดี เพราะอาตมาก็ห่างจากครูบาอาจารย์มานาน สิ่งที่เห็นในนิมิตทำให้เห็นถึงสัจธรรม หลวงพ่อลีได้แสดงให้เห็นว่าเดินจงกรม นั่งสมาธิ เห็นตอนแรกก็ไม่ศรัทธา เพราะคิดว่าเป็นพระธรรมดา พอท่านแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติก็รู้สึกศรัทธาท่าน เชื่อมั่นว่าพระองค์นี้ต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงเข้าไปกราบแล้วถามท่านถึงร่างกายว่าเป็นอะไร ท่านตอบว่ามันเป็นสภาพของสังขาร เราไม่มีอำนาจเหนือมัน ท่านพูดในนิมิตอย่างนี้”

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    พระสมเด็จอุดกริ่งหลวงปู่ลี ปี๒๕๔๔ และ พระสมเด็จหลังลป.ลี ๒องค์ วัตถุมงคลยุคต้นของหลวงปู่ให้บูชา๒องค์ 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240322_125209.jpg
    img_20240322_125230-jpg.jpg

    img_20240322_215915-jpg.jpg img_20240322_215851-jpg.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2024
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    เหรียญมหาปราบหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง หลวงพ่อรวยวัดตะโกปลุกเสกเดี่ยว
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240322_231637.jpg IMG_20240322_231715.jpg IMG_20240322_231550.jpg
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1711151219631.jpg 1711151234830.jpg
    หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง มรณภาพ
    ลงเมื่อวันที่ 16 ก.พ.36 มีอายุได้ 97ปีเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคเหนือ เป็น
    พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านถือปฏิบัติพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด หลวงปู่หล้า
    ท่านได้รับสมญานามจากญาติโยมว่า หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ เชื่อว่าท่านมีญาณ
    วิเศษที่สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ข้างหน้าได้
    หลวงปู่หล้า (พระครูจันทสมานคุณ) ท่านเกิดในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ
    พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 หลวงปู่หล้าเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีขึ้น 7 ค่ำเดือน
    11 ตรงกับวันที่ 22 กันยายน 2441 ที่บ้านปง ตำบลออนใต้อำเภอสันกำแพง
    จังหวัดเชียงใหม่ โยมพ่อชื่อ นายเงินโยมแม่ชื่อนางแก้ว นามสกุล บุญมาคำ

    เมื่อหลวงปู่หล้าอายุได้ 8 ขวบ โยมแม่ก็นำไปฝากกับครูบาปินตาเจ้าอาวาสวัด
    ป่าตึงให้เป็นเด็กวัด หลวงปู่หล้า จึงได้มีโอกาสเรียนหนังสือเป็นครั้งแรกกับครูบา
    อินตา ซึ่งสมัยนั้นจะเรียนหนังสือพื้นเมืองจนอายุได้ 11 ขวบ ก็ได้บวชเป็นสาม
    เณรในช่วงเข้ารุกขมูล เข้ากรรมอยู่ในป่า
    หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง จังหวัดเชียงใหม่
    การเข้ากรรม หรืออยู่กรรม เรียกว่าประเพณีเข้าโสสานกรรม ซึ่งเป็นประเพณีที่สำคัญ
    อย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนาที่พระสงฆ์จะต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งมักจะ
    กระทำกันในบริเวณป่าช้าที่อยู่นอกวัดพระสงฆ์และผู้ที่เข้าบำเพ็ญโสสานกรรมจะต้อง
    ถือปฏิบัติเคร่งครัดเพื่อต้องการบรรเทากิเลสตัณหา
    จนกระทั่งอายุได้ 18ปีจึงเดินทางไปจำพรรษาอยู่ในเมืองเชียงใหม่เพื่อเรียนนัก
    ธรรมที่วัดเชตุพน หลวงปู่หล้าเรียนนักธรรมที่วัดเชตุพนเพียง 1 ปียังไม่ทันสำเร็จ
    ก็ต้องเดินทางกลับวัดป่าตึง เพื่อปรนนิบัติครูบาปินตาที่ชราภาพ หลวงปู่หล้าอยู่
    ปรนนิบัติครูบาปินตาจนกระทั่งล่วงเข้าปี พ.ศ.2467 ครูบาปินตาก็มรณภาพด้วย
    วัย 74 ปี ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่หล้า อายุ 27ปีเท่านั้น หลวงปู่หล้ารับตำแหน่งเจ้า
    อาวาสวัดป่าตึงต่อจากครูบาปินตา เมื่อปี พ.ศ. 2467 และได้รับการแต่งตั้งเป็น
    เจ้าคณะตำบลออนใต้ เมื่อปี พ.ศ. 2476 จนเมื่อปี 2504 หลวงปู่หล้าได้รับการ
    แต่งตั้งสมณศักดิ์เป็นพระครูจันทสมานคุณซึ่งขณะนั้นท่านอายุ 63 ปี
    หลวงปู่หล้า ตาทิพย์ วัดป่าตึง จังหวัดเชียงใหม่
    มีคนพากันยกย่องหลวงปู่หล้าว่า ท่านสามารถรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้มีเรื่อง
    เล่าว่าวันหนึ่งฝนตั้งเค้าจะตกหนักหลวงปู่หล้าู่บอกให้พระเณรรีบออกจากกุฏิ
    เพราะกุฏิเก่าและทรุดโทรมมากและมีต้นลานขนาดใหญ่อยู่ข้างกุฏิ ปรากฏว่า
    วันนั้นฝนตกหนักกิ่งต้นลานก็หักโค่นลงมาทับกุฏิพังพระเณรที่อยู่ในวัดทุกคน
    ปลอดภัยและพากันสรรเสริญว่าท่านมีตาทิพย์
    นอกจากนั้นพระพิชิต สมหิโต รองเจ้าอาวาสวัดป่าตึง (2554)เล่าให้ฟังว่า
    เช้าวันหนึ่งเวลาประมาณตี 5 หลวงปู่หล้าให้พระเณรรีบทำความสะอาดวิหาร
    เพราะจะมีแขกมาหาที่วัด พอถึงเวลา 6 โมงในหลวงทรงเสด็จมาที่วัดป่าตึง
    ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงพากันเรียกท่านว่าหลวงปู่หล้า ตาทิพย์
    FB_IMG_1711150852273.jpg
    เหรียญหลวงปู่ครูบาหล้า จันโทภาโส หรือหลวงปู่หล้าตาทิพย์ แห่ง วัดป่าตึง ปี2528มท.สร้างถวายหลังยันต์กันปืน หรือยันต์ข่ามสีนาท (ปืนยิงไม่ออกไม่ถูก) ท่านบริกรรมปลุกเสกเดี่ยว ด้วยอำนาจจิตของหลวงปู่ ท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญา มีทิพยจักษุมีเจโตปริยญาณ แก่กล้า ใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไรอย่างไรท่านรับรู้ได้ด้วยสมาธิทั้งหมด ครั้งหนึ่งมีตนนับถือศาสนาคริสต์ตามเพื่อนไปกราบเยี่ยมท่านที่วัด พอถึงตอนรับแจกวัตถุมงคล ท่านได้เอ่ยขึ้นเชิงหยอกล้อเล่นๆว่า"เฮาเป๋นคนคริสต์ ถือพระไหว้พระได้กา จะเอาไปยะใด" แต่ท่านก็เมตตาแจกให้ สร้างความแปลกประหลาดใจแก่คนผู้นั้นมากว่าท่านทราบได้อย่างไรเพราะมิได้เอ่ยบอกใครเลย หลวงปู่ท่านมีพุทธาคมแก่กล้ามาก เชี่ยวชาญการทำน้ำพระพุทธมนต์ธรณีสารหลวงมาก ใครไปกราบท่านก็อยากให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ เพราะน้ำมนต์ท่านศักดิ์สิทธิ์แก้ล้างขับอาถรรพ์ภูติผีปีศาจเสนียดจัญไรได้ดีเยี่ยมแม้ครูบาวัดปากกองสารภี หรือครูบาผีกลัวก็ยังให้ความเคารพท่านมากๆ ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ อีกทั้งหลวงปู่หล้าท่านยังเก่งเรื่องของเมตตามหานิยม จะเก็นได้ว่าพระคาถาที่ท่านมักใช้จารหรือลงในวัตถุมงคล นอกจากเป็นยันต์ทางคงกระพันแคล้วคลาดเช่นยันต์ปถมังสี่ด้าน หรือยันต์นาคคอคำ ที่ท่านใช้ลงตะกรุดแล้ว ท่านมักจะลงด้วยคาถามูตูตังแปด ดอกไม้เมืองสวรรค์ หัวใจ๋ปิติธรรมทั้งสี่ สิมป๊ะลีเรียกโชค พระจันทร์ขว้ำพระจันทร์หงาย อยู่เสมอๆเพราะท่านชำนาญทางพระคาถาเมตตามาก ของดีหลวงปู่ท่านมักแจกมากกว่าจำหน่าย พระของท่านแม้ราคาค่าบูชาไม่แพงนักแต่มีพุทธคุณสูง มีประสบการณ์มากมาย เป็นที่เคารพนับถือโดยทั่วครับ.......
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญ มท.สร้างถวายปี๒๘ นิยมในหมู่ลูกศิษย์มากประสพการณ์และเหรียญ๑๐๐ปี ไม่ทันท่าน ๒ เหรียญ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240322_232005.jpg IMG_20240322_232024.jpg IMG_20240322_232102.jpg IMG_20240322_232125.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มีนาคม 2024
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1h-jpg.jpg
    หลวงปู่เส่ง พระครูโศภณกัลยาณวัตร

    หลวงปู่เส่ง พระครูโศภณกัลยาณวัตร เส่ง โสภโณ หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร เกจิ พระเกจิหลวงพ่อเส่ง

    u7-jpg.jpg


    พระครูโศภณกัลยาณวัตร(เส่ง โสภโณ) วัดกัลยาณมิตร วรวิหาร หลวงปู่เส่ง เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. 2434 ที่บ้านย่านปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายเพี้ยน และนางแดง นามสกุล เปี๊ยนสู่ลาภ มีพี่น้องร่วมท้องเดียว กัน 3 คน โดยหลวงปู่เส่งท่านเป็นบุตรคนโต

    หลวงปู่เส่ง โสภโณ วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เจ้าพิธีตำรับน้ำมนต์บัวลอย

    วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชื่อดังแห่งฝั่งธนบุรี ไม่เพียงเลื่องลือระบือไกลด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของ "พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต" (ซำปอกง) ซึ่งมากด้วยอภินิหารเท่านั้น ทว่า อดีตเจ้าอาวาสของวัดแห่งนี้ ล้วนมากมีไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสายวิปัสสนากรรมฐาน และวิทยาคมที่สูงส่ง หนึ่งในนั้นก็คือ "พระสุนทรสมาจาร" (พรหม อินทโชติ) หรือ "เจ้าคุณพรหม" พระเกจิอาจารย์ที่เก่งทางวิชาอาคมขลัง เจ้าของพระปรกใบมะขามอันลือลั่นสนั่นกรุง

    91-jpg.jpg

    ท่านมีศิษย์เอกองค์สำคัญ ที่สร้างชื่อเสียงและความเจริญให้แก่วัดกัลยาณ์อย่างมากคือ "พระครูโศภณกัลยาณวัตร" หรือสมญานามที่บรรดาศิษย์กล่าวขานถึงด้วยความเคารพว่า "หลวงปู่เส่ง โสภโณ"

    แม้ท่านจะอยู่ในฐานะพระลูกวัด แต่มีผู้คนให้ความเคารพศรัทธามากมาย เนื่องจากต่างเชื่อมั่นในวิชาความรู้ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดจากเจ้าคุณพรหม อีกทั้งเลื่อมใสในความเป็นพระผู้มากด้วยเมตตาบารมีโดยแท้ ท่านมรณภาพไปเมื่อวันที่ ๑๔ ม.ค.๒๕๒๖ สิริอายุได้ ๙๒ ปี ๗ เดือน ๔ วัน นับพรรษาได้ ๗๒ พรรษา รวมเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในคุณงามความดีของท่านไม่เคยจางหายไปจากจิตใจของชาว บ้าน

    1h-jpg.jpg

    "หลวงปู่เส่ง" เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ มิ.ย. ๒๔๓๔ที่บ้านย่านปากคลองตลาด เขตพระนคร กรุงเทพฯ เป็นบุตรของนายเพี้ยน และนางแดง นามสกุล "เปี๊ยนสู่ลาภ" มีพี่น้องร่วมท้องเดียว กัน ๓ คน ท่านเป็นคนโต สมัยที่ยังเยาว์วัย วัดกัลยาณมิตรซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปากคลองตลาด มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งมีบารมีทางธรรมสูงและมีความเชี่ยวชาญทาง ด้านพระวิปัสสนาธุระ-วิทยาคมคือ "พระสุนทรสมาจาร" (พรหม) เมื่อครั้งยังเป็นพระครูพินิตวิหารการ

    กิตติคุณทางไสยศาสตร์ของ ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของมหาชนจำนวนมาก จึงต่างพากันมาขอของดีและฝากตัวเป็นศิษย์ มีทั้งระดับชาวบ้านธรรมดาและชาววัง อาทิ พระยาศิริชัยบุรินทร์, พระยาสิงหเสนีย์, พระยาสุรเทพศักดิ์, พระยามนตรีสุริยวงศ์ และขุนหลวงพระยาไกรสีห์ (เปล่ง เวภาระ) เป็นต้น

    โยมบิดามารดาของหลวง ปู่เส่ง ก็เป็นอีกครอบครัวหนึ่งที่พากันมาฝากตัวเป็นสานุศิษย์ในท่านเจ้าคุณพระสุนทร สมาจาร (พรหม) ทำให้ท่านได้ติดสอยห้อยตามเข้าวัดอยู่บ่อยครั้ง อาศัยที่ท่านมีใจฝักใฝ่ในทางธรรม-รักความสงบชอบความสันโดษ จึงเกิดความพอใจความสงบวิเวกภายในบริเวณวัด โดยมีคำบอกเล่าต่อๆ มาว่า ท่านมักจะหนีออกจากบ้านข้ามฟากมาวัดกัลยาณ์บ่อยๆ เพื่อหนีสภาพความสับสนวุ่นวายในย่านปากคลองตลาด

    บางครั้งก็แอบไป นั่งสมาธิทำความสงบในป่าช้าคนเดียว ซึ่งป่าช้านั้นติดอยู่กับด้านหลังของคณะ ๔ อันเป็นที่พำนักของท่านเจ้าคุณพระสุนทรสมาจาร (พรหม)

    ในขณะนั้น บิดามารดาเห็นว่าท่านไม่มีอุปนิสัยไปในทางค้าขาย ใฝ่ใจไปในทางธรรม จึงนำบุตรชายไปมอบถวายตัวเป็นสานุศิษย์ของเจ้าคุณพรหม

    กระทั่ง อายุ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเมื่ออายุ ๒๑ ปี ตรงกับปีพ.ศ. ๒๔๕๕ ณ วัดกัลยาณมิตร โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฤทธิ์ ธัมมสิริ) วัดอรุณราช วราราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมเทศา จารย์ (มุ้ย ธัมมปาโล) วัดราชโอรสาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสุนทรสมาจาร (พรหม) วัดกัลยาณมิตร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า "โสภโณ"

    สำหรับตำแหน่ง สมณศักดิ์ เดิมได้รับตำแหน่งเป็นพระฐานานุกรมในท่านเจ้าคุณพระสุนทรสมาจาร (พรหม) เป็นพระปลัด ปีพ.ศ.๒๔๙๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตร เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท (จปร.) ที่ "พระครูโศภณกัลยาณวัตร" และอยู่ในสมณศักดิ์เดิมตราบจนสิ้นอายุขัย

    st-jpg.jpg

    ตลอดระยะเวลาที่ดำรง ตำแหน่งพระปลัดนั้น หลวงปู่เส่งได้มีส่วนช่วยท่านเจ้าคุณพรหม ในด้านการพัฒนาต่างๆ เพราะพระอาจารย์ของท่านนอกจากจะเป็นพระเถระที่ทรงคุณธรรมในด้านพระวิปัสสนา ธุระและวิทยาคม ยังเป็นพระนักพัฒนารูปสำคัญอีกด้วย

    สิ่งที่ "ท่านเจ้าคุณพรหม" สร้างสรรค์ไว้และได้กลายมาเป็นอนุสรณ์อันสำคัญยิ่งก็คือ การที่จัดหล่อระฆังใบใหญ่เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๔ ซึ่งต่อมาปรากฏตามหลักฐานประวัติศาสตร์ของกรมศิลปากรได้จารึกไว้ว่า "เป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"

    ภายหลังจากที่ท่านเจ้าคุณพรหมมรณภาพปี พ.ศ.๒๔๗๖ "หลวงปู่เส่ง" ได้รับภาระการสร้างต่อจนเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๑ ม.ค.๒๔๗๘ ทำพิธีนำระฆังไปประดิษฐานและฉลองเมื่อวันที่ ๑ ก.พ. ๒๔๗๘ โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า เสด็จเป็นประธาน

    เนื่องจากท่านใช้เวลาส่วนมากในการช่วยงานพระอาจารย์พัฒนาวัด จึงไม่มีเวลาไปศึกษาทางด้านปริยัติธรรมอย่างจริงจัง ต้องอาศัยเวลาในยามว่างเล่าเรียนธรรมและวิทยาคมจากท่านเจ้าคุณพรหม แต่เป็นการเรียนเพื่อรู้ ไม่ได้เข้าสอบไล่ในสนามหลวงเอาใบประกาศวุฒิบัตร จึงเป็นไปในลักษณะเรียนรู้หลักธรรมเล่านั้น เพื่อที่จะได้นำมาปฏิบัติได้ถูกต้องตามขั้นตอนของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ปริยัติ-ปฏิบัติ-และปฏิเวธ

    ส่วนทางด้านวิปัสสนาธุระและวิทยาคมนั้น เข้าใจว่าท่านเจ้าคุณพรหมคงจะถ่ายทอดให้หมด เพราะท่านเป็นสานุศิษย์เพียงรูปเดียว ที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดตลอดมา แต่เนื่องด้วย อุปนิสัยที่สุขุมนุ่มนวลของท่าน ไม่ชอบโอ้อวด ไม่ค่อยแสดงออก จึงไม่เป็นที่เปิดเผยเท่าไรนัก

    ทั้งนี้ ปฏิปทาของหลวงปู่เส่งจะหนักไปในทาง "เมตตาธรรม" เป็นหลักใหญ่ ดังจะเห็นได้จากการที่ใครมีทุกข์เดือดร้อน เมื่อบากหน้ามาหา ท่านก็ไม่เคยปฏิเสธความช่วยเหลือกับใครเลย ถ้าขอเป็นเงินท่านก็ให้เป็นเงินสงเคราะห์ไป ถ้าขอเป็นสิ่งของท่านก็ให้เป็นสิ่งของ บางรายที่ได้ทราบว่าท่านคือศิษย์ก้นกุฏิของท่านเจ้าคุณพรหม ผู้เรืองวิทยาคม ก็จะพากันมาขอรับน้ำมนต์-น้ำพร ท่านก็ไม่เคยขัดศรัทธา ฉลองศรัทธาทำให้ทุกๆ รายไป

    นานวันเข้า คำร่ำลือในความศักดิ์สิทธิ์จากน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงปู่เส่งปลุกเสกก็แผ่ออกไปในวงกว้างมากขึ้นทุกที จึงมีมหาชนเป็นจำนวนมากแห่กันมาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็น ถึงยามวิกาล ทำให้ท่านเป็นพระเถระที่ทรงวิทยาคมขลังไปในทางปลุกเสก น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย ปล่อยเคราะห์ไปโดยเหตุดังที่กล่าวมา

    สาเหตุที่เรียก "น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย" ปล่อยเคราะห์ ก็เพราะว่าผู้ที่ต้องการน้ำมนต์-น้ำพรจากหลวงปู่เส่งจะต้องนำดอกบัวขาว ๓ดอกเทียนขาว ๑ เล่ม มาให้หลวงปู่เส่งท่านทำพิธีปลุกเสกให้ที่บาตรน้ำมนต์ แล้วท่านจะรด "น้ำพระพุทธมนต์บัวลอย" นั้นให้ เสร็จแล้วท่านก็จะให้ดอกบัวขาว ๒ ดอกนั้น แก่ผู้ที่นำมา นำดอกบัวขาวที่หักก้านออกแล้ว ๑ ดอกไปลอยลงในแม่พระคงคาเพื่อปล่อยเคราะห์เป็นอันเสร็จพิธี

    สำหรับวิทยาคมด้านอื่นๆ เนื่องจากท่านเป็นพระสมถะที่ไม่ค่อยแสดงออก จึงมักปรากฏผลและทราบก็แต่เฉพาะผู้ที่ท่านสงเคราะห์ไปให้เป็นรายๆ เท่านั้น นอกจากนี้ ท่านได้ใช้เวลาว่างทำผ้ายันต์แจกศิษย์ โดยเขียนลงบนผืนผ้าสี่เหลี่ยมจัตุรัสจารอักขระขอมและยันต์ต่างๆ ด้วยมือของท่านเองทุกๆ ผืน

    ส่วนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างแจกแก่บรรดาศิษย์ทั่วไปในวาระต่างๆ มีพระสมเด็จ ปางสมาธิเนื้อผง พิมพ์ทรงฐาน ๕ชั้น, พระหลวงพ่อโตปางมารวิชัย เนื้อดินเผา พระนาคปรกเมล็ดข้าวเม่าหรือใบมะขามเนื้อทอง แดง-ทองเหลือง, พระเกศทองคำปางสมาธิ เนื้อเมฆพัด พระพิมพ์ขุนแผนปางมารวิชัย เนื้อผง และผ้ายันต์รูปสี่เหลี่ยม กว้างและยาวด้านละ ๙ นิ้ว เหรียญรูปเหมือน มีรูปแบบและขนาดแตกต่างกันไป เช่น เหรียญรูปไข่ เนื้อทองแดง, เนื้อทองแดงชุบนิกเกิล, เหรียญรูปใบเสมาเนื้อทองแดง, เหรียญรูปอาร์มเนื้อทองแดง เงิน และทองคำ (ฉลองอายุ ๘๐ ปี) เหรียญรูปไข่ (เหรียญ ๒หน้า) เนื้อทองแดงรมดำ ลักษณะคล้ายเหรียญเจ้าคุณพรหม

    วัตถุมงคลของ "หลวงปู่เส่ง โสภโณ" วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ เล่าขานกันว่า ทรงคุณวิเศษทางเมตตามหานิยม ค้าขาย แคล้วคลาดจากสรรพภัยทั้งปวง และเป็นที่หวงแหน-เสาะหาในหมู่ลูกศิษย์อยู่เสมอ

    เครดิตอ้างอิงข้อมูล itti-patihan.com/

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่เส่งวัดกัลยา ๒ เหรียญให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    img_20240311_150521-jpg.jpg img_20240311_150548-jpg.jpg

    IMG_20240323_102044.jpg IMG_20240323_102106.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    get_auc1_img-12.jpg

    หลวงปู่คำมี เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง เวลาเที่ยงตรง ในสหราชอาณาจักรลาว เดิมชื่อคำมี พระวิเศษ มารดาชื่อนางน้อย พระวิเศษ มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ๙ คน หลวงปู่คำมีเป็นบุตรชายคนที่ ๕

    ลักษณะพิเศษของหลวงปู่คำมีที่แปลกไปจากบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปก็คือ ฝ่ามือทั้งสองข้างลวดลายของเส้นมือมีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะลวดลายคล้ายดอกพิกุลที่กลางฝ่าเท้าทั้งสองข้าง

    เมื่อสมัยที่ท่านยังเยาว์วัยมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรม เพื่อให้ได้ศึกษาและเจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้น หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตบรรพชาเป็นสามเณรจากโยมบิดาและโยมมารดาของท่าน ยังความปิติยินดีแก่โยมทั้งสองท่านเป็นอันมาก โยมบิดาท่านจึงพาหลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์บรรพชาเป็นสามเณรกับพระครูพล ที่วัดชุมพรพิสัย แขวงสุวรรณเขต เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี

    ในระหว่างที่หลวงปู่คำมีศึกษาปฏิบัติธรรมและวิชาต่างๆกับพระครูพลอยู่ที่วัดชุมพรพิสัยนั้น สิ่งที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษคืออักขระ คาถา ยันต์ต่างๆ และมีความเจริญก้าวหน้าในการร่ำเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อท่านศึกษาปฏิบัติจนแก่กล้าแล้ว ท่านจึงขออนุญาตพระครูพลออกธุดงค์เพื่อแสวงหาสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรม เป็นเวลา ๒ ปีที่ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆอยู่กับพระครูพล และในเวลาเดียวกันนั้นเองท่านก็ได้ยินกิติศัพท์คำร่ำลือเกี่ยวกับถึงคุณวิเศษและบารมีอันมหัศจรรย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ทำให้หลวงปู่มีความปรารถนาอยากไปร่ำเรียนวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนเป็นกำลัง

    เมื่อท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระครูพลจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านจึงขออนุญาตกับโยมทั้งสองของท่านและพระครูพล ท่านทั้งหลายเห็นความปรารถนาตั้งใจดีของหลวงปู่แล้วถึงแม้จะประหลาดใจกับสามเณรน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดศรัทธา หลวงปู่คำมีจึงกราบลาโยมทั้งสองและพระครูพลเพื่อธุดงค์แสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะศึกษาต่อไป จุดมุ่งหมายคือ นครจำปาศักดิ์ ที่พำนักของสมเด็จลุน
    พบสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์

    เมื่อท่านจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาแล้ว การธุดงค์ในป่าประเทศลาวเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพียงลำพังคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งกระแสข่าวการพำนักของสมเด็จลุนนั้นก็ไม่ได้มีความแน่นอน วันนั้นได้ทราบว่าท่านจะไปโปรดญาติโยมที่เมืองอื่นในประเทศลาว วันนี้ได้รับทราบว่าท่านจะไปฝั่งไทย ยังความสับสนต่อท่านเป็นอันมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านอดทนบุกป่าฝ่าดงต่อไปก็คือ ท่านต้องไปเรียนวิชากับสมเด็จลุนให้ได้

    หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่าการติดตามหาสมเด็จลุนในสมัยนั้นยากมาก ข่าวคราวของสมเด็จฯนั้นมากมายไปด้วยบารมีอิทธิปาฏิหาริย์ บางข่าวลือว่ากันว่าท่านเดินข้ามลำน้ำโขงมาได้อย่างสบาย บางข่าวว่าท่านถูกทหารฝรั่งเศสจับกุมโทษฐานระดมผู้คนเพื่อทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรท่านไม่ได้ เนื่องจากศรัทธาของญาติโยมที่หลั่งไหล มากราบไหว้ชื่นชมบารมีของสมเด็จนั้นมากมายเหลือเกิน อันเกิดจากบารมีธรรมของท่านล้วนๆ หาได้มีการปลุกระดม โฆษณาแต่อย่างใดไม่ สุดท้ายแม้แต่เหล่าบรรดาทหารฝรั่งเศสเองก็ให้ความเคารพนับถือสยบต่อท่าน

    สุดท้ายหลวงปู่ทราบข่าวว่าสมเด็จลุนท่านเสด็จมาโปรดญาติโยมที่นครจำปาศักดิ์ คราวนี้ท่านตั้งใจว่าจะเป็นตายอย่างไรท่านต้องไปกราบสมเด็จลุนให้จงได้

    หลวงปู่คำมีท่านเล่าว่าท่านยังแปลกใจตัวเองว่าท่านดั้นด้นมาถึงสมเด็จลุนได้อย่างไร ส่วนสมเด็จลุนนั้นมองสามเณรน้อยที่บุกป่าฝ่าดงมาหมอบกราบอยู่ต่อหน้าท่านด้วยความชื่นชม
    คำถามแรกที่ท่านถามสามเณรน้อย “สามเณรน้อย มาหาข้าด้วยเรื่องอันใดและมาจากไหน”
    หลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่า “ท่านมาจากแขวงสุวรรณเขต ทราบว่าท่านเก่ง อยากจะมาเรียนวิชาจากท่าน”
    สมเด็จลุนท่านยิ่งหัวเราะชอบใจ ในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ที่สามารถมาหาท่านจากแขวงสุวรรณเขตโดยลำพัง “รู้ได้อย่างไร ว่าข้าเก่งและข้าดีอย่างไร”
    สามเณรน้อยตอบไปว่า “ข้าน้อยไม่ทราบว่าสมเด็จเก่งอย่างไร แต่ข้าน้อยมีความตั้งใจอยากมากราบสมเด็จให้ได้และขอเป็นศิษย์ของสมเด็จ”
    คำตอบของสามเณรน้อยเป็นที่ชอบใจของสมเด็จลุนเป็นอย่างยิ่งจึงรับตัวไว้เป็นศิษย์ สามเณรคำมีอยู่รับใช้และศึกษาวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านเห็นว่าสามเณรคำมีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆจากท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงให้สามเณรคำมีกลับไปเผยแพร่ธรรมและโปรดโยมบิดามารดาของท่านที่สุวรรณเขต โดยท่านฝากสามเณรคำมีไปกับกองคาราวานชาวไทยใหญ่ หลวงปู่จึงได้กราบลาสมเด็จลุนมาด้วยความอาลัย

    ศึกษาวิชากับหลวงปู่ศรีทัต

    เมื่อหลวงปู่กลับมากราบพระครูพล อาจารย์องค์แรกของท่านและโปรดญาติโยมที่วัดชุมพรพิสัยได้ระยะหนึ่ง ท่านได้เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปไหว้พระธาตุพนมที่ฝั่งไทย จึงลาพระครูพลเพื่อเดินทางมาทางฝั่งไทย พอข้ามฝั่งโขงเหยียบถึงแผ่นดินไทย เกิดได้ทราบข่าวบารมีความเก่งกล้าของพระครูศรีทัต แห่งอำเภอท่าอุเทน เมื่อนมัสการพระธาตุพนมเสร็จท่านจึงยังไม่กลับไปสุวรรณเขต แต่มุ่งหน้าสู่อำเภอท่าอุเทนเพื่อไปกราบนมัสการพระครูศรีทัตและขอฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อพระครูศรีทัตทราบความเป็นมาของหลวงปู่คำมีจึงรับสามเณรคำมีไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าได้อยู่รับใช้และศึกษาธรรมจากหลวงปู่ศรีทัต ที่เมืองไทยถึงสามพรรษา หลวงปู่ศรีทัตนั้นมีความเข้มงวดมากตั้งแต่เรื่องพระธรรมวินัย จนไปถึงการศึกษาวิชาต่างๆท่านมีความเคร่งครัดมาก จนเมื่อหลวงปู่คำมีอายุครบบวชท่านจึงลาหลวงพ่อศรีทัตกลับไปยังฝั่งลาวเพื่อทำการอุปสมบท

    พบพระอาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม

    ท่านได้กลับมายังแขวงสุวรรณเขตและได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดชุมพรพิสัย ท่านได้จำพรรษาโปรดโยมบิดามารดาที่วัดชุมพรพิสัยอยู่ ๒ พรรษา ด้วยความต้องการแสวงหาวิมุตติธรรมของท่านเป็นที่ตั้ง ท่านจึงลาโยมบิดามารดาของท่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ท่านไม่มีโอกาสได้กลับมาพบโยมของท่านอีกเลย ท่านกราบลาพระครูพลและโยมบิดามารดาของท่านแล้วออกธุดงค์มายังฝั่งไทยอีกครั้ง ธุดงค์ไปหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานของไทยหลายพรรษา จนกระทั่งเข้าสู่เมืองโคราช ท่านก็ได้ยินชื่อเสียงความเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัดของ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร วัดป่าสาลวัน พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายกองทัพธรรม ท่านจึงเดินทางไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ รับแนวทางปฏิบัติจากท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าหลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา

    เมื่อท่านได้ศึกษาปฏิธรรมกับหลวงปู่เสาร์จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่เสาร์เพื่อธุดงค์ต่อไป ท่านได้เดินธุดงค์มาถึงอำเภอพระพุทธบาท สระบุรีไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท และได้เดินธุดงค์มายังบ้านโปร่งสว่าง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านโปร่งสว่างและได้สร้างวัดและพระอุโบสถจนสำเร็จ จากนั้นท่านได้มาจำพรรษาที่บ้านประดู่ ได้มาสร้างวัดและพระอุโบสถ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ๑๖ พรรษา ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ท่านยังได้ทำการสร้างวัดและพัฒนาวัดต่างๆจนเจริญเป็นอย่างมาก เป็นที่ศรัทธาของญาติโยมในละแวกนั้น อันได้แก่ วัดหนองแก, วัดหนองจิกและวัดตาลเสี้ยน

    หลวงปู่คำมีท่านได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องทั้งหลายมันชักจะวุ่นวายไม่มีเวลาแสวงหาความสงบและปฏิบัติธรรม ท่านจึงจากญาติโยมทั้งหลายออกธุดงค์ต่อไปโดยมิได้ร่ำลา มุ่งมาทางจังหวัดลพบุรี ท่านได้เดินธุดงค์มาพบถ้ำเอาราวัณ ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การหลบหลีกจากความวุ่นวายทั้งหลาย ท่านจึงอาศัยเป็นที่พำนักในการเจริญธรรม

    แต่เพียงไม่นาน ญาติโยมก็ทราบข่าวจึงออกติดตามมาให้ท่านไปกลับไปที่วัดเพื่อเจริญศรัทธาให้แก่พวกเขาต่อไป พร้อมทั้งจะไปขอตำแหน่งพระครูให้ท่าน ท่านจึงแสดงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า การที่ท่านหนีออกมาก็เพราะลาภ ยศ และสักการะทั้งหลาย ท่านว่าเป็นความมัวเมา ความวุ่นวาย ท่านขอจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเอราวัณต่อไป ญาติโยมทั้งหลายจึงต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง

    ต่อมาชาวบ้านดงจำปาได้มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปโปรดญาติโยมและช่วยสร้างวัดที่นั่น หลวงปู่ได้ไปช่วยสร้างวัดและพระอุโบสถจนเป็นที่สำเร็จ หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดงจำปาระยะหนึ่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหม่จำปาทอง) ท่านจึงกลับไปพำนักที่ถ้ำเอราวัณอีกครั้ง ท่านอยู่จำพรรษาที่ถ้ำเอราวัณ ๓ พรรษา ในช่วงนั้นได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นบุกขึ้นประเทศไทย ท่านย้ายจากถ้ำเอราวัณมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ต่อมาไม่นานสงครามก่อตัวขึ้นเป็นสงครามอินโดจีน ท่านได้ทำเครื่องรางแจกทหารหาญที่ไปรบ ทหารทุกคนที่ได้รับเครื่องรางของขลังจากท่านไปและนำติดตัวไปสงครามคราวนั้น ปรากฏว่าปลอดภัยกันทั่วหน้า ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆเลย

    อีกทั้งในสงครามในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ก็ปรากฏเฉกเช่นเดียวกัน ทหารทุกคนที่ไปสงครามคราวนั้นและมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวไปด้วยสามารถกลับมาโดยปลอดภัยทุกคน จ่าบัติผู้บันทึกเรื่องราวยืนยันโดยหนักแน่น ปัจจุบันจ่าบัติอายุ ๖๐ กว่าปี แขวนวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวตลอดและให้ความเชื่อมั่นมากกล่าวถึงหลวงปู่คำมีด้วยเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
    FB_IMG_1711173589532.jpg
    ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่

    ร่างไม่เปียกฝน
    ขณะที่หลวงปู่ปักกลดเจริญภาวนาอยู่ที่ป่าบ้านหนองปลาดุก(จากบันทึกไม่ทราบว่าเป็นจังหวัดใด) ครั้งนั้นมีหลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงษ์ ร่วมธุดงค์ไปด้วย เกิดพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลบ่ามาทางท่านและพระภิกษุทั้งสอง หลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงส์ได้หนีน้ำป่าละจากกลดที่ท่านพักอยู่เดินมายังกลดหลวงปู่คำมี ท่านทั้งสองได้พบกับความแปลกใจ น้ำป่ามิได้ไหลเข้ามาบ่าท่วมทำลายกลดของหลวงปู่คำมีแต่อย่างใดไม่ อีกทั้งจีวรของหลวงปู่คำมีก็มิได้เปียกฝนอย่างเช่นพระภิกษุทั้งสอง

    ย่นระยะทาง
    คราวที่ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ใหม่ วัดดงจำปา ได้มานิมนต์ท่านไปฉันท์เพลที่บ้าน หลวงปู่สั่งให้ผู้นิมนต์เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เมื่อผู้นิมนต์กลับไปถึงบ้านถึงกับตกตลึงเมื่อเห็นหลวงปู่กำลังตักน้ำล้างเท้า สร้างความสงสัยให้แก่พวกเขายิ่งนัก ว่าท่านมาได้อย่างไรแซงพวกเขาขึ้นมาตอนไหน เพราะทางแถวนั้นเป็นป่าทั้งหมดมีทางเดินเพียงทางเดียว

    เสกปูนให้จืด
    ทุกครั้งที่ก่อนจะเข้าพิธีหลวงปู่จะขอปูนแดงที่กินกับหมาก ก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือมาทำการเสกให้จืดเสียก่อนเพื่อเป็นเคล็ดในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เคยมีผู้ทดลองชิมปูนแดงที่หลวงปู่เสกแล้วปรากฏว่าจืดสนิท

    หายตัวได้
    พระอาจารย์หวาน หลวงพี่จันทร์ พระทั้งสองซึ่งจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำมี ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์เล่าให้ฟังว่า ได้มีญาติโยมหลวงปู่และพระในวัดไปฉันท์เพลที่บ้านดงน้อย ทางไปบ้านดงน้อยนั้นต้องอาศัยเพียงการเดินเท้าไปเพราะทางเดินเป็นป่าและทุ่งนา ขากลับจากฉันท์เพลผ่านสระน้ำ อากาศวันนั้นร้อนมาก หลวงปู่ได้บอกกับพระทั้งสองว่า ท่านขอสรงน้ำสักครู่ขอให้ท่านทั้งสองรออยู่ก่อน ในขณะที่ท่านสรงน้ำนั้นปรากฏว่าพระทั้งสองรูปไม่สามารถมองเห็นหลวงปู่ จึงเที่ยวตามหาในบริเวณนั้น เป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบ พระทั้งสองรูปจึงปรึกษากันว่าหลวงปู่คงไปจากที่นั้นเสียแล้วจึงได้ชวนกันกลับวัด เมื่อพระทั้งสองรูปมาถึงที่วัดก็ถึงกับตกตลึงเมื่อพบหลวงปู่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลวงปู่บอกพระทั้งสองรูปว่าเห็นพระทั้งสองตามหาท่าน ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ไปไหน
    พระอาจารย์หวาน เป็นศิษย์สืบทอดวิชาท่านหนึ่งของหลวงปู่ ปัจจุบันมรณภาพแล้ว ส่วนหลวงพี่จันทร์ได้กลับไปจำพรรษาที่บ้านเกิดของท่านคือ วัดศรีพิมล ต.บ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น

    ขโมยของไม่ได้
    จ่าสำราญ (ขอสงวนนามสกุล) ท่านเป็นทหารปืนใหญ่อยู่ในจังหวัดลพบุรี เล่าให้ฟังตอนไปทำบุญที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ จ่าสำราญแกได้รับแจกเหรียญหลวงปู่คำมีมาเหรียญหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านได้วางเหรียญของหลวงปู่ไว้บนหลังโทรทัศน์และลืมสนิทเนื่องจากแกไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องเครื่องรางของขลังใดๆ เวลาต่อมาหลายวันหลังจากนั้น ได้มีขโมยได้งัดบ้านแกเข้าไปขโมยของภายในบ้าน ขโมยคนนั้นได้เข้าไปพยายามยกโทรทัศน์แต่ยกไม่ขึ้น โดยช่วยกันยกทั้งสองคนแต่ก็ยกไม่ขึ้น จ่าสำราญแกรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นขโมยทั้งสองกำลังพยายามยกโทรทัศน์กันเป็นสามารถแต่ยกไม่ขึ้น ทั้งที่ความจริงโทรทัศน์เครื่องนั้นไม่ได้หนักมากแต่อย่างใด ลำพังคนเดียวก็สามารถยกขึ้นได้ และเมื่อขโมยเห็นเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาจึงชักปืนยิงจ่าสำราญ โดยยิงเท่าไรก็ไม่ออก เสียงดัง แชะ แชะ อยู่อย่างนั้น จ่าสำราญได้สติจึงชาร์จเข้าไปหวังจะจัดการเจ้าขโมยสองคนนั้น ขโมยทั้งสองคนเห็นว่าจ่าสำราญยิงไม่ออกจึงขวัญหนีโกยแน่บโดยไม่ได้อะไรไปแม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าถามว่าจ่าแกมีอะไรดีปืนถึงยิงไม่ออก ก็ขอบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวแกนอกจากเสื้อผ้าแล้วไม่มีอะไรเลย นอกจากเหรียญหลวงปู่คำมีที่วางอยู่บนหลังโทรทัศน์ที่เจ้าขโมยสองคนนั้นพยายามยกอยู่เท่านั้น
    เชือกคาดเอว
    เรื่องนี้เกิดกับตัวจ่าวิทย์ บ้านอยู่ดงจำปา สังกัด ร.พัน ๖ จังหวัดลพบุรี จ่าวิทย์นับถือหลวงปู่คำมีเป็นอย่างมาก แกนำเชือกคาดที่หลวงปู่คำมีมอบให้กับมือใช้คาดเอวอยู่ตลอด ตัวจ่าวิทย์แกมีมอร์เตอร์ไซค์คู่ชีพอยู่คันหนึ่ง แกบิดไปทำงานทุกเช้า-เย็น วันหนึ่งแกบิดเจ้าพาหนะคู่ชีพไปทำงานตามปกติ ได้มีรถยนต์มาอัดก็อปปี้อย่างแรง ตัวจ่าวิทย์ ไม่มีส่วนใดของร่างกายบาดเจ็บแม้แต่น้อย ส่วนเจ้ามอเตอร์ไซค์คู่ชีพพังยับเยินใช้การไม่ได้อีกต่อไป เป็นปรากฏการณ์เนื้อแข็งกว่าเหล็กที่เกิดจากพระพุทธานุภาพและบารมีของหลวงปู่อย่างแท้จริง

    อีกเรื่องหนึ่งเกิดกับเจ้าคำหิง ท่านอยู่ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้ย้ายมาอยู่ประเทศไทยแถวปากช่อง ท่านได้มากราบนมัสการหลวงปู่คำมี หลวงปู่ท่านได้มอบเชือกคาดให้หนึ่งเส้น ท่านจ้าคำหิงได้ใช้ติดตัวตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งเจ้าคำหิงไปทำธุระที่โคราชพร้อมกับญาติๆ ขากลับมาจากโคราชยางรถเกิดระเบิดรถเสียหลักตกไปกลิ้งโค่โร่ในเหวข้างถนน ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องตายหมดทุกคนเนื่องจากพบกับเหตุการณ์นี้บ่อยๆในถนนเส้นนี้ ถ้าหากมีอุบัติเหตุในถนนสายนี้ แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าคนทั้งรถไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งรถมีเชือกคาดเอวหลวงปู่คำมีที่เจ้าคำหิงใช้ติดตัวอยู่เพียงเส้นเดียว


    เรื่องเชือกคาดของท่านอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้จ่าบัติประสบมาด้วยตนเอง โดยแกเล่าว่าเมื่อสมัยที่แกยังหนุ่มมีปลัดอำเภอเมืองลพบุรี (ขอสงวนนาม) ทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่ได้มาพาพวกของตนมาบูชาเชือกคาดของหลวงปู่มาลองยิง โดยแขวนไว้ที่ต้นมะพร้าวแล้วชักปืนออกมายิงเสียงดัง แชะ แชะ ไม่ยักดังโป้ง เมื่อหลวงปู่ทราบเรื่องจึงให้เด็กวัดไปบอกปลัดฯท่านนั้นว่า ขืนยิงต่อไปอีกหากเป็นอะไรไปจะไม่รับผิดชอบ ลูกน้องปลัดฯและปลัดท่านนั้นต้องมากราบขอขมาต่อหน้าหลวงปู่

    สีผึ้งยังยิงไม่ออก
    รายนี้ไม่เข้าใจอุปเท่ห์ของเครื่องรางหรืออย่างไรก็เหลือที่จะคาดเดา ท่านขอสงวนนาม อยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นำสีผึ้งสีปากของหลวงปู่ที่ท่านมอบไปให้ไว้บูชา มาทดลองยิงโดยใช้ปืนขนาด .๓๘ ยิงจนหมดโม่ ปรากฏว่ายิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว พอหันกระบอกปืนออกไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด
    แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วแต่บารมีแห่งความเมตตาของท่านยังอยู่
    สตรีท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม) สามีเธอเป็นข้าราชการทำงานอยู่ที่โรงงานผลิตอาวุธ (กสย.) จ.ลพบุรี ได้ไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลลพบุรี บุตรเกิดอาเท้าออกไม่กลับหัวลงและมีอาการช๊อค แพทย์ลงความเห็นว่าผู้หญิงคนนี้คงรอดยากจึงได้นำตัวส่งเข้าห้องไอ.ซี.ยู ผู้หญิงคนที่คลอดบุตรได้เล่าให้ฟังว่าในขณะที่กำลังชุลมุนกันอยู่นั้นได้เห็นภาพพระแก่ๆมาเป่าท้องให้ ตอนแรกหมอจะผ่าท้องเอาเด็กออกโดยไม่แน่ใจว่าเด็กจะรอดหรือแม่จะรอด เพราะดูในฟิล์มเอ็กซเรย์แล้วเด็กไม่ยอมกลับตัวจะเอาขาออก กลับคลอดออกมาปลอดภัยแบบปาฏิหาริย์เมื่อคนแม่ฟื้นขึ้นมา สร้างความประหลาดใจให้กับคณะแพทย์และพยาบาล เมื่อสตรีผู้นั้นได้กลับมาพักฟื้นได้ถามชาวบ้านละแวกนั้นว่ามีพระแก่ๆที่อายุมากๆที่มรณภาพไปแล้วบ้างไหม พร้อมทั้งได้ให้สามีช่วยสืบข่าวตามหา
    เผอิญได้เข้ามาในวัดกับสามีและได้มากราบศพท่าน เหลือบไปเห็นภาพหลวงปู่คำมี จึงได้บอกกับสามีว่านี่แหละหลวงปู่องค์นี้ไปเป่าท้องให้จึงคลอดบุตรออกมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งสองสามีจึงเคารพท่านมาก เนื่องจากไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน แต่ท่านได้มาช่วยครอบครัวนี้ให้พ้นจากภัยอันตราย

    หัวหน้าเกษตรกร ประจำอยู่ที่ อ.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี ได้ล่าให้ข้าพเจ้า(จ่าบัติ) ฟังพร้อมกับพระในวัด ว่าได้มีพระแก่ๆไปเข้าฝันบอกว่าให้มาเปลี่ยนผ้าจีวรให้ท่านหน่อยทั้งๆที่ท่านไม่เคยรู้จักและทราบว่าในวัดถ้ำคูหาสวรรค์จะมีพระภิกษุ มรณภาพนอนอยู่ในโลงแก้ว ในฝันนั้นท่านบอกว่าเห็นเห็นภาพโลงแก้ว ข้างๆโลงแก้งมีภาพของหลวงปู่อยู่ จึงได้พยายามสอบถามจากชาวบ้านละแวกนั้นว่าในแถบนี้มี หลวงปู่ หลวงพ่อที่มรณภาพแล้วไม่เน่าเปื่อยประดิษฐานอยู่ในโลงแก้วบ้างหรือไม่ จึงได้ความว่าเป็นหลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เมื่อเป็นที่กระจ่างแล้ว ท่านจึงรีบเดินทางมาที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เมื่อมาอยู่หน้าโลงแก้วของหลวงปู่ก็จำได้ว่าเป็นสถานที่เดียวกันกับนิมิตที่พบในฝัน จึงกลับเข้าไปในตัวเมืองซื้อผ้าไตร จีวรมาถวายหลวงปู่โดยทันที เมื่อกลับไปแล้วก่อนวันหวยออกท่านก็ได้ซื้อล็อตเตอรี่เหมือนเช่นเดิมที่ท่านเคยปฏิบัติมา ปรากฏว่าท่านเกษตรกรผู้นั้นถูกรางวัลที่สอง ซึ่งแต่ก่อนหน้านั้นมาท่านซื้อล็อตเตอรี่มาตลอดแต่ไม่เคยถูกเลย ท่านจึงให้ความคารพนับถือต่หลวงปู่คำมีเป็นอย่างมาก

    คุณสายสุนีย์ บ้านอยู่แถวบางซื่อ ได้เช่าพระเครื่องรุ่นฉลองอายุ ๙๖ ปี ของหลวงปู่คำมี แล้วได้นำมากราบไหว้บูชาทุกคืน อยู่มาวันหนึ่งหลวงปู่คำมีได้มาเข้าฝันคุณสายสุนีย์ให้ซื้อเลขท้าย ๒ ตัวของงวดที่จะออกในวันรุ่งขึ้น คุณสายสุนีย์ได้หาซื้อล็อตตอรี่เลขที่หลวงปู่บอกในฝันมาได้ ๔ ใบ ปรากฏว่าเมื่อหวยออกคุณสายสุนีย์ได้ถูกรางวัลเลขท้ายตรงตามที่หลวงปู่ได้มาเข้าฝันบอกไว้ จึงเพิ่มความศรัทธาให้กับคุณสายสุนีย์และได้ทำการบูชาเรื่อยมา และคุณสายสุนีย์ได้ถูกล็อตเตอรี่ต่อมาติดต่อกันอีกถึง ๙ งวด

    คุณกัลยารัตน์ เกษราพงษ์ บ้านลขที่ ๘๗/๔ ตรอกโพธิ์สามต้น กรุงเทพฯ ได้เล่าให้ฟังตอนไปร่วมทำบุญที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ได้พระสมเด็จนางพญาของหลวงปู่มาหนึ่งองค์ เธอได้อธิษฐานขอให้มีโชคในการอธิษฐานขอให้มีโชคลาภ ปรากฏว่าคืนนั้นหลวงปู่มาเข้าฝันบอกให้ไปซื้อเลขท้ายสามตัว ปรากฏว่าว่าธอถูกรางวัลสามตัวตรงๆตามเลขที่หลวงปู่มาบอก ซึ่งตั้งแต่ซื้อล็อตเตอรี่มาเธอไม่เคยถูกเลยและหลวงปู่ได้มาเข้าฝันบอกถูกอีกแปดงวดซ้อน
    ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ยังมีอีกมากมาย แต่ขอกล่าวแต่เพียงเท่านี้เพื่อเป็นการเจริญศรัทธา อีกทั้งเรื่องเหล่านี้นับเป็นเรื่องปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ไม่ทราบด้วยตนเองอาจปรามาสหลวงปู่ได้

    หลวงปู่ท่านได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตของท่านด้วยระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่บรรพชาเป็นสามเณรจวบจนมรณภาพที่ โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ รวมอายุท่านได้ ๑๐๘ ปี ๘๐กว่าพรรษา
    บรรดาศิษยานุศิษย์ได้เคลื่อนย้ายสังขารของท่านมาไว้ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี ตามคำสั่งของท่านที่ว่าเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ห้ามนำร่างของท่านไปเผาหรือฝังเด็ดขาด และเกิดปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อบรรดาพุทธศาสนิกชนว่าสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    เหรียญกลมกะไหล่ทองพร้อมโบว์เดิมๆ หลวงปู่คำมี รุ่น ฝังลูกนิมิตเหรียญรุ่นนี้ มีเพื่อนๆสมาชิก ได้บอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ปาฎิหาริย์ ว่า เด็กคล้องแล้ว เคยถูกหมอฉีดยา "ไม่เข้า" ต้องบอกเล่าว่าต้องการฉีดยาเพื่อรักษาเด็ก จึงฉีดยาได้ตามปกติ...อีกท่านหนึ่ง ก็ได้เคยบอกเล่าให้ฟังว่า ปีที่น้ำท่วมใหญ่ ปีนั้น น้ำท่วมบ้าน ไปไหนไม่ได้จับเจ่ากันอยู่บนบ้าน ลูกชายคนเล็ก อายุประมาณ 8 ขวบ พลัดตกน้ำไปตอนเขาเผลอ นานหลายนาที กว่าเขาจะลงไปช่วย ขึ้นมา ที่น่าแปลกคือ น้ำลึกระดับท่วมหัวผู้ใหญ่ ลูกชายเขาว่ายน้ำไม่เป็น ลอยตัวอยู่ได้ตั้งนาน ในคอก็คล้องเหรียญรุ่นนี้ เหรียญเดียว...
    ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ อุโบสถของวัดถ้ำคูหาสวรรค์จัดสร้างใกล้แล้วเสร็จ กรรมการวัดจึงขออนุญาติหลวงปู่จัดงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต พร้อมทั้งได้จัดสร้างวัตถุมงคลเพื่อแจกเป็นของขวัญให้กับผู้มีส่วนร่วมในการสร้างอุโบสถ วัตถุมงคลรุ่นนี้มีด้วยกันหลายแบบ หลายพิมพ์...การปลุกเสกวัตถุมงคลรุ่นนี้ จัดเป็นพิธีพุทธาภิเษกพิธีใหญ่ ในปี พ.ศ.๒๕๒๐ โดยได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์
    มาร่วมปลุกเสกในพิธี.ดังนี้...
    ๑.เจ้าคุณอินทรสมาจารย์ ( เงิน ) วัดอินทรวิหาร กทม. ( จุดเทียนชัย )
    ๒.หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จ.ลพบุรี ( ดับเทียนชัย )
    ๓.หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู จ.ลพบุรี
    ๔.หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี
    ๕.หลวงพ่อแอ วัดห้วยประดู่ จ.สระบุรี
    ๖.หลวงพ่อดำ วัดเสาธงทอง จ.ลพบุรี
    ๗.หลวงพ่อเจ้ย วัดห้วยมักกะทัน จ.สิงห์บุรี
    ๘.หลวงพ่อสำลี วัดซับบอน จ.สระบุรี
    ๙.หลวงพ่อสุต วัดปฐมพานิชย์ จ.ลพบุรี
    นับเป็นวัตถุมงคลของหลวงปู่อีกรุ่นหนึ่งที่น่าเก็บสะสม...
    มีเรื่องเล่าจากปาก คุณลุงแป๊ะอ๊ะ ที่อยู่หน้าวัด ท่านได้รับมอบหมายให้ไปรับ หลวงพ่อสำลี วัดซับบอน ที่ จ.สระบุรี เพื่อมาร่วมพิธีพุทธาภิเษก งานนี้ด้วย แต่คุณลุงแป๊ะอ๊ะ ไปรับหลวงพ่อสำลี มาถึงก่อนเวลามากจึงนิมนต์ หลวงพ่อสำลี ไปพักผ่อนที่ บ้านของคุณลุงแป๊ะอ๊ะก่อน เพื่อฉันน้ำปานะและคิดว่า เมื่อใกล้เวลาพิธี ถึงจะเข้าไปวัด แต่เหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเข้ามาบริเวณบ้าน แม่บ้านและลูกๆ ไม่มีใครอยู่ เพราะเข้าไปช่วยงานในวัดกันหมด จึงล็อคประตูบ้านไว้ ลุงแป๊ะอ๊ะจึงพาหลวงพ่อสำลี เข้าไปนั่งพักผ่อนไม่ได้ สมัยก่อนยังไม่มีโทรศัพท์เหมือนสมัยนี้ คุณลุงแป๊ะอ๊ะจึงหันรีหันขวาง จะหาคนไปตามเอากุญแจกับภรรยา แต่หาใครไม่เจอเลย เพราะน่าจะ
    ไปวัดกันหมดแล้ว หลวงพ่อสำลี ท่านเหมือนจะรู้ ท่านเลย
    เดินลงจากรถตามมา คุณลุงจึงบอกว่า “หลวงพ่อ รอก่อน
    กระผมจะเข้าไปในวัดเอากุญแจมาไขประตูบ้านให้ก่อนครับ“ เมื่อหลวงพ่อสำลี ได้ยินดังนั้น
    ท่านก็บอกไม่ต้องไปหรอก แล้วไม่ได้พูดอะไร ท่านเดินไปจับ
    แม่กุญแจที่ล็อคบ้านไว้แล้วถอดออกยื่นส่งให้ คุณลุงแป๊ะอ๊ะ ยิ้มๆ แล้วท่านก็ถอยออกมาให้ ลุงแป๊ะอ๊ะ เข้าบ้านไปอย่าง งงๆ จนเมื่อเสร็จงานพุทธาภิเษกแล้ว ได้เจอกับภรรยาจึงได้ถามว่า “เมื่อกลางวันไปวัด ล็อคบ้านหรือเปล่า” ภรรยาตอบว่า “ล็อคสิ ถึงไป” ลุงแป๊ะอ๊ะ ถึงกับยกมือท่วมหัวแล้วพูดเบาๆ..”สาธุๆๆ”...

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญสวยสภาพเดิมๆให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    ในสายกลุ่มหลวงปู่้ช่าหาบูชากันสววๆสมบูรณ์แบบนี้8-900 ครับ
    (ปิดรายการ)

    IMG_20240322_231905.jpg

    IMG_20240322_231938.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2024
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้ จัดส่ง
    1711185914045.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1711194439941.jpg

    อย่ารอให้ทุกข์มาถึงตัว
    “บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อไม่มีทุกข์มาถึงตัวมักไม่เห็นคุณพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริตผิดศีลธรรมอยู่เป็นประจำนิสัย เห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งอื่นไม่มีนั่นแหละจึงได้คิดถึงพระ คิดถึงศาสนา แต่ก็เป็นเวลาที่สายไปแล้ว
    “ความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอให้เป็นที่อยู่ของจิต เป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรค คือทางดำเนินไปของจิต มันจึงจะเห็นผลของความดี ไม่ใช่เวลาใกล้จะตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอกพุทโธ หรือตายไปแล้วให้ไปรับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดทั้งหมด เหตุว่าคนเจ็บจิตมัวติดอยู่กับเวทนา ไฉนจะมาสนใจไยดีกับศีลได้ เว้นไว้แต่ผู้ที่รักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะระลึกได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้ว แต่ส่วนมากใกล้ตายแล้วจึงเตือนให้รักษาศีล ส่วนคนตายแล้วไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายจิตใจจะไม่รับรู้ใด ๆ แล้ว แต่ก็ดีไปอย่าง เหมือนพระเทวทัต ทำกรรมจนถูกแผ่นดินสูบ เมื่อลงไปถึงคางจึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้า ขอถวายคางเป็นพุทธบูชา พระเทวทัตยังมีสติระลึกถึงได้ จึงมีผลดีในภายภาคหน้า
    “แม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน (หลวงปู่หมายถึงเปรตในถ้ำเชียงดาว) ตายไปแล้วจึงมาขอส่วนบุญ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทำอันตรายแม้พระพุทธรูป แผ่เมตตาให้ไปได้รับหรือไม่ก็ไม่รู้ สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำของเรา ได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติอิ่มเอิบใจเท่านั้น”
    เหรียญ๘รอบอายุ๙๖ปี ปี๒๕๒๖ หลวงปู่แหวน ทองแดงชุบนิกเกิ้ลหรือกะไหล่เงิน ๒เหรียญ
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240323_183420.jpg IMG_20240323_183502.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    พิธีพุทธาภิเษกครั้งยิ่งใหญ่ของวัดไชโย ในงานสมโภช ๑๙๐ปีแห่งชาตะของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี) วันที่ ๒๔-๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ ตรงกับวันแรม ๑๐-๑๑ ค่ำเดือน๑๒โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตาญาณ สมเด็จพระสังฆราช(วาสนมหาเถระ) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ ทรงเป็นองค์ประธานจุดเทียนชัย และมีสมเด็จพระพุฒาจารย์(เสงี่ยม) วัดสุทัศน์เทพวราราม กรุงเทพฯ เป็นองค์ดับเทียนชัย
    รายนามพระคณาจารย์ เจริญพระพุทธมนต์ บริกรรมภาวนาและสวดพุทธาภิเษก ดังนี้
    ๑.หลวงปู่คำแสน วัดป่าดอนมูล เชียงใหม่
    ๒.หลวงปู่สุด วัดกาหลง สมุทรสงคราม
    ๓.หลวงปู่เปรื่อง วัดสุวรรณภูมิ สุพรรณบุรี
    ๔.พระราชมงคลมุนี วัดชัยมงคล อ่างทอง
    ๕.พระมหาพุทธพิมพาภิบาล วัดไชโย อ่างทอง
    ๖.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม.
    ๗.หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี
    ๘.หลวงพ่อน้อย วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์
    ๙.พระครูประสานนวกิจ วัดพระนอนจักร์สีห์ สิงห์บุรี
    ๑๐.หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ ชัยนาท
    ๑๑.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
    ๑๒.หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม นครปฐม
    ๑๓.ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน
    ๑๔.พระครูศรีรัตนาภิวัฒน์ วัดวิเศษชัยชาญ อ่างทอง
    ๑๕.พระครูอดุลสุดกิจ วัดโคกพุทธา อ่างทอง
    ๑๖.พระครูใบฎีกาเจริญ วัดอ่างทองวรวิหาร อ่างทอง
    ๑๗.หลวงพ่อสำเนียง วัดเวฬุวนาราม นครปฐม
    ๑๘.หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง ชลบุรี
    ๑๙.หลวงพ่อสด วัดหางน้ำสาคร ชัยนาท
    ๒๐.หลวงพ่อคูณ วัดสระแก้ว นครราชสีมา
    ๒๑.พระอธิการสน วัดไทร อ่างทอง
    ๒๒.หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว ฉะเชิงเทรา
    ๒๓.หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส จันทบุรี
    ๒๔.พระอาจารย์จำเนียร วัดละมุด อ่างทอง
    ๒๕.หลวงปู่วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงค์ธรรม สกลนคร
    ๒๖.หลวงปู่สิม พุทธจาโร วัดสันติสังฆารามพรรณานิคม สกลนคร
    ๒๗.หลวงปู่คำแหง จนฺทสาโร วัดป่าสุวรรณนิเทศทรงธรรม ร้อยเอ็ด
    ๒๘.หลวงปู่คำมี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ลพบุรี
    ๒๙.พระราชสุวรรณโมลี วัดต้นสน อ่างทอง
    ๓๐.พระราชสังวรญาณ(เจ้าคุณสนิท) วัดศีลขันธาราม อ่างทอง
    ๓๑.พระวิเศษชัยสิทธิ์ วัดอ่างทองวรวิหาร อ่างทอง
    ๓๒.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี
    ๓๓.หลวงปู่เส่ง วัดกัลยาณมิตร กทม.
    ๓๔.หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม สิงห์บุรี
    ๓๕.หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี
    ๓๖.พระครูสิริปัญญาธร วัดตูม อยุธยา
    ๓๗.หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะอง สมุทรสาคร
    ๓๘.พระครูวิบูลคุณาวัตร วัดน้อย อ่างทอง
    ๓๙.พระครูวิรัตนธรรมวัตร วัดรางฉนวน อ่างทอง
    ๔๐. พระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กทม.
    ๔๑.พระอาจารย์บัว วัดแสวงหา อ่างทอง
    ๔๒.หลวงพ่อชม วัดอินทราราม ชัยนาท
    ๔๓.หลวงพ่อบาง วัดหนองพลับ สระบุรี
    ๔๔.หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
    ๔๕.หลวงปู่พล วัดหนองคณฑี สระบุรี
    ๔๖.หลวงพ่อพุทธิ วัดวงศ์พาสน์ อ่างทอง
    ๔๗.หลวงพ่อสวน วัดบางกระดาน ตราด
    ๔๙.พระอาจารย์สมภพ วัดสาลีโข นนทบุรี
    ๕๐.หลวงปู่แว่น วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร
    ๕๑.หลวงปู่ธูป วัดสุนทรธรรมทาน กทม.
    มวลสารเนื้อกระเบื้องโบสถ์อายุนับร้อยปี โบสถ์เก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ .. ได้รับพลังพุทธมนต์นับครั้งไม่ถ้วน รวมพิธีใหญ่ๆอย่างสร้างเขื่อน ปี๒๔๙๕ พิธีทุกวันพระที่ลงปาฏิโมกข์ สวดมนต์ทำวัตร แค่นี้พุทธคุณก็สะสมอยู่ในตัวมวลสารแล้วครับ รวมทั้งพุทธคุณจากพระเกจิระดับประเทศในยุคนั้นหลายสิบท่าน...พระดีมีประวัติ เก่าแก่เกือบห้าสิบปี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จวัดเกศไชโยเนื้อกระเบื้องพิมพ์๗ชั้นหลังคาโบสถ์ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    img_20240321_231342-jpg.jpg img_20240321_231413-jpg.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    จัดส่งวันนี้
    1711270079110.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1711281751321.jpg

    เหรียญเจ้าสัวหลวงปู่เปลี้ยวัดชอนสารเดชลพบุรี ออกที่ จ.อ่างทอง วัตถุมงคล
    หลวงปู่มากประสพการณ์มีทั้งปืนแนก และ แทงไม่เข้า
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240324_185637.jpg IMG_20240324_185656.jpg
     
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1711287088422.jpg
    "อิทธิฤทธิ์ อำนาจแห่งจิต" หลวงพ่อบุญมี วัดบึงกระจับ เกจิผู้เปี่ยมไปด้วย กฤษดาอภินิหาร ต่างๆมากมายหลายต่อหลายเหตุการ หลวงพ่อท่านมีอำนาจจิตสูง สามารถเล่นฤทธิ์ หรือแสดงฤทธิ์ได้ มีผู้เห็นหรืออยู่ในเหตุการ หลายครั้งหลายคราว ดังที่ผมจะเล่าให้ทุกท่านฟังต่อไปนี้ เรื่องที่1. มีอยุ่ครั้งหนึ่ง ในงานพิธีพุทธาภิเศก หลวงพ่อท่านได้รับกิจนิมนต์ ให้ไปปลุกเศก วัตถุมงคล ของวัดแห่งหนึ่ง ในงานนั้น มีเกจิอาจารย์หลายท่าน ได้ถูกนิมนต์ มาปลุกเศกเหมือนกัน หลวงพ่อทุกๆท่าน รวมถึงหลวงพ่อบุญมี ก็ได้นั่งปรกประจำที่ ของแต่ล่ะท่าน ทุกองค์ก็ได้ปลุกเศกกันอย่างเต็มที่ ด้านหน้าของแต่ล่ะท่าน ก็จะมีบาตรน้ำมนต์อยู่ทุกองค์ ขณะที่กำลังปลุกเศกอยู่นั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการได้เล่าว่า บาตรน้ำมนต์ ของหลวงพ่อบุญมีนั้น ได้มีน้ำมนต์ล้น ออกมาจากบาตรอยู่ตลอดเวลา ซึ้งคนที่อยู่ในเหตุการ ต่างรู้สึกตกใจ และอัศจรรย์เป็นที่ฮือฮา เป็นอย่างมาก เหตุการนี้จึงสามารถบอกได้ว่า หลวงพ่อบุญมีท่านมีพลัง และอำนาจจิตสูงจริงๆ จึงทำให้เกิดเหตุการนี้ขึ้น ท่านต้องไม่ธรรมดาแน่ครับ ผ่านไปสำหรับเรื่องแรก เรื่องที่ 2.เหตุการนี้เกิดขึ้นที่สระโบสถ์ คุณน้าท่านหนึ่ง เป็นคนบ้านบึงกระจับ (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)ได้เล่าว่าวันนั้น หลวงพ่อท่านได้นั่งสมาธิอยู่ในกุฎิของท่าน คุณน้าท่านนี้ก็มีธุระ จะเข้าไปหาหลวงพ่อ แต่ท่านก็ได้เห็นหลวงพ่อนั่งสมาธิอยุ่ ไม่กล้าที่จะรบกวน จึงค่อยๆคลานเข้าไปใกล้ๆหลวงพ่อ อย่างเงียบๆกะว่าจะนั่งรอหลวงพ่อ แต่ทันใดนั้น หลวงพ่อได้เอ่ยเรียกชื่อ คุณน้าท่านนั้นและถามว่ามีธุระอะไร โดยที่หลวงพ่อไม่ได้หันหน้ามาแต่อย่างใด แล้วหลวงพ่อท่านรุ้ได้อย่างไร!!!!!สร้างความงุนงง ในคุณน้าท่านนี้มาก และอีกอย่างนึง คุณน้าท่านนี้ ได้สังเกตุเห็น ตามตัวหลวงพ่อมีแต่ยุงเกาะเต็มไปหมดโดยที่ท่านไม่รุ้อันใด ไม่ได้ไลหรือปัดยุงเหล่านี้เลย ท่านคงได้แต่นั้งสมาธิ ด้วยความสงบต่อไป เป็นอีกเหตุการอันอัศจรรย์อีกเหตุการหนึ่ง ที่ไม่มีวันลืมของคุณน้าท่านนี้ ขอขอบคุณที่ท่านเล่า เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อให้ผมฟังครับ เรื่องที่3. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ คุณน้า นิพนธ์ ทัพมงคล หนึ่งในแอดมินของเรา ได้เล่าให้ผมฟังว่า เคยเห็นกับสองตาตนเอง ว่าหลวงพ่อได้นำพระธาตุ ที่ท่านได้มา ใส่ไว้ในขันที่มีน้ำอยู่ ว่างพระธาตุในตำแหน่งกลางขัน ที่มีน้ำอยุ่เต็ม แล้วท่านก็ได้ตั้งสมาธิ ยกมือประกบทำเป็นรูปสามเหลี่ยม อยุ่ระหว่างกลางหน้าอกของท่าน แล้วเข้าสู่สมาธิ บริกรรมคาถา สักครู่หนึ่ง น้ำในขันได้เกิดเป็นน้ำวน เป็นรัศมีหรือเป็นแฉกขึ้นมา รอบองค์พระธาตุ อย่างอัศจรรย์ น้าผมท่านเราว่า เป็นบุญมากที่ได้เห็น ความศักดิ์ของหลวงพ่อบุญมี ขณะท่านเล่าให้ฟังท่านก็ขนลุกไปทั้งตัวเลยครับ และหลวงพ่อท่านยังใช้เหล็กจารลงยันต์ที่ฟันหน้าให้น้าผมอีกด้วย ท่านยังบอกว่าฟันอื่นของท่านได้โยกบ้าง หลุดหรือต้องถอนบ้าง แต่ฟันซี่ที่หลวงพ่อลงให้ ยังอยุ่ดีเป็นปกติ ...ขอขอบคุณน้า นิพนธ์ ที่ได้เล่าให้หลานฟัง... 3 เหตุการที่เล่ามานี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ ความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อบุญมี วัดบึงกระจับ ยังมีอีกมากครับ แต่ขอไว้โอกาสหน้านะครับ พิมพ์ไม่ไหวแล้วครับ555 หวังว่าทุกๆท่านคงชอบเรื่องราวต่าง ที่ผมได้นำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ กดไลด์ กดแชร์เป็นกำลังให้ผมด้วยนะครับ ....สุดท้ายนี้ผมจะพยายามหาประวัติ เรื่องเล่า และรายละเอียดของวัตถุมงคล ของหลวงพ่อมาให้ พี่น้องในกลุ่มได้ศึกษากันนะครับ...แอดมินต่อ(ผู้หญิงในรูปที่กำลัง ถวายของให้หลวงพ่อ เป็นคุณป้าของผมเองครับ)
    สีผึ้งสำนักนี้เป็นสีผึ้งที่ออกจากแหวกแนวกว่าสำนักใด เพราะมีประสบการณ์ด้านคงกระพัน ผู้เขียนมีญาติของรุ่นพี่ท่านนึงเคยมีประสบการณ์ด้านคงกระพันกับสีผึ้งลูกอมหลวงพ่อเม็ด โดยโดนดักยิงขณะขับมอเตอร์ไซต์บริเวณศรีษะแต่กระสุนทะลุแก้มไปตกอยู่ในปาก ทั้งเนื้อทั้งตัวแขวนเพียงอูกอมขี้ผึ้งของหลวงพ่อเม็ดเพียงอย่างเดียวทำให้แคล้วคลาดจากเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์
    จริงๆแล้วหลวงพ่อเม็ด ท่านไม่ได้ชื่อเม็ดนะครับ ท่านชื่อ “บุญมี” เหตุที่เรียกเม็ดเพราะท่านทำเม็ดอมสีผึ้งนี้แจก พอคนไปขอๆกับท่านก็พลอยเรียกท่านว่า “หลวงพ่อเม็ด”พระครูวิชัยบุญสาร นามเดิม บุญมี (เม็ด) นามสกุล จันทรสุวรรณ์ เกิดวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๔๙ ที่บ้านบึงกระจับ หมู่ที่ ๑๐๐ตำบลหนองแหน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา บิดาชื่อ เฉย มารดาชื่อ ชม นามสกุล จันทรสุวรรณ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา รวม ๔ คนคือ ๑ นางเหลี่ยม ทัพมงคล ๒. นายล้วน จันทรสุวรรณ์ ๓. พระครูวิชัยบุญสาร (บุญมี หรือ เม็ด) ๔ นายหนู จันทรสุวรรณ์ ในวัยเด็กหลวงพ่อได้ศึกษาหาความรู้จนอ่านออกเขียนได้ เมื่ออายุครบเกณฑ์ได้เข้าอุปสมบท ที่วัดบึงกระจับในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๖๙ พระสมุห์ก้อย วัดมหาเจดีย์ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วได้เริ่มการทำวัติปฏิบัติ ฝึกการเจริญสมาธิ ใช้จิตภาวนาและเรียนวิปัสสนากัมมัฎฐานได้ออกธุดงค์วัตร
    สำหรับวิชาลูกอมนี้ นอกจากจะมีพุทธคุณทางคงกระพันแคล้วคลาดกันเขี้ยวงาแล้ว อาถรรพ์ในป่าลึกหรือสถานที่มีวิญญาณมาก ยัง กันพรายน้ำ และ กันสิ่งแปลกปลอมอาถรรพ์ที่ปะปนมากับสายน้ำด้วยการทำวิชาทำคุณไม่ได้ทำกันมาตามอากาศทางเดียว ใครที่ว่าแน่ๆเสร็จทางน้ำกับพวกพรายและวิชาที่ทำมาทางน้ำทั้งนั้น เพราะเมื่อหมดสติก็จมน้ำ ขาดอากาศหายใจน้ำแค่คืบก็ตายเรื่องพรายน้ำหลวงพ่อเม็ดดังมาก มีหนังสือพระรายเดือนหลายปีก่อนเขียนประวัติท่านไว้ด้วย ว่าท่านสามารถจับ พรายน้ำ ขึ้นมาได้ โดยนำสายสิญจน์มีดินเหนียวเป็นลูกตุ้มหย่อนลงน้ำ ท่านอยู่บนแพแล้วลากแพไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายสิญจน์ มีอาการเหมือนปลาติดเบ็ด เมื่อดึงขึ้นมาปรากฏ มีสิ่งมีชีวิตตัวใสเหมือนแมงกะพรุน หน้าตาเหมือนเด็กเหี่ยวๆมีฟันแหลม ดิ้นไปมาปรากฏพ่อเด็กที่ถูกพรายน้ำตัวนั้นเล่นงานตรงเข้ามากระทืบเละคาเท้าเลย อาการเมื่อโดนพรายน้ำทำร้ายคือ ขาจะชาไม่มีแรงจมน้ำเข้าใจว่าพรายน้ำพวกนี้จะดูดเลือดเป็นอาหาร เพราะใครจมน้ำเสียชีวิตถ้าไม่นานตัวจะไม่ซีดมาก แต่ถ้าโดนพรายน้ำเล่นงานว่ากันว่าเลือดไม่รู้ไปไหนหมดไม่มีเอาเสียเลย ตัวจะซีดและเขียวมากทั้งที่จมน้ำไปไม่เกิน ช.ม. (ใช้วิจารณญาณในการอ่าน) สาเหตุที่ท่านเชี่ยวชาญวิชานี้เป็นพิเศษ เพราะหลังวัดท่านเป็นบึงชื่อ บึงกระจับ
    สำหรับวิชาลูกอมนี้ นอกจากจะมีพุทธคุณทางคงกระพันแคล้วคลาดกันเขี้ยวงาแล้ว อาถรรพ์ในป่าลึกหรือสถานที่มีวิญญาณมาก ยัง กันพรายน้ำ และ กันสิ่งแปลกปลอมอาถรรพ์ที่ปะปนมากับสายน้ำด้วยการทำวิชาทำคุณไม่ได้ทำกันมาตามอากาศทางเดียว ใครที่ว่าแน่ๆเสร็จทางน้ำกับพวกพรายและวิชาที่ทำมาทางน้ำทั้งนั้น เพราะเมื่อหมดสติก็จมน้ำครับ ขาดอากาศหายใจน้ำแค่คืบก็ตาย เรื่องพรายน้ำหลวงพ่อเม็ดดังมาก มีหนังสือพระรายเดือนหลายปีก่อนเขียนประวัติท่านไว้ด้วย ว่าท่านสามารถจับ พรายน้ำ ขึ้นมาได้ โดยนำสายสิญจ์มีดินเหนียวเป็นลูกตุ้มหย่อนลงน้ำ ท่านอยู่บนแพแล้วลากแพไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายสิญจ์ มีอาการเหมือนปลาติดเบ็ด เมื่อดึงขึ้นมาปรากฏ มีสิ่งมีชีวิตตัวใสเหมือนแมงกระพรุน หน้าตาเหมือนเด็กเหี่ยวๆมีฟันแหลม ดิ้นไปมาปรากฏพ่อเด็กที่ถูกพรายน้ำตัวนั้นเล่นงานตรงเข้ามากระทืบเละคาเท้าเลย อาการเมื่อโดนพรายน้ำทำร้ายคือ ขาจะชาไม่มีแรงจมน้ำเข้าใจว่าพรายน้ำพวกนี้จะดูดเลือดเป็นอาหาร เพราะใครจมน้ำสียชีวิตถ้าไม่นานตัวจะไม่ซีดมาก แต่ถ้าโดนพรายน้ำเล่นงานว่ากันว่าเลือดไม่รู้ไปไหนหมดไม่มีเอาเสียเลย ตัวจะซีดและเขียวมากทั้งที่จมน้ำไปไม่เกิน ช.ม. (ใช้วิจารณญานในการเชื่อนะครับ) สาเหตุที่ท่านเชี่ยวชาญวิชานี้เป็นพิเศษ เพราะหลังวัดท่านเป็นบึงชื่อ บึงกระจับครับ ลูกอมของท่านมีทั้งใหญ่เล็กเป็นเทียนปิดทอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ลูกอมหลวงพ่อเม็ดวัดบึงกระจับยุคต้นให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20240324_202004.jpg IMG_20240324_202034.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2024
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    FB_IMG_1711343899717.jpg

    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
    วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง)
    ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
    ...
    พวกเราท่านทั้งหลายตั้งแต่เราเกิดมาตั้งแต่เล็ก
    มาจนใหญ่จนโต จนเฒ่าจนแก่มาเช่นนี้
    จิตใจของพวกเรานั้นไม่ได้ฝึกฝนอบรม
    ไม่ได้ควบคุมดูแล ไม่ได้ประคับประคอง
    ไม่รักษา ไม่ได้เจริญเมตตาภาวนา ฝึกฝนอบรมเขา
    เขาก็ย่อมคิดไปนานาต่างๆ ให้พวกเราท่านทั้งหลาย
    มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในการที่เขาคิด
    แล้วก็พอจะพินิจพิจารณาได้นู่นแหล่ะว่า
    บางทีนั้นจิตมันคิดดี คิดแล้วมีความสุขความสบาย
    บางทีมันคิดไม่ดี มันคิดแค่ทำให้มีความเศร้าหมองความทุกข์
    มันก็คิด นี่เป็นเรื่องของจิต
    เหตุฉะนั้นการฝึกฝนอบรมจิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
    แม้เขาจะมาอยู่กับรูปร่างกายพวกเราก็ตาม
    เขามาอาศัยอยู่แต่เขามีอำนาจ มีการควบคุมร่างกาย
    ให้เป็นไปตามอำนาจของเขาที่มันยังใช้งานได้อยู่
    เรียกว่า เขาควบคุมดูแล มันเป็นเช่นนี้แหละ
    เมื่อจิตใจของพวกเรา เมื่อมันเกิดคิดไม่ดีขึ้นมา
    ยังโกรธยังเกลียด ยังเคียดยังแค้น ยังผูกพยาบาท
    อาฆาตจองเวรกัน ยังคิดถกเถียงทุบตีกัน คิดฆ่ากัน
    เบียดเบียนกันเกิดขึ้นก็เพราะเรื่องอย่างนี้เอง
    ที่เราจะฝึกฝนอบรมจิตใจของเรามันคิดไม่ดีเป็นไปอย่าง

    พระผงกลีบบัวผสมเกศารูปถ่ายยุคต้นหลวงปู่เปลี่ยนเชียงใหม่ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240325_104632.jpg IMG_20240325_104655.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2024
  14. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,131
    ค่าพลัง:
    +912
    จแงเหรียญลป.คำมี
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    (2022)_พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม_เขตพระนคร_กรุงเทพมหานคร_(34).jpg

    ในปี พ.ศ.2525 เป็นปีมหามงคล “กรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี” ได้มีการตระเตรียมการจัด “งานฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี” อย่างยิ่งใหญ่
    และหนึ่งในภารกิจสำคัญคือ การบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานในการนี้คณะกรรมการได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานจัดสร้าง “เหรียญพระแก้วมรกตหลัง ภปร” ขึ้นเป็นการเฉพาะ เพื่อเป็นที่ระลึกและสมนาคุณแก่ผู้ที่ต้องการร่วมบริจาคสมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลในการบูรณะครั้งนี้
    “เหรียญพระแก้วมรกต ภปร ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี พ.ศ.2525” ลักษณเหรียญเป็นแบบกลมแบน มีขอบ
    ด้านหน้า เป็นรูปพระแก้วมรกต ประทับนั่งบนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีผ้าทิพย์ห้อย ใต้ฐานบัวมีหอยสังข์ ด้านข้างองค์พระมีพานพุ่มทั้งสองด้าน
    ด้านหลัง ตรงกลางเป็นตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ “ภปร” ขอบรอบเหรียญ เขียนคำว่า “ฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดารามพ.ศ.๒๕๒๕”
    เมื่อการจัดสร้างเหรียญแล้วเสร็จสมบูรณ์ ประกอบพระราชพิธีพุทธาภิเษก วันที่ 13 กรกฎาคม 2524 ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จฯ มาเป็นองค์ประธาน
    สําหรับพระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมพิธีปลุกเสกที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามเมื่อปี พ.ศ.2524 ล้วนแต่เป็นพระเถระผู้ใหญ่ชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น
    พระมหาเถระ 10 รูป นั่งปรกเจริญภาวนาอธิษฐานจิต
    ในมณฑลพิธีราชวัตรฉัตรธง ประกอบด้วย สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกเมื่อครั้งยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ "สมเด็จ
    พระญาณสังวร (สุวัทฒน มหาเถระ) วัดบวรนิเวศ
    วิหาร กรุงเทพฯ, พระมงคลราชมุนี (สุพจน์ โชติปาโล)
    วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ, พระราชสังวรญาณ
    (สนิท ภิรสินิทฺโธ) วัดศีลข้นธาราม อ.โพธิ์ทอง
    จ.อ่างทอง, หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ อ.เมือง
    จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่ออุตตมะ อุตุตมงุกโร วัดวังก์วิ
    เวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี, พระครูพิพิธพัชร
    ศาสน์ (หลวงพ่อจ้วน) วัดพระพุทธบาทเขาลูกช้าง
    อ.ท่ายาง จ.เพซรบุรี, หลวงพ่อสุด วัดกาหลง อ.เมือง
    จ.เพชรบุรี, พระครูสุตาธิการี (หลวงพ่อทองอยู่) วัด
    ใหม่หนองพะอง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร, พระครู
    ประดิษฐ์นวการ วัดวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี และ
    พระครูญาณวิจักขณ์ (พระอาจารย์ผ่องจินดา) วัด
    จักรวรรดิราชาวาส กรุงเทพฯ
    ในเวลาเดียวกันนี้ พระภาวนาจารย์และพระ
    เกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณทั่วราชอาณาจักรอีก 90
    รูป ได้ร่วมพิธีนั่งปรกเจริญภาวนาแผ่จิตตานุภาพ ณ
    วัดที่ประจำอยู่ ส่งพลังจิตภาวนารวมเป็นหนึ่งเดียวส่ง
    ไปยัง "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" มีอาทิ หลวงพ่อ
    ขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี, หลวงพ่อแช่ม วัดดอน
    ยายหอม จ.นครปฐม, หลวงพ่อละมูล วัดเสด็จ
    จ.ปทุมธานี, หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี
    จ.สมุทรสงคราม, หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า จ.ระยอง,
    หลวงปู่คำดี วัดถ้ำผาปู่ จ.เลย,
    หลวงพ่อไพบูลย์ วัดรัตนวนาราม (อนาลโย) จ.พะเยา
    หลวงพ่อสงฆ์ จันทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร,
    หลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์, หลวงพ่อสุด วัด
    กาหลง จ.สมุทรสาคร, หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดม
    คงคาคีรีเขต จ.ขอนแก่น, หลวงพ่อเกษม เขมโก
    สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง, หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัด
    ประชาคมวนาราม จ.ร้อยเอ็ด, หลวงปู่ขาว อนาลโย
    วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี, หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    จ.สิงห์บุรี, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปัง
    จ.เชียงใหม่, หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง
    จ.เชียงใหม่ ฯลฯ
    พร้อมกันนี้ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วประเทศสั่งจองผ่าน
    ธนาคารพาณิชย์ในวันเดียวกัน ปรากฎว่าเหรียญที่จัด
    สร้างจำนวน 1,000,000 เหรียญ ถูกจองหมดอย่าง
    รวดเร็ว ประชาชนที่พลาดการจองเรียกร้องให้คณะ
    กรรมการดำเนินงานการจัดสร้างเพิ่มเติมอีก คณะกร
    รมการฯ จึงต้องกราบบังคมทูลขอพระราชทานสร้าง
    ชุดที่ 2 ขึ้น ทั้งนี้ พระองค์พระราชทานพระราช
    วินิจฉัย โปรดฯ ให้เพิ่มข้อความ "พระราชศรัทธา" ไว้
    ใต้ตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ "ภปร" เพื่อ
    เป็นการจำแนกระหว่างการสร้าง "ครั้งแรก" กับ "ครั้ง
    ที่สอง" และประกอบพระราชพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 9
    ธันวาคม พ.ศ.2524
    ้เหรียญพระแก้วมรกตบล๊อคแรก ปี๒๕๒๕
    ให้ บูชา๒เหรียญ คู่กัน 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240325_131214.jpg IMG_20240325_131242.jpg
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1711351881003.jpg
    เมื่อธุดงค์มาถึงบ้านปลายคลองน้อย อ. สวี ซึ่งยังคงเป็นป่าเขา มีบ้านเรือนตั้งอยู่เพียงแค่ไม่กี่หลังยังมิสู้เจริญนัก เมื่อท่านเห็นว่ามีหมู่บ้านตั้งอยู่ข้างหน้าจึงคิดที่จะหยุดพัก จึงเข้าไปปักกลดอยู่ในราวป่าใกล้ ๆ หมู่บ้าน

    ครั้นพอรุ่งเช้าต่อมา ท่านก็ออกเดินบิณฑบาต เข้าไปในหมู่บ้านแต่ปรากฏว่ามิมีผู้ใดถวายบิณฑบาตเลย เช้านั้นท่านเลยไม่ได้ฉันอาหารเลย ท่านคิดว่าชาวบ้านคงจะไม่ทราบว่ามีพระธุดงค์มาบิณฑบาตจึงไม่มีผู้ใดเตรียมอาหารได้ทัน แต่พอรุ่งเช้าถัดมา เมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอีก คราวนี้พอชาวบ้านเห็นพระธุดงค์เดินอุ้มบาตรเข้ามาก็พากันเข้าบ้านเปิดประตูเสียราวกับว่าพระธุดงค์นั้นเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาของพวกเขาทั้งหลาย ทำให้วันนั้นท่านมิได้ฉันอาหารอีกเป็นวันที่สอง

    เมื่อเห็นอากัปกิริยาของชาวบ้านเช่นนั้น ทำให้ท่านตั้งใจว่าจะต้องทำให้ชาวบ้านได้ทำบุญให้ได้ เพื่อตนจะได้ฉันอาหารและเพื่อตนจะได้แสดงธรรมให้ชาวบ้านได้รับธรรมเข้าไปในจิตใจ และปรากฏว่าเหตุการณ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม อยู่ถึง 6 วัน ซึ่งหมายความว่า ท่านก็มิได้ฉันอาหารเลยทั้ง 6 วัน ดังกับว่าเป็นการทดลองจิตและสมาธิความตั้งใจของท่านว่ามีความแน่วแน่อดทนเพียงใด

    พอเช้าวันที่ 7 ท่านก็พาร่างกายอันอิดโรยเข้าไปบิณฑบาตอีก เช่นเดิม ปรากฏว่าเช้านี้ ได้มีชาวบ้านผู้หนึ่งถวายข้าวสวยสุกมาสามช้อนทัพพี และเมื่อท่านกลับมาถึงกลดก็ลงมือฉันข้าวสวยสุกนั้นและปรากฏว่าพอข้าวคำแรกตกถึงกระเพาะ ท่านก็มีอาการหน้ามืดและสลบไปจวบจนบ่ายแก่ ๆ ก็ฟื้นขึ้นมา

    พอเช้าวันถัดมา พอออกบิณฑบาต ปรากฏว่าคราวนี้มีชาวบ้านทำบุญตักบาตรกันแทบทุกบ้านได้ภัตตาหารมาจนล้นบาตร ครั้นพอตกตอนเย็นก็มีชาวบ้านทำน้ำปานะมาถวายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้มีโอกาสแสดงธรรมให้แก่ชาวบ้านดังที่ตั้งใจ ไว้

    ความจริงตอนที่ธุดงค์อยู่ ตัวท่านเองก็เคยไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน เป็นเวลาหลาย ๆ วัน ก็ออกจะบ่อยอยู่ แต่ได้อาศัยน้ำตามลำธารช่วยแก้กระหาย และลูกผลไม้ต่าง ๆ ในป่าแก้หิว บวกกับการทำสมาธิ เจริญภาวนาทำให้สามารถช่วยให้ผ่านพ้นอยู่รอดมาได้ แต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้ ท่านตั้งใจว่าจะไม่ฉันอะไรเลย หากไม่ได้รับบิณฑบาตจากชาวบ้าน ดังนั้น เมื่อร่างกายไม่ได้รับพลังงานสิ่งใดเลยตลอด ๖ วัน ก็ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา หากไม่มีสมาธิและจิตใจที่แน่วแน่แล้วยากนักที่จะทำแบบนี้ได้ ขนาดที่เมื่อฉันอาหารคำแรกร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ถึงกับช็อคสลบไป นับว่าท่านรอดมาได้ด้วยความตั้งใจที่แน่วแน่และสมาธิอันเข้มแข็งโดยแท้

    lp-song-pic-07.jpg
    ขึ้นกุฏิ

    เมื่อออกจากปลายคลองน้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่บ้านเขาปีบ และที่บ้านเขาปีบนี่เองที่ท่านได้พบกับพระอาจารย์อีกครั้ง โดยเมื่อถึงเขตบ้านเขาปีบ ก็พบกับชายตัดฟืนคนหนึ่ง ด้วยความที่ท่าน เคยประสบกบเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ที่บ้านท่าข้าม ทำให้เกิดความรู้สึกสงสัยระคนกับความเชื่อมั่นบางอย่าง จึงเข้าไปถามชายคนตัดไม้ว่า

    “ตัดไม้ทำอะไรโยม “

    คนตัดไม้บอกว่า “ จะเอาไปทำที่พักให้พระคุณท่าน“

    “ พระอยู่ที่ไหนล่ะโยม “

    ชายตัดไม้ชี้พลางเชิญชวน “อยู่แค่นี้เองคุณไปไหม ถ้าไปตามผมมาเถอะ“

    ท่านก็เดินตามชายตัดไม้ไป และเมื่อพบพระรูปดังกล่าว ท่านถึงกับยิ้ม เพราะพระรูปที่นั่งอยู่ในกลดคือ หลวงพ่อทวดเวียนพระอาจารย์ที่ตนเองตามหาอยู่

    เมื่อเข้าไปถึง หลวงพ่อทวดเวียนก็ถามว่า “คอยนานไหม”

    ท่านจึงเล่าให้อาจารย์ฟังถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่พระอาจารย์ได้จากไป จนกระทั่งได้มาพบกันในตอนนี้ ข้างหลวงพ่อทวดเวียนก็เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เมื่อตนเองออกจากบ้านท่าข้ามแล้ว ก็ธุดงค์ไปถึงเมืองตะนาวศรี เมืองมะริด แล้วลงเรือขึ้นไปยังเมืองร่างกุ้ง ได้นมัสการพระธาตุเจดีย์ที่ร่างกุ้งแล้วจึงย้อนกลับมาทางเดิม เข้าเมืองไทย และมาถึงที่นี่ในวันนี้เหมือนกัน

    หลังจากได้พบเจอกันแล้วทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ ก็อยู่ปฏิบัติธรรมปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ที่บ้านเขาปีบต่อไป โดยเลือกเอาบริเวณป่าช้าเงียบสงบวังเวงเป็นที่ปฏิบัติ

    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า บ่ายวันหนึ่งมีคนหามศพมาฝัง หลวงพ่อทวดเวียนท่านเห็น ก็เรียกให้เอาศพมาที่ท่าน ๆ สั่งให้แก้เชือกที่หามออก แล้วแก้ฟากนาค ๗ ซี่ที่เอามัดห่อหุ้มศพออก และท่านใช้ให้ชายอีกคนหนึ่งไปเอาน้ำมาให้ท่านไห (โอ่ง) หนึ่ง

    ศพนั้นเป็นศพเด็กชาย ชื่อดำ พ่อของเด็กชายดำ บอกหลวงพ่อเวียนว่า เขาตายเมื่อเที่ยงนี้เอง พอดีคนที่ไปตักน้ำก็เอาน้ำมาให้หลวงพ่อทวดเวียน หลวงพ่อทวดเวียนเอาน้ำใส่ลงในบาตรล้วงเอาผ้าขาวในย่ามใส่ลงในบาตร และหยิบวัตถุเป็นเม็ดสีดำ คงจะเป็นยา ใส่ไว้ใต้ริมฝีปากบนของศพ แล้วท่านบริกรรมไปเอาผ้าขาวที่ใส่ไว้ในบาตรตบที่หัวศพไป ราวครึ่งชั่วโมงก็มีเสียงครางในลำคอ หลวงพ่อทวดเวียนก็บีบผ้าขาวให้น้ำย้อยลงในปากพร้อมกับบอกผู้เป็นพ่อว่า ไปต้มข้าวต้มมาให้

    ผู้เป็นพ่อรีบลุกขึ้นวิ่งไปต้มข้าวต้มด้วยความดีใจเป็นที่สุด ต่อมาไม่นานนักเด็กชายดำก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผู้เป็นพ่อเอาข้าวต้มมาและหยอดน้ำข้าวต้มให้จนมีอาการดีขึ้น เวลาพูดก็ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น บรรดาพ่อแม่และญาติ ๆ ต่างก็มาตูยิ้มทั้งน้ำตา ต่างก็สรรเสริญหลวงพ่อทวดเวียนว่า

    “เป็นเสมือนเทวดามาชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้”

    เด็กชายดำมีเรี่ยวแรงพอพูดจาได้ดีแล้ว ก็เล่าให้ฟังว่า

    “มีคนมาพาเขาไป พอไปถึงกำแพงเมือง ซึ่งเขาไม่เคยเห็น มีผู้คนพลุกพล่าน ทุกเพศทุกวัย ต่างก็เดินทางเข้ากำแพงเมือง คนเดินออกไม่มี เขาก็เดินตามไปด้วย พอจะเข้าไปในประตูก็พอดีมีพระห่มจีวรออกสีดำเข้ามาดักหน้าเขาไว้ ไม่รู้เอาอะไรสีดำ ๆ จุกในปากเขา และสั่งให้กลับ เขาบอกว่า ไม่กลับ ก็ตบหัวเขาๆ ก็ถอยหลังเรื่อยมา ๆ จนเขารู้สึกขึ้นมานี่แหละ”

    พ่อแม่และหมู่ญาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ดำ ไม่ใช่ลูกเขาแล้ว ยกให้หลวงพ่อทวดเวียนเถิด”

    ดำก็อยู่กับหลวงพ่อทวดเวียนหลายเดือน เขาเป็นคนกล้า เข้านอนอยู่ที่แคร่ใต้กุฏิ เวลามีเสือเขาก็ไม่กลัวเสือ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อทวดเวียนกับหลวงปู่เดินธุดงค์ไปที่อื่น ก็ฝากดำไว้กับพ่อแม่ของดำให้ช่วยเลี้ยงดูไว้ให้ท่านด้วย

    เมื่อท่านได้ออกไปจากบ้านเขาปีบแล้ว ก็ได้ธุดงค์ไปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะหลวงพ่อทวดเวียนกับหลวงปู่ อยู่ประจำพรรษาที่ถ้ำโพงพาง ๒ พรรษา (เดี๋ยวนี้เป็นวัดแล้ว อยู่ที่ตำบลหาดทรายรี อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร) ซึ่งเป็นที่สงัดวิเวกอยู่ใกล้ทะเล เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก จากนั้นก็ไปประจำพรรษาที่วัดควน ตำบลวิสัยใต้ อีก ๑ พรรษา หลวงพ่อทวดเวียน ท่านก็ถึงแก่มรณภาพลง

    หลวงปู่ ท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อทวดเวียน ท่านเกิดอาพาธหนัก มีโยมผู้ชายมาอยู่เฝ้าพยาบาลเป็นจำนวนมาก ตอนที่ท่านมรณภาพไม่มีใครเห็น ตอนดึกสงัด โยมที่มาเฝ้านอนหลับกันหมด หลวงพ่อทวดเวียน ท่านลุกขึ้นแล้วนั่งห่มผ้าพาดสังฆาฏิ มีผ้าเคียนอก (รัดอก) ท่านเรียกว่า “ครองใหญ่” แล้วก็ลงจากกุฏิไป

    ใกล้รุ่ง พวกโยมที่มาอยู่เฝ้าพยายามต่างก็ลุกขึ้นมองหา ไม่เห็นหลวงพ่อทวดเวียน ก็ตกใจ รีบตามหา ก็ไม่พบ จนรุ่งสว่างหาจนทั่วก็ไม่พบ ส่วนหลวงปู่ ท่านก็ออกตามหาเหมือนกัน แต่ท่านไม่มาที่กุฏิ ท่านเข้าป่าใกล้วัดตามหา

    ตกตอนบ่ายจึงพบ ท่านเห็นหลวงพ่อทวดเวียนนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ เมื่อเข้าไปถึง ก็ปรากฏว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว (อาจารย์หลวงปู่ทั้งสองท่านล้วนแต่มรณภาพในท่านั่งคือ หลวงพ่อทวดรอด ท่านก็นั่งมรณภาพบนเก้าอี้ มาหลวงพ่อทวดเวียนก็นั่งมรณภาพใต้ต้นไม้)

    เมื่อทำบุญศพหลวงพ่อทวดเวียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ออกธุดงค์ ปฏิบัติธรรมต่อไป ท่านอยู่ประจำพรรษาที่หัวกรูด ๑ พรรษา แล้วมาอยู่ประจำพรรษาที่สามแก้ว ๑ พรรษา ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นป่า เมื่อออกพรรษาที่ ๑๐ แล้วท่านธุดงค์เข้าสู่บ้านศาลาลอยครั้งแรก

    ท่านปักกลดอยู่ที่ใกล้หนองน้ำ ชื่อลุมควาย กำนันเฉยได้นิมนต์หลวงปู่ ให้ไปอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำท่าตะเภา ในครั้งนั้นเป็นวัดร้าง ท่านจึงรับนิมนต์คุณตาเฉย

    เมื่อหลวงปู่เข้าอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั้น ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๖๒ คุณตาเฉย ได้ทำกุฏิหลังเล็กรูปหลังคาและฝาแบบประทุนหรือสมัยก่อน ชาวบ้านเรียก กุฏิโกบ คืนแรกที่ท่านเข้าอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ตอนดึกท่านไปเข้าเว็จกุฏิ เมื่อออกมาท่านเห็น ศีรษะมีแค่คอ มีหนวดเคราห้อยรุงรัง ลอยผ่านหน้าท่านไป ท่านเอามือจับหนวดเคราดู ท่านแผ่เมตตาให้ จากนั้นก็หายไป

    รุ่งเช้า ท่านถามคุณตาเฉย ซึ่งปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐากว่า

    “ตากำนัน ใครตายตรงนี้บ้าง”

    คุณตาเฉย ก็บอกท่านว่า “อ๋อ อ้ายง่อยมันผูกคอตายที่ต้นไม้นี้”

    (คงจะเป็นฉำฉา ซึ่งกุฏิหลังแรกของหลวงปู่ อยู่ใต้ต้นฉำฉา ต่อมาประมาณปี ๒๕๐๒ หรือ ๒๕๐๓ น้ำเซาะตลิ่งจนต้นฉำฉาต้นนี้ล้มลงในแม่น้ำ) หลวงปู่ก็เล่าให้คุณตาเฉยฟัง และท่านก็ได้แผ่เมตตาให้แล้ว

    คืนต่อมาท่านก็ได้บำเพ็ญกิจภาวนา สมาธิตามปกติ ท่านได้พบพ่อปู่เจ้าฟ้า ท่านขออยู่ประจำที่วัดนี้ พ่อปู่เจ้าฟ้าไม่ให้

    คืนต่อมาท่านขออีก คราวนี้ ท่านเล่าว่า พ่อปู่เจ้าฟ้าบอกท่านว่า “ให้ก็ได้ แต่ขอบายศรี ๓ ชั้น ๙ หัว”

    ท่านก็บอกพ่อปู่เจ้าฟ้าว่า ท่านมาจากอื่นไม่มีญาติ ก็ไม่รู้ว่าจะให้ใครทำขนมทำบายศรีให้

    พ่อปู่เจ้าฟ้าท่านให้ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าเป็น “สมภาร” หลวงปู่ก็รับ (เหตุนี้สมัยหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจึงไม่มีเจ้าอาวาส ท่านบอกว่า ถ้าเขาตั้งท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็จะออกจากวัดนี้ทันที)

    หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า พ่อปู่เจ้าฟ้า ท่านสอนในท่านอนหงายทงเข่าทั้งสองขึ้น หันศีรษะไปทางทิศตะวันออก เมื่อพ่อปู่ท่านมองตูตามนั้นแล้วกำหนดจำหมายไว้ (ซึ่งที่ตรงนั้นก็ตรงกับที่สร้างกฏิหลังแรกและหลังปัจจุบัน และหลังปัจจุบันนี้ อาจารย์พระครูพิพัฒน์ขันตยาภรณ์ ศิษย์หลวงปู่ และหลวงปู่ได้มอบให้เป็นเจ้าอาวาส วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย องค์แรกประจำอยู่ที่กุฏิหลังนี้)

    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย แต่อดีตเคยเป็นวัดร้างอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดเก่าแก่มากไม่มีประวัติใดๆ บันทึกไว้ว่าใครเป็นผู้สร้างและสร้างมาสมัยใด

    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ยืนกำหนดพิจารณาดูบริเวณวัดทั้งหมดด้วยอำนาจญาณ เรียกว่าอตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้วในอดีตว่าเป็นวัดสมัยใด ใครเป็นผู้สร้างขึ้น ทำไมจึงรกร้างว่างเปล่ามาเป็นร้อยเป็นพันปี ด้วยอำนาจจิตที่กล้าแข็งซึ่งปุถุชนธรรมดาไม่สามารถรู้ได้ถึงเช่นนั้น

    ศึกไสยเวทย์

    ความจริงอีกมุมหนึ่งของวัดร้าง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ มีพระภิกษุอยู่ก่อนหน้านี้แล้วองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร คือ หลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่ง มีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัด

    หลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ลูกหา และได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านตามสมควร แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ เพราะลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อย ด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพัน

    การมาของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อบ่าวทราบดีทุกระยะ ท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันไป น้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อ ฉันใดฉันนั้น เมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช้ำ

    บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้น น้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่

    จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์ ระหว่างหลวงพ่อบ่าวกับหลวงปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้

    ในคืนนั้น

    ขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควร สักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยู่หนึ่งใบ ท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณา แล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิ

    สิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อน

    lp-song-pic-08.jpg
    ให้พรแก่ญาติโยม

    นี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์

    เป็นธรรมดาของคนเล่นอาคม เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กันเพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมา

    คืนต่อมา

    ในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของวิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่าน ความรู้สึกบอกตัวเอง

    “มันมาอีกแล้ว”

    ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืด

    ถึงแม้จะหลับตา แต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเอง

    เมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้าม

    ในตอนเช้าเมื่อญาติโยมลูกศิษย์ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นบาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้

    การพูดทำนองตักเตือนหลวงพ่อบ่าว เพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อบ่าวอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของหลวงพ่อบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้

    ในคืนนั้นเอง

    หลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาต ก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมาก หล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้

    ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุ

    ผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุ มีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้

    และในคืนต่อมานั้นเอง หลวงปู่ก็พลาดท่า เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้

    ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้อง เพราะมันเป็นมีดหมออาคม ถ้าหากให้มันหมุนได้ ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบ แล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่าน

    สิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคม

    ท่านให้มันออกมาทางปาก ท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ

    “พ่อหลวงจะทำอะไร”

    ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย หลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า

    “ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบ เขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาว เราต้องสั่งสอนบ้าง”

    เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเอง ระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืน

    แต่เมื่อมาถึงกุฏิ เห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่หลวงพ่อบ่าวทันที ท่านได้รับรายงานก็สะดุ้ง รู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่า หลวงปู่นั้นอาคมสูงกว่า เพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้

    หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั้นได้ผล แต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช่หลวงปู่ รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาด

    เพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วยควายธนูอย่างแน่นอน หลวงพ่อบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้น

    ความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือดตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หลวงพ่อบ่าวได้ทราบว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน

    ฝ่ายหลวงพ่อบ่าวออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึก ไกลพอประมาณ ความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาต หลวงพ่อบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง ได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคน

    ตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมา เหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่หลวงพ่อบ่าว กิ่งยางหล่นลงมาทับร่างหลวงพ่อบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที

    ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่หลวงพ่อบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อหลวงพ่อบ่าวจากไปแล้ว ท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของหลวงพ่อบ่าว

    หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราวต่อไป แม้ยังไม่เกิดขึ้นว่า ต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้น คนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้

    ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช

    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เวลานั้นมีอายุ ๓๐ ปี พรรษาที่ ๑๐ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในบริเวณวัดขึ้นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับตั้งชื่อวัดตามกาลตามสมัยว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

    ภายหลังจากที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร มาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ไม่มีเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น กลับมีถาวรวัตถุก่อสร้างขึ้นมากมาย

    ด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่สงฆ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศีลจริยวัตรงดงาม จนเป็นที่เลื่องลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้าไปยัง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ดุจดังมีงานประจำปี ปีแล้วปีเล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างมีงานทำทุกวัน สภาพชาวบ้านแถบนั้นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ถนนหนทางสมันนั้นก็ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ฐานะการเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มมั่งมีขึ้นโดยอาศัยบุญบารมีของ หลวงปู่สงฆ์ เพราะชาวบ้านออกค้าขายตั้งแต่อาหารจนกระทั่งของที่ระลึกให้กับผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนมัสการการท่านทุกวัน ๆ สภาพสังคมที่ถูกทอดทิ้งมานานเริ่มส่งผลให้แก่ชาวบ้านมีความอยู่ดีกินดีขึ้นเช่นกัน

    ด้วยอำนาจคุณงามความดีของ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในป่าเขาถ้ำเหวต่าง ๆ ทนสู้กับอุปสรรคเภทภัยนานาประการนี้ ยังส่งผลให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีมีความสุขถ้วนหน้า ก็เพราะคุณธรรมของท่าน

    วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่เคยถูกทิ้งมาเป็นเวลานานจนกลายมาเป็นวัดโอ่อ่า เสนาสนะครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสุปฏิปันโน และมีศีลจริยวัตรที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลาย

    ความเมตตาของหลวงปู่สงฆ์กว้างขวางไม่มีขอบเขตท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้เข้าไปนมัสการท่านจนปัจจุบันนี้

    การที่หลวงปู่มีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิดนั้นท่านเล่าเป็นเหตุผลว่า

    “สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ขนาดไหนก็ตาม แม้แต่มด ปลวกมันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธ รู้จักกลัว รู้จักหิว รู้จักสุขทุกข์เช่นเดียวกับคนเหมือนกัน

    แต่ที่เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็เพราะกรรมส่งผลให้เขามาเกิด เกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมเก่าของเขา เมื่อเขาพ้นจากสภาพสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วเขาอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ก็ได้

    ดังนั้นเราควรมีเมตตากับสัตว์ทุกชนิดจงพิจารณาดูว่า บาปกรรมนั้นเป็นของมีจริง เหตุนี้ผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว ควรแต่ประกอบคุณงามความดี มีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันจะเป็นการจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอีก

    ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการทำลายชีวิตผุ้อื่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่มดหรือปลวกก็มีบาปเหมือนกัน

    วาจาสิทธิ์

    lp-song-pic-09.jpg
    โอ่งน้ำมนต์

    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสงฆ์ในการถือสันโดษ มีจริยวัตรอันงดงามยิ่ง ท่านฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียว และไม่ยอมรับภัตปัจจัยใด ๆ เป็นส่วนตัวเลย ทุกวันมีผู้เข้ามานมัสการนำของมาถวายท่านอย่างมาก แม้แต่ตำแหน่งเจ้าอาวาสท่านก็ได้มอบให้กับพระภิกษุรูปอื่นรับไปดำเนินธุระต่อไป

    ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์ ท่านจำพรรษาอยู่ในวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เพียงเป็นประธานสงฆ์ หรือปูชนียบุคคลอันประเสริฐเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจแก่ พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาญาติโยมเท่านั้น

    หลวงปู่สงฆ์เป็นพระอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานเป็นพระที่พูดน้อย รักความสงบ สำรวม กาย วาจา ใจ นับเป็นพระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง ในบวรพระพุทธศาสนาเป็นนาบุญอันประเสริฐของพวกเราทุกคน

    หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร สมัยเป็นฆราวาส เคยปฏิบัติตนเป็นผู้มีสัจจะแต่เดิม แม้จะเป็นพระภิกษุแล้วก็ตาม อุปนิสัยนั้นก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น มีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นโดยลำดับ แม้เป็นพระภิกษุที่พูดน้อย แต่คำพูดของท่านที่พูดออกมานั้นจะบังเกิดผลได้จริงจังอย่างมหัศจรรย์ที่เรียกว่า วาจาสิทธิ์

    ด้วยเหตุนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมทั้งหลายมักจะชุมนุมกันที่ศาลาเวลาเช้าก่อนไปทำงานเป็นประจำก็เพื่อขอวาจาสิทธิ์ของท่านนั่นเองถ้าท่านกล่าวคำใดกับใคร ก็จะเป็นความจริงอย่างนั้นเสมอ

    บางคนไม่ได้ขอฟังวาจาจากท่าน แต่ก็พยายามนั่งจ้องอยู่ดูอิริยาบถของท่าน ว่าจะออกมาในรูปใด พวกนักนิยมโชคลาภแทงหวย จะเอามาตีปัญหาเป็นตัวเลขอย่างฉมังยิ่งนัก เหตุว่าไม่กล้าเข้าไปขอโดยตรงกับท่าน เพราะท่านไม่นิยมพวกนักเล่นการพนันทุกชนิดนั่นเอง

    ครั้งหนึ่ง เคยมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง เดินทางเข้าไปนมัสการท่านพร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงสี่เท้าไปถวายท่านด้วย

    หลวงปู่สงฆ์เห็นก็ได้ถามขึ้นว่า “อ้าว...นั่นเอานกมาทำไมกัน”

    ท่านผู้ใหญ่คนนั้นตอบว่า “ไม่ใช่นกหรอกครับหลวงปู่”

    ว่าแล้วก็เปิดกรงที่นำมาให้ดู แต่พอเปิดกรงออกเท่านั้นทุกคนที่มาด้วยต่างตกตะลึงในความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะเป็นสัตว์สี่เท้าที่ตนจับใส่กรงมา แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่...กลับเป็นนกตัวหนึ่งบินปร๋อออกจากกรงหนีไปทันที....

    ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่สงฆ์ในครั้งนั้น นำความตกตะลึง แก่ชาวคณะอุบาสก อุบาสิกา ทั้งหลายในวัดที่นั่งกันอยู่เต็ม และต่างก็พูดว่า “นี่เป็นวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่” ทำให้ประชาชนที่ได้ทราบเรื่องในครั้งนั้น มีความเคารพนับถือ และไม่กล้าประพฤติความชั่วให้ปรากฏแก่สายตาหลวงปู่สงฆ์ไม่ว่าในที่ลับ หรือที่แจ้ง ทั้งหมดเกรงว่าหลวงปู่ท่านจะพูดวาจากล่าวตักเตือนและถ้าท่านดุด่าว่ากล่าวแล้วผู้นั้นจะเคราะห์ร้ายไปตามที่ท่านพูดวาจานั้น

    จึงนับว่า หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร สามารถใช้วาจา ขัดเกลากิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้ออกจากชีวิตจิตใจของผู้ที่ยิ่งถือทิฐิมานะ ได้มากทีเตียว

    ฉุดเรือข้าวเปลือก

    หลังวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยมีแม่น้ำ เรือบรรทุกข้าวบ้างอะไรต่ออะไรบ้างผ่านไปผ่านมาเสมอ

    วันหนึ่งมีคนเรือข้าวเปลือกที่เคยขึ้นมากราบนมัสการท่านเสมอจนคุ้นเคยกัน ได้แล่นผ่านมาทางหลังวัด ตอนนั้นหลวงปู่กำลังนั่งเล่นรับลมอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เรือลำนั้นแล่นมาจวนจะถึงศาลาก็หยุด มิหนำซ้ำกลับหันหัวเรือไปอีกทิศ คือไปตามทางที่มา เรือวนอยู่อย่างนั้นจนคนเรือชักแปลกใจ ถ่อก็แล้วมันก็ไม่ไป เหลือบมองไปที่ศาลาเห็นหลวงปู่นั่งนิ่งอยู่ก็นึกรู้ทันทีว่า เพราะอะไรเรือจึงไม่ยอมไปข้างหน้า เอาแต่หมุนวนอยู่ท่าเดียว

    พอวาดเรือเข้าฝั่งได้ก็กระโดดตรงเข้ามาหาหลวงปู่ทันที

    “ท่านล้อผมเล่นทำไม” เอ่ยถามอย่างโกรธ ๆ

    หลวงปู่ท่านยิ้มมองหน้านายท้ายเรือ ความจริงหลวงปู่กับนายท้ายเรือคนนี้รู้จักมักคุ้นกันดีเนื่องจากเป็นเพื่อนเกลอกันตั้งแต่เด็ก ๆ ผ่านมาทีไรก็ต้องแวะหาหลวงปู่ทุกที แต่คราวนี้ไม่ยอมแวะ

    “กูไปทำอะไรมึง” หลวงปู่ทำหน้าดุ ๆ ตอบ

    “ก็ดึงเรือเอาไว้ทำไมล่ะ”

    “ดึงที่ไหน เรือไปโน่น” ท่านชี้มือทวนน้ำขึ้นไป มหัศจรรย์ เรือบรรทุกข้าวกลับทวนน้ำขึ้นไป นายท้ายเรือก็เลยต้องผละวิ่งตามเรือไป

    เป็นการเย้าแหย่ระหว่างเพื่อนเก่า ๆ ที่เล่าติดปากกันมาอีกเรื่อง แสดงให้เห็นว่า หลวงปู่นั้นมีพลังจิตสูงและมีอารมณ์สนุกสนานเหมือนกัน ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดได้เล่าว่า

    หลวงปู่นั้นใครจะพูดว่าอะไรท่านก็รู้ สมัยก่อนท่านมักจะสานควายธนูเอาไว้ชนกันเล่น แม้แต่ลูกกระสุนท่านก็สั่งได้ จะให้ไปถูกที่ไหน


    1711351970772.jpg
    FB_IMG_1711351497450.jpg

    วันที่หลวงปูมรณภาพ เต่ามาจากต่างที
    ต่างทาง
    และมีหลายตัวบนถนนที่เดินมุ่งหน้าไป
    วัด อยู่นิ่งๆ ข้างถนน หันหัวไปทางวัด
    เพื่อรอให้ชาวบ้านพาขึ้นรถไปวัด
    ที่วัดศาลาลอย มีเต่า หลาย ๆ ๑0 ตัว
    ทั้งเต่าตัวเล็กตัวใหญ่ อุบรอที่บันใดทาง
    ขึ้นศาลาที่ตั้งศพหลวงปู่ เพื่อให้ชาวบ้าน
    พาตี้งบบศาลา เต่าหลายตัวน้ำตาไหล


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงปู่สงฆ์เจ้าฟ้าศาลาลอย 2 เหรียญคู่ให้บูชา 320 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240325_141449.jpg IMG_20240325_141522.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    วันนี้ จัดส่ง
    1711356214026.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    Phra_Buddha_Maha_Nawamin_Sakayamuni_Sri_Wisetchaichan_4.jpg
    พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ สร้างขึ้นโดยดำริของ พระครูวิบูลอาจารคุณ (เกษม อาจารสุโภ) เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วง เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ใช้ทุนทรัพย์ในการสร้างทั้งหมด 104,261,089.65 บาท จากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา รวมเป็นระยะเวลากว่า 16 ปี โดยที่ พระครูวิบูลอาจารคุณนั้นได้ถึงแก่มรณกรรมไปเสียก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จด้วยโรคมะเร็ง ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2544 ณ โรงพยาบาลศิริราช แต่ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้ให้ชื่อพระพุทธรูปว่า "พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ" เป็นการอุทิศแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

    พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ มีความสูงจากฐานองค์พระถึงยอดเกศา 95 เมตร เทียบเท่ากับตึก 40 ชั้น และมีความกว้างของหน้าตัก 63.05 เมตร ซึ่งการเดินวนรอบองค์พระต้องใช้เวลากว่า 3 นาที

    พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ เป็นพระพุทธรูปที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล นับเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดม่วงและจังหวัดอ่างทอง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผง พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ
    ให้บูชา
    120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับใบฝอยเดิมจากวัด

    IMG_20240325_190127.jpg IMG_20240325_190221.jpg IMG_20240325_185954.jpg IMG_20240325_190057.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2024
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337

    รายการนี้ ปัจจัย จะนำไปร่วมทำบุญทิดผ้าป่า วันมรณภาพ หลวงพ่อกวย ที่ผม ทำต่อเนื่องมานับสิบปี เป็นกรรมการ สายผ้าป่า ของ อ.เฒ่าสุพรรณ
    เหรียญเม็ดแตงหลวงพ่อกวยปิดทองฝังลูกนิมิตวัดหนองแขม สร้อยเดิมจากวัด ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240325_193104.jpg IMG_20240325_193222.jpg IMG_20240325_193245.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2024
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,684
    ค่าพลัง:
    +21,337
    1383614-31370.jpg
    พระครูปทุมชัยกิจ หรือหลวงปู่นะ เกิดเมื่อวันพุธที่ 6 ธ.ค. 2459 ที่บ้านขุนแก้ว ต.ดงขวาง อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี พ.ศ.2485 ได้ไปจำพรรษาที่วัดปทุมธาราม (หนองบัว) และในปี พ.ศ.2487 สอบได้ นักธรรมชั้นเอก ขณะศึกษานักธรรม มีโอกาสศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณกับพระอาจารย์ศรี วัดหนองแฟบควบคู่ไปด้วย จนมีความรู้ความชำนาญการใช้สมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั่วไปด้วยหันมาให้ความสนใจศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติม และเรียนวิทยาคม เลขยันต์พันคาถาควบคู่กันไป จากตำราที่พระปลัดปั่น เจ้าอาวาสรูปที่ 9 ได้รับมอบจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และพระปลัดปั่น มอบตำราของหลวงปู่ศุขให้กับหลวงพ่อนะ ศึกษาสรรพวิชาจากในตำราทั้งหมด จนมีความรู้แตกฉานในวิทยาคมเป็นอย่างดี เป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย ช่วยเหลือปัดเป่าทุกข์เหล่านั้นด้วยความเมตตา ด้านวัตถุมงคลของหลวงปู่นะ อาทิ ใบพลูใจเดียว, เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ, สมเด็จบัวไขว้ข้างอุ, เหรียญรูปไข่ รุ่นรวยลาภ-รวยยศ, ผ้ายันต์หนุมานประสานกาย เป็นต้น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากสาธุชน ทั้งยังมีเรื่องเล่าลือจากลูกศิษย์ ถึงวิชาอาคมอีกมากมาย อาทิ ใช้ไม้ตีต้นไม้ เพียง 3 ที ต้นไม้ตายทันตาเห็น


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่นะวัดหนองบัว
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240325_212004.jpg IMG_20240325_212038.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มีนาคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...