การเตรียมการรับมือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ

เจ้าไอย_เอย ใครจะปัญญาเท่าเจ้า เรื่องจริงบ้างเรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้น ปัญญาคนเราไม่เท่ากัน การต่อสู้ชีวิตก็ต่างกัน แต่เราก็ขอส่งกำลังใจช่วยผู้ต่อสู้กับชีวิตด้วยคน

 

ไอเดียอย่างไอย ต้องเป็นฝ่ายบริหารกระทรวง
สั่งการลงมา ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบลงพื้นที่สอดส่อง
ทั้งป้องกันและแก้ปัญหา
ไอเดียดีเลิศ แต่เกษตรกรไม่ค่อยรวมตัวกันคิดหรือรวมกันทำ เขายังจำเป็ต้องใช้ผู้นำที่นำมานำคิด นำทำอยู่ฮะ

 

ขอบคุณนะคะที่เขียนแนะนำกันมา ผ่านมาหลายปี เขียนเป็น guide line
ให้ทุกคนได้คิด ได้ทำ ลองผิด ลองถูกด้วยตัวเอง แต่ไม่ไปถึงไหน
ก็เพราะไม่มีผู้นำที่เป็นแบบอย่าง ไม่มีการรวมตัวและแชร์ข้อมูลให้กันและกัน
แต่ไม่ใช่ไม่ได้ผลเลยนะคะ เพียงแต่ช้าเกินไป ไม่ทันกับภาวะการณ์ในปัจจุบัน
จริง ๆ แล้วประเทศไทย รัฐบาลไทย ไม่ต้องลงทุนเม็ดเงินอะไรมากมายเลย
ใช้เงินทุนบ้าง มันสมอง และความสามัคคีของคนในชาติ ก็สามารถ
พลิกฟื้นและพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงด้วย ตอนนี้ก็
พยายามเขียนให้มากขึ่้น แต่ผู้เขียนก็มีงานของตนเองทำอยู่เหมือนกัน
อยากช่วยอย่างเต็มที เคยเสนอตัวเป็นวิทยากรให้ฟรี ๆ ก็เงิียบ สงสัย
ไม่ชอบของฟรี พอเก็บเงิน ก็กลัวเราเป็น 18 มงกุฎหลอกเอาเงินบ้าง
แหม ของฟรีก็ไม่เอา เก็บตังค์ก็ไม่จ่าย ผู้เขียนก็จนปัญญาช่วยเหมือนกัน
เลยได้แต่โพสเป็นคราว ๆ ไป แต่งานเขียนก็ต้องใช้สมองเยอะ บางที
คิดไว้เยอะมาก แต่ไม่รู้จะถ่ายทอดอธิบายเป็นตัวอักษรให้คนอ่าน
เข้าใจง่าย ๆ ก็ยากเอาการอยู่เหมือนกัน

 

งานแบบนี้ใช้เขียนและมันสมองอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องลงพื้นที่
ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านและท้องถิ่น เพื่อที่จะได้รู้ปัญหา
จะได้มีหนทางแก้ไข ไม่ใช่ง่าย ๆ นะคะ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียว
จะทำอะไรได้มากกว่านี้ ถ้าไม่ร้องขอมา ถ้าใครกล้าขอ ผู้เขียนก็
กล้าให้เหมือนกัน แต่ต้องลงมือทำตามคำแนะนำด้วย ถ้าอย่างนั้น
ก็ไม่เกิดผลใด ๆ หรอกนะคะ

 

ผู้เขียนอยู่ทางนี้ ไม่ใช่ไม่ลงมือทำงาน แต่พอเข้าไปช่วย
เข้าไปบอกแนวทาง ท่านผู้นำทั้งหลาย copy ไอเดียเราทั้งหมด
ไปหาผลประโยชน์ตัวเอง และเอาเป็นผลงานของท่านไปเสีย
เราแนะนำเรื่องทำอย่างไรที่จะท้องถิ่น ชุมชนจะพัฒนาได้
โดยไม่ต้องควักเงิน ท่านก็มีแต่จะหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง
หาเรื่องให้ชาวบ้านต้องจ่ายเงินแล้วตัวเองได้กินค่าคอมมิชชั่น
ลำบากค่ะ ตอนนี้ก็เลยไม่อยากขยับไปช่วยใครมาก เพราะ
ไปสร้างความโลภให้คนเหล่านี้อีก บ้านเมืองมันย่ำแย่เพราะ
คนประเภทนี้่มีเยอะค่ะ

 

ก็เลยหันมาเอาตัวเองทำงานเพื่อสังคมดีกว่า จริง ๆ แล้ว
ไม่อยากออกตัว อยากอยู่เบื้องหลัง ใครจะเอาวิธีของเราไปใช้
ไม่เคยว่า เพราะตั้่งใจให้เป็นวิทยาทานอยู่แล้ว แต่พอลงมือทำงาน
เห็นช่องทาง เห็นเม็ดเงิน ก็เกิดความโลภกันเป็นแถว ๆ ทำไปทำมา
กลายเป็นหาผลประโยชน์เข้าตัวเอง พอทำงานหมู่มาก ตัวเองไม่ได้
ประโยชน์ ไม่ได้ชื่อเสียง ก็ขัดแข้งขัดหา กลับกลายเป็นว่าชาวบ้าน
ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ผ่านมาหลายปี ก็เป็นแบบนี้มาตลอด
เลยตัดสินใจทำงานของตัวเอง และเอารายได้ตรงนั้น มาเป็นการทำงาน
เพื่อสังคม เพื่อชาติดีกว่า โดยไม่ขอเรี่ยไร ทำได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ทำตาม
กำลังของเราพอ เพราะเราสามารถ control ตัวเราเองได้
จึงเกิดเป็น โครงการ "รวยน้ำใจ" ขึ้นมาอย่างไรละค่ะ

 

ข่าวดีสำหรับผู้พิการ ผู้ทุพพลภาพ โครงการ "รวยน้ำใจ"
เปิดอบรมวิชาชีพให้ฟรี-ที่พักฟรี-อาหารฟรี
ทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ของทุก ๆ เดือน เริ่มต้นตั้งแต่
วันที่ 9 มกราคม 2559 เป็นต้นไป

อาชีพที่เปิดสอน
1. นวดหน้าเด้ง นมเด้ง
2. นวดฝ่าเท้าด้วยศาสตร์จีน
3. นวดบำบัดโรคด้วยกัวซา
4. วารีบำบัดด้วยสมุนไพรธรรมชาติ
5. สอนทำลูกประคบ อบสมุนไพร คอร์สคุณแม่หลังคลอด

เอกสารที่ใช้ในการสมัคร
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. บัตรผู้พิการ /ใบรับรองสภานภาพจากผู้นำชุมชนหรือหมู่บ้าน

สอบถามรายละเอียดและใบสมัครได้ที่ โทร. 089-8820342
อีเมล์ : thaimoneynetwork@hotmail.com

 

ขอโทษนะคะที่หายหน้าไปนาน พอดีลูกสาวเสียชีวิตนะคะ
หลายคนคงจำได้ เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่เคยตามแม่ไอยไป
งานนั้นงานนี้ เขาเสียชีวิตเพราะทานอาหารเสริมสมุนไพรสกัด
จากหมามุ่ยอินเดีย เป็นเคสแรกของประเทศไทยและของโลก
ตอนนี้ไอยได้ทำงานสานต่อจากที่เคยทำมา โดยจัดตั้ง
กองทุนรวยน้ำใจ เพื่อ น.ส. ศตพร พันทอง
เพื่อสาธารณประโยชน์และสาธาณกุศล โดยเงินกองทุนนี้เป็นเงินของ
ครอบครัวและเพื่อน ๆ ทุกคนที่ส่งมาช่วยงานศพน้องมิลค์ โดยที่เรา
ไม่ได้บอกกล่าว หลายคนทราบจากข่าว ทราบจากสื่อ ก็โอนเงินมาช่วยกัน
คนละเล็กละน้อย เราจึงนำเงินของทุกท่านเข้ากองทุนรวยน้ำใจนี้ทั้งหมดค่ะ
ซึ่งรายละเอียดของกองทุนว่าทำเพื่อใคร อย่างไร จะลงในตอนหน้านะคะ
รับรองเลยค่ะว่าสิ่งที่เคยเขียนมาหลาย ๆ ปี ได้จัดทำขึ้นเป็นรูปธรรม
ในครั้งนี้แล้วละค่ะ

 

รายชื่อผู้ร่วมบริจาคสมทบทุนในกองทุน “รวยน้ำใจ” เพื่อ น.ส. ศตพร พันทอง

1. พนักงานโรงแรม The Season จำนวนเงิน 3,900 บาท
2. อาจารย์ Astro Neemo จำนวนเงิน 2,000 บาท
3. คุณสุธนีดล วิชิตธารารักษ์ (พี่ศา) จำนวนเงิน 800 บาท
4. คุณกมล ศรีจักรนารถ จำนวนเงิน 1,000 บาท
5. คุณ ณ. (Narah Spynt) จำนวนเงิน 1,000 บาท
6. เจ๊แต้ หน้า มทร. เจ้าภาพเลี้ยงน้ำสมุนไพร
7. คุณสุมาลี (Sumalee Sumalee) เจ้าภาพเลี้ยงปาท่องโก๋และน้ำดื่ม
8. คุณสุภาวดี (ตุ๊ก) ทำบุญชุดของเล่นให้หลานนะโม
9. ผู้มีจิตศรัทธาวัดนาเมืองเพชร ร่วมทำบุญสามพันกว่าบาท และบริจาค
ขนมปังปี๊ป

 

กองทุนรวยน้ำใจ เพื่อ น.ส. ศตพร พันทอง

เป็นกองทุนในการทำงานบุญงานกุศล ทั้งทางโลกและทางธรรม
เพื่อประโยชน์แก่ประชาชน ประเทศชาติ และทุก ๆ ศาสนา โดยใช้
หลักบวร 3 คือวัด บ้าน โรงเรียน รวมทั้งนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มาเป็นแนวทางในการพัฒนาครอบครัว ชุมชน ให้อยู่อย่างเข้มแข็ง
สามารถพึ่งพาตนเองและเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างพอเพียง สร้างอาชีพ
ให้กับครอบครัว เพื่อเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย ให้ทุกคนมีมาตรฐานชีวิต
ที่ดีขึ้นอย่างพอเพียง สร้างรากฐานให้กับชุมชนและประเทศในฐานะ
ประชาชนคนไทยที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินใทย ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

 

กองทุนรวยน้ำใจได้จัดทำขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เดิมทีตั้งใจให้
น.ส. ศตพร พันทองหรือน้องมิลค์ เป็นผู้ดำเนินงานในกองทุนรวยน้ำใจนี้
แต่ด้วยเหตุการณ์เสียชีวิต เนื่องจากการแพ้อาหารเสริมสกัดจากสมุนไพร
หมามุ่ยอินเดีย ซึ่งเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงระดับ Tens คือระดับอาการที่เกิดขึ้น
เพียง 1/10 ใน 1,000,000 คน ทางเราจึงอยากให้เรื่องราวของน้องมิลค์
ได้เป็น Case Study ให้เป็นตัวอย่างเป็นอุทาหรณ์เตือนใจให้กับทุก ๆ ฝ่าย
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ประชาชนทั่วไป ผู้เป็นพ่อ เป็นพ่อ และเด็ก ๆ เยาวชนทั้งหลาย
จะได้ตะหนักถึง ภัยอันตรายจากการบริโภคอาหารและยาที่ไม่ได้มาตรฐาน และ
รวมไปถึงการดูแลความรักและความอบอุ่นในครอบครัว

 

กองทุนรวยน้ำใจ จะดำเนินการในเรื่องของกองทุนต่าง ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
และสาธารณกุศล โดยเงินกองทุนก้อนแรกนี้ได้มาจากเงินของครอบครัว รวมทั้ง
ผู้ที่เป็นเจ้าภาพและร่วมทำบุญในงานบำเพ็ญกุศลศพของน้องมิลค์ทุก ๆ ท่าน
ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

กองทุนรวยน้ำใจ แบ่งออกเป็น

1. โครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ขาดบิดา มารดาเลี้ยงดู
หรือได้รับการเลี้ยงดูจากผู้ปกครองที่มีฐานะยากจน ไม่มีรายได้, ให้การอุปถัมภ์
คนป่วย คนชรา คนพิการ โดยกองทุนจะทำการตรวจสอบความเป็นมาให้ถูกต้อง
ตามความเป็นจริงโดยมีคณะกรรมการที่น่าเชื่อถือตรวจสอบ โดยบุคคลในชุมชนนั้น ๆ
เช่น ครูอาจารย์ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และผู้ที่มีหน้าที่การงานอันน่าเชื่อถือ เป็นต้น

 

โครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ เริ่มต้นด้วยน้องตูน ตูน ซึ่งคุณแม่เขาอยู่ใน
โครงการคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ทางกองทุนรวยน้ำใจได้มอบทุน แบ่งออกเป็น
ก) ทุนค่าเล่าเรียน เดือนละ 100 บาท
ข) ทุนออมทรัพย์ เดือนละ 100 บาท
โดยเริ่มให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่น้องตูน
รวมเดือนละ 200 บาท

 

2. โครงการคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว
จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือมารดาหรือบิดาที่เลี้ยงดูบุตรโดยลำพัง
มีฐานะยากจน รายได้ไม่เพียงพอกับการเลี้ยงดูบุตร สนับสนุนทุน
และอบรมความรู้-อาชีพ เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว

โครงการนี้ได้ให้ทุนไว้ทำมาค้าขายให้แก่ น.ส. กัลยา คำใจ (ติ๊ก)
ไว้เป็นทุนค้าขายไก่ปิ้ง ตรงข้ามวัดอินทราราม อ. ฮอด จ. เชียงใหม่
เป็นทุน 1,500 บาท ซึ่งปัจจุบันได้คืนเงินทุนกลับคืนเข้า
กองทุนรวยน้ำใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ติ๊กสู้ชีวิตมากเลิกกับสามีหลังจากน้องตูนเกิดได้ไม่นาน บ้านที่อยู่
ทุกวันนี้ก็ไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องขอต่อหม้อจากบ้านข้าง ๆ ยิ่งตอนน้องตูน
ยังไม่เข้าเรียน จะไปไหนก็ต้องหอบลูกไปด้วย รถราก็ไม่มีใช้
ต้องยืมคนข้างบ้านบ้าง วานคนไปส่งบ้าง ทำงานรับจ้างไปทั่ว
ตอนเช้าหมักไก่ ตอนบ่ายก็ออกมาขาย ได้วันละร้อย สองร้อย
ก็ต้องทำ เพื่อจะได้มีเงินมาเลี้ยงดูตัวเองและน้องตูน ทุกวันนี้มีรายได้
จากการขายไก่ วันไหนฝนตกก็ขายไม่ดี วันไหนน้องตูนป่วย ซึ่งเข้า
รพ. บ่อยมาก ถ้าต้องเข้า รพ. ก็ไม่ได้ขายของ เพราะต้องคอยเฝ้าไข้
บางครั้งต้องโอนเงินส่วนตัวไปช่วยทั้ง ๆ ที่ติ๊กไม่ได้ร้องขอ แต่บอกว่า
ให้ตูนไว้ซื้อข้าว ซื้อนม

 

รายละเอียดต่าง ๆ ของผู้ที่อยู่ได้รับการช่วยเหลือจากกองทุนรวยน้ำใจ
เป็นรายได้ส่วนตัวและรายได้จากการทำงานของตนเองและลูกค้าที่ร่วมงาน
และยินดีสมทบเข้ากองทุนรวยน้ำใจเพื่อ น.ส. ศตพร พันทอง ทุก ๆ คน
เช่น 1. รายได้จากการเป็นสมาชิกของ TMN 50% มอบให้เข้ากองทุน
2. รายได้จากค่าสมาชิกของ หจก. ตะวันมัลติมีเดีย 50% มอบให้กองทุน
3. รายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย 10% ของตะวัลมัลติมีเดีย มอบให้กองทุน
และรวมถึงท่านอื่น ๆ ซึ่งจะทยอยลงรายละเอียด ดังนั้นเงินกองทุนนี้จึงไม่ได้
เปิดรับบริจาคทั่ว ๆ ไป และการให้ทุน ทางเราก็ตรวจสอบและให้ทุนเฉพาะที่
เขาจำเป็นต้องใช้จริง ๆ และต้องนำไปทำมาหากิน ลงทุนซื้อวัตถุดิบและอุปกรณ์
เพื่อให้เขาได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์และทำมาหากินเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว
อย่างแท้จริง ไม่ใช่สร้างกระแสจนเกิดเป็นช่องทางหารายได้และเพาะความโลภ
ให้กับคนเหล่านี้ ดังนั้นเงินที่ให้ดูอาจจะน้อย แต่เป็นการให้อย่างสมเหตุสมผล
และเมื่อเขามีกำลังมากพอแล้ว ก็คืนเข้ากองทุน เพื่อมอบทุนให้กับราย ๆ อื่น ๆ ได้