หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ์ /รวมเรื่องหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)

    _paragraph_189.jpg

    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม บำเพ็ญเพียรฝึกใจในพระพุทธศาสนา จนบรรลุจตุตถฌานและอภิญญาหก สำเร็จครั้งแรกตั้งแต่บวชเป็นแม่ชีที่วัดสัมพันธวงศ์

    ท่านผู้พิพากษาสุจริต ถาวรสุข บันทึกไว้ว่า

    “ได้ผลเป็นอิทธิฤทธิ์อันเกิดจากการอธิษฐานเป็นครั้งแรก เมื่อราววันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๗๐ ในวันนั้นคุณแม่บุญเรือนได้กลับไปอยู่ที่บ้านพัก สถานีตำรวจสัมพันธวงศ์ คืนนั้นเข้านอนไม่หลับจนดึก สามีแลบุตรบุญธรรมหลับ มีอาการกัดฟันและกรน รู้สึกเกิดธรรมสังเวชนึกเบื่อ จึงตั้งจิตอธิษฐานเข้าไปในศาลา รู้สึกว่าพอสิ้นคำอธิษฐาน ตัวคุณแม่บุญเรือนก็ไปปรากฏในศาลาดังคำอธิษฐาน ทั้งนี้โดยตัวท่านเองไม่ทราบว่าได้ออกจากห้องทางไหน และเข้าไปในศาลาทางไหน

    ในครั้งนั้นเพื่อนแม่ชีไม่สู้เชื่อนัก จนต่อมาอุบาสิกาฟักขอให้อธิษฐานใหม่ และให้นางเล็ก, นางคำ, นางเทียม ซึ่งดูเหมือนเป็นเพื่อนแม่ชีดูเป็นพยาน ได้ใส่กลอนประตูหน้าต่างศาลาเสียในคืนแรม ๑ ค่ำ เดือน ๖ เวลาดึกสงัดปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่บุญเรือนก็ได้อธิษฐานจากสถานีตำรวจสัมพันธวงศ์เข้าไปในศาลาได้เช่นคราวก่อน พวกที่คอยดูก็แปลกใจไปตามๆ กัน

    จนต่อมาคุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปเขาวงพระจันทร์ พบพระผู้วิเศษ ขอพระธาตุท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งองค์ และได้กลับมาตามคำอธิษฐานพร้อมด้วยพระธาตุ การสามารถทำปาฏิหาริย์ดังกล่าวที่ปรากฏขึ้นได้เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้ท่านอธิษฐานเมื่อเข้าสมาธิผ่านที่ปิดล้อม หรือไปที่ใดไกลๆ ได้ในชั่วระยะเวลาลัดมือเดียวในเวลาต่อมา ขณะได้ฌานวิเศษนั้นท่านอายุประมาณสามสิบสามปี”


    >>>>> จบ >>>>>
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    paragraph_10_133.jpg

    เกร็ดประวัติคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    จากประวัติของหลวงตาไสว สิวญาโณ
    ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณแม่บุญเรือนและท่านพุทธทาส

    สู่ทางธรรม

    แม่แดง-ครูคนแรก

    “แม่แดง” คนนี้อยู่บ้านใกล้กับอาตมาที่จังหวัดเชียงใหม่ แกเป็นคนดี ธัมมะ ธัมโม และที่บ้านแม่แดงมักมีแม่ชีมาสอนด้วย ตัวแม่แดงเองก็สอนธรรมะพื้นๆ ได้เก่ง เช่น สอนว่าวิธีที่จะไม่โกรธแม่ยายจะทำยังไง ? จะต้องมีขันติ-อดทน เป็นต้น พออาตมากลับมาบ้านที่ลำปาง ก็เอาข้อธรรมที่แม่แดงสอนนั้นมาเขียนติดไว้ในบ้าน ตามประตู หน้าต่างเต็มไปหมด แต่แล้วขันติก็แตก ทนไม่ได้ อาตมาก็โกรธแม่ยายอีก จึงกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปหาแม่แดงอีก แต่แม่แดงไม่อยู่ คนที่บ้านบอกว่า “แม่แดงไม่อยู่ ไปกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม (อุบาสิกาที่มีคนนับถือมากในขณะนั้น) ไปที่วัดเจดีย์หลวง” อาตมาจึงตามไป

    คุณแม่บุญเรือน

    คุณแม่บุญเรือนปกติอยู่กรุงเทพฯ แต่มีคนเชิญท่านมาที่เชียงใหม่ ตอนอาตมาได้พบคุณแม่บุญเรือนที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่นั้น ประมาณปี พ.ศ.๒๔๙๑ ขณะนั้นอาตมามีอายุราว ๔๔ ปี อาตมาได้เห็นการปฏิบัติของคุณแม่บุญเรือนแล้ว รู้สึกว่าท่านมีฤทธิ์ คือรู้ใจคน ทั้งสามารถแสดงปาฏิหาริย์ทำให้คนเดินกลางฝนได้โดยไม่เปียก หนังสือพิมพ์สมัยนั้นลงข่าวเกรียวกราวมาก

    อาตมารู้สึกศรัทธาคุณแม่บุญเรือนมาก จึงไปสมัครเป็นลูกศิษย์ ต่อมาภรรยาเมื่อไปเชียงใหม่ก็ตามไปเรียนด้วย แรกๆ ภรรยาก็เรียนกับคุณแม่บุญเรือนด้วยเล็กๆ น้อยๆ จนต่อมาก็เป็นลูกศิษย์ที่คุณแม่บุญเรือนรักใคร่ สนิทสนมกันมาก

    พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

    ขณะที่อยู่ที่เชียงใหม่ วันหนึ่งอาตมาได้ถามคุณแม่บุญเรือนว่า “พระที่มีปฏิปทาปฏิบัติชอบนั้นมีใครบ้าง ?” ท่านก็บอกว่า “มีหลวงปู่มั่น, เจ้าคุณอุบาลี และท่านอาจารย์พุทธทาส” ซึ่งอาตมาก็ฟังๆ ไปยังงั้นเอง เพราะไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักกับพระทั้งสามองค์ที่ออกนามมานี้ อีกอย่างหนึ่งอาตมาเองก็เคารพในคุณแม่บุญเรือนเป็นอาจารย์อยู่แล้ว อาตมาเป็นศิษย์ศึกษาธรรมกับคุณแม่บุญเรือนอยู่นานถึง ๑๒ ปี

    สมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ

    ขณะที่อาตมายังเป็นศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนนั้น อาตมาก็ยังไปๆ มาๆ เชียงใหม่บ้าง ลำปางบ้าง ส่วนโรคปวดหัวและริดสีดวงทวารของอาตมาก็ยังไม่หาย แถมยังเริ่มเป็นโรคปอดเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง อาตมาจึงหันไปฝึกสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ, ยืนหนอ-นั่งหนอ, มีการเดินจงกรมชั่วโมงหนึ่ง นั่งสมาธิหลับตาภาวนาชั่วโมงหนึ่ง ตอนนั้นเขาสอนทำตบะตัวแข็งเลย

    อาตมาเรียนอยู่ถึง ๒ เดือน เอาจริงๆ เลย ! ผลที่ได้รับคือรู้สึกว่าตัวเบา มีปีติสูงมาก อยากให้คนอื่นได้รับเหมือนเราบ้าง ในขณะนั้นครูผู้สอนยังบอกอาตมาว่า “แค่นี้ยังไม่พอ ยังมีอีก” อาตมาก็เรียนได้ดีจนครูผู้สอนยกย่อง จะให้อาตมาเป็นครูช่วยสอนให้ผู้อื่นด้วย แต่อาตมาไม่เอา เรื่องอาตมาเรียนสมาธิภาวนาแบบพองหนอ-ยุบหนอ ที่เชียงใหม่นี้ มีคนฟ้องมายังคุณแม่บุญเรือนด้วยน่ะ

    ชักชวนให้พี่สาวศรัทธาในคุณแม่บุญเรือน

    ต่อมาเมื่อคุณแม่บุญเรือนได้ลงมากรุงเทพฯ อาตมาได้มีจดหมายบอกไปยังพี่สาวแกมแก้ว ซึ่งยังอยู่ที่บ้านบางขุนพรหม ที่กรุงเทพฯ ให้ไปหาคุณแม่บุญเรือนที่บ้านของท่าน ที่ถนนวิสุทธิ์กษัตริย์ เพราะบ้านอยู่ใกล้กันแค่นั้น โดยอาตมาไปเล่าเรื่องปาฏิหาริย์ของคุณแม่บุญเรือนที่เดินกลางสายฝนได้โดยไม่เปียกให้พี่สาวฟังด้วย พี่สาวอาตมาซึ่งเรียนจบวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนราชินี พอฟังเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟัง ก็ว่า “น้องชายถ้าจะเสียสติเสียแล้ว” แต่ลงท้ายพี่สาวอาตมาก็ไปหาคุณแม่บุญเรือน

    พอคุณแม่บุญเรือนพบพี่สาวอาตมา ก็พูดว่า “ฉันมีอะไรไม่ดีให้บอกฉัน” พี่สาวได้เล่าให้อาตมาฟังว่า ตัวเขาเองถึงกับสะดุ้งในตอนนั้น ต่อมาพี่สาวอาตมาก็ศรัทธาในคุณแม่บุญเรือนยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก

    วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน

    วิธีสอนของคุณแม่บุญเรือน ค่อนข้างดุ รุนแรง ถึงขั้นลงไม้ลงมือเลยทีเดียว เช่นเมื่อราว พ.ศ.๒๕๐๐ ตอนนั้นอาตมามีอายุได้ราว ๕๓ ปีแล้ว เมื่ออาตมาได้เข้ามากรุงเทพฯ และได้แวะมากราบเยี่ยมคุณแม่บุญเรือนในฐานะอาจารย์ ท่านก็ถามเรื่องไปเรียนกัมมัฏฐาน เล่นตบะตัวแข็ง ว่าจริงหรือไม่ ? พออาตมารับว่าจริงเท่านั้นแหละ ท่านก็ลุกขึ้นมากระทืบอาตมา กระทืบในขณะที่อาตมายังนั่งพับเพียบอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายในที่นั้นเลย เมื่อคนกลับไปหมดแล้ว ท่านยังพูดว่า “นายไสวนี่กระดูกเหล็ก ทำเอาเท้าฉันเจ็บ” นี่ ! เป็นยังงั้น

    ต่อมาเมื่ออาตมาได้มาเยี่ยมท่านอีกที่บ้านพระโขนง ที่หลวงแจ่มวิชาสอนสร้างให้ พออาตมาไปเห็นบ้าน ซึ่งขณะนั้นถนนยังเป็นโคลน อาตมาจึงโทรศัพท์สั่งหินมาคันรถหนึ่ง ให้เขาเอามาถมและเกลี่ยถนนให้พอเดินได้ พอดีเกิดฝนตก ถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ คุณแม่บุญเรือนสั่งให้อาตมาเอาจอบไปเกลี่ยหินกลบตามหลุมตามบ่อนั้น อาตมาไม่เคยจับจอบมาก่อน จึงทำไม่เป็น ท่านก็ตบเอา แล้วว่า “งานแค่นี้ก็ทำไม่เป็น” ตกตอนเช้า ขณะที่อาตมากำลังก้มลงเก็บหินที่กระจายเกลื่อนๆ อยู่ ท่านเดินมาเห็นเข้าก็เตะก้นอีกที

    อีกหนหนึ่ง อาตมาไปเยี่ยมท่าน ขณะนั้นมีคนนั่งกันเต็ม ท่านบอกให้อาตมาไปเอาดอกไม้มาให้คุณหญิงคุณนายจัดแจกัน พอดอกไม้เหลือ ท่านก็สั่งอาตมา “เอาไปไว้ที่เก่า” อาตมาก็เอาไปวางที่เก่า

    สักครู่ท่านพาคุณหญิงคุณนายผ่านไปพบเข้า ก็ดุว่าอาตมาว่า “ทำไมเอาดอกไม้มาวางไว้ตรงนี้ ?” อาตมาก็บอกท่านว่า “ที่เก่ามันอยู่ตรงนี้” เท่านั้นแหละท่านตบอาตมาทันที เห็นเขียวๆ แดงๆ ตาลายเลย พอท่านทำท่าจะตบครั้งที่ ๒, อาตมาก็เอนตัวหลบ ท่านก็ว่า “จะสู้ยังงั้นรึ ?”

    อาตมาก็นิ่งเฉยเสีย พออาตมาเดินห่างไปหน่อย ท่านก็ประกาศบอกใครๆ ว่า “ฉันสอนลูกศิษย์ของฉันยังงี้” ในตอนนั้นอาตมาไม่เข้าใจ, ต่อมาภายหลังเมื่อมาอยู่ที่สวนโมกข์แล้ว จึงเข้าใจว่า ท่านสอนแบบเซ็นด้วยวิธีฉับพลัน กล่าวคือ ขณะนั้นลูกศิษย์ที่มาหาท่าน คุยกันแซ็ดไปหมด, พอคุณแม่บุญเรือนตบอาตมาเท่านั้น เสียงเงียบกริบลงทันทีเลย, เป็นการข่มขวัญ หรือเชือดคอไก่ให้ลิงดูนั่นเอง

    ความเคารพในครูบาอาจารย์

    ขณะที่อาตมาถูกคุณแม่บุญเรือนตบตีอย่างรุนแรงนั้น อาตมาก็มิได้มีอารมณ์โกรธเคืองแต่อย่างใด เนื่องจากมีความเคารพว่าท่านเป็นอาจารย์ ท่านได้แนะนำสั่งสอนมา อาตมาได้ความรู้จากคุณแม่บุญเรือนหลายอย่าง จนตั้งตัวมาได้ถึงปานนี้

    แต่ทว่าโรคภัยไข้เจ็บก็ยังเบียดเบียน ไม่ว่าจะเป็นโรคปวดหัว ริดสีดวงทวาร โรคปอด และยังมีโรคต่อมลูกหมากโตเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)

    _2_215.jpg
    รูปหล่อรุ่นแรกคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    เมื่อทำไร่มันฝรั่ง

    ต่อมาแม่แดง ซึ่งเป็นครูคนแรกของอาตมานั้น, เขาเป็นเศรษฐี ลูกเขย ๒ คนของเขาไปทำไร่มันฝรั่งที่เชียงใหม่ กิโลเมตรที่ ๓๘ มีเนื้อที่ ๒๓๔ ไร่ ขณะนั้นยังไม่มีใครปลูกมันฝรั่งในเมืองไทย ปีแรกก็ขาดทุน แม่แดงบอกว่าจะเลิกทำ อาตมาก็เลยอาสาว่า อย่าเลิกเลย อาตมาจะไปทำให้ พออาตมาไปถึงที่ไร่ ก็เห็นเจ้าของไร่คือลูกเขยแม่แดง แต่งตัวคาวบอย มีรถแทรกเตอร์ใช้ มีคนงานในไร่ ๔๐ คน พอตกเย็นก็นั่งกินเหล้ากัน อาตมาจึงมองเห็นเหตุที่มาของการขาดทุน และได้ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงต่างๆ

    ในขั้นแรกก็คือการตัดคนงานออกเสีย ๒๐ คน เหลือไว้แค่ ๒๐ คน เพราะจำนวนคนเกินกว่างานมาก นี่ก็เป็นการลดต้นทุนอย่างหนึ่ง

    ส่วนเรื่องที่มีขโมยมาลักขุดมันนั้น อาตมาก็ต้องค่อยๆ แก้ไข สอบสวนดู โดยคอยสังเกตจนรู้ว่า ขโมยที่เข้ามาลักขุดมันนั้นเป็นชาวบ้านแถบนั้น เมื่อเจ้าของไร่เอาหัวมันฝังดินไว้เพื่อปลูก แล้วก็ไม่ได้เอาใจใส่ดูแล ชาวบ้านจึงมาลักขุดขนเอาหัวมันเหล่านั้นไป เจ้าของก็ไม่รู้ ผลผลิตจึงออกมาไม่สมกับที่เจ้าของคาดหมาย เพราะปลูกเท่าไร ต้นมันก็ไม่งอกเป็นต้นสักที อาตมาขุดดูจึงรู้ว่า หัวมันถูกขโมยลักขุดเอาไปหมดแล้ว

    อาตมาต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการแก้ไข คือเริ่มเข้าไปทำความรู้จัก คุ้นเคย เข้าหาคนเฒ่าคนแก่กับเด็ก และทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยบอกว่า “ถ้าจะเอาอะไร ขอให้บอก” เราปลูกอะไรก็ให้พันธุ์เขาไปปลูกบ้าง จากนั้นก็ทำตู้ยามล้อมรอบที่ไร่ มีที่พักของอาตมาเองอยู่ตรงกลางไร่ เพื่อจะได้ดูแลได้รอบทิศ

    กลางคืน พอฉายไฟไปที่ตู้ยาม ถ้ายามไม่ตอบ จะเป็นเพราะหลับหรือเมาก็ตาม อาตมาก็ลงไปที่ตู้ยาม แล้วยิงปืนออกไป ซึ่งเท่ากับขู่ชาวบ้านไปด้วย สำหรับคนงานคนไหนอยู่ยามกลางคืน รุ่งขึ้นให้หยุดพัก ๑ วัน การแก้ไขปัญหาหลายๆ อย่างนี้ ทำให้กิจการไร่มันหายจากการขาดทุนได้ เพราะการควบคุมดูแลอย่างเอาจริง และการประหยัดค่าใช้จ่าย ตลอดจนการมีมนุษยสัมพันธ์อันดีกับชาวบ้านนั่นเอง

    การพบท่านพุทธทาสเป็นครั้งแรก

    เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ขณะที่อาตมาดูแลการปลูกมันฝรั่งนั้น วันหนึ่งคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี เจ้าของกิจการไร่ชาระมิงค์ มาบอกอาตมาว่า “ท่านอาจารย์พุทธทาส จากสวนโมกข์ ไชยา มาพักที่ไร่ จะไปพบท่านไหม ?” อาตมารีบตอบว่า “ไป ไป” ก็ตามคุณประสิทธิ์ไปกราบท่าน พออาตมาเห็นท่านอาจารย์พุทธทาส ก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง อาตมาได้บอกกับท่านว่า อาตมาจะไปสวนโมกข์ ท่านก็ตอบว่า “ได้ ได้”

    หมดห่วงทางโลก

    พอดีในช่วงนั้นแม่แดง ผู้ร่วมกิจการทำไร่มันฝรั่งมาตายลง คุณแม่บุญเรือนก็บอกว่าหยุดช่วยเขาได้แล้ว ได้ตอบแทนคุณเขามามากพอแล้ว อีกทั้ง อาตมาก็ยังไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ อาตมาจึงเลิกทำ ไม่อยากทำอะไรอีกต่อไป อาตมาได้เห็นทุกข์ทางกายทางใจมามากแล้ว อีกอย่างหนึ่งอาตมาก็รู้สึกหมดห่วงในเรื่องครอบครัว ลูกและภรรยา เมื่อลูกๆ ที่อาตมาได้ขอมาเลี้ยงไว้ทีแรก ๔ คนก็ไปหมด ไปมีผัวแล้วได้ลูกมาอีก ๖ คน เป็นผู้หญิง ๕ ผู้ชาย ๑ อาตมาก็ต้องเลี้ยงไว้อีก จนผู้หญิง ๕ คนได้ปริญญาเป็นครูหมดทุกคน ผู้ชายส่งให้เรียนอัสสัมชัญ ลูกๆ ทุกคนตั้งตัวได้หมด (ขณะนี้พ.ศ.๒๕๓๙ ตายไปแล้ว ๑ คน) เป็นอันว่าอาตมาหมดห่วงเรื่องลูก

    เหตุที่ไปสวนโมกข์

    เหตุที่อาตมาคิดจะไปสวนโมกข์ วัดธารน้ำไหล ไชยา เพราะคิดว่าเรียนกับคุณแม่บุญเรือนมา ๑๒ ปีแล้ว ยังไม่หมดทุกข์สักที พอพบท่านพุทธทาสก็อยากเป็นพระอรหันต์กับเขาบ้าง ดังนั้น ก่อนจะมาสวนโมกข์ อาตมาได้ไปขออนุญาตคุณแม่บุญเรือนก่อน

    ไปสวนโมกข์ครั้งแรก

    พอปี พ.ศ.๒๕๐๑ อาตมาเดินทางโดยรถไฟ มาลงสถานีไชยา จากนั้นก็เดินเท้ามายังสวนโมกข์ ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มีรถรับส่ง เมื่ออาตมาไปถึงสวนโมกข์ วัดธารน้ำไหล อาตมาไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านไม่อยู่ ไปกิจที่อื่น อาตมาจึงกลับมากรุงเทพฯ

    _paragraph_12_134.jpg

    เกิดความสงสัยในคุณแม่บุญเรือน

    อาตมากลับจากสวนโมกข์ ก็ไปหาคุณแม่บุญเรือนอีก กลับไปเป็นลูกศิษย์ของคุณแม่บุญเรือนตามเดิม คุณแม่บุญเรือนดูอาการของอาตมาแล้วพูดว่า “มีอะไรให้บอกแม่” อาตมาจึงถามสวนไปว่า “ก็คุณแม่มีญาณวิเศษถึงขั้นรู้ใจคนแล้ว ทำไมจึงไม่รู้ใจผมว่าอยากมาสวนโมกข์ เพราะอะไร ?” คุณแม่บุญเรือนก็ว่า “เดี๋ยวนี้เครื่องวิทยุ ๒ เครื่องนี้ มันรับส่งกันไม่ได้อีกแล้ว เครื่องส่งส่งไป แต่เครื่องรับมันไม่ยอมรับ”

    ครั้นพออาตมาบอกท่านว่า “อยากไปหาท่านพุทธทาส” คุณแม่บุญเรือนก็ว่า “พระนิพพาน แม่ก็สอนได้ ไม่ไปได้ไหม ?” ในฐานะที่ท่านมีบุญคุณ อาตมาก็เลยคิดว่า เอาปัจจุบันไว้ก่อน คือเรียนกับคุณแม่บุญเรือนต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก็สุดแล้วแต่ท่านจะสอนอะไร ดังนั้น ทุกวันอาตมาจะออกจากบ้านบางขุนพรหม ไปหาท่านที่บ้านพระโขนง ส่วนพี่สาวจะไปวันอาทิตย์ งานที่ไปทำก็คือ ไปรับใช้ทุกอย่างสุดแต่ท่านจะใช้

    ไปสวนโมกข์ครั้งที่สอง

    อย่างไรก็ดี โรคประจำตัวต่างๆ ที่อาตมาเป็นอยู่ก็ยังไม่หาย ทั้งความคิดอยากจะเป็นพระอรหันต์ยิ่งแรงกล้าขึ้น ดังนั้นในปี พ.ศ.๒๕๐๓ ขณะนั้นอาตมามีอายุได้ ๕๖ ปีแล้ว อาตมาจึงเดินทางจากกรุงเทพฯ มาสวนโมกข์อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่บอกใคร แต่ก็ไม่พบท่านอาจารย์พุทธทาสอีก ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจตามโปรแกรมของท่าน

    การมาครั้งนี้อาตมาไม่คิดจะกลับอีกแล้ว ตั้งใจจะอยู่รอจนพบท่านให้ได้ก่อน อาตมาได้พักอยู่ที่สวนโมกข์ (ปัจจุบัน) ช่วยงานเก็บกวาดวัด ปฏิบัติรับใช้พระ ส่วนอาหารนั้นยังต้องระวังเพราะโรคริดสีดวงทวารยังไม่หาย จึงต้องไปติดต่อทางโรงครัวให้ทำอาหารที่ไม่แสลงโรคให้

    เมื่อเป็นอุบาสกที่สวนโมกข์

    อาตมาอยู่ที่สวนโมกข์ไม่นาน, ท่านอาจารย์พุทธทาสก็กลับมา ท่านไม่ถามอะไรอาตมาสักคำ ว่าไปยังไงมายังไง อาตมาคิดว่าท่านอาจารย์คงจะรู้เรื่องราวของอาตมาจากคุณประสิทธิ์ พุ่มชูศรี มาบ้าง ตั้งแต่ครั้งที่ท่านขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ท่านบอกอาตมาเพียงว่า “ให้ปฏิบัติตนเป็นอุบาสก รับประทานมื้อเดียว กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่เหมือนตายแล้ว”
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ต่อสู้อย่างหนักกับอาหารแสลงโรค

    พอท่านอาจารย์พุทธทาสกลับมาถึงสวนโมกข์วันแรก อาตมาก็โดนดีทีเดียว คือระหว่างที่พระฉันภัตตาหาร ท่านให้พระที่นั่งองค์สุดท้ายตักข้าวให้อาตมาจานหนึ่ง ข้าวจานนั้นมีแต่น้ำแกงเหลืองราดมาให้เท่านั้นแหละ เผ็ดแทบตาย พออาตมาตักข้าวเข้าปาก โอ้โฮ ! รู้สึกร้อนเหมือนไฟ ต้องแอบคายทิ้ง แล้วเอาข้าวไปให้ปลากิน ซึ่งแต่เดิมลำธารในวัดธารน้ำไหลมีน้ำไหลแรง มีปลาอาศัยอยู่ด้วย เป็นอันว่าอาตมาต้องอดอาหารในวันแรก

    ตอนเย็นได้ดื่มน้ำปานะ คือชาซึ่งกลิ่นเหม็นยังกะอะไรดี กับน้ำร้อน น้ำตาล ๑ ก้อน, ต้องใส่น้ำแค่ครึ่งแก้วเท่านั้นจึงจะมีรสหวาน แล้วค่อยเติมน้ำทีหลัง

    รุ่งขึ้นวันที่สองก็เจอแบบนี้อีก คือข้างราดแกงเหลืองเผ็ดจัด ก็เลยกินไม่ได้อีก เอาข้าวไปให้ปลากินแทน ตัวเองอด พอถึงวันที่สาม ชักหิวแล้วซิ ทนไม่ไหว จึงแอบไปกระซิบบอกพระที่ตักอาหารองค์สุดท้าย โดยบอกว่า “ขอแต่ปลา ไม่เอาน้ำแกง” ปรากฏว่า วันนั้นต้องกินปลากระเบน ซึ่งเป็นของแสลงต่อโรคริดสีดวงอย่างยิ่ง

    ปลากระเบนนี้ พระสวนโมกข์ตั้งชื่อว่า “ไก่ทะเล” และก็เป็นอาหารหลักของที่นี่เกือบจะเป็นประจำทุกวัน เมื่ออาตมากินเข้าไปแล้ว มันก็ไปออกอาการทางริดสีดวงทวารจนเลือดไหลทรมานมาก อาตมาต้องต่อสู้อย่างหนัก แต่ก็ไม่เคยบอกท่านอาจารย์พุทธทาสให้ทราบ คิดแต่ว่า “ต้องสู้ให้ได้” แม้จะลำบากก็ “สู้” เพราะอยากได้ธรรมะ อยู่ที่ว่าใครจะสู้ได้แค่ไหน อีกอย่างหนึ่งสมัยที่อาตมาอยู่กับคุณแม่บุญเรือนนั้น ท่านก็ใช้งานทุกอย่างเลย บางทีเรียก “ไอ้” ก็ยังมี อาตมาจึงได้ความอดทนมาจากท่าน เมื่อมาพบความยากลำบากที่สวนโมกข์ อาตมาจึงไม่รู้สึกอะไรนัก ไม่รู้สึกว่าต้องทน การมาอยู่ที่สวนโมกข์นี้ ภรรยาของอาตมาก็ไม่ว่าอะไร เพราะทรัพย์สินของอาตมาทั้งหมดก็ให้เธอเอาไป อาตมาเอาเงินติดตัวมาก้อนหนึ่งเท่านั้น

    ความกระจ่างในการปฏิบัติธรรม

    ตอนเป็นอุบาสกก่อนบวช ๓ เดือน อาตมาก็ได้ทำสมาธิจนตัวเกร็ง โดยบอกตัวเองว่า “จิตไป ดึงมาเสีย, จิตไป ดึงมาเสีย พยายามไม่นึกไม่คิด” ท่านอาจารย์พุทธทาสรู้เข้าก็ว่าทันทีเลยว่า “จิตเกิดดับ ห้ามได้รึ ? เมื่อเกิดผัสสะ อย่าให้เลยไปจนเกิดเวทนา เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักว่าได้ยินซิ” แค่นี้อาตมาก็เข้าใจเลย ความคิดว่า ตัวอยากเป็นพระอรหันต์ มัวหันไป หันมา อยู่นั่นแหละ ไม่เอาแล้ว !!

    งานแก้โรคภัยไข้เจ็บ

    โรคที่เป็นอยู่อาตมาก็ไม่ได้กินยาอะไร การแก้โรคของอาตมาคือการทำงานให้หนัก ช่วยงานวัด มีงานทำตลอดระหว่างเป็นอุบาสก ๓ เดือน ก็เลยลืมๆ ไป ไม่คิดว่าตัวเจ็บป่วย

    _paragraph_10_294.jpg
    ภาพถ่ายพระธาตุของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    แจ้งข่าวการบวชกับคุณแม่บุญเรือน

    ก่อนจะบวช อาตมาได้เขียนจดหมายไปถึงพี่สาวบอกว่า จะบวช คุณแม่บุญเรือนสั่งให้พี่สาวมาบอกอาตมาว่า “ถ้าไม่ได้เป็นพระอรหันต์อย่ากลับมาหาแม่” ท่านเล่นไม้ตายแบบนี้เลย เท่ากับบังคับให้อาตมาต้องเอาจริง

    ต่อมาอีกหลายปี คือวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๗ ก่อนที่คุณแม่บุญเรือนจะสิ้น (ตาย) ก็สั่งพี่สาวให้เขียนจดหมายมาบอกอาตมาว่า “ให้พระอยู่ไปนานๆ นะ” เท่านั้นแหละรู้กัน


    คัดลอกเนื้อหามาจาก ::
    http://www.dharma-gateway.com/



    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    แผนที่วัดอาวุธวิกสิตาราม (วัดบางพลัดนอก)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2032

    ประมวลภาพวัดอาวุธวิกสิตาราม (วัดบางพลัดนอก)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=869


    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
    :- http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12567
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๒๔. ผีดิบแห่งปางซาย ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    39,357 viewsSep 25, 2021
    เรื่องราวความเชื่อเรื่องผีดิบลี้ลับที่เมืองปางซายเหนือสุดของรัฐฉาน

    พ้นนรกเพราะพระพุทธคุณ

    thamnu onprasert
    Sep 27, 2021
    เรื่องราวของชายคนหนึ่งที่พ้นนรกได้เพราะพระพุทธคุณช่วยเหลือไว้อย่างหวุดหวิด ครั้นเมื่อไปบังเกิดเป็นเทวดาบนดาวดึงส์แล้ว พอหมดจะหมดบุญ ต้องไปเกิดในนรก พระพุทธคุณก็ยังช่วยเหลือเขาอีก จนได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พ้นนรกโดยถาวร..

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2021
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ความมหัศจรรย์ของใจ จิต วิญญาณ

    สารคดี วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อ
    Sep 19, 2021
    เรื่องเล่าพระ

    ความมหัศจรรย์ของใจ จิต วิญญาณ
    ใจ มาจากคำว่า มโน
    จิต มาจากคำว่า จิตตัง
    วิญญาณ มาจากคำว่า วิญญานัง
    ทั้ง 3 ชื่อ เป็นชื่อของธาตุชนิดเดียวกัน แต่เวลาที่เราเรียกชื่อต่างกัน เพราะเรียกตามการแปรของธาตุ วัตถุธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นมนุษย์ อยู่ใต้อำนาจของใจ เมื่อเกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมา การแก้ไขสุขทุกข์ ต้องแก้ไขที่ใจ
    อาสวะ คือ สิ่งที่รอบด้านแห่งวิญญาณธาตุ อาสวะมี 4 อย่าง 1.กามาสวะ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่น่ารัก น่าใคร่
    2.ภวาสวะ คือ ความปรากฏหรือการเปลี่ยนแปลงของทุกสิ่ง 3.ทิฏฐาสวะ คือ การเห็นอาการต่างๆ เหล่านั้น
    4.อวิชชาสสะ คือ ความไม่รู้ โง่ เบาปัญญา
    แรกเริ่มเดิมที วิญญาณธาตุ เป็นธาตุรู้ เป็นความรู้มหัศจรรย์ มีแสงสว่างในตัวเอง ไม่มืดมัว แต่เมื่อคลุกเคล้ากับอาสวะ คือเครื่องหมักดองกิเลส ความมืดมัวของวิญญาณธาตุ เรียกว่า อวิชชา และอวิชชานี่เองเป็นต้นเหตุแห่งการเกิด คำว่า อวิชชา แปลว่า ไม่มีกระแสแห่งความรู้ อันหมายถึง วิญญาณธาตุ ที่ถูกห่อหุ้มด้วย อวิชชา นั่นเอง
    จิตขันธ์ คือ ดวงจิต มี 4 อย่าง
    1.เวทนา หมายถึง รู้-เสวยอารมณ์สุข-ทุกข์
    2.สัญญา หมายถึง รู้ จำ กล่าวโดยรวมคือ จำได้หมายรู้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในกระแสของตน
    3.เจตนา หมายถึง มีความจงใจ ตั้งใจทำ คิด นึก ในสิ่งนั้นๆ 4.วิญญาณ หมายถึง อาการที่มีความรู้สึก ในทุกสิ่ง

    ใจ จิต วิญญาณ และวัตถุธาตุทั้งหมด ก็เป็น สักแต่ว่า ของประจำโลก แต่จิตจะไม่หมุนเวียนไม่มึนเมา ลุ่มหลง จนมีกำลังเหนืออาสวะ อันเป็นเหตุให้รู้แจ้ง สิ้นอวิชชา เป็นอิสระจากสิ่งร้อยรัดคือสังโยชน์ทั้ง10 เข้าถึงธรรมวิเศษ เป็นอริยบุคคลองค์อรหันต์ หลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าแดนบรมสุข สงบเย็น คือแดนแห่งพระนิพพานนั่นเอง
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พุทธาภินิหารพระศาสดา

    สารคดี วัฒนธรรมประเพณีและความเชื่อ
    Sep 25, 2021
    เรื่องเล่าพระ พุทธาภินิหารพระศาสดา

    กล่าวถึงหลังจากที่องค์ศาสดาโปรดเวไนยสัตว์ครั้งแรกแก่คณะปัญจวัคคีย์ทั้ง5 สำเร็จเป็นองค์อรหันต์ชุดแรกของโลก หลักธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้น หากฟังอย่างตั้งใจแล้วปฏิบัติตามอย่างจริงจัง ครบถ้วนด้วยหลักอิทธิบาท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อย่างแรงกล้า ก็สามารถบรรลุธรรมได้ตั้งแต่ขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ พระศาสดาได้ทรงอาศัยพุทธญาณทัศนะ ตรวจดูว่าผู้ใดจะเข้าข่ายที่สมควรเสด็จไปโปรด ก็ทรงหยั่งทราบว่า ยสะกุลบุตร บุตรชายคนเดียวของเศรษฐี ผู้ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาอย่างเอาใจใส่ดีเลิศ ให้ได้รับความสุขสบาย ความอุดมสมบูรณ์ทุกอย่าง สร้างปราสาทให้อยู่สบาย 3 หลัง เมื่อเติบโตเข้าวัยหนุ่มก็จัดหา สตรีรูปโฉมงดงามมาค่อยปรนนิบัติ เมื่อถึงเวลามีครอบครัว บิดาก็จัดหาสตรีงามที่สุดมาให้ คืนหนึ่ง ยสะกุลบุตรได้ลุุกขึ้นมาพบภาพที่ไม่สวยงามของเหล่าสตรีงามทั้งหลาย ยามนอนหลับไหลไม่ได้สติ ก็เกิดความเบื่อหน่ายปราสาทอันใหญ่โตมโหฬาร ผู้คนที่อยู่แวดล้อม จิตใจร้อนรุ่มไม่สงบ จนรำพึงกับตนเองว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" ขณะนั้นองค์ศาสดาได้ตรวจดูด้วยญานทัศนะอดีตชาติของยสะกุลบุตรว่า ยสะกุลบุตร กับ54สหาย นิยมชมชอบเก็บศพคนตายไร้ญาติขาดมิตร ช่วยกันนำไปฌาปนกิจ คือเผาศพเป็นประจำ ทั้ง55สหาย รวมยสะกุลบุตร ต่างเจริญ อสุภสัญญา อยู่เป็นนิจ ยังให้เกิดการละ หน่าย คลายวาง จากความติดใจในรูปสังขาร มาตั้งแต่ชาตินั้น ครั้นถึงชาติปัจจุบัน ผลกุศลนั้น รวมถึงจิตที่เบื่อหน่ายต่อร่างกาย เพราะเห็นความจริงว่าไม่สวยไม่งาม เป็นศพตายเมื่อไหร่ จะน่าเกลียด น่ากลัวเมื่อนั้น พระศาสดาจึงตรัสกับยสะกุลบุตรว่า "นี่แน่ะ ยสะมาณพหนุ่ม ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญเธอมานั่ง ตถาคตจักแสดงธรรมให้ฟัง" ท่านเริ่มแสดงธรรมเบื้องต้น ที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา อันประกอบด้วยกถา 5 ประการเพื่อซักฟอกย้อมใจก่อน
    1. ทานกถา หมายถึงการให้ทาน การบริจาคทานให้ได้โดยยาก
    2.ศีลกถา หายถึง ศีลทั้ง 5 ข้อ ที่เหมาะกับปุถุชน
    3.สัคคกถา หมายถึง พรรณาถึงความสุขบนสวรรค์
    4.กามาทีนวกถา หมายถึง พรรณาโทษของกาม
    5.เนกขัมมานิสังสกถา หมายถึง พรรณาคุณประโยชน์ของการออกจากกาม คือการออกบวช
    พร้อมทรงโปรด บิดาผู้เป็นเศรษฐี และได้ไปโปรดมารดา กับภรรยา ของยสะกุลบุตร จนได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุมรรคผล เป็นโสดาบัน ส่วนยสะกุลบุตรบรรลุเป็นอรหันต์ ด้วยการแสดงพุทธาภินิหาร
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    พวกเอ็งจงจำไว้!! สำคัญมาก 3สิ่งนี้ จะช่วยชีวิต ให้พ้นภัย ทั้งหลายทั้งปวง สาธุ!!

    สายกลาง ชาแนล
    Aug 3, 2021



     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    ๒๒๕. เปรตวัดตึง ธุดงค์ป่ารัฐฉาน

    thamnu onprasert
    Oct 6, 2021
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    lpBoonchinawngso.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระครูวิมลญาณวิจิตร
    (หลวงปู่บุญ ชินวํโส)


    วัดป่าศรีสว่างแดนดิน
    ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ๏ บรรพบุรุษ

    เดิมปู่ย่าของท่านเป็นคนท้องถิ่นในอำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี (จังหวัดหนองบัวลำภู ในปัจจุบัน) แล้วได้อพยพย้ายถิ่นฐานจากอำเภอหนองบัวลำภู มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนใหม่อยู่ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ปู่ย่าของท่านได้เสียชีวิตลงที่นี่ จากนั้นไม่นานนัก บุตรชายของปู่ก็ได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวอำเภอเขื่องใน แล้วช่วยกันทำมาหากินประกอบอาชีพชาวไร่ชาวนาตลอดมา
    ๏ ชาติภูมิ

    ท่านหลวงปู่ ชินวํโส (นามเดิมของท่าน บุญตา) เกิดในตระกูลสายกัณณ์ ที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๕๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๗ เป็นบุตรของนายวงศ์สา และนางใคร่ สายกัณณ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๔ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๔ มีชื่อตามลำดับดังนี้

    (๑) นายพิมพา สายกัณณ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    (๒) นายสุดชา สายกัณณ์ (พระอาจารย์พร สุมโน มรณภาพแล้ว)
    (๓) นายจันทา สายกัณณ์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
    (๔) นายบุญตา สายกัณณ์ (หลวงปู่บุญ ชินวํโส มรณภาพแล้ว)

    ก่อนที่เด็กชายบุญตาจะถือกำเนิดมานั้น มีเรื่องเล่าว่า โยมมารดาของท่านไปทำนา ซึ่งตอนนั้นกำลังท้องแก่จวนจะคลอดแล้ว พอขึ้นจากดำนากินข้าวเสร็จ โยมมารดาของท่านก็รู้สึกปวดท้อง จึงได้บอกกับโยมบิดาของท่านว่าจะกลับบ้านก่อน โยมมารดาของท่านได้เดินกลับบ้านเพียงลำพัง พอไปถึงระหว่างทางได้หยุดพักที่เนินต้นตาล รู้สึกปวดท้อง จึงเดินไปหาหนองน้ำในบริเวณนั้น เอาน้ำมาลูบท้อง โยมมารดาของท่านจึงได้คลอดท่านที่หนองน้ำแห่งนั้นด้วยความง่ายดาย ไม่เจ็บปวดทรมานแต่อย่างใด แล้วโยมมารดาของท่านจึงได้เอาผ้าห่อท่านใส่ตะกร้ากลับบ้าน แล้วท่านก็ก่อไฟผิง ต่อมาไม่นานนัก โยมบิดาของท่านก็ได้กลับมาบ้านแล้วตัดสายรกให้ท่าน ตอนคลอดนั้นตัวของท่านเล็กมาก ตัวแดงๆ เหมือนกับพริก โยมบิดามารดาเลยตั้งชื่อให้ท่านว่า บุญตา

    ท่านหลวงปู่บุญเป็นน้องคนสุดท้อง รูปร่างเล็ก ว่องไว ใจเร็ว และขยันหมั่นเพียร เป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็ก พออายุครบที่จะเข้าโรงเรียนได้แล้ว โยมบิดาของท่านก็เอาไปฝากเข้าโรงเรียนประถม ที่บ้านเขื่องใน จนจบ ป.๔ พออ่านออกเขียนได้

    ครั้นเด็กชายบุญตาย่างเข้า ๑๑ ปี โยมมารดาก็เสียชีวิต เด็กชายบุญตาก็ได้อยู่กับโยมบิดาเรื่อยมา พี่ชายคนที่ชื่อพิมพา ได้แต่งงานเอาเมียมาเลี้ยงบิดาได้ไม่นานนัก พี่ชายที่ชื่อพิมพาก็เสียชีวิตลง พี่ชายที่ชื่อสุดชาก็บวช ส่วนพี่ชายที่ชื่อจันทาก็บวช ได้ไม่นานก็สึก

    เมื่อท่านอายุย่างเข้า ๑๓-๑๔ ปี พระอาจารย์พร สุมโน ซึ่งเป็นพี่ชายได้บวชเป็นพระ แล้วได้กลับมาเยี่ยมบ้านและพักอยู่ที่บ้านเขื่องใน ได้ถามความประสงค์ของน้องชายว่า อยากบวชไหม เด็กชายบุญตาจึงตอบพระพี่ชายว่า ถ้าบิดาให้บวชก็บวช ท่านอาจารย์พรจึงได้ไปขออนุญาตจากโยมบิดาว่าจะเอาน้องคนเล็กไปบวช โยมบิดาบอกให้ไปถามน้องก่อน ถ้าเขาอยากบวชก็ไม่ขัดข้อง เป็นอันว่าเด็กชายบุญตาไม่มีอะไรขัดข้อง
    ๏ ชีวิตผ้าขาว

    เมื่อได้รับอนุญาตโยมบิดาแล้ว เด็กชายบุญตาก็ได้ติดตามท่านอาจารย์พรไปเพื่อหวังจะได้บรรพชา อุปสมบท ท่านอาจารย์พรก็ให้บวชเป็นผ้าขาว ถือศีล ๘ ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในเพศผ้าขาวไปก่อน ประมาณ ๑๐ เดือนที่อยู่ในเพศผ้าขาวนั้น ท่านอาจารย์พรได้พาไปฝึกภาวนาในสถานที่ต่างๆ ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวไกลจากหมู่บ้าน สมัยนั้นสัตว์ป่ามีมาก ท่านอาจารย์พรได้พาไปพักอยู่ตามถ้ำต่างๆ ตามเงื้อมผา ป่าช้าป่าชัฏ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งผู้คนเกรงขาม เพื่อเป็นการทดสอบดูว่าผ้าขาวบุญตานี้จะอยู่ได้สมกับที่อยากบวชหรือไม่ ท่านอาจารย์พรให้เหตุผลกับผ้าขาวบุญตาว่า ธรรมดาสิ่งทั้งปวงที่จะเป็นประโยชน์ และคงทนถาวรได้นานต้องมีการทุบตีหล่อหลอมเสียก่อน จึงจะรู้ว่าจะเป็นของดีหรือของเก๊ เมื่อเป็นของดีก็จะทนอยู่ได้ เมื่อเป็นของเก๊ก็กลับบ้านเสีย ไม่หาญไปกับเราได้ แต่ผ้าขาวบุญตาก็ทนอยู่ได้ ถึงจะเกิดความกลัวจนตัวสั่นก็ไม่คิดจะกลับไปในเพศผ้าขาว ท่านได้ประคับประคองตัวเองให้มีความอดทนอดกลั้นในการฝึกหัดภาวนา ตลอดทั้งข้อวัตรปฏิบัติทุกกรณีที่เป็นหน้าที่ของผ้าขาวจะพึงกระทำ ท่านก็ได้ทำอย่างสมบูรณ์ไม่บกพร่อง

    paragraph__2_105.jpg
    หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์

    หลังจากที่ออกจากบ้านได้บวชเป็นผ้าขาว และติดตามท่านอาจารย์พรไปตามสถานที่ต่างๆ ราว ๑๐เดือน ผ้าขาวบุญตาจึงได้พากลับมาบ้านที่อำเภอเขื่องใน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน พักอยู่ที่วัดป่าศิลาลักษณ์ โยมบิดาตลอดทั้งญาติๆ พอพากันทราบข่าว ก็ได้พร้อมใจกันมาหาและอยากจะให้ท่านบวชเป็นพระ แต่อายุท่านยังไม่ครบ ๒๐ ปี ท่านจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ต่อมาในวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๕ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบูรพาราม ซึ่งสมัยนั้นอยู่ในเขตอำเภอวารินชำราบ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี) โดยมี พระศาสนดิลก เป็นพระอุปัชฌาย์ และ พระเพ็ง เป็นพระกรรมวาจาจารย์

    ในพรรษาแรก ท่านได้จำพรรษาที่วัดบูรพาราม พอออกพรรษาแล้วได้เที่ยววิเวกไปกับท่านอาจารย์พรทางจังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดสุรินทร์ ข้ามไปประเทศเขมร พอใกล้เข้าพรรษาที่ ๒ ก็กลับมาทางจังหวัดอุบลราชธานี จำพรรษาที่วัดเลียบ ครั้นออกพรรษาก็ได้เที่ยววิเวกไปทางอำเภออำนาจเจริญ อำเภอมุกดาหาร เที่ยววนเวียนอยู่ตามป่าเขาแถบนั้น พอใกล้เข้าพรรษาก็กลับมาวัดเลียบอีก ออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกไปทางสกลนคร อุดรธานี แล้วกลับไปจำพรรษาที่วัดบ้านบ่อเสนง อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี

    ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ พรรษานี้ ท่านบอกว่าประกอบความเพียรอย่างหนัก ตลอดไตรมาสสามเดือนอยู่ด้วยอริยบถ ๓ คือ ยืน เดิน นั่ง ออกพรรษาแล้วก็เที่ยววิเวกกลับไปยังอำเภอเขื่องใน พักอยู่ที่วัดป่าศิลาลักษณ์ ๓ เดือน พอถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ ก็เข้าไปอยู่กับ ท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๕ ได้ติดตามปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับท่านหลวงปู่เสาร์ตลอดมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ

    หลังจากเสร็จงานฌาปนกิจศพท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ที่วัดบูรพาราม จังหวัดอุบลราชธานี แล้วท่านก็เที่ยววิเวกขึ้นไปทางจังหวัดอุดรธานี เข้าไปปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับ ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ขณะนั้นท่านพักอยู่โนนนิเวศน์ พอใกล้เข้าพรรษา ญาติโยมทางบ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ไปขอพระนักปฏิบัติจากท่านหลวงปู่มั่น ท่านหลวงปู่มั่นจึงสั่งให้ไปอยู่กับ ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าประชานิยม บ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จากนั้นท่านได้จำพรรษาในที่ต่างๆ อีกหลายแห่ง จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๑๔ ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดศรีสว่างแดนดิน อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสว่างแดนดินเรื่อยมาจนกระทั่งมรณภาพ
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ปฏิปทาและประสบการณ์

    เมื่อท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ได้เข้าไปปฏิบัติถือนิสัยอยู่กับท่านอาจารย์พร สุมโน นานพอสมควร จากนั้นท่านก็ได้ติดตามศึกษาปฏิบัติอยู่กับท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล อีกเป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งท่านหลวงปู่เสาร์ได้มรณภาพ ท่านหลวงปู่บุญได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า ท่านได้รับความองอาจกล้าหาญในปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์ดำเนินมาตั้งแต่พรรษาที่ ๔ เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย หายสงสัยในคุณพระรัตนตรัย ปฏิปทาที่ได้จากครูบาอาจารย์นั้น ท่านก็ได้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด

    ท่านกล่าวว่า ครั้งแรกที่ได้เข้าไปศึกษาอยู่กับครูบาอาจารย์ ท่านได้ศึกษาปฏิบัติจริงๆ จนได้รับความร่มเย็นในจิตใจ ท่านมิได้ประมาทนิ่งนอนใจ ขยันหมั่นเพียรในทุกกรณีที่เป็นหน้าที่ของพระที่พึงกระทำ ท่านได้บำเพ็ญความเพียรจนเต็มสติกำลังความสามารถของท่าน จนท่านรู้วิถีแห่งการปฏิบัติทั้งภายในและภายนอกที่ครูบาอาจารย์ได้พาดำเนินมาแล้ว เมื่อท่านได้ปฏิบัติบำเพ็ญอยู่เพียงรูปเดียวซึ่งห่างไกลจากครูบาอาจารย์ ก็ได้รับความองอาจกล้าหาญมากขึ้นเป็นทวี

    ฉะนั้น การเที่ยวบำเพ็ญธรรมของท่านหลวงปู่บุญ ชินวํโส ตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นป่าเขาก็เพื่อสะดวกแก่การภาวนา นอกจากเขตไทยแล้วท่านยังได้ข้ามไปเสาะแสวงหาสถานที่บำเพ็ญทางจิตทั้งในเขมรและลาว บางครั้งท่านก็ไปกับครูบาอาจารย์ บางครั้งก็ไปกับหมู่คณะ บางครั้งก็ไปเฉพาะท่านเพียงรูปเดียว

    ในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๐ ซึ่งเป็นพรรษาที่ ๖ ท่านได้ปลีกจากครูบาอาจารย์และหมู่คณะ ข้ามไปภาวนาอยู่ตามป่าเขาในประเทศลาวเพียงรูปเดียว ได้เที่ยวจาริกบำเพ็ญอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไหนสะดวกแก่การบำเพ็ญจิต สมาธิเจริญขึ้นก็พักอยู่ที่นั้นนานๆ การเที่ยวภาวนาอยู่ตามป่าเขานี้ ท่านบอกว่าไม่ได้สนใจกับภัยที่จะเกิดขึ้นกับตนเองเท่าไร สนใจแต่ธรรมที่กำลังปฏิบัติอยู่ อีกอย่างหนึ่งท่านเชื่อมั่นในปฏิปทาของตัวเองที่ได้มาจากครูบาอาจารย์ ท่านคิดว่าถ้าหากเสือจะกินก็คงจะกินครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาก่อนเรา แต่ไม่เคยได้ยินข่าวว่า ท่านองค์นั้นองค์นี้เข้าป่าไปภาวนาแล้วถูกเสือกัดตาย นับประสาอะไรกับเราซึ่งเป็นผู้เกิดมาทีหลังครูบาอาจารย์จะมากลัวแม้กระทั่งเสียงสัตว์ร้อง อย่างนี้จะไม่เสียเพศซึ่งหมายถึงเพศแห่งการเสียสละชีวิตเพื่อธรรมหรือ เพราะความคิดของท่านอย่างนี้ ท่านจึงไม่ท้อถอยแม้ได้ยินเสียงเสือร้องกระหึ่มเข้ามาใกล้ๆ ขณะเดินทางขึ้นไปบนภูเขาควายเพียงรูปเดียว ยังไม่ทันถึงตะวันก็ตกดินเสียก่อน มีเสียงเสือร้องออกมาต้อนรับตามเส้นทางที่เดินไป
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ บำเพ็ญธรรมบนภูเขาควาย

    ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับมาเมืองไทย ท่านได้ไปเที่ยวทางอำเภอบ้านอ้น บุกขึ้นไปบนภูเขาควาย พักภาวนาอยู่ที่นั้นนานกว่าทุกแห่ง การเดินทางไปบ้านลาวพวนบนภูเขาควายเป็นการเสี่ยงสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยไป เพราะจะต้องเดินข้ามภูเขาหลายลูกจึงจะถึงหมู่บ้านลาวพวน เมื่อท่านได้ถามถึงเส้นทางกับคนที่เคยไป เขาก็บอกว่าเป็นการเสี่ยงนะท่าน ท่านก็คิดในใจว่า เคยเสี่ยงมาแล้ว จึงไม่คิดหนักใจเท่าไร

    วันนั้นท่านเดินทางตลอดทั้งวัน จนกระทั่งตะวันลับยอดไม้ก็ยังไม่พบร่องรอยว่าจะเห็นหมู่บ้านลาวพวนบนภูเขาควายเลย ท่านบอกว่า พอตะวันลับยอดไม้แล้วความมืดก็เริ่มปกคลุมเข้ามา เสียงเสือร้องคำรามเข้ามาทั้งข้างหน้าและข้างหลัง จิตใจที่คิดไว้แต่ก่อนว่าจะยอมสละไม่กลัวตาย แต่พอเข้าตาจนจริงๆ จิตใจที่มีกิเลสแทรกสิงอยู่ภายใน มันไม่ทำตามความคิดแต่แรกก่อนที่เสือจะมา ความจริงแล้ว เสือไม่ได้มาหาท่านเลย มันร้องอยู่ตามป่าตามประสาของมัน เพราะป่าที่ท่านเดินไปนั้นเป็นทำเลของมัน สำหรับความกลัวนั้น ท่านบอกว่ากลัวมากจนเดินไปไม่ได้ คิดจะพักอยู่กลางป่าก็กลัวเหมือนกัน จึงได้แข็งใจเดินต่อไป จิตใจถึงจะภาวนาอยู่ก็เกิดความลังเลขึ้นมาว่า ทางที่เราเดินนี้จะผิดหรือถูกกันแน่ ถ้าถูก ทำไมไม่เห็นหมู่บ้านสักที

    ขณะที่ท่านคิดปรับทุกข์อยู่กับตัวเองนั้น กลัวก็กลัว เสือก็ร้องทั้งใกล้และไกล ถ้าจะเดินต่อไปก็จะไปเจอเสือ ถ้าจะหยุดพักก็กลัวเสือกลัวช้างจะมาพบท่าน กำลังคิดวุ่นวายอยู่อย่างนี้ พลันก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นข้างหน้า เมื่อเข้ามาใกล้ก็เป็นคนจริงๆ และขอรับบริขารของท่านไปช่วยถือให้ ทีแรกท่านไม่ยอมเพราะคิดว่าเป็นผีป่าเทวดาหรือโจรผู้ร้ายมากกว่าจะเป็นคนที่จะมารับท่าน เขาบอกกับท่านว่า เขามารับท่าน กลัวท่านจะไปไม่ถึงหมู่บ้าน เพราะดงนี้มีสัตว์ร้ายชุกชุมมาก “โยมรู้ได้อย่างไรว่าอาตมาจะไปหมู่บ้านนี้”

    โยมทั้งสองคนบอกว่า เขามองเห็นท่านเดินข้ามเขาลูกที่ผ่านมานั้นตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน และรู้ว่าท่านจะต้องเดินทางมามืดอยู่ในดงนี้ พอพ้นดงนี้ขึ้นเขาไปก็จะถึงหมู่บ้าน เมื่อท่านได้ถามดูแล้วเชื่อว่าเป็นคนจริงๆ ไม่ใช่โจรหรือผีป่ามาหลอก จึงยอมให้เขารับบริขารไป โยมคนหนึ่งเดินนำหน้า อีกคนหนึ่งเดินตามหลัง ระหว่างที่เดินไปโยมบอกว่า ที่โนนสาวเอ้ (หมายถึงสถานที่แห่งหนึ่งบนภูเขาควาย) มีพระมาพักอยู่ก่อนแล้วรูปหนึ่ง ชื่อ ท่านอาจารย์บุญมี ปัจจุบันท่านพักอยู่ที่วัดทุ่งสว่าง จังหวัดหนองคาย เดินไปได้เป็นเวลานานพอดู โยมจึงได้พาท่านแวะไปพักอยู่ที่บ้านร้างหลังหนึ่ง ไม่มีที่มุงที่บัง มีแต่พื้นเพื่อหลบเสือ เขาบอกกับท่านว่า คืนนี้ให้ท่านพักที่นี่ พรุ่งนี้จะมารับ ก่อนที่โยมทั้งสองจะจากไปเขาห้ามไม่ให้ท่านลงมาข้างล่างเพราะมีสัตว์ร้าย พอโยมทั้งสองกลับไปแล้วท่านก็ทำกิจวัตรประจำวันของท่าน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาพอสมควรแล้วก็จำวัด เมื่อรุ่งแจ้งของวันใหม่ก็มีโยมมารับและนิมนต์ท่านไปบิณฑบาต ท่านได้พบกับท่านอาจารย์บุญมีซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย ต่างคนต่างไป และท่านก็ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับเพื่อนสหธรรมิกผู้แสวงหาโมกขธรรมอย่างท่านในป่าแถบนี้

    ท่านได้พักบำเพ็ญธรรมอยู่กับท่านอาจารย์บุญมีบนภูเขาควาย สัตว์ป่าสมัยนั้นมีมาก เช่น อีเก้งเป็นฝูงๆ ไม่มีท่าทีว่าจะกลัวท่านเลย ขณะบิณฑบาตผ่านไป มันก็ยืนมองดูเฉยๆ แล้วก็หากินต่อไป กลางคืนมีสิ่งมากระตุ้นเตือนจิตใจไม่ให้ประมาท ก็คือ เสือและผีกองกอย ถ้าเป็นวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ผีกองกอยจะเข้ามาเยี่ยมท่าน มาร้องวนเวียนอยู่ที่ที่พักของท่าน จึงเป็นเหตุให้ท่านนั่งตัวตรงแข็งทื่ออยู่ตลอดทั้งคืน การประกอบความเพียรของท่านในระยะนั้น ท่านได้ทำความเพียรอย่างยิ่งยวดถึงขั้นแตกหัก ถ้ากิเลสภายในหัวใจไม่ตาย ตัวเองก็จะขอตายก่อนกิเลส เพราะการประกอบความเพียรเพื่อขับไล่กิเลสนั้น ถ้าตัวเองไม่ตายก็ขอให้กิเลสมันตายไปจากหัวใจ จะได้ไม่ต้องบุกป่าฝ่าดงขึ้นมาให้ลำบากอีกต่อไป เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ท่านจึงได้ทุ่มเทในการทำความเพียรอย่างหนักทุกอิริยบถ ยืน เดิน นั่ง นอน เต็มไปด้วยความพากเพียรเพื่อจะถอดถอนกิเลส

    เมื่อทำความเพียรอยู่อย่างนี้ จิตใจจึงได้รู้ได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดอัศจรรย์เกิดขึ้นในเวลาจิตรวมสงบลงเป็นขั้นๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้ ทั้งเรื่องภายนอกภายใน ความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจก็ล้วนแต่เป็นเรื่องความดีทั้งสิ้น ความคิดความหวังที่ตัวเองจะได้ครองธรรมบริสุทธิ์ก็อยู่คาเอื้อม ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยบถใด สติปัญญาจะพิจารณาถอดถอนกิเลสอยู่ทั้งวันทั้งคืน จิตที่มีสติเป็นพี่เลี้ยงติดตาม ไม่ว่าจะพิจารณาธาตุขันธ์หรืออาการใดอาการหนึ่ง ย่อมได้รับความรู้ความเห็นในสิ่งนั้นๆ อย่างเด่นชัด
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ผจญผีกองกอยบนภูเขาควาย

    ระยะที่ท่านพักภาวนาอยู่บนภูเขาควายนั้น มีหมอยาสมุนไพรทางฝั่งไทย ๓ คนบอกกับท่านว่า พวกเขาอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ขึ้นไปเก็บยาบนภูเขาควาย เมื่อได้ยาแล้วก็มาพักอยู่ที่ลานหินใกล้ที่พักของท่านและได้ก่อกองไฟกองใหญ่ขึ้นแล้วพากันนอนล้อมกองไฟ พอตกกลางคืน คนหนึ่งในสามได้ถูกผีกองกอยทำร้ายเอา นอนตายอยู่ข้างกองไฟ แต่เพื่อนที่มาด้วยกันไม่รู้ พอรุ่งแจ้งสว่างขึ้นเห็นนอนไม่ตื่น เพื่อนจึงปลุกเพื่อให้ตื่น เพิ่งมารู้ตอนนี้เองว่าเพื่อนคนนั้นได้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ตอนกลางคืน หมอยาที่เหลืออีกสองคนบอกกับท่านว่า เมื่อคืนนี้ผีกองกอยมาร้องวนเวียนตลอดคืน เสียงร้องของมันดังผิดปรกติต่างจากที่เคยได้ยินมา บางครั้งเหมือนกับมันมานั่งร้องอยู่ข้างกองไฟ แต่ไม่เห็นตัวมัน ได้ยินแต่เสียงมันร้อง หมอนี่มันทำผิดป่าเขา ไปเอาฝืนมาก่อไฟตอนเย็นเมื่อวานนี้มันดึงลากฝืนมา มันไม่แบกมาจึงผิดป่าแถบนี้ ผีกองกอยมันจึงทำร้ายเอา เขาพูดปรารภปรับทุกข์กับท่าน เมื่อท่านได้พบเห็นกับตาตัวเองอย่างนี้แล้วยิ่งมีความกลัวเกรงในสถานที่มากขึ้น จิตใจไม่มีความชินชากับสถานที่อยู่เลย ถึงจะอยู่นานก็ยังระวังตลอดเวลา เพราะเสือกับผีกองกอยมันมาเยี่ยมและร้องบอกทุกคืนว่าไม่ให้ประมาท ให้รีบเร่งประกอบความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจให้หมดสิ้นโดยเร็ว

    ทุกวันนี้ท่านยังพูดถึงเรื่องที่ท่านไปภาวนาอยู่บนภูเขาควายให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังอยู่เสมอว่า สมัยท่านเป็นพระหนุ่มได้เสาะแสวงหาที่ภาวนาตามป่าเขาลำเนาไพร ความเกียจคร้าน ท้อแท้ อ่อนแอ ไม่มีเลย เพราะสิ่งแวดล้อมมันผลักดันให้ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่ตลอดเวลา
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ผจญเสือ

    ท่านได้พักปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่บนภูเขาควายประมาณ ๔ เดือน ก็กลับลงมาหาครูบาอาจารย์และหมู่คณะทางฝั่งไทย พร้อมกับได้ข่าวว่าโยมบิดาของท่านป่วย จึงได้เดินทางไปจังหวัดอุบลราชธานี การเดินทางไปจังหวัดอุบลฯ ในสมัยนั้นต้องเดินไป รถราไม่ค่อยจะมี เวลาเดินไปก็ภาวนาไปด้วย แล้วก็แวะตามสถานที่ต่างๆ เมื่อถึงเมืองอุบลก็ได้ไปเยี่ยมโยมบิดา ครั้นอาการของโยมบิดาดีขึ้น ท่านจึงได้ออกเที่ยววิเวกต่อไปทางอำเภอคำชะอี มุกดาหาร ได้แวะพักตามป่าเขาในแถบนั้น ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๗ มีบางคนที่ไม่รู้ความจริงของท่าน ได้พูดว่า เสือกินท่านอาจารย์บุญเสียแล้ว คนทั้งหลายพอได้ยินข่าวนี้ก็ลือกันใหญ่ว่าเสือได้กินท่านจริงๆ พอท่านกลับมา ทั้งพระทั้งโยมได้ถามท่านว่า ไหนเขาลือว่าท่านถูกเสือกินตายแล้ว ทำไมท่านยังอยู่

    เรื่องจริงมีอยู่ว่า พระธุดงค์กรรมฐานในสมัยท่านหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และท่านหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พอออกพรรษาแล้วก็ต้องเที่ยววิเวกไปตามป่าเขาพักรุกขมูลต่างๆ เช่น ร่มไม้ ถ้ำ เงื้อมผา ต้องเปลี่ยนสถานที่ภาวนาไปเรื่อยๆ ท่านหลวงปู่บุญได้ไปพักอยู่ที่ด่านเม็ง ใกล้บ้านยิ้ว อำเภอคำชะอี พอท่านไปพักที่นั่นยังไม่ถึงคืน ก็มีชาวบ้านยิ้วพร้อมกันมานิมนต์ท่านให้ย้ายไปพักที่อื่น แล้วชาวบ้านก็พูดเป็นการข่มขวัญท่านทันทีว่า

    “ท่านอัญญาธรรมจะพักอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นอันขาด (ท่านอัญญาธรรมเป็นศัพท์ที่ชาวบ้านยิ้วเรียกพระธุดงค์สมัยนั้น) ที่ท่านพักอยู่เดี๋ยวนี้เป็นทางผ่านของเสือโคร่งตัวใหญ่ ดุร้ายมาก เคยกัดกินคนมาแล้ว”

    ขณะท่านฟังชาวบ้านพูดว่า “เสือจะมากัดกินท่าน ถ้าท่านพักอยู่ที่นี่” ท่านก็นึกขำในใจว่า ชาวบ้านอาจจะมาขู่ท่าน ลองดูว่าท่านจะเป็นพระป่าประเภทขี้ขลาดหรือกล้าตาย และท่านก็คิดได้ว่า ถ้าหนีออกไปจากที่นี่ตามคำนิมนต์ของชาวบ้านแล้ว เราก็จะเป็นพระธุดงค์ประเภทขี้ขลาด

    ท่านจึงบอกชาวบ้านว่า “เสือมันไม่กล้าทำร้ายพระ เพราะพระมีเมตตาธรรม ไม่เบียดเบียนสัตว์ เสือไม่มาเบียดเบียนพระหรอกโยม มันจะเบียดเบียนแต่คนไม่มีศีลมีธรรมนั่นแหละ”

    ถึงชาวบ้านจะอ้อนวอนให้ท่านย้ายไปพักที่อื่นอย่างไร ท่านก็ไม่ไป ท่านยังได้พูดทีเล่นทีจริงกับชาวบ้านว่า “ถ้าเสือมาหาอาตมาจริงๆ ก็ดีแล้ว อาตมาจะได้เห็นตัวมัน เสือที่กินคนมาแล้วนี้จะตัวใหญ่ขนาดไหน วันนี้อาตมาจะยังไม่ไปไหน ถ้าจะย้ายไปที่อื่นก็คงอีกหลายวันข้างหน้า”

    ชาวบ้านทั้งหลายที่มานิมนต์ ดูท่าทางท่านแล้วเป็นห่วงท่านจริงๆ เขายังพูดอย่างระล่ำระลักว่า “ท่านจะมาภาวนานั้น ท่านไม่ได้ภาวนาดอก เสือตัวนี้จะรบกวนท่านจริงๆ ถ้าท่านไม่รีบหนีจะถูกมันกัดกินก็ได้ ขอให้ฟังพวกข้าน้อยเถิด อย่าอยู่เลย”

    ขณะที่ชาวบ้านกำลังนิมนต์จะให้ท่านหนีให้ได้ ในจิตใจของท่านก็เท่ากับว่าเขานิมนต์ให้อยู่ที่นี่ อย่าหนีไปไหน ให้ตั้งใจภาวนา ท่านนึกอย่างนี้ ชาวบ้านยังเล่าให้ท่านฟังอีกว่า บางคืนเสือตัวนี้เข้าไปในหมู่บ้านจับเอาวัวควายของชาวบ้านกิน ไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน เพราะเขาเชื่อว่าเสือตัวนี้ต้องเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าป่าเจ้าเขาซึ่งเป็นอารักษ์ของหมู่บ้านยิ้ว ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนเพราะสัตว์ร้ายเข้าหมู่บ้านรบกวน ชาวบ้านจะไปพูดกับอารักษ์ผีบ้านว่า ขอให้เจ้าป่าตาอารักษ์บ้านปกป้องคุ้มครองอย่าให้สัตว์ร้ายไปรบกวนนัก เพราะชาวบ้านป่าขาดที่พึ่งทางจิตใจมาก พวกเขาจึงได้ยึดเอาผีสางเทวดาเป็นที่พึ่ง บางหมู่บ้านพอเห็นพระธุดงค์กรรมฐานจะเข้าไปอยู่ดอนผีปู่ตาบ้าน ต้องวิ่งออกมาดักนิมนต์ให้ไปพักที่อื่น
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    เมื่อชาวบ้านที่มานิมนต์ท่านกลับไปแล้ว ท่านก็คิดอยู่ในใจว่า เรามาที่นี่เพื่อภาวนา ถึงจะถูกเสือมารบกวนจริงตามคำของชาวบ้าน เราก็จะทนอยู่ไปก่อน เพราะได้ฝืนคำของชาวบ้านไปแล้ว ถึงเสือจะกัดกินก็เป็นกรรมของเราต่างหาก ท่านพักอยู่ที่นั่นได้ ๓-๔ คืน กำลังเตรียมรับมือกับเสือตัวที่ว่านั้นอยู่อย่างไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก็ไม่เห็นเสือมาตามชาวบ้านพูด ได้ยินแต่เสียงร้องอยู่ไกลๆ

    พอถึงวันที่ ๗ ใกล้ค่ำวันนั้น ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักมาเป็นระยะ พร้อมกับเห็นไก่ป่าตัวหนึ่งบินมาทางท่านแล้วร้องกะต๊าก ท่านมองดูไก่ตัวนี้จะต้องกลัวอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นแน่ ท่านคิดในใจ หรือเสียงกิ่งไม้หักนั้นจะเป็นสัตว์ร้าย แล้วเสียงกิ่งไม้หักก็ดังใกล้เข้ามา ท่านเดินจงกรมอยู่ก็ลังเลใจ ระลึกถึงคำครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า “เสียงกระโดดสูง เสียงกิ่งไม้หักห่างๆ นั้นเป็นเสียงสัตว์ร้าย จะเดิน จะยืน จะนั่ง จะนอน ให้ระวัง”

    พอท่านนึกถึงคำนี้ ท่านก็เดินออกจากทางจงกรมเข้าไปอยู่ในมุ้งกลด ซึ่งแขวนอยู่ใต้ร่มไม้ริมทางจงกรม แล้วหันไปดูทิศทางที่มาของเสียง ก็เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่ยืนอยู่บนทางเดินจงกรมของท่าน มองดูท่านด้วยสายตาอันคม ท่านเกิดความกลัวจนตัวสั่นแทบจะตั้งสติไม่ได้ เพราะระลึกถึงคำชาวบ้านที่ว่า เสือตัวนี้เคยกัดกินคนมาแล้ว

    ขณะที่มันยืนเพ่งดูท่านซึ่งนั่งอยู่ในมุ้งกลด ท่านก็ได้ตั้งสติรีบนั่งขัดสมาธิภาวนา หันหน้าเข้าหามัน แต่ตาท่านหลับ ไม่ได้มองดูเสือด้วยความกลัวจนตัวสั่นเหมือนครั้งแรก พอท่านนั่งไม่กระดุกกระดิก ท่านว่าเหมือนกับเสือมันรู้ว่าท่านเตรียมรับมือมันแล้ว มันก็เดินเข้ามาหาท่าน ตาก็จับอยู่ที่ตัวท่าน พอใกล้จะถึงมุ้งกลดของท่าน มันก็หมอบลงกับพื้น ตีหางของมันกับพื้นดิน ทุกอวัยวะของมันเหมือนจะกระโดดเข้าตะครุบท่าน แต่มันก็ทำอยู่อย่างนั้น แล้วลุกขึ้นเดินไปเดินมา วนเวียนอยู่รอบๆ มุ้งกลดของท่านเป็นเวลานาน ไม่ยอมหนีไปไหน ท่านดูอาการของมันแล้ว เหมือนกับมันบอกให้ท่านทราบว่า มันจะคอยให้ตะวันตกดินเสียก่อนจึงค่อยเข้าตะครุบท่าน ขณะที่มันทำท่าจะตะครุบท่านนั้น ท่านก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จิตใจก็กลัวแทบจะตั้งสติไม่ได้ ก็ระลึกถึงคำของชาวบ้านที่มาขู่เอาไว้ทุกวันว่า ถ้าท่านไม่หนีไปจากที่นี่ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเสือจะมากัดกินท่าน

    ความมืดเริ่มคืบคลานเข้ามา มันมีอาการจะเอาตัวท่านให้ได้จริงๆ ท่านก็เลยกำหนดจิตอธิษฐานว่า “ถ้าเสือตัวนี้กับข้าพเจ้าซึ่งเป็นนักบวชเคยเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่อดีต ข้าพเจ้าเคยสร้างเวรกรรมไว้แล้วกับเสือตัวนี้ ขอให้เสือตัวนี้ตะครุบข้าพเจ้าไปกินเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เคยสร้างเวรกรรมกันมาก่อน ขอให้เสือตัวนี้จงรีบหนีไปโดยเร็วไว”

    พอท่านอธิษฐานจิตเสร็จ จิตใจก็เกิดความกล้าหาญ ยอมสละชีวิตให้กรรมเก่า แล้วท่านก็จับมุ้งกลดรื้อขึ้น จะออกไปใช้หนี้ให้แก่เสือ ยอมให้เสือกิน จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันต่อไป พอมือท่านไปถูกมุ้งกลด มุ้งก็ไหว พอเสือเห็นมุ้งกลดไหว มันก็กระโดดเข้าป่าไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่วันนั้นมา เสือไม่เคยมาหาท่านอีกเลย บางวันท่านยังนึกสนุกอยากให้มันมาทำท่าตะครุบเหยื่อของมันให้ดูอีก สำหรับเสือตัวนั้นพอไปจากท่าน มันก็เข้าไปในหมู่บ้านยิ้ว จับเอาควายของชาวบ้านไปกิน ท่านพักอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งเดือนก็ย้ายไปที่อื่น
    :- http://www.baanjompra.com/webboard/thread-1822-1-1.html
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ดูควายสู้เสือ

    การเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมของท่านหลวงปู่บุญสับสนวกวนมาก ตลอดถึงสถานที่บำเพ็ญแต่ละแห่งจะบอกให้ถูกต้องทำได้ยาก เพราะธรรมเนียมของพระธุดงค์สมัยนั้น พอออกพรรษาแล้วจะเที่ยวออกวิเวกไปตามป่าเขา พักตามรุกขมูลร่มไม้ ตามเงื้อผา ป่าช้าป่าชัฏ

    ครั้งหนึ่ง ท่านได้เดินจงกรมลงมาจากภูผักกูด มาถึงภูเก้าน้อย พร้อมด้วยหมู่คณะสามรูป ได้เห็นฝูงควายฝูงหนึ่งเดินวนกันเป็นกลุ่ม ตีเป็นวงกลม ให้ตัวเล็กอยู่กลาง ตัวใหญ่หันหัวออกนอก อีกตัวหนึ่งเป็นควายผู้ไม่เข้าไปในฝูง เดินรอบดูฝูงแล้วก็ถอยเข้าไปในกอไผ่ ท่านกับหมู่คณะรีบเดินลงมาดูใกล้ๆ แต่อยู่คนละฟากกับฝูงควาย ท่านคิดในใจว่า ฝูงควายนี้มันกำลังทำอะไร พลันก็มองเห็นเสือโคร่งตัวใหญ่เดินรอบฝูงควายอยู่ แล้วเสือก็เดินเข้าไปหาควายตัวเดียวที่ไม่เข้าไปในฝูง แล้วก็กระโดดข้ามหัวควายไป ฝ่ายควายขวิดรับแล้วก็ถอยเข้าไปในกอไผ่ ท่านยืนดูอยู่ ได้เห็นเสือกระโดดเข้าใส่ควายอีกหลายครั้ง แต่เสือก็กระโดดออกมาทุกครั้ง เพราะควายขวิดรับ เมื่อเสือกระโดดออกมาแล้วก็พยายามหลอกให้ควายออกมาจากกอไผ่ ฝ่ายควายก็ไม่ยอมออกมา พอเสือกระโดดเข้าใส่ควาย คราวนี้ควายขวิดรับอุตลุด เสือร้องลั่นป่าด้วยความเจ็บปวด แล้วมันก็รีบวิ่งหนีไปทันที ขณะที่ท่านและหมู่คณะยืนดูเสือกับควายต่อสู้กันอยู่นั้น ทุกคนลืมหมดแม้แต่จะร้องขึ้นให้เสือกับควายหนีออกจากกันก็นึกไม่ได้ จึงปล่อยให้มันสู้กันจนควายได้รับชัยชนะ

    สิ่งที่ท่านได้พบเห็นมาตามป่าเขานั้น บางสิ่งบางอย่างนำมาพูดในสมัยนี้ก็ยากที่จะมีคนเชื่อ และยากที่จะมีผู้อุทิศชีวิตเพื่อแลกกับธรรมเหมือนครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ท่านได้ตะเกียกตะกายรอดตายมาสั่งสอนผู้อื่น
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ ณ ถ้ำพระลานม่วง

    การจาริกเพื่อบำเพ็ญสมณธรรมของท่านหลวงปู่บุญสมัยนั้น ถ้าท่านได้ข่าวว่าสถานที่ใดเจ้าที่แรง คนทั้งหลายเกรงขาม ครูบาอาจารย์จะแนะนำให้ท่านเข้าไปอยู่ที่นั้น สถานที่บางแห่งชาวบ้านห้ามพระไม่ให้เข้าไปอยู่ เขากลัวว่าผีจะมารบกวนบ้านเขา

    ท่านหลวงปู่บุญได้เที่ยวจาริกไปทางจังหวัดอุดรธานี ได้ทราบคำเล่าลือกันว่า ที่ถ้ำพระลานม่วง ใกล้บ้านทมป่าข่า อำเภอศรีธาตุ เป็นถ้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ วันพระ ๘ ค่ำ และ ๑๕ ค่ำ จะมีเสียงฆ้องกลองดังอยู่ตลอดทั้งคืน ชาวบ้านแถบนั้นได้ยินกันหมด และต่างก็มีความเกรงกลัวถ้ำนี้มาก ท่านได้ทราบต่อไปว่า คนที่จะเดินข้ามเขาลูกนี้จะต้องถวายดอกบัวเสียก่อนจึงจะไปได้ เพราะเขาลูกนี้มีทางเดินผ่านมาใกล้ถ้ำพระลานม่วง ถ้ามีใครเดินมาที่ถวายดอกบัวแล้วกำแหงไม่ปฏิบัติตาม จะต้องถูกเจ้าเขาเล่นงานทุกคน ดอกบัวที่เขาถวายนั้น เขาจะไปตัดไม้มาทำเหมือนของลับผู้ชาย แล้ววางไว้ที่นั่น พร้อมทั้งบอกกล่าวให้เจ้าป่าเจ้าเขาทราบ แล้วจึงเดินผ่านไป หรือบางคนถ้าจะต้องผ่านเขาลูกนี้ ก็ทำดอกบัวเสร็จไปจากบ้าน เมื่อไปถึงก็ถวายได้เลย ถ้าใครผ่านไปไม่ได้ถวายดอกบัวไว้ที่เขาลูกนี้ เพราะกำแหงว่าตัวดีมีวิชาอาคมปราบผี เขาก็จะมีอันเป็นไปต่างๆ นานา เป็นคนบ้าใบ้เสียจริตก็มี เวลาหลับนอนก็สะดุ้งกลัว ร้องขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากที่นอน อันนี้เป็นข่าวที่ท่านทราบก่อนไปถึงแล้ว

    เมื่อคณะธรรมจาริกของท่านหลวงปู่บุญได้ทราบเรื่องราวโดยตลอด ก็ตรงไปทันที เมื่อไปถึงบ้านทมป่าข่าก็ได้บอกความประสงค์ให้ชาวบ้านทราบว่า จะไปพักภาวนาที่ถ้ำพระลานม่วง พอชาวบ้านได้ทราบดังนั้น ก็พากันพูดจนไม่รู้จะฟังใคร ทุกคนล้วนแต่พรรณนาถึงความศักดิ์สิทธิ์วิเศษของถ้ำพระลานม่วง และไม่อยากให้ท่านเข้าไปอยู่ เพราะเขาเห็นฤทธิ์จนเกิดความขยาดกลัวถ้ำนี้มาก แต่คณะท่านหลวงปู่บุญได้ขอร้องให้ชาวบ้านพาไปส่งที่ถ้ำพระลานม่วง ท่านบอกกับชาวบ้านว่า “จะขอลองไปอยู่ดูก่อน ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ จะไปพักอยู่ที่อื่น”

    ชาวบ้านทมป่าข่ามีความเชื่อในพระกรรมฐานมาก จึงพูดกันว่า “ท่านต้องมีดี ท่านจึงอยากไปอยู่ พวกเราอย่าให้ท่านต้องผิดหวังเลย” แล้วพวกเขาก็พาคณะท่านหลวงปู่บุญไปส่งถึงถ้ำพระลานม่วง โดยมีท่านอาจารย์พร สุมโน พระผู้อาวุโส ซึ่งเป็นพี่ชายของท่านเป็นผู้นำ ไปด้วยกันทั้งหมด ๔ รูป ผ้าขาว ๑ คน
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    48,274
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,049
    (ต่อ)
    ๏ อยู่กับงู

    เมื่อไปถึงถ้ำพระลานม่วงแล้ว ท่านก็ให้ญาติโยมทำแคร่เล็กๆ สูงจากพื้นดินประมาณ ๑ ศอก ท่านรูปไหนชอบสถานที่แห่งใดก็ให้โยมไปทำแคร่ให้ที่นั้น ส่วนท่านหลวงปู่บุญได้พักอยู่ที่หน้าถ้ำพระลานม่วง ที่ปากถ้ำข้างบนมีเถาวัลย์รากไม้รก และมีที่แขวนกลดด้วย ขณะที่ท่านให้ชาวบ้านทำแคร่อยู่นั้น ก็ไม่เห็นมีอะไร พอทำแคร่เสร็จหมดครบทุกรูปแล้ว ชาวบ้านก็พากันลากลับไป

    ท่านจัดการกางมุ้งกลด เอาเชือกพาดขึ้นไปจะผูกติดกับเถาวัลย์ ขณะที่ท่านผูกเชือกอยู่นั้น ท่านเห็นงูจงอางตัวหนึ่งนอนขดอยู่เหนือศีรษะของท่าน ทีแรกท่านตกใจ คิดจะหนีออกจากที่นั่น แต่ก็ได้ทำแคร่ที่พักแล้ว พอผูกเชือกเสร็จ ท่านก็นั่งลงแหงนมองขึ้นดูงู ฝ่ายงูก็ยื่นหัวลงมามองดูท่านด้วยอาการสงบนิ่ง ท่านมองดูอยู่นาน จิตใจก็แผ่เมตตาให้ พร้อมกับคิดรำพึงรำพันในใจว่า... ถ้าเป็นงูอื่นก็ค่อยยังชั่ว แต่นี่เป็นงูจงอาง อันตรายมากถ้าไม่รีบหนี ท่านนั่งคิดปรับทุกข์กับตัวเองว่าจะทนอยู่ที่นี่หรือจะไปอยู่ที่อื่น ท่านจะได้ไปบอกให้หมู่คณะที่ไปด้วยกันทราบ

    ขณะที่ท่านพิจารณาปลอบใจตัวเองอยู่นั้น ตาก็มองจับจ้องอยู่ที่งู ซึ่งนอนขดตัวอยู่เหนือศีรษะท่านเหตุที่ท่านนั่งพิจารณาอยู่นานนั้นก็เพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอยู่หรือจะไป จนท่านพิจารณาได้ความแล้ว จึงตัดสินใจลงไปว่า

    ต้องอยู่ที่นี่ เป็นอะไรเป็นกัน หนีไปไม่ได้ งูจะกัดตายก็ยอม ถ้าหนีไป ผีถ้ำนี้จะหาว่าเราเป็นพระขี้ขลาด ไม่สมกับเป็นเพศนักบวช เป็นเพศที่ยอมเสียสละ เมื่อถึงคราวแล้วอยู่ที่ไหนมันก็ตาย ในโลกนี้มีแผ่นดินที่ไหนเข้าไปอยู่แล้วไม่ตายนั้นไม่มีเลย ฉะนั้น ไม่ต้องหนี เมื่อกลัวตายแล้วเข้าป่ามาทำไม เลือดเนื้อหนังเอ็นกระดูกอวัยวะทุกชิ้นที่อยู่ในร่างกายเรานี้ล้วนแต่ได้มาจากเลือดเนื้อหนังของสัตว์มิใช่หรือ มีชีวิตอยู่ ไม่ตายก็เพราะบริโภคเลือดเนื้อเขามิใช่หรือ เพียงแต่งูมันนอนมองดูอยู่เฉยๆ ทำไมเกิดความหึงหวงในร่างกายของตนเองจนตัวสั่น ว่าอย่างไร จะยอมให้งูกัดตาย หรือจะทิ้งลวดลายพระธุดงค์ ท่านรำพึงกับตัวเองขณะมองดูงู

    ท่านได้คิดปลอบใจตัวเองไม่ให้กลัวมาก เมื่อคิดปลอบใจตัวเองอยู่นั้น พลันก็เกิดความกล้า ตกลงว่าจะยอมให้งูกัดตาย ไม่ยอมย้ายไปที่อื่น แล้วท่านก็ลุกขึ้นยืนกางกลดทันที ท่านทำด้วยความระมัดระวัง ฝ่ายงูจงอางตัวนั้นมันยิ่งยื่นหัวออกมายาว เมื่อท่านกางมุ้งกลดเสร็จ ท่านก็รีบไปสรงน้ำ นำเอาเรื่องงูไปบอกให้หมู่คณะทราบ พอสรงน้ำเสร็จก็กลับมาที่พัก เพื่อนก็ตามมาดูงูด้วย แต่ก็ไม่เห็นงู ไม่รู้ว่ามันหนีไปทางไหนในคืนนั้นท่านนั่งภาวนาตลอดทั้งคืน พอใกล้สว่าง ขณะท่านกำลังนั่งภาวนาอยู่ ท่านได้ยินเสียงซาดๆ ดังมาเป็นระยะๆ เสียงนั้นผ่านเข้ามาใต้แคร่ที่พักท่านแล้ว กำลังจะผ่านเข้าไปในถ้ำ ท่านจึงรีบออกจากการนั่งภาวนา รื้อมุ้งกลดขึ้น มองไปเห็นงูเหลือมตัวใหญ่ขนาดโคนขากำลังเลื้อยเข้าไปในถ้ำ ท่านเห็นแล้วขนลุกไปทั้งตัว

    เมื่อท่านกลับจากบิณฑบาต ฉันเช้าเสร็จ กลับมาที่พักก็เห็นงูจงอางตัวนั้นนอนขดอยู่ที่เดิม งูตัวนี้พอตกตอนกลางคืนก็ออกเที่ยวหากิน แต่ตอนมันเลื้อยกลับเข้ามาไม่เห็น บางวันก็เห็นงูเหลือมตัวนั้นเลื้อยผ่านเข้าไปในถ้ำ ท่านได้พักอยู่ที่ถ้ำพระลานม่วงอยู่นาน เห็นสิ่งแปลกประหลาดหลายอย่าง ทั้งเรื่องภายนอกภายใน แต่เรื่องนี้ขอผ่านไปก่อน จะกลับมาพูดถึงเรื่องดอกบัวที่ชาวบ้านและคนสัญจรเดินผ่านนำไปบูชาที่ถ้ำแห่งนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...