กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. ธรรมมนุษย์

    ธรรมมนุษย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2010
    โพสต์:
    397
    ค่าพลัง:
    +1,908
    พี่นพขะรับ มันตึงตุ้บๆกะตั้งแต่หน้าอกจุกลิ้นปี่แล้วมันขึ้นจุกๆแน่นๆตึงๆที่คอหอย(จุกหนักเลยฮ่ะ)เหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างดันขึ้นมาจนต้องไอออกมา และรู้สึกจี๊ดตามแนวหลังด้วยเกี่ยวกันไหมนิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 พฤษภาคม 2015
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    กิริยาที่เกิดได้แบบหนึ่ง ถ้าจุกๆแสดงว่ามันยังไม่ขยายออกไปภายนอก
    จื้ดๆตามแนวหลังเป็นกะแสพลังงาน
    เกี่ยวกับจุดตรงใต้กะเดือก จริงๆมันจะวิ่งมารวมๆตรงต้นคอ
    ตรงต่ำแหน่งที่ตำ่กว่าท้ายท้อย
    เพื่อช่วยผลักจุดใต้กะเดือกให้เปิด
    และเปิดได้แรกๆจะไปเป็นแท่งๆก่อน
    แล้วค่อยขยายเป็นวง
    ส่วนตรงลิ้นปี่ใช้การอุทิศส่วนกุศล
    แบบส่งไปให้ทุกภพภูมิช่วยเปิด
    ประมานนี้
     
  3. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790


    ขอบคุณครับ ได้อ่านอุมมาทันตีชาดก แล้วน้ำตาจะไหล สาธุอนุโมทนา
     
  4. THE_NOP

    THE_NOP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +33
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เสียงที่ได้ยินทางหูด้านซ้าย ต้องสังเกตุเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยว่า
    เสียงที่ได้ยินนั้น ชัดเจนหรือเปล่า ในที่นี้ก็คือ ดังฟังชัดนั้นเอง
    แต่ปกติมักจะไม่ชัดขาดๆเกินๆ เสียงเบา จนต้องตั้งใจฟัง
    เสียงเหมือนคนมีปัญหาที่คอหรือถ้าได้ยินแล้ว
    เพราะว่าต้นเสียงมันเบา ไม่ชัดเจนและ
    ต้นเสียงมาจากภายนอกนี่หละครับ
    พอเราตั้งใจฟัง มันก็เลยเหมือนกับว่าเสียงมันเข้ามาในหัวเราครับ...
    ยกเว้นกรณีพิเศษ คือเราสามารถสื่อสารกับวิญญานที่ระดับกำลังจิต
    ไม่สูงได้ หรือวิญญานที่ต้องการกำลังบุญอยู่ กรณีแบบนี้จะคุยหรือ
    สื่อสารเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เป็นการเรียก ชื่อเล่นเรา หรือเรียกชื่อเฉพาะ
    เราที่ทำให้เราจำได้ว่าเป็นใครประมาณนี้ครับ..
    คำว่าในหัวหรือภายในกระโหลกศรีษะ จุดต้นเสียง
    จะต้องอยู่ตรงต่ำแหน่งแกนกลางกระโหลกถ้าเป็น
    ระดับที่มีฤิทธิ์หรือระดับสูงๆนะครับ มันจะออกมาจาก
    ต่อมไฟเนียลแกนกลางกระโหลก
    ที่มันอยู่เหนือต่ำแหน่งโคนหูบนประมาณ ๑ ซม.ครับ
    แต่ถ้าเยื้องจากแกนกลางกระโหลกมาทางขวาเล็กน้อย นั้นเป็นกิริยา
    ระหว่างทางของความสามารถทางด้านหูพิเศษ(ไม่ใช่หูหาเรื่องนะครับ ๕๕๕)
    ซึ่งมักจะหาต้นเสียงไม่ได้ เพราะจะได้ยินไกลมากจากระยะปกติ
    แต่ถ้าปกติเสียงที่มาจากทางหูด้านซ้าย
    ต้นกำเนิดมักจะเกิดจากภายนอก บ้างครั้งก็ห่าง
    จากหูเราไม่กี่ ซม. แต่มันเข้ามาภายในกระโหลกภายหลัง
    ส่วนมากจะเป็นระดับที่ยังต้องการกำลังบุญอยู่ครับ..
    แต่เสียงที่ต้องระวังคือ เสียงที่มีต้นกำเนิดภายนอกในระยะไกล
    ที่ได้ยินทางหูด้านขวาหรือเข้าเรียกว่า เสียงลมเพลมพัด อย่าไปทัก
    เพราะหมายถึงเราจะไปเชื่อมทันที...
    และเสียงที่จะเกิดได้อีก คือพูด บริเวณรอบๆกระโหลกศรีษะนี่เรื่องปกติ
    เสียงเดียวกันขนานกับหูขวา หรือตรงเข้ามากลางรูหูขวา เป็นคนที่เรารู้จัก
    ในชาตินี้ที่เสียชีวิตไปแล้วและพอมีบุญ แต่เสียงที่ได้ยินทางด้านซ้าย
    หรือแยกซ้ายก็ยาก ขวาก็ยาก หรือปนๆในหัว เป็นคนที่เรารู้จักแล้วพึ่งเสีย
    ชีวิตใหม่ๆบุญยังไม่พอ..หรือเสียงที่ได้ยินเหมือนระเบิดออกจากศรีษะนี่
    ก็ปกติไม่มีอะไร.....
    ปล.เสียงระดับมีบุญจะมาทางด้านขวาตัวเราเสมอ เพราะขึ้นอยู่กับกำลังบุญ
    กำลังบุญคือพลังงานชนิดหนึ่ง เนื่องจากร่างกายเราปกติจะมีธาตุเหล็กอยู่
    ด้านขวามากเป็นปกติ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับพลังงาน ถ้าพลังงานเค้าน้อยแล้ว
    มาทางด้านขวาจะทนแรงต้านจากจิตที่รวมกับพลังงานจากธาตุเหล็กใน
    ร่างกายเราไม่ได้ และจะถูกกลืนครับ..เป็นเหตุให้พลังงานที่ไม่มาก
    หรือกำลังบุญน้อย เค้าจึงต้องมาทางด้านซ้ายของหูเรานั้นเองครับ..
    (ยกเว้นผีฝรั่งนะครับ แม้ต้องการบุญก็มาด้านซ้ายได้ ส่วนผีแขก
    แม้ต้องการบุญก็มาทางด้านขวาครับ)
    แต่ทั้งนี้ปกติเรื่องความสามารถทางหูหรือการได้ยินพิเศษ
    ถ้าเรายังไม่สามารถได้ยิน ชนิดที่ว่าใสกิ๊ก แบบได้ยินเสียงปีกแมลงยังไม่พอ
    ได้ยินเสียงสัตว์เอาอวัยวะกระทบกันแล้วแปรเป็นภาษาที่เราเข้าใจได้ยังไม่พอ
    ให้เราเฉยๆเอาไว้ดีที่สุดครับ..เพราะที่เล่ามามันเป็นกิริยาระหว่างทาง
    ที่มันยังไม่ถือว่า เป็นระดับที่ใช้งานได้ในชีวิตปกติประจำวันนั่นเองครับ....
     
  6. THE_NOP

    THE_NOP Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +33
    ขอบคุณครับ เสียงใสชัดเจนดีครับ และค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่เสียงจากภายนอกครับ และก็เพิ่งเคยได้ยินเสียงแบบนี้เป็นครั้งแรก
    คือว่าเห็นภาพนิมิตเป็นขั้นบันไดสั้นๆอยู่ตรงหน้า แล้วปรกคลุมด้วยของสีขาวโพลนไปหมด แล้วก็ได้ยินเสียงว่า สะพาน อะครับ(คิดอยู่ว่าจะ
    พูดเรื่องนิมิตดีหรือไม่ดี เดี๋ยวเขาจะว่าบ้า)
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อืมถ้าเป็นตอนในนิมิตร
    ก็ให้สังเกตุจากลักษณะคำพูดได้ครับ..
    ปล.ที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า คือการได้ยินในสภาวะลืมตาปกติ
    หรือตอนกำลังนั่งสมาธิ หรือตอนกึ่งหลับกึ่งตื่นครับ..
    หรือตอนใช้ชีวิตประจำปกตินะครับ...
     
  8. champ_atikrit

    champ_atikrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +102
    มีคำถามมาเรียนถามคุณ nopphakan หรือผู้รู้เกี่ยวกับกสิณครับ

    คำถามมีดังนี้ครับ
    1.ถ้าต้องการเน้นการอธิฐานฤทธิ์เกี่ยวกับกสิณกองต่างๆ ควรฝึกให้ถึงปฏิภาคนิมิตหรือฝึกให้สมาธิลึกถึงอารมณ์ฌาน4 เพราะตอนนี้ผมทำได้ถึงอารมณ์ปฏิภาคนิมิตแล้วครับ พอที่จะบังคับไปซ้ายขวาบนล่างได้
    2.อยากเน้นฝึกแบบลืมตา พอนึกปุ๊ปเข้าฌานได้ทันที ควรเน้นฝึกจุดไหนครับ
    3.การที่จะสามารถเอื้อมมือไปในอากาศแล้วหยิบของต่างๆออกมาได้นั้น ควรฝึกรวม4กอง หรือกองเดียวครับ ผมฝึกดินอยู่ครับ
    ช่วงทีฝึกใหม่ๆ เหมือนโดนทดสอบอารณ์ตลอดเวลาครับ จาก คน สัตว์ และอื่นๆเหมือนจะทำให้จิตขุ่นมัว
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ลองอ่านดูจะเล่าให้ฟัง ดูก่อนว่าชอบแนวไหน เชิญลองทำดูได้ตามสดวก
    ข้อ ๑. ถ้าเน้นอฐิษฐานจิตแล้วเกิดเป็นผลก็ควรให้ถึงปฏิภาคนิมิตร
    แต่จะต้องรู้จักวางอารมย์เรื่องที่จะอฐิษฐานจิตไว้ก่อนด้วยไม่งั้นมันจะนึกไม่ออก
    ถ้าถึงอารมย์ปฏิภาคนิมิตร (การวางอารมย์ก็คือ นึกไว้ระวังวันว่าจะอฐิษฐาน
    เรื่องอะไรแล้วก็ให้ลืมๆและไม่สนใจ ควรนึกไว้หลายๆเรื่องด้วย ซัก ๒ ถึง ๓
    เรื่องกำลังพอดีครับ)
    ส่วนเทคนิคการอฐิษฐานจิตแบบแรกเพื่อให้ปรากฏเป็นวัตถุปรากฏ
    ขึ้นมาบนโลกภายนอกแบบเห็นๆ.. เมื่อเราถึงปฏิภาคนิมิตรที่มันมีแสงสว่างประกาย
    ในตัวเองแล้ว และต้องทำให้ปฏิภาคนิมิตรนิ่งๆให้ได้ก่อน..
    และพอนิ่งแล้ว ตอนนั้นเรื่องที่เราวางอารมย์ไว้ก่อนมันจะผุดขึ้นมา
    อารมย์สมาธิมันจะตกลงมาของมันเองอัตโนมัติ(ในระหว่างที่กำลัง
    อฐิษฐานจิตพร้อมๆกัน) พออฐิษฐานจิตเสร็จแล้วก็ให้กลับ
    เข้าสู่ปฏิภาคนิมิตร ผลสำเร็จมันจะเกิดขึ้นในระหว่างที่จิตกำลังเข้าถึง
    ปฏิภาคนิมิตรอีกครั้ง..ซึ่งสามารถปรากฏให้เห็นได้ถ้าเราลืมตาขึ้นมา
    ตัวอย่างการอฐิษฐานจิตแบบให้เห็นเป็นวัตถุ เช่น
    อฐิษฐานว่า ขอให้ฝนตกรอบตัวข้าพเจ้า เราจะสัมผัสและเห็นได้แบบตาเปล่าว่า
    มีเม็ดฝนตกลงมารอบๆตัวเราได้ จากความสูงเหนือศรีษะประมาณ ๕๐ ซม.
    แต่ว่าตกลงพื้นแล้วมันจะหายไป แต่ถ้านั่งในห้องพระจะตกลงที่หลังคา
    ประมาณนี้ ยกตัวอย่างที่เคยทำมาให้ดู...
    หรืออีกกรณีหนึ่งถ้าจะอฐิษฐานจิตเพื่อไปแบบภายในหรืออภิญญาจิตภายใน
    เพื่อดูอด๋ง อดีต ดูอนาคต
    อนางอ ดูนั้น อยากรู้นั้น รู้นี้ ก็ต้องเตรียมวางอารมย์เรื่องที่อยากจะ
    ทราบด้วยระหว่างวัน ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ว่าวันนี้จะขอย้อนอดีต
    ซัก ๕ ชาติ พอถึงปฏิภาคนิมิตรที่ภาพสว่างมากๆและภาพนิ่งได้แล้ว
    จิตก็จะผุดขึ้นมาว่าขอย้อนดู
    อดีตชาติที่เท่าไรจากปัจจุบัน.
    และในขณะเดียวกันอารมย์ก็จะตกมาเองอัตโนมัติ(ย้ำอีกรอบว่ามันจะตกมาเอง
    เป็นเรื่องปกตินะครับ)และเราก็รักษาอารมย์ไว้ในจังหวะที่กำลังจะเข้าสู่ปฏิภาค
    นิมิตร ก็จะปรากฏเป็นภาพในอดีตให้เราเห็นได้เอง..ส่วนการอฐิษฐานในครั้ง
    ที่๒ สาม ๔ แค่ผุดเรื่องที่จะอฐิษฐานมาและรักษาอารมย์ไว้...ก็จะเป็นเรื่อง
    ราวในชาตินั้นๆขึ้นมาให้ดูได้เอง ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปเอง และอารมย์จะ
    ไม่ตกลงมาเหมือนตอนที่อฐิษฐานจิตในครั้งแรก
    อีกประการบอกเพื่อไว้ เพื่อว่าถึงอารมย์แล้วนึกอะไรไม่ออกเลย..
    ก็ให้ต่อยอดไปเล่นอรูปฌานเลย จะได้ไม่เสียอารมย์ คือให้กำหนด
    ว่าภาพนี้จงหายไปและก็กำหนดให้ภาพปรากฏขึ้นมา ทำให้ได้อย่าง
    น้อย ๒ รอบ คือภาพหาย และขึ้นมาใหม่ ที่เดิม ต่ำแหน่งเดิม
    และภาพเดิม และก็ให้ภาพหาย และขึ้นมาใหม่ ถึงจะชัวว่าจะต่อ
    ไปอรูปฌานได้ และมันจะไปเป็นลำดับของมันเอง ในโหมดอรูปฌานได้
    จะได้กำลังสมาธิสะสม แต่ถ้าทำได้ครั้งแรก ขอบอกก่อนว่า อาจถึงขั้น
    นอนหลับฝันดี แบบไร้ความรู้สึกได้....๕๕๕
    ส่วนข้อ ๒ เด่วขอต่อใน Rep ต่อไป
     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ข้อ ๒ .คำว่านึกปุ๊บเข้าฌานปั๊บ นัยยะมันก็คือ การทรงฌานนั่นหละ
    แต่ว่าเวลาปกติเราไม่ได้เข้าฌานค้างไว้นะ เพราะจะเป็น
    การแช่และจม...และการที่เราจะนึกปุ๊บเข้าฌานได้ปั๊บหรือการ
    ทรงฌาน นั้นก็หมายความว่า ตัวจิตมีความสามารถใช้งานได้แล้ว
    ไม่ว่าจะเป็นการเข้าฌานระดับไหน...ไม่ใช่ว่าสามารถเข้าฌานได้เร็วหรือ
    ทันทีอย่างเดียว..เข้าใจตรงนี้ไว้ก่อนเน้อ...ถ้าเข้าฌานตอนไหน
    ได้เร็วเค้าเรียกว่า ชำนาญในการเข้าฌานเฉยๆ แต่จิตอาจจะไม่มี
    ความสามารถในการทำอะไรได้ พอนึกออกเนาะ...
    ที่นี้การที่จิตจะสามารถทำงานได้ มี ๒ แนวทางคือ ๑.แบบการอฐิษฐานจิต
    ที่ได้บอกไปก่อนหน้านั่นหละ คือระดับ หลวงพ่อในอดีต ท่านจะชำนาญในระดับ
    ที่หายใจเข้าออกครั้งเดียวแล้วถึงเลย..ซึ่งถ้าอยากจะถึงอย่างนั้นเราก็ฝึก
    บ่อยๆในเรื่องการอฐิษฐานจิต จากเมื่อก่อน ครึ่งชั่วโมง ก็มาเหลือ ๑๕ นาที
    แล้วก็ลดลงมาเรื่อยๆเหมือน หลวงพ่อในอดีต ซึ่งก็คงไม่ต้องบอกว่าจะต้อง
    ฟิตมากน้อยแค่ไหน..ส่วนตัวเมื่อก่อนฟิตๆได้เร็วสุด ๒๐ นาทีก็เลิกฝึกแล้ว
    แนวอฐิษฐานจิต ๕๕๕.
    อีกอย่างที่จิตจะมีความสามารถทำงานได้ ก็คือ ปั่นเจ้าปฏิภาคนิตรให้มันหมุน
    ให้ได้ หรือกำหนดให้มันหายและปรากฏให้ได้ นานที่สุดในกำลังสมาธิระดับสูง
    ตัวจิตถึงจะพลิกและเข้าถึงในเรื่องพลังงานของกสิณได้ เราจะสามารถเรียกกสิณ
    กองที่ฝึกในลักษณะพลังงานให้ขึ้นมาหมุนติ้วๆบนฝ่ามือทั้ง ๒ ข้างได้(ไม่ใช่
    พลังงานภายนอกร้อนหรือเย็นนะ แบบนั้นเป็นผลจากจักระ หรือภาวนา
    คาถาบางบทก็สามารถเข้าถึงได้.)ซึ่งเอกลักษณะหรือลักษณะการหมุนของพลังงาน
    กสิณเราจะทราบได้เองว่า นี่คือพลังงานกสิณดิน..พอทำตรงนี้ได้แล้วค่อยเรียก
    พลังงานกสิณกองอื่นๆขึ้นมา ด้วยคำภาวนาในการฝึกกสิณกองนั้นๆ..
    หลังจากนั้นค่อยมาฝึกเพิ่มความหนาแน่น ด้วยการรักษาสมาธิไว้..
    แต่ต่อไป ค่อยมาฝึกการ หนุน และ การส่งพลังงาน ซึ่งจะสามารถดึง
    และดูดพลังงานกสิณจากภายนอกมาใช้ได้ด้วย เช่น ดึงจากน้ำ จากไฟ
    จากลม จากอากาศ จากดิน เป็นต้น...และก็ฝึกถ่ายเทพลังงานกสิณ
    กองนั้นๆเข้าไปในวัตถุและดึงออกจากวัตถุให้ได้..ต่อไปการทรงฌาน
    หรือเข้าฌานก็จะเป็นอัตโนมัติ พูดง่ายๆว่า พลังงานกสิณกองต่างๆ
    มันจะขึ้นมาก่อนที่เราจะภาวนาจบ หรือ นึกคำภาวนาออก เราก็อยู่
    ในเกณฑ์ระดับที่ใช้งานได้ปกตินั่นเอง...
    ส่วนการฝึกแบบลืมตา ก็ทำได้เลย ให้มองไปในอากาศและภาวนา
    กสิณในโหมดนั้นๆ แต่ว่าการลืมตาฝึก จิตมันจะเริ่มทำงานในลักษณะ
    ของการเห็นแสงก่อน หรือ เห็นเส้นสายพลังงานก่อน อย่างใดอย่างหนึ่ง.
    หรือทั้ง ๒ อย่างพร้อมกัน และแสงจะสว่างมาก แม้นั่งในที่มืดๆ รอบๆตัว
    เราก็จะสว่างสไหวชัดเจน เหมือนมีคนเอาสปอรต์ไลท์สีขาวมาส่อง
    ถึงตรงนี้อย่าสนใจ(สภาวะนี้มันยังคิดโน่นคิดนี้ได้ แต่ยังอยู่
    ในสภาวะมีแสงสว่างได้) เพราะมันบอกว่าจิตกำเลังจะเข้าสู่ปฐมฌาน
    ให้ไม่สนใจแสงนะ ไม่งั้นจะหลงตัวเองได้(หลายๆคนมาถึงตรงนี้
    คิดว่าตัวเองบรรลุธรรมก็มี) และแสงจะค่อยๆมืดลง และก็รักษาอารมย์ไว้
    แสงมันก็จะค่อยๆสว่างขึ้นในกำลังสมาธิระดับสูง และก็ถึงค่อยจะปรากฏ
    ปฏิภาคนิมิตรเหมือนๆตอนลืมตาฝึก ส่วนถึงจุดนี้หลักการอฐิษฐานจิตก็เหมือนกับ
    ที่เล่าให้ฟังใน Rep ก่อนหน้านั่นเอง
    ตรงนี้มันจะไปได้ ในเรื่องการเชื่อมเส้นสายพลังงานต่างๆ บางครั้งแม้กำลังสมาธิ
    ไม่มาก ตาเปล่าๆมันก็จะมองเห็นเส้นสายพลังงานได้ปกติ สามารถปั่นเล่นได้ จะใช้นิ้วมือ
    ใช้หน้าฝากอะไรปั่นเล่นก็ได้ ปั่นด้านขวาเพื่อให้เล็กลงจะง่าย ปั่นด้ายซ้ายเพื่อ
    ให้เล็กลง รับรองว่า มีหอบกันไปข้างหนึ่ง ๕๕๕
    ปล.ตัวอย่างการอฐิษฐานจิต เช่น ขอให้ผงธูป ด้านหน้าข้าพเจ้าจงเป็น....ก็ว่าไป
    ก็แล้วแต่ว่าจะชอบแบบไหน พูดง่ายๆว่า มันฝึกได้ทั้งลืมตาและหลับตานั่นหละ..

    ปล.แต่บอกไว้ก่อนนะว่าจะใช้งานด้านพลังงานกองไหนได้
    จะต้องผ่านด่านทดสอบการใช้งานและหลักการนำไปใช้งาน
    ในนิมิตรจากทางภาคส่วนภพภูมิให้ได้ก่อนนะครับ ถึงจะ
    นำมาใช้งานได้จริงๆ ตรงนี้อาจจะหลายสิบครั้งหน่อย.
    เพราะแต่ละกองก็มีผู้ที่เด่นทางด้านนั้นๆในส่วนภพภูมิ
    คอยเป็นเบื้องหลังทั้งนั้นนะครับ อ่านนัยยะตรงนี้
    ให้ดีๆนะครับ....
     
  11. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ข้อ ๓ การที่จะมีความสามารถทำได้อย่างนั้น ตัวจิตต้องมีความสามารถใช้งาน
    ได้ปกติ ในระดับกำลังสมาธิระดับสูงคือใช้งานได้คล่องระดับฌาน ๔ เป็นต้นทุน
    ซึ่งส่วนตัวยังไม่สามารถทำได้ถึงระดับนั้น...และการที่จะให้ปรากฏเป็นวัตถุ
    ที่หยิบจับขึ้นมาได้เลย ตัวจิตจะต้องเข้าสู่ระดับที่เรียกว่า จิตธาตุ ซึ่งคือขั้น
    สุดท้ายของโหมดวิชาเดินธาตุ ที่จะต้องได้กสิณอย่างน้อย ๕ กอง คือ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ(ปกติกสิณสีมันก็ขึ้นมาได้ แต่ส่วนตัวไม่รู้ว่า
    จะใช้ทำอะไรยังนึกไม่ออก) เป็นทุนและไปเล่นต่อในโหมดวิญญานธาตุ
    เพื่อให้ตัวจิตพลิกข้ามเรื่องธาตุต่างๆของร่างกาย เข้าสู่โหมดพลังงาน
    ในการเชื่อมเส้นสายพลังงานต่างๆ..และปรับเรื่องการเข้าถึงพลังงาน
    ภายนอกต่างๆในร่างกายเราบริเวณตามกระดูกสันหลังให้เป็นระเบียบ
    เพื่อเอาไว้เป็นฐาน..และนอกจากที่จะต้องพัฒนากำลัง
    สมาธิใช้งานให้ได้ในระดับสูงแล้ว ในระหว่างวันตัวจิต เรียกได้ว่า
    แทบจะต้อง โปร่ง โล่ง คลาย โดยไม่มีอะไรมาเกาะได้เกือบตลอด
    ทั้งวันแล้วนะครับ ถึงจะมีความสามารถในการ หยิบของจากอากาศ
    ออกมาได้..ส่วนตัวก็ยังทำไม่ได้ จึงไม่สามารถแนะนำได้...
    ยกเว้นว่าจะเข้าถึงโหมดวิญญานธาตุได้ และรักษาอารมย์ได้นานๆ
    ก็จะสามารถปรากฏเป็นวัตถุขึ้นมาได้ อย่างนี้เคยทำได้ในกรณี
    ที่ลองเรียกพระธาตุ แต่ปัจจุบันก็ยังทำอีกไม่ได้...เพราะฉนั้นในเรื่อง
    การเข้าถึงระดับจิตธาตุ ณ เวลานี้ จึงถือว่าส่วนตัวมีประสบการณ์น้อยมาก
    และเกินภูมิวิสัยความสามารถที่จะสามารถแนะนำได้ครับ
    และก็ด่านที่จะไปถึงระดับจิตธาตุนี้ ส่วนตัวก็ยังสอบตกจาก
    การทดสอบของภาคส่วนภพภูมิชนิด
    ๑๕๐ เปอร์เซนต์เต็มและตกมาหลายรอบแล้ว ชนิดที่ยังไม่มี
    วี่แววว่าจะผ่านได้ง่ายๆครับ.. ที่พอแนะนำได้คือ
    ในโหมดพลังงานกสิณนั้น ถ้าสามารถเรียกขึ้นมาพร้อมกันได้
    ๕ กองคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ในครั้งเดียว และ
    ถ้าเมตตาเราผ่านเกณฑ์จากการทดสอบของภาคส่วนภพภูมิ
    ตรงนี้พลังงานกสิณจะสามารถเปลี่ยนเป็น อาวุธพิเศษบางอย่างได้
    และสามารถเกิดขึ้นได้หลายๆอย่าง ที่สำคัญคือ สามารถใช้งานได้จริง
    ซึ่งถึงเวลาที่ทำได้ จะทราบเองว่ามันทำอะไรได้บ้าง
    และคนอื่นๆก็สัมผัสได้ ใครตาดีก็มองเห็นได้..พาจับเล่นได้.
    เอาไว้แกล้งเด็กๆพอขำๆได้ครับ...แต่อาวุธที่จะเกิดได้
    หลังจากเรียกกสิณขึ้นได้พร้อมกัน ๕ กองนี่หละครับ..
    เพียงพอสำหรับดึงภูมิวิญญานมีฤิทธิ์นิสัยไม่ดี อสูรกายมีฤิทธิ์นิสัยแย่ๆ
    ต่างๆที่เข้ามาแทรกในร่างกายคนได้ปกติครับ..และเป็นเครื่อง
    ป้องกันตัวเราเองที่ดีด้วยครับ..
    ที่สำคัญคือ มันใช้งานได้ในสภาวะลืมตาปกตินี่หละครับ...

    ปล.ตรงนี้อาจเวอร์ๆหน่อย ฟังหูไว้หูแล้วกันครับ..
     
  12. champ_atikrit

    champ_atikrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +102
    ขอบคุณพี่nopphakan มากครับ จะทดลองปฏิบัติดู เดี๋ยวมีความคืบหน้ายังไงเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอไปฝึกก่อนครับ อิอิ
     
  13. taudom

    taudom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2015
    โพสต์:
    38
    ค่าพลัง:
    +45
    สวัสดีครับผม สมาชิกใหม่ครับ
    ดีใจที่ได้มาเจอกระทู้นี้ครับ ผมจะขอรบกวนติดต่อกับท่านนพทางข้อความได้ไหมครับ
     
  14. Nui_nawa

    Nui_nawa สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +16
    ถ้าอยากจะฝึกกสิณไฟถ้าอยู่ในที่ๆไม่มีไฟใช้ภาพไฟแทนได้มั้ยครับคุณนพ
     
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010

    ถ้าเราจะเอาภาพเพื่อให้จิตสร้างภาพขึ้นมา
    ให้ได้ก่อนด้วยตัวจิตเองนั้น
    ในการขึ้นรูประดับอุคหนิมิตร
    ภาพที่ขึ้นตอนเราหลับตานั้น เราจะให้ภาพขึ้น
    แล้วสามารถเรียกเป็นรูปร่างได้ครับ
    เช่นหลับตาแล้วเห็นภาพแล้วเรียกได้ถูกว่า วงกลม เป็นต้น..
    และในการขึ้นรูปอุคหนิมิตรกสิณไฟ
    ปกติเราจะขึ้นรูปเป็นวงกลมก่อนครับ
    ถ้าใช้ภาพเปลวไฟภาพที่ขึ้นรูปมามันจะเป็น
    ภาพเปลวไฟทั้งภาพ ซึ่งตรงนี้เหมาะสำหรับกสิณพระครับ..
    หรือเราไปมองภาพกองไฟ ภาพที่ขึ้นจะมีรูปร่างไม่แน่นอนครับ...
    ซึ่งทั้งภาพเปลวไฟและภาพกองไฟ มันจะติดกรอบของรูปภาพมาด้วยครับ..
    และมันจะเหมาะสำหรับการฝึกแบบลืมตาครับ..

    ถ้าเราไม่สดวกให้ใช้ ภาพพระอาทิตย์ทรงกลดแทน
    แต่ต้องดูให้เห็นขอบวงกลมดีๆเพราะมันจะปนแสงสีขาว
    เข้ามาด้วยครับ.. หรือใช้การมองหลอดไฟสีขาวจนเห็นไส้หลอด
    แล้วหละสายตา เพื่อเป็นการฝึกในระดับอุคหนิมิตรแทนก่อนได้ครับ...
    เพราะทั้งพระอาทิตย์มองวิสองวินาทีแล้วละสายตา
    หลอดไฟสีขาวจนเห็นไส้หลอดและละสายตา
    เปลวไฟมองในต่ำแหน่งที่เปลวนิ่งๆและละสายตา
    มันจะขึ้นอุคนิมิตรที่คล้ายๆกันได้หมดครับ

    และมันจะเริ่มเห็นความแตกต่างได้ ในระดับที่จะเข้าปฐมฌาน
    มันถึงจะเริ่มแยกได้ว่าเป็นกสิณอะไรประมาณนี้ครับ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    อ่อลืมบอก หลักสังเกตุดูว่าตัวจิตเรามันเริ่มสร้างภาพเกี่ยวกับกสิณไฟ
    ได้แล้วหรือยังด้วยตัวจิตเองนะครับ..หรือว่ามันเริ่มๆพอมีความเป็นทิพย์หรือเปล่า
    ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนก็ตาม เวลาใดๆก็ตาม..
    แล้วมองผ่านระหว่างเหนือคิ้วออกไปในอากาศ ภาวนาเตโชกสิณังร่วมด้วยก็ได้
    หรือนึกๆว่าไฟก็ได้ แล้วต่อชอบ..
    มันมีภาพปรากฏเป็นวงกลมลอยอยู่บนอากาศให้เราเห็น
    ได้ด้วยตาเปล่าๆแล้วหรือยัง ส่วนสีอาจจะยังไม่ชัดเจนขอให้มัน
    มีขอบๆเป็นวงกลมได้ สีอาจจะมืดๆก่อนก็ช่างมันเรื่องปกติครับ.
    จนกว่าจะเริ่มเห็นสีน้ำเงินได้ชัดเจน แสดงว่าตัวจิต
    เริ่มสร้างภาพได้แล้วครับถ้ากสิณไฟนะครับ
    ถ้ากสิณพระก็คล้ายๆกัน จะเห็นเป็นรูปร่างพระเหมือนกันครับ..
    เอาไว้ตรวจสอบการพัฒนาตัวจิตเราในเรื่องการสร้าง
    ความสามารถตรงนี้ดูได้ครับ
     
  17. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ผมเพิ่งลองหัดฝึกกสินน้ำครับ เปลี่ยนจากอานาปนสติ ฝึกนั่งเพ่งน้ำมาได้พักหนึ่งครับ อยากถามพี่นพว่า
    ๑.อาการแรกคือตึง ๆ บริเวณหน้าผากครับ แต่ไม่ถึงกับมึนหัว ไม่แน่ใจว่าผิดปกติหรือไม่
    ๒.พอฝึกไปประมาณ 30 นาที เริ่มมีอาการ จะอ้วกครับ ทำให้ต้องหยุด แล้วเลิกนั่งนึกถึงภาพน้ำในถ้วยแก้วใส... แล้วดึงกลับมาตามลมหายใจแล้วนั่งอานาปนสติต่อ อาการหายเป็นปกติ (อาการจะอ้วกแตกนี้มันผิดปกติไหมครับถ้าไม่ผิดจะได้ไม่หยุด)
    ๓.ความฟุ้งซ่านมีบ้างเป็นปกติ ครับ แต่รู้สึกว่าถ้านั่งมองน้ำความฟุ้งจะน้อยกว่านั่งตามลมซึ่งหลุดง่ายมาก

    ปล.ขอถามเท่านี้ก่อนครับ เดี๋ยวฝึกต่อไปเรื่อย ๆ:'(
     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ตอนที่ฝึกกสิณกับอาปาฯ ระบบหายใจมันคล้ายคลึงกัน..
    เราไม่ได้ทิ้งอย่างหนึ่งอย่างใดหรอก เรียกว่ามันแทบจะไม่ได้

    แยกขาดจากกันไปไหนเลย..อาปาฯด้วยการหายใจแบบลึกถึงท้อง
    บ้างก็เรียกว่า ลม ๓ ฐาน
    สุดแล้วแต่จะเรียก มันเป็นพื้นฐานปกติที่ต้องสร้างให้เกิดขึ้น และเป็นระบบ
    ลมหายใจปกติของเราให้ได้แม้ขณะที่เราลืมตาหรือใช้ชีวิตประจำวันทั่วๆไป
    เพื่อปรับให้จิตมีความละเอียดและเพื่อการสะสมกำลังสมาธิ
    แต่ว่ามันต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อย เพราะปกติเรามักจะหาย
    ใจลึกถึงเพียงแค่หน้าอกจนเคยชิน..แต่ในการฝึกกสิณนั้น
    เราไม่ได้ตามลมหายใจในท้องหรือตามอากาศ
    ภายนอกเข้าไปในท้องเพื่อ
    เป็นการพิจารณา แต่เราเพียงดันมันให้ลึกถึงท้อง
    คือหายใจเข้าท้องพอง..หายใจออกท้องยุบ
    สำคัญตรงที่ การทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูก
    เพื่อสร้างกำลังสติทางธรรม..และเพื่อเป็นกุศโลบายไม่ให้เรา
    เผลอใช้ความคิดในขณะที่เราทำการฝึก ซึ่งตรงนี้มันจะเป็น
    ตัวขวางการสร้างความสามารถพิเศษของจิต ในการสร้างภาพ
    ให้ขึ้นมาจากตัวจิต หรือเรียกง่ายๆว่าทิพยจักขุ หรือความสามารถทางตานั้นเอง
    ถ้าเราเผลอในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง..แม้ว่าเราจะมองผ่านที่หน้าฝาก

    หรือเหนือระหว่างคิ้ว แต่มันจะไม่ใช่การมองแบบธรรมชาติของจิต
    มันจะส่งผลให้ไปดึงคลื่นความคิดต่างๆจากสมองมามองผ่านร่วมด้วย

    พูดง่ายๆว่ามันกำลังใช้ความคิดใช้สมองในการสร้างภาพนั่นเอง
    ซึ่งมันจะทำให้เราปวดศรีษะส่วนบน หรือทำให้เรารู้สึกตึงๆที่บริเวณ
    เหนีอคิ้วได้ ทำไปทำมามันจะผลให้เราเกิดอาการ คลื่นไส้ อาเจียนได้
    ในลำดับต่อมา...เพราะสมองและความคิดมันสร้างภาพในลักษณะ
    ที่เป็นทิพย์ขึ้นมาไม่ได้นั่นเอง..บางคนที่ชอบใช้สมองสร้างภาพร่วม
    กับความคิดถึงได้ วิกลจริตเพราะว่าคลื่นความคิดมันมากแล้วไปทำ
    ให้สมองกระทบกระเทือนนั่นหละ..
    การที่เราเข้าใจเรามาทำอาปาฯ นั่นความจริงเราเพียงมาตามลมหายใจ

    มันเหมือนคล้ายๆการพักผ่อน เป็นการตัดระบบความคิดที่มาจากสมอง
    ออกไปเราจึงรู้สึกสบายขึ้น...เต็มที่ก็คือหลับ เพราะการตามลมหายใจ

    ตลอดอารมย์มันอัพได้ไม่เกินปฐมฌาณ พูดง่ายๆก็อารมย์ที่เรานอนหลับ
    ปกตินั่นหละ มันจะกลายเป็นฌานสมาหลับแทน ๕๕๕
    ให้ลองหายใจแบบที่เล่าให้ฟังนะ สรุปอีกนะ เป็นพื้นฐาน
    ที่จำเป็นจะต้องมี เพราะมันส่งผลถึงการใช้งานในอนาคตได้
    หรือไม่ได้ด้วย..ให้หายใจให้ลึกถึงท้อง หายใจเข้าท้องพอง
    หายใจออกท้องยุบแต่ไม่ต้องตามลมหายใจ และให้ทำความรู้สึกรับรู้ว่า
    มีลมเข้าและออก หรือพูดง่ายๆว่าลมมันหยุดอยู่ที่ปลายจมูก..
    ถ้านั่งแบบหลับตาแรกๆให้มองน้ำก่อนเล็กน้อย หลังๆไม่ต้อง
    แล้วหลับลูกกะตาปกติไปเลย เด่วจิตจะพยายามมอง
    ผ่านระหว่างเหนือคิ้วออกมาเองอัตโนมัติ(ย้ำว่าอัตโนมัติ)
    โดยที่เราไม่ต้องไปกำหนดจิตตรงหน้าฝาก
    เด่วมันจะตึง และจะเผลอดึงความคิดจากสมองแบบอัตโนมัติ..
    เมื่อเราไม่ใช้ความคิดจากสมองแล้ว ตัวจิตมันจะสร้างคลื่น
    ความถี่วิ่งผ่านกระโหลกศรีษะของเราขึ้นไปเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์
    ข้างบนได้เองบริเวณกระโหลกศรีษะส่วนหน้า.จะไม่มีคลื่นสมองวิ่งวน
    ภายใต้กระโหลกศรีษะ ยิ่งถ้าเผลออยากเห็นภาพ อยากมีอะไรพิเศษ
    เด่วจะมีคลื่นวิ่งไปที่ท้ายทอยให้ปวดศรีษะเล่นๆอีกยิ่งไปกันใหญ่
    .เพราะฉนั้นตรงจุดนี้ถือว่าสำคัญ...
    ถ้าลืมตามอง ก็ให้มองน้ำ แต่ตาปกติต้องนิ่งๆ
    ให้มองผ่านระหว่างคิ้วอย่างเดียว.มองน้ำได้
    แต่ไม่ต้องนาน ควรหลับตาให้แล้วให้เห็นภาพน้ำก่อน
    เพราะว่า ในระดับอุคนิมิตรแบบลืมตาของกสิณน้ำ
    มันจะคล้ายกับ อุคคนิมิตรอากาศ
    และอุคนิมิตรกสิณลม ถ้าเราแยกไม่ออกตรงนี้
    มันจะดึงให้เราไปเสียเวลา หรือหลอกให้เราเปลี่ยนไป
    ฝึกกรรมฐานกองอื่นๆแทน จะทำให้เรายิ่งสำเร็จได้ช้าเข้าไปอีก..
    .
    และเราต้องเข้าใจว่า น้ำ มันใส มันจะไปใช้การจำ การเพ่งตลอดไม่ได้
    เป้าหมายเราฝึกเพื่อ ให้จิตมันสร้างภาพน้ำจริงๆที่ ใส มีคลื่นแต่ไม่มีฟอง
    ขึ้นมาให้ได้ แรกๆมันจะมืดๆเป็นเรื่องปกติ ฉนั้นไม่ต้องรีบ ไม่ต้องเร่ง

    ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปเปรียบกับที่ผ่าน เพราะมันไม่มีแสงสะท้อนให้
    มากระทบตาเรา แล้วมีภาพคงค้างเหมือน กสิณ แสงสว่าง กสิณไฟ ฯลฯ

    มันเลยเหมือนเข้าถึงยากหน่อย แต่ถ้าจิตมันสร้างภาพน้ำใสไม่มีฟอง
    ได้แล้ว นั่นคือ จิตมันมีความสามารถทางด้านนี้จริงๆ..
    ถ้ามันสร้างภาพได้เองแล้ว จะให้กสิณไฟ กสิณอะไร เรามองไปในอากาศ

    มันก็จะสร้างอุคนิมิตรขึ้นมาได้ให้เราเห็นด้วยตาเปล่าได้เองในอนาคต
    ปล.ประมาณนี้ เพราะฉนั้นย้ำว่าการปรับระบบหายใจให้
    และฝึกตัดการใช้ความคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ..
    และการทำความรู้สึกรับรู้ที่ปลายจมูกนั่นไซร์
    มันจะทำให้เราเข้าใจสัมผัสต่างๆ นิมิตรต่างๆ
    ที่เกิดระหว่างทางได้ดียิ่งขึ้นด้วยตัวเราเอง...
    หมายเหตุมีการแก้ไข บางประโยค
    การหายใจเข้าท้องพอง หายใจออกท้องยุบนะคับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มิถุนายน 2015
  19. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ขอบคุณมากครับพี่นพ ...ดีนะที่ถามก่อน ผมฝึกผิดวิธี ต้องปรับระบบหายใจตามที่พี่บอก ส่วนการตัดความคิดจากสมองส่วนหน้านี้ไม่รู้จะทำได้หรือป่าวน่าจะยากน่าดู -__-" ค่อยๆปรับไปเรื่อย ๆ ไม่งั้นผมอาจจะวิกลจริตได้ -:'(

    ปล.ขออนุญาติปริ๊นเก็บไว้อ่านครับ
     
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เมื่อก่อน ก่อนที่จะทำอานาปานสติกัมมัฏฐาน คนเราก็หายใจเข้า หายใจออก ตามปกติ ไม่ต้องปรับต้องเปลี่ยนอะไร ครั้นมาทำกัมมัฏฐาน (อานาปานะ) มาศึกษาพระพุทธศาสนา เพราะเหตุใด พุทธศาสนิกชนต้องปรับเปลี่ยนการหายใจเข้า หายใจออกกันใหม่

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...