การเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ดาบจันทรา, 30 ธันวาคม 2008.

  1. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    [FONT=&quot]การอยู่อย่างพอเพียง คือ[/FONT][FONT=&quot] นำเงินลงทุนให้เหมาะสม
    กับสถานภาพของครอบครัว คิดไว้ก่อน
    [/FONT][FONT=&quot]ว่า
    .
    ทำอย่างไรที่จะให้เรามีรายได้
    โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
    .
    จับจ่าย
    [/FONT][FONT=&quot]ใช้สอยในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อรายได้ที่
    เข้ามา เราจะได้เก็บไว้เป็นเงินออม
    [/FONT][FONT=&quot]ในครอบครัว
    เพื่อนำมาลงทุน หรือต่อยอดในการทำงานได้
    โดยใช้เงินของเราเอง
    [/FONT][FONT=&quot] ปูพื้นฐานในเรื่องการทำมาหากิน
    ในเรื่องของอาชีพ ในเรื่องของรายได้ สร้าง
    [/FONT][FONT=&quot]ฐานและ
    ภูมิคุ้มกันตนเองให้แน่นหนาเสียก่อน พอเรามี
    ความชำนิชำนาญ
    [/FONT][FONT=&quot]เราจะขยับต่อยอดด้วยภูมิปัญญา
    ของเราได้เอง
    [/FONT]
     
  2. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ ในเมื่อถ้าเราทำเพียง
    อาชีพเดียว เราจะเลี้ยงครอบครัวให้สบายได้อย่างไร
    และเราจะพัฒนามาเป็นอาชีพที่เป็นหลักของ
    ครอบครัวให้ได้ดีเพียงไหน จะมีรายได้จากทิศทางใด
    ถ้าคุณอ่านไปเรื่อย ๆ คุณจะเข้าใจเอง สิ่งเหล่านี้
    ขึ้นอยู่กับเทคนิคและวิธีการ ที่เราจะบริหารจัดการ
    อย่างไรก็เท่านั้น ซึ่งการจะทำขึ้นมาได้นั้น คุณต้อง
    เตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าโลภ ย้ำคำ ๆ นี้ไว้ในใจเสมอ
     
  3. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    เริ่มต้นคุณมีพื้นฐานของการเป็นชาวนา ปู่ย่าตายายก็ทำนา
    คุณเห็นท้องนาตั้งแต่ลืมตาดูโลก คุณตัดสินใจแล้วละว่า
    คุณทำนาดีกว่า อย่างน้อยคุณก็มีข้าวไว้กิน ส่วนที่เหลือ
    ก็ขายไว้เลี้ยงชีพ แต่จะทำอย่างไรดี ถึงจะผลิตข้าวออกมาได้
    โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เราก็ทำนากันแบบพอเพียง คือ
    ถ้ามีทุนน้อย คุณก็ใช้วัว-ควายที่เลี้ยงไว้ไถนาแบบดั้งเดิม
    นั่นแหละค่ะ ดีที่สุดแล้ว ขี้วัวขี้ควายก็เป็นปุ๋ยให้กับนาของเราไปเสีย
    ส่วนปุ๋ยบำรุงดิน เราก็ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ที่เราทำ
    ขึ้นมาเองนั่นแหละ จะได้ไม่ต้องเสียเงินไปซื้อปุ๋ยเคมี ที่นานไป
    ก็เกิดผลเสียกับดินเราอยู่อย่างธรรมชาติ เราก็ใช้ธรรมชาตินั่นแหละค่ะ
    ในการดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
     
  4. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ปัจจุบันเรามีวิธีการปลูกข้าวอยู่หลากรุปแบบ
    ถ้าเราไม่อยากลองผิดลองถูก ก็ปลูกแบบดั้งเดิม
    ที่เราปลูกกันแต่ถ้าเราอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ
    แบ่งเนื้อที่สักไร่สองไร่ ลองปลูกข้าวลอยน้ำ
    โดยไปศึกษากับคุณลุงสุพรรณ หรือจะลองปลูกข้าว
    ในบ่อซีเมนต์ หรือถังน้ำ 10 ลิตรดูก็ได้ ซึ่งวิธีนี้
    ผู้เขียนแนะนำว่า บ้านใดที่ชอบดื่มน้ำขวด และมี
    ขวดพลาสติกเปล่า ๆ ทิ้งไว้ น่าจะนำมาปลูกพืชผักสวนครัว
    ซึ่งปลูกตรงส่วนใด ๆ ของบ้านก็ได้ โดยเฉพาะบ้าน
    ที่มีเนื้อที่น้อย ๆ เราก็อาจจะทำราวแขวนปลูกตามข้างฝา
    ตามหน้าต่าง ชายคาได้สบาย ๆ แถมมีผักกินได้ตลอดปี
    อยากให้ผู้อ่านเข้าไปอ่านในเวปไซด์ kasetporpeang.com
    ที่นี่่เขาจะมีพันธ์พืชผักแจกฟรีและมีความรู้ที่ให้ประโยชน์อยู่มาก

    การปลูกข้าวในบ่อซีเมนต์ การปลูกข้าวในบ่อซีเมนต์
     
  5. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    เมื่อเราคิดทำนาปลูกข้าวขาย เราต้องคิดแล้วว่า
    เอ ถ้าเราขายข้าวเปลือกเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันราคารับซื้อ
    ตอนนี้ต้นละไม่ถึงหมื่น แต่เราคิดราคาขายแบบเต็มที่ก็แล้วกัน

    เราขายข้าวเปลือกได้เงิน 10,000 บาท/ตัน (1 ตัน = 1,000 กิโลกรัม)
    ดังนั้น ราคาขายข้าวเปลือก = 10 บาท/กก.
    ปัจจุบันราคาข้าวสารขายกันในราคา 22 บาท/กก. ขึ้นไป
    แล้วแต่ประเภทของข้าวสารนั้น ๆ ถ้าเป็นข้าวหอมมะลิ
    ก็จะแพงขึ้นไปอีก ตีคร่าว ๆ ไม่ต่ำกว่า 30 บาท/กก.
     
  6. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ดังนั้น ถ้าเราสีข้าวขายเอง เราก็จะขายได้ในราคาที่เพิ่มขึ้น
    จากเดิมที่ขายข้าวเปลือกตันละ 10,000 บาท เป็นตันละ
    22,000 บาท หักเสีย 30 – 40 % เป็นค่าความสูญเสีย
    ของข้าวเปลือกที่นำมาสีเป็นข้าวสาร ซึ่งเท่ากับได้ข้าวสาร
    อยู่ที่ 60 - 70% ถ้าคำนวณอยู่ที่ 70 % จะเป็นเงินเท่ากับ
    700 กก. X ราคาขาย 22 บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 15,400 บาท
    (700 x 22 = 15,400) แต่ทั้งนี้ เราจะได้ข้าวขาวเต็มจำนวน
    และเราจะได้
    – ข้าวปลายท่อน
    - ข้าวปลายท่อน (เล็ก)
    - รำละเอียด
    - รำหยาบ
    - แกลบ
     
  7. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    แต่ถ้าเราเอาไปให้โรงสี เป็นฝ่ายสีข้าวให้กับเรา ๆ ก็จะได้เพียง
    แค่ข้าวสาร ส่วนอื่น ๆ โรงสีไม่ให้ และคิดค่าสีข้าวอีกต่างหาก
    ดังนั้น ถ้าเราปลูกข้าวเอง และคิดจะทำข้าวสารขายเอง มีทุนซื้อ
    เครื่องสีข้าวขนาดเล็ก ราคาขั้นต่ำประมาณ 35,000 บาทขึ้นไป
    คุณก็สามารถนำข้าวในนา มาสีเป็นข้าวสารขาย ถ้าขายกันเองในหมู่บ้าน
    ก็ใส่ถุงหิ้ว ผูกปากถุงเสียหน่อย เท่านั้นก็พอ ไม่ต้องทำแพคเก็จจิ้ง
    ให้ดีก็ได้ แต่ถ้าคุณคิดจะขายเป็นเรื่องเป็นราว มีแพคเก็จอย่างดี
    มีตรา มียี่ห้อเป็นของตัวเอง ถ้าจะเอาแบบประหยัด ก็ลงทุนซื้อ
    เครื่องคอมฯ เสียหน่อย
     
  8. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ซี่งจริง ๆ แล้วเครื่องคอมพิวเตอร์ควรจะมีทุก ๆ บ้าน
    เหมือนกับทีวีในสมัยนี้นะค่ะ อย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ว่า
    รัฐบาลควรส่งเสริมนโยบายเรื่อง internet ให้แพร่หลาย
    ไปทั่วทุกหมู่บ้านทุกตำบล เพราะการทำเศรษฐกิจแบบพอเพียง
    เรื่องคอมพิวเตอร์ หรือ internet มีความสำคัญต่อการทำงาน
    ของเราเป็นอย่างมาก เพราะช่วยประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และ
    เป็นแหล่งความรู้ที่ไม่จำกัดของเรา ผู้เขียนทำงานทุกอย่างด้วย
    เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่อง printer แบบ all-in-one
    มีเพียงแค่นี้ก็ทำงานได้ โดยไม่ต้องลงทุน ลงแรงอะไรให้มากมายเลย
    ใช้มันสมองทำงานล้วน ๆ
     
  9. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ปัจจุบัน internet ก็แพร่หลายไปทุกที่ แต่ก็ไม่ครอบคลุมทุกจุด
    อย่างที่ผู้เขียนทำงานอยู่ตรงนี้ ถึงจะขึ้นตรงกับอำเภอเมืองตรังก็จริง
    แต่คู่สาย คู่สัญญาณ ยังเข้ามาไม่ถึง ต้องใช้ดาวเทียมหรือแอร์การ์ด
    เพียงอย่างเดียว แต่ก็เอาเถอะนับว่าดีกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นคนอ่าน
    ต้องทำใจรออ่านกันนานหน่อยนะค่ะ เพราะบางทีข้อความเดียว
    กว่าจะส่งข้อมูลได้ก็เป็นชั่วโมง ซึ่งพอมีการแข่งขันกันเรื่อง
    internet ของค่าย ๆ ต่าง ๆ ซึ่งบางค่ายก็จัด internet ให้ฟรีกับ
    โรงเรียนต่าง ๆ ซึ่งก็ดี ทำให้เด็ก ๆ ได้มี internet ใช้ในการเรียน
    นับว่าเป็นการคืนกำไรให้กับสังคม โดยใช้สิ่งของที่ตนเองนั้นได้ทำอยู่
    ผู้เขียนบอกให้เลยค่ะว่า นี่คือความฉลาดในการให้ อย่าไปมองใน
    เรื่องของผลประโยชน์ทางการค้าเลยค่ะ เพราะอานิสงส์ของการให้
    แบบนี้นับว่ามีคุณประโยชน์ด้านการศึกษาของเด็ก ๆ
     
  10. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    เอาละเมื่อคุณคิดจะขายข้าวให้เป็นระบบ มีตรา มียี่ห้อของตนเอง
    ก็ใช้เครื่อง printer นั่นแหละค่ะ ทำตรา ทำสติกเกอร์ติดลงบนถุง
    การแพจเก็จก็ทำกันเอง ซื้อเครื่องซีลถุงมา บรรจุข้าวสารก็ได้
    ในระยะแรก ๆ ที่เริ่มทำตลาด พอติดตลาดมีคนสั่งเยอะ ค่อยสั่ง
    โรงงานผลิตถุง บรรจุถุง ให้เป็นเรื่องเป็นราว เราจะได้ไม่ต้อง
    ลงทุนมาก แต่ถ้าคนไม่มีเงินลงทุน จะทำอย่างไรดี ลำพังลงทุน
    เรื่องพันธ์ข้าว ก็ต้องใช้เงินเยอะ ถึงแม้จะปลูกข้าวแบบปลอดสารพิษ
    เรื่องค่าปุ๋ยค่ายาฆ่าแมลงก็ไม่ต้องซื้อก็ตาม แต่ถ้ามาลงทุนเรื่องซื้อ
    เครื่องสีข้าว และคอมพิวเตอร์ครบชุด น่าจะให้เงินรวมเป็นหลักแสนบาท
    เราจะทำอย่างไรดี ที่จะลงทุนให้น้อยที่สุด แต่ให้ได้เงินกลับมามากที่สุด
    ผู้เขียนมีวิธี แต่ขออธิบายรวมทีเดียวในตอนท้าย ๆ ค่ะ
     
  11. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    จริง ๆ แล้ว ถ้าเราปลูกข้าวแบบปลอดสารพิษ ทำให้ลดต้นทุน
    ค่าใช้จ่ายไปได้มาก ถ้าเราขายข้าวกิโลละ 20 บาท ก็กำไรมาก
    พอสมควรแล้ว เอากำไรนั่นแหละค่ะ มาลงทุน หรือสะสมทุน
    ให้มีมากพอ แล้วค่อยนำมาต่อยอดลงทุนเพิ่มในภายหลัง
    แต่ถ้าคิดดีแล้วว่าตอนนี้เรามีลูกค้าอยู่จำนวนมาก การตลาดก็
    ขยายตัวเพิ่มขึ้น จำเป็นจะต้องหาเงินทุน เพื่อรองรับกับ
    ความต้องการของลูกค้า ซึ่งมีวิธีที่จะหาเงินได้ไว ก็คือการกู้เงิน
    กับสถาบันการเงิน แต่ผู้เขียนไม่แนะนำให้ไปกู้นอกระบบนะค่ะ
    ดอกเบี้ยท่วมหาเงินได้ก็ส่งดอกเขาหมด อย่าทำเลยค่ะ ในเมื่อ
    กิจการเราขยายตัวเพิ่มจะต้องกู้เงิน เราควรเตรียมการดังนี้
     
  12. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    1. จดทะเบียนการค้า เมื่อเราเริ่มประกอบกิจการ
    หรือต้องการทำธุรกิจถึงแม้จะเป็นธุรกิจ SME เล็ก ๆ ก็ตาม
    สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องจดทะเบียนการค้า
    เอาเพียงแค่ร้านค้าธรรมดาก็พอ ถ้าเราเพิ่มเริ่มทำ
    ในระยะแรก ซึ่งสามารถไปจดทะเบียนได้ที่
    สำนักงานเขตทุกเขตในกรุงเทพฯ หรือ
    จดทะเบียนที่ อบต.หรือ อบจ. ในจังหวัดและ
    ท้องถิ่นที่กิจการคุณตั้งอยู่ แต่จะจดทะเบียนเป็น
    หจก.หรือบริษัท ก็แล้วแต่คุณจะสะดวก เลือกวิธี
    ที่เหมาะสมตามแบบของคุณ


     
  13. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ทำไมต้องจดทะเบียนการค้า ค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ
    จะจดทำไม

    ตอบ ถ้าคุณคิดจะเติบโตขึ้นในอนาคตข้างหน้า
    การที่คุณจดทะเบียนการค้า ทำให้สถาบันการเงินเห็นว่า

    ก) คุณทำงานเป็น ทำงานแบบมืออาชีพ
    เพราะกิจการคุณมีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน

    มีสถานที่ตั้ง และจดทะเบียนเป็นกิจจะลักษณะ


    ข) เป็นการสร้าง Credit Line ให้กับตัวคุณเอง


    ค) สร้างความเชื่อมั่นว่าคุณดำเนินธุรกิจจริง
     
  14. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    2. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อที่จะได้รู้ตัวเลข
    ของรายได้และค่าใช้จ่ายที่มีในแต่ละวัน เพื่อที่
    เราจะได้รู้ว่าทำแล้วมีกำไรหรือขาดทุน และ
    ขาดทุนเพราะสาเหตุใด จะได้หาทางแก้ไขได้


    3. นำรายได้ได้ที่มีในแต่ละวัน นำไปฝากกับ
    ธนาคาร หรือสถาบันการเงินทุกครั้งอย่าง
    สม่ำเสมอ
    และถ้ามีความจำเป็นต้องใช้จ่าย ควรถอนออกมา
    พอสมควร ให้มีเงินเหลือติดบัญชี
    ไม่ใช่มีเท่าไหร่
    ก็ถอนออกมาหมด เหลือติดบัญชี 0 บาทบ้าง
    5 บาทบ้าง
    ห้ามทำเด็ดขาด เพราะแสดงให้
    เห็นว่าคุณไม่มีวินัยด้านการเงิน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 ธันวาคม 2011
  15. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ข้อแนะนำเมื่อเรามีรายได้ เราควรจัดสรรเงินดังนี้

    ก) รายได้จากกิจการ นำมาหมุนเวียนเดินบัญชี
    ในธนาคาร


    ข) กำไรหลังจากหักค่าใช้จ่ายเรียบร้อยแล้ว
    แบ่งออกเป็นส่วน ๆ


    - ส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นที่จะต้องจ่าย เช่น
    ค่าอาหาร, ค่าน้ำ, ค่าไฟ เป็นต้น


    - ส่วนที่เป็นเงินออม ห้ามถอนโดยเด็ดขาด
    อาจจะหักไว้ 5% หรือ 10% ของกำไร ก็ตามแต่
    ความเหมาะสมของแต่ละคน ซึ่งเงินตรงส่วนนี้
    เมื่อได้ฝากกับ
    สถาบันการเงิน จะเป็นการแสดง
    ให้เห็นถึงความมีวินัยด้านการเงินของคุณ

    ทำให้สถาบันมีความเชื่อมั่นว่าคุณสามารถ
    บริหารจัดการด้านการเงินเป็นอย่างดี
    คะแนน
    ในการอนุมัติเงินกู้จะมีเพิ่มมากขึ้น
     
  16. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    - เงินสำหรับเป็นค่ารักษาพยาบาล อาจจะทำ
    ประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกัน
    หรือปัจจุบันบาง
    ธนาคารมีการประกันชีวิตพ่วงไว้ด้วย เวลาไป
    เปิดบัญชีกับธนาคารนั้น ๆ
    โดยเสียค่าธรรมเนียม
    เพิ่มอีกนิดหน่อย

    - เงินท่องเที่ยว-พักผ่อนกับครอบครัว
    ผู้เขียนมี
    เพื่อนที่อยู่เมืองนอกหลายคน ซึ่งคนต่างชาติเหล่านี้
    เขาจะมีวินัยด้านการเงินอย่างมาก เขาจะแบ่งเงิน
    ออกเป็นส่วน ๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น
     
  17. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    จะเห็นได้ว่า คนต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทย
    พอถึงวัยเกษียณ เขาจะใช้เงินก้อนนั้นท่องเที่ยว
    ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่เขาได้ตั้งใจทำงาน
    เมื่อ
    ยังหนุ่มยังสาว และพวกเขาเหล่านี้จะมีวินัย
    เรื่องการเงินอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเงินออม

    ของเขา เขาจะไม่ยอมใช้อย่างเด็ดขาด จำเป็น
    แค่ไหน ถ้าไม่ถึงที่สุดแล้ว
    จะไม่ยอมออกมาใช้
    ดังนั้นเมื่อเขาเกษียณอายุตนเอง พวกเขาเหล่านี้

    จึงมีเงินก้อนที่สามารถดูแลตนเองได้ โดยไม่ต้อง
    พึ่งลูกหลาน และยังไม่นับ
    รวมไปถึงเงินสวัสดิการ
    ต่าง ๆ จากรัฐบาลประเทศนั้น ๆ จะต้องจ่ายให้แก่
    ผู้สูงอายุเหล่านี้
     
  18. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    ค) เสียภาษีอย่างถูกต้อง ทำไมถึงต้องเสียภาษี
    เพราะจะได้ช่วยให้
    รัฐนำภาษีเป็นรายได้ของประเทศ
    มาปรับปรุงและพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น


    การขายสินค้าทุกอย่าง ภาษีก็คือต้นทุนของสินค้า
    ที่เราสามารถนำไปบวกรวม
    และสามารถคำนวณ
    ราคาในการขายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องการจัดเก็บ
    ภาษีของ
    ภาครัฐ จะพูดในภาครวมอีกครั้งหนึ่ง
    หลาย ๆ คน อาจจะแย้งว่า เสียภาษีทำไม

    รัฐบาลก็ไม่ได้เอามาช่วยอะไร เงินที่ได้ก็เอาไป
    โกงกินเอาเข้ากระเป๋าตัวเองทั้งนั้น
     
  19. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    จริง ๆ อยู่เราเองมองเห็นภาพของการเมือง
    ที่ผ่านมาเป็นแบบนี้เสียส่วนใหญ่ แต่ผู้เขียน
    อยากให้มองตรงตัวเราเองเสียก่อน ถ้าเรา
    เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงในทางทีดี เมื่อทุก ๆ คน

    ในชาติทำได้ ภาพทางลบที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลง
    ได้เองในอนาคต เพราะฉะนั้น เริ่มต้นที่ตัวเราเอง
    ให้ได้ ทำให้ได้เสียก่อนในวันนี้ ความเปลี่ยนแปลง
    ที่เกิดขึ้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้เขียนจะค่อย ๆ
    ขยายความไปตามลำดับขั้น
     
  20. truethailove

    truethailove rich kindness

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    835
    ค่าพลัง:
    +806
    กลับมาเริ่มต้นในเรื่องของอาชีพของแต่ละคนต่อ
    ทำไมผู้เขียนถึงให้แต่ละคน แต่ละครอบครัว
    ประกอบอาชีพหลักเพียงอาชีพเดียว เพราะ
    การทำอาชีพเดียวนั้น ก็เหลือพอแล้วค่ะ ถ้าเรา
    รู้จักปรับปรุง ดัดแปลง วิธีการต่าง ๆ ของอาชีพที่
    เราทำนั้นให้ต่อยอดขึ้นไป ยกตัวอย่างที่เราทำนา
    ถ้าเราทำนาแล้ว เราจะขายข้าวสาร แต่คิด ๆ ดูแล้ว
    ข้าวสารขายไปกำไรน้อย เราก็อาจปรับเปลี่ยนเป็น

     

แชร์หน้านี้

Loading...