ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210


    อนุโมทนากับคุณพี่ทางสายธาตุค่ะ

    พี่จงรักภักดีท่านได้เป็นประธานในพิธีเททอง หล่อพระรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    สองแห่งด้วยกันค่ะคือที่วัดเวียงเชียงรุ้ง และวัดเวียงกาขาว อนุโมทนาด้วยนะคะ


    พี่ทางสายธาตุก็ หาหลักฐานเกี่ยวกับวัด (โมเยเป็นกำลังใจให้นะคะ)

    น้องฟอร์ท คุณไก่เหลืองหางขาวและคุณพี่
    ศรัทธา พิสุทธ์
    ทุกท่านคงทำหน้าที่กันอยู่เพื่อสมเด็จท่านได้อย่างเต็มกำลัง และเวลา



    เพลง พระพระเอกา เป็นอีกภาระหนึ่งที่ต้องทำต่อไปค่ะ


    มีเรื่องเล่าสู่กันฟัง
    (โปรดใช้วิจารณญาณ)

    ขณะกำลังแต่งเพลง พระนเรศวร จะได้ยินเสียง ว่า ชัยยะ ชัยยะ ชัยยะ
    จึงนำมาใส่ในเนื้อเพลง ในคำว่ชัยยะ
    (อาจเป็นอารมรณ์เฉพาะตนของคนแต่งเพลงค่ะ)

    จึงได้อธิฐาน
    เพื่อขอพระราชทานอนุญาติต่อดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่าหากเป็นหน้าที่ ที่ข้าพระพุทธเจ้า จะได้พึงกระทำเพื่อเป็นการประกาศเกียรติ ของพระองค์ ขอให้กระทำได้สำเร็จด้วยเทอญ

    และตั้งใจว่าจะประกาศพระเกียรติให้ก้องฟ้าค่ะ

    นบทเพลงนี้ ใช้ดนตรีทางล้านนาเป็นสื่อ
    ผสมกับเครื่องดนตรีของภาคกลางคือ ระนาดเอก
    ขึ้นต้นด้วยการ ตีกลองสะบัดชัย หมายถึง การได้ชัยชนะ


    เนื้อเพลงแสดงถึง ความจงรักภักดี ของข้าแผ่นดิน ทุกดวงจิตในล้านนา
    ไม่ว่าอดีต ถึงปัจจุบัน ที่มีต่อพระองค์ค่ะ


    จากล้านนา สู่ อโยธยา
    คือมีเสียง กลองสะบัดชัย ผสานกับเสียงระนาดในช่วงต่อมาค่ะ










     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2009
  2. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488


    ฟอร์ทจัดให้แล้วขอรับ ปี้โมทดลองดู ง่ายนักขนาด ?
     
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    "เนื้อเพลงแสดงถึง ความจงรักภักดี ของข้าแผ่นดิน ทุกดวงจิตในล้านนา
    ไม่ว่าอดีต ถึงปัจจุบัน ที่มีต่อพระองค์ค่ะ"


    -ขออนุโมทนา ด้วยครับคุณโมเย ได้ฟังแล้วก็รู้สึกได้เช่นนั้นจริง สาธุ
     
  4. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    สาธุ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประมวลและทรงจำแนกจิตทั้งหมดออกเป็น

    ๘๙ ประเภท ส่วนเจตสิกทั้งหมดนั้นมี ๕๒ ประเภท เจตสิกบางประเภท

    เกิดได้เฉพาะกับจิตที่ดีเท่านั้นและเจตสิกบางประเภทก็เกิดได้เฉพาะกับจิต

    ที่ไม่ดีเท่านั้น

    จิต เป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ เป็นลักษณะรู้ เป็นธาตุรู้

    เจตสิก เป็นนามธรรมที่ไม่ใช่จิต แต่เกิดร่วมกับจิต แล้วก็ดับพร้อม

    กับจิต

    แหล่งที่มา อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์


    -ธรรมะ รู้ไว้ใช่ว่า ขอรับ
     
  5. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488


    จิตเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้อารมณ์ (สิ่งที่ถูกจิตรู้ )

    เช่นการได้ยินเป็นต้น เจตสิก ได้แก่ โลภะ โทสะ เป็นต้น แต่ทั้งโลภะ

    และโทสะ ไม่ใช่จิต

    บางเจตสิกก็เกิดกับจิตทุกประเภท บางเจตสิกก็เกิดกับจิตประเภทหนึ่งไม่

    เกิดกับจิตอีกประเภทหนึ่ง เช่นโลภเจตสิกไม่เกิดร่วมกับโทสมูลจิต...
     
  6. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    อนุโมทนา กับธรรมะ ที่น้องฟรอท์นำมาฝาก

    อ่านแล้ว รู้สึกรับกระแสเย็น ที่จิต
    จิตนี้ ละเอียด ซับซ้อน และมีพลัง


    เฝ้ามองตนเอง ด้วยการ ดู จิต
    หาก นิ่งแล้ว กระแส แห่งความเย็น จะแผ่ซ่านไปรอบตัว

    และจะแผ่ ไปถึงคนใกล้ คนไกล และมวล สรรพสิ่ง
    ขอแผ่ กระแสเย็นนี้ ไปถึงคนไทยทั้งแผ่นดิน ดับไฟ รุ่มร้อน ในใจ

    ขอไทย ยังคงเป็นไทย
    เริ่มจาก ดวงจิต เย็นๆ ทีละดวง ....

    แ้ล้วให้แผ่ไพศาล ปกคุ้ม
    โดยมี พระบารมี พระเจ้าอยู่หัว เป็นศูนย์รวม แห่งความเย็นนั้น


    ภายใต้ ผืนแผ่นดิน ที่มี ดวงวิญญาณ นับหมื่นนับพัน ของบรรพบุรุษ เฝ้ามองอยู่
    ของพระแม่ธรณีพยาน


    ให้ไทยทุกที่จงพ้นภัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2009
  7. พระราชมนู

    พระราชมนู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +78
    พระนามที่แท้จริง....พระนเรศ...

    พระนามของสมเด็จพระนเรศวรนั้นทุกคนคงคุ้นเคยที่จะเรียกพระองค์กัน แต่หากสืบหาหลักฐานในพงศาวดารที่มีอายุอยู่ร่มสัมยกับพระองค์นั้น กลับมีการอ่านออกเสียงต่างออกไป โดยเรียกพระองค์ว่า"พระนเรศ"ทั้งสิ้น
    ไม่ว่าจะเป็นจารึกวัดอันโลก(รามลักษณ์)หมายเลขk27 พบในกัมพูชา ที่ออกพระนามพระองค์ในคราวศึกที่ไปตีกรุงละแวก เมื่อปี พ.ศ.2131 ว่า"พระนเรสส"
    หรือพระไอยการกระบดศึก อันเป็นพระโองการของสมเด็จพระเอกาทศรส ในปี 2136 ก็อ่ยนามของพระองค์ว่า"สมเด็จบรมบาทบงกชลักษณอัคบุริโสดมบรมหน่อเจ้าฟ้านเรศเชษฐาธิบดี"
    หลักฐานทางฝ่ายพม่า คือ มหาราชวงศ์พงษาวดารพม่า ที่จารขึ้นในปี 2372 โดยพระราชโองการของพระเจ้าอังวะจักกายแมง(บาคยีดอ) เรียกพระองค์ว่า"พระนเรศ" รวมถึง วัน วลิต หรือ นายฟาน ฟลีตในจดหมายเหตุวันวลิต ก็เรียกพระองค์ว่า"พระนริศ"(prae narith) คำให้การชาวกรุงเก่า ก็ออกเสียงพระนามว่า"พระนริศ" เช่นกัน
    ซึ่งน่าจะเกิดจากการขาดแคลนเอกสารหลักฐานร่วมสมัย เมื่อมีการชำระพงศาวดารในยุคหลังจึงอาจเข้าใจผิดว่า"ราชาธิราช"เป็นศร้อยพระนามห้อยท้ายเหมือนเช่นกษัตริย์อยุธยาองค์อื่นๆ จึงอ่านพระนามสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็น สม-เด็ด-พระ-นะ-เร-สวน-มะ-หา-ราด แล้วเข้าใจว่าเป็นคำอ่านพระนามที่ถูกต้อง ทั้งที่น่าจะอ่านว่า สม-เด็ด-พระ-นะ-เรด-วอ-ระ-รา-ชา-ธิ-ราด ซึ่งคำว่า"วรราชาธิราช" นี้เป็นสร้อยพระนาม แปลว่า"พระราชาเหนือพระราชาผู้ประเสริฐ"
    สร้อยพระนาม วรราชาธิราชนี้ ยังพบในจารึกพระธาตุศรีสองรัก โดยออกพระนามของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระอัยกาของสมเด็จพระนเรศวร ว่า "สมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิวรราชาธิราช" ทั้งนี้น่าจะมาจากการที่สมเด็จพระนเรศวรทรงนำสร้อยพระนามดังกล่าวมาต่อท้ายพระนาม เพื่อยืนยันสิทธิธรรมในราชบัลลังค์กรุงศรีอยุธยาของพระองค์นั่นเอง
    พระนามของพระองค์ที่ชาวต่างชาติเรียกก็แตกต่างกันไปเช่น ฮอลันดาเรียก"black prince" ชาวจีนเรียก"หัวเจ้าซุง" พวกมลายูชวา เรียก "ราจาอาปี"หรือ ราชาแห่งไฟ
    ป.ล.อาทิตย์นี้ผมว่าจะไปที่วัดวรเชต ถ้าใครไป ขอเชิญร่วมสวดมนตร์ตอนเย็นนะครับ 4โมง
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขออนุโมทนากับคุณ พระราชมนู ครับ น่าสนใจเรื่องไปสวดมนต์ที่วัดวรเชษฐ

    ครับ สำหรับเรื่องพระนามของสมเด็จท่าน เราคงจะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ

    คือเริ่มตั้งแต่โรงเรียนกันนั่นแหละครับ เรามาเริ่มตั้งต้นกันกับพระนามที่ถูกต้อง

    กันก็ดีเหมือนกันนะครับ
     
  9. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    อนุโมทนา กับ ท่านพระราชมนูด้วยค่ะ
    ท่านจงรักภักดี สนใจจะไปสวดมนต์ที่วัดวรเชษ ด้วยหรือเปล่าคะ


    โมเย อยู่เชียงใหม่ หากว่าท่านทั้งสอง จะไปร่วมสวดมนต์กัน
    โมเยอยู่ ทางนี้จะตั้งจิตสวดมนต์ ไปพร้อมๆกันด้วยค่ะ


    ขอเชิญชวนทุกท่าน ที่มีความจงรักภักดีในสมเด็จพระนเรศวร ในหลวง และ ผืนแผ่นดินนี้
    ร่วมสวดมนต์ ไปพร้อมกัน เวลาเดียวกัน


    ขอพระบารมีแห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระบารมีของในหลวง
    ทรงคุ้มครองแผ่นดินสยามนี้ ด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2009
  10. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดเวียงเชียงรุ้ง

    ตามรอย..พระนเรศวรฯ อนุสรณ์เคยผ่านเวียงเชียงรุ้ง

    [​IMG]



    แม่แบบรูปหล่อองค์สมเด็จพระนเรศวรฯ

    เมื่อ 13 มิถุนายน 2552....สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกียว) เสด็จเป็นองค์ประธาน เททองหล่อพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ พระราชวังจันทร์ จังหวัดพิษณุโลก เนื่องในวาระครบ 111 ปี โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม

    พลเอกจิรเดช คชรัตน์ (รองผู้บัญชาการทหารบก) นายกสมาคมนักเรียนเก่าพิษณุโลกพิทยาคม บอกถึงกิจกรรมนี้ว่า...โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมในอดีตอยู่ภายในพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งมีศาลของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ให้เป็นสถานที่กราบไหว้ สักการบูชาของนักเรียนจากรุ่นสู่รุ่น มาโดยตลอด

    ต่อมาเมื่อปี 2545 จึงย้ายไปที่บริเวณบึงแก่นใหญ่ ตำบลท่าทอง

    O O O

    ...แม้ว่าจะออกจากพื้นที่แห่งนี้แล้ว ทั้งศิษย์เก่าและปัจจุบันก็ยัง ศรัทธาและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ มาอย่างต่อเนื่อง

    และ...เพื่อให้เหล่านักเรียนและศิษย์ได้มีโอกาสสักการบูชาดั่งเช่นอดีต ที่เคยปฏิบัติกันมา สมาคมฯ จึงขออนุญาตจัดสร้างพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระอิริยาบถประทับยืน ทรงถือพระแสงดาบ ขึ้น...

    หลังแล้วเสร็จและ ทำพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะนำไปประดิษฐานที่พระบรมราชานุสาวรีย์โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม สถานที่ปัจจุบัน

    เป็นการ เชื่อมต่อ สืบสานศรัทธา...ใน พระบารมีบรรพกษัตริย์ที่เกรียงไกร...!!!

    O O O

    [​IMG]
    พระอาจารย์สังข์กา แม่แรงในการสร้างรูปหล่อพระนเรศวรฯ

    สมเด็จพระนเรศวรฯ.....เป็น มหาราช ชาตินักรบ ที่เรืองอำนาจแผ่ไพศาลไปทั่วสุวรรณภูมิ จะเห็นได้ว่า แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาสมัยนั้นมีอาณาเขตกว้างใหญ่กว่ายุคอื่นๆ

    จากบันทึก.....ทางประวัติศาสตร์แห่งปี พ.ศ. 2138 ยังได้กรีธาทัพยกพล 120,000 คนเข้าล้อมกรุงหงสาวดีไว้นานถึง 3 เดือน (จากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ)

    ถือว่า...เป็น กษัตริย์ ไทยพระองค์แรกที่กล้าไปลูบหนวดเสือในหงสาวดี อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จากนั้นอีก 4 ปีก็ยกไปอีกเป็นครั้งที่ 2 แต่ยังไม่สำเร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน

    และ....ในปี 2138 หลังยกทัพกลับจากหงสาวดีก็ได้ เข้าไปตีเขมร เมืองพระตะบอง โพธิสัตว์ บริบูรณ์ บันทายมาศ ป่าสัก พนมเปญ เสียมราฐ ล้อมตรึงเมืองละแวกซึ่งเป็นราชธานีเขมรในสมัยนั้น และ ตีแตกย่อยยับ

    .....แล้ว จับตัวพระยาละแวก (นักพระสัฎฐา) เข้าสู่พิธีปฐมกรรม

    O O O

    จนผ่านล่วงลุถึง 404 ปี (พ.ศ. 2542)....พระอาจารย์สังข์กา มหาปัญโญ ธุดงค์เข้า สู่ชายแดนไทยเขมร ได้เข้าสมาธิจิตถ่ายรูป ในอากาศช่วงคืนหนึ่ง

    เมื่อล้างฟิล์มออกมา เป็นที่น่า อัศจรรย์มากจาก 36 เฟรม ติดรูปเพียงเฟรมเดียว และ เป็นรูปขององค์พระนเรศวรฯ จึงตั้งจิตอธิษฐานตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาว่า...

    ...ถ้า มีโอกาสเมื่อใดจะสร้างองค์พระนเรศวรมหาราช เพื่อให้ผู้ คนทั้งหลายได้กราบไหว้ บูชาในพระบารมีของพระองค์

    O O O

    [​IMG]
    อาคารสมเด็จพระนเรศวรฯ ในวัดเวียงเชียงรุ้ง

    พระอาจารย์สังข์กา มหาปัญโญ เป็นพระลูกวัด วัดเวียงเชียงรุ้ง บ้านห้วยเคียนใต้ หมู่ 10 ตำบลทุ่งก่อ อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย

    สงฆ์รูปนี้ เป็นคนอีสานโดยกำเนิด เกิดที่บ้านบุ่งเกลือ ตำบลเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบันหมู่บ้านบ้านบุ่งเกลือขึ้นกับตำบลเมืองใหม่ อำเภอเสลภูมิ ครอบครัวอพยพหนีภัยน้ำท่วม ขึ้นเชียงรายตั้งแต่ปี 2509 เนื่องจากตอนนั้นเริ่มสร้างอ่างเก็บ น้ำบุ่งเกลือ

    ตอนนั้น พื้นที่วัดเวียงเชียงรุ้งเดิมทีเป็นเมืองร้าง รกเป็นป่า 500 กว่าไร่ ชาวบ้านใช้เป็นพื้นที่หาของป่า เลี้ยงวัว ควาย ฯลฯ ต่อมาจึงได้กันพื้นที่เป็นวัด ส่วนหนึ่งก็ถูกชาวบ้านบุกรุกแปรรูปเป็นพื้นที่ทำกิน

    O O O

    พระอาจารย์สังข์กาผ่านการเกณฑ์ทหาร จับใบดำ จึงเข้าสู่อุปสมบท แล้วไปเรียนพระธรรมวินัยที่ จิตตภาวัน บางละมุง ชลบุรี

    ....ผ่าน นวกะ สู่พรรษาที่ 9 มีความรู้ในทางธรรมแตกฉานแล้ว จึงออกธุดงค์ จากจิตตภาวันเข้าสู่ภาคตะวันออก ผ่านจังหวัดปราจีนบุรี สระแก้ว อุบลราชธานี มุกดาหาร นครพนม หนองคาย เลย อุตรดิตถ์ น่าน กลับถึง เชียงราย ในปี 2544...จึงได้เข้าจำพรรษาเป็นพระลูกวัด วัดเวียงเชียงรุ้ง

    ซึ่ง...ใช้เวลาในการบ่มเพาะปฏิปทายาวนานถึง 10 ปี ในการตั้งจิต จากที่ได้พบปาฏิหาริย์ด้วยการถ่ายภาพเมื่อปี 2542 ซึ่งได้ศึกษาว่า ในอดีตสมเด็จพระนเรศวรฯนั้นเคยเสด็จผ่านพื้นที่ที่เคยเป็นวัดเวียงเชียงรุ้งแห่งนี้ จึงอยากจะสร้างรูปของพระองค์ท่านให้ประดิษฐานเพื่อเป็นอนุสรณ์

    และช่วงคาบเวลาแห่งฤกษ์ก่อนเข้าพรรษา....วันอังคารขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 คือวันที่ 23 มิถุนายน 2552 ตามลิขิตของดวงดาวเหมาะต่อการ สร้างรูปหล่อองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    เลยกำหนด....เวลา 09.09 ทำ พิธีพราหมณ์ บวงสรวงเทพยดาและ อัญเชิญดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรฯ...จนถึง 10.09 จึง เททองหล่อรูปองค์พระนเรศวรฯและพระสงฆ์ สวดเบิกพุทธาภิเษก

    O O O

    [​IMG]
    กุฏิพระอาจารย์สังข์กาที่ปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ภายในวัดฯ

    องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช...ที่หล่อด้วยโลหะรมดำ ประทับท่านั่งทรงพระขรรค์ ขนาดเท่าองค์จริง เมื่อแล้วเสร็จจะนำ ประทับบนพระแท่นในหอศาล หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ...

    เพื่อ...ประทานบารมีแก่ไพร่ฟ้าที่อยู่เบื้องล่าง และ ต้านภัย สกัดเสนียดจัญไรที่จะมาแผ้วพานประเทศ

    การทำรูปหล่อองค์พระนเรศวรมหาราชในครั้งนี้ สร้างขึ้นองค์เดียวโดดให้เป็นเด่น มิได้มีองค์เล็กเสริมเพื่อพุทธพาณิชย์แต่อย่างใด ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ที่ได้สะสมมายาวนานถึงทศวรรษ

    ให้ ผู้ที่ร่วมได้รับกุศลอย่างเต็มที่...โดยไม่มีอะไรเคลือบแฝง...!!!​
    ก้อง กังฟู
     
  11. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    <TABLE class=A14 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>เมื่อ เวลา 09.09 น.วันที่ 23 มิ.ย.พล.ท.คมน์ จันทร์เด่นแสง นายทหารพิเศษประจำกรมนักเรียนนายร้อยรักษาพระองค์ โรงเรียนนายร้อยจุลจอมเกล้า

    เดินทางไปเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการเททอง
    หล่อ พระบรมรูปองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

    ณ วัดเวียงเชียงรุ้ง ต.ทุ่งก่อ อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย ที่พระอาจารย์สังกา มหาปัญโญ ร่วมกับสานุศิษย์ผู้ศรัทธา อาทิ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชนและนักเรียนชาวอำเภอเวียงเชียงรุ้งสร้างขึ้นโดยมีพระเกจิคณาจารย์ดัง ทางภาคเหนือจำนวน 4 รูป นั่งปรกอธิฐานจิตทั้งสี่ทิศ

    ระหว่างที่พราห์มกำลังทำพิธีอยู่นั้นได้เกิดปฏิหาริย์ท้องฟ้ามืดครึ้มลง
    สร้างความเลื่อมใสให้กับประชาชนที่มาร่วมพิธีนับพันคนต่้างพากันยกมือไว้ ท่วมหัวด้วย

    พล.ท.คมน์ กล่าวว่า การจัดสร้างพระบรมรูปองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในครั้งนี้เพื่อเป็นการเทิด พระเกียรติและเผยแผ่บุญญาธิการของพระองค์

    เพื่อให้ประชาชนผู้เลื่อมใสเคารพศรัทธาได้มีโอกาสกราบไหว้บูชา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้ประชาชนคนไทยได้มีความรักไคร่สามัคคีตาม โครงการสร้างความสามัคคีทั่วประเทศของรัฐบาล ส่วนพระบรมรูปได้จัดสร้างขนาดเท่าพระองค์จริง ความสูงความสูง 1.50 เมตร ในลักษณะประทับนั่งท่าพระขรรค์ โลหะรมดำและเมื่อการหล่อพระบรมรูปพระนเรศวรฯเสร็จสิ้นลงจะมีการอัญเชิญไป ประดิษฐานไว้ในหอศาลในวัดเวียงเชียงรุ้ง โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือเพื่อประทานบารมี แก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้มีความร่มเย็นสงบสุขตลอด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2009
  12. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    -ขออนุโมทนากับคุณทางสายธาตุและคุณโมเย ครับ

    -ยังมีช็อตเด็ด (ภาษานักกอล์ฟ) ที่ท่านอาจารย์สังข์กาท่านยังไม่ได้

    เล่าอีกครับ กำลังติดต่อเพื่อขอให้ท่านได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหา

    ได้รับรู้รับทราบเพื่อประดับสติปัญญาและเป็นมิ่งมหามงคล หากเป็น

    การสมควร อันที่จริงถ้าใครได้ติดตามบ้านหลังนี้มาโดยตลอดอาจ

    จะได้มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้แล้วบ้างก็เป็นได้ เพราะผมได้นำมาโพสต์

    ไว้เป็นสังเขปเมื่อเร็วๆนี้ แต่ภายหลังที่กลับเข้าไปแก้ไขในบางถ้อยคำ

    ข้อความทั้งหมดก็หายไป ยังงงอยู่ เข้าใจว่าอาจจะยังไม่ใช่เวลาที่

    เหมาะสม

    -กำหนดพิธีเปิดศาลฯ วันที่ ๑๑ ธันวาคม นี้นะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2009
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระ

    ราชนิพนธ์ไว้ในนิราศท่าดินแดง ความตอนหนึ่งว่า

    ตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา

    ป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรี

    บทพระราชนิพนธ์ดังกล่าวที่อัญเชิญมา แม้เป็นเพียงข้อความแสดงความ

    รู้สึกในนิราศ แต่ก็เป็นเสมือนพระราชปณิธานอันแรงกล้าขององค์พระมหา

    กษัตริย์ ผู้ทรงสำนึกในหน้าที่ตามโบราณราชประเพณีของการเป็นพระมหา

    กษัตริย์ไทยโดยแท้

    ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์สืบเนื่องติดต่อกันมา

    นานนับพันปี ตั้งแต่ครั้งที่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศจีน แม้ปัจจุบันการปก

    ครองประเทศจะเปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประ

    ชาธิปไตยแล้วก็ตาม แต่ประชาชนก็ยังยกย่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ใน

    ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ทรงคุณอันประเสริฐควรแก่การ

    สักการบูชา............

    ปัจจุบัน สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะที่ประชาชนรักและเทิดทูน

    ฝ่ายองค์พระมหากษัตริย์ก็ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะทรงรับผิดชอบใน

    พระราชภารกิจที่ทรงมี ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทรงอยู่ในฐานะอย่าง

    นั้น ดังพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ที่ประชาชนทั้งหลายได้ประจักษ์แล้ว

    ทั้งด้วยตนเองและจากสื่อมวลชนต่างๆ สมดังพระราชปฐมบรมราชโองการ

    ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชรัชกาลปัจจุบัน

    ในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่ว่า

    " เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม

    เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"


    ๐๐๐ แหล่งที่มา หนังสือ ราชาศัพท์ : สนิท บุญฤทธิ์
     
  14. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดพระพุทธบาทสี่รอย

    วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่
    สัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัปที่สำคัญที่สุดในจักรวาล
    เนาว์ นรญาณ


    [​IMG] นับตั้งแต่มีธาตุมีธรรมบังเกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในกาลอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตอันมิอาจจะกำหนดขอบเขตที่สิ้นสุดได้ก็ตามที ยอดแห่งเอกอัครมหาบุรุษเพียงหนึ่งเดียว ผู้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมและคุณสมบัติอันเลอเลิศประเสริฐอย่างถึงที่สุดด้วยลักษณาการทั้งปวง ชนิดที่บรรลุถึงขีดขั้นหาที่ติมิได้ หาที่เปรียบมิได้ และหาที่เสมอสองมิได้เท่าที่ประวัติศาสตร์แห่งมวลหมู่มนุษยชาติจะพึงได้พบได้เห็นหรือได้รู้จัก แม้เพียงยลยินเพียงด้วยชื่ออย่างแท้จริงนั้น ย่อมไม่อาจจะที่จะเป็นใดอื่นไปได้อีกแล้ว นอกจากพระบรมศาสดาแห่งบวรพระพุทธศาสนา ผู้มีพระนามอันบังเกิดแต่พระคุณแห่งพระองค์เองทั้งสิ้นว่า “สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” เป็นแน่นอน.... องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ผู้ทรงพระสวัสดิโสภาคย์ทั้งหลายนั้น ทรงเป็นจอมอรหันต์ผู้อนุตรบุคคล คือทรงเป็นบุคคลเอก เป็นหนึ่งไม่มีสอง หาผู้ใดเสมอเหมือนมิได้ เพราะทรงกอรปไปด้วยคุณาธิคุณอันยอดยิ่งกว่าผู้ทรงคุณอื่นๆทั่วไป ด้วยต้องทรงสร้างสมอบรมอธิการบารมีทั้ง 30 ทัศมาอย่างเหลือล้น จนสุดที่จะนับจะประมาณได้ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องยาวนานถึง 20 อสงไขย 100,000 มหากัป สำหรับ “พระปัญญาธิกะพุทธเจ้า”(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยปัญญา) ส่วน “พระสัทธาธิกะพุทธเจ้า”(พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยศรัทธา) หรือ “พระวิริยาธิกะพุทธเจ้า” (พระพุทธเจ้าผู้ยิ่งด้วยวิริยะความพากเพียร) ก็ยิ่งต้องใช้เวลาสร้างพระบารมีเป็นทบเท่าทวีคูณ ถึง 40 และ 80 อสงไขย กำไร 100,000 มหากัปตามลำดับ จึงจักสามารถตรัสรู้พระปรมาภิเษก สำเร็จยังพระสร้อยศรีสรรเพชญ์พุทธรัตนอนาวรญาณเป็นองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งปวงอย่างสมบูรณ์แบบและสมภาคภูมิอย่างแท้จริงได้ เพราะด้วยเหตุที่การอุบัติบังเกิดขึ้นของที่สุดแห่งอัจฉริยบุคคลอันดับหนึ่งเฉกเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น ย่อมจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยเหตุแห่งเงื่อนไข,จิตใจ,ข้อจำกัดและระยะแห่งกาลที่ยาวนานจนเหลือที่จะนับได้ดังกล่าว จึงมีสรรพชีวิตเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่จักสามารถอดทน อดกลั้น ฟันฝ่าต่ออุปสรรค ความยากลำบาก และมหันตทุกข์ในสังสารวัฏต่างๆ สร้างสมไตรทศบารมีทั้ง 30 ประการจนตลอดรอดฝั่ง ถึงขั้นสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ดังปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ว่า ในตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัป ที่ผ่านพ้นมา ได้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกเพียง “28” พระองค์เท่านั้น โดยบางกัป ก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียงพระองค์เดียว บางกัปก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เพียง 2 หรือ 3 หรือ 4 พระองค์ และบางพุทธันดร(ช่วงเวลาจากพุทธสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งถึงพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง)บางคราว ก็ยืดยาวนานถึง 70,000 กัป ถึง อสงไขยกัปก็มี ซึ่งการดังกล่าวย่อมเป็นการยืนยันถึงพระพุทธพจน์หนึ่งให้เป็นที่แจ้งใจทั่วไปเป็นอย่างดีที่สุดว่า “กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท” หรือ “การบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ยากยิ่ง” โดยแท้ฯ และด้วยเหตุที่การอุบัติบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หาได้ยากยิ่งเยี่ยงนี้นี่เอง ตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัปที่ผ่านมา ตลอดไปจนถึงพระพุทธเจ้าอีก 10 พระองค์ ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ “อนาคตวงศ์”ก็ตาม สรรพชีวิตและโลกทั้งสิ้นก็ยังไม่เคยที่จะมีบุญวาสนาสูงสุดที่จะได้ประสพพบกับช่วงเวลาอันประเสริฐสุด ที่เรียกว่า “มหาภัทรกัป” คือกัปอันเจริญ ที่ประดับด้วยการอุบัติบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้ามากถึง 5 พระองค์ในกัปๆเดียวอย่างที่เราท่านทั้งหลายกำลังดำรงอยู่ในขณะปัจจุบัน ณ.บัดเดี๋ยวนี้เลยจริงๆ

    เอโก พุทฺโธ สารกปฺเป มณฺฑกปฺเป ชินา ทุเว
    วรกปฺเป ตโย พุทฺธา สารมณฺเฑ จตุโร พุทฺธา
    ปญฺจ พุทฺธา ภทฺทกปฺเป ตโต นตฺถาธิกา ชินา
    ในสารกัป มีพระพุทธเจ้า 1 พระองค์
    ในมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์
    ในวรกัป มีพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
    ในสารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์
    ในภัทรกัป มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
    พระพุทธเจ้ามากกว่านี้ ไม่มี
    [​IMG]

    ก็หลักฐานหรือพยานทางวัตถุเพียงหนึ่งเดียว ที่เป็นเครื่องแสดงและยืนยันถึงการเสด็จขึ้นมาแล้วแห่งพระพุทธเจ้าถึง 4-5 พระองค์ ของช่วงเวลาแห่ง “มหาภัทรกัป”ที่ชัดเจนและชัดแจ้งที่สุดเท่าที่โลกทั้งสิ้นอาจสามารถพึงพบพึงเห็นและเข้าพิสูจน์ได้ด้วยตาด้วยใจแห่งตนอย่างสิ้นสงสัยสิ้นเชิงนั้น โดยแท้แล้วก็คือ “พระพุทธบาทสี่รอย” อันเป็นรอยพระพุทธบาทแห่งองค์สมเด็จพระโลกนาถ สัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ซึ่งปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่นี่เอง....

    สำหรับพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ นับเป็นมหาปูชนียสถานพิเศษที่ทรงไว้ซึ่งความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งยวด ด้วยเป็น “บริโภคเจดีย์”ที่เนื่องโดยตรงในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้เสด็จอุบัติขึ้นมาแล้วถึง 4 พระองค์คือ

    1. พระกกุสันธพุทธเจ้า
    2. พระโกนาคมนพุทธเจ้า
    3. พระกัสสปพุทธเจ้า
    4. พระโคตมพุทธเจ้า(พระองค์ปัจจุบัน)

    [​IMG]

    โดยรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ ได้ปรากฏเป็นรอยลึกลดหลั่นลงไปในแท่งหินใหญ่บนยอดเขาสูงในเขตป่าดงดิบอันลึกล้ำมาแต่บูรพกาล แม้พระไตรปิฎก ก็ยังได้จดจารึกบันทึกพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ไว้ในฐานะ 1 ใน 5 รอยพระพุทธบาทที่สำคัญที่สุดมาเนิ่นนานกว่า 20 ศตวรรษ ในนามรอยพระพุทธบาทแห่ง “โยนกปุระ”
    หมายเหตุ , รอยพระพุทธบาท 5 แห่งที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ประกอบด้วย
    1. สุวัณณมาลิก (ลังกา)
    2. เขาสัจจพันธ์คีรี (สระบุรี ประเทศไทย)
    3. เขาสุมนกูฏ (ลังกา)
    4. แม่น้ำนัมมทานที (อินเดียหรือพม่า)
    5. โยนกปุระ (ดินแดนทางภาคเหนือของไทย)ที่เคยเป็นอาณาจักรล้านนา ที่นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดีทั่วโลกต่าง

    สืบเสาะแสวงหากันมาเนิ่นนานก็ได้ปรากฏหลักฐานทั้งทางฝ่ายวัตถุและบุคคล ดังเช่น คำบอกเล่าของพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) วัดวังก์วิเวการาม กาญจนบุรี ก็ได้เคยเล่าให้ผู้เขียน(เนาว์ นรญาณ) ฟังโดยตรงเมื่อประมาณปีพ.ศ. 2538-2539 ว่า “พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เราเคยได้ธุดงค์ไปกราบมาแล้ว...”

    [​IMG]

    “สมัยก่อน ตอนที่เรายังธุดงค์อยู่ในเขตภาคเหนือนั้น เราเคยได้ยินเขาเล่าลือกันว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่ที่โยนกนคร(ปุระ) เราก็ธุดงค์ไปหาอยู่ สมัยที่เราไปนั้น เป็นราวพ.ศ. 2490 ถนนหนทางยังไม่มี เราต้องธุดงค์ข้ามเขาไปหลายลูก จึงไปถึง พบเป็น 4 รอยพระบาท...” และที่สำคัญที่สุด ก็คือการที่หลวงพ่ออุตตมะได้กล่าวย้ำอย่างหนักแน่นว่า “พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าทรงเหยียบไว้เองจริงๆนะ..!!!!!” และ “พระพุทธบาทสี่รอยนี้ ทางเมืองนอก(พม่า)เขาก็รู้ และเสาะหาอยู่เหมือนกัน คิดกันไปว่าน่าจะอยู่ในเขตพม่า แต่จริงๆแล้ว ก็มาอยู่ที่เมืองไทยเรานี่แหละ....”

    นอกจากนี้ หลักฐานในทางวัตถุที่ยืนยันว่า รอยพระพุทธบาทแห่ง “โยนกปุระ” แท้จริงแล้วก็คือ “พระพุทธบาทสี่รอย” ก็คือ แผ่นศิลาจารึก ที่ติดอยู่บนพื้นผนังกำแพงมุขหลังพระวิหาร พระนาคปรก วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กทม. อันสถาปนามาแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในศิลาจารึกนั้น ได้บรรยายถึงรอยพระพุทธบาททั้ง 5 แห่ง โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทที่โยนกปุระนั้น ในศิลาจารึกแผ่นนี้ ได้ขยายความระบุถึงที่ประดิษฐานไว้อย่างชัดเจนยิ่งว่า

    “รอยพระพุทธบาท อันพระพุทธเจ้าทรงประดิษฐานไว้บนยอดเขา “รังรุ้ง” แดนโยนกประเทศ คือเมืองเชียงใหม่”
    ยิ่งไปกว่านี้ หลักฐานในทางวัตถุที่สำคัญอย่างยิ่งยวดอีกประการก็คือ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” อันว่าด้วยเรื่องราวต่างๆของกรุงศรีอยุธยา ที่พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่าให้อาลักษณ์บันทึกรับสั่งของเจ้าฟ้าอุทมพร(ขุนหลวงหาวัด) ภายหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ. 2310 ไว้อย่างละเอียด โดยตอนหนึ่งได้กล่าวถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จพระราชดำเนินปทรงนมัสการพระพุทธบาทสี่รอย (สมัยโบรารเรียก “พระพุทธบาทรังรุ้ง) ไว้อย่างชัดเจนว่า

    “....สมัยสมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปรบที่เมืองหาง พระองค์ทรงทราบว่า มีรอยพระพุทธบาทอยู่บนยอดเขา เรียก “เขารังรุ้ง” จึงได้เสด็จขึ้นไปนมัสการ ทรงเปลื้องเครื่องทรง ทั้งสังวาลและภูษา แล้วทรงถวายไว้ในรอยพระบาท และทำสักการบูชาด้วยธง ธูปเทียน ข้าวตอกดอกไม้ มีเครื่องทั้งปวงเป็นอันมาก แล้วจึงทำการพิธีสมโภชอยู่เจ็ดราตรี”

    ด้วยเหตุดังพรรณนามานี้เอง “พระพุทธบาทสี่รอย” ที่มีหลายชื่อหลายนาม ไม่ว่าจะเป็น “พระพุทธบาทรังรุ้ง” หรือ “พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ” จึงเป็นรอยพระพุทธบาทรอยแรกที่คนไทยได้เคยค้นพบและกราบนมัสการ สมดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยได้ทรงรับรองไว้


    ครั้งหนึ่งว่า [​IMG]

    “พระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยด้วยเหตุนี้ แม้พระเดชพระคุณพระญาณสิทธาจารย์ หรือหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร พระอริยเจ้าผู้ทรงคุณธรรมและญาณสมาบัติชั้นสูงสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ แห่งสำนักถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ก็เคยธุดงค์ไปกราบพระพุทธบาทสี่รอย และนำมาเทศนาบอกเล่ารับรอง ภายหลังจากตรวจการทั้งปวงด้วยญาณวิถีแห่งพระอรหันตเจ้าที่ไม่มีกิเลสาสวะใดมากีดกันปิดกั้นได้แก่บรรดาศิษยานุศิษย์เป็นหลายครั้ง จนพระพุทธบาทสี่รอยแห่งนี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นและแพร่หลายกันโดยทั่วไปในเวลาต่อมาว่า

    “ในเขตเชียงใหม่นี้ ยังมีพระบาทสี่รอย อยู่ในเขตอำเภอแม่ริม แต่ว่าลึกเข้าไปในภูเขาหลวงปู่ผู้เทศน์ไปดูมาแล้ว ไปกราบไปไหว้ มันเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ เป็นก้อนสี่เหลี่ยมขึ้นไปอยู่ข้างริมแม่น้ำ.....พระพุทธเจ้ากกุสันโธ ได้มาตรัสรู้ในโลก ท่านก็มาเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ในยอดก้อนหินนั้น ยาวขนาด 12 ศอก...ขนาดนั้น.... พระพุทธเจ้ากกุสันโธก็โปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย นำพระสาวก อุบาสก อุบาสิกาไปสู่นิพพาน

    เมื่อหมดศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสันโธแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้าโกนาคมโน ก็มาตรัสมาสอนรื้อขนสัตว์ไปอีก ก่อนนิพพาน ท่านก็มาเหยียบไว้ที่พระบาทแม่ริมนี้ เป็นรอยที่สอง (ขนาด) ลดลงมา คือคนสมัยนั้นก็เรียกว่า มันกำลังทดลง ไม่ได้ใหญ่ขึ้น(ตัวเล็กลง)
    เมื่อพระพุทธเจ้าโกนาคมโนนิพพานไปพร้อมด้วยสาวกแล้วศาสนธรรมคำสอนท่านหมดไป ก็ มาถึงพระสั มมาสัมพุทธเจ้ากัสสโปมาตรัสรู้ ท่านก็มาเหยียบไว้ ได้สามรอยละ....
    เมื่อศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสโปหมดไปแล้ว มาถึงศาสนาพระพุทธเจ้าของเราในปัจจุบันนี้ ให้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าโคตมโคตร พระพุทธเจ้าโคดมมาตรัสรู้ ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ก็มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในก้อนหินก้อนเดียวกัน จึงให้ชื่อว่า “พระพุทธบาทสี่รอย”.......

    คือในโลกนี้แผ่นดินนี้ ยังเหลืออยู่อีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่เราทุกคนได้ยินได้ฟังกันมาจนชินหูแล้วก็มี ว่ายังมีพระศรีอาริยเมตไตรโยโพธิสัตว์ จะมาตรัสรู้เป็นองค์สุดท้าย เมื่อตรัสรู้แล้ว โปรดเวไนยสัตว์แล้ว ก็มาเหยียบไว้อีก เหยียบทีนี้น่ะดูเหมือนจะใหญ่ คือว่าเหยียบเต็มเลย ก็คล้ายๆกันกับว่า เหยียบปิดเลย ละลายหินก้อนนั้น เพราะว่าเมื่อหมดศาสนาพระศรีอาริย์แล้ว.....ก็ไม่มีศาสดาใดที่จะมาตรัสรู้อีก เรียกว่า แผ่นดินที่เราเกิดนี้ นับว่าเป็นแผ่นดินที่ร่ำรวยที่สุด ....แผ่นดินนี้เรียกว่า “ภัทรกัป มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ได้ห้าพระองค์....”

    หรือแม้แต่ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระอริยเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อย่างยวดยิ่งแห่งวัดป่าอรัญญวิเวก จ.นครพนม เมื่อครั้งยังเที่ยวธุดงค์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยเช่นกันว่า “พระพุทธบาทสี่รอยนี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งมหาภัทรกัป ที่มีความสำคัญที่สุดในจักรวาล...”

    ด้วยเหตุดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เอง จึงเป็นที่สมมุตยุติสรุปการทั้งปวงได้อย่างสิ้นสงสัยอย่างสิ้นเชิงแล้วว่า อัน “พระพุทธบาทแห่งโยนกปุระ” หรือ “พระพุทธบาทรังรุ้ง” และหรือ “พระพุทธบาทสี่รอย” ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ ที่วัดพระพุทธบาทสี่รอย ต.สะลวง อ. แม่ริม จ.เชียงใหม่ดังที่พรรณนามานี้ เป็นรอยพระพุทธบาทที่แท้จริง และมีความสำคัญอย่างที่สุด อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนตลอดระยะเวลา 4 อสงไขย 100,000 มหากัปถึงเพียงไหน..???

    เพราะที่สุด พระคุณเจ้า หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ พระผู้ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานแห่งยุคก็ยังได้เคยพยากรณ์ไว้ เมื่อครั้งที่หลวงปู่สิมยังเป็นสามเณรอยู่ว่า “เณรสิมนี้ ยังเป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ถ้าเบ่งบานเมื่อได้ จะหอมกว่าหมู่” เมื่อได้เล็งญาณพิจารณาการทั้งสิ้นแล้ว จึงได้กล่าวสรุปปิดท้ายไว้ก่อนละสังขารไม่นานว่า
    “พระบาทสี่รอยนี้ เป็นที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาเหยียบรอยพระบาทไว้เองจริงๆ....”
    “รอยพระบาทที่จังหวัดสระบุรี เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าโคดมเพียงพระองค์เดียว แต่ที่พระบาทสี่รอยนั้น เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ ไหว้พระบาทสี่รอยครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับได้ไหว้พระพุทธเจ้ารวดเดียวถึง 4 พระองค์นั่นแหละ....”

    [​IMG][​IMG]

    และที่สำคัญอย่างยิ่งที่สุดก็คือ
    “การที่ได้ไปกราบไปไหว้ไปทำบุญ นั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาที่พระบาทสี่รอยนี้ จะทำให้ได้บุญเพิ่มมากขึ้นถึง 4 เท่าเลยทีเดียวนะ..!!!!!”

    และด้วยอานุภาพแห่ง “อริยวาทะ”แห่งพระอรหันตเจ้าเยี่ยง “หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร” ที่การันตีถึงความ “จริง”และ “แท้”ของ “พระพุทธบาทสี่รอย” ว่า เป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าถึง 4 พระองค์ได้เสด็จมาทรงประทับรอยพระบาทไว้ด้วยพระองค์เองอย่างแท้จริงดังว่านี้เอง จึงทำให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย เกิด “อจลศรัทธา” คือความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธบาทสี่รอยอย่างยิ่งยวดและไม่หวั่นไหว ต่างก็พากันแห่โหมไปกราบไปไหว้ ไปกระทำอภิสักการะบูชาอย่างยิ่งใหญ่และต่อเนื่องมิได้ขาดจนถึงที่ โดยไม่หวั่นต่อความยากลำบากด้วยประการไรๆ จนส่งผลให้วัดพระพุทธบาทสี่รอย จากที่เคยเป็นเพียงวัดโบราณอันรกร้างและชำรุดคร่ำคร่าบนยอดเขาสูงกลางป่าดงดิบอันไกลโพ้น กลับกลายสภาพเป็นพระอารามที่สวยสดงดงามวิจิตรอลังการอย่างน่าอัศจรรย์เป็นที่สุด ปานประหนึ่งดังได้ชลอเอาเทวพิภพมาทบเทียบลงยังพื้นโลกก็มิปาน ดังที่ทุกๆท่านอาจสามารถแจ้งประจักษ์แก่ตาแก่ใจได้ในในปรัตยุบันวารนี้โดยแท้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2009
  15. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    วัดราชบรรทม อ.นครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

    วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อปี พ.ศ. 2129 ในระหว่างที่ทรงปล้นค่ายพม่า วันหนึ่งทรงยกกองกำลังทหารของพระองค์มาพักทัพที่บริเวณวัดนี้ รอกองกำลังทหารมาสบทบเพิ่ม ทรงเหน็ดเหนือย พระองค์ทรงพักผ่อนโดยทรงบรรทมใต้ต้นโพธิ์ พระองค์ทรงโปรดให้สร้างวัดขึ้นที่นี่ โดยให้โบสถ์ใกล้กับต้นโพธิ์ต้นนี้ โปรดให้ชื่อ วัดราชบรรมทม


    ลวดลายตกแต่งสถาปัตยกรรมที่สำคัญมีลายหน้าบันพระอุโบสถวัดราชบรรทม เป็นลายกนกขมวดเป็นก้นหอย ตรงกลางเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ซ้อนเป็นชั้น

    อ่านจากหนังสือของ พ.ท. กิตติพงษ์ ศรีนันทลักษณ์ เล่มหนึ่งค่ะ ไม่มีหนังสือเล่มนี้ไว้ในครอบครอง แต่อยากเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์นี้ให้ฟังค่ะ

    พระองค์ท่านทรงเหน็ดเหนื่อยเพียงใดในการต่อสู้ชิงบ้านชิงเมืองคืนจากพม่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวไทยล้นเกล้าล้นกระหม่อม


    อ้างอิง ศึกทัพหงสาวดีล้อมกรุงศรีฯ หลังจากทัพหงสากลับไปแล้ว สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกพลไปทางทะเล ไปปราบสมเด็จละแวก


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  16. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    โมเย อยู่แม่ริม แต่ยังไม่เคยไปกราบนมัสการ พระพุทธบาทสี่รอย เลยค่ะพี่ทางสายธาตุ
    เอาไว้ พี่มาเี่ที่ยวเชียงใหม่ เราไปกราบพระพุทธบาทสี่รอยด้วยกันนะคะ
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เพลง เทิดไท้ พระสุพรรณกัลยา

    [​IMG]



    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.774001/[/MUSIC]​

    เทิดพระเกียรติ สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา

    กัญนัทธ์ ศิริ ประพันธ์/ ขับร้อง<!-- google_ad_section_end -->

    สงวนลิขสิทธ์ มีนาคม 2552
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 03 Track 3.wma
      ขนาดไฟล์:
      6.1 MB
      เปิดดู:
      7,076
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3.6 MB
      เปิดดู:
      2,132
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2009
  18. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ฟังแล้วน้ำตาไหลค่ะ

    ขอบคุณสำหรับเพลงดีๆค่ะคุณโมเย

    ขอร่วมอนุโมทนาค่ะ
     
  19. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    สาธุ ขออนุโมทนากับพี่โมเย และพี่ทางสายธาตุ ครับ ฟอร์ทชอบเพลงนี้

    มากครับ ฟังแล้วใจหาย น้ำตาซึม นึกถึงความเสียสละของพระองค์ท่าน

    หญิงไทยใจแกร่ง มือก็ไกว ดาบก็แกว่ง
     
  20. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    <TABLE class=tborder id=post2164567 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">[​IMG] 07-06-2009, 04:35 PM </TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right> #[​IMG]

    ............................
    แต่การเข้าได้มาคุยกันในกระทู้มันก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบนะครับ คล้ายๆการพูดคนเดียว กลับมาพูดคุยเกี่ยวกับเพลงของพี่โมเยต่อนะครับ เพื่อคนที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังจะได้รับรู้รับทราบกันบ้าง ฟอร์ทเคยพูดถึงเพลงพระสุพรรณกัลยา ไว้บางตอน ลองติดตามกันนะครับ " ...ต้องจำพรากไกลจากจร จากถิ่นฟ้าเคยนอน ต้องจำจรไกลร้างห่างเมือง "ไกล..โอ้ไกล แผ่นดินถิ่นกำเนิดมา ห่วงรักในอนุชา มุ่งสู่หงสา ชีพเป็นเดิมพัน ..."

    ท่านที่พอทราบเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ก็คงจะเข้าถึงความรู้สึกของพระองค์ท่าน โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมใดๆ เพราะผู้ประพันธ์เพลงได้กล่าวบรรยายไว้ได้ครบถ้วนชัดเจน หากได้ฟังเสียงหวานปนเศร้าของท่านผู้ร้องคือพี่โมเย ด้วยแล้ว แทบไม่ต้องบรรยายใดๆกันเลยทีเดียว พูดได้คำเดียวว่าน้ำตาซึม แค่คำว่า "ห่วงรักในอนุชา " ซึ่งหมายถึงสมเด็จพระนเรศวร ที่ต้องไปเป็นตัวประกันที่หงสา คงจำกันได้นะครับ

    ยังมีอีกครับ ไหนๆได้พูดคุยกันแล้วก็ขอต่อให้จบ ...."ยอมสละสิ้นแล้วทุกสิ่ง ต้องละวางทิ้งสุขนับคณา หยดริน ไหลร่วง น้ำตาเพื่อสุขประชาไพร่ฟ้าสราญ "

    .............................

    -ฟอร์ทขออนุญาตนำของเก่ามาเล่าใหม่อีกครั้งครับ ยังเป็นความรู้สึกที่ไม่เปลี่ยนแปลง ขอรับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...