ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    อิทธิพล ศิลปะลายปูนปั้นประดับวัดวรเชษฐ์ ต่องานประดับวัดไชยวัฒนาราม

    ศิลปลวดลายปูนปั้นประดับที่วัดวรเชษฐ์ สืบเนื่องมายังลายปูนปั้นประดับวัดไชยวัฒนาราม

    อิทธิพลการประดิษฐ์ลายปูนปั้นประดับเจดีย์ทรงปราสาทยอดที่วัดวรเชษฐ์ (ทางการเรียกวัดนี้ว่า วรเชตุเทพบำรุง) มีอิทธิพลต่อยอดเป็นลายปูนปั้นประดับที่วัดไชยวัฒนาราม อย่างต่อเนื่องอาจมีเหตุผลบางอย่างสำหรับความเกี่ยวเนื่องนี้

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210

    โมเยจะ เรียนถามพระอาจารย์ก่อน นะคะว่าใช่หรือเปล่า แล้วจะรีบแจ้งค่ะ

    ส่วนมากพระอาจารย์ จะทำงานเกี่ยวกับ การปั้นพระบรมรูป การหล่อ และภาพวาดเกี่ยวกับสมเด็จพระนเรศวรค่ะ

    ต้อง กราบอนุโมทนา กับภาระกิจ
    เพื่อสมเด็จพระนเรศวร ของพระมหาฤทธิชัย กัลยาโน ด้วยค่ะ

    ทุกคนต่างมีหน้าที่

    ต่างคนต่างทำหน้าที่ เพื่อ เทิดพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวร ในงานที่ต่างกันไป

    โมเยก็ มีหน้าที่ อนุโมทนา กับทุกท่านที่ปฏิบัติดีแ้ล้ว ชอบแล้ว ด้วยค่ะ ^_ู^

    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาุธุ


    -------------------------------------------------------------------------
    อนุโมทนา กับท่านพี่จงรักภักดี

    และอนุโมทนา กับคุณพี่ทางสายธาตุ

    ที่ให้ความกระจ่างเชิงประวัตศาสตร์ศิลป์ ด้วยค่ะ

     
  4. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ถ้าเป็นท่านพระมหาฤทธิชัยวาดเอง ท่านวาดได้เก่งมาก คนนิยมเช่าพระรูปนี้มาบูชา เพราะสวยและสีสันงดงาม

    อาทิตย์หน้าวันตรุษจีน ถ้าว่างๆพี่ทางสายธาตุอาจไปคุยกับพระอาจารย์ค่ะ ได้ยินว่าท่านอยู่สุพรรณบุรีใช่ไหมคะ

    หลังจากจัดหน้าแล้วพิมพ์ออกมาได้ 93 หน้า เดี๋ยวจะนำไปเข้าเล่มแล้วจะอ่านทวนอีกทีค่ะ อยู่ในจอคอมอ่านบางทีไม่เจอคำพิมพ์ผิดเพราะตาลาย

    คงถือว่าสมบูรณ์ในระดับหนึ่งตามแบบคนเขียนบันทึก แม้จะมีปัญหาขลุกขลักอยู่บ้างแต่ทางสายธาตุก็ยังดำรงเจตนาที่จะช่วยรณรงค์ให้บุคคลทั่วไปได้รู้ว่า วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยาคือวัดใด และวัดที่บรรจุพระบรมอัฐิขององค์มหาราชที่สมเด็จพระเอกาทศรถทรงบรรจุเป็นที่แรกคือที่ใด (คาดว่ากษัตริย์โบราณจะแบ่งพระบรมอัฐิบรรจุหลายที่ค่ะอันนี้เป็นทรรศนะส่วนตัว)

    ส่วนเรื่องที่ตามมาเกี่ยวกับวัดไชยวัฒนารามกับวัดชุมพลนิกายาราม อาจจะเผยแพร่หรืออาจจะไม่เผยแพร่ ขอทำจิตนิ่งๆคิดก่อนนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2010
  5. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    ใช่แล้วค่ะ ภาพนี้เป็นภาพ ผลงานของ พระมหาฤทธิชัย กัลยาโน

    ดีค่ะ หากพี่จะได้มีโอกาสไป กราบนมัสการท่าน
    ท่านคงจะเมตตาให้ความรู้ ความกระจ่างในอีกหลายๆเรื่อง

    เพราะโมเยเชื่อว่า พระมหาฤทธิชัย กัลยาโน ท่านย่อม มีเหตุส่วนตัว
    ที่จะ เผยแพร่พระเกียรติ ของสมเด็จพระเนศวรค่ะ

    พระบรมรูป ที่พระราชวังจันทร์ ก็เป็นหนึ่งในผลงานของ ท่านที่สร้างไว้ค่ะ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ท่านไม่ธรรมดาเลยค่ะ ฝีมือเยี่ยม พี่ทางสายธาตุขออนุโมทนาบุญกับท่านด้วยค่ะ


    [​IMG]


    เข้าเวปไซด์ เมื่อสักครู่ ทางสายธาตุนึกศรัทธารูปนี้ค่ะ อยากจะเช่าบูชาพระรูปนี้ สำหรับพระพักตร์ของพระองค์ในรูปนี้ กับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พระรูปทรงดูละม้ายกัน

    www.chaiyanuparp.com ไชยานุภาพพิษณุโลก แผ่นภาพนิทรรศกา&#36
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2010
  7. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    อนุโมทนาจ่ะ นั่งอ่านมานาน ตาเริ่มลาย .....

    อ่านบางช่วงเหตุการณ์ เห็นภาพเลย.....
     
  8. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ภาพถ่ายมุมสูง วัดวรเชษฐ์

    ชอบรูปนี้ด้วยค่ะ วัดวรเชษฐ์

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    สวัสดีแม่หญิงสร้อย อ่านแล้วอาจไม่เข้าใจบ้างต้องขออภัย ตัดออกไปเยอะแล้วจ๊ะ เอาแต่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ไว้เท่านั้น คุยกับน้องโมเยได้ พี่เองต้องปฎิบัติธรรมถวายไท้ทุกพระองค์ท่านให้มากๆเหมือนกันเพราะงานเบื้องบนเทพบนฟ้าเข้า ^^ (อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวค่ะ)
     
  10. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837

    มิเป็นไรจ่ะ เดี๋ยวประติดประต่อเอา คงจะเข้าใจได้ไม่ยาก.... ^^ ....
    เคยอ่านพระราชประวัติของพระองค์บ้างแล้ว แต่ชักจำไม่ได้ เริ่มจำเอามาปนกันมั่วแบบ งงๆ.... เดี่ยวต้องแยกยุคสมัยก่อน....
     
  11. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    พอดีเมื่อกลางๆ เดือนธันวาคมที่ผ่านมาไปเที่ยวภาคเหนือ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน (ไปเจอพี่โมเย ด้วย ดีใจจัง) แล้วผ่านไปวัด ๆ หนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับพระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ แต่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้โดยละเอียด มีแค่เล็กๆ น้อยๆ เอง ก็เลยขอนำมาลงไว้ด้วย ไม่รู้ว่ามีใครเคยลงไว้หรือเปล่าในกระทู้นี้ ภาพใหญ่ไปหน่อยหนึ่งอาจโหลดช้านิดหน่อยนะจ่ะ....




    [​IMG]
    <O:p
    วัดน้ำฮู
    เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองปาย ตั้งห่างจากอำเภอปายประมาณ ๓กิโลเมตร เมื่อมาถึงปายก็ควรเดินทางมานมัสการสักครั้งจากตัวเมืองให้ใช้ถนนเส้นชัยสงครามไปทางทิศทางตะวันตกจะพบวัดนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นวัดน้ำฮู เป็นสถานที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ “หลวงพ่ออุ่นเมือง” เป็นพระพุทธรูปสิงห์สาม ปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒๔นิ้ว สูง ๓๐นิ้ว พร้อมกับสถูปเจดีย์ซึ่งอยู่หลังวิหาร เชื่อกันว่าสร้างในรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระพี่นางสุพรรณกัลยาอายุของหลวงพ่ออุ่นเมืองถึงปัจจุบันนับได้ประมาณ ๕๐๐ปีแล้ว



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]
    หลวงพ่ออุ่นเมือง



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]
    <O:p</O:p
    ในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ ผู้ใหญ่ทอน และนาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>เห็งพงษ์พงษ์คำเต็ม พร้อมด้วยชาวบ้านน้ำฮูได้สร้างศาลาประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งอยู่โคนไม้พร้อมด้วยซากปรักหักพังของเจดีย์ในปี พ.ศ.๒๔๗๔ ครูบาศรีวิชัยนักบุญล้านนาไทยได้นำคณะศิษยานุศิษย์เดินธุดงค์มายังอำเภอปายได้มาเห็นสภาพทรุดโทรมของวัดและได้พบพระพุทธรูปดังกล่าวจึงได้สร้างวิหารขึ้นหนึ่งหลังสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปพร้อมกับสร้างเจดีย์ขึ้นด้านหลังวิหาร ๑ องค์


    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]




    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้มีพระธุดงค์จากต่างจังหวัดมาพักที่วัดได้สังเกตเห็นพระพักตร์ของพระพุทธรูปเป็นโพรงพระโมฬีถอดได้และในโพรงนั้นมีน้ำขังอยู่เต็ม จึงสอบถามชาวบ้านและเจ้าอาวาสก็ไม่มีใครทราบมาก่อนเป็นที่เล่าลือกันอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่มีใครกล้าพิสูจน์ความจริง<O:p</O:p

    ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖ร.อ.ประเสริฐ เรียมศรี นายอำเภอปาย พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการอำเภอปายได้ร่วมทำการอธิษฐานของพิสูจน์ข้อเท็จจริงโดยความร่วมมือจากเจ้าอาวาสและศรัทธาได้ตักน้ำออกจากพระเศียรทั้งหมดใช้สำลีเช็ดจนแห้งสนิท ทำการปิดพระเศียรผูกเชือกประทับตราครั่ง ปิดหน้าต่างประตูทุกบาน ห้ามคนเข้าออก กำหนดเวลา ๕วันเมื่อครบกำหนดได้ทำการเปิดต่อหน้าคณะทำการพิสูจน์ชุดเดิมผลปรากฏว่ามีน้ำขังอยู่ในเศียรของพระพุทธรูปจริงนับเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งตั้งแต่นั้นมาก็มีประชาชนทุกสารทิศได้เข้ามากราบไหว้มิได้ขาด
    <O:p</O:p
    ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ นาย<st1:personName ProductID="อาณัติ บัวขาว" w:st="on">อาณัติ บัวขาว</st1:personName> นายอำเภอปายได้ตั้งชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ว่า"หลวงพ่ออุ่นเมือง"เป็นมิ่งขวัญให้ประชาชนอำเภอปายอุ่นอกอุ่นใจ

    <O:p</O:p
    ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖คนร้ายไม่ทราบจำนวน ได้ลักลอบขุดเจาะผนักวิหารทางด้านใต้เข้าไปขโมยสิ่งของเงินทองในวิหารทางวัดและศรัทธาจึงได้นำขึ้นไปประดิษฐานไว้บนศาลาการเปรียญเพราะเกรงขโมยจะลักเอาพระพุทธรูป อีกทั้งวิหารก็ชำรุดทรุดโทรมการย้ายมาอยู่ในที่ใหม่ทำให้น้ำในพระเศียรของพระพุทธรูปลดน้อยลงบางครั้งเหือดแห้งหายไป ประชาชนที่เคารพกราบไหว้ก็น้อยลง
    <O:p</O:p
    ในปี พ.ศ. ๒๕๓๒หลวงปู่สมบัติ คุเณสโก วัดก้ำก่อ และนาย<st1:personName ProductID="ประมวล รุจนเสรี" w:st="on">ประมวล รุจนเสรี</st1:personName>ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้มาเยี่ยมอำเภอปายและได้มานมัสการหลวงพ่ออุ่นเมืองที่วัดนี้เจ้าอาวาสและศรัทธาวัดได้แจ้งให้ทราบ หลวงพ่อสมบัติ จึงได้ตรวจสอบทางสมาธิทราบว่าการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปออกจากวิหารเดิม ผิดเจตนารมณ์ของครูบาศรีวิชัยแต่วิหารเดิมชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้มีมติให้รื้อถอนทำการปลูกสร้างวิหารใหม่โดยคงรูปแบบวิหารของครูบาศรีวิชัยเดิม ได้รับจัดหาทุนดำเนินการก่อสร้างครั้งแรกมีผู้ร่วมบริจาคเป็นเงิน ๘๐,๐๐๐บาท
    <O:p
    </O:p
    ในปี พ.ศ. ๒๕๓๓พลโทวิเชียรวิชัยวัฒนะ พร้อมด้วยครอบครัวและคณะรับเป็นเจ้าภาพในการก่อสร้างวิหารโดยการนำกฐินมาทอดเพื่อเป็นทุนดำเนินการก่อสร้างวิหารใหม่จนสำเร็จและได้หลวงพ่ออุ่นเมืองไปประจำในวิหาร เป็นพระพุทธรูปสำคัญของเมืองปายต่อไปน้ำที่มีอยู่ในพระเศียรก็ยังคงมีอยู่เป็นที่น่าอัศจรรย์จนถึงปัจจุบัน
    <O:p</O:p
    และที่วัดน้ำฮูแห่งนี้มีพะเกษาของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาด้วยหากมองดูดีๆจะเห็นพระเจดีย์สีทองอยู่หลังวิหารหรือโบสถ์ของวัดน้ำฮูแห่งนี้และมองออกไปข้างกันนั้นก็มีศาลาประดิษฐานที่มีรูปพระพี่นางอยู่เนืองแน่นพระเจดีย์นี้ไม่มีบันทึกประวัติการสร้างอย่างชัดเจนเชื่อกันว่าสร้างโดยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาซึ่งได้เสด็จไปเป็นตัวประกันที่พม่าแทนสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่ต่อมาได้ถูกปลงพระชนม์ที่พม่านั่นเองภายในพระเจดีย์นี้ยังบรรจุเส้นพระเกษาของสมเด็จพระพี่นางฯ ไว้ด้วยสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาเป็นวีรสตรีไทยที่ประวัติศาสตร์ควรจำรึกไว้หากไม่มีพระองค์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชอาจไม่มีโอกาสกลับมากอบกู้เอกราชและอาจไม่ทรงทราบข่าวการเคลื่อนไหวของทัพพม่าก่อนทุกครั้งชาวไทยจึงควรระลึกถึงวีรกรรมของพระองค์และถวายสักการะดวงวิญญาณของพระองค์โดยทั่วกัน<O:p</O:p

    ส่วนหน้าวัดก็จะมีศาลาปลาให้ผู้คนมากราบไหว้เนื่องจากว่าศาลาปลาของวัดน้ำฮูนี้มีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและรูปปั้นสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาไหว้ให้สักการบูชาไดอีกด้วย


    ............................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2010
  12. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    อนุโมทนา กับแม่สร้อย และคุณพี่ทางสายธาตุด้วย ค่ะ ^_^

    เป็นกำลังใจให้แก่คุณพี่ทางสายธาตุด้วยนะคะ ขอให้งานสำเร็จลุ่วงไปได้ด้วยดีค่ะ

    อุปสรรคหากแม้นมีบ้างก็ขอให้ถือว่า เป็นธรรมดา

    หากเป็นประสงค์ จากเบื้องบนแล้ว ยากที่จะหาสิ่งใดมาหยุดได้ค่ะ
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อนุโมทนาและขอบคุณ คุณสร้อยฟ้ามาลามากทีเดียวครับ ที่แวะมาเยี่ยมเยียน

    พร้อมของฝากที่ถูกใจทั้งคุณทางสายธาตุและคุณโมเย ไม่น้อยทีเดียว

    วันนี้ 8 ก.พ.52 เดลินิวส์ เสนอสกู๊ปพิเศษ ย้อนประวัติศาสตร์ดาบไทย

    เลยถือโอกาสคัดลอกมาฝากกัน เป็นความรู้และเป็นเรื่องที่สอดคล้องกันกับ

    เรื่องราวที่คุณทางสายธาตุได้เคยนำเสนอไว้ก่อนหน้านี้ด้วยแล้ว ขอเชิญ

    ติดตามครับ



    ย้อนประวัติศาสตร์ 'ดาบไทย'

    วันจันทร์ ที่ 08 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 0:00 น




    [​IMG]

    อาวุธคู่กาย 'นักรบ' ปกป้องชาติ

    มนุษย์เรารู้จักการใช้อาวุธเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาอาหาร และใช้ป้องกันตัว ป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายและมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์มาประมาณ 30,000 ปีมาแล้ว สมัยนั้นอาวุธทำจากหินและกระดูก สัตว์ แล้วค่อยพัฒนาเป็นโลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว เหล็ก ก่อนวิวัฒนาการทำให้อาวุธมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างหรือประหัตประหารได้ดียิ่งขึ้น

    เฉกเช่นประวัติศาสตร์ของชาติไทยได้รับการจารึกถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล โดยเฉพาะการทำศึกสงคราม บรรพบุรุษชาวไทยล้วนพลีชีพ เสียเลือด เสียเนื้อ เพื่อปกป้องอธิปไตยและขยายอาณาจักรให้กว้างใหญ่ไพศาล เพื่อให้ชนรุ่นหลังมีแผ่นดินอาศัยอยู่เย็นเป็นสุขถึงวันนี้

    นับตั้งแต่อาณาจักรล้านนา กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ ล้วนแล้วมีประวัติศาสตร์ แห่งการทำศึกสงครามของชนชาติไทยแทบทั้งสิ้น

    สมัยก่อนผู้ชายไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องเป็น “ทหาร” หรือ “นักรบ” รับใช้ประเทศชาติในยามศึกสงคราม จึงต้องมีการฝึกหัดและเรียนวิชาต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์ทั้งหลาย ทั้งกลยุทธ์และการใช้อาวุธ

    ปมเหตุหลัก ๆ ที่สำคัญในการฝึกซ้อมอาวุธให้เชี่ยวชาญ สันนิษฐานกว้าง ๆ มีด้วยกัน 3 ประการ คือ

    1. ฝึกให้มีน้ำใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทรหดอดทน ไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตรายต่าง ๆ

    2. ฝึกซ้อมให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมออกสู่สนามรบได้ทุกสถานการณ์

    3. ฝึกฝนให้มีความเชี่ยวชาญ เพื่อสืบทอดสรรพวิชาต่าง ๆ จากบรรพบุรุษให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน

    หลายศตวรรษที่สืบทอดมายาวนานชนชาติไทยมีอาวุธคู่กายคือ “ดาบ” ใช้ฝ่าฟันและห้ำหั่นอริราชศัตรูอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นหากกล่าวว่า “ดาบ” และ “นักรบไทย” ไม่เคยห่างจากกันเลยก็คงไม่ผิดไปจากความเป็นจริงมากนัก นอกเหนือจากนี้ก็มีอาวุธชนิดอื่น ๆ เช่น กระบี่ กระบอง ง้าว พลอง หอก ทวน แหลน โล่ ดั้ง เขน เป็นต้น

    วิวัฒนาการของดาบไทยแบ่งออกเป็นแต่ละยุค สมัยก่อนประวัติศาสตร์ใบมีดดาบไม่ค่อยยาวมากนัก เอกลักษณ์คือ มีคมด้านเดียว อีกด้านเป็นสันหนา หากมองตรง ๆ จะคล้ายลิ่ม วัตถุประสงค์เพื่อความคงทนและแข็งแรงของดาบยามใช้งาน

    ดาบไทยโบราณมีหลายสกุลช่าง หนึ่งในนั้นที่โดดเด่นคือสกุลช่างกำแพงเพชร- อุตรดิตถ์ ชนิดเลี่ยมเงิน (ชาวบ้านนาเรียกว่า “หลูบเงิน”) ในอดีตนิยมใช้เป็นดาบยศ ของเจ้านายฝ่ายเหนือ และชนชั้นปกครองในอาณาจักรล้านนา ลักษณะเด่นประกอบด้วย เลี่ยมเงินหุ้มเกือบหมดทั้งด้ามและฝัก เหลือส่วนปลายฝักทำฝาทองแดงครอบไว้ ด้ามดาบงอนขึ้นรับความโค้งใบดาบ ส้นด้ามมีลูกแก้วกลม ๆ ด้ามดาบยาวกว่ากึ่งหนึ่งของความยาวใบดาบ ปัจจุบันดาบฝีมือช่างสกุลนี้ชมได้ ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดน่าน มีจัด แสดงอยู่หลายเล่ม

    ในสมัยกรุงสุโขทัย การทำศึกสงครามแบบประจัญบานมีความจำเป็นในสนามรบ ช่างจึงตีดาบให้โคนมีความหนาแล้วลาดแบนไปสู่ปลาย โดยขยายขนาดและความโค้งเพิ่มเล็กน้อย ทำให้การฟันจากบนลงล่างรุนแรงยิ่งขึ้นและเหมาะแก่การพกพา ชักออกจากฝักได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน

    สมัยกรุงศรีอยุธยา การวิวัฒนาการของดาบเพิ่มมากขึ้น มีการตีใบดาบหลากหลาย ที่ได้รับความนิยมมี 4 แบบ คือ ดาบหัวปลาหลด ดาบหัวปลาซิว ดาบหัวตัด และดาบหัวบัว เป็นต้น กลุ่มช่างที่ตีดาบได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงมากคือ “บ้านอรัญญิก”

    สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ดาบประเภทหัวปลาซิวได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีการทำให้ปลายแหลมงอนขึ้นเล็กน้อย เพื่อความสวยงามและความสะดวกในการพกพาติดตัว

    สำหรับความยาวเฉลี่ยของใบดาบไทยนั้นประมาณ 50-51 ซม. ส่วนด้ามดาบจะ ยาวเฉลี่ย 19-20 ซม. ขึ้นไปจนถึงหนึ่งศอกเพื่อถ่วงน้ำหนักให้ลงตัวและเอาไว้ใช้ ป้องกันอันตรายให้ผู้ใช้ในระหว่างออกรบแบบประจัญบาน

    ดังนั้นดาบที่ดีจึงต้องแข็งแกร่งทนทาน สามารถฟาดฟันใส่ข้าศึกโดยไม่หักงอ หรือ บิดเบี้ยว จึงเป็นที่มาของสูตรการตีดาบด้วยโลหะชนิดต่าง ๆ จนกลายเป็นตำนานของดาบชื่อดังมากมาย

    เหล็กเป็นโลหะที่มีความจำเป็นมาก ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในการนำมาตีดาบคุณภาพเยี่ยมคือ เหล็กน้ำพี้ ถิ่นกำเนิดอยู่ อ.ตรอน จ.อุตรดิตถ์ เป็นแหล่งแร่เหล็ก อันดับหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะมีความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติสูง ได้รับความนิยมทำเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ รวมทั้ง “ดาบเหล็กน้ำพี้” อันลือลั่น

    จากข้อมูลและเรื่องราวทั้งหมดจะเห็นได้ว่า “ดาบ” นอกจากจะเป็นอาวุธทำศึกสงคราม ป้องกันทรัพย์สินและเจ้าของแล้ว ยังเป็นเครื่องหมายเชิงสัญลักษณ์ที่สำคัญที่แสดงถึง “อำนาจ” และ “บารมี” ของผู้ที่ครอบครองอีกด้วย แม้แต่พระมหากษัตริย์เกือบทุกพระองค์มักมีพระแสงดาบคู่พระวรกายในการออกทำศึกสงครามด้วยเสมอ

    สมเด็จพระนเรศวรมหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงนำทัพทหารกล้าบุกโจมตีค่าย ข้าศึกในหลายสมรภูมิ ทรงแสดงให้เห็นถึง พระปรีชาและความเชี่ยวชาญในการศึก โดยทรงคาบพระแสงดาบประจำพระวรกายปีนรั้วบุกยึดค่ายข้าศึกคว้าชัยชนะมานับครั้งไม่ถ้วน เป็นที่มาของตำนาน “พระแสงดาบคาบค่าย”

    รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ทรงใช้พระแสงดาบคู่พระวรกายกอบกู้ชาติเป็นผลสำเร็จ ทรงได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าทรงเป็นกษัตริย์นักรบอย่างแท้จริง

    เมื่อ “ดาบ” มีความสำคัญเกี่ยวพันในประวัติศาสตร์ จึงถูกจัดให้เป็นหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศที่แสดงถึงพระเกียรติของพระมหากษัตริย์และพระราชอำนาจอาญาสิทธิ์สูงสุดในการปกครองแผ่นดิน ซึ่งใช้ในการพระราช พิธีสำคัญ ๆ ต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น และจะนิยมเรียกว่า “พระแสงดาบ”

    ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ไทยแต่ละรัชกาลทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์ ดังต่อไปนี้

    รัชกาลที่ 1 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงดาบใจเพชร

    รัชกาลที่ 2 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงเวียด

    รัชกาลที่ 3 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงฟันปลา

    รัชกาลที่ 4 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงหัตถ์นารายณ์

    รัชกาลที่ 5 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงฝักทองเกลี้ยง

    รัชกาลที่ 6 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงนิล

    รัชกาลที่ 7 พระแสงดาบสำคัญประจำพระองค์คือ พระแสงมรกต

    ทั้งนี้ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรง ฟื้นการพระราชทานพระแสงศัตราประจำมณฑลและประจำเมืองต่าง ๆ ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการคือ

    1. เป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ แสดงถึงพระราชอำนาจสูงสุดใน ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

    2. ใช้เป็นอาวุธสำหรับแทงน้ำในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปีตามหัวเมืองต่าง ๆ

    ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จนถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระแสงศัตราประจำเมือง ประจำมณฑลไปแล้วทั้งสิ้น 32 องค์

    ส่วนใหญ่เป็นพระแสงศัตราที่ทำ ขึ้นใหม่ ยกเว้นพระแสงราชศัตราประจำเมืองกำแพงเพชร แต่เดิมพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 พระราชทานให้แก่พระยากำแพง (นุช) เป็นบำเหน็จความดีความชอบเมื่อไปทัพแขก ก่อนตกทอดสืบมาถึงยุคหลวงพิพิธอภัย ได้ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ครั้นทรงพิเคราะห์แล้วเห็นว่าเป็นดาบพระราชทานตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จริง จึงพระราชทานไว้เป็นพระแสงศัตราประจำเมืองกำแพง เพชรตั้งแต่นั้นมา.









    ๐ ขอขอบคุณ นสพ.เดลินิวส์ ครับ
     
  14. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    จ่ะคุณพี่จงรักภักดี...

    สร้อยฟ้าฯ ก็คงเข้ามาขอปันความรู้ในกระทู้นี้ อีกกระทู้หนึ่งอ่ะจ่ะ...
     
  15. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    -อนุโมทนากับคุณสร้อยฟ้าฯ ครับ







    <TABLE class=tborder id=post2944035 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->สมมติสัจจะ<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2944035", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Nov 2009
    ข้อความ: 99
    พลังการให้คะแนน: 15 [​IMG]







    </TD><TD class=alt1 id=td_post_2944035 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start --></CENTER>
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-2576485761337625";/* 250x250, created 31/01/09 */google_ad_slot = "7252767143";google_ad_width = 250;google_ad_height = 250;//--> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript> </SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"><INS style="PADDING-RIGHT: 0px; DISPLAY: block; PADDING-LEFT: 0px; VISIBILITY: visible; PADDING-BOTTOM: 0px; MARGIN: 0px; WIDTH: 250px; BORDER-TOP-STYLE: none; PADDING-TOP: 0px; BORDER-RIGHT-STYLE: none; BORDER-LEFT-STYLE: none; POSITION: relative; HEIGHT: 250px; BORDER-BOTTOM-STYLE: none"></INS></INS>
    ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๗

    โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช


    [​IMG]ถาม - การถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา ต้องปฏิบัติอย่างไรคะ
    เราจะรู้สึกว่าในร่างกายมีเราอยู่คนหนึ่ง
    เราคนนี้เดี๋ยวนี้ กับเราคนนี้ตอนเด็กๆ ก็เป็นเราคนเดิม
    วิธีที่จะถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรานะ ต้องตามดูจิตไป
    คอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิต
    เราจะเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็สุข เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ นะ
    มันสุขก็อยู่ชั่วคราว มันทุกข์ก็ชั่วคราว เฉยๆ ก็ชั่วคราว
    มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่คงที่ มันไม่เที่ยง
    จิตเดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศลนะ
    เดี๋ยวก็โลภขึ้นมา พอมีสติรู้ทัน ความโลภก็ดับไป
    เดี๋ยวโกรธมามีสติรู้ทัน ความโกรธก็ดับไป
    เดี๋ยวหลงไปมีสติรู้ทัน ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ความหลงก็ดับไป
    ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมา มีสติรู้ทัน ความฟุ้งซ่านก็หายไป
    จิตใจหดหู่ มีสติรู้ทัน ความหดหู่ก็หายไป
    มันจะเห็นแต่ว่าจิตใจนี้มันไม่เที่ยง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
    ถ้าเมื่อไรเกิดความอยากขึ้นในจิต จิตจะถูกบีบคั้น จิตก็มีความทุกข์
    นี้ความอยากมันเกิดทั้งวัน ถ้าเราหัดเจริญสติให้ดี รู้ทันจิตใจให้ดี
    เราจะเห็นว่าจิตเรามีความอยากเกิดขึ้นตลอดเวลาเลย
    เดี๋ยวอยากโน้น อยากนี้ อยากโน้น อยากนี้
    เช่น อยากดู อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส
    อยากกระทบสัมผัสที่ดีๆ อยากหนีการกระทบสัมผัสที่ไม่ดี
    อยากคิดเรื่องดีๆ อยากให้จิตสนุกสนาน อยากให้มีความสุข
    อยากจะให้ความทุกข์หายไป สารพัดที่จะอยาก
    ทุกคราวที่ความอยากเกิดขึ้นที่จิตนะ จิตจะถูกบีบเค้น จิตจะถูกเค้น
    จิตจะมีความทุกข์ขึ้นมา มีการบีบคั้นขึ้นมา
    พวกเราหัดดูไปก็จะเห็น จิตมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย
    เฝ้าดูไป ดูไป ดูไป เห็นอีก จิตเองก็เป็นอนัตตานะ มันทำงานของมันได้เอง
    มันสุขก็สุขของมัน มันทุกข์ก็ทุกข์ของมัน เราสั่งมันไม่ได้
    สั่งให้สุขอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามทุกข์ไม่ได้
    สั่งให้ดีอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามชั่วไม่ได้
    มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้ มีแต่เรื่องห้ามไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ เรียกว่าอนัตตา
    การที่เรามีสติดูไป ดูการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
    จิตใจมีความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
    จิตใจมันทำงานของมันนะ ไม่ใช่เรา มันทำงานได้เอง
    ดูไป ดูไป ไม่มีตัวเรา ในจิตนี้อีก ภาวนาไป เห็นจิตก็ไม่ใช่เรา
    กายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวเราอื่นๆ ที่ไหนเลย
    สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเรา ก็อยู่ที่กายที่ใจ
    ไม่ได้ไปอยู่ที่พื้นหรอก ไม่ได้อยู่ที่อากาศ ที่ภูเขา ที่ต้นไม้
    มันอยู่ที่กายที่ใจ นั่นถ้าเมื่อไรเห็นว่า กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา
    ก็จะไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นเราอีกละ

    http://www.dharmamag.com/index.php?o...=172&Itemid=38

    <!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>





    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณ คุณสมมติสัจจะ ครับ
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  16. ไก่เหลืองหางขาว

    ไก่เหลืองหางขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2009
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +493
    ปุ่มอนุโมทนากลับมาแล้วแต่คงตามกดไม่ไหว ขออนุโมทนากับทุกท่านตรงนี้เลยครับ ขอยกย่องท่านทางสายธาตุและท่านโมเยในความมานะพยายามครับ ขอบคุณท่านจงรักฯสำหรับเรื่องดาบครับ ถูกใจมากๆ
     
  17. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    <TABLE style="WIDTH: 100%" cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR></TBODY><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD style="PADDING-RIGHT: 0.75pt; PADDING-LEFT: 0.75pt; PADDING-BOTTOM: 0.75pt; WIDTH: 100%; PADDING-TOP: 0.75pt" vAlign=top width="100%">

    สาเหตุโรคพระหทัยของในหลวง...จนเกือบพระประชวรหนัก!!


    ทุกคนคงทราบกันดีว่าในหลวงทรงมีพระอาการประชวรเรื้อรังในส่วนของพระหทัย


    หากจำกันได้ ในหลวงเคยต้องทรงรับการผ่าตัดให&shy;่มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี2538 ครั้งนั้นพสกนิกรทั้งแผ่นดินแทบไม่เป็นอันทำอะไร ใครๆก็รู้ว่าโรคหัวใจไม่ใช่โรคล้อกันเล่นๆ ได้ทั้งสมัยนั้นการผ่าตัดหัวใจก็เสี่ยงพอดู แต่ทุกอย่างก็เป็นไปโดยเรียบร้อย แต่ทราบกันหรือไม่ว่าสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกตินี้ มาจากอะไร? ราวปี2530 ในหลวงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนที่อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่


    ทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทูลว่า มีการเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่ชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะไม่รู้จักก็กลัวจะเป็นอันตราย


    ในหลวงจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์ ชาวบ้านได้รับเกลือพระราชทาน จึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินได้ จนแพร่หลายต่อๆมา ปัจจุบันไม่มีคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงแล้ว นอกจากนี้ยังทรงเสด็จขึ้น-ลงสะเมิงอีกหลายครั้ง เพื่อติดตามแก้ปั&shy;หาเรื่องน้ำและถนน จนชาวบ้านทำกินกันได้เป็นปกติสุข มีรายได้เลี้ยงชีพได้พอเพียง หากกลับเป็นพระองค์เองที่ทรงพระประชวร!


    ในหลวงทรงได้รับเชื้อไมโครพลาสม่าจากการเสด็จไปที่สะเมิงนี้เอง อันเป็นสาเหตุของโรคพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรังมาถึงปัจจุบัน แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอด จนกระทั่งต้องทรงรับการผ่าตัดให&shy;่เมื่อปี2538 ดังเล่ามาแล้ว ในหลวงเคยมีพระราชกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...


    'ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต' เป็นถ้อยรับสั่งที่แสนจะเรียบง่าย ราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเสียเหลือเกิน!







    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2010
  18. โมเย

    โมเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +3,210
    อีกหนึ่ง ภาระกิจ ของ พระมหาฤทธิชัย กัลยาโน

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2010
  19. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,923
    ค่าพลัง:
    +6,434
    พระอาจารย์มหาฤทธิชัย มีฝีมือปั้นพระบรมรูปงดงามมากอย่างกับคนเรียนช่างศิลป์มาเลยค่ะ
    แต่เท่าที่ทราบมาท่านไม่เคยเรียนช่างศิลป์มาก่อนเลย

    แม่หญิงสร้อยฯ ไปเที่ยวมาหลายที่มาก นึกอยากถามมานานแล้วว่าทำงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือเปล่าคะ
     
  20. สร้อยฟ้ามาลา

    สร้อยฟ้ามาลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    19,158
    ค่าพลัง:
    +43,837
    ฝีมือเชิงประติมากรรมของพระอาจารย์ได้สัดส่วนของงานศิลปกรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะปั้นออกมาให้ต้องตามลักษณะขององค์ประกอบศิลป์ สาธุจ่ะ....

    ทำงานอยู่ในหน่วยงานภาครัฐจ่ะ
    อยู่ ททท. เที่ยวทุกที่(ที่อยากไป และสตางค์ในกระเป๋าเอื่ออำนวยช่วงไหนกระเป๋าเบาก็อดเที่ยว อิอิ) ... ^^ ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2010

แชร์หน้านี้

Loading...