***กสินใน 1 วัน / อรูปฌาน4 ใน 1 วัน***

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย GluayNewman, 18 ธันวาคม 2011.

  1. Dazeng

    Dazeng เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +110
    ขออนุโมทนาครับ ติดตามอ่านประสบการณ์ของท่านแล้วมีประโยชน์กับผู้ปฏิบัติจริงๆ
     
  2. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    จะนำข้อเขียนที่มีประโยชน์มาลงให้เรื่อยๆ นะครับ

    คุณสมบัติเดิมของจิต

    เรา.... ผู้ปฏิบัติพยายามฝึกฝนจิตให้ สงบ นิ่ง และตั้งมั่น
    ฝึกในรูปแบบต่างๆ เช่นการทำสมาธิ การกำหนดสติ
    จิตสงบ นิ่ง และตั้งมั่นแล้ว ก็จะไม่มีความทุกข์มารบกวนจิตใจ<wbr>ได้...

    ในความจริงแล้ว คนส่วนมาก (รวมทั้งผมด้วย...เมื่อก่อน) ไม่ทราบว่า....
    คุณสมบัติเดิมๆ ของจิต สงบ และนิ่ง อยู่แต่เดิม อยู่แล้ว
    เป็นคุณสมบัติของจิตเองเลย ไม่ต้องไปทำอะไร มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว....
    แต่ที่มันไม่สงบ ไม่นิ่ง เพราะความเคยชินของจิตที่จะไหลไ<wbr>ปตามกระแสความคิด
    เพราะความไม่รู้....จึงปล่อยตัว<wbr> ไหลไปตามกระแสความคิด
    จิตจึงเสียคุณสมบัติเดิมไป....

    ทีนี้....ถ้าเราเพียงรู้จักว่าจ<wbr>ิตเดิมนิ่งอยู่แล้ว และไม่ปล่อยไหลไปตามกระแสความคิ<wbr>ด
    เวลาจิตจะไปตามความคิด รู้จักมัน.... แล้วถอนตัวออกมา
    จิตก็จะสงบ และนิ่งเอง โดยไม่ต้องพยายามไปทำให้นิ่ง
    แค่รู้จัก และรู้ได้ว่า อ๋อ...จิตเดิม สงบอยู่แล้ว นิ่งอยู่แล้ว
    มันเป็นคุณสมบัติของจิตอยู่แล้ว<wbr>ครับ ....เป็นความลับของธรรมชาติ
    ถ้าเราไปพยายามทำให้นิ่ง มันจะยิ่งดิ้น ยิ่งไม่นิ่ง สังเกตุไม๊ครับ
    ปล่อยเฉยๆ รู้จักมันนิดนึง มันก็กลับสู่สถาพเดิม คือนิ่ง สงบ

    ทีนี้เราคอยระวัง จิตนิ่งแล้ว อย่าให้จิตไหลไปตามกระแสความคิด
    คอยหมั่นดูว่า จิตกำลังไปตามความคิดแล้ว ก็กลับมาตั้งหลักใหม่
    กลับมารู้จักสภาพเดิมของจิต จิตก็จะกลับมาปกติ นิ่ง และสงบได้อย่างเดิม
    รู้จักแบบนี้มาเข้าๆ มีความนิ่ง ความสงบต่อเนื่อง ไปเรื่อยๆ
    จิตก็จะตั้งมั่นขึ้นมา เพราะสงบต่อเนื่อง
    เป็นสมาธิได้โดยไม่ต้องฝึก ตั้งมั่นได้.... แค่รู้จัก และระวังไปเรื่อยๆ เท่านั้นครับ
    ที่สำคัญอีกอย่าง หมั่นรู้สึกตัวเอาไว้ครับ...

    นี่ไงครับ เป้าหมาย ที่เราต้องการ สงบ นิ่ง และตั้งมั่น
    ผมแถมคุณสมบัติเดิมของจิตอย่างอ<wbr>ื่นให้ทราบด้วย
    ว่าง โปร่ง เบา เบิกบาน คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง สดใส...
    ล้วนเป็นคุณสมบัติเดิมๆ ของจิตทั้งนั้น
    ไม่ต้องไปทำให้มันมี มันมีอยู่แล้ว...แค่รู้จักมันเท<wbr>่านั้นครับ

    เป็นกลไกของธรรมชาติครับ ธรรมชาติเดิมๆ เค้าดีอยู่แล้ว
    จะมาเสียก็เพราะจิตมีกิเลสนี่แห<wbr>ละครับ เสียคุณสมบัติเดิมไปซะงั้น
    ถ้ารู้แบบนี้แล้ว การพ้นไปจากความทุกข์ คงไม่ยากแล้วใช่ไม๊ครับ....
     
  3. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หลังจากเข้าสัมมนาที่ชั้นสาม 7-11Big C สะพานควาย
    นอกจากได้เจอ อ.กล้วยตัวเป็นๆแล้วมีใคร
    ได้ต่อยอดเรื่องอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกบ้าง

    ส่วนตัวเองพบว่าสิ่งที่ได้จากการสัมมนานั้น เป็นพุทธวิธี
    ที่อ.กล้วยเขียนไว้ในกระทู้นี้แล้ว ความจริงก็เพียงพออยู่แล้ว
    แต่มันเหมือนยังไม่อิ่มไม่พอไม่แจ้ง จึงอยากได้อะไรมาเพิ่มอีก
    เพิ่มอีกเท่าไรก็ไม่พอถ้าไม่หยุด
    ฉะนั้น อุบายวิธี

    (อุบายมันคงมีเยอะแยะมากมายแล้วแต่ใครจะใช้อุบายแบบไหน)
    อันหนึ่งที่ได้รับมา คือ
    "หยุดแล้วดูว่าตนเองกำลังคิดอะไร"

    และให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าที่คิดแบบนั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษ
    มีประโยชน์หรือเป็นความคิดขยะ
    เพื่อเป็นการดึงสติออกมาให้พ้นวังวนความคิด และเพิ่มพูนพละกำลังให้สติและสมาธิ

    เมื่อสติและสมาธิมีกำลังมากพอการทำงานของจิตจะดำเนินไปเองแบบอัตโนมัติ

    ผล(คุณธรรม)ที่จะเกิดตามมาจะเป็นแบบของใครของมัน(ปัจจัตตัง)จะเกิดขึ้นเองมาโดยไม่ต้อง
    ไปอยาก มากบ้างน้อยบ้างตามความแกร่งของสติและสมาธิ

    กราบขอบคุณ อ.กล้วยไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง
    มีอะไรที่ยังเป็นมิจฉากรุณาชี้แนะเพิ่มเติมด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  4. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    คุณ Neoworld อุตส่าห์เดินทางจากระยองมาเสวนา ก็นับถือในความตั้งใจนะครับ
    ผมเองก็เหมือนกัน ถ้าจะค้นคว้าหาความรู้แล้ว ยอมค้นหา ยอมแลกได้
    คนที่หัวใจแกร่ง มีความมุ่งมั่น ไม่ยึดอัตตา จะประสบความสำเร็จครับ


    การปฏิบัติสรุปได้ดีแล้วครับ
    เพิ่มนิดนึง ให้เคลื่อนไหวไว้นะครับ การเคลื่อนไหวเป็นกลเม็ดในการปลุกให้ความรู้สึกตัวแสดงตัวออกมา ให้รู้จักได้ชัดขึ้น...
    แม้จะขยับนิดเดียว เช่นขยับนิ้ว ก็มีผล
    และความรู้สึกตัวนี้จะทำหน้าที่ดึงสติออกมาให้พ้นวังวนแห่งความคิดอย่างอัตโนมัติ แม้ความคิดจะยังไม่ดับก็ตาม

    ถ้าเราไปดึงสติออกมาโดยการไปกระทำทางจิตเอง ไม่ใช่เทคนิคการเคลื่อนไหว อาจจะมี "เราเป็นผู้ดึง" เกิดขึ้นอย่างซ่อนเร้น จิตใจแอบจะปรุงอัตตาทีละนิด กลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ครับ...

    การเคลื่อนไหว เป็นการก่อสร้างระบบอัตโนมัติให้กับจิต เป็นภาวนามัยปัญญาบริสุทธิ์
    อันจะนำไปสู่การ รู้เอง ไม่ใช่ เรารู้ นั่นคือทางที่จิตจะเรียนรู้เอง เห็นทุกข์เอง วางเอง พ้นเองครับ
     
  5. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ขอบพระคุณที่ช่วยเน้นให้ทำการเคลื่อนไหว


    ชอบซิครับเจริญสติแบบไม่เน้นที่การนั่งขัดสมาธิ
    เพราะไม่ต้องไปสู้กับทุกข์เวทนาปวดหัวเข่า
    แล้วก็ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับการเพ่ง
    โน่น เพ่งนี่ซึ่งก็ไม่พ้น"เรา"เป็นผู้เพ่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2012
  6. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    คุณ neoworld ใช่ที่ใส่เชิ้ตสีออกแดงๆใช่เปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ขออภัยผมมาไม่ทันช่วงแนะนำตัวทีแรก :)
     
  7. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    ขอบคุณครับ ที่สละเวลามาเผยแผ่ธรรมและบทความที่มีคุณค่า
    อนุโมทนา สาธุ ขอรับ
     
  8. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ถูกต้องครับอ.อภิชาน ผมอยู่ระยองเดินทางโดยรถสารมวลชน
    กลัวกลับไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายเลยไม่ได้เสวนาล่วงเวลาด้วย
    ยังไม่ได้แลกเปลี่ยนกันตรงๆ จริงผมเองก็คงยังไม่มีอะไปแลกหรอกครับ
    ฟังดูอ.สนทนากับอ.กล้วย ก็ตามไม่ค่อยทันแล้วครับ ชอบแนว
    ที่คุยกันหลายอย่าง ส่วนการมีปาฏิหารย์แทรกมาบ้างพอทนครับไม่มากเกินไป
    ชอบฟังหลวงตามหาบัวเช่นกัน ฟังทุกวันโดยเฉพาะธรรมสอนพระ
    ถึงใจดีมากระดับท่านหลวงตาปาฏิหารย์คงเยอะแยะ แต่ท่านไม่ค่อย
    เล่าให้ฟังเพราะเล่าไปก็เท่านั้นให้ลูกศิษย์ประสบด้วยตนเองดีกว่า
    ขอให้อ.มีความเจริญในธรรมแท้ให้ยิ่งๆขึ้นนะครับ
     
  9. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    ขอเรียกว่า พี่ neoworld แล้วกันนะครับ ขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรครับและขอให้พี่และลูกเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปเช่นกันครับ

    ผมนับถือองค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวสูงสุดเหมือนกันครับ แม้จะไม่ได้เคยเข้าไปกราบท่านต่อหน้าให้เป็นอาจารย์ แต่ก็ไปวัดท่านตั้งแต่เด็กๆและปฏิบัติตามคำสอนของท่านอยู่จนทุกวันนี้ จริงๆคำถามที่พี่ถามพี่กล้วยผมก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าท่านบรรลุธรรมด้วยทางเดินเช่นไร ท่านก็เมตตาสั่งสอนศิษย์ในแบบอย่างแนวทางเดียวกันที่ท่านได้ปฏิบัติมา แม้สุดท้ายแล้วจะต้องปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ตัวรู้เหมือนเส้นทางอื่นๆที่อาจลัดกว่า แต่คุณภาพของสิ่งที่ได้ระหว่างทาง เช่น อภิญญาญาณ อาจจะดีกว่า จริงๆหลวงตาท่านมีปาฏิหาริย์เยอะแยะมากมายครับแต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เท่านั้นเอง :)
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ผู้สอนธรรมและผู้ปฏิบัติธรรมควรขวนขวาย
    และให้ความสำคัญกับรากฐานที่เป็นแบบฉบับ
    เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธวัจนะจากพระโอษฐ์จริง
    ที่เป็นพระปิฏกฉบับเดิมๆ
    ไม่ใช่ฉบับที่ถูกเขียนขึ้นใหม่
    โดยอรรถาจารย์ยุคหลังซึ่งเป็นสัทธรรมปฏิรูปเกือบจะ ๑๐๐ เปอร์เซนต์
    และถูกนำมาสอนและปฏิบัติกันแบบเจือเจือนัวนัวไปไม่ตรงกับคำสอนของพระบรมศาสดา
    โดยไม่รู้ตัว เป็นที่มาแห่งความเสื่อมของศาสนาอย่างแท้จริงและถาวร
     
  11. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    วิราคะ วิมุติ

    ญาณ คือความรู้พิเศษ วันนี้ขอกล่าวถึง 2 ตัว
    วิราคะ แปลว่า ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด
    หมายถึง ความที่จิตคลายจากความชอบ ติดหลงในสิ่งนั้น
    วิมุติ แปลว่า ความหลุดพ้น
    คือการที่จิตหลุดออกจากความติดห
    <wbr>ลงในสิ่งนั้นๆ เลิกหลงไหลอิย่างเด็ดขาด

    ทั้ง 2 เป็นคุณสมบัติของจิต ในคุณสมบัติหลายๆ อย่าง...มากมาย
    จิตมีคุณสมบัติเยอะมากๆ แต่มันเหมือนกับซ่อนตัวอยู่ มันแสดงตัวออกมาเป็นบางเวลา
    ต้องมีสติ จึงจะสังเกตุเห็นเวลามันแสดงคุณ<wbr>สมบัติออกมา

    วิราคะ วิมุติ เกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อจิตวิญญาณมีการเรียนรู้สิ่<wbr>งต่างๆ
    เมื่อรู้จักแล้ว จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัดในสิ่งนั้น
    แล้วก็หมดความหลงไหล หลุดพ้นจากความเคยชอบ เคยหลงไหลไปเองตามธรรมชาติ
    ใครจะรู้ สาเหตุ เพราะจิตเห็นความจริงของสิ่งนั้<wbr>น ว่า มันไม่น่าเอา ไม่าเป็น
    เพราะมันไม่เที่ยง !! มันเห็นอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่เราไม่รู้ !!! (อยากจะใส่เครื่องหมายตกใจซัก 10 อัน)

    ยกตัวอย่าง เด็กๆ เราชอบเล่นของเล่น พอจิตได้เรียนรู้แล้ว ว่าความสนุกจากสิ่งปรุงแต่งตรงน<wbr>ี้ มันไม่เที่ยง
    มันก็เริ่ม "ชิน" เพราะมันมีวิราคะ แล้วมันก็ "เบื่อ" เพราะมันวิมุติ
    อย่างที่บอกครับ จิตมันมีญาณตามธรรมชาติของจิตอย
    <wbr>ู่แล้ว เราก็เลิกเล่นไปเอง
    แต่เราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้ฝึกสติ จึงไม่เห็นคุณสมบัติตามธรรมชาติ
    <wbr>ของจิตตรงนี้

    และก็เพราะเรายังมีอวิชชา ความไม่รู้อยู่... มันจึงปรุงกิเลส ความอยากขึ้นมาอีก หลังจากที่วิมุติไปแล้ว
    อยากจะได้ความสนุกเพลิดเพลินยิ่<wbr>งๆ ขึ้นไป เลิดเล่นของเล่น แต่ก็ไปหาอย่างอื่นทำอีก
    ก็ไปเที่ยว ไปกินเหล้า หาอบายมุข ไปเล่นกีฬา หรืออื่นๆ ดีบ้าง เลวบ้าง เพื่อให้ได้มาซึ่งความเพลืดเพลิ<wbr>นยิ่งๆ ขึ้นไป
    เมื่อเวลาผ่านไป แม้จะเพลินอยู่ แต่จิตได้แอบเรียนรู้สิ่งนั้น อย่างเร้นลับ ....เนื่องจากจิตเป็นธาตุรู้
    เรียนรู้เอง มันก็จะเกิด วิราคะ วิมุติ เองอีก
    สังเกตุซิครับ คนอายุมากขึ้น ก็จะลดละ อบายมุขไปได้เอง โดยไม่ต้องทำอะไร
    เพราะจิตเห็นทุกข์ เห็นโทษของสิ่งหล่านั้น
    คนที่มีสติ ปัญญา ตามธรรมชาติ รู้สึกตัวบ่อยๆ ก็จะพ้นจากสิ่งที่เคยติดยึดได้ไ<wbr>ว
    แต่คนที่ไม่มี ก็จะติดหลงนาน เผลอๆ ติดไปจนแก่เฒ่า ไม่เกิดญาณ 2 ตัวนี้

    นี่ผมกำลังจะบอกว่า เราจะพ้นทุกข์ไปได้ เพราะญาณตามธรรมชาตินี้แหละ
    เพียงเรามีสติ รู้สึกตัวไว้ คอยระวังอย่าให้กิเลสครอบงำบ่อย<wbr>ๆ
    รู้สึกตัว กิเลสไม่เกิด จิตจะอิสระ จิตจะเรียนรู้เอง
    ให้ญาณตามธรรมชาตินี้มันทำงาน มันจะค่อยๆ พ้นไปได้เอง
    รู้สึกตัวไว้เรื่อยๆ อย่าไปยุ่งอะไรกับจิต จิตจะบอกได้เลยว่า สิ่งนี้ๆ เป็นทุกข์ เป็นโทษยังไง
    หรือว่า มันไม่น่าเอา น่าเป็น เพราะมันก็งั้นๆ แหละ มันวิราคะ มันก็ชินแล้ว
    จิตบอกได้เองครับ เหมือนอย่างที่จิตเรียนรู้ตั้งแ<wbr>ต่วัยเด็ก แล้วก็พ้นออกมาเอง
    เพียงแต่เราไม่มีสติ ไม่เห็นขบวนการอันนี้ ...เลยปล่อยให้กิเลสแทรกใหม่ได้<wbr>เรื่อยๆ

    มีสติ ระวังอย่าให้กิเลสแทรก
    ปล่อยให้ธรรมชาติทำงานของเค้าเอ<wbr>งครับ แล้วจะพบความอัศจรรย์ของการรู้ส<wbr>ึกตัว
    พ้นจากทุกสิ่งเมื่อไหร่ จะได้รับอิสรภาพถาวรเมื่อนั้น
    ย้ำ...ให้เค้าทำงานเองครับ....
     
  12. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    รู้เฉยๆ ไม่ใช่ ทำเฉยๆ

    เมื่อเรากลับมาดูตัวเอง เริ่นต้นที่เห็นว่า สบายหรือไม่
    มีความรู้สึกอย่างไร ดีหรือไม่ดี คิดหรือไม่คิด
    อาการที่ดู เรียกว่า อาการรู้
    และความสบาย ดีหรือไม่ดี คิดไม่คิดอันนั้น เรียกว่าสิ่งที่ถูกรู้

    สังเกตุให้ดี อาการรู้มันจะเฉยๆ แต่สิ่งที่ถูกรู้มันจะไม่ค่อยเฉ<wbr>ย
    ถ้ายังสังเกตุอาการรู้ไม่ได้ ให้ลองเขย่าตัว หรือแกว่งแขนแรงๆ
    ให้รู้สึกตัว... ความรู้สึกตัวก็คืออาการรู้
    ส่วนสิ่งที่ถูกรู้ บางทีมันก็เฉย บางทีก็ไม่เฉย
    เช่น บางทีก็มียินดี ยินร้าย บางทีก็คิด

    รู้เฉยๆ คืออาการรู้ที่มันเฉยๆ เฉยกับสิ่งที่มันไปรู้ คือรู้สึก นึก คิด
    รู้เฉยๆ มันเฉยอยู่แล้ว จึงไม่ใช่ไปทำเฉยๆ
    การทำเฉยๆ หมายถึงไปทำให้ความรู้สึก นึก คิด ให้มันเฉยๆ
    ไปจงใจทำให้เกิดเป็นความเฉย
    ส่วนอาการรู้ แค่รู้จักมันโดยการรู็สึกตัว จะเห็นได้ว่ามันเฉยอยู่แล้ว
    เฉย หมายถึง มันเงียบ ไม่พูด ไม่มีอะไร นิ่ง สงบ ทำหน้าที่รู้ ทำหน้าที่ดู เห็น
    แล้วมันก็จะเห็นความเป็นไปของคว<wbr>ามรู้สึก นึก คิด
    เมื่อเห็นแล้วจะรู้สึกโปร่ง เบาขึ้น เพราะ มันแยกกันแ้ล้ว รู้กับ สิ่งที่ถูกรู้

    ส่วนถ้าไปทำให้เฉยๆ มัน นิ่ง อึ้ง ทึบ ไม่รับรู้อะไร
    แถมบางทีไปอั้น ไปกลั้นเอาไว้อีก ไม่โปร่งเบาเลย
    เป็นเฉยที่เป็นภาระ
    รู้เฉยๆ ไม่เป็นภาระเลย เพราะเค้ารู้ได้เองอยู่แล้ว


    ต่างกันครับ รู้เฉยๆ กับ ไปทำเฉยๆ
    ผลที่ได้ต่างกันลิบลับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กุมภาพันธ์ 2012
  13. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    เส้นทางคนพ้น

    ผู้ที่ต้องการพ้นทุกข์ มักจะเจอเรื่องคล้ายๆ กันคือ

    1 เริ่มต้น ปฏิบัติแบบ อะไรก็ได้ สายไหนก็ได้ ส่วนมากจะเริ่มจากที่ๆ ตรงกับใจก่อน
    ที่ๆ เห็นว่าดี น่าสนใจ น่าจะแก้ปัญหาให้เราได้ ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้
    หรือว่าเพื่อนชักชวนมา เราเป็นคนดีไม่อยากขัดเพื่อนก็มา

    2 โดยส่วนมาก ก็ถูกแรงผลักดันของความทุกข์ ให้ผันตัวเองเข้าสู่วัด
    โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เพราะบางคนบอกว่าไม่ทุกข์นะ แต่จริงๆ ลึกๆ ทุกข์
    ทุกข์เพราะความอยาก มันแฝงอยู่ลึกๆ ครับ อยากได้ไอ้นู่นไอ้นี่ อยากเป็นนุ่นนี้
    ลองสังเกตุตัวเองดูครับ...อยากเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า

    3 เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ แม้จะได้ผลดี แต่ไปๆ มักจะไป "ตัน" หรือ "ติด" อยู่ ไปต่อไม่ได้
    เกือบ 100% ของผู้ปฏิบัติมักจะเป็นเช่นนี้ ทีแรกก็มั่นใจในเส้นทางสุดๆ
    แต่พอไปๆ เอ้ะ... ไปไม่ได้แล้ว วนเวียนอยู่แค่นี้ ไม่ก้าวหน้า หรือบางคนก็ติดอุปสรรค
    ทำแล้วเครียดกว่าเดิม มีอาการแปลกๆ เช้นอึดอัด คิดมาก ก็มี ทั้งๆ ที่ก่อนปฏิบัติไม่เป็น
    นี่ก็เป็นหนึ่งในเส้นทางของผู้ปฏิบัติครับ
    ถ้ายังคงมีศรัทธาแบบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ รับรองตรงนี้ ติดนานนนนน

    4 ผู้ที่มีแววจะพ้นได้ มักจะขี้เกียจ หรือหลงระเริงกับทางโลกได้ไม่นาน
    มันจะมีเหตุการณ์กระตุกชีวิต ผลักดันให้กลับมาสู่เส้นทางธรรม
    คนดื้อมาก็จะยิ่งเจอเหตุการณ์แรงครับ แบบทุกข์สาหัสเลย
    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องโทษชะตาลิขิต นั่นดีแล้ว เป็นสัญญาณว่า เรามีโอกาศพ้นทุกข์ได้ในชาตินี้
    ยังไงก็อยากจะเตือนว่า....คนที่รู้ตัวว่าดื้อ พยายามลดอัตตาตัวตน ก่อนที่ธรรมชาติจะมาช่วยลดนะครับ
    คนที่ขี้เกียจก็ให้ระวังไว้เหมือนกันนะครับ ขี้เกียจมาก ก็โดนเหวี่ยงแรงมากเหมือนกัน

    5 เมื่อไปต่อไม่ได้แล้ว จะเกิดการเสาะหาทางที่ถูกต้อง พยายามหาทางใหม่ๆ
    หรือไม่ถ้ามีบุญเก่า ก็จะถูกผลักดัน หรือชักชวนให้เข้าสู่เส้นทางที่พ้นทุกข์ได้จริง
    วันนั้นก็จะเป็นวันที่เราได้เดินทางกันจริงๆ ทางที่มั่นใจได้ว่าเป็นทางที่จะพาเราพ้นไป
    ซึ่งความมั่นใจตรงนี้ เกิดจาก "การเห็นจุดหมาย" นะครับ
    ไม่ใช่ "การคิดว่าใช่" เนื่องจากทำแล้วได้ผลในแค่เบื้องต้น ลดละกิเลสหยาบๆ ได้ (แต่ไม่ได้เห็นจุดหมายจริงๆ)

    6 ยังไม่จบครับ ชีวิตก็ไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ขึ้นชิ่อว่ากุหลาบมันก็แฝงหนามเอาไว้อย่างแน่นอน
    แม้สุดท้ายเข้าสู่ทางที่พ้นจริงแล้ว ก็ยังมีกิเลสละเอียด ที่ชื่อว่า วิปัสสนูกิเลส รอให้ติดกับอยู่เรื่อยๆ
    เช่น สติที่สุดเจ๋ง ความขยันหมั่นเพียรเป็นเลิศ ความรู้ที่แตกฉาน สภาวะที่สุดยอด ฯลฯ
    อันนี้จำเป็นต้องพึ่งครูบาอาจารย์ ไม่งั้นเนินช้าแน่ๆ สภาวะธรรมแต่ละอย่าง มันน่าหลงไหลกว่าทางโลกเยอะ
    เข้าหาครูบาอาจารย์บ่อยๆ นะครับ หัดเล่าสภาวะที่พบให้ละเอียด... ถ้าเล่าไม่ดี ท่านก็อาจช่วยไม่ได้
    ท่านน่ะยินดีช่วยอยู่แล้ว เข้าทางแล้ว ยังไงพ้นแน่ๆ แต่อาจช้าได้ถ้าติด
    ช้านี่หมายถึงอาจเลยไปถึงชาติหน้า หรือ อีกหลายๆ ชาติก็ได้นะครับ
    กิเลสมันสุดยอดอยู่แล้ว ยิ่งเป็นกิเลสฝ่ายดี เช่นความดีต่างๆ สภาวะที่สุดอลังการ มันทำให้ติดได้ครับ

    นี่คือเส้นทางของผู้ปฏิบัติธรรมครับ สิ่งที่อยากจะบอกคือ ลองสำรวจตัวเองดูนะครับ
    ถ้ายังขี้เกียจ เหยาะๆ แหยะๆ อยู่ ให้รีบปรับปรุงตัว
    ถ้ายังรู้สึกว่า เส้นทางที่เดิน ยังไม่ชัวร์ ให้รีบขวนขวายเเข้าหาครูบาอาจารย์
    เริ่มที่ครูบาอาจารย์ของเราก่อนนี่แหละครับ ศึกษาให้แตกจริงๆ ถ้าไปไม่ได้ ก็ Search หาใหม่นะครับ
    คนดื้อ ให้ระวัง จะรีบแก้ไข หรือจะให้ธรรมชาติแก้ ก็เลือกเอาครับ
    แนะให้ครับ สำหรับผู้ที่ไม่รู้จะแก้ยังไง ใช้คาถาคำเดียวเลย ...ยอม
    และสุดท้าย ทุกข์เข็ญที่เกิดกับชีวิต ไม่ว่าจะหนักหนายังไง ขอบคุณเค้าเถิดครับ
    นั่นแหละครับ โค้ชทีมชาติ ที่จะมาฝึกเรา ผลักดันเรา ไปสู่ทางพ้น ...อย่าไปมัวแต่ระทม คร่ำครวญอยู่ครับ

    นี่คือเส้นทางเดินของผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ มักจะเจออะไรประมาณแบบนี้แหละครับ
    เลยขอตั้งชื่อว่า เส้นทางคนพ้น
     
  14. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ผมได้ลาออกจากงานแล้ว โดยตั้งใจจะมาทำงานเผยแพร่โดยตรง
    ผมจึงขอเล่าถึงที่มา ที่ไป ดังนี้ครับ


    พุทธภูมิกลับใจ

    เรื่องนี้ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะครับ ในฐานะที่ผมจะมาทำงานเผยแพร่แบบเต็มตัวแล้ว
    จริงเท็จอย่างไร โปรดมีสติ และวิจารณญาณในการรับฟังนะครับ

    ผมเองลองอนุมาน (คือคิดการเทียบเคียง) ตัวเองดูแล้ว
    พอจะทราบว่า น่าจะเคยอธิษฐานพุทธภูมิมาก่อน (ไม่ใช่ชาตินี้นะครับ)
    ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ คือผู้ที่อธิษฐานจะบำเพ็ญเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
    ซึ่งก็กินเวลามากๆๆๆ (ต้องใส่ไม้ยมกเยอะมาก) ต้องเกิดตายในภพชาติต่างๆ ไม่รู้เท่าไหร่
    เพื่อเรียนรู้สัจธรรม ต้องไปเกิดทุกภพ ตั้งแต่นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา กระทั่ง พรหม
    ต้องเรียนรู้ให้หมด จึงจะมีปัญญาญาณมากพอที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าแตกต่างจากพระอรหันต์ คือท่านมี สัพพัญญุตญาณ แปลง่ายๆ ว่า รู้หมดสิ้นรู้ทุกอย่าง
    เพราะได้เรียนรู้อย่างเอกอุ หมดสิ้นทุกภพ ทุกชาติ พระพุทธเจ้าจึงทรงรู้ และทรงเก่งไปทุกๆ เรื่อง
    มีคนอธิษฐานพุทธภูมิกันไม่น้อยนะครับ ใครอยู่ในวงการก็พอจะทราบข่าว

    หลักฐานที่ผมกล่าวเช่นนี้คือ

    หนึ่ง ความรู้สึกที่ต้องการจะช่วยเหลือคนอื่น มันมากผิดมนุษย์มนา
    วันๆ ไม่ต้องการทำอะไรมากไปกว่าต้องการช่วยเหลือคนอื่น
    ผมสังเกตุผู้ที่เค้าบอกว่า เค้าอธิษฐานพุทธภูมิ ก็เป็นแบบนี้ทุกคน
    เป็นจิตใจของผู้ที่เริ่มต้นอธิษฐาน...เพราะต้องการช่วยคนอื่นอย่างสุดความสามารถ

    สอง ผมมักจะมีความรู้ ความสามารถอะไรๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
    เริ่มจากเกิดจากมีแรงบันดาลใจให้ไปเรียนรู้ แล้วก็เรียนรู้ไม่นาน ก็ทำได้
    เหมือนมันรื้อฟื้นจากสิ่งที่เราเคยทำมาแล้ว ประมาณนั้น
    ไม่ได้เก่งจนเชี่ยวชาญ แต่ความรู้ความสามารถที่เกิด นำมาใช้ประโยชน์ได้
    โดยเฉพาะ ใช้ช่วยเหลือคนอื่น

    ผมเคยบอกเพื่อนๆ ไปแล้วว่าผมทำงานได้ 12 อาชีพ เล่นกีฬาได้ 13 ชนิด
    ยังมีวิชา จักระ กสิน และกำลังจะไปเรียนพลังยูเรอัสเพิ่มเติม
    (ไม่ต้องงงครับ ผมก็ยังไม่รู้จักเหมือนกัน ทราบแต่ว่า ไว้รักษาโรคน่ะครับ)
    ญาน 4 และอรูปญาณ เหล่านี้ก็เกิดขึ้นได้โดยไม่ยากเลย
    ผมฝึกแค่เดือนเดียว และไม่ได้ตั้งใจฝึกด้วย แต่เหมือนโดนบังคับ โดยการป่วย
    ทั้งหมดนี้ก็ได้นำมาช่วยเหลือคนอื่นบ้างแล้ว และก็จะทำให้มากยิ่งๆ ขึ้นไปครับ

    เหล่านี้ ผมว่ามันคือจุดเริ่มต้นของการที่ผมเริ่มจะเรียนรู้
    และสั่งสมประสบการณ์ จากภพสู่ภพ เพื่อบารมีของพุทธภูมิ

    แต่ผมกลับใจแล้วครับ...กลับใจที่จะไม่บำเพ็ญพุทธภูมิแล้ว
    คือไม่ทราบยังไง คือตอนที่บวชเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นรู้สึกว่ามันทุกข์มาก
    ทุกข์จับใจ ทุกข์โดยไม่มีเหตุผล ผมจึงเข้าไปในโบสถ และอธิษบานต่อพระประธาน
    " ไม่ว่าผมเคยอธิษฐานอะไรมาก่อน แม้อธิษฐานพุทธภูมิก็ตาม ผมขอถอนอธิษฐาน "
    อธิษฐานถอนทั้งๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย เพียงแต่มันทุกข์มาก ทุกข์จนขอแค่พ้นทุกข์พอเถอะ ไม่ไหวแล้ว
    ตอนนั้นไม่รู้อะไรจริงๆ นะครับ แต่ตอนนี้หลังจากเจริญสติ มีสติมากพอ เราจะเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้นๆ

    ผมบอกได้เลยวันไหนที่สติเราต่อเนื่องเป็นสายเดียวกันจริงๆ แบบไม่ขาดตอน
    เป็นสติบริสุทธิ์ตามธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่สติที่จงใจให้มี หรือการทรงฌาน
    สติที่เกิดเอง จากจิตที่ตื่น มีเอง ไม่ได้ทำอะไร ไม่ขาดตอนเลย (ยกเว้นหลับ)
    วันนั้น เราจะค่อยๆ รู้จักตัวองมากขึ้น เรียกว่าระลึกชาติก็ได้ครับ
    แม้ไม่ได้เห็นด้วยญาณ ก็พออนุมานได้ว่าชีวิตเราเคยเป็นอะไร เคยทำอะไรมาบ้าง

    ผมเองหลังจากถอนอธิษฐานแล้ว ก็เดินหน้าปฏิบัติมาจนพบเส้นทางพ้นทุกข์ ในเวลานี้
    จนกล้าบอกว่า ความทุกข์ แม้ยังมี แต่ไม่อาจบีบคั้นจิตใจได้...มีแต่ไม่เอา
    ชีวิตอิสระจากพันธนาการทางโลกแล้ว ทำอะไร็ไม่โดนทุกข์เบียดเบียน
    รู้ได้แบบนี้แล้ว ก็ปรารถนาจะช่วยคนอื่นให้ได้รับผลอย่างเราบ้าง

    จึงตัดสินใจที่จะออกจากงาน มาเผยแพร่โดยตรงนี่แหละครับ
    ไม่ได้ทำโดยบ้าบิ่น หรือไฟแรง ...คิดๆ เอาเองแล้วตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรองครับ
    คนเราพอทราบเส้นทางชีวิตตัวเองแล้ว การใช้ชีวิตจะกลมกลืนมากๆ
    ทำอะไรได้ตามหน้าที่ ที่เป็นเราจริงๆ ตามที่ธรรมชาติกำหนดมา ที่ได้สั่งสมมา

    สำหรับเดือนมีนาคม ผมมี Plan แล้ว ว่าจะทำอะไรบ้าง
    สนใจ ดูรายละเอียดที่นี่เลยครับ
    เข้าสู่ระบบ | Facebook
     
  15. ครึ่งชีวิต

    ครึ่งชีวิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    4,178
    ค่าพลัง:
    +15,103
    อนุโมทนา สาธุ ขอรับ....
     
  16. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif][if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif][if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]วันนี้ผมขอกล่าวแบบตรงๆ เลยครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าเสียเวลา พ้นมันชาตินี้แหละ[/FONT][FONT=&quot]...[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]นักปฏิบัติกี่เปอร์เซ็นต์ดี ซัก[/FONT][FONT=&quot] 90% แล้วกัน[/FONT]
    [FONT=&quot]ปฏิบัติแล้วไปโฟกัสที่การพยายามลดละ ความโลภ โกรธ หลง[/FONT]
    [FONT=&quot]ไปพยายามข่ม หรือพิจารณา หรือเอาธรรมะต่างๆ มาสอนตน ให้หายโกรธ หายโลภ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]อีกอย่างคือการพยายามเห็นการเกิดดับ[/FONT]
    [FONT=&quot]เห็นอารมณ์เกิดดับ เพื่อเข้าใจความทุกข์ เพื่อบำบัดความทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]คือเห็นความทุกข์มันเกิด แล้วดับ ก็...อ้อ ความทุกข์เกิดดับ ดับแล้วไม่ทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]จริงๆ ก็ถูกนะครับ .....แต่พูดกันตรงๆ เลย ไม่เกรงใจ [/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ตรงทางนะครับ ผมกล้ารับประกันเลยครับ [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าทำแบบนั้นตามที่กล่าวมา รับรองได้ ว่านานนนนนน[/FONT]
    [FONT=&quot]นานจนเรียกว่า ชาตินี้อาจไม่มีหวังเลยครับ จะหลุดพ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]ถึงได้ต้องอธิษฐานไปชาติหน้า ชาติโน้นกันไงครับ[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ที่ผมมักจะประกาศอยู่บ่อยๆ ว่าชาตินี้มีโอกาศพ้นทุกข์ได้[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะเราต้องเข้าใจเส้นทางให้ถูกต้อง[/FONT]
    [FONT=&quot]ต้องเดินให้ถูก ถ้าปรารถนาจะพ้นไปไวๆ [/FONT]
    [FONT=&quot]มาข่ม พิจารณา มาสอนตัวเอง มาดูเกิดดับ มาโฟกัสที่ โลภ โกรธ หลง แบบนี้[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมรับรองด้วยชีวิตผมเลย....ไม่ถึงครับ ชาตินี้ไปไม่ถึงดวงดาวแน่ๆ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]18 ปีของผม คือบทพิสูจน์ ว่ามันไปไม่ได้ไกล...[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วจะให้โฟกัสที่อะไร หรือทำอย่างไรล่ะ.... ถึงจะไปได้ไวๆ[/FONT]
    [FONT=&quot]ตั้งใจฟังนะครับ สำคัญที่สุด คุณจะเดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ได้รวดเร็วที่สุด[/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะไปโฟกัส ที่ "ความไม่ใช่เรา" [/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]พระโสดาบันไม่ได้ละ โลภ โกรธ หลง ก่อนนะครับ แต่ละ สักกายทิฏฐิ [/FONT][FONT=&quot]= ความเห็นว่าเป็นเรา ก่อน[/FONT]
    [FONT=&quot]คนส่วนมากยังเข้าใจผิด ไปละ โลภ โกรธ หลง จึงปฏิบัติวนเวียนอยู่ ไม่พ้นซักที[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เหมือนตัดต้นไม้ ไปริดกิ่ง เดี๋ยวมันก็ขึ้นใหม่ ก็ไปตัดกิ่งมันอีก ไม่จบ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ต้องขุดรากเลยครับ ถอนโคนมัน รับรองตายแน่ๆ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]การที่จะละตัวตนได้ ก็ต้องไปโฟกัส หรือมีทืฏฐิให้ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไปโฟกัสที่ธรรมชาติเดิมแท้ ให้ทราบถึงความรู้สึกตัวล้วนๆ [/FONT][FONT=&quot]/ ทราบถึงการ "เห็นความคิด"[/FONT]
    [FONT=&quot]เข้าใจถึงความว่าง [/FONT][FONT=&quot]/เข้าใจการ "รู้ซื่อๆ" /"รู้เฉยๆ" / เข้าใจการ "ดูความรู้สึก"[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]การรู้ซื่อๆ รู้เฉยๆ หรือดูความรู้สึก ตามที่หลวงพ่อที่ชี้แนะ ...ดูให้ต่อเนื่อง[/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าวันใดที่จิตเริ่มเห็นได้ว่า อะไรต่างๆ ที่มันเกิดในจิตทั้งหมดทั้งสิ้น[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นเพียง "ความรู้สึก" ไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่สิ่งที่จะยึดมาเป็นตัวเป็นเราได้[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ มารวมอยู่ที่ "ความรู้สึก" [/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าเห็นได้ว่า มันเป็นเพียง ความรู้สึก ไม่ใช่เรา ไม่มีใคร มีแต่ความรู้สึก ที่ไม่มีความหมาย[/FONT]
    [FONT=&quot]มันถอนรากถอนโคนเลยครับ โลภ โกรธ หลง มันหมดความหมายไปเลย[/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่จำเป็นต้องมานั่งดูมันเกิดดับหรอกครับ....มันจะมาเป็นของแถมเลย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]รู้แล้ว เห็นแล้ว อารมณ์ต่างๆ มันจะหมดสิ้นความสำคัญต่อจิตใจเราไปเอง[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แบบนี้ไม่ได้แอนตี้การดูในสิ่งที่เกิดดับ หรือการเพียรพยายามละ โลภ โกรธ หลง นะครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]เป็นสิ่งที่ดี ควรทำ อย่าปล่อยปละ เพียงแต่โฟกัสให้ถูกจุด ทำความเห็นให้ตรง[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าไปมัวให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้[/FONT]
    [FONT=&quot]หมั่นเพียรทำความรู้สึกตัว แล้วรู้เฉยๆ ดูความรู้สึก ให้เป็น[/FONT]
    [FONT=&quot]กลับสู่จิตเดิมๆ ที่ว่างๆ ไม่ปรุงแต่งอะไร ให้จิตว่าง เพื่อเปิดรับการเรียนรู้อย่างเต็มที่[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วความจริงที่เป็นความจริงขั้นสูงสุด ([/FONT][FONT=&quot]ultimate truth) จะค่อยๆ เผยตัวออกมา[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แล้ววัหนึ่งคุณจะทราบในสิ่งที่คุณอาจไม่เชื่อ[/FONT]
    [FONT=&quot]"ความทุกข์ไม่ได้มี[/FONT][FONT=&quot]!!!" แรงไม๊ครับ...ความทุกข์ไม่ได้มี[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]มันเป็นเพียงความรู้สึกอย่างหนึ่ง ที่จิตไปนิยามว่า ทุกข์ เพราะจิตโง่[/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วจิตก็เกลียดมัน มันก็เลยบีบคั้น เพราะแรงเสียดทานจากการที่จิตเกลียดความรู้สึกนี่เอง[/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกข์ เพราะจิตไปเกลียดความรู้สึกแบบนี้ พยายามไปปรุงแต่ง "เรา" เพื่อไปแก้ปัญหานี้[/FONT]
    [FONT=&quot]ยิ่งมี เรา ยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ เราเกิดเพราะจิตเห็นผิด จะปรุงไปแก้ทุกข์[/FONT]
    [FONT=&quot]หรือปรุงเราเพื่อไป "เอาความสุข"[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]วันนึงจิตเรียนรู้แล้ว ว่ามันแค่ความรู้สึกเท่านั้น ทุกอย่างก็จบลง[/FONT]
    [FONT=&quot]จิตมีสติ มีปัญญา ก็รู้ว่า แท้จริง ทุกข์จริงๆ ไม่มี[/FONT]
    [FONT=&quot]มันก็ไม่มีทุกข์ หมดทุกข์ ปัญหาต่างๆ ในชีวิตก็หมดความหมาย[/FONT]
    [FONT=&quot]นี่แหละครับ ทางพ้นทุกข์จริงๆ พ้นมันได้ชาตินี้แหละ[/FONT]
    [FONT=&quot]ผมเข้าใจตรงนี้ จึงมาประกาศปาวๆ ว่า พ้นทุกข์กันชาตินี้[/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าไปเสียเวลาเลย มากันใหถูกทางเถิดครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ผมทราบแบบนี้แล้ว ใช้เวลา [/FONT][FONT=&quot]2 ปีกับ 4 เดือน กล้ากล่าวว่า ...ไม่มีทุกข์ [/FONT]
    [FONT=&quot]คือทุกข์มี มีตามสภาพ แต่ไม่เบียดเบียนจิตใจแล้ว[/FONT]
    [FONT=&quot]มีก็เหมือนไม่มีครับ
    [/FONT]
     
  17. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    จากงานเสวนาที่ผ่านมา หลวงพ่อชี้ทางพ้นจากตัวตนให้ครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=kXrYW1g6DMM"]เสวนาธรรมกลุ่มหลวงพ่อสมบูรณ์ part 1/3 - YouTube[/ame]
     
  18. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ตอนที่ 2

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=6iaALj8ZH6o&feature=related]งานเสวนาธรรมกลุ่มหลวงพ่อสมบูรณ์ part 2 - YouTube[/ame]
     
  19. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    ตอนที่ 3 ลงให้ครบแล้วนะครับ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=kXrYW1g6DMM&feature=related]เสวนาธรรมกลุ่มหลวงพ่อสมบูรณ์ part 1/3 - YouTube[/ame]
     
  20. GluayNewman

    GluayNewman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +747
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif][if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif][if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> [FONT=&quot]เมื่อคุณเผชิญความทุกข์แบบหลังกระแทกฝาแล้ว ธรรมะข้อใดๆ ช่วยไม่ได้เลย[/FONT]
    [FONT=&quot]สิ่งเดียวที่เราจะพึ่งพาได้ในภาวะคับขันถึงขีดสุดนั้นคือ [/FONT][FONT=&quot]“ขันตี”[/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความลับของสิ่งที่เรียกว่า "ทน"[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาที่เราทนทุกข์เป็นเวลาแห่งความรันทด เวลาช่างผ่านไปอย่างช้าๆ เหลือเกิน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ยิ่งเวลาเผชิญกับความทุกข์แรงๆ เราจะรู้สึกว่าจะทนไม่ได้เอาเลย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แต่มีความลับของธรรมชาติที่ผมได้เรียนรู้จากการปฏิบัติธรรมจากหลวงพ่อ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ทำให้ผมผ่านทุกข์หนักๆ มาได้ เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อการทน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]รู้ว่า การทน ไม่ใช่อะไรที่เราต้องทุกข์ทรมานอย่างที่เคยประสบในอดีต[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จึงนำมาแนะนำกันนะครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความลับก็คือ....[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความทุกข์ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน มันก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะฉะนั้นมันจะมากแค่ไหน มันก็ไม่ใหญ่เกินความรู้สึก[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]สมมุติว่าความรู้สึกเป็นคะแนนเต็มสิบ ความทุกข์ก็อาจเป็นหนึ่งถึงสิบ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วแต่ความแรง แต่ยังไงก็ไม่เกินสิบ ใช่ไม๊ครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ทีนี้ ธรรมชาติให้สิ่งที่เป็นคู่ปรับไว้สู้กับความทุกข์ มันคือ "ความทน"[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ความทน ก็เป็นความรู้สึกชนิดหนึ่งเหมือนกัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ซึ่งก็อาจมีความแรงเป็นหนึ่งถึงสิบได้ เช่นเดียวกับความทุกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันเป็นความรู้สึกด้วยกันทั้งคู่ แบบนี้พอมองออกไม๊ครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ถ้าความทุกข์ซะ เจ็ด แต่ความทนแค่ ห้า มันก็รู้สึกว่า ทนไม่ได้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แต่ถ้าความทนมากกว่าความทุกข์ มันก็ "ทนได้"[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เพราะฉะนั้น ถ้าความทนมากกว่า ความทุกข์ก็จะซาลงไป[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]และถ้ารู้จัก "ความทน" ดีๆ เราจะทนได้แบบไม่ต้องทรมานด้วยครับ แบบชิวๆ เลยครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ทีนี้ทำอย่างไรให้ความทนมันมากกว่าความทุกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันเป็นความลับที่คนไม่ค่อยรู้ว่า ความทน ถ้าเรารู้จักมัน เราจะบังคับมันได้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]จริงๆ ครับ ถ้ารู้จักมัน เราบังคับมันได้ ทำยังไง ลองดูนะครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เวลาทุกข์ ลองนะครับ รู้สึกว่ามันทุกข์ แล้ว ตั้งใจ "ทน" มัน ให้ใจอยู่เฉยๆ.... ทน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ต้องไปหาทางแก้ทุกข์ ไม่ต้องหาอะไรมาปลอบใจตัวเอง ไม่ค่อย [/FONT][FONT=&quot]work เท่า "ทน" หรอกครับ[/FONT]
    [FONT=&quot]ตั้งใจ...ทน อยู่เฉยๆ อย่าไปตามกระแสแห่งความทุกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าไปร่ำไรรำพันกะมัน อย่าไปหาเหตุผล ทำไมต้องเป็นแบบนี้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อย่าไปโทษตัวเอง อย่าไปโทษคนอื่น อย่าไปตีโพยตีพายใดๆ ทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ส่วนมากเวลาทุกข์แล้วเราไม่เฉย จะพยายามดิ้นรนให้พ้นทุกข์ให้ได้[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เปลี่ยนใหม่ครับ ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ทนลูกเดียว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]แค่ให้ใจอยู่เฉยๆ และ ทน ตั้งใจจะทนอย่างเดียว ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ความทุกข์มันจะพยายามชวนเราคิดไปต่างๆ นานา พยายามให้เราร่ำไรรำพัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]พยายามบีบคั้นเราให้อยู่เฉยไม่ได้ พยายามดึงเราไปสู่ความทุกข์[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]อย่ายอมไปกะมัน... เฉยไว้... ทนไว้ มันจะบีบคั้น จะทรมานเราอย่างไร... ไม่สน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ไม่ต้องสนใจ เอาซิ จะทำยังไงก็เอา จะบีบให้ตายก็เชิญ ...ไม่สน...เราจะทนอย่างเดียว[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เลิกคิด เลิกสนใจกับสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ มาสนใจกับการทำจิตของเราให้เฉยๆ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันจะยือยุดกันแบบนี้ครับ นี่แหละครับ... เรากำลังเพิ่มความทนของเราอยู่[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ตอนนี้สังเกตุดูครับ ดูให้ดีเลย มันจะมันส์ดีนะครับ เวลามันยื้อยุดกันนี่[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]มันส์จริงๆ ครับ จริงๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น มันอื้อหือ บีบคั้นน่าดู ดึงน่าดูเลย ไอ้ความรู้สึกทุกข์นี่[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เราก็พยายามเฉย พยายามทน สู้กับมัน มันมันส์ดีนะครับ มันเริ่มสูสีกันแล้ว แปลกดีนะครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]แล้วเราจะรู้ได้ว่าความทุกข์เป็นเพียงความรู้สึกชนิดหนึ่ง จากการทนนี่แหละครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เราก็จะทนมันได้ด้วย ทนแบบไม่ทรมานด้วย เหมือนต่างคนต่างอยู่[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เราก็เฉยเราไป ทนไป ทุกข์ก็อยู่ส่วนทุกข์ไป เราจะทนได้ ไม่รู้สึกทรมานด้วย[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ทนดีๆ มันจะซาไปเอง อาจดับไปเลย หรืออย่างน้อย มันก็บีบคั้นเราได้น้อยลง[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot] [/FONT]
    [FONT=&quot]ทุกข์แปลว่า "สิ่งที่ทนได้ยาก" ไม่ใช่ "สิ่งที่ทนไม่ได้"[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ฉะนั้น อาจจะยากนิดนึง แต่ทนได้ครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]และอย่างที่บอก มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกอย่างหนึ่งเท่านั้น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]เราก็มีความทน ที่เป็นความรู้สึกอีกอย่างไว้สู้กับมัน[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]ขอเอาใจช่วยผู้ที่อยู่ในวังวนของความทุกข์นะครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]นายทน กำลังมาช่วยแล้ว ขอให้รู้จักเค้า และใช้เค้าให้เป็น[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
    [FONT=&quot]รู้จักความลับตรงนี้....จะพ้นทุกข์ได้ง่ายๆ ครับ[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...