ก็ศีล 5 กับกุศลกรรมบท 10 นั่นแหล่ะ คิดมากปวดหัว การเห็นว่าสิ่งใดเป็นโทษ ทั้งที่สิ่งนั้นไม่มีโทษ กับการเห็นว่าสิ่งใดไม่เป็นโทษ ทั้งที่สิ่งนั้นมีโทษ...
เคยฟังเขาเล่ามาว่า นิพพานมีภาวะเหมือนตอนหลับ หลับแบบไม่ฝันนะ คิดว่าน่าจะเป็นลักษณะการเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น...
บางคนโดนผีหลอกจนบ้าก็มีถมไป นะจ๊ะ
มนุษย์สมัยนี้ แค่หิริกับโอตตัปปะ ก็แทบจะหาไม่เจอแล้วครับ โกหกกันไปเรื่อยเปื่อย โกงกันเป็นว่าเล่น คุณธรรมเบื้องต้นแค่นี้ยังไม่มี...
มีแต่ปัจเจกภูมิกระมังที่ไม่ต้องมีเมียมีลูก พุทธภูมิต้องบริจาคลูกชายหญิง แล้วก็เมียเป็นทาน ส่วนใหญ่ไม่ได้คืนเหมือนพระเวสสันดรหรอกนะครับ...
คนดีไม่ตีใคร คือไม่ทำร้ายคนอื่นด้วยความคิด ด้วยคำพูด ด้วยการกระทำ
เป็นเจ้าภาพบวชพระบวชเณรให้คนอื่นซิจ๊ะ ถ้าเทียบองค์ต่อองค์อาจจะน้อยกว่า แต่ถ้าเป็นเจ้าภาพหลายๆองค์ อาจจะได้บุญมากกว่าบวชเองด้วยซ้ำไป...
ได้บุญจ๊ะ ส่วนพระจะให้พรหรือไม่ให้พรนั้นไม่เกี่ยวกับบุญจ๊ะ เป็นเพียงให้กำลังใจโยมเท่านั้นเอง เหมือนกับชาวบ้านพูดชมกันนั่นแหล่ะ...
พวกนาคหรือพวกงูมาเกิด สังเกตุได้ว่าจะชอบกอดรัดฟัดเหวี่ยง นัวเนียเหมือนงู กินแล้วง่วง ส่วนพวกครุฑหรือพวกนก จะชอบเต้นชอบรำ...
การเรียนรู้และเข้าใจในสมมติ และเพียร พยายามเพื่อที่จะพ้นออกไปให้ได้ ทุกสิ่งเป็นสมมติ แต่ทุกข์นี่แหละของแท้ ไม่มีอะไรนอกจากทุกข์ ที่เกิดขึ้น...
มันอยู่ที่จิตก่อนตายต่างหาก ว่าเป็นอย่างไร เศร้าหมองหรือเปล่า ถ้ากำหนดจิตไว้ดี คิดถึงสิ่งดีๆ ก็ไปดี ถ้าคิดไม่ดี ก็ไปไม่ดี...
พระสารีบุตร และหลอกตัมพทาฐิกะ(เพชฌฆาต เคราแดง)ไว้ ดังนี้ อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ ๘....
กินเพื่ออยู่ อย่าไปอยู่เพื่อกิน อยู่ง่ายกินง่าย ดีกว่าต้องหนักใจแม้แต่เรื่องกิน
ให้เพื่อหวังบุญเป็นทาน ให้เพื่อการสละเป็นกุศล(แปลว่า ฉลาด) ทุกอย่างกำหนดไว้แล้ว หากเราจะไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้ ยังไงก็ไม่ได้ใช้...
เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ลืมๆมันไปซะ หรือจะเก็บไว้เป็นบทเรียนสอนใจตัวเองก็ยังดีกว่า มากลุ้มใจกับเรื่องเก่าๆ...
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค เช่น พลังจิต, พุทธศาสนา