ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระบรมรูปเขียน ตกแต่งล่าสุดได้รับมาเมื่อวานนี้

    [​IMG][​IMG]

    สีเขียวออกน้ำเงินนี้มาถูกทางแล้วค่ะ อยากให้พระนางซูมออกให้องค์เล็กลงอีกนิดค่ะ พระเศียรตำกว่าสมเด็จพรนเรศวรเล็กน้อยคิดว่าจะทำให้ดูเหมาะสมค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2010
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระนางมณีจันทร์

    [​IMG][​IMG]

    คนสมัยก่อนจะมีหน่วยทำสี ต้องเทียบสีให้ได้สีเดิมทุกครั้ง แต่ต้องใช้เวลาในการทำมาก ซึ่งปัจจุบันใช้หลัก spectrumของคลื่นแสง หาช่วงคลื่นสีของ The royal green color of The Ming Dynasty ยังไม่เจอ แต่ออกแนวเชียวน้ำเงินนั่นแหละค่ะถูกทางแล้ว ทีนี้spectrumของคลื่นแสงสีนี้จะอยู่ในช่วงความถี่ใด ยังหาไม่ได้ค่ะ ไม่รู้จะหาได้หรือไม่แต่จะพยายาม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บุญกุศลที่ทำไว้ ยังจดจำตลอดมา

    สาธุค่ะพี่จงรักภักดี

    สวัสดีค่ะ เพราะมีวาสนาจึงพานพบกัน เมื่อได้พบกันแล้วเราคงได้มีโอกาศร่วมสร้างบุญสร้างบารมีถวายพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์และพระบุรพกษัตริย์ร่วมกันนะคะ พวกเราคงจะได้พบกันเร็วๆนี้นะคะ

    บุญที่ทำด้วยจิตอันเปี่ยมศรัทธา จะมากจะน้อยด้านวัตถุนั้นก็คงไม่สำคัญนะคะน้องอ๊อฟ จิตอันเป็นกุศลเมื่อทำงานบุญสำเร็จแล้วก็ต้องได้รับผลของบุญเต็มร้อยแน่นอนเลยค่ะ

    ปุ่ม ผ ผึ้งของแป้นคีย์บอร์ดทางสายธาตุถึงแต่อนิจกรรม เมื่อกี้ใช้ก๊อปปี้จากคำว่าผมของคุณ wanakonth มาใช้ ถ้าไม่ได้ wanakonth ที่หา ผ ผึ้งได้ง่ายหน่อย ก็ไม่รู้จะควานหา ผ ผึ้ง จากความเห็นไหนดี ขอบคุณค่ะ
     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เพลง พระองค์ดำ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=XyD2RZ_eQGA&feature=related"]YouTube- 3.??????-???????.DAT[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2010
  5. of_bd

    of_bd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +304
    ผมคิดว่าเราควรเพิ่มวัน ชนะเขมร เพื่อประกาศพระเกียรติองค์สมเด็จพระนเรศวร เพิ่มอีกวันหนึ่ง ด้วยนะครับ พระแผ่นดินท่เขมรอาศัยอยู่ทุกวันนี้ คือแผ่นดินสยาม ครับ และเป็นแผ่นดินของสมเด็จพระนเรศ โดยแท้จริง
     
  6. of_bd

    of_bd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +304
    เขมร สันดาลเนรคุณ .... เมื่อปีพศ. ๒๐๗๕ ในรัชสมัยพระมหาจักรพรรดิ ( ช่วงเปลี่ยนแผ่นดินจากพระชัย ราชามาเป็นพระเทียรราชา หรือพระมหาจักรพรรดิ ) กรุงหงสาวดีได้ยกทัพมาตี ไทย ฝ่ายเขมรพระยาละแวกเห็นได้ทีจึงยกทัพเข้ามาทางปราจีนบุรีกวาดต้อนผู้คน กลับไปเขมรจำนวนมาก หลังจากพม่ายกทัพกลับไปสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรง พิโรธมาก จึงทรงรับสั่งให้ยกทัพไปถึงเมืองพระตะบองและละแวก พระยาละแวก เห็นท่าจะแพ้ในการศึกจึงมีราชสาสน์มากราบทูลพระมหาจักรพรรดิ จับใจความได้ ว่า “ ข้าพระองค์ผู้ปกครองกัมพูชา มิได้เกรงพระบรมเดชานุภาพที่ไปกวาดต้อน คนจากปราจีนบุรี ขออย่าทรงพิโรธยกทัพมาตีเมือง ข้าพเจ้าจะนำเครื่องราชบรรณา การมาถวาย และเป็นข้าพระบาทตราบชั่วกัลปวสาน ”

    หลังจากนั้น ๓ วันพระยา ละแวกได้นำเครื่องราชบรรณาการพร้อมด้วยนักพระสุโทและนักพระสุทันเป็นราชบุต มาเข้าเฝ้า ทางพระมหาจักรพรรดิก็ทรงคลายพิโรธและขอนำโอรสทั้งสองไปเลี้ยง ดู พระยาละแวกก็ยอมจากนั้นก็กวาดต้อนคนชาวปราจีนบุรีกลับคืนมาฝั่งไทย ต่อมาไม่นานญวณได้ยึดเมืองละแวก ไทยจึงส่งกองทัพไปช่วยเพื่อตีเมืองคืนแต่ทำไม่สำเร็จ
    ในปีพศ.๒๑๑๓ รัชสมัยพระมหาธรรมราชาหลังจากที่ไทยเสียกรุงให้แก่พม่าเพียงปีเดียว พระยาละแวกจากเขมรได้ถือโอกาสเข้ามาปล้นและตีเมืองนครนายก(ทั้งที่เคยให้สัจจะว่าจะขอเป็นข้าพระบาทกษัตริย์ไทยชั่วกัลปาวสาน) พระมหาธรรมราชาจึงทรงรับสั่งให้ยกทัพไปปราบ ให้ทหารนำปืนจ่ารงค์ยิงไปถูกพระจำปาธิราชของเขมรตายคาที่บนคอช้าง ทัพของเขมรถอยกลับไปแต่ก็ย้อนกลับมาปล้นเมืองอีกหลายครั้ง นอกจากนี้พระยาละแวกยังนำทัพมากวาดต้อนผู้คนแถวจันทรบุรี ระยอง ฉะเชิง เทรากลับไปเขมรจำนวนมากด้วยความคดในข้องอในกระดูกพระยาละแวกได้ยก ทัพมาถึงปากน้ำพระประแดงโจมตีเมืองธนบุรีจับชาวเมืองธนบุรีและนนทบุรีเป็น เชลยจำนวนมาก เลยได้ใจรวบรวมคนหมายจะตีกรุงศรีอยุธยา แต่งทัพเรือ ๓๐ ลำเข้าปล้นบ้านนายก่าย แต่โชคไม่ดีถูกปืนใหญ่ของไทยยิงตายเป็นจำนวนมาก ฝ่ายเขมรแตกทัพหนีกลับไปทางพระประแดง ( หนีไม่หนีเปล่ายังกวาดต้อนผู้คนแถวสาครบุรีกลับไปอีกด้วย ..... เลวจริงๆ )
    ในปีพศ.๒๑๒๙ พระยาละแวกเห็นว่าไทยกำลังสู้ศึกหงสาวดีอยู่ จึงฉวยโอกาสยกทัพเข้ามาตีเมืองปราจีน สมเด็จพระนเรศวรทรงตรัสว่า “ พระยาละแวกตบัตสัตย์อีกแล้ว จึงต้องยกไปปราบให้ราบคราบ ” ผลการศึกกองทัพไทยไล่ตีเขมรไปจนสุดชายแดน ทหารเขมรล้มตายจำนวนมาก


    ในปีพศ.๒๑๓๒ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรครองราชย์ ทรงปรึกษาข้าราชการว่า...
    กษัตริย์เขมรมีใจคิดไม่ซื่อเหมือนพระยาละแวก ชอบซ้ำเติมไทยในยามศึกกับพม่า จึงทรงมีพระราชดำริที่จะยกทัพไปแก้แค้นเอาโลหิตมาล้างพระบาต
     
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    บ้านนายก่าย สงสัยจะหาดูว่าเป็นบ้านใครดูสักหน่อย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  8. of_bd

    of_bd เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +304
    รูปพระแม่มณีจันทร์ สีเขียวดูขึ้นดีนะครับ
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    สีเขียวด้วยคน ครับคุณ of_bd
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    หลักคำสอน 'บัวสี่เหล่า'

    วันจันทร์ ที่ 26 กรกฎาคม 2553 เวลา 0:00 น





    [​IMG]




    [​IMG]

    ชี้ทางสว่างสร้างคนสร้างปัญญา

    "วันอาสาฬหบูชา” ถือเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน ตรงกับวันเพ็ญเดือน 8ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 หนหลัง

    ในวันอาสาฬหบูชามีเหตุการณ์สำคัญทางพุทธศาสนาเกิดขึ้น 3 ประการด้วย กัน ประการแรก เป็นวันแรก ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา โดยแสดงพระปฐมเทศนาหรือแสดงหลักธรรมครั้งแรก ชื่อว่า ธัมมจัก กัปปวัตนสูตร

    ประการต่อมา เป็นวันที่บังเกิดพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา คือ พระอัญญาโกณฑัญญะได้บรรลุธรรมและขออุปสมบทเมื่อฟังพระปฐมเทศนาจบ และประการสุดท้าย เป็นวันแรกที่บังเกิดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ขึ้นในโลกอย่างสมบูรณ์

    นอกจากนี้ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา “อาสาฬห บูชา” ยังมีเรื่องราวหลักธรรมคำสอนที่ให้ข้อคิดคติสอนใจแก่ชาวพุทธได้อย่างลึกซึ้งในทุก ยุคทุกสมัยนั่นคือ เรื่องของ “บัวสี่เหล่า” อันเป็นเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลเสมือนบัวจำพวกต่าง ๆ เป็นข้อความที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาและพระไตรปิฎก โดย พระครรชิต คุณวโร ผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ได้บรรยายถึงที่มาให้ฟังว่า จากคัมภีร์อรรถกถา สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย มหาวรรค กล่าวไว้ว่า นับแต่วันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ใน วันเพ็ญเดือน 6 พระองค์ประทับเสวยวิมุตติสุข ณใต้ต้นไม้ 7 ชนิด ชนิดละ 7 วัน รวมเป็นเวลา 49 วัน

    “ตอนนั้นพระองค์ทรงปรารภขึ้นว่าธรรมที่ได้ตรัสรู้ ได้รู้แจ้งนั้น เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และประณีต เป็นธรรมเพื่อที่จะละซึ่งโทสะ โมหะ แต่ปัจเจกชนทั้งหลายยังเต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ จึงไม่สามารถเข้าใจได้ง่าย อันสรรพสัตว์ทั้งหลายเมื่อราคะย่ำแล้ว เมื่อความมืดหุ้มห่อแล้ว จะไม่เห็นธรรม จะมีผู้ใดเข้าถึงได้ เห็นรายละเอียดลึกซึ้งนั้น เห็นได้ยาก”

    ขณะที่ทรงพิจารณาอยู่นั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้มาอาราธนาขอให้พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมนุษย์ หากไม่ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายก็อาจจะเสียโอกาสในส่วนนี้ เพราะสรรพสัตว์ที่จะตรัสรู้ตามได้นั้นยังมีอยู่ เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมกราบทูลแล้ว พระองค์ทรงนิ่งและพิจารณา

    “จากนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา ซึ่งเป็นความรู้อย่างหนึ่งที่ว่า ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลี คือ กิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลี คือ กิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ผู้มีปัญญาดีก็มี ที่มีปัญญาทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มีที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเมื่อยังมีผู้ที่สามารถตรัสรู้ คิดตามได้ อย่างนี้ ท่านจึงกล่าวว่า ถ้าใครมีความศรัทธาก็จงน้อมใจเลื่อมใสศรัทธาเทอญ เราจะแสดงธรรมให้ฟัง”

    พระพุทธองค์ทรงมองว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ก็ เปรียบได้เหมือนกับบัว ที่มีทั้ง บัวหลวง บัวขาว บัวขาบ บัวผัน บัวเผื่อน โดยบัวเหล่านั้นแบ่งได้เป็นสามเหล่า ตามพระไตรปิฎก แต่แบ่งเป็นสี่เหล่า ตามอรรถกถา

    ตามนัยพระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ พระพุทธองค์เปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว 3 เหล่า กล่าวคือ คนที่มีปัญญาดี มีศรัทธาในคุณงามความดีได้ง่าย มีปัญญารู้แจ้งได้ง่ายมีอยู่ เพียงแค่พูดให้ความรู้ ไม่ต้องอธิบาย ขยายความ ก็สามารถรู้เรื่อง เข้าใจได้ บุคคลเหล่านี้เปรียบเหมือนบัวที่พ้นน้ำ

    ส่วนอีกพวกหนึ่ง เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาปานกลาง มีกิเลสเบาบาง มีความเพียรที่จะเรียนรู้ เมื่อได้ฟังด้วยการอธิบาย ค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ อธิบาย ขยายความ ก็สามารถ รู้และเข้าใจได้ เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ

    และสุดท้าย คือ บัวใต้น้ำ เป็นกลุ่มคนที่มีสติปัญญาน้อย แม้จะบอก แม้จะสอน อาจจะยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้เรื่อง ต้องค่อย ๆ บอกไปทีละน้อย ๆ แต่ถ้าหากเขาขวนขวายในการศึกษาหาความรู้อย่างไม่ย่อท้อ ไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้น เขาก็อาจจะสามารถบรรลุธรรมได้ ....


    แหล่งที่มา www.dailynews.co.th
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....ส่วนความหมายของ บัวสี่เหล่าตามนัยอรรถกถากลุ่มแรก คือ บัวที่อยู่พ้นน้ำ เรียกคนกลุ่มนี้ว่า อุคฆฏิตัญญู เป็นบุคคลที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจได้ในเวลาอันรวดเร็ว ต่อมา บัวที่อยู่ปริ่มน้ำ บุคคลที่มีสติปัญญาปานกลาง เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและหากได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติมก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เรียกคนกลุ่มนี้ว่า วิปัจจิตัญญู

    กลุ่มที่ 3 เป็น บัวที่อยู่ใต้น้ำ แต่อยู่เหนือโคลนตม เรียกคนกลุ่มนี้ว่า เนยย เป็น บุคคลที่มีสติปัญญาน้อย เมื่อได้ฟังธรรมแล้วยังไม่สามารถบรรลุได้ แต่หากฝึกฝน ประพฤติปฏิบัติให้มากขึ้นเรื่อย ๆ อยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่ง
    สุดท้าย บัวที่อยู่ใต้โคลนตม เป็นบุคคลที่ฟังธรรมแล้ว ก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธา ไร้ซึ่งความเพียร โดยปกติแล้วเราจะได้ยิน ได้ฟัง บุคคลที่เปรียบเหมือนบัวใต้โคลนตมที่เป็น อาหารของเต่า ปลา คือ บุคคลที่สอนไม่ได้แล้ว ตรงนี้ไม่ใช่ตามหลักทางพุทธศาสนา เพราะถึงแม้เขาจะฟังธรรมแล้วไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาตินี้ แต่จากการที่ได้ฟังธรรมไป สิ่งเหล่านี้จะเป็นอุปนิสัย เป็นประโยชน์ให้กับเขาต่อไปในชาติหน้าหรือในชาติถัด ๆ ไป เรียกคนกลุ่มนี้ว่า ปทปรมะ
    การนำอุปมาเรื่องบัวมาใช้ในชีวิตประจำวันนั้น พระครรชิต กล่าวว่า เพื่อให้พึงทราบไว้ว่า จริง ๆ แล้วทุก คนสามารถฝึกและสอนได้แต่การสอนหรือการฝึกนั้น จะต้องดูให้เหมาะกับตัวบุคคลเพราะคนมีหลายประเภท บางคนมีปัญญาดี บอกครั้งเดียวรู้และเข้าใจได้เลย บางคนแค่บอกยังไม่เข้าใจ ต้องค่อย ๆ อธิบายถึงจะรู้และเข้าใจ ส่วนบางคนต้องค่อย ๆ บอก อธิบายแจกแจงรายละเอียดเป็นข้อ ๆ ว่าต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น เขาถึงจะทำได้

    แต่บางคนแค่นั้นยังไม่พอ ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไช ต้องคอยบอกทุกขั้นตอน ต้องคอยดุคอยว่าอยู่ตลอดถึงจะรู้เรื่อง ในขณะที่บางคนไม่ใช่แค่คอย จ้ำจี้จ้ำไช แม้จะสอนทุกเรื่อง เตือนทุกครั้งยังไม่พอ ยังต้องคอยบังคับ คอยจี้อยู่ตลอดให้ทำเองอย่างไรก็ทำไม่ได้ ฝึกอย่างไรก็ทำไม่ได้ พวกนี้มีอยู่

    “ฉะนั้นจึงต้องเลือกปฏิบัติกับบุคคลให้ถูกต้องจะมานั่งบ่นว่าทำไมคนนี้ถึงเป็นอย่างนี้ไม่ได้ เพราะโดยนิสัยตามธรรมชาติของแต่ละคนแตกต่างกัน โดยคำนึงว่า ต้องเปิดโอกาสให้กับคนที่อยากรู้ ต้องไม่ย่อท้อในการสั่งสอน และต้องสั่งสอนให้เหมาะกับสภาพของบุคคล ให้เหมาะกับสติปัญญาของเขาในขณะนั้น ๆ ด้วย ไม่ใช่เขามาถึงก็ให้ฟังธรรมในเรื่องลึกซึ้งเลย เขามาใหม่ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบรายละเอียดมาก่อนก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วจะบอกว่าเขาโง่ไม่ได้ ต้อง บอกว่าเรายังไม่พร้อมที่จะสอนเขา หรือเขายังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ นั่นถึงจะถูกต้อง”

    เมื่อเป็นเช่นนี้ การบอกกล่าวหรือสอนในเรื่องใดก็ ตามจึงต้องมีลำดับขั้นตอน ประการแรก ดูก่อนว่าผู้ที่เราจะพูดหรือสอนนั้น ภูมิปัญญาเขามีแค่ไหน เราควรจะเริ่มสอนหรือพูดจากตรงไหนก่อน บางคนเห็นแล้วว่าคนนี้มีปัญญามาก ตรงนี้เราไม่ต้องไปสอนอะไรมากมาย ให้หัวข้อไปศึกษาด้วยตนเองก็สามารถรู้และเข้าใจได้ แต่จะทำอย่างนี้กับทุกคนไม่ได้ เพราะบางคนให้แต่หัวข้อแล้วไปศึกษาเอง ก็ไปเที่ยว ไปเล่นแทน ตรงนี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของบุคคล จะได้วางท่าทีและการปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง เราก็จะสามารถฝึกเขาให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี หรือให้เรียนรู้งานหรือทำงานให้ประสบความสำเร็จได้นั่นเอง.


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา Daily News Online
     
  12. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออภัยพี่จงรักภักดีวันนี้ทางสายธาตุกำลังอ่านวิเคราะห์ อ่านหลายๆความเห็นของหลายๆคน ต้องการเห็นภาพที่คนอื่นเขาเห็นค่ะ คนเขียนน่าจะเป็น ผู้หญิง ค่ะ

    เมื่อคืนไปรักษาอุโบสถศีลที่วัดป่ามณีกาญจน์มาหนึ่งคืน ตอนเช้าฟังพระสวดปาฎิโมกข์แล้วก็ลาศีลกลับค่ะ เดี๋ยวต้องออกไปธุระ

    กำลังตามเรื่อง บ้านนายก่าย เห็นแต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับการเสียกรุงครั้งที่สอง มีคนจีนบ้านนายก่าย 2000 คนเข้าร่วมกองกำลังรักษาพระนครศรีอยุธยาฯ ยังไม่เห็นข้อมูลมากกว่านั้น

    สีเขียว เขียวอย่างไร จะเข้าเวปไซด์มุสลิมดูว่า มุสลิมใช้สีเขียวแบบไหน ในราชสำนักจีนสมัยราชวงศ์หมิง เท่าที่อ่านบันทึกพงศาวดารมา คนในราชสำนักจีนสามารถนับถือศาสนาใดก็ได้ตามอิสระ มีมุสลิม พุทธ เต๋า เป็นต้น

    และทางสายธาตุขอกล่าวอีกครั้งกับผู้อ่านทั่วไปว่า ทางสายธาตุรู้มิได้มาจากพระสงฆ์องค์เจ้าทัก มิได้รู้จากคนทรงเจ้า มิได้รู้มาจากการอ่านนิยาย ทางสายธาตุไปปฎิบัติธรรมทีวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี มันเกิดภาพเห็น ทางสายธาตุเริ่มปฎิบัติกรรมฐานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 จะไปถือเนกขัมมะปีละครั้ง ครั้งละ 7 วันที่วัดอัมพวันค่ะ สิ่งที่เห็นมากที่สุดก็คือบรรยากาศบ้านทรงไทย ที่อยู่บนเกาะที่มีน้ำล้อมรอบ อาจเคยอาศัยและทำงานอยู่บนเกาะนั้น แต่เรื่องที่เห็นก็มิได้ติดใจสงสัยอะไร เพราะคนเราสามารถสร้างจินตนาการต่างๆได้ เพียงแต่ได้จดจำรายละเอียดไว้เพราะถือว่าเห็นชัดอยู่เหมือนกัน พอมาถึงราวๆเดือนมกราคมปี 2552 ได้ไปวัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) เกิดอาการปวดหัวจนป่วย เป็นอย่างนี้ หลายหน จนวันเพ็ญของคืนมาฆบูชา ไปถืออุโบสถศีลในโบสถ์เก่า ของวัดวรเชษฐ์ ซึ่งต้องทนสวดมนต์ทั้งๆที่ปวดหัวมาก ทานยาแก้ปวดก็ไม่หาย พอรุ่งเช้าได้ปรึกษาพระอาจารย์ว่าทำไมจึงปวดหัวมากทั้งๆที่ทานยาแก้ปวดแล้ว ท่านแนะนำให้แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร ก็ค่อยยังชั่วค่ะ

    ที่นี้กลับบ้าน จิตมันบอกให้ไปทำบุญในสถาที่ที่เคยเห็นในสมาธินะจะถึงตัวเจ้ากรรมนายเวร ก็ใช้ Google หาไปเรื่อยๆ ต้องเป็นบ้านริมน้ำ เปิดมาๆจนเจอวัดชุมพลนิกายาราม อ.บางปะอิน ก็คิดว่า คงไม่ใช่ที่นี่ เพราะแม่อินมีบุตรชายคนเดียว แต่ในสมาธิของทางสายธาตุ นายท่านฯมีบุตรสองคน เพียงแต่สดุดใจลวดลายของประตูโบสถ์ที่มีรูปอยู่ในอินเตอร์เนต ทางสายธาตุว่าแปลกนะ แม่อินเป็นหญิงชาวบ้าน ทำไมใช้ลวดลายจีนแบบบ้านเศรษฐีจีนเขียนลายประตู ซึ่งตรงกับนายท่านอยู่เหมือนกันในเรื่องท่านเป็นคนร่ำรวยมั่งคั่งและเป็นคนจีนค้าสำเภา เป็นเหตุให้ทำสังฆทานชุดใหญ่ แล้วไปชวนเพื่อนข้างบ้านไปเป็นเพื่อน เพื่อนคนที่ทางสายธาตุพาไปเชียงใหม่ด้วยกันนั่นแหละค่ะ พอไปแล้วทางสายธาตุก็อ่านข้อมูลบนเสาของโบสถ์วัดชุมพลนิกายาราม ออกมาเหมือนชีวิตของนายท่านฯ จึงเป็นเหตุให้ต้องค้นว่า แม่อิน เป็นใครกันแน่ และเจอหลักฐานต่างๆได้เขียนไว้ในกระทุ้นี้เป็นลำดับค่ะ

    ยาวหน่อยนะคะ แต่ไม่อยากให้ใครคิดว่าทางสายธาตุเคยไปขัดแย้งกับใครมาก่อน คนแรกที่เกี่ยวข้องกับวัดวรเชษฐ์และที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (เมื่อก่อนทางสายธาตุไม่ค่อยได้ติดตามสักการะบูชาหรือบวงสรวงสมเด็จฯท่านค่ะ) คนแรกที่ได้พบหรือพระสงฆ์องค์แรกที่รู้จัก คือ พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ คนที่สองคือ พระอาจารย์วัลลภ คนที่สามคือ พระอาจารย์สัมฤทธิ์ คนที่สี่คือพระอาจารย์สาโรจน์(ท่านนี้ไปประจำวัดอื่นแล้ว) คนที่ห้าคือ แม่ชีดาวนภา (ท่านนี้ก็ไปประจำวัดอื่นแล้ว) ส่วนพี่จงรักภักดี น้องโมเย นั้นมารู้จักกันเพราะกระทู้นี้ค่ะ

    จึงเรียนมาเพื่อให้ท่านผู้อ่านเข้าใจค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  13. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    877
    ค่าพลัง:
    +3,210
    นความคิดเห็นของ โมเยเท่าที่อ่านหลักฐานทั้งหมดที่พี่ทางสายธาตุได้เจอมา

    เชื่อ ว่าพระมเหสี ท่านน่าจะเป็น คนจีน

    บางอย่างเป็นความลับของสวรรค์ ซึ่งต้องมีเหตุและผลที่จะต้องให้เป็นความลับ ต่อไป

    บางอย่างเป็นส่วนที่สรรค์เห็นควรแล้วให้เปิดเผย

    ไม่มีอะไรที่จะหลีกหนี ลิขิตแห่งสววรค์ ได้

    ลูกหลาน ข้าราชบริพารที่่เคยอยู่ใกล้ชิดพระนาง

    จะสัมผัสได้ลึกซึ้งถึงพระบารมีของพระนาง

    ลูกหลาน ควรจะปฎิบัติบูชา เพื่อ เป็นการสำนึก และแสดงความกตัญญู ต่อพระองค์




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พี่ทางสายธาตุก็คิดอย่างนั้นค่ะ เพราะชุมชนบ้านนายก่ายก็เป็นชุมชนชาวจีน อีกทั้งศิลปะย่อมุมไม้สิบสองที่เขียนบนเสาโบสถ์วัดชุมพลฯ บางปะิอิน กับเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองที่เป็นพระราชนิยมของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงสร้าง เป็นศิลปะที่อ้างอิงศิลปะการก่อสร้างเก๋งจีนในสวนหลังวังของพระราชวังต้องห้ามได้ การอ้างถึงพระนางโดยกล่าวว่าทรงพระนามว่า "เจ้าขรัวมณีจันทร์" ซึ่งเจ้าขรัวก็ใช้กับคหบดีชาวจีนเช่นกัน อีกทั้งในพงศาวดารที่เจ้าขรัวมณีจันทร์ทรงไปช่วยจมื่นศรีสรลักษณ์(พระองค์ไล) ออกจากคุกก็คงจะ้ด้วยทรงเป็นพระราชมารดา พระปรางค์เจ้าแม่วัดดุสิตที่สร้างอยู่ในอาณาบริเวณวัดไชยวัฒนารามน่าจะเพื่อไว้เป็นพระราชอนุสรณ์สถานแห่งพระองค์ท่านและพระราชธิดาของพระองค์ นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่พี่ทางสายธาตุตามหลักฐานมาเพิ่มเติม จากจุดเริ่มต้นที่ลวดลายของเสาและสีของเสาในโบสถ์วัดชุมพลนิกายาราม อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยาค่ะ และในหนังสือกรุงศรีอยุธยาในแผนที่ฝรั่งอ้างอิงไว้ถึงบริเวณวัดไชยวัฒนารามนี้ เขียนกำกับไว้ในแผนที่เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Pagode de La Rein แปลว่าพระเจดีย์ของราชินี หรือพระเจดีย์ขององค์พระอัครมเหสี(แผนที่วางตำแหน่งวัดไปทางทิศใต้ ซึ่งตำแหน่งจริงๆของวัดเป็นทิศตะวันตกเฉียงใต้มากกว่าค่ะ) จากความรู้ที่ได้จากการไปวัดวรเชษฐ์ ได้ทราบว่าพระอัครมเหสีของสมเด็จพระเอกาทศรถคือ พระนางสวัสดี จึงไม่น่าจะใช่แม่อิน แห่งเกาะบ้านเลน แต่พระอัฐิของพระราชชนนีของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองที่พี่ทางสายธาตุเชื่อว่าได้บรรจุไว้ที่วัดไชยวัฒนารามส่วนหนึ่งและพระราชชนนีของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองพระองค์นี้ทรงเป็นพระอัครมเหสีแห่งองค์พระนเรศวรมหาราช อันมีพระนามว่า พระนางมณีจันทร์ หรือเจ้าขรัวมณีจันทร์ นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466





    เนื่องจากวันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันอาสาฬหะบูชา

    ก็ต้องขออนุญาตหยิบยก ข้อคิดมุมมอง...เพื่อปัญญา มาแสดงซ้ำอีก

    ครั้ง ....จะเห็นได้ว่า เมื่อเกิดตัณหาก็จะเกิดการแสวงหา แล้วก็จะเกิด

    อะไรต่อมิอะไรตามติดมากันเป็นขะบวนยาวเหยียด เพราะ...อะไร ???

    ((พราะไม่รู้ หรือเพราะรู้ แต่ขาดสติสัมปชัญญะ???))


    "เมื่อมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น การจะดับอะไรต้องไปดับที่เหตุ ในกรณีนี้เหตุที่ต้องดับคืออะไร คือตัณหา ดับตัณหาทำอย่างไร ดับความยินดีพอใจ(เวทนา) จะดับเวทนาก็ต้องดับผัสสะ ทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ มีสติไว้ ให้บ่อยให้ถี่ จนพบสมดุลย์ของน้ำหนักแล้วจะสบายไม่เป็นภาระ "




    ธัมมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล

    แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน สว่างกระจ่างใจมล

    ....................................

    ข้าฯขอโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจำนง ด้วยจิตและกายวาจา ๐






    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY>
     
  16. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    "เมื่อมีสิ่งนี้ๆเป็นปัจจัย สิ่งนี้ๆจึงเกิดขึ้น การจะดับอะไรต้องไปดับที่เหตุ ในกรณีนี้เหตุที่ต้องดับคืออะไร คือตัณหา ดับตัณหาทำอย่างไร ดับความยินดีพอใจ(เวทนา) จะดับเวทนาก็ต้องดับผัสสะ ทางตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ มีสติไว้ ให้บ่อยให้ถี่ จนพบสมดุลย์ของน้ำหนักแล้วจะสบายไม่เป็นภาระ "

    สาธุ อนุโมทนาค่ะ

    ตั้งใจจะทำงานถวายพระเกียรติพระนางไปเรื่อยๆ ตัวข้าพเจ้าก็ต้องสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ เหมือนกัน ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่มีวาสนาได้ทำงานถวายพระเกียรติพระนางท่านอีกเพราะความดีไม่พอ ขอบคุณท่านผู้ตักเตือนค่ะที่เตือนสติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เทิดทูนพระองค์ดำ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=XyD2RZ_eQGA&feature=player_embedded"]YouTube - 3.องค์ดำ-คาราบาว.DAT[/ame]

    อัดอั้นตันใจ ที่เห็นคนไทยถูกหยามหมิ่น
    พม่ามายึดแผ่นดิน โดยมีบิดาให้ท้าย
    เพื่อชนชาติปฐพี เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
    วันนี้สู้ทนขวนขวาย พิชัยสงครามให้ชำนาญ
    ให้ชำนาญ ลูกกษัตริย์ขัตติยา
    ถูกพม่าคัดไปจำนำ แม้หัวอกต้องชอกช้ำ
    แต่จิตใจมั่นคงห้าวหาญ เพื่อคอยลบคำว่าเมืองขึ้น
    กลับคืนเมืองไทยตลอดกาล ไม่วาดหวังปาฎิหาริย์
    แต่ต้องพลิกผันด้วยมือองค์ดำ กระทำยุทธหัตถี
    องค์พระนเรศ ใครว่าวิเศษจากฟากฟ้า
    ด้วยความมุ่งมั่นวิริยะ อุตสาหะกู้ชาติไทย
    ผู้ยิ่งใหญ่เหนือสิบทิศ ผู้พิชิตศัตรูพ่าย
    ก่อวีรกรรมที่ชนชาวไทย เทิดทูนไว้ในดวงใจ
    เทิดทูนพระองค์ดำ เทิดทูนพระองค์ดำ เทิดทูนพระองค์ดำ

    (ซ้ำ)เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันเถิด
    ให้เป็นเกียรติยศ สืบกัลปาวสาน แห่งกษัตริย์ชนช้าง เหมือนอย่างเราจะไม่มีแล้ว


    ซาบซึ้งในเนื้อเพลงมาก คาราบาวแต่งเพลงเก่งค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ขออภัยที่ข้อความของทางสายธาตุไปทำให้คนเข้าใจผิดว่าคิดไปว่า ทางสายธาตุจะแสดงตัวเป็นพระนาง

    การคิดแบบนั้นเป็นอกุศลจิตที่ทางสายธาตุไม่บังอาจคิดที่จะล่วงกรรมอันใหญ่หลวงนี้ มิอาจเอื้อม พระมเหสีนั่นหมายถึงคู่พระบารมีของกษัตริย์ ซึ่งดิฉันมิบังอาจคิดเช่นนั้น ดิฉันมีหน้าที่ประกาศพระเกียรติของพระนาง และหาความจริงของพระองค์ท่าน เพราะเหตุเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะสัญญาเดิม

    ขออภัยถ้าข้อความทั้งหมดของทางสายธาตุ อาจจะทำให้บางคนเข้าใจผิดและก่อเกิดอกุศลจิต

    ทางสายธาตุมิได้รับการทำนายทายทัก และไม่มีพระสงฆ์หรือผู้มีญานรู้ท่านใดมาทักดิฉัน ทางสายธาตุไม่เคยไปยกช้างที่ใดเพื่อถาม ถึงไปยกก็ได้คำตอบเดียวกันคือไม่ใช่หรอกหนู ^_^ และไม่เคยไปถ้ำเมืองนะมาก่อนอย่างแน่นอน (กำลังนัดกับโมเยจะไปในทริปหน้าค่ะ) สรุปคือข้าพเจ้าไม่บังอาจคิดที่จะเป็นพระนางท่าน

    เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่พระนางท่านอย่างแน่นอน จึงโปรดอย่าปรามาสพระนางเจ้าท่านเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,898
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ดังนั้นขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ดิฉันไม่ใช่ใครที่คุณรู้จักมาใน 5-6 ปีก่อนอย่างแน่นอน นอนแน่ จริงๆค่ะ

    แต่ดิฉันค้นหาข้อมูลเก่ง มันจึงไม่เกินความสามารถที่ดิฉันอยากจะทราบอะไร google ก็หาให้ดิฉันได้แทบทั้งนั้น ขอให้มีร่องรอยหรือคีย์เวิร์ดบางตัว นั่นเป็นความสามารถที่เกิดจากการเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์และอาชีพของทางสายธาตุเองค่ะ

    คุณก็สามารถเป็นนักค้นหาคำตอบได้ หากคุณใช้อินเตอร์เนตได้อย่างชำนาญ น้องโมเยรู้จักตัวพี่ทางสายธาตุแล้ว น้องเขาก็เพิ่งรู้จักทางสายธาตุได้สักปีหนึ่งมานี่เอง ซึ่งก็หลังจากทริปเชียงใหม่ของทุกกลุ่มในเวปพลังจิต

    จริงๆนะจ๊ะ เชื่อเถอะค่ะ ไม่ผิดไปจากที่เขียนนี้แน่นอน คิดถึงครูสอนเปียโน ครูนึกว่ามารับลูกเรียนเปียโนเสียอีก ก็ทางสายธาตุอยากเรียนนี่ แก่แล้วก็ยังรัก ครูเขารู้จักกับพี่โอม ชาตรี คงสุวรรณด้วยนะคะ ว่าแล้ว ขอนำเพลง "เพียงกระซิบ" มาลงไว้ด้วยความคิดถึงเพลงและวงดิอินโนเซ้นต์ (ขออภัยที่นอกเรื่องของกระทู้นะคะท่านพี่จงรักภักดีและคุณน้องโมเย)

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=ZUuZ4mxpJD4"]YouTube - เพียงกระซิบ - ดิ อินโนเซ้นท์[/ame]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2010
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466


    โมทนา สาธุ

    ...เมื่อใดที่บังเกิดความรู้สึกมี "ธรรมะ" เป็นเพื่อน มี "ธรรมะ" เป็นชีวิต เมื่อนั้นความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง อาจหาญ เป็นสุขสงบ ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างเป็นประจักษ์พยานในตนเอง

    นี่เป็นเสมือนรางวัลอันยิ่งใหญ่แก่ชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นรางวัลที่มนุษย์ทุกคนมีสิทธิได้รับอย่างเท่าเทียมกัน..(อุบาสิการัญจวน อินทรกำแหง)
     

แชร์หน้านี้

Loading...