ก้อนหิน

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 10 กรกฎาคม 2013.

  1. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    [​IMG]

    สมัยยังเด็ก
    ไปเที่ยวเล่นบ้านคุณแม่ของพี่สะใภ้
    ท่านมีอายุแล้ว
    และก็ไม่ชอบสวมเสื้อ จะมีเพียงผ้าถุงเท่านั้น
    นมท่านก็ยานไปตามสภาพ
    ขนาดว่า สามารถตวัดนมไปไว้ด้านหลัง
    และเอาแขนหนีบไว้ได้
    ติงทั้งทึ่ง อึ้ง และประหลาดใจ
    ทำได้อย่างไรนะ
    ๕๕๕๕
    คิดเหมือนกันว่าเมื่อเราแก่ตัวไป
    จะทำได้หรือเปล่า
    แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหนักใจค่ะ
    สมัยนี้ ต่อให้ทำได้ ก็คงไม่กล้าโชว์
    เดี๋ยวโดนตำรวจจับ ^^
     
  2. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]


    ทำคุณคนไม่ขึ้น​


    เป็นเรื่องหนึ่งที่หมอดูเขาจะไม่ทายกัน...เพราะทายยังไงก็ถูกครับ...มันเหมือนกับทายว่าพ่อคุณเป็นผู้ชายและแม่คุณต้องเป็นผู้หญิง...ดังนั้นหมอดูจึงไม่ทายเรื่องทำคุณคนไม่ขึ้น ถ้าทายอย่างนี้ เราไม่เรียกว่าหมอดู...

    ผมจะขอยกเรื่องราวอุปมาอุปมัยให้ฟังสักหลายข้อ คือ

    1. เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี ไปปลูกในดินที่ดี มันก็ไม่งอก

    2. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ไปปลูกบนพื้นคอนกรีต มันก็ไม่งอก

    3. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ไปปลูกบนดินที่ดี งอกแล้วสภาพแวดล้อมไม่อำนวย ก็ไม่รอด

    4. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกบนดินที่ดีแล้ว สภาพแวดล้อมอำนวยให้แล้วแต่เมื่อเติบโตยังต้องถูกโรคและแมลงรุมเร้า ก็ไม่รอด

    5. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกบนดินที่ดี สภาพแวดล้อมที่ดี เมื่อเติบโตแล้วรอดพ้นจากโรคและแมลง แต่ยังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่สามารถให้ดอกผลได้

    ดังนั้น เมล็ดพันธุ์ที่ดี ต้องปลูกบนดินที่ดี ในสภาพแวดล้อมที่ดี เมื่อเติบโตแข็งแรง รอดพ้นจากแมลงและโรคแล้ว จนกระทั่งถึงเวลาอันสมควร ไม้นั้นจึงจะออกดอก ให้ผลได้....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2013
  3. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    การที่จะทำคุณใดๆลงไป ก็เปรียบเหมือนการเพาะปลูกพืชเช่นเดียวกัน จะได้รับการตอบแทนบุญคุณ จึงต้องขึ้นกับปัจจัยหลายประการเหลือเกิน กว่าที่องค์ประกอบและปัจจัยจะพร้อมสมบูรณ์เข้าด้วยกัน จึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการที่ทำคุณคนแล้ว คุณที่ทำลงไปเสียหายเสียก่อน ก่อนจะได้รับผลตอบแทนนั้น จึงมีมาก...ทั้งนี้เพราะเหตุใด....


    1. เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี แม้ปลูกบนที่ดินดี ก็ไม่งอก เปรียบเหมือนการสร้างคุณกับคน ในสิ่งที่เขาผู้นั้นไม่ได้ต้องการ แม้พยายามให้มากเพียงใด ก็ไม่เกิดผล

    2. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกบนพื้นคอนกรีต ก็ไม่งอก เปรียบเหมือนการสร้างคุณ ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่คนผู้นั้นเป็นคนทุจริต คนชั่ว เสียแล้ว แม้จะสร้างคุณให้เขามากมายเพียงใด ก็ไม่ได้รับการตอบแทน ย่อมสูญเปล่า

    3. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกบนดินที่ดี สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย ก็ไม่รอด เปรียบไปก็เหมือนกับ การที่สร้างคุณให้กับคนที่ดี ที่ควร คนหนึ่ง แม้ว่าคนผู้นี้อยากจะตอบแทนคุณสักเพียงใดแต่โอกาสที่จะเอื้อให้ตอบแทนนั้นไม่มี ก็ไม่สามารถตอบแทนคุณนั้นได้

    4. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกบนดินที่ดี สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย เมื่อเติบโต แต่ถูกโรคและแมลงรุมเร้า ก็ไม่รอดนั้น เปรียบไปก็เหมือนกับการทำคุณที่ถูกที่เขาต้องการให้กับคนที่เป็นคนดี สุจริตชน ในสภาพที่เขาผู้นั้น น่าจะตอบแทนคุณได้ แต่เขาผู้นั้นต้องมาประสบเคราะห์กรรมเสียก่อน ก็ไม่สามารถตอบแทนคุณนั้นได้

    5. เมล็ดพันธุ์ที่ดี ปลูกบนดินที่ดี สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย เมื่อเติบโตขึ้นมา รอดพ้นจากแมลงโรคร้าย แต่ยังไม่ถึงเวลา ก็ยังไม่สามารถให้ดอกให้ผลได้ นี้เปรียบไปก็เหมือนกับ การช่วยเหลือในสิ่งที่เขาต้องการ กับสุจริตชน แต่เขาผู้นี้ยังไม่มีความพร้อมที่จะสนองคุณต่อท่าน แม้เขาจะพยายามเพียงใด ผลนั้นก็ยังไม่สามารถเกิดได้ ก็เพราะมันยังไม่ถึงเวลา...


    จะเห็นว่า เงื่อนไข ที่จะทำคุณกับใครสักคน แล้วได้รับการตอบแทน บุญคุณ น้ำใจ กลับมานั้น เป็นเรื่องยาก และต้องใช้เวลามาก ดังนั้น ใครก็ตามคิดหวังว่า ทำคุณกับคนแล้ว จะได้รับการตอบแทนบุญคุณ หรือช่วยเหลือกลับคืนนั้น จึงเป็นเรื่องที่คาดหวังยาก คาดหวังไปก็เป็นทุกข์เปล่าๆ....

    แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลยทีเดียว เพราะทุกอย่างมันเริ่มต้นที่เราก่อน เริ่มต้นอย่างไร ก็อยากจะขอย้อนไป ตอนที่ นางวิสาขา จะออกเรือน เวลานั้นท่านเศรษฐีผู้พ่อ ให้คำแนะนำกับนางวิสาขาว่า “ใครช่วยเรา เราจงช่วย ใครไม่ช่วยเรา เราจงอย่าช่วย”

    ทำไมท่านเศรษฐีจึงสอนเช่นนี้ ก็เพราะคนที่เคยช่วยเรามาก่อนนี้ ย่อมเป็นคนที่มีศักยภาพในการช่วยเหลือเรากลับคืน มากกว่าอื่น ทั่วๆไป เนื่องจากได้เคยช่วยเราไว้แล้วมาก่อนนั่นเอง เมื่อเราได้ช่วยเหลือ หรือสร้างคุณอันสมควร แล้วนั้น ย่อมเหมือนกับการนำเมล็ดพันธุ์ที่ดี เพาะปลูกลงบนพื้นดินที่ดี เมื่อนั้นแล้วย่อมมีโอกาส ได้รับการช่วยเหลือ หรือตอบแทนพระคุณกลับคืนได้เมื่อเวลา และโอกาสอำนวย


    ก็ขอฝากแง่คิด มุมมอง เรื่องการทำคุณคนไม่ขึ้น หรือการทำคุณคนขึ้น เอาไว้ให้พิจารณา ในอีกแง่มุมหนึ่ง
     
  4. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ถ้าเรามีดวงเป็นฝ่ายที่อุปถัมภ์ละค่ะ ก็ต้องช่วยต่อไปและไม่ต้องรอใครมาตอบแทนเลยแม่นบ่...5555
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ทำคุณคนไม่ขึ้น

    แม่นแหล่ว...
    ในส่วนของท่านที่ปรารถนา สัมมาสัมโพธิญาณ แล้วนั้น การช่วยเป็นการทำเพื่อสงเคราะห์ ช่วยทั้ง กำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา มีเท่าไรช่วยหมด ไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน หวังอย่างเดียวคือ ต้องการให้คนทั้งหลายที่ยังเป็นทุกข์อยู่ให้พ้นทุกข์ ท่านที่พ้นทุกข์แล้ว ก็ขอให้เป็นสุข...มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าความสุขของเราคือการได้เห็นคนอื่นๆทั้งหลาย มีความสุขโดยถ้วนหน้า...

    ว่าแต่ตามประสาปุุถุชนคนธรรมดา ยังมีกิเลสหนา ตัณหามาก อย่างกระผมนี่แล้วนั้น การจะช่วยใครจะต้องเอา หลัก สัปปุริสธรรม ทั้ง 7 ประการมาเป็นตัวตั้ง...

    ดังเช่น...
    คนที่หิวข้าว มาขอข้าว ผมจะให้ข้าวแก่เขา ในเวลานั้น...
    ถ้าหากว่าเขาหิวข้าวมา ผมเอาหวีไปให้ เอาโฟนล้างหน้าไปให้ นี่เขาต้องโกรธผมมาก เพราะเขาไม่ได้รับสิ่งที่เขาขาดแคลนอย่างยิ่งในเวลานั้น...
    หากว่าเขามาขอข้าวตอนเช้า ผมเอาข้าวไปให้เขากินตอนเย็น แทนที่เขาจะคิดดีกับผมเขาจะกลับโกรธแค้นผม หาว่าผมไปแกล้งเขา ทำให้เขาต้องหิวทรมานมากๆ...


    ดังนั้นการจะให้อะไรใคร ก็ต้องดูว่าเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ประการหนึ่ง ... ต้องให้ในเวลาที่เหมาะสมด้วย อีกประการหนึ่ง ...บุคคลผู้รับเป็นผู้สมควรได้รับแล้วในเวลานั้นอีกหนึ่ง...ทั้งนี้เพราะอะไร...ผมสมมติว่า มีภิกษุรูปหนึ่ง ทุกคนรับรู้แล้วว่าต้องปราชิก เกิดหิวมา มาขอบิณฑบาตรต่อหน้า อย่างนี้ผมไม่ให้ เพราะการให้บิณฑบาตรแก่ภิกษุปราชิกนี้ เป็นการอำนวยให้เขาเกิดกำลัง สามารถไปทำร้ายทำลายพระพุทธศาสนาได้ต่อไป บุคคลอย่างนี้ผมไม่ให้นะครับ...การช่วยเหลือคนชั่ว ฆาตกร ให้มีกำลัง มีอำนาจ ด้วยอาหาร ด้วยเสื้อผ้า ด้วยอาวุธ นอกจากจะทำให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสไปทำร้ายผู้อื่นต่อแล้ว ตัวเราเองยังมีโอกาสถูกทำร้ายไปด้วย...ต้องให้เขาเหล่านั้น ได้พบกับบุคคลที่สามารถช่วยเขาได้ มีหน้าที่ในการช่วยเหลือเขา เช่น ตำรวจ หรือทหาร เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเช่นนั้น เป็นต้น...

    ส่วนเรื่องสัปปุริสธรรม 7 ประการนั้น มีอย่างไรบ้าง ก็ขอให้ท่านผู้อ่านที่มาอ่านเจอเข้าช่วยกันค้นหากันมาโพสต่อนะครับ...
     
  6. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]



    ทรงกอรปกิจ ประกาศธรรม อันไพรเราะ
    ได้พอเหมาะ สรรสร้าง ห่างสงสัย
    ปริยัติ ปฏิบัติ ขัดจิตใจ
    รู้วินัย เคร่งครัด ปัดกังวล
    สงเคราะห์พระ ธรรมทูต ในต่างแดน
    ให้แนบแน่น พุทธศาสน์ ได้เป็นผล
    โกลกว้างใหญ่ ธรรมนำไป สู่สากล
    สรัสล้น เจริญล้ำ ทางสัมมา
    พระนิพนธ์ ล้วนเลิศ ประเสริฐยิ่ง
    แจ้งความจริง ประจักษ์จิต ปลิดกังขา
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    องค์สมเด็จ พระสัมมา ตรัสไว้ดี
    สมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทรงเคารพ
    ชนน้อมนบ บูชาท่าน ให้สุขขี
    เจริญสุข สุวัฑฒนะ องค์ฉัตรตรี
    สดุดี เทิดพระคุณ หนุน กล่าวเชิญ
    อมฤต โชคอำนวย อวยพรสุข
    ให้ดับทุกข์ สุขนินทา สรรเสริญ
    อาศัยโลก โศกไม่ติด จิตเพลิดเพลิน
    สู่ทางเดิน มรรคาลัย พ้นภัยเทอญ


    [​IMG]
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    มนุษย์ที่แปลอย่างหนึ่งว่า ผู้มีจิตใจสูง คือ มีความรู้สูง ดังจะเห็นได้ว่าคนเรามีพื้นปัญญาสูงกว่าสัตว์ดิรัจฉานมากมาย สามารถรู้จักเปรียบเทียบในความดี ความชั่ว ความควรทำไม่ควรทำ รู้จักละอาย รู้จักเกรง รู้จักปรับปรุงสร้างสรรค์ที่เรียกว่าวัฒนธรรม อารยธรรม ศาสนา เป็นต้น แสดงว่ามีความดีที่ได้สั่งสมมา โดยเฉพาะปัญญาเป็นรัตนะส่องสว่างนำทางแห่งชีวิต ถึงดังนั้นก็ยังมีความมืดที่มากำบังจิตใจให้เห็นผิดเป็นชอบ ความมืดที่สำคัญนั่นก็คือ กิเลสในจิตใจและกรรมเก่าทั้งหลาย....(พระโอวาทธรรมข้อที่ 1 สมเด็จพระสังฆราช)
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]
    คำว่า ชีวิต มิได้มีความหมายเพียงแค่ความเป็นอยู่แห่งร่างกาย
    แต่หมายถึงความสุข ความทุกข์ ความเจริญ ความเสื่อมของบุคคลในทางต่างๆด้วย บางคนมีปัญหาว่า จะวาดภาพชีวิตของตนอย่างไรในอนาคต หรืออะไรควรจะเป็นจุดมุ่งหมายของชีวิต และจะไปถึงจุดมุ่งหมายนั้นหรือ ที่นึกที่วาดภาพไว้นั้นด้วยอะไร ปัญหาที่ถามคลุมไปดังนี้ น่าจะตอบให้ตรงจุดเฉพาะบุคคลได้ยาก เพราะไม่รู้ว่าทางแห่งชีวิตของแต่ละบุคคลตามที่กรรมกำหนดไว้เป็นอย่างไร และถ้าวาดภาพของชีวิตอนาคตไว้เกินวิสัย ของตนที่จะพึงถึง แบบที่เรียกว่าสร้างวิมานบนอากาศ ก็จะเกิดความสำเร็จขึ้นมาไม่ได้แน่ หรือแม้วาดภาพชีวิตไว้ในวิสัยที่พึงได้พึงถึง แต่ขาดเหตุที่จะอุปการะให้ไปถึงจุดหมายนั้น ก็ยากอีกเหมือนกันที่จะเกิดเป็นความจริงขึ้นมา....(พระโอวาทธรรมข้อที่ 2 สมเด็จพระสังฆราช)
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]


    เราเกิดมาด้วยตัณหา
    ความอยากและกรรมเพื่อสนองตัณหาและกรรม ของตนเอง ตัณหาและกรรมจึงเป็นตัวอำนาจหรือผู้สร้างให้เราเกิดมา ใครเล่าเป็นผู้ สร้างอำนาจนี้ ตอบได้ว่าคือตัวเอง เพราะตนเองเป็นผู้อยากเองและเป็นผู้ทำกรรม ฉะนั้นตนนี้เองแหละเป็นผู้สร้างให้ตนเองเกิดมา อนุมานดูตามคำของผู้ตรัสรู้นี้ใน กระแสปัจจุบัน สมมติว่าอยากเป็นผู้แทนราษฏร ก็สมัครรับเลือกตั้งและหาเสียง เมื่อชนะคะแนนก็เป็นผู้แทนราษฎร นี่คือความอยากเป็นเหตุให้ทำกรรม คือทำการตางๆ ตั้งแต่การสมัคร การหาเสียง เป็นตน ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับผล คือได้เป็นผู้แทน

    ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต
    หรือของโลกเป็นทุกข์ประจำชีวิตหรือประจำโลกไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด เมื่อจะสรุปกล่าวให้สั้น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งสี่นี้ย่อลงเป็นสอง คือความเกิดและความดับซึ่งเป็นสิ่งที่สกัดหน้าสกัด หลังของโลก ของชีวิตทุกชีวิตนี่เรียกคติธรรมดา แปลว่า ความเป็นไปตามธรรมดาความไม่สบายใจทุกๆ อย่าง พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่าเป็นทุกข์ ทุกคนคงเคยประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก พลัดพรากจากสิ่งที่เป็น ที่รัก ปรารถนาไม่ได้สมหวัง เกิดทุกข์โศกต่างๆ นี่แหละพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่าเป็นทุกข์โลกหรือชีวิต ประกอบด้วยทุกข์ ดังกล่าวมาแล้ว ฉะนั้นทุกข์จึงเป็นความจริงที่โลกหรือทุกชีวิตต้องเผชิญ

    ชีวิตคนเรา เติบโตขึ้นมาดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความเมตตากรุณาจากผู้อื่นมา ตั้งแต่เบื้องต้น คือ เมตตา กรุณา จากบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ญาติสนิท มิตรสหาย ถ้าไม่ได้รับความเมตตา ก็อาจจะสิ้นชีวิตไปแล้ว เพราะถูกทิ้ง เมื่อเราเติบโตมาจากความเมตตากรุณา ก็ควรมีความเมตตากรุณาต่อชีวิตอื่น ต่อไป

    วิธีปลูกความเมตตากรุณา คือ ต้องตั้งใจปรารถนาให้เขาเป็นสุข ตั้งใจ ปรารถนาให้เขาปราศจากทุกข์ โดยเริ่มจากเมตตาตัวเองก่อน แล้วคิดไปถึงคน ใกล้ชิด คนที่เรารัก จะทำให้เกิดความเมตตาได้ง่ายแล้วค่อยๆ คิดไปให้ความเมตตา ต่อคนที่ห่างออกไปโดยลำดับ

    ตนรักชีวิตของตน สะดุ้งกลัวความตายฉันใดสัตว์อื่นก็รักชีวิตตนและ สะดุ้งกลัวความตายฉันนั้น ฉะนั้นจึงไม่ควรฆ่าเอง ไม่ควรใช้ให้ผู้อื่นฆ่า อนึ่ง ตนรัก สุขเกลียดทุกข์ฉันใด สัตวอื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น จึงไม่ควรสร้างความสุข ให้ตนเองด้วยการก่อความทุกข์ให้แก่คนอื่น

    คติธรรมดาที่ไม่มีใครเกิดมาในโลกนี้ จะหนีไปให้พ้นได้ ก็คือ ความแก่ ความตาย แต่คนโดยมากพากันประมาทเหมือนอย่างว่าไม่แก่ ไม่ตาย น่าที่จะรีบทำความดี แตก็ไม่ทำ กลับไปทำความชั่ว ก่อความเดือดร้อนให้แก่กันและกัน ต่างต้องเผชิญทุกข์เพราะกรรมที่ ต่างก่อให้แก่กันอีกด้วยฉะนั้น ก็น่าจะนึกถึงความแก่ ความตายกันบ้าง เพื่อจะได้ลดความมัวเมา และทำความดี

    การฆ่าตัวตาย เป็นการแสดงความอับจนพ่ายแพ้หมดหนทาง แก้ไข หมดทางออกอย่างอื่น สิ้นหนทางแล้ว เมื่อฆ่าตัวก็เป็นการทำลาย ตัว เมื่อทำลายตัวก็เป็นการทำลายประโยชน์ทุกอย่างที่พึงได้ในชีวิต ในบางกลุ่ม บางหมู่เห็นว่าการฆาตัวตายในบางกรณีเป็นเกียรติสูง แต่ทางพระพุทธศาสนาแสดงว่าเป็นโมฆกรรม คือกรรมที่เปล่าประโยชน์ เรียกผู้ทำว่า คนเปล่า เท่ากับว่าตายเปล่าๆ ควรจะอยู่ทำอะไรให้เกิด ประโยชน์ต่อไปได้ ก็หมดโอกาส

    การแก้ปัญหาของคนเรา ถ้าไม่ ป้องกันไว้ก่อนแก้ไม่ทัน ก็แก้ปัญหายังเล็กน้อยจะง่ายกว่า เหมือนอย่างดับไฟกองเล็กง่ายกว่าดับไฟกองโต ถ้าเป็นผู้ที่สนใจธรรมะบ้าง ก็จะหาหนทาง ปฏิบัติได้ ถูกต้อง ดังที่พระพุทธเจ้ายกขึ้นแสดงว่า ธรรมะ พันเกี่ยวข้องกับตัวเราเองทุกๆ คนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ชายหรือ ผู้หญิง ถ้าตั้งใจมั่นในการประพฤติธรรมให้พอเหมาะแก่ภาวะ ของตนเอง ก็จะทำตนให้พ้นจากความทุกข์ภัยพิบัติได้ ถ้าไม่ปฏิบัติ ก็อาจจะเผลอพลั้งพลาด และถ้าไม่รู้วิธีแก้ปัญหาด้วยธรรมะก็อาจ จะทำให้หลุดพ้นจากบ่วงปัญหาได้ยาก ฉะนั้น ถ้าสนใจพระธรรมบ้าง ก็จะมีเครื่องป้องกันแก้ไขให้พ้นจากความทุกข์ ดังคำกล่าวที่ว่า พระธรรมคุ้มครอง
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    ญาณสังวรบูชา


    น้อมกล่าวกลอน บูชา พระประวัติ
    สังฆรัตน์ ประมุข คณะสงฆ์
    บิดาน้อย กินน้อย มารดาองค์
    ประสูติลง บ้านเหนือ กาญจน์บุรี
    เทวสัง- ฆาราม ธรรมอุบัติ
    คชวัชร นามเจริญ สง่าศรี
    อุปัชฌาย์ ชื่อว่า หลวงพ่อดี
    ท่านจึงมี ความดี นำเนื่องมา
    สืบหน่อเนื้อ องค์เณรใน สรณะ
    ครั้งบวชพระ ยิ่งสำรวม ในสิกขา
    สังฆราชเจ้า หม่อมชื่น พระอุปัชฌาย์
    ได้ฉายา สุวัฑฒโน โพธิ์อัมพร
    ท่านทรงรัก ศีลธรรม พระเณรดี
    เรียนบาลี นักธรรม ทรงสั่งสอน
    เทศนา โปรดหมู่ ชนนิกร
    วัดบวร ปลูกศรัทธา พาบำเพ็ญ

    นานาชาว อารยะ ต่างยกย่อง
    ล้วนแซ่ซ้อง พระนาม ประจักษ์เห็น
    สมเด็จพระ ญาณสังวร ไทยร่มเย็น
    พระจึงเป็น ครูคู่บุญ องค์ภูมิพล
    กราบปณต แทบเท้า ฝ่าพระบาท
    ไทยทั้งชาติ เกื้อหนุน บุญกุศล
    ร่วมจัดงาน บูชา มหามงคล
    ประเสริฐล้น ดิถียาม สามตุลา
    คุณธรรม ความดี ร้อยปีเกื้อ
    มากล้นเหลือ ยิ่งยืน พระชันษา
    เจริญรอยตาม พระบาท องค์ศาสดา
    เทพบูชา อภิบาล ท่านสุขเอย
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    อันคนที่ทำงาน ที่เป็นคุณให้เกิดประโยชน์ย่อมจะต้องประสบถ้อยคำถากถาง หรือการขัดขวางน้อยหรือมาก ผู้มีใจอ่อนแอ ก็จะเกิดความย่อท้อ ไม่อยากที่จะทำดีตอไป แต่ผู้มีกำลังใจยอมไม่ ท้อถอย ยิ่งถูกค่อนแคะก็ยิ่งจะเกิดกำลังใจมากขึ้น คำค่อนแคะกลายเป็น พาหนะที่มีเดชะแห่งการทำความดี แม้พระพุทธเจ้าก็ยังถูกคนที่ริษยา มุ่งร้ายจ้างคนให้ตามด่าว่าในบางครั้ง

    การที่จะให้ใครช่วยเหลือทำอะไร ต้องเลือกคนที่มีปัญญา ที่รู้จักผิดถูก ควรไม่ควร มิใช่ว่าถ้าเขามุ่งดีปรารถนาดีแล้ว เป็นมอบการงานให้ทำเรื่อยไป เพราะถ้าเป็นคนขาดปัญญา แม้จะทำ ด้วยความตั้งใจช่วยจริง แต่ก็อาจจะทำการที่เป็นโทษอย่างอุกฤษฏ์ ก็ได้

    คนเรานั้น นอกจากจะมีปัญญาแล้ว ยังต้องมีความคิดอีกด้วย จึงจะเอาตัวรอดได้จากอันตรายต่างๆ ในโลก วิสัยของบัณฑิตคือคนที่ฉลาดนั้น ยอมไม่ยอมแพ้หรืออับจนต่อเหตุการณ์ทั้งหลายที่รัดรึงเขามา ย่อมใช้ความคิด คลี่คลายเอาตัวรอดปลอดภัยให้จงได้ และเป็นธรรมดาอยูที่คนฉลาดกว่าย่อม เอาชนะคนที่ฉลาดน้อยกว่าได้

    คนโง่นั้น เมื่อยังยอมอาศัยปัญญาของคนฉลาดอยู่ ก็ยังพอรักษาตนอยู่ได้ แต่เมื่อโง่เกิดอวดฉลาดขึ้นมาเมื่อใด ก็เกิดวิบัติเมื่อนั้น และเมื่อถึงคราวคับขันซึ่งจะต้องแสดงวิชาเอง คนโง่ก็จะต้องแสดงโง่ออกมาจนได้ ฉะนั้น ถึงอย่างไรก็ สู้หาวิชาใส่ตนให้เป็นคนฉลาดขึ้นเองไม่ได้ ทั้งคนดีมีวิชา ถึงจะมีรูปร่างไม่ดี ก็จะต้องได้ดีในที่สุด

    คนที่อ่อนแอ ยอมแพ้อุปสรรคง่ายๆ ส่วนคนที่ เข้มแข็งย่อมไม่ยอมแพ้ เมื่อพบอุปสรรคก็แก้ไขไป รักษาการ งานหรือสิ่งมุ่งจะทำไว้ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น ถืออุปสรรคเหมือน อย่างสัญญาณไฟแดงที่จะต้องพบเป็นระยะ ถ้ากลัวจะต้อง พบสัญญาณไฟแดงตามถนนซึ่งจะต้องหยุดรถ ก็จะไปข้าง ไหนไม่ได้ แม้การดำเนินชีวิตก็ฉันนั้น ถ้ากลัวจะต้องพบ อุปสรรค ก็ทำอะไรไม่ได้

    ธรรมดาผู้เป็นปุถุชน ความปรารถนาต้องการย่อมบังเกิดขึ้นได้เสมอ วิธีปฏิบัติที่ถูกต้องก็คือ เมื่อความ
    ปรารถนาต้องการเกิดขึ้นเมื่อใด ให้ทำสติพิจารณาใจตนเอง อย่างผู้มีปัญญา อย่าคิดเอาเองว่าใจเป็นอย่างไร จะต้องพบ ความจริงแน่นอนว่า ใจเป็นทุกข์ ใจเราร้อน ด้วยอำนาจความ ปรารถนาต้องการที่เกิดขึ้นนั้น ใจจะไม่สงบเย็นด้วยอำนาจ ความปรารถนาต้องการที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด


    วิธีดับความปรารถนาต้องการ ก็คือ หัดเป็นผูให้บ่อยๆ ให้เสมอๆ การให้กับการ ดับความปรารถนาต้องการ จะเกิดขึ้นพร้อมกันเสมอ ถ้าการให้นั้นเป็นการให้เพื่อลดกิเลสคือความโลภในใจตน มิได้เป็นการให้เพื่อหวังผลตอบแทนที่ยิ่งกว่า


    มีคนไม่ใช่น้อยที่เรียนรู้มากมาย อะไรดีอะไรชั่ว รู้ทั้งนั้น แต่ไม่ทำดี หรือทำก็ทำสิ่งไม่ดี เรียกว่า ใช้ความรู้นั้นช่วยตนเองไม่ได้ ก็เพราะขาดความ เคารพในธรรมที่รู้ คือไม่ปฏิบัติให้สมควรแก่ความรู้ นั่นเอง

    พระพุทธศาสนา สอนให้คนเข้าใจในกรรมนั้น ไม่ได้สอน ให้คนกลัวกรรม เป็นทาสของกรรมหรืออยู่ใต้อำนาจกรรม แต่สอนให้รู้จัก กรรม ให้ควบคุมกรรมของตนในปัจจุบัน กรรมคือการอะไรทุกอย่างที่คนทำ อยู่ทุกวันทุกเวลา ประกอบด้วยเจตนา คือ ความจงใจ

    ทุกคนในโลกต่างต้องถอยทีต้องพึ่งอาศัยกันในทางใดทางหนึ่งทั้งนั้น จึงควรปฏิบัติตนในทางที่จะชื่อว่ารักษา ไว้ทั้งตนทั้งผู้อื่น คือด้วยวิธีที่แต่ละคนตั้งใจปฏิบัติกรณียะคือกิจของตน ควรทำหน้าที่เป็นต้นให้ดี และด้วยความมีน้ำใจที่อดทนไม่คิดเบียดเบียนใคร มีจิตเมตตา มีเอ็นดูอนุเคราะห์ เมื่อตั้งใจปฏิบัติกรณียะ กอปรด้วยมีน้ำใจ ดังกล่าว ก็ชื่อว่ารักษาทั้งตนทั้งผู้อื่น เป็นผู้รักษาไว้ได้ทั้งหมด

    หน้าที่ของคนเรา ที่จะพึงปฏิบัติต่อชีวิตร่างกาย คือ บริหารรักษาให้ ปราศจากโรค ให้มีสมรรถภาพและรีบประกอบ ประโยชน์ให้เป็นชีวิตดี ชีวิตที่อุดม ไม่ให้เป็นชีวิตชั่ว ชีวิตเปล่าประโยชน์ (โมฆชีวิต)และในขณะเดียวกัน ก็ให้กำหนดรู้คติธรรมดาของชีวิต เพื่อความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสห้ามมิให้ทำลายชีวิตร่างกาย ถ้าจะเกิดความอยาก ความโกรธ ความเกลียด ในอันที่จะทำลายชีวิต ร่างกาย ก็ให้ทำลายความอยาก ความโกรธ ความเกลียดนั้นเสีย

    คนที่มีบุญนั้น บุญย่อมคอยจ้องที่จะเข้าช่วยอยู่แล้ว เพียงแต่เปิดโอกาสให้เขาช่วย คือเปิดใจรับนั่นเอง การเปิดใจรับก็คือเปิดอารมณ์ที่หุ้มห่อออกเสียแม้ชั่วขณะหนึ่ง ด้วยสติที่กำหนดทำใจ ตามวิธีของพระพุทธเจ้า เมื่อบุญได้โอกาสพรั่งพรูเข้ามาถึงใจ หรือโผล่ ขึ้นมาได้แล้ว จิตใจจะกลับมีความสุขอย่างยิ่ง อารมณ์ทั้งหลายที่เคยเห็น ว่าดีหรือร้าย ก็จะกลับเป็นเรื่องธรรมดาโลก

    คนที่ทำดีไม่น้อย เป็นทุกข์เพราะการทำดีของตน ที่ไม่กล้าที่จะทำดีก็มี แต่คนทำดีที่ยังเป็นทุกข์ดังกล่าว ก็เพราะ ยังทำไม่ถึงความดีแห่งจิตใจของตนเอง จิตใจจึงยังมีความยินดียินร้ายไปตาม อารมณ์ที่มากระทบจากคนทั้งหลาย หากได้เล็งเห็นว่าเรื่องของคนทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องของโลก ถ้าตนเองมีจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะเรื่องของคนอื่น การปฏิบัติทำจิตใจของตนให้มั่นคงดังนี้ เป็นการสร้างความดีให้แก่จิตใจ เป็นตัวความดีที่เป็นแก่นแท้ของความดีทั้งหลาย ซึ่งจะป้องกันความทุกข์กระทบกระเทือนใจได้ทุกอย่าง

    ความดีนั้น เกิดจากกรรม [/SIZE](การงาน) ที่ดี ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ ความว่า คนเป็นคนดีเพราะกรรม เป็นคนถ่อยก็เพราะกรรม ฉะนั้น เมื่อละเลิกกรรมที่ชั่วผิด ทำกรรมที่ดีที่ชอบ ก็ได้เป็นคนดีแล้ว แต่คนที่ทำกรรมชั่วผิด แม้จะได้รับบัญญัติ (แต่งตั้ง) ว่าดีอย่างไร ก็หาชื่อว่าเป็นคนดีไม่ ผู้ที่รู้และค้านเป็นคนแรกก็คือตนนั่นเอง เว้นไว้แต่จะมีตาใจบอด ไปเสียแล้ว ด้วยความหลงตนไปอย่างยิ่งนั้นแหละ จึงจะไม่รู้

    อันความดีนั้นย่อมเป็นอาภรณ์ เป็นอิสริยยศ (ยศคือความเป็นใหญ่) ของคนดี เพราะคนดีย่อมเห็นความดีนี้แหละเป็นยศอันยิ่งใหญ่ และย่อมพอใจประดับความดีเป็นอาภรณ์ จึงกล่าวได้ว่าความดีนั้นเป็นอิสริยาภรณ์ของคนดี
     
  12. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    เมืองกาญจน์ถิ่นประสูติ
    ทรงเป็นบุตรอภิชาติ
    บุญพระบารมีญาณ
    มงคลขานนาม เจริญ
    บรรพชาเป็นสามเณร
    เทศน์อริยทรัพย์ชนสรรเสริญ
    ใฝ่เพียรเรียนธรรมเพลิน
    ไม่เก้อเขินครูอาจารย์
    วัดเหนือสู่บวร
    จึงนำกลอนมาเล่าขาน
    ประโยคเก้าทรงชำนาญ
    ธรรมอาจหาญฌานสมบูรณ์
    ทรงเจริญด้วยพระยศ
    งานปรากฏบุญเกื้อหนุน
    ปกครองสงฆ์องค์อดุลย์
    กรรมฐานหนุนทางภาวนา
    เป็นสังฆปาโมกข์
    รู้แจ้งโลกไตรสิกขา
    สำรวมธรรมทรงนำมา
    เทศนาอบรมใจ
    พระนามญาณสังวร
    ดับทุกข์ร้อนสิ้นหวั่นไหว
    พรหมวิหารเต็มพระทัย
    ประทานพรให้เจริญยิ่งเทอญ​
     
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    อันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต มีอยู่เป็นอันมากที่บังเกิดขึ้นโดยไม่รู้ไม่คิดมาก่อน แต่เมื่อเป็นเหตุการณ์ที่จะต้องเกิดก็เกิดขึ้นจนได้ ถ้า หากใครมองดูเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้นอย่างของเล่นๆ ไม่จริงจังก็ไม่เกิดทุกข์เดือดร้อน หรือจะเกิดบ้างก็เกิด อย่างเล่นๆ ถ้าจะหนีเหตุการณ์เสียบ้าง ก็เหมือนอย่างหนี ไปเที่ยวเล่น หรือไปพักผ่อนเสียครั้งคราวหนึ่ง

    พื้นแผ่นดิน แม่น้ำ ภูเขา ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ คนเรามีปัญญาถมทำให้เป็นถนน ขุดให้เป็น
    แม่น้ำลำคลอง ทำสะพานขามแม่น้ำใหญ่ สร้างทำนบ กั้นน้ำ ขุดอุโมงค์ทะเลภูเขา เรียกว่าใช้กรรมปัจจุบันปรับปรุงธรรมชาติฉันใด ความขรุขระของชีวิตเพราะกรรมเก่าก็ฉันนั้น เหมือนความขรุขระของแผ่นดินตามธรรมชาติ คนเราสามารถประกอบกรรมปัจจุบันปรับปรุง สกัดกั้นกรรมเก่าเหมือนอย่าง สร้างทำนบกั้นน้ำเป็นต้น เพราะคนเรามีปัญญา


    ทุกคนต้องการความสุข ความสบายใจด้วยกัน ทั้งนั้น แต่ทุกคนก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่ต้องการ เพราะใจยังมีความ ปรารถนาต้องการหรือความโลภนี้แหละอยู่เป็นอันมาก โดยที่ไม่ พยายามทำให้ลดน้อยลง เห็นจะด้วยมิได้คิดให้ประจักษ์ในความ จริงว่า ความโลภคือเหตุใหญ่ประการหนึ่ง ซึ่งนำให้ทุกข์ ให้เดือด ร้อน ให้ไม่มีความสุข ความสบายใจกันอยู่อย่างมากทั่วไปในทุก วันนี้ แม้ทำสติพิจารณาให้ดีจะเห็นได้ไม่ยากนัก

    การเพ่งดูผู้อื่นทำให้ตนเองไม่เป็นสุข แต่การเพ่งดูใจตนเองทำให้เป็นสุขได้ แม้กำลังโกรธมาก หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นว่ากำลังโกรธมาก ความโกรธก็จะลดลง เมื่อความ โกรธน้อย หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นว่ากำลังโกรธน้อย ความโกรธ ก็จะหมดไป จึงกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะมีอารมณ์ใดก็ตาม โลภหรือ โกรธหรือหลงก็ตาม หากเพ่งดูใจตนเองให้เห็นอารมณ์นั้นแล้ว อารมณ์นั้นจะหมดไป ได้ความสุขแทนที่ทำให้มีใจสบาย

    ความดิ้นรนเพื่อให้ได้ส ม ดั ง ค ว า ม ป ร า ร ถ น าต้องการ มิใช่ความสุข มิใช่ความ สงบ แต่เป็นความทุกข์เป็นความร้อน เป็นความวุ่นวาย มีคนเป็นจำนวน ไม่น้อยที่ทั้งชีวิตไม่ได้พบความสุข ความสงบเลย เพราะมัวปลอยใจให้ เป็นทาสของความโลภ ไม่รู้จักทำสติ พิจารณาให้เห็นโทษของความโลภ แล้วพยายามละเสีย ดับเสีย

    ทุกข์ แปลว่า สิ่งที่ดำรงคงอยู่ได้ยาก แต่มีความหมายเป็นปฏิเสธว่า ดำรงทนอยู่ไม่ได้ทีเดียว คือต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพราะทุกอย่างในโลก ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดกาล สิ่งที่เคยมี เคยเป็น ต้อง แปรเปลี่ยนไป เมื่อจิตใจรับไม่ได้กับความเปลี่ยนแปลงที่มีถึง จึงทำให้เกิดความ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ก็เลยกลายเป็นความทุกข์ ตามความหมายสามัญคำว่าทุกข์ ตามความหมายสามัญ หมายถึงความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ตรงข้ามกับความสุข ฉะนั้นเมื่อพูดถึงความทุกข์จึงมักเข้าใจกันตามหลักสามัญดังกล่าว

    ในภาษาไทย เมื่อพูดว่าทุกข์ก็หมายกันว่าคือความไม่สบายใจ แต่ในทางพุทธศาสนา ยังหมายถึงความคงทน ที่อยู่คงที่ไม่ได้ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปด้วย ในโลกนี้มีอะไรเล่าที่ตั้งคงที่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ดวงอาทิตย์และดวงดาวทั้งหลาย ตลอดจนโลก ก็ไม่หยุดคงที่ ปี เดือน วัน คืน ก็ไม่หยุดคงที่ ชีวิตก็ไม่หยุดคงที่ ทุกๆ คนเกิดมาแล้วก็เติบโตขึ้นเรื่อย เป็นเด็ก เล็ก เด็กใหญ่ เป็นหนุ่ม เป็นสาว โดยลำดับ และก็ไม่หยุดเพียงเท่านี้ ยังเปลี่ยนแปลงต่อไปเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต

    เรื่องที่เป็นความไม่ สบายกาย ไม่สบายใจทั้งหมด จับเข้าหลัก ๑ คือทุกข์ เรื่องที่เป็น ความไม่ดีทั้งหมด จับเข้าหลัก ๒ คือสมุทัย เรื่องที่เป็นความสุขสงบ เย็นทั้งหมด จับเข้าหลักที่ ๓ คือ นิโรธ เรื่องที่เป็น ความดีทั้งหมดจับ เข้าหลัก ๔ คือมรรค เมื่อคิดตั้งหลัก ใหญ่ไว้ดังนี้ จะทำอะไรก็คิด ตรวจ ดูให้ดีว่า นี่เป็นสมุทัยก่อทุกข์ หรือ เป็นมรรคทางสุขสงบ หัดคิดหัด หาเหตุผลดังนี้อยู่เสมอ เป็นการหัด ให้เกิดความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบ ก็เชื่อว่าพบทางที่ถูก เข้าทางที่ถูก ซึ่งใช้ได้กับทุกเรื่อง

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนให้เกิดสติขึ้นว่า ความทุกข์นี้มีเพราะความรัก มีรักมากก็เป็นทุกข์มาก มีรัก น้อยก็เป็นทุกข์น้อย จนถึงไม่มีรักเลย จึงไม่ต้องเป็นทุกข์เลย แต่ตาม วิสัยโลกจะต้องมีความรัก มีบุคคล และสิ่งที่รัก ในเรื่องนี้ พระพุทธเจ้า ได้ตรัสสอนให้มีสติควบคุมใจมิให้ความรักมีอำนาจเหนือสติ แต่ให้สติ มีอำนาจควบคุมความรัก ให้ดำเนินในทางที่ถูกและให้มีความรู้เท่าทัน ว่าจะต้องพลัดพรากรักสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน เมื่อถึงคราวเช่นนั้น จักได้ระงับใจลงได้

    อันความรักหรือที่รัก เมื่อผู้ใดมีร้อยหนึ่ง ผู้นั้นก็มีทุกข์ร้อยหนึ่ง รักเก้าสิบ แปดสิบ เจ็ดสิบ หกสิบ ห้าสิบ เป็นต้น จำนวนทุกข์ก็มีเท่านั้น ถึงแม้มีรักเพียงอย่างหนึ่ง ก็มีทุกข์อย่างหนึ่ง ต่อเมื่อไม่มีรัก จึงจะไม่มีทุกข์ ผู้หมดรักหมดทุกข์นั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า “เป็นผู้ไม่มีโศก ไม่มีธุลีใจ ไม่มีคับแค้น”

    ทางออกจากทุกข์นั้นคือ ต้องรับรู้ความจริงต้องป้องกันมิให้ถลำลึก ลงไปในทางแห่งทุกข์ คือควบคุมตัณหา มิยอมให้ฉุดชักใจไปได้ และถ้าถลำใจลงไป แล้วต้องพยายามถอนใจขึ้นให้จงได้ด้วย ปัญญา เพราะเมื่อทุกข์เกิดขึ้นที่จิตใจ ก็ต้อง ดับจากจิตใจ และจิตใจของทุกคนอาจ สมมติกล่าวได้ว่าเป็นธรรมชาติกายสิทธิ์ ไม่มีอะไรจะมาทำลายได้ นอกจากจะยอม จนใจของตัวเองเท่านั้น ถ้าทำใจให้เข้มแข็ง ก็จะเกิดพลังใจขึ้นจนสามารถต่อสู้ต่างๆ ขจัดขับไล่ตัณหาออกไปเสียก่อน ความทุกข์ ต่างๆ ก็จะออกไปพร้อมกัน

    ชีวิตในชาติหนึ่งๆ กับทั้งสุขทุกข์ต่างๆ เกิดขึ้นเพราะกรรมที่แต่ละ ตัวตนทำไว้ ฉะนั้น ตนเองจึงเป็นผู้สร้างชาติคือความเกิดและความสุขทุกข์ ของตนแก่ตนหรือผู้สร้างก็คือตนเอง แต่มิได้ไปสร้างใครอื่น เพราะใครอื่นนั้นๆ ต่างก็เป็นผู้สร้างตนเองด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่มีใครเป็นผู้สร้างให้ใคร และเมื่อผู้สร้าง คือตนสร้างให้เกิดก็เป็นผู้สร้างให้ตายด้วย ทำไมผู้สร้างคือตนเองจึงสร้างชีวิตที่ เป็นทุกข์เช่นนี้เล่า ปัญหานี้ตอบว่า สร้างขึ้นเพราะความโง่ ไม่ฉลาด คือไม่รู้ว่าการสร้าง นี้ก็คือสร้างทุกข์ขึ้น ถ้าเป็นผู้รู้ฉลาดเต็มที่ก็จะไม่สร้างสิ่งที่เกิดมาต้องตาย

    การที่จะดูว่าอะไรดีหรือไม่ดี ต้องดูให้ยืดยาวออกไปถึงปลายทาง มิใช่ดูเพียงครึ่งๆ กลางๆ และไม่มัวพะวงติดอยู่กับสุข ทุกข์ หรือความสนุก ไม่สนุกในระยะสั้นๆ เพราะจะทำให้ก้าวหน้าไปถึงเบื้องปลายไม่สำเร็จ คนเราซึ่ง เดินทางไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ต้องหล่นเรี่ยเสียหายอยู่ในระหว่างทางเป็น อันมากเพราะเหตุต่างๆ ดังเช่นที่เรียกว่า ชิงสุกก่อนห่ามบ้าง ถืออิสระเสรีบ้าง ฉะนั้นการหัดเป็นคนดีมีเหตุผลที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกๆ คน และ จะเป็นคนมีเหตุผลก็เพราะสัมมาทิฏฐิ คือมีความเห็นถูกต้อง
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    [​IMG]

    โคลงนำกลอน สังฆบิดร สดุดี
    บารมีพระยิ่งล้น คุณธรรม
    สงฆ์หมู่ทรงชี้นำ ใส่เกล้า
    เทศน์สอนสั่งถ้อยคำ นำจิต สุขเอย
    องค์พระผู้เจริญพร้อม แจ้งธัมม์ สยามสมัย
    ทรงกอรปกิจ ประกาศธรรม อันไพรเราะ
    ได้พอเหมาะ สรรสร้าง ห่างสงสัย
    ปริยัติ ปฏิบัติ ขัดจิตใจ
    รู้วินัย เคร่งครัด ปัดกังวล
    สงเคราะห์พระ ธรรมทูต ในต่างแดน
    ให้แนบแน่น พุทธศาสน์ ได้เป็นผล
    โกลกว้างใหญ่ ธรรมนำไป สู่สากล
    สรัสล้น เจริญล้ำ ทางสัมมา
    พระนิพนธ์ ล้วนเลิศ ประเสริฐยิ่ง
    แจ้งความจริง ประจักษ์จิต ปลิดกังขา
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    องค์สมเด็จ พระสัมมา ตรัสไว้ดี
    สมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทรงเคารพ
    ชนน้อมนบ บูชาท่าน ให้สุขขี
    เจริญสุข สุวัฑฒนะ องค์ฉัตรตรี
    สดุดี เทิดพระคุณ หนุน กล่าวเชิญ
    อมฤต โชคอำนวย อวยพรสุข
    ให้ดับทุกข์ สุขนินทา สรรเสริญ
    อาศัยโลก โศกไม่ติด จิตเพลิดเพลิน
    สู่ทางเดิน มรรคาลัย พ้นภัยเทอญ


    [​IMG]
     
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    กราบอนุโมทนาบุญค่ะพี่ระมิงค์
    รออ่านต่อนะคะพี่
     
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    คิดไม่ออก...​


    ....คนที่ไม่เคยเจอเรื่องวิกฤตในชีวิตมาก่อน ย่อมนึกไม่ออกว่า เวลาเกิดวิกฤตแล้วมันสิ้นคิด อับจน สิ้นหนทางเพียงใด...มันคิดอะไรไม่ออก มันมืดไป 16 ด้าน คิดบวกอย่างไรก็คิดไม่ออก...เมื่อคิดไม่ออกจริงๆแล้ว เวลานั้นควรทำอะไรดี....

    สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำในเวลานั้นคือ คิดต่อไป... ธรรมชาติของทุกปัญหา จะมีวิธีแก้ปัญหาซ่อนอยู่ เพียงแต่เรายังคิดไม่ออก ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุด เมื่อยังคิดไม่ออก จึงเป็นการ คิดต่อไป... เพราะถ้าคิดไม่ออก ก็ยังคงดำเนินการอะไรต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องคิดให้ออกเสียก่อน....

    ธรรมดาของโลกเราแล้ว ล้วนแต่เป็นธรรมคู่ทั้งสิ้น สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นคู่กัน... คนที่ไม่เอาไหนในเรื่องหนึ่ง ก็ไปได้ดีในอีกเรื่องหนึ่ง คนที่ถนัดอย่างหนึ่ง ก็ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ถนัด...ดังนั้น การจะไปตัดท้อต่อว่าตัวเองนั้น ไม่ควรเลย ผมยกตัวอย่างเช่น คนที่เรียนเก่งทางด้านวิทย์-คณิต มักจะมีปัญหาเรื่องการจิตนาการ เรื่องของความรู้สึก อารมณ์ ความชอบ-ไม่ชอบ ซึ่งแตกต่างจากพวกที่เรียนศิลป์ เพราะพวกนี้คำนวณไม่ชอบเลย ถ้าต้องให้เรียนก็ท่องสูตรได้ แทนค่าสูตรในโจทย์แล้วตอบไป อย่ามาถามเรื่องวิเคราะห์สมกงสมการ ฉันไม่เอา แต่ว่าพวกนี้จะมองเรื่องความสวย ความงาม ความต้องการของคนที่ชอบใจอะไรต่างๆ มีมิติมุมมองที่ซับซ้อนได้....

    ความสำเร็จของคนจึงเกิดจากการรู้ว่าเราถนัดอะไร เราทำอะไรได้ดี แล้วเลือกทำในสิ่งนั้น สิ่งที่เราถนัด กับสิ่งที่เรารัก อาจไม่เหมือนกัน ซึ่งโดยมากก็ไม่เคยเหมือนกันสักที...
    หาความถนัดของเราให้เจอก่อน แล้วอาศัยความถนัดที่มีไปช่วยเหลือผู้อื่น ...
    นี่เป็นจุดเริ่มต้น ของคนที่ก้าวไปข้างหน้า...คนที่คิดจะก้าวไปข้างหน้า จะไม่ได้มองว่า เราทำไปแล้วได้อะไร...แต่มองว่า เราจะทำประโยชน์อะไรให้ใครได้บ้าง...
    ยิ่งช่วยเหลือคนได้มากเท่าไร ความชำนาญในสิ่งที่ตนถนัดก็ยิ่งมากขึ้น เครดิตก็จะเพิ่มขึ้น...

    จากนั้นความสำเร็จจะมาจากไหน...ก็มาจากคนที่เราได้เคยช่วยไป...ทุกๆ 10 คนที่ช่วยไป...จะมีสัก 1 คนที่เขาเห็นประโยชน์ที่เขาได้รับและยินดีจะช่วยเหลือเมื่อมีโอกาส...
    ในทุกๆ 100 คนที่ช่วยเหลือไป จะมี 10 คนที่เห็นประโยชน์และยินดีจะช่วยเหลือเมื่อมีโอกาส และจะมีสัก 1 คนที่ช่วยเหลือเราได้จริงๆ...

    ธรรมชาติของน้ำ...
    ยิ่งวักเข้า ก็ยิ่งไหลออก...
    ยิ่งผลักออก ก็ยิ่งไหลเข้า...

    เปรียบไปก็เหมือนคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ยิ่งอยากได้ ยิ่งกอบโกยเท่าไร ก็ยิ่งสูญเสียไปทุกที...
    ส่วนคนที่ให้ ซึ่งไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทองก็ได้ สิ่งที่ให้ด้วยคำพูดดีๆ คำแนะนำที่ดี กำลังใจที่ดี แรงกาย แรงใจ ที่ให้ไป ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยกุศลจิต สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอง จะเป็นเหตุให้เป็นผู้มีกัลยาณมิตรเพิ่มมากขึ้น...เมื่อนั้นโอกาสก็จะเพิ่มมากขึ้นเอง สิ่งดีๆก็จะเข้ามาในชีวิต ทางตันที่เคยตัน หรือเมื่อถึงทางตัน กัลยาณมิตรเหล่านี้จะเป็นแสงสว่าง แม้อันน้อยนิด ก็ยังช่วยให้ชีวิต หมุนออกมาจากมุมมืดสนิทนั้นได้ อาจด้วยคำพูดบางคำ คำแนะนำสั้นๆ...

    เชื่อสิว่า การกระทำของเราเอง ที่ได้ช่วยเหลือเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่น ตามความถนัดและชำนาญที่เรามีมา ย่อมส่งผลให้ ยามที่เราตกอับ มืดมิด อับจน สิ้นหนทาง...จะยังมีแสงสว่าง ท่ามกลางความมืด ให้เราผ่านพ้นวิกฤติทั้งหลายออกไปได้...

    เราทุกคนมีความถนัด และความชำนาญ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายๆเรื่องกันอยู่แล้วทุกคน..มันคือสิ่งที่เราเคยใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับมันอย่างยาวนานและเข้าอกเข้าใจ จนบ่อยครั้งที่เรารู้สึกเบื่อมันเสียด้วยซ้ำ...หามันให้เจอ...แล้วนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ต่อคนรอบข้าง ต่อสังคม...แล้ววันหนึ่ง ผลของมันจะย้อนกลับมาหาเรา ตามเหตุตามปัจจัยที่เราสร้างเอาไว้...นี่ก็เรื่องกฎของกรรม ในแง่มุมหนึ่ง...


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • View05.jpg
      ขนาดไฟล์:
      0 bytes
      เปิดดู:
      44
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 พฤศจิกายน 2013
  17. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,621
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ไม่แน่ใจหรืออุปทานเคยได้ยินมาว่า..

    สมเด็จพระสังฆราชเหมือนท่านเคยกึ่งเปรยๆห้ามการแสดงฤทธิ์ของพระอาจารย์ถาวร แห่งวัดปทุมฯไว้เหมือนกัน..

    ท่านมองกาลไกลเช่นองค์พระพุทธเจ้า ด้วยท่านเกรง..ว่า
    แล้วหากพระสงฆ์องค์อื่นที่ท่านแสดงฤทธิ์พิสูจน์ไม่ได้ล่ะ
    พระธรรมคำสอนอื่นๆก็อาจถูกหมิ่นประมาทไปอีกหรือ!
    ..จึงห้ามปรามไว้ในเบื้องต้น ด้วยหวั่นในปัญหาตามมาบางประการในอนาคต

    ดังนั้นเรื่องฤทธา เหตุมหัศจรรย์น่าฉงน จึงรับรู้กันเฉพาะในกลุ่มญาติธรรม
    บางกลุ่ม บางคณะเท่านั้นเอง..
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องฤทธิ์นี้มีมานาน มีมาก่อนพระพุทธศาสนาจะอุบัติขึ้นเสียอีก มีฤาษีเป็นจำนวนมาก สามารถทำได้... เพียงแต่ยังไม่สามารถพ้นทุกข์ได้อย่างถาวร

    พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ตรัสสรรเสริญ ในเรื่องฤทธิ์ มากไปกว่าปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม
    สำหรับผู้บรรลุธรรมแล้วนั้น เรามักจะได้ยินว่า ท่านสำเร็จอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ นั่นคือความเป็นอรหัตผลบังเกิดก่อน ฤทธิ อภิญญา หรือปฏิสัมภิทาญาณ จึงเกิดขึ้นตามมา ทั้งนี้เพราะการมีฤทธิ ก่อนจะมีดวงตาเห็นธรรม ก็เปรียบไปเหมือน เด็กเล็ก ได้ปืนไปไว้ในมือ โอกาสที่จะนำไปทำประโยชน์มีน้อย โอกาสจะเกิดโทษหรือเอาไปใช้ผิดวิธี มีมาก...

    หากจะว่าไปในสมัยนี้นั้น อภิญญา ยิ่งมีความจำเป็นน้อยลงไปอีก แต่ธรรมนั้นยิ่งมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะเหตุใด...

    กสิณไฟ เพ่งเทียนให้ติด(ไฟแช็คก็มี) เพ่งให้อากาศร้อนเป็นอากาศเย็น(เปิดแอร์ก็ได้ Heater ก็ยังมี)
    กสิณแสงสว่าง เพ่งให้สถานที่นั้นสว่างขึ้น (หลอดไฟก็มี LED ก็มาก)
    อื่นๆ ตามที่เคยได้ยินได้ฟังมานั้น
    สามารถเหาะได้(เครื่องบินก็มี) เดินบนผิวน้ำได้ (เรือก็มีแล้ว) มีตาทิพย์ มองเห็นได้ไกล (ตอนนี้เราก็อยู่ห่างกันนะ ยังเห็นกันได้ ด้วยอินเตอร์เนต) หูทิพย์ อยู่ห่างๆกันก็ได้ยินถึงกัน (โทรศัพท์มือถือนี่ไง) รักษาโรคด้วยแพทย์แผนอนาคต หรือแพทย์จักรวาล นอกโลก (แพทย์และโรงพยาบาลทั้งหลายมีหมดแล้ว หากว่าศาสตร์ในอนาคตรักษาได้จริงเสมอ พวกหมอพยาบาล ก็ควรพากันไปเรียนหมดแล้วนะ หรือบรรจุเข้าหลักสูตรไปเลยจะดีกว่า)

    ที่กล่าวๆมานั้น ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ใน ฤทธิ์ อภิญญา ใดๆ เพราะในชีวิตตัวเองก็เคยบ้ามาก่อน ความจริงแล้วบ้า อยากเก่ง อยากดี อยากดัง แต่อ้างว่าอยากจะช่วยสงเคราะห์คน สงเคราะห์โลก...
    เวลานี้มานึกถึงความคิดตัวเองสมัยยังเป็นวัยรุ่นแล้วอยากจะอาเจียร...
    สงเคราะห์ตัวเองให้พ้นทุกข์ พ้นโลกธรรม ยังไม่ได้ จะไปสร้างฤทธิ์เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้าน สงเคราะห์โลก...
    มันน่าทุเรศตัวเองเสียเหลือเกิน มันเหมือนพวกลวงโลก ลวงตัวเอง แล้วเอาคัมภีร์ปะหน้าไว้ ให้ใครเห็นแล้วคิดว่าเป็นคนดี คนเก่ง...

    กว่าจะเห็นตรงนี้ได้อายุก็ปาเข้าไป 21 ปีเสียแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะตายแล้ว ว่าแต่ถ้าไม่บ้ามาก่อน ไม่โง่มาก่อน ถึงมาเจอหลวงพ่อพระธุดงค์เข้า ท่านสอนให้ฝึกให้ก็คงไม่รู้ประสีประสาอยู่ดี...

    ที่ว่าปัจจุบันนี้ธรรมะมีความจำเป็นยิ่งกว่า ด้วยเพราะวิทยาการที่ซับซ้อน สังคมที่ซับซ้อน การสื่อสารที่รวดเร็ว เทคโนโลยีที่ไหลมาอย่างเชี่ยวกราก ได้พัดพามนุษย์ชาติให้หลงทาง ไหลไปตามสิ่งเร้าทั้งหลายที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย จนให้ร้องไห้ไป หัวเราะไป ดิ้นรนไขว่คว้าไป จนล้นโลก จนหลุดโลกกันไปเสีย...

    สติ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องฝึกไว้ อย่างยิ่ง คนเสียสติ คนไม่มีสติ เราเรียกว่า คนบ้า...
    ดังนั้นไม่อยากบ้าไปตามโลกาภิวัฒน์ จึงต้องฝึกสติ จะมีสติได้ต้องฝึก ไม่ใช่อ่าน...

    มรณานุสติ ก็ดี ช่วยป้องกัน ตัณหา ความทะยานอยากได้ดี กันความโกรธก็ได้ กันความโลภก็ได้ กันความหลงก็ได้
    พุทธานุสติ ก็ดี ช่วยป้องกัน ความคิดชั่วทั้งหลายได้ ป้องกันความโศกเศร้า เสียใจ พิราบพิไรรำพันได้
    กายคตานุสติ ก็ดี เมื่อทำให้มากแล้ว ย่อมเกิดเป็นสัมปชัญญะ แล้วช่วยให้การงานไม่บกพร่อง ช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยคนรอบข้างได้ เป็นที่รักแก่คนทั้งหลาย ทั้งลูกน้อง ลูกค้า เจ้านาย ย่อมรัก อยู่ที่ไหนก็มีประโยชน์ต่อที่นั่น มีคุณค่าต่อหน่วยงานและองค์กรนั้นๆ

    สตินี้ จึงเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก ไม่เกี่ยงว่าเป็นจริตใดก็สามารถสร้างให้เกิด ให้มีได้ เมื่อมีมากๆแล้ว เป็นแต่คุณ ไม่เป็นโทษ เอามาใช้ได้ทั้งทางโลก ทางธรรม ไม่เป็นเหตุให้ท้อ แต่เป็นเครื่องทำลายความท้อ ไม่ต้องอาศัยบุญเก่า
    เจ้ากรรมนายเวรคิดจะขัดขวางผู้มีสติ ไม่ให้เจริญสติ ก็ยังไม่สามารถทำได้
    แม้พรหม เทวดา ก็ขัดขวางไม่ได้ เมื่อมีสติแล้ว สมาธิก็จะเจริญควบคู่กันไป

    เมื่อเหมาะแก่กาลเวลาแล้ว ปาฏิหาริย์ย่อมเกิด...
    ปาฏิหาริย์ที่ว่านี้ คือ "การอยู่กับทุกข์ แต่ก็ไม่ทุกข์ด้วย"
    นี่จึงเป็นสิ่งที่ ปัญญา จากการปฏิบัติธรรม สำคัญ กว่าฤทธิ์ อภิญญา...

    ว่าแต่ การมีฤทธิ์ อภิญญา มีติดตัวไว้ ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เป็นสิ่งดี เอาไว้ปราบผู้มากด้วยมิจฉาฑิฐิได้ ในบางครั้งบางโอกาส ผู้ที่ทำได้แล้ว ก็ไม่ได้แนะนำให้ทิ้งเสียเลย อย่างนั้นมันก็โง่ไปหน่อย เหมือนคนดีแล้ว เก่งแล้ว มีปืนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ก็อย่าไปโง่ถึงกับขว้างปืนทิ้ง มีเอามาขัดมาล้างทำความสะอาดบ้าง เพราะมันก็บอกไม่ได้ว่า สักครั้งนึง มันอาจต้องได้ใช้ ถึงเวลานั้น ก็จะได้งัดออกมาใช้ได้ทันที...

    เสือ มันเก็บเขี้ยวเก็บเล็บ เดินไปไหน ใครก็ยังกลัวเกรง...
    เม่น แม้จะแผ่ขนหนามออกไปนอกตัว เดินผ่านใครไป ก็ไม่ค่อยมีใครกลัวเกรง...

    นี่ก็เป็นอีกมุมมองหนึ่งของก้อนหิน ก็เท่านั้นเอง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2013
  19. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    พิมพ์เยอะเลย แต่ลบออกแล้วค่ะ เอาใหม่ดีกว่า

    โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย อันนี้เข้ามาขอความกรุณาจากอีกด้านของก้อนหิน
    ออกมามายุ่งข้างนอกเป็นเวลาเกือบปีแล้ว ดิฉันรู้ตัวว่ามันชักจะไปกันใหญ่ และมองเห็นแล้วว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงบอกให้สันโดษ
    ที่ๆบอกกันว่า จะหนีไปไหนล่ะ ดูที่ใจตัวเองสิ อยู่ไหนก็เหมือนกันหมด มันก็ใช่ค่ะ แต่ไม่ใช่พวกจิตอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างดิฉัน นี่ก็โดนลากไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ก็อยู่บนปากเสือไปแล้ว เสร็จมัน ...

    อยู่อย่างไร ... ดิฉันโดนเพื่อนไล่ให้ไปอยู่วัด เพราะไม่อยากตกกรรมบทสิบ
    แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มออกลายแล้ว ไม่ไหวล่ะ สู้ไม่ได้ ยังเป็นสมาธิทับหญ้าอยู่ ไม่ก้าวหน้าเลย จะลาหรือ สิ่งที่คิดไว้ยังสร้างไปไม่ถึงไหนเลย ทำไงดีล่ะ คงต้องเป็นไปอีกสักปีสองปี
    ปากหรือหน้าตอบรับ แต่ใจไม่ยอมรับต้องผิดศีลหรือเปล่าคะ

    ทำไมมันอยู่ยากไปทุกวันๆ เรียนมามาก สนามจริง บททดสอบสูงมาก
    เอ...ดิฉันบ้าไปจริงๆแล้วเนี่ย เฮ้อ...
     
  20. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ ดิฉันก็ไม่ได้เลิศเลอประเสริฐศรีมาจากไหน แต่มาจากหลุมดำด้วยซ้ำ หลุมทั้ง ๕ หลุม ที่ปถุชนคนธรรมดาควรเลี่ยง ที่บัญญัติโดยธรรม เขาให้เลี่ยง ดิฉันนี่เดินลงไปเลยด้วยความไม่รู้บ้าง เต็มใจบ้าง
    นั่นมันคืออดีต

    เดี๋ยวนี้เพลงไม่ฟัง หนังไม่ดู เป็นปีแล้วค่ะ เพิ่งจะรู้ว่าใบเตยเป็นใครจากปากเพื่อนที่เขาคุยกัน แต่ก็ไม่ไปตามหาดูว่าเป็นยังไง ทุกวันนี้ได้ยินเสียงเพลงและเห็นใครเขายึกๆยักๆมีความสุขไปตามเพลง ดิฉันแทบจะกลายเป็นหอยทาก อยากเอาหน้าลากไปกับดิน หน้ากับหัวมันจะซู่ๆบอกไม่ถูก เพราะมันเห็นภาพตัวเองสมัยหลงโลกที่ไปกรีดร้องเต้นแด่วๆเหมือนโดนน้ำร้อนลวก จบรายการเขาปิดไฟไล่ยังไม่ยอมกลับ ขนาดนั้นเลย ... ทำไปได้ มันน่าละอายยิ่งนัก
    นี้แค่เศษผงทรายในความชั่วทั้งหลายที่ทำไป ก็ไม่ขอเล่าต่อล่ะค่ะ ใจจะหมองไปแล้ว

    เอาเป็นว่า เดี๋ยวนี้ก็เกิดใหม่แล้วจริงๆ แต่ก็ยังเดินไม่ถูกอยู่ดี บางทีจะขึ้นสนามยังไม่ทันยกแรกดิฉันก็โดนน๊อคไปแล้ว

    ช่วงนี้แทบเอาตัวไม่รอด ได้เรียนรู้โลก อย่างซาบซึ้งใจ ก่อนหน้านี้ แว่บเข้ามาเป็นฉาก มาบอกก่อนเลยว่าจะโดนดี เราเลยรีบทำดีๆ ไม่งั้นเละแน่ๆ

    พูดมากไปแล้ว ก็ขอลาล่ะค่ะ ก็ขอฝากผ่านกระทู้นี้ด้วยกับเพื่อนๆกัลยาณธรรมทั้งหลาย ดิฉันทราบว่า เพื่อน จะบวช ก็ดีใจด้วยค่ะ แต่ดิฉันแหล่มมากไม่ได้ เสนอหน้ามากไม่ดี เอาแค่นี้ก็แทบจะไม่รอด ถ้าผ่านมาเห็นข้อความก็ขอให้เข้าใจ ยินดีด้วยที่จะเข้าไปในร่มกาวสพัฒน์ เราต่างคนต่างมีหน้าที่จะสาวกหรือพุทธภูมิ หน้าที่นั้นก็คือการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงต่อไป ก็ไม่ต้องพูดกันให้ยาวต่างก็เข้าใจดี ขอให้สำเร็จและเจริญในธรรมยิ่งไขึ้นไป ต่างคนต่างเดิน สักวันหนึ่งเราจะสำเร็จ

    ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้นี้ที่ให้โอกาสและมีสาระดีๆมอบให้ค่ะ
    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...