หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล / พระแท้ ผู้ถ่อมตน/อุบายสมาธิง่ายๆ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NAMOBUDDHAYA, 11 ธันวาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    "หลวงปู่ดูลย์เคยสอนเราว่า
    ธรรมะมันอยู่ตรงหน้าเรานี่แหล่ะ
    เพียงแต่เราเข้าใจผิดเพียงนิดเดียวเอง
    เราก็เลยหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดเข้าใจผิด
    เมื่อเข้าใจผิดแล้ว ก็ผิดแล้วผิดเลย

    ว่าต้องเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ ไปย๊าวเหยียดเลย
    ธรรมะแท้ ๆ มันอยู่ตรงหน้าเรานี่แหล่ะ
    จะไปหามันทำไม
    ทำจิตให้เป็นปัจจุบันนี่ล่ะ
    ธรรมะแท้มันอยู่ตรงนี้"

    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
    อ.บัวเชต
    จ.สุรินทร์

    บันทึกโดย เขมปัญโญคฤหัสถ์

    8SvZnnznjnpV0TUoYDQKNbDLuLhQTra6-&_nc_ohc=5Qv6gCyuPCQAX_j_jQU&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    ที่มา
    https://web.facebook.com/songchai.l...Y7vPoGVcFhONshx9i5uXSDnb0TDWD20A&__tn__=-UC*F
     
  2. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    ok_0w07k0d6ru9JDdm9vGYmU-QjLHaqrB&_nc_ohc=GX_-BGf_G28AX_2gAww&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg

    ทะลุสมาธิคือจิตถึงธาตุรู้
    จิตเห็นจิต จิตรู้จิต
    นี่แหละที่หลวงปู่ดุลย์ท่านพูด
    "ทำญานให้เห็นจิตเหมือนดั่งตาเห็นรูป"
    จิตแท้ไม่มีการปรุงแต่ง จิตแท้คือปกติ
    จิตที่ไม่ปกติเพราะมาอยู่ข้างนอก
    ก็เลยปรุงแต่งต่างๆนานา
    ถ้าต้องการหมดการปรุงแต่ง
    ดูตรงนี้ก็จะจบ จิตตรงนี้ก็จะอยู่ข้างใน

    พระธรรมเทศนา ณ พุทธมณฑล 16 มกราคม 2553

    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร


    -----------------------------

    ที่มา https://web.facebook.com/songchai.l...AFEoo4031JF0O9ArDhNmkJSIs4gHTjgg&__tn__=-UC*F
     
  3. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    GFxmxOAKwKRmY39bkRXOjO80WfxS8OUtD2&_nc_ohc=r4HzxMzu9vYAX_AEdWg&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk2-7.jpg
     
  4. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    วันนี้วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗ เป็นวันคล้ายวันเกิดของพระเทพวชิรญาณโสภณ(หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล) เจริญอายุวัฒนมงคลครบ ๗๒ ปี ๕๒ พรรษา ลูกหลาน ศิษยานุศิษย์ กราบอาราธนาอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยขอให้หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล มีธาตุขันธ์แข็งแรงอยู่เป็นร่มโพธิธรรม สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาสืบนานเท่านานเทอญ

    “...ตายแล้ว เกิดไม่ได้
    เพราะจิตไปสู่ความว่างแล้ว
    เพราะจิตมันไม่เอาขันธ์ ..ขาดจากขันธ์
    เป็นพระองค์เดียวที่ไม่ได้ฆ่ากิเลส
    เพราะมันฆ่าไม่ทัน ..จิตเข้าในก่อน
    จิตเข้าในจะรู้แต่ข้างใน ..ไม่รู้ข้างนอก
    ถ้ารู้ข้างนอก ..แสดงว่าจิตไม่เข้าข้างใน..”

    #ประวัติและปฏิปทาหลวงพ่อเยื้อน_ขนฺติพโล
    วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
    บ้านจรัส ต.จรัส อ.บัวเชด จ.สุรินทร์

    #ชาติภูมิ
    หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล มีนามเดิมว่า นายเยื้อน หฤทัยถาวร เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๕ ณ บ้านระไซร์ ต.นาดี อ.เมือง จ.สุรินทร์ โยมบิดาชื่อ นายมอญ หฤทัยถาวร และโยมมารดาชื่อ นางฮิต หฤทัยถาวร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๙ คน ท่านเป็นบุตรคนแรก

    #อุปสมบท
    เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๑๕ ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ โดยมี พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระรัตนากรวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ (ฝ่ายธรรมยุต) และเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสถิตยสารคุณ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระครูวิมลสีลคุณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “ขนฺติพโล” อันมีความหมายเป็นมงคลว่า “ผู้มีความอดทน”
    ท่านจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียนบ้านระไซร์ ต.นาดี อ.เมือง จ.สุรินทร์

    #ฝึกอบรมและศึกษาดูงาน
    ศึกษาธรรมและปฏิบัติภาวนาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๕ เริ่มในวันแรกที่บวช โดยศึกษากับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ซึ่งท่านได้สอบจิตทำความสงบ สามารถปฏิบัติภาวนาได้รวดเร็วมีจิตสงบนิ่ง หลวงปู่ดูลย์จึงได้สนับสนุนให้ปฏิบัติธรรม โดยท่านกล่าวว่า “จิตเข้าสู่โลกุตรธรรมแล้ว ไม่ต้องเรียนหนังสือ ให้ปฏิบัติธรรมต่อไป” ต่อมาท่านได้ฝากให้เข้ารับการศึกษาอบรมข้อวัตรปฏิบัติกับหลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ตั้งแต่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๖

    #อุปัฏฐากหลวงตามหาบัวท่านให้จับงูก็ไม่ลังเล
    อาตมานี่โดนหลวงตาสอนไม่เหมือนใคร ส่วนมากท่านไม่บอกชื่อ ท่านอยากได้อะไรท่านเหลือบตาเอา ถ้าจิตไม่เป็นหนึ่งมันเอาไม่ได้เลย และอาตมานี่ หลวงตาสั่งไม่เคยเถียงแม้แต่คำเดียว ท่านพูด มีแต่ไปอย่างเดียว จนหลวงตาท่านบอกว่า ท่านเยื้อนทำไมกลัวผม ผมเป็นเสือเหรอ ก็บอก ถ้าผมไม่กลัวอาจารย์ ผมไม่อยู่กับอาจารย์หรอก อยู่กับอาจารย์ต้องเกรงใจ ต้องกลัว ต้องเคารพ ถึงจะได้ธรรม แต่ถ้าเราอยู่ด้วยความไม่เคารพ ธรรมไหนจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นหลวงตาสั่งอาตมานี่ จะไม่มีคำต่อแม้แต่คำเดียว มีแต่ไปอย่างเดียว

    ช่วงนั้นงูบ้านตาดเยอะ เขาถือว่าอาตมาเป็นพระเขมร เขานึกว่าจับงูแล้วงูไม่กัด แต่มันไม่ใช่ พอหลวงตาบอกว่า ธรรมสุรินทร์ งู ! อาตมาก็ไล่จับงูจนได้ งูอะไรไม่สนใจ วันนั้นเจองูเห่า เอามาให้หลวงตา ท่านว่า เฮ้ย ! มันงูเห่า จับได้ยังไง ก็หลวงตาบอกงู ก็ไล่จับเลย ไม่สนใจว่างูจะกัดไม่กัด ไม่สนใจ เพราะอาจารย์สั่งแล้วต้องทำ

    วันนั้นก็เลยจับได้หลายอย่าง เขาก็นึกว่าอาตมาเป็นพระเขมรมีคาถาป้องกันงูกัด อาตมาพูดด้วยใจต่อหน้าโยมเลย ไม่มีหรอก อาตมาทำเพื่อตอบสนองที่หลวงตาท่านสั่ง อาตมามั่นใจว่าหลวงตาไม่ให้งูกัดอาตมาหรอก อาตมาก็เลยพูดตลกว่า “ลาวสั่ง เขมรลุย” ลาวสั่งปุ๊บ เขมรลุยทันทีเลย ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ลุยทันทีเลย ก็เลยเป็นพระลุยตั้งแต่นั้น ก็ลุยอะไรมาตลอดตั้งแต่นั้น อยู่ไหนก็ลุยตลอดเลย ไม่เคยแพ้ แพ้ไม่เป็น ถอยไม่เป็น เป็นพระถอยไม่เป็น

    เพราะฉะนั้น ตอนอยู่วัดป่าบ้านตาดนี่จะไม่ค่อยอยู่ จะกางกลดใต้ต้นไม้ ทำไมนอนอย่างนั้น เพราะหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ส่งมา องค์อื่นเข้ามาเอง ก็นอนกุฏิก็ได้ แต่นี่พระอรหันต์ส่งมาหาพระอรหันต์ จะไปอยู่อย่างนั้นได้ยังไง

    การอยู่อุปฐากหลวงตานี่ละเอียดมาก ท่านเป็นพระละเอียด ท่านจะเปรยนิดเดียว ถ้าคนคิดมาก อาตมาว่าเป็นประสาทพอดี อาตมานี่ หลวงตาจะให้ไปจับเส้นให้ เราก็แปลก จับครั้งหนึ่ง ครั้งสอง ก็ไม่คิดอะไร จับไปเรื่อย ต้องให้ท่านหลับจึงจะปล่อยมือได้ เราก็กินข้าวเหนียว เขมรกินข้าวเหนียวลาว มันง่วงสุด ๆ เลย แต่พระลาวไปนอนหมด เขมรไม่ได้นอน ต้องจับเส้นหลวงตาอยู่นั่นคนเดียว

    วิธีการสอนของหลวงตา ท่านสอน แต่ไม่บอกว่าสอน ให้จับ ก็ดูเวลาประมาณบ่ายครึ่ง หลวงตาก็มีเสียงกรน คร่อก ๆ เราก็ปล่อยมือ วันไหน คร่อก ๆ แล้วหยุด เราก็ไปจับต่อ จน คร่อก ๆ นาน ๆ เราก็ออก จนใส่ประตูยังคร่อก ๆ อยู่นะ ลงบันไดมาก็ยังคร่อก ๆ เราก็ไปชงโกโก้ให้ท่าน

    ประมาณ ๒๐ นาที ท่านก็ลุกตามเราไป ที่แท้ไม่ใช่อะไร เราชนะนิวรณ์แล้ว ความง่วงนอนเราหายแล้ว หลวงตาเลยทำท่าหลับ ที่แท้ท่านไม่หลับ เพราะอาตมาดูแล้ว คล้ายกันทุกครั้งเลย นี่เป็นวิธีการสอนของอาจารย์ ละเอียดมาก เราก็ต้องจับอยู่อย่างนั้นล่ะ เพราะเป็นพระอุปัฏฐาก ก็ต้องดูแล

    หลวงตานี่ละเอียด อาตมาเป็นพระอุปัฏฐากก็ต้องเอาแก้วน้ำไปล้าง มาวางใหม่ไม่ถูก หลวงตาก็ไม่ฉัน เราก็มาดู ทำไมน้ำเต็มแก้ว วันนี้ก็เต็มแก้ว พรุ่งนี้ก็เต็มแก้วอีก อาตมาเลยว่าต้องผิดพลาดอะไรสักอย่าง ปกติหลวงตาจะฉัน แต่ตอนนี้ไม่ฉัน ท่านก็ไม่บอกว่าผิดหรือถูก อาตมาก็เลยหาทางออกให้ตัวเอง ไปกินน้ำนมเยอะ ๆ ให้มันถ่ายท้อง ถ้าถ่ายท้องก็ไปบิณฑบาตไม่ได้ พอบิณฑบาตไม่ได้ หลวงตาก็ให้คนอื่นไปทำกิจวัตรใหม่ ท่านก็สอน

    อาตมาก็แอบเป็นโจร แอบปีนไปดู มันเป็นยังไงแน่ ไปดูแก้วน้ำ ว่าท่านสอนคนอื่นสอนยังไง จังหวะพอดีห้องท่านเป็นไม้ มันมีลายไม้ อาตมาก็จำไว้ จำตรงนี้ไว้ เพราะจิตท่านเป็นหนึ่ง เคลื่อนนิดท่านก็ไม่เอา ไม่เอาเลยนะ แล้วก็ไม่บอกว่าผิดด้วยนะ คือท่านไม่ฉันเลย โยมจะต้องทรมานมาก เป็นผู้อุปัฏฐากแล้วอาจารย์ไม่ฉันเนี่ย ท่านก็ไม่บอกว่าผิด

    วันนั้นอาตมาไม่บิณฑบาต มาแอบดู ท่านก็สอนพระฝรั่ง อาตมาก็เลยจับได้ อาตมาก็เอาไปล้าง มาวางทีเก่า นิ๊ดเดียวก็ไม่ได้นะ ต้องที่เก่า ครูอาจารย์ลีท่านขีดปากกาไว้เลยนะ ครูอาจารย์ลี ผาแดง โดนหลวงตาด่า อาตมานี่ปากกาไม่มี เลยจำลายไม้ กาน้ำได้ กระโถนได้ เรียบร้อยแล้ว หลวงตาก็ฉัน ท่านละเอียดจริง ๆ ถ้าจิตไม่เป็นหนึ่งนี่ อย่าหวังเลย พลาดหมด

    หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโลได้ฝึกปฏิบัติกรรมฐานกับองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จนถึงปี พ.ศ.๒๕๑๘

    ในช่วงระหว่างปี พ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๑๙ เขมรแดงได้เข้ายึดครองประเทศกัมพูชา ทหารเขมรแดงได้เข่นฆ่าประชาชนฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามแตกกระเจิงรุกล้ำเข้ามายังเขตแดนของประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ฝ่ายกองกำลังผู้ก่อการร้ายในประเทศไทยเอง ก็สู้รบกับกำลังทหาร ตำรวจไทยอย่างดุเดือดรุนแรง โดยเฉพาะตามแนวตะเข็บชายแดน สาเหตุจากการขัดแย้งด้าน การเมือง

    ฝ่ายทหารไทยโดยกองทัพภาคที่ ๒ ค่ายสุรนารีต้องการได้พระภิกษุมาปลอบขวัญทหารที่ทำการสู้รบ จึงทูลขอจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ สมเด็จพระญาณสังวร แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อให้พระมาอยู่ประจำกับค่ายทหารที่ชายแดนใน โครงการ “พระสงฆ์นำการทหารเพื่อความมั่นคง”

    สมเด็จพระสังฆราชทรงมีพระบัญชาให้ทหารไปขอพระภิกษุจากพระราชวุฒาจารย์หรือหลวงปู่ดูลย์ ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ โดยตรง ในฐานะที่ท่านเองก็อยู่ในท้องถิ่นนั้นอยู่แล้ว หลวงปู่ดูลย์พิจารณาแล้วเห็นว่าพระที่จะไปอยู่กับทหารเห็นมีเหมาะสมเพียงองค์เดียว คือพระเยื้อน ขันติพโล เท่านั้น จึงสั่งให้พระจากวัดพร้อมกับทหารไปนิมนต์พระเยื้อนซึ่งขณะยังปฏิบัติธรรมศึกษาอยู่กับองค์หลวงตามหาบัว ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี ทหารกับพระที่มาด้วยแจ้งต่อพระเยื้อนว่า หลวงปู่ดูลย์ต้องการตัวให้รีบมาด่วน พระเยื้อนจึงกราบลาหลวงตามหาบัวเดินทางกลับสุรินทร์

    เมื่อเข้าพบหลวงปู่ดูลย์ท่านก็บอกว่า การอบรมวิปัสสนากรรมฐานเพียงพอแล้ว ให้กลับมาเผยแผ่ศาสนาในจังหวัดสุรินทร์ โดยมีกองทัพภาคที่ ๒ สนับสนุนสร้างสำนักสงฆ์ให้ไปจำพรรษาที่เนิน ๔๒๔ ช่องพริก ต.จรัส อ.บัวเชด จ.สุรินทร์

    หลวงพ่อเยื้อนกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเองปฏิบัติวิปัสสนามาน้อย พรรษาก็น้อยไม่เพียงพอกับการรับภารกิจนี้ได้ จำเป็นต้องอยู่ศึกษากับหลวงตามหาบัวอีกนาน แต่หลวงปู่ดูลย์ยืนกรานให้มาช่วยทางสุรินทร์ และได้ทำหนังสือขอตัวพระเยื้อนจากหลวงตามหาบัวในเวลาต่อมา ฝ่ายหลวงตามหาบัวเมื่อได้รับหนังสือขอตัวพระเยื้อนกลับไป ท่านก็กล่าวว่า เสียดายไม่อยากให้กลับเลย แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหลวงปู่ดูลย์ขอตัวมาก็ต้องให้กลับไปช่วยท่านก่อน และได้ฝากคำพูดกับพระเยื้อนว่า "ถ้าออกไปแล้วสู้ไม่ไหวก็กลับมา วัดป่าบ้านตาดเปิดประตูรับท่านตลอดเวลา"

    หลวงพ่อเยื้อนขัดคำสั่งหลวงปู่ไม่ได้ เมื่อทหารเอารถมารับจึงได้มาอยู่ที่เนิน ๔๒๔ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๘ เหตุการณ์ในช่วงนั้นบ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ ภัยคุกคามจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และจากทหารเขมรแดงก่อความเดือดร้อนทั้งชาวไทยและชาวเขมร ชาวบ้านหนีตายถึงกับบ้านแตกสาแหรกขาด ถูกล้อมเผาหมู่บ้านต้องอพยพหนีภัยกันอย่างน่าสลดใจยิ่ง

    ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๙ มีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นที่เนิน ๔๒๔ เวลาประมาณ ๐๓.๐๐ น. ถึงประมาณเที่ยงของวันรุ่งขึ้น มีกองกำลังไม่ทราบสัญชาติมาโจมตีหน่วยตระเวณชายแดนที่อยู่ห่างจากวัดประมาณ ๕๐๐ เมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน แล้วก็มาเผาวัด เผาโรงเรียน เอาจรวดอาร์ พี จี ยิงใส่พระพุทธรูปจนระเบิด เวลานันพระเยื้อนต้องหลบหนีเอาตัวรอด เมื่อหาที่อยู่ไม่ได้ จึงกลับไปอยู่ที่วัดบูรพารามและจำพรรษาอยู่ที่นั่น ๑ พรรษา

    หลวงพ่อเยื้อน กราบเรียนขออนุญาตหลวงปู่ดูลย์ เพื่อปลีกตัวออกวิเวก เมื่อได้รับอนุญาตแล้วท่านจึงออกธุดงค์ไปยังสถานที่อันสงบตามป่าเขาใน จ.กาญจนบุรี ท่านธุดงค์ด้วยเท้าไปทางด่านเจดีย์สามองค์ จนผ่านด่านลึกเข้าไปในเขตแดนกะเหรี่ยง ถูกทหารกะเหรี่ยงจับไปคุมขังไว้ ๔ วัน เนื่องจากคิดว่าเป็นสายลับของทหารพม่า ต่อมาทหารกะเหรี่ยงสอบสวนแน่ชัดแล้วว่าไม่ใช่ฝ่ายศัตรูจึงปล่อยตัวมา หลวงพ่อเยื้อนเดินทางกลับ แต่หลงป่าเสียอีก ๒๒ วันโดยไม่ได้ฉันอาหารเลย ฉันแต่น้ำ ครั้นหาทางออกจากป่าได้แล้ว จึงเดินทางกลับมากราบหลวงปู่ดูลย์ที่สุรินทร์

    #ความว่างหลวงปู่ดูลย์

    หลวงปู่ดูลย์ท่านมีกระจกบานหนึ่งอยู่ในห้องท่าน เข้าไปจับเส้นท่าน ท่านบอก

    ท่านเยื้อนเห็นไหมในกระจกเห็นตัวท่านไหม

    เห็นครับ.... รูปผมอยู่ครับ...ตาเห็นรูปครับ

    ท่านบอกสองอย่างนี้เกิดหมดนะ ผู้เห็นกับผู้ถูกเห็นนะ ถ้าไม่อยากเกิดก็อยู่ตรงกลาง ก็คือความว่าง นั่นนะไม่เกิด!

    ความว่างหลวงปู่นะ พูดง่าย (หัวเราะ)พูดง่ายมาก! หลวงปู่ทำยังไงถึงว่าง ก็ตอนที่จิตเราว่างเราเข้าใจ เพราะจิตเราว่างแล้ว เราเข้าใจว่าว่างข้างในนี่เอง คือ

    ไม่ให้ติดทั้งกายทั้งสังขาร ให้อยู่ตรงกลางทั้งสองอย่างนี้

    เหมือนที่เรามีตัวรู้เย็นนี้ มีอยู่ในกายแต่ไม่เกี่ยวกับกาย มีอยู่ในขันธ์ก็ไม่เกี่ยวกับขันธ์

    คำว่าว่างตรงกลางคืออยู่ตรงนี้ แต่ใครมันจะตีความแตกล่ะ เป็นจังหวะพอดีเราไปเข้าใจเข้า มันก็เลยเข้าใจปัญหาเลย

    “โอปนยิโก” การน้อมเข้าสู่ภายใน ความรู้ภายใน มันเป็นการรู้แจ้ง รู้ชัด รู้มั่นคง รู้หนักแน่น และรู้อิ่ม รู้เบิกบาน

    #รับงานใหญ่สร้างวัดให้องค์หลวงปู่ดูลย์
    ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงปู่ดูลย์ปรารถนาจะสร้างวัดสาขาขึ้นใน อ.สนม เป็นวัดให้พระภิกษุสามเณรได้ศึกษาปฏิบัติกัมมัฏฐาน จึงมอบหมายให้หลวงพ่อเยื้อนไปสำรวจสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อดำเนินงานต่อไป เมื่อได้รับมอบหมายหลวงพ่อเยื้อนจึงนำเรื่องการสร้างวัดไปปรึกษากับแม่ชีกาญจนา บุญญลักษม์ (แม่ชีน้อย) ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐาก และเป็นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ดูลย์คนหนึ่ง แม่ชีกาญจนาจึงมอบหมายให้บุตรชายของท่านคือ นายไพบูลย์ บุญญลักษม์ ซึ่งมีภูมิลำเนาทำการค้าอยู่ใน อ.สนม อยู่แล้วให้ช่วยสำรวจสถานที่สร้างวัด
    คณะสำรวจไปพบสถานที่แห่งหนึ่งเป็นที่สาธารณะและเป็นป่าช้าเก่ารกร้างที่ ต.บ้านโดน อ.สนม จ.สุรินทร์ จึงกราบเรียนหลวงปู่ หลวงปู่จึงสั่งให้หลวงพ่อเยื้อนไปปักกลดจำศีลภาวนาปฏิบัติธรรมในป่าช้าแห่งนั้นเพื่อเป็นการบุกเบิก

    #วิบากกรรม
    เมื่อหลวงพ่อเยื้อนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็มิได้นิ่งนอนใจ เริ่มเดินทางไปอำเภอสนม และเข้าไปปักกลดปฏิบัติภาวนาในป่าช้าสาธารณะแห่งนั้นทันที คืนแรกของการอยู่กลดธุดงค์ หลังจากได้สวดมนต์ทำวัตรเย็น และภาวนาก็ปรากฏเหตุคล้ายฝัน ซึ่งฝันในทางพระพุทธศาสนา ท่านกล่าวไว้ว่าความฝันเกิดได้ ๔ ประการคือ กรรมนิมิต จิตอาวรณ์ เทพสังหรณ์ และธาตุพิการ จะด้วยอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๔ เหตุที่ว่ามานี้ พระอาจารย์เยื้อนได้เห็นภูมิเทวดาในชุดสีขาว ๔ องค์ ถือพานดอกไม้ธูปเทียนเข้ามากราบนมัสการและนิมนต์ให้ท่านไปอยู่ที่วัดคู่เมือง พร้อมทั้งชี้ไปรอบๆ พื้นที่ว่างเปล่า ณ ที่นั้นพร้อมกับบอกแก่ท่านว่า หากมาอยู่ที่นี่คิดจะทำกิจการสิ่งใด ก็จักสำเร็จสมความปรารถนาทุกประการ หลวงพ่อเยื้อนอยู่ปฏิบัติที่ป่าช้าสาธารณะแห่งนี้เป็นเวลา ๔ วัน จึงกลับวัดบูรพาราม

    ต้นปี พ.ศ.๒๕๒๐ อุบาสิกากาญจนาได้นิมนต์หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่สาม ท่านอาจารย์สมพร และภิกษุสงฆ์อื่นๆ อีก ๖ รูป ไปเจริญพระพุทธมนต์ทำบุญบ้านบุตรชายที่ อ.สนม และได้ถือโอกสนั้นนิมนต์หลวงปู่ดูลย์ไปดูสถานที่ป่าช้าสาธารณะแห่งนั้น เมื่อหลวงปู่ได้พิจารณาแล้วเห็นเหมาะสมที่จะสร้างวัดป่าเพื่อเป็นวัดปฏิบัติสืบต่อไปได้ตามปราถนา จึงได้ให้หลวงพ่อเยื้อนมาปฏิบัติบุกเบิกอยู่ ณ ที่นี้ต่อไป

    การมาอยู่ป่าช้าครั้งที่ ๒ นี้ หลวงพ่อเยื้อนได้ปฏิบัติกิจออกบิณฑบาต และกลับไปอยู่ภาวนาที่กลด ปรากฏว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น เลื่อมใสสนใจมานมัสการ สนทนาธรรมและรับการอบรมสมาธิภาวนากับพระอาจารย์ แต่เมื่อย่างเข้าวันที่ ๑๓ ปรากฏว่าการมาอยู่ป่าช้าของพระอาจารย์เยื้อนเริ่มมีอุปสรรคขัดขวางและมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย พระอาจารย์ต้องได้รับความทุกข์จากการถูกขับไล่ให้ออกจากป่าช้านั้นด้วยการกลั่นแกล้งด้วยวิธีต่างๆ เป็นเรื่องราวใหญ่โตจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดในครั้งกระนั้น

    ท่านประสบกับการต่อต้านทั้งจากฆราวาสและพระสงฆ์ที่อยู่เดิมในอำเภอนั้น พยายามในวิธีการต่างๆ ที่จะขับไล่ไสส่งให้พระอาจารย์ฯต้องออกจากพื้นที่ป่าช้าแห่งนั้นให้ได้ และได้กระทำถึงขั้นการใส่บาตรโดยเอาข้าวผสมผงขัดหม้อ กรวดทราย และการใช้ยาสั่ง และการเผาปะรำที่ชาวบ้านผู้ศรัทธาสร้างถวายให้อยู่ เป็นต้น เรื่องได้ลุกลามถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองต้องเข้ามาเกี่ยวข้องสืบสวนประชุมชาวบ้านเพื่อให้ลงมติว่าจะให้ท่านอาจารย์ฯออกจากป่าช้าหรือให้อยู่ เมื่อมีการประชุมออกเสียงของชาวหมู่บ้านต่าง ๆ แล้ว ปรากฏว่าพวกศรัทธาประมาณ ๖๐๐ คน ขอให้อยู่ต่อไป พวกต่อต้านมีประมาณ ๒๐๐ คน จึงยอม แต่ก็ไม่ยุติเรื่องเพียงเลี่ยงมาใช้การปลุกปั่นยุยงโดยการกระจายเสียงไม่ให้ชาวบ้านทำบุญใส่บาตรและไม่ให้คบค้าและซื้อสินค้าจากบุตรชายของแม่ชีกาญจนา อีกคนหนึ่งด้วย

    การขัดขวางรุนแรงขึ้นถึงขั้นเอาชีวิตกันทีเดียว โดยที่คืนวันหนึ่งเวลาดึกสงัดขณะที่พระอาจารย์เยื้อนกำลังนั่งภาวนาอยู่ในกลดได้มีชาวบ้านเอาอิฐ หิน มาระดมขว้างปาเข้าใส่กลดที่พระอาจารย์กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่อย่างหนัก ซึ่งถ้าเป็นบุคคลธรรมดาแล้วคงจะมีชีวิตอยู่ได้ยาก รุ่งเช้าชาวบ้านที่ต่อต้านท่านได้ออกเที่ยวไปปล่อยข่าวว่าพระป่าตายแล้ว ชาวบ้านที่ศรัทธาในตัวพระอาจารย์พากันเศร้าเสียใจ และเดินทางจะไปเยี่ยมศพ แต่กลับปรากฏว่าท่านยังมีชีวิตอยู่เหตุการณ์ครั้งนั้นท่านก็มิได้เอาเรื่องด้วยถือว่าเป็นกรรมี่ได้เคยร่วมทำกันมา

    เมื่อเอาชีวิตพระป่าไม่ได้ ฝ่ายต่อต้านก็เปลี่ยนใช้วิธีใหม่ที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ตอนนั้น ด้วยการออกบัตรสนเท่ห์กล่าวหาว่าพระอาจารย์เป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งขณะนั้นสถานการณ์ก่อการร้ายและการขยายงานของพรรคคอมมิวนิสต์ ยังดำเนินการอยู่กว้างขวาง พื้นที่อำเภอสนม ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่สีชมพู คือเป็นพื้นที่ที่มีคอมมิวนิสต์ดำเนินงานมวลชนอยู่มาก กล่าวหาว่าเป็นพระอวดอุตริมนุสธรรม ทำตนเป็นพระวิเศษ มีเรื่องชู้สาว เป็นต้น เรื่องต่างๆ เหล่านี้ พระอาจารย์เยื้อนได้เล่าถวายหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ผู้เป็นอาจารย์ด้วยตนเอง ซึ่งท่านได้กล่าวว่า “คนเรามีกัมมัฏฐานดีอยู่แล้ว อยู่ป่าช้าก็ดี ตายแล้วไม่ต้องไปหาที่ฝังที่ไหนอีก และให้มันรู้ไปว่าคนดีจะอยู่ที่นี่ไม่ได้” คำกล่าวเพียงนี้ได้สร้างพลังใจและความอดทนให้แก่พระอาจารย์เพิ่มยิ่งขึ้นอีก เพื่อปลดเปลื้องกรรมที่มีและรอผลตอบแทนจากความสำเร็จซึ่งมิใช่สำเร็จประโยชน์แก่หลวงพ่อเยื้อนเอง เมื่อสามารถเผชิญต่อวิบากและอุปสรรคทั้งหลายได้อย่างไม่หวั่นไหวในฐานะพระป่าแล้ว ปรากฏผลคือสามารถสร้างวัดได้สำเร็จสมปรารถนาของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านเอง คือ มีวัดสาขาอยู่ใน อ.สนม ซึ่งเป็นความหมายที่ยิ่งใหญ่แก่หลวงพ่อเยื้อน

    หลังจากได้ตั้งปณิธานอันแน่วแน่เช่นนั้นแล้ว หลวงพ่อเยื้อนก็ได้ยืนหยัดอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่นสืบไป อย่างไม่ย่อท้อหรือหวั่นไหวต่อเหตุที่จะเกิด ครั้งหนึ่งท่านฉันอาหารโดนยาสั่ง ทำให้อาเจียนและล้มป่วยเกือบเอาชีวิตไม่รอด จนถึงหลวงปู่ดูลย์เมตตาเดินทางมาดูแลอยู่ด้วย ๒ วัน หลังจากหายป่วยแล้ว ชาวบ้านผู้ต่อต้านยังคงดำเนินการฟ้องร้องทางการการว่าท่านเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาสอบสวน ซึ่งมีแม่ทัพภาค ๒ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ในขณะนั้น และ พ.อ.ชาญ ทองดี ทราบข้อเท็จจริงแล้ว กลับนิเยมเลื่อมใสในพระอาจารย์เยื้อน จึงเห็นเหตุชาวบ้านจะก่อเหตุเผาปะรำ ศาลาน้อยของท่าน แต่นายปัญญา บุญญลักษม์ ได้เข้าขัดขวางไว้ได้

    เรื่องที่น่าแปลกคือกลุ่มชาวบ้านที่ร่วมกับพวกต่อต้านหาได้รู้จักพระอาจารย์เยื้อนโดยส่วนตัวไม่ ทั้งยังไม่เคยเห็นว่าพระป่ารูปร่างเป็นอย่างไร การที่เข้าร่วมต่อต้านด้วยก็เป็นไปเพราะแรงยุเท่านั้น จะเห็นได้จากครั้งหนึ่งชาวบ้านประชุมวางแผนจะขับพระป่าออกไป โดยชาวบ้านรวมตัวกันได้ประมาณ ๑,๐๐๐ คน และมีชาวบ้านขบวนหนึ่งได้พบท่าน ซึ่งขณะนั้นพระอาจารย์กำลังจะเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่ดูลย์ แต่ก็เกิดเปลี่ยนใจไม่ไป ชาวบ้านเหล่านั้นได้ชวนท่านให้ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อขับไล่พระป่า เพราะตั้งแต่พระป่ามาอยู่เป็นเหตุให้คนไม่ทำงาน มัวแต่จับกลุ่มคุยฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล เมื่อถามว่าเคยเห็นพระป่าองค์นั้นไหม ก็ได้คำตอบว่า “ไม่เคยเห็น”

    ท่านเดินทางตามชาวบ้านกลุ่มนั้นไป แต่แล้วก็ได้เดินแยกไปอีกทางหนึ่ง พบชาวบ้านระดับหัวหน้ากลุ่มกำลังประชุมวางแผนกันอยู่ พระอาจารย์จึงยืนฟังแผนการที่ชาวบ้านพวกนั้นจะเดินขบวนขับไล่ หากครั้งนี้ทำไม่ได้ผลก็จะบุกเข้าจับมัดเอาตัวไปทิ้งให้ห่างไกลและหากกลับมาอีก ก็จะฆ่าทิ้งเสียให้สิ้นเรื่อง เมื่อชาวบ้านปรึกษาหารือกันแล้ว ท่านจึงได้ออกจากที่ที่ยืนซุ่มอยู่ และถามว่า “ทำไมไม่ไปคุยกันในป่าช้า” พวกชาวบ้านบ้านเหล่านั้นคาดไม่ถึงว่าจะพบหลวงพ่อในลักษณะนั้น ก็พากันตกใจรีบแยกย้ายหนีกลับบ้าน

    เมื่อกลับมาถึงป่าช้า ท่านก็ได้ชี้แจงต่อชาวบ้านที่เดินขบวนมาถึงว่า เมื่อท่านมาที่นี่เอง และโยมพากันมาขับไล่ด้วยความไม่เข้าใจ ตัวท่านก็จะขออยู่ต่อไปก่อนเพื่อชี้แจงให้หายข้องใจแล้วจึงจะออกไป เมื่อมาเองได้ก็ออกไปเองได้ ไม่ต้องมาขับไล่ แม้จะพยายามชี้แจงอย่างไร ฝ่ายต่อต้านพระป่าก็ไม่ยอมฟัง กลับพากันเผาศาลาปะรำที่อาศัยจนท่านต้องย้ายที่อยู่ใหม่ แต่นั่นยังไม่พอเพียง ได้ส่งคนมายืนด่าเช้าด่าเย็นทุกวัน ร้อนถึงนายลิ้ม นวลตา ต้องนำเรื่องไปกราบเรียนต่อ พระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ ซึ่งท่านได้มาขอร้องให้หลวงพ่อเยื้อนออกจากป่าช้าแห่งนั้นเถิด เพราะเกรงว่าอันตรายจะเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ในที่สุดนายอำเภอต้องรับหน้าที่เข้ามาไกล่เกลี่ย ความขัดแย้งนั้นด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อออมชอม และนำมาซึ่งสันติสุขและความสงบเรื่องราวทั้งหลายในอำเภอนี้

    #พ้นวิบากกกรรมวัดป่าฯเกิด
    คงจะเป็นเพราะเคราะห์และวิบากกรรมต่างๆ ของหลวงพ่อเยื้อนจะถึงที่สุด จึงเป็นผลให้ชาวบ้านที่ศรัทธาในพระอาจารย์ที่มีจำนวนมากพอสมควร โดยการนำของนายปัญญา บุญญลักษม์ ได้พร้อมใจกันตกลงซื้อที่ดินจำนวน ๒๕ ไร่ ในราคา ๖๕,๐๐๐ บาท จากนางถาวร อึ้งพานิช และถวายเพื่อสร้างวัด โดยให้ชื่อว่า “วัดป่าบุญญลักษม์” ทั้งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ของตระกูลบุญญลักษม์ ที่มีความศรัทธาปสาทะในพระบวรพุทธศาสนา และเพื่อเป็นมงคลนามตามที่หลวงปู่ดูลย์มอบไว้ในครั้งเริ่มแรกสร้างวัด หลวงปู่ได้ให้รื้อศาลาหลังเก่าจากวัดบูรพารามมาสร้างไว้เป็นศาลาไม้ และท่านได้เคยมาพำนักอยู่ที่วัดนี้เป็นประจำ กุฏิที่ศิษย์สร้างถวายหลวงปู่ ปัจจุบันได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี บริเวณวัดครั้งกระนั้นยังลุ่มๆ ดอนๆ แห้งแล้ง แต่ก็ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่ดูลย์ ที่แม้จะทิ้งสังขารขันธ์แล้วก็ยังตามมาเกื้อหนุนวัดที่ดำริสร้าง จึงทำให้มีผู้สนใจวัดป่าแห่งนี้ กล่าวคือ ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ ในปี พ.ศ.๒๕๒๘ หลวงพ่อเยื้อนได้มีโอกาสพบคุณพเยีย พนมวัน ณ อยุธยา ผู้นับถือในองค์หลวงปู่กับพวก ได้เดินทางขึ้นมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลถวายหลวงปู่ เกิดความสนใจและได้ขอไปดูวัดป่าฯ ของหลวงปู่ เมื่อมาเห็นสภาพดังกล่าว ก็ให้มีจิตคิดจะบำรุง จึงได้นำญาติมิตรมาร่วมกับปรับพื้นที่ และเริ่มปลูกสร้างถาวรวัตถุ โดยเฉพาะที่สำคัญคือ ศาลาอเนกประสงค์หลังปัจจุบันที่สร้างแทนศาลาไม้ที่ผุพังเหลือกำลังที่จะซ่อมแซมได้แล้ว นอกจากนี้ทางวัดยังประสบปัญหาความกันดารขาดแคลนน้ำดื่ม น้ำกิน น้ำใช้ คณะญาติมิตร ผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมเป็นกำลังขุดสระน้ำ สร้างถังเก็บน้ำฝนถวาย และเดินทางสายไฟฟ้าเข้าใช้ในวัดด้วย

    เนื่องจากศรัทธาที่หลั่งไหลจากญาติโยมทั้งใกล้ไกลมาช่วยทำนุบำรุงก่อสร้างเสนาสนะเพิ่มเติม ชั่วระยะเวลา ๑๐ ปี จึงทำให้ปัจจุบันวัดมีถาวรวัตถุหลายสิ่งเพยงพอแก่การอยู่ใช้ เช่น ศาลาอเนกประสงค์ ขนาดกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๒๔ เมตร ๑ หลัง เป็นที่ประกอบศาสนกิจต่างๆ หากได้ฝังลูกนิมิตและผูกพัทธสีมาเสร็จแล้ว ก็จะใช้เป็นอุโบสถเพื่อให้สงฆ์ได้ลงทำสังฆกรรมได้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติต่อไป เพราะปัจจุบันวัดนี้ก็ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๑ โดยมีนางพงส์ สารสิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ลงนามสนองพระราชโองการ

    นอกจากนั้นมีกุฏิพระ ๙ หลัง กุฏิชี ๖ หลัง และที่พักของผู้มาปฏิบัติธรรม ๑ หลัง ยังขาดแต่โรงครัว บริเวณรอบนอกมีกำแพงคอนกรีตล้อมรอบ ภายในมีต้นกะถินณรงค์ปลูกไว้พอเป็นร่มเงาให้ความร่มรื่นได้พอสมควร

    #การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
    พ.ศ.๒๕๒๖ เผยแผ่พุทธศาสนา-ปฏิบัติธรรม ณ กรุงบอน ประเทศเยอรมัน

    พ.ศ.๒๕๒๗ ธุดงค์เผยแผ่พุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมพร้อมคณะพระสังฆราช ณ ประเทศเนปาล

    พ.ศ.๒๕๕๐ เป็น ๑ ใน ๕ ของผู้ที่ได้รับรางวัล ผู้บำเพ็ญประโยชน์ในการพัฒนาจิตประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐ ของสภาชาวพุทธ และมูลนิธิโลกทิพย์

    #สมณศักดิ์
    พ.ศ.๒๕๒๓ ได้รับแต่งตั้งจากพระราชวุฒาจารย์ (ดูลย์ อตุโล) ให้ดำรงตำแหน่งฐานานุกรมที่ พระครูใบฏีกา

    พ.ศ.๒๕๓๑ ได้รับพระราชทานโปรดตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท (วิปัสสนาธุระ) ที่ พระครูภาวนาวิทยาคม (วิ)

    พ.ศ.๒๕๓๖ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นโท ในราชทินนามเดิม

    พ.ศ.๒๕๔๓ ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

    พ.ศ.๒๕๔๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญยกที่ พระพิศาลศาสนกิจ

    พ.ศ.๒๕๕๗ ได้รับพระราชทานโปรดเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระราชวิสุทธิมุนี ศรีศาสนกิจจาทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

    พ.ศ.๒๕๖๔ ได้รับพระราชทานโปรดเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระเทพวชิรญาณโสภณ โกศลศาสนกิจบริหาร ภาวนาวิธานธุราทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี

    วันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งสมณศักดิ์ให้ พระราชวิสุทธิมุนี เป็น พระเทพวชิรญาณโสภณ (หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล) พระราชาคณะชั้นเทพ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร จังหวัดสุรินทร์

    ประกาศ ณ วันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นปีที่ ๖ ในรัชกาลปัจจุบัน

    สิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายที่ญาติโยมบอกว่า
    อันโน้นศักดิ์สิทธิ์ อันนี้ศักดิ์สิทธิ์
    มันหายไปจากจิตไปหมดแล้ว
    สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ของเราในปัจจุบัน คือ
    พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นมิตรที่ดี
    และเป็นเพื่อนที่ดีของเรา แล้วก็เป็นหัวใจเป็นที่พึ่งจริง ๆ ของเราเลย ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเลยที่จะมีความซื่อสัตย์เท่าที่พึ่งของธรรม ทำให้เราอยู่ในสังคมก็เหมือนไม่อยู่ในสังคม อยู่ในโลกก็เหมือนไม่อยู่ในโลก เพราะอำนาจความรู้สึกภายในนี้จะเด่นตลอดทุกวินาทีไม่เปลี่ยนแปลง

    กราบ กราบ กราบ

    1f64f.png 1f64f.png 1f64f.png

    ขอบคุณข้อมูลประวัติจาก วิกิพีเดีย และเพจศิษย์วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    gkfsfuuyycpuxik4ki38fuledkpbmdsrwmn1yje-_nc_ohc-4svjgfqiszeax-ga3jo-_nc_ht-scontent-fbkk22-2-jpg.jpg





    ทำญาณให้เห็น...จิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป

    ----------------------

    ขอบคุณที่มา https://www.youtube.com/@AMARINTVHD
     
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    ปุจฉา
    “ขออนุญาตฝากคำถามครับ
    ในขณะฝึก กรรมฐานอุบายน้ำเย็น ออกมาจากสมาธิแล้วมีสุข
    สภาวะอย่างนี้ใช่ฌานไหมครับ?”


    “ขอนำเรียนว่า
    หลวงพ่อสอนว่า
    “การดูจิตไม่ต้องเพ่ง ถ้าเพ่งจะเป็นฌาณ
    ฌาณ หรือญาณ อะไรๆ ไม่ต้องไปอยากได้
    ไม่ต้องอยากมี
    ให้มีสติรักษาจิตไว้
    มันเป็นจะเป็นฌาณ ญาณเอง
    รู้เองเห็นเองทั้งหมด”
    ขอเรียนว่า
    ถ้าขณะที่ดูจิตที่ฐานจิต แล้วจด จ่อ ให้จิตเป็นกลุ่มก้อน เป็นสี เป็นแสงสว่าง เป็นต่อมรู้ ไม่ว่าจะเป็นรูป หรือเป็นนาม ให้จิตกำหนดจดจ่อได้ ในขณะอยู่ในองค์ภาวนา จ่อดูฐานจิต
    แบบนี้ ขอให้ทราบว่า จิตเดินทางสายฌาณ แล้ว เพราะ องค์ฌาณได้บังเกิดแล้ว
    คือ วิตก วิจาร เมื่อทั้งสองเกิดขึ้น จิตยังเคล้าอยู่ในสิ่งนั้น ๆ ประการเดียว ไม่สนใจจดจ่ออะไร จิตจะเกิดอาการ อิ่มใจ ดูดดื่ม ชื่นใจ อาจจะเกิดตัวเล็ก ตัวใหญ่ โยกโคลง เป็นอาการของปีติ
    เมื่อจิตอิ่มด้วยปีติ ความสุข ชื่นใจ จะเกิดขึ้นในจิต จนเป็นเหตุทำให้จิตสามารถกำหนดจดจ่อ เพียงฐานจิตอย่างเดียว แบบนี้เป็นองค์ของฌาณ
    ความสุขใจที่เกิดในขณะภาวนา
    จึงเป็นองค์ของการภาวนาในสายของฌาณ
    ที่หากทำได้ไม่ผิด แต่ให้รู้จักว่า นี่คือ การเดินทางในมรรค ขึ้นทางฌาณ
    หากท่านทำในแนวนี้ ขอให้พึงระลึกว่า อย่ายึดติดในองค์ของฌาณใดๆ เพียงแค่ทราบในขณะนั้น แล้วให้จิตผ่านไป ด้วยการแค่ระลึกฐานจิตเอาไว้
    การเพ่งจิต ต้องอาศัยสติ ตลอดสาย จนถึงจตุตถฌาณ จึงจะเป็นสัมมาสมาธิ
    หากเพ่งจนจิตเข้มแข็ง แก่กล้า แต่สติตามระลึกไม่ทัน
    จิตจะหล่นไปสู่ห้วงของภวังคจิต จิตจะมืดสนิท ดับลงทั้งหมด ไม่เหลืออะไรเลย เหมือนคนนอนหลับ ไม่มีความระลึกอะไรได้เลย ในขณะนั้น
    แบบนี้จะกลายเป็นเหมือน อาตมัน เป็นจิตที่มีตัวตนให้เข้าไปอาศัยในภวังค์ได้
    อันเป็นมิจฉาสมาธิไปเสียสิ้น
    ซึ่งในทางศาสนาอื่นสอนให้เข้าภวังคจิตตรงนี้
    แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า มิใช่มรรค หรือทางเดินอันประเสริฐเลย
    การเดินทางสายฌาณ ต้องประกอบด้วยสติในทุกองค์ฌาณ จึงจะเข้าจตุตถฌาณ ที่ถูกต้องในที่สุดได้
    ไปชนกับอัปปนาสมาธิ
    อันเดียวกัน กล่าวคือ
    มีสติสัมปัชชัญญะสมบูรณ์ทุกขณะจิต
    แต่ปกติหลวงพ่อท่านไม่ได้สอนให้ภาวนาด้วยการอยากมีฌาณ มีญาณอะไร
    แต่ปกติท่านจะสอนให้ มีสติรักษาจิต
    หลวงพ่อสอนว่า
    “คนภาวนามันต้องสุข คนภาวนาติดสุขน่ะถูกต้องแล้ว
    ถ้าภาวนาแล้วมีทุกข์ จะภาวนาทำไม”
    ขอเรียนว่า
    แต่หากเป็นความสุข ที่เกิดหลังจากการที่ท่านภาวนา แล้วออกจากการภาวนา
    แบบนี้มิใช่สุขในแถวขององค์ฌาณ
    แต่เป็นผลของการที่จิตประกอบด้วยศีล สมาธิ
    นักภาวนามักหลงเข้าใจว่า แบบนี้จะติดฌาณ จิตติดสุข
    แบบนี้ไม่ใช่ติดสุข
    เพราะจิตมีสติ ดูฐานจิต
    ดูจิตด้วยสติสัมปัชชัญญะ
    รอบคอบในฐานจิตเสมอ
    แม้ไม่ได้เข้าสมาธิในขั้นอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ แต่เพราะจิตได้สร้างเหตุแห่งความสุขสงบขึ้นแล้ว
    นี่คือ ผลของการภาวนา
    สร้างสติให้จิต
    เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่า
    “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง
    ความสุขอื่นใดเท่าความสงบไม่มี”
    นี่คือ ความสุขที่เกิดจากการภาวนาสร้างสติ
    ไม่ผิดที่จิตผู้ภาวนาจะมีสุข
    หากไม่เช่นนั้น นักภาวนาจะเอาฉันทะที่ไหนมาภาวนา
    หากมีการภาวนาแล้วมีแต่ทุกข์ กายทุกข์ ทุกข์ใจตลอดเวลา
    การที่จิตมีความสงบสุข นั่นคือ
    ผลของการภาวนา ไม่ผิดทาง
    แต่หากจะผิดคือ นักภาวนาดูจิต
    จิตมีความสุขเกิดขึ้นแล้ว เข้าไปยึด ไปหมายเอาว่า
    จิตจะต้องสุขสงบตลอดปีตลอดชาติ
    เพราะเมื่อทราบว่าสุขเกิดขึ้นแล้ว
    แต่ใจไปสร้างอุปทาน เข้าไปยึดถือเอาผลของสุขเป็นสรณะเสียแล้ว
    นี่คือ จิตสร้างเหตุของทุกข์แล้ว
    ความสุข เกิดจากความสงบ
    มิใช่ฌาณ
    แต่เป็นผลของการที่จิตภาวนามีสติสัมปัชขัญญะ
    ขอให้ท่านภาวนาดูจิตต่อไป
    หน้าที่้เพียงประการเดียวคือ
    ให้ระลึกฐานจิตไว้ตลอดเวลา เสมอๆๆๆๆ
    ด้วยความรู้สึกสบายๆๆๆๆๆๆ
    ไม่จดจ่อ ไม่กดเพ่ง ไม่ติดข้องอะไร
    สักแต่ว่า รักษาสติให้แนบจิตในทุกขณะจิต
    นี่จึงจะสมฐานะของนักภาวนาอันเป็นผู้จะเข้ากระแสของพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    ขออนุโมทนาในการสร้างเหตุ อันเป็นมรรคดังนี้
    และขอให้ภาวนาด้วยการมีสติรักษาจิต แบบเดิม
    ดั่งที่กล่าว ต่อไปในทุกๆเวลา ทุกขณะจิต ในทุกๆวัน ทุกๆคืน
    แล้วเราจะพบว่า
    การไม่ยึดมั่นถือมั่น การไม่เข้าไปมีไปเป็นอะไร
    แค่ระลึกรู้ดูจิต เฉยๆ
    นั่นคือ ปัญญาอันสูงสุดของศาสนาพุทธ
    นี่คือปกติของคำสอนที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    และหลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล พร่ำเมตตาสอน
    หากเรายอมรับนับถือท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์แล้ว
    ขอให้ศรัทธา และภาวนาด้วยใจซื่อตรงต่อธรรม
    สิ่งที่ท่านได้ภาวนาตามดั่งนี้

    กระผมขออนุโมทนาด้วยยิ่งครับ
    สาธุๆๆๆ”


    เขมปัญโญคฤหัสถ์
    13.04.66

    CEcsN4pllwx4d0MH-Si4oysrkBd9Mn4Vo&_nc_ohc=MxzSuueeSl4Ab5gGTRA&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-3.jpg

    ที่มา https://web.facebook.com/songchai.labliam?locale=th_TH
     
  7. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    การพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    อสุภกรรมฐาน... ต่างๆนี้ เพื่อมาสู่ความว่าง
    แต่ถ้าจิตถึงความว่างแล้ว...จะพิจารณาไม่ได้
    เพราะไม่มีกาย ไม่มีธาตุสี่ ไม่มีขันธ์ห้า
    เป็นความว่างปราศจากการปรุงแต่ง
    เป็นธรรมชาติหนึ่งที่ไม่มีชื่อ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีแสงสว่าง
    แต่รู้ได้ว่ามี หลวงปู่ดูลย์บอก "มีเหมือนไม่มี"
    มีแต่ความรู้อยู่ตรงนั้น คิดไปที่อื่นก็ไม่ได้
    หลวงปู่ดูลย์บอกว่า จิตแท้จะเป็นอย่างนี้


    เทศนาโปรดญาติโยมงานธรรมะเปลี่ยนชีวิตครั้งที่ ๑๔ วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่
    วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ จัดโดยชมรมสารธรรมล้านนา

    ที่มา https://web.facebook.com/songchai.l...njwdhn8ZDxRq1LDrrHbQLosniTKH3Q&__tn__=-UC,P-R
     
  8. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    กรรมฐานน้ำเย็น


    ๑.บอกเหตุ "สังขารและความว่าง"
    อันนี้...พูดเปรียบเทียบไว้ก่อนเราจะภาวนา ปกติเขาจะสอนให้เราดูเปลือกมะพร้าวจนถึงตัวกะลา นี้อยู่ในสังขารทั้งหมด ที่เรามาภา
    วนาก็ต้องมาปอกเปลือกเอา มันหนาวมาก มันปอกไม่ไหว ปอกอันนี้ได้แล้ว มันก็อยู่ตรงกะลาอีก มันหนา ถ้าตีไม่แตกมันก็ไม่ได้...
    อาตมาจะสอนการเจาะตรงตามะพร้าวเข้าไปข้างใน ไปสู่สุญญตาคือความว่าง ไม่เกี่ยวตรงเปลือกและกะลา
    เพราะตรงนี้มันอยู่ธาตุสี่กับขันธ์ ๕ ของเรา ถ้าอยู่ในสังขาร จิตไม่อิสระแน่นอน เพราะสังขารมันปรุง มันเยอะ มันเป็น
    ละออง แต่ถ้าเจาะทะลุไปแล้วมันจะไม่มีสังขาร มันจะวางสังขารทิ้งเลย จิตตรงนี้ต่างหากที่เรียกว่า "จิตมันอิสระ"
    ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปได้ อาตมาจำเป็นต้อง
    เอาน้ำเย็นช่วย เพราะน้ำเย็นมันผ่านกายลงไป ถ้าไม่มีน้ำเย็นมันต้องแยกกาย แยกไม่ไหว เพราะ
    เราคิดแยก น้ำเย็นมันจะนำเข้าไปถึงความว่าง เราจะรู้เอง จิตเราอยู่
    ตรงนี้ มันจะปรุงแต่งไม่ได้เลย จิตเราก็ไม่มีตัวเกิด...
    ๒.ปฏิบัติ "น้ำเย็นเป็นโจร สติเป็นตำรวจ"
    คุกเข่า กินให้อิ่ม กลืนเร็ว..แเบบหิว หลับตา น้ำเย็นถึงไหน สติตามไปถ้าถึงท้องน้อยแล้วนั่งพับเพียบได้ สังเกตุดูน้ำเย็นหยุดอยู่ตรงไหน
    ...สติกับความเย็น...เหมือนเงาตามตัว สติกับความเย็น...อยู่คู่เป็นเนื้อเดียวกัน จิตจะไม่ออกนอก...สมาธิจะเกิดขึ้น รู้อยู่ข้างในเฉยๆ...รู้อยู่อย่างนั้น ข้างนอกก็ค่อยๆ
    หายไป หายไป ข้างในก็ค่อยๆชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ จิตเรามีสติเข้าไป...
    ๓.ปฏิเวท "ตำรวจต้องตามจับโจร" สติ>น้ำเย็น
    ๑.น้ำเย็นมันต้องลงไปตาม
    ลำไส้ที่คดเคี้ยว
    ๒.ต้องมีสติอยู่กับความ
    เย็นตลอด
    ๓.จิตอยู่กับที่ ไม่ลังเลหรือสงสัยคิดไปข้างนอก
    ๔.ระลึกถึงความเย็นแล้ว
    จะปรุงแต่งไม่ได้
    ๕.เมื่อเจอธรรม จะไม่เจอกิเลส
    เมื่อเห็นกิเลส ก็จะไม่เห็นธรรม
    ๖.เมื่อตายแล้ว จะกลับมาเกิดไม่ได้
    เพราะจิตคือ "ความว่าง"


    ?temp_hash=3469015ba521a3ff20550a51fc7c31b5.jpg



    ที่มา https://web.facebook.com/songchai.l...aEIuEaG5OJnt8-SbzNxWQ3T2QYpcaTgQ&__tn__=-UC*F
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    การภาวนาส่วนมากเราไม่เอาสติเป็นสมาธิ
    เราจะเอากายมาเป็นสมาธิ
    กายนั่งเป็นสมาธิ แต่สติไปไหนก็ไม่รู้
    ไปทั่วเลย ไปขโมยเรื่องใครต่อใครเขามาก็ไม่รู้
    นี่คือความวุ่นวายทั้งหมด เพราะเราเอากิเลสภาวนา
    มันก็เห็นแต่ตัวนั้น เราไม่เคยคิดว่ามันไม่มาเลย
    เทศนาโปรดญาติโยมงานธรรมะเปลี่ยนชีวิตครั้งที่ ๑๔ วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่
    วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๙ จัดโดยชมรมสารธรรมล้านนา
     
  10. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,119
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +69,977
    ตอนที่ 1 การปฏิบัติแบบ
    พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล
    วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
    อ.บัวเชด
    จ.สุรินทร์

    ***********************************

    “เกล้ากระผมเองก็คนที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อ
    ได้สักระยะหนึ่งเท่านั้น

    สิ่งที่หลวงพ่อเยื้อนท่านสอน
    เป็นเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวัน
    ที่เราอาจจะมองข้ามไป

    วิธีการปฏิบัติง่ายๆนั่น คือ
    หลวงพ่อมักสอนให้ภาวนาหาฐานของจิต
    โดยวิธีการกินน้ำเย็น

    วิธีดังกล่าวหลวงพ่อให้ดื่มน้ำเย็นสักแก้ว
    แล้วให้ระลึกตามน้ำเย็นไปตรงฐานที่ลึกที่สุดของน้ำเย็นที่ลงไป คือ บริเวณท้อง
    เมื่อระลึกได้แล้วให้ความระลึกได้นั่น ต่อเนื่อง ระลึกอยู่เสมอๆ
    ซึ่งในพระพุทธศาสนา ความระลึกได้ ดังกล่าว
    เรียกว่า “สติ” นั่นเอง

    หลวงพ่อเมตตาสอนให้ศิษย์ระลึกนึกถึง มีความรู้สึกทั้งหมด ระลึกถึงความเย็นตรงนั้นไม่ให้คลาดเคลื่อนไปที่ใด

    นั่นเองที่เรียกฐานของจิต
    คือ การสมมติกำหนดวง ขอบเขตให้จิตอยุ่
    เพื่อเป็นตำแหน่ง หรือ วิหารธรรมของจิต นั่นเอง

    (เทคนิคการระลึก คือ แค่ระลึกนึกถึง
    ไม่กำหนดให้เป็นชิ้น เป็นดวง เป็นแสงสว่าง
    หรืออะไรทั้งสิ้น
    คงเพียงแต่ให้ระลึกถึงว่ามีบางสิ่งอยู่
    แต่ไม่ต้องรู้ว่า คืออะไร คือความรู้สึกเฉยๆนั้นเอง
    ที่เราสมมติเรียกว่า จิต)

    เมื่อจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
    มรรคจิตย่อมเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
    คือ จิตจะดำเนินไปด้วยการระลึกได้
    มีสติระลึกอยู่ในปัจจุบัน
    เมื่อนั้นจิตก็จะเข้าสู่กระบวนการของมรรคจิตนั่นเอง

    (จงทำญาณให้เห็นจิต เหมือนดั่งตาเห็นรูป เหตุต้องละใช้ ผลเหตุเกิด)

    ผมเรียนกับหลวงพ่อไม่นานผลแห่งการปฏิบัติก็ประจักษ์แก่ใจเป็นลำดับๆ
    จนมาทบทวนภายหลังว่า ของไม่ยากแค่นี้ ตำตาเราอยู่แท้ๆ
    ทำไมเราไม่รู้ไม่เห็น หลงไปแสวงหาอะไรนอกกายนอกจิตอยู่ตั้งนาน
    เพราะ นักปฏิบัติ ชอบภาวนา เอาดี เอาวิเศษ เอาสี เอาแสง เอาณาณ เอาญาณ เอาปัญญา
    มีแต่มุ่งจะเอา จะเป็น
    ชอบความวิเศษ เหนือธรรมดา เหนือธรรมชาติ
    เหนือกว่าคนอื่นๆ
    จนละเลยความเรียบง่ายของธรรมะ

    นักภาวนาจึงแต่ไม่เคยภาวนาด้วยการละ ปล่อย วาง
    ผิดหลักการภาวนานั่นเอง

    เป็นเหตุทำให้จิตไม่เคยสงบ ไม่เคยได้รับความร่มเย็น ความสุขสงบ ที่แท้จริง ตามหลักคำสอนของพระศาสดา”

    บันทึกทบทวนการภาวนา
    เขมปัญโญคฤหัสถ์
    =AZXm1TyCDrBACFY88vEjGJSo47qWl9xaQQC4BTUFNe0wDR_t6kTrmQm9F1wYT_Fi6Ir4DtaXRMKFgQQxlUOmcHfq01xCadQpU2vgOOfEIJidlZDJNpzT2i7WQRtGUgIEBOQD4mAPjd8Im2eoCNAFen2y973bVcxklpOMDdAM4v8Mjg&__tn__=EH-R'] zbZ-HBTXuJGEt9rjYD-yYOQEi_gSa4vLG&_nc_ohc=l6wIibw3dP4Ab5Yx4LL&_nc_zt=23&_nc_ht=scontent.fbkk22-8.jpg
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...