***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    สภาวะที่ปราศจากทุกข์โดยสิ้นเชิงนั้น
    ผู้ใดได้สัมผัสและเห็นแจ้งแล้ว จะ
    หมดโอกาสกลับมาทุกข์ได้อีก

    ผู้ที่กลับมาทุกข์ซ้ำรอยเดิมอีก
    แปลว่าผู้นั้นไม่ได้เข้าถึงสภาวะนั้นจริง
    แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน จิตใครจิตมัน

    คนส่วนใหญ่คิดว่าจิตที่เสวยทุกข์และสุขสลับกันนั้นเป็นความปกติของชีวิต
    ก็ใช่ในฐานะเป็นโลกกียธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่อยู่กับความแปรปรวนไม่เที่ยง
    และวนเวียนต่อภพ ต่อชาติ


    ตรงข้ามกับวิสุทธิธรรม ซึ่งไม่แปรปรวน ไม่ล้าสมัยจึงไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขอีกแล้ว
    ไม่ล้ำสมัยและไม่อินเทรนด์ จึงไม่มีการตกเทรนด์
    แนวทางอริยสัจจ์ มีไว้สำหรับคนต้องการพ้นทุกข์
    นำไปสู่การหลุดจากวังวนเวียนตายเวียนเกิด เพื่อมาทุกข์อีก ต่อภพต่อชาติ


    แนวทางอริยมรรคไม่เคยขัดขวาง ต่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและความสิ้นทุกข์
    จากความกดถ่วงและความบีบเค้นต่างๆนานา ไปในเวลาเดียวกัน


    การขาดความเจริญด้านใด ด้านหนึ่งไป นั่นเป็นทางเดินที่ยังไม่ตรงตามรอยมรรค๘
    ผู้ใดเดินตรงรอยมรรคมีแต่ความเจริญสถานเดียว เพราะรอยแห่งมรรค ๘
    มีความคงที่มีความความเที่ยงแท้ และมีความแน่นอน สถานเดียว (เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ)

    นิพพาน เข้าถึงได้ด้วยการ "ไร้ความหวัง"อย่างมีขั้นมีตอน
    ด้วยเหตุและปัจจัยจำเป็นได้แก่ สติ ปัญญา ศรัทธาและความเพียร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  2. ปุณบพิธ

    ปุณบพิธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2012
    โพสต์:
    1,102
    ค่าพลัง:
    +2,134
    ฝึกจักระ ฝึกอย่างไรหรือครับ
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ชีวิตเรา ส่วนเหลือ ดูไร้ค่า
    ติดอัตตา โกยกอบ หอบไม่หยุด
    ยิ่งวัตถุ ถมชีวิต ยิ่งจิตทรุด
    ห่างวิมุติ ห่างธรรม พระสัมมา


    ระลึกได้ ใช้สติ ตั้งจิตมั่น
    จงสร้างทาน สืบธาตุ พระศาสนา
    แล้วทรงศีล มนุษย์ธรรม ตามศาสดา
    ตั้งใจหมั่น ภาวนา รักษาธรรม<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2012
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    สำหรับจักระ เป็นพลังสำหรับรักษาโรค และบำรุงสุขภาพ
    ฝึกบนพื้นฐานเดียวกับกสินครับ

    ผมเผอิญทำได้ ...แต่ติดว่ายังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซี้ง ยังไม่ทราบที่มาที่ไป อย่างแน่นอน
    ขอไปเรียนก่อนนะครับ (กับคุณย่าเยาวเรศ) ให้ชัดเจน แล้วจะนำมาเผยแพร่ครับ

    ผมจะไปเรียนต้นเดือน มีค. นี้ครับ
     
  5. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]มันคือความว่าง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความว่างไม่เคยเกิด เพราะมันว่าง ไม่รู้จะเกิดมาได้ยังไง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความว่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพราะมันว่าง ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปลี่ยนแปลง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความว่างไม่มีการดับ ก็เพราะไม่มีอะไรจะให้ดับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความว่างทำลายไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรให้ทำลายอีก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]สมมุติมีคนบ้า เอาระเบิดนิวเคลียร์ไประเบิดความว่าง[/FONT][FONT=&quot]...ตู้ม เกิดไฟประลัยกัลย์[/FONT]
    [FONT=&quot]ความว่างก็คงเฉย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น[/FONT][FONT=&quot]....ระเบิดก็ระเบิดไป ไม่สะเทือน[/FONT]
    [FONT=&quot]จริงๆ ระเบิดควรขอบคุณความว่างด้วยซ้ำ[/FONT][FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าไม่มีที่ว่าง ระเบิดจะเผาผลาญ จะแตกตัวได้ยังไง[/FONT][FONT=&quot].... มันไม่มีพื้นที่ให้ระเบิดแตกตัวนี่[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าทุกอย่างทึบตันไปหมด รับรองระเบิดทำงานไม่ได้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความว่างมองดูโลก มองดูเทวดา มองดูพรหม แล้วคงหัวเราะ[/FONT][FONT=&quot] 5555[/FONT]
    [FONT=&quot]พวกเธอเกิดๆ ดับๆ ....ฉันไม่เกิดไม่ดับไปกับพวกเธอ [/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะไม่มีอะไรจะให้เกิด ไม่มีอะไรจะให้ดับ...ว่างลูกเดียว[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]จิตเป็นธรรมชาติที่มหัศจรรย์ ที่สามารถเข้าถึงความว่างได้[/FONT]
    [FONT=&quot]ตั้งแต่สัมผัสได้นิดๆ จนกระทั่ง "บรรลุ" ความว่างแบบหมดจด[/FONT]
    [FONT=&quot]ดังนั้นถ้าจิตเข้าถึงความว่าง อันเป็นนิรันดรกาลได้แล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]จะไม่มีซึ่งความเกิด ความเปลี่ยนแปลง และความดับ อีกต่อไป[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีเรื่อง....ทุกๆ อย่าง[/FONT]
    [FONT=&quot]กิเลส ความทุกข์ ความชั่ว ความดี [/FONT][FONT=&quot] 108 สิ่งที่เป็นภาระทั้งหมด ฯลฯ [/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกอย่างจะจบได้ตรงนี้ เมื่อเข้าถึง....ความว่าง[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
     
  6. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    จริงๆจะบอกว่าที่พี่กล้วยทำได้มันขั้น advance แล้วละครับ ถ้าไปเรียนอาจจะได้พื้นฐานที่แน่นขึ้นเพราะรู้ที่มาที่ไปและได้การฝึกโยคะบางท่า คุณย่าคงไม่สอนแล้วมั้งครับเพราะสมัยที่ผมไปเรียนเมื่อหลายปีมาแล้วก็เป็นลูกศิษย์มาสอนตอนนั้นก็เรียนหลายวันเหมือนกันช่วงเย็นๆ ตอนนี้ที่เรียนก็ลืมเกือบหมดแล้วโดยเฉพาะท่าโยคะ วิชาสายพลังได้เมืองไทยมีอยู่หลายที่ เช่น พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล พลังยูเรอัส เป็นต้น พลังกายทิพย์มีสองระดับจ่ายค่าธรรมเนียมนิดหน่อย พลังจักรวาลมีหลายระดับต้องเสียเงินเรียนค่อนข้างเยอะ พลังยูเรอัสมีหลายระดับแต่ไม่มากเท่าพลังจักรวาลเสียค่าเรียนนิดหน่อยเหมือนกันแต่หลังๆไม่เห็นอาจารย์ท่านเปิดคอร์สใหม่ ถ้าจะให้แนะนำจริงๆในความที่ผมเคยไปสัมผัสมาทั้งเรียนกับสายคุณย่าและสายยูเรอัส อย่างหลังจะตอบโจทย์การรักษาได้ละเอียดกว่าน่ะครับ :)
     
  7. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ...แสดงว่า ฝึกมาเยอะเหมือนกันนี่

    พลังยูเรอัส จะลอง Search Google ดูนะครับ หรือพอจะมีที่ไหนแนะนำไม๊ครับ ไม่รู้จักเลย

    ปกติเป็นคนที่ถ้าจะเผยแพร่อะไรต่อสาธารณะ แม้จะทำได้แล้วก็จริง แต่ต้องศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนน่ะครับ...
     
  8. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    พี่กล้วยลองเข้าไปดูใน http://palungjit.org/threads/พลังเอกภพยูเรอัส.192813/page-2 หรือถามไปที่คุณดาวทะเลทรายก็ได้ครับเป็นผู้เยี่ยมยุทธด้านนี้อีกคนหนึ่ง :)

    ส่วนผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่แล้วครับแต่ก็ยังไว้รักษาตัวเองหรือคนใกล้ตัวเล็กๆน้อยๆ ช่วงนี้ก็ดำเนินรอยตามการดูความรู้สึกเห็นความรู้สึกแบบหลวงพ่อสมบูรณ์อยู่ อยากเป็นอย่างพี่กล้วยเร็วๆ :)
     
  9. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ได้ครับ...จะลองไปศึกษาดูนะ

    คุณ Apichan อย่าไปอยากมันครับ ...ถ้าอยากก็ให้เห็นความรู้สึกว่าอยากนะ

    รู้ก็ช่าง ไม่รู้ช่าง อย่าอยากพ้น
    มันจะวน กับความอยาก หากเร่งผล
    สติดำเนิน ตามครรลอง ธรรมชาติตน
    จิตหลุดพ้น รู้ทัน "อยาก" พรากจากใจ
     
  10. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]คนกลาง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาเกิดการถกเถียงกัน หรืออาจถึงขั้นทะเลาะ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด จะทำยังไง จะหาข้อสรุปได้ยังไง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ต่างคน ต่างไม่ยอมกัน[/FONT][FONT=&quot]... ชั้นถูกๆ..เธอผิด... ประมาณนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]วิธีสรุปที่ดีที่สุด คือหาคนกลางมาตัดสิน[/FONT][FONT=&quot]...คนที่เป็นกลางจริงๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]คนที่ดูวงนอกอยู่ ด้วยความเป็นกลาง รู้และเห็นว่าใครถูก ใครผิด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แบบนี้จะจบ ถ้าเถียงกันอยู่ ไม่จบง่ายๆ[/FONT][FONT=&quot]...[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความคิดของคนเราก็เหมือนกันครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เวลามีปัญหาอะไรกับชีวิต เช่น ขัดแย้งกับคนอื่น แล้วเราไม่ได้เถียงออกไป[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เก็บเอาไว้[/FONT][FONT=&quot]...เริ่มทุกข์แล้วครับ แล้วก็เริ่มคิด[/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ในใจเราจะเถียงกันเอง[/FONT][FONT=&quot]...ส่วนมากจะออกแนว... เค้าผิด เราถูก [/FONT]
    [FONT=&quot]เราก็มักจะใช้ความคิดวิเคราะห์ ถกเถียงกันในใจเราเอง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนมากเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน[/FONT][FONT=&quot]....เราถูก คนอื่นผิด[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเราจะหาคนกลางมาตัดสิน เพื่อแก้ทุกข์ในใจอันนี้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ใครล่ะครับ คนกลางคนนั้น[/FONT][FONT=&quot] ...ตอบเลยนะครับ...สติ[/FONT]
    [FONT=&quot]สติที่เฝ้าดูความคิด ดูว่าอะไรผิด อะไรถูก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]สตที่ไม่ใช่ความคิด และความคิดก็ไม่ใช่สติ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มีหลายคนที่เอาความคิดมาเป็นสติ แล้วก็คิดแย้งกันไปแย้งกันมา[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่จบครับ วนเวียนอยู่กับปัญหา[/FONT][FONT=&quot]...เข้าใจว่าตนเองมีสติแล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]ก็ชั้นมีสติแล้วนะ[/FONT][FONT=&quot] แต่จริงๆ มีแต่ความคิด....คิดว่ามีสติ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]สติเป็นสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่ความคิดเลย เป็นความรู้สึกตัว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นสิ่งที่เรียกอีกอย่างว่า สัมปชัญญะ ซึ่งเราก็มีๆ กันอยู่แล้ว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มีหน้าที่คอยเฝ้าดู จัดการกับความคิด และความรู้สึก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้ามีสติ เห็นความคิดแล้ว จะรู้เลยว่าความคิดใดถูก ความคิดใดผิด[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]กล่าวว่า สติเป็นผู้จัดการความคิดโดยตรงเลย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]โดยเฉพาะความคิดที่จะก่อให้เกิดทุกข์[/FONT][FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความคิดอันไหนจะเป็นทุกข์ สติจะเข้าไปจัดการ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]>เอาความทุกข์ออกจากความคิด [/FONT]
    [FONT=&quot]>ปรับปรุงความคิดใหม่ ในกรณีคิดผิด[/FONT]
    [FONT=&quot]>ความอันไหนไม่มีประโยชน์ก็เลิกคิดไป เรียกว่าความคิดดับ[/FONT]
    [FONT=&quot]>ถ้ามันเถียงกันในใจ ก็จะหาข้อสรุปได้[/FONT]
    [FONT=&quot]>รู้ว่าความคิดอันไหนดี อันไหนไม่ดี อย่างชัดเจน[/FONT]
    [FONT=&quot]>ที่สำคัญป้องกันความคิดไม่ใช่เข้ามาทำร้ายจิตใจ[/FONT]
    [FONT=&quot]>มีสติแล้วความคิดจะไว และดีขึ้น แถมเป็นกลางด้วย ไม่เข้าข้างตัวเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]นี่คือประโยชน์ของสติ ส่วนมากเราไม่รู้จัก[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะแต่เดิมไม่ได้ฝึกฝนสติ ไม่มีใครบอก....[/FONT]
    [FONT=&quot]ชีวิตเลยวนเวียนอยู่กับความคิด[/FONT]
    [FONT=&quot]โดนความคิดลากไปทางนู้นที ทางนี้ที เราก็เชื่อมันเป็นตุเป็นตะ[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะมันมีเหตุผลไงครับ จะคิดดีหรือคิดไม่ดี มันมีเหตุผลประกอบเสร็จ[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นเหตุผลเข้าข้างตัวเองเป็นส่วนใหญ่[/FONT]
    [FONT=&quot]คนถึงได้ทำชั่ว คนถึงได้ทุกข์ เพราะเค้ามีความคิดที่เข้าข้างตัวเองนี่แหละ[/FONT]
    [FONT=&quot]แม้คิดดีก็ทุกข์ได้ แบบว่า ไม่เห็นมีใครเห็นด้วยกับเราเลย...ประมาณเนี้ยะ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ต้องมีสติครับ สติที่เฝ้าดูความคิด เฝ้าระวัง [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อยู่เหนือความคิดได้ แล้วทุกข์จะลดลง[/FONT]
    [FONT=&quot]เราจะเป็น “คนกลาง” ไม่ถูกดึงไปซ้าย ไปขวา หรือดึงไปตรงกลางด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]คนกลางแบบที่อยู่ “เหนือ” ทุกๆ มุมครับ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
     
  11. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    มอนิเตอร์อยู่ ครับ
    กำลังมอนิเตอร์อยู่ว่าจิตมันคิดอะไร แล้วถามว่าคิดทำไมเนี่ย
    มันหยุดคิด ทันทีและไม่ตอบคำถามเรา ครับมันคงหยุดให้เรางงเป็นพักพัก
    เดี๋ยวมันก็กลับไปคิดอีก (ส่วนใหญ่เป็นความคิดขยะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กุมภาพันธ์ 2012
  12. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ขอบพระคุณที่เมตตาชี้แนะครับ จริงๆผมก็ใช้คำประสาชาวโลกนั่นแหละครับมันถึงใจดี แต่เวลาปฏิบัติก็เรื่อยๆ จริงๆแล้วก่อนหน้าที่จะมาพบวิธีแบบหลวงพ่อสมบูรณ์และพี่กล้วยชี้แนะ ผมก็ได้ฝึกสติให้รู้ตัวมาได้พักใหญ่ๆแล้วล่ะครับ เพียงแต่ตอนนั้นมันเป็นสติแบบเรารู้สึก ไม่ใช้แบบให้ดูความรู้สึกที่ทำอยู่หลังจากเจอพี่กล้วยและหลวงพ่อสมบูรณ์ครับ :)
     
  13. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณ Apichan
    ใช่ เป็น "เรารู้สึก" นี่แหละ หาทางออกไม่เจอเลย ผม เป็น 10 ปีครับ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ได้
    อาทิตย์นี้ ไปเสวนาไม๊ครับ เนื้อหาเข้มข้นนะ
    ปฏิบัติธรรมเชิงเสวนา – Grand Experience | Facebook
    เชิญทุกท่านที่สนใจด้วยนะครับ



    คุณ Neoworld
    ถ้าเราท้าให้มันคิด มันจะหยุดคิด แปลกดี
    แต่ก็ต้องมารู้สึกตัวครับ ความรู้สึกตัวนี่แหละที่มันก้าวร้าวต่อความคิด
    เหมือนเหรียญสองด้าน...

    รู้สึกตัว-ไม่คิด
    ไม่รู้สึกตัว หรือรู้สึกตัวไม่เป็น - คิด

    แต่ทั้งนี้ หมายถึง "ความคิดขยะ" นะครับ
    ความรู้สึกตัวก้าวร้าวต่อความคิดขยะ

    ความคิดที่จะต้องใช้ ทำงาน วิเคราะห์ วางแผน ฯลฯ
    ก็คิดได้ตามปกติครับ...(แต่ถ้าเผลอ ก็เสร็จมันเหมือนกันอีก)
     
  14. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    เข้าร่วมเสวนาธรรมโดยไม่แจ้งหน้าได้ไหมครับ
    เกรงว่าแจ้งแล้วถึงเวลา
    จริงแล้วไปไม่ได้
    แต่ใจจริงอยากเข้าร่วมอาจนัดหมายให้ทายาท(บุตรสาว)มาเข้าร่วมด้วยครับ
     
  15. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ไ้ด้ครับ ไม่มีปัญหา
    เสวนาผม คนมาไม่เยอะครับ ประมาณ 10-30 คน
    ห้องรับได้ 70 คน จะมีที่ว่างตลอด
     
  16. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    กสิน 2

    มาฝึกกสินกันต่อนะครับ ใครยังไม่ได้อ่านตอนแรกกลับไปอ่านก่อนนะครับ


    ธาตกสินที่ผมนำมาแนะนำนี้ อาจจะแตกต่างกว่าตามที่มีในตำรา
    ที่ให้เพ่งไปที่ธาตกสินต่างๆ ดิน น้ำ ลม ไฟ แบบนั้นเรียกว่า เพ่งนิมิต หรือน่าจะเรียกว่า "อารัมณูปนิชฌาน"
    แต่การฝึกแบบนี้ เป็นการเอาลักษณะของมันมาเป็นตัวสำหรับกำหนด คือ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
    ผมว่าน่าจะตรงกับศัพท์ว่า "ลักขณูปนิชฌาน" การเอาลักษณะเป็นอารมณ์
    ปัญหาก็อาจตามมาเพราะไม่ตรงกับตำราอีก เพราะตำราแปลว่าเพ่งไตรลักษณ์
    ถือว่าผมคิดเอาเองก็แล้วกันนะครับ จะได้ไม่มีปัญหา

    การเริ่มต้นสำคัญครับ เหมือนกับว่า เราต้องสแกนร่างกายเราก่อน
    ว่ามีส่วนไหนที่มีปัญหาบางหรือเปล่า ...
    เชื่อเถิดครับ ร่างกายเราไม่ 100% หรอก ถ้าเรานั่งสำรวจจริงๆ เราจะพบว่ามันมีจุดที่ เกร็ง หรือ อั้น อยู่
    ลองดูซิครับ ตอนนี้เลยก็ได้ ขณะที่นั่งอ่านอยู่นี้
    ลองนั่งให้สบายๆ แล้วสำรวจตัวเองดูว่า อยู่ในอิริยาบทไหน ค่อยๆ ดู แบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งจ้อง
    แล้วดูว่ามีส่วนไหนที่มันเกร็ง หรือมีอาการกลั้น อั้น อยู่บ้าง
    เมื่อรู้แล้วก็รู้จักผ่อนคลายให้สบายๆ ....หายใจเข้าออกยาวๆ
    จริงๆ แค่รู้ มันจะสบายได้แทบจะทันทีนะครับ ลองดู
    มันแปลก เหมือนเป็นความลับธรรมชาติที่เราไม่ค่อยจะรู้
    ว่าเพียงแค่รู้เท่านั้น มันก็สบายได้ ผ่อนคลายเองได้
    นี่คือการเริ่มต้นของการมีสติ ...เป็นสติธรรมชาติ

    สติ มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งใหม่อะไร
    ไม่ใด้ไปสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ ...ให้แปลงร่างเป็นอัตตา (ผู้รู้) ในอนาคต


    การที่เราไปเพ่ง ไปสร้างอะไร มันจะรู้สึกว่า "เรา" ... "เรามีสติ"
    อันนั้นเป็นการปรุงแต่งตัวเราขึ้นมาแล้ว จากเดิมที่ไม่มีความหมายมั่นเป็นเรา ถ้าปล่อยสบายๆ ให้รู้เอง มีสติเอง
    ไปกำหนดการดู การรู้นี่แหละครับ ไปปรุง "เรารู้" ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
    ปล่อยสบายๆ ก็รู้ได้เองอยู่แล้ว เป็นสติตามธรรมชาติ
    สติแบบนี้ จริงๆ มีอยู่แล้ว ถ้าไม่หลับ ไม่สลบ ก็มีอยู่แล้ว
    เพียงแต่เราไม่เคยรู้จักมัน อยู่แต่กับความคิดปรุงแต่ง จึงไม่รู้จักมัน

    ดูที่ความรู้สึก ว่ามียินดี หรือยินร้ายหรือไม่
    มีความคิดหรือไม่ เห็นความรู้สึกแล้ว ความคิดจะหยุดเอง
    แต่ถ้ามีอะไรในจิต ให้รู้จักมัน รู้จักเฉยๆ ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมันครับ
    จิตนิ่งๆ รู้อยู่ เฉย และสงบของเค้าเอง เบิกบานด้วย
    มันจะว่างเองตามธรรมชาติครับ แค่ดูไปที่ความรู้สึกแค่นั้น

    แค่รู้ และผ่อนคลาย แค่นี้ ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว
    นี่แหละครับ สติตามธรรมชาติ สมาธิตามธรรมชาติ
    แปลกไม๊ครับ ไม่ได้ทำอะไร มันว่าง เบา สบาย และสงบเอง
    มันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของจิต ที่เราอาจไม่ทราบกัน
    เป็นจิตเดิมๆ ครับ ไม่มีอะไรไปปรุงแต่ง ...ไม่มีทุกข์

    ฝึกกสิน....เป็นขั้นต่อไป จากพื้นฐานอันนี้
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    การที่จิตว่าง ไม่มีอะไรเช่นนี้ คือ ขณิกะ ตามธรรมชาติ
    เราสามารถถือประโยชน์จากสมาธิธรรมชาติ มาฝึกวิชาต่างๆ ได้
    จะว่าไปแล้ว มันกลับกันกับความเชื่อเดิมๆ นะครับ
    เดิมๆ คือต้องเอากสิน หรือ อารมณ์อื่นๆ มาเป็นตัวตั้ง เพื่อให้จิตไปกำหนดให้เกิดสมาธิ
    เอากสินมาฝึกจิต แต่อันนี้เตรียมจิตให้พ้อมก่อนฝึกกสิน

    การฝึกแบบนี้ อาจต้องลองด้วยตัวเองดูก่อนที่จะตัดสินว่า ผมผิด
    ถ้าคุณรู้จริงๆ ว่า สมาธิธรรมชาติมีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปสร้างอะไรขึ้นมาใหม่
    มันก็จะง่าย เบาสบาย ไม่ต้องไปทำอะไรให้เป็นภาระ
    เป็นความลับตามธรรมชาติ ที่อาจไม่มีในตำรา
    จะว่าไปแล้ว ในมุมกลับ บางทีผมก็แปลกใจนะครับ ว่าทำไมในตำราไม่มี
    มันสูญหายไปไหน เรื่องสมาธิตามธรรมชาติ ที่มีอยู่แล้ว
    เหลือแต่สมาธิที่ต้องไปสร้างขึ้น ...แล้วก็ต้องคอยรักษา
    ไปสร้าง ไปปรุงแต่งอะไร ก็ต้องมาละมันทีหลัง
    มิฉะนั้น ตัวสมาธิที่เกิดจากความปรุงแต่งนั่นน่ะแหละครับ จะเป็นตัวทุกข์ซะเอง

    ใครจะรู้ ว่าการแบกความสงบที่เกิดจากความปรุงแต่งก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง !!

    เอาเป็นว่า ...ลองดูด้วยตัวเองดีกว่าครับ
    พระพุทธเจ้าท่านก็กล่าวกับชาวกาลามะแล้ว ว่าอย่าพึ่งปลงใจเชื่ออะไร
    จนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง

    จากจิตเดิมๆ ที่ไม่มีอะไร ว่างอยู่ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
    ก็ไป "กำหนด" โดยการไป "ดู" ตรงที่เราตั้งใจไว้
    เริ่มต้น ผมแนะนำให้ไปดูที่สมองก่อนนะครับ
    ใช้จิตไปดูความรู้สึกที่ศีรษะ ดูกว้างๆ ไม่ต้องเพ่งไปที่จุดใดจุดหนึ่ง
    ดูหลวมๆ สบายๆ เบาๆ ...ให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ
    ตรงนี้ ผมแนะนำให้ลืมตาครับ เพราะจะได้ไม่ "จม" ลงไปกับการดู
    อันนี้ ขอให้เป็นข้อระวังที่สุดเลยนะครับ
    ถ้าจมเข้าไปในอารมณ์ มันจะเข้าไปแช่ จิตจมแล้วไม่ค่อยรับรู้อะไร
    มันจะไปสงบลูกเดียวครับ...ครูบาอาจารย์เรียกว่า สงบแบบไม่รู้
    คือมันจะไม่รู้อะไรเลย ดิ่งลูกเดียว

    แต่การที่เรารู้ตัว และดูไปที่ความรู้สึกที่ศรีษะเช่นนี้
    กายสัมผัสก็ยังรู้อยู่ ได้ยินเสียงอะไรก็ยังรู้อยู่ รู้สึกยังไงก็ยังรู้ คิดอะไรก็รู้
    ไม่มีการกดข่ม ไม่มีการดัดแปลงจิต แค่รู้จักแบบนี้ แล้วไม่ตามสิ่งที่รู้... ให้รู้เฉยๆ
    ไม่ตาม ไม่ห้าม ไม่ต้องคิดวิเคราะห์อะไร ให้อิสระกับจิตได้เรียนรู้ได้เต็มที่
    เบา สบาย โปร่ง และก็ไปดูที่ไหนก็ได้ เป็นอิสระ ไม่ต้องไปฝืน
    ถ้าจิตไม่ไปตามที่เรากำหนด มันจะไปรู้ที่ส่วนไหนของร่างกาย ก็แล้วแต่มันนะครับ
    ให้อยู่บนพื้นฐานของความสบายแก่จริต

    ถ้าไปบังคับมันจะเป็นภาระทางจิตครับ
    มันจะก่อทุกข์ โดยไม่จำเป็น จิตเดิมไม่มีภาระ ไม่ทุกข์อยู่แล้ว
    ถ้าไปฝึกอะไรแล้วเป็นภาระ เป็นทุกข์ ก็อย่าเลยครับ
    คือว่า..ถ้าลองกำหนดดูความรู้สึกตรงนี้แล้ว รู้สึกว่าเป็นภาระ ก็อย่าทำเลยครับ
    อาจไม่ถูกจริตกับเราก็ได้ ....
    ดังนั้น แม้ผมจะมาแนำนำการฝึกกสิน แต่ถ้าเกิดความไม่สบายแล้ว ก็ไม่ควรฝึกต่อ

    กลับมาที่ดูความรู้สึกที่ศีรษะนะครับ ดูในภายในไว้
    แล้วลองเอา "ลม" เข้าไปเบาๆ เข้าไปที่ในสมองครับ
    ลมมาจากไหน ก็ใช้นึกเอาครับ ...ถ้านึกไม่ออก เปิดพัดลมเลยครับ
    ให้ลมมากระทบตัวเรา แล้วเอาความรู้สึกตรงนั้น ความรู้สึกที่ลมมาปะทะตัวไปไว้ที่สมอง
    ให้มันไหลเวียนอยู่ในสมองเบาๆ ...จริงๆ แค่เริ่มเข้าไป ก็จะสบายแล้วครับ
    สบายศรีษะ เป็นการพักสมองที่ดีจริงๆ ถ้าพอทำได้จะโปร่ง เบา
    แต่ถ้าจิตไปรู้ที่อื่น กฃ็ให้ลมเข้าไปที่อวัยวะนั้นแทน กฌได้เหมือนกันครับ

    หรือแม้ทำไม่ได้ กำหนดไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ รู้สึกตัวไว้
    ได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง .....กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด
    ....กสินก็อาจไม่สำเร็จในวันนี้ ฉันนั้น
    ถ้าไปพยายามจะทำให้ได้ ก็จะตกไปสู่แรงผลักดันของความอยากอีก
    ระวังนะครับ ความอยากจะได้อะไร เป็นพื้นฐานกิเลสของมนุษย์เลย
    ปล่อยสบายๆ ไว้ ถ้ามีความอยากเกิดขึ้น เราจะรู้ทันที

    ขอให้รับรู้ถึงจิตเดิมไว้ แค่นี้ก็มีประโยชน์สูงสุดอยู่แล้ว
    รู้จักจิตแบบนี้ จะมีสติได้เองตามธรรมชาติ

    จิตจะมีกี่ดวงก็ตาม ดวงที่สำคัญที่สุดคือ จิตที่ไม่มีกิเลสครับ

    รู้จักจิตแบบนี้แล้ว ถึงฝึกกสินไม่สำเร็จ ก็ไม่มีปัญหา
    "ไม่มีทุกข์ แล้ว จะเอาอะไรอีก" ครูบาอาจารย์บอกไว้
    กสินเป็นของแถมนะครับ...

    ไปๆ มาๆ สรุปว่าจะมาแนะนำการฝึกกสินหรือเปล่า ชักงงเหมือนกันครับ
     
  18. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    กฎที่สำคัญของการฝึก

    1 ทำสบายๆ นะครับ ค่อยๆ ให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ลองปรับดู ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่างมัน
    ถ้าไปบังคับ อยากให้มันเป็นแบบนั้น แบบนี้ อันนี้กิเลสจะครอบงำ

    2 ให้รู้สึกตัวภายนอกไว้เสมอ ได้ยินเสียง รับรู้สัมผัสภายนอกไว้ ...อย่า "จม"ลงไปในอารมณ์นะครับ
    มันจะเกิดอุปทาน ความยึดมั่น แล้วะก่อให้เกิดความทุกข์ในภายหลัง

    และข้อ 3 อันนี้สำคัญ
    ระวัง "ความยินดี" ที่เกิดขึ้น เมื่อประสบความสำเร็จ แม้ความสุขที่เกิดจากฌาน ก็ระวัง...
    แต่ไม่ต้องห้ามมันนะครับ มันต้องมีอยู่แล้ว ตามธรรมชาติ
    เพียงแต่ให้รู้จักมันไว้ เวลามันเกิด เห็นมัน แบบ...อ้อ มันมีความยินดี มันมีสุข แบบนี้ มันก็จะไม่หลงมันแล้วครับ
    มันมีก็มีไป ห้ามไม่ได้ แค่อย่าไหลตาม ชื่นชมกับเค้า แค่นั้นครับ
    มิฉะนั้น ต่อไปมันจะปรุง "ฉันเก่ง" "ฉันดีกว่าคนอื่น" นั่นแหละครับ...

    อัตตาพาทุกข์ เบียดเบียนตน เบียดเบียนคนอื่น อย่างซ่อนเร้น
     
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ต้องมาอ่านทบทวนอีก
    แล้วจะลองทำตามในรอบต่อๆไป
     
  20. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    สำหรับคลิ๊ปหลวงพ่อในวันงานเสวนาที่ผ่านมา File ใหญ่มาก ตัดต่อไม่ไหว
    โปรแกรมที่ใช้ ไม่ Support...คือผมเป็นมือสมัครเล่นน่ะครับ

    เดี๋ยวจะ Write ลง CD แล้วแจกนะครัย
    จะแจ้งข่าวอีกที อาทิตย์หน้าครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...