ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อีก ๓ วันคือ"คำตอบของประเทศไทย?"

    <!-- main-content-block --><!-- 12 เมษายน 2553 - 00:00 -->
    12 เมษายน 2553 - 00:00

    ถ้าท่านใดที่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง ต้องการค้นหาคำตอบก็คลิกเข้าไปที่ www.thaipost.net นะครับ
     
  2. อุกามณี

    อุกามณี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2009
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +73
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=ecxecxhtmlcontent align=left>งานประเพณีสืบสานตำนานปราสาทภูมิโปน ครั้งที่ 11
    วันที่ 9-10 เมษายน 2553
    ณ บริเวณปราสาทภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์


    [​IMG]
    จังหวัดสุรินทร์โดยอำเภอสังขะ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอสังขะ และองค์การบริหารส่วนตำบลดม จัดงาน “ประเพณีสืบสานตำนานปราสาทภูมิโปน” ครั้งที่ 11 ขึ้นในวันที่ 9-10 เมษายน 2553 ณ บริเวณปราสาทภูมิโปน ตำบลดม อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์แหล่งโบราณสถาน “ปราสาทภูมิโปน” ซึ่งเป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป
    นางสาวบุณยานุช วรรณยิ่ง ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานสุรินทร์ กล่าวว่า ปราสาทภูมิโปน เป็นปราสาทหินที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ศิลปะแบบไพรเกมร ประกอบด้วยโบราณสถาน 4 หลัง คือ ปราสาทอิฐหลังที่ 1 อยู่ทางด้านเหนือสุด มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมไม่ย่อมุม เหลือเพียงฐานกรอบประตูทางเข้า และผนังบางส่วน ปราสาทอิฐหลังที่ 2 อยู่ต่อจากปราสาทหินหลังแรกมาทางใต้ ปัจจุบันเหลือเพียงฐานและกรอบประตูทรายปราสาทอิฐหลังที่ 3 หรือปรางค์ประธานเป็นปราสาทหลังใหญ่ก่อด้วยอิฐไม่สอปูน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่ย่อมุม มีบันไดและประตูทางเข้าทางทิศตะวันออก อีกสามด้านเป็นประตูหลอก เสาประดับ กรอบประตู และทับหลังทำด้วยหินทราย ใต้หน้าบันเหนือทับหลังขึ้นไปเป็นลายรูปใบไม้ม้วน รูปแบบและเทคนิคการก่อสร้าง เทียบได้กับปราสาทขอมสมัยก่อนพระนครร่วมสมัยกับปราสาทหลังที่ 1 ได้พบจารึกเป็นภาษาสันสกฤตด้วย อักษรปัสสวะ ซึ่งเคยใช้เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งสอดคล้องกับอายุของรูปแบบศิลปะของปราสาท นับเป็นปราสาทแบบศิลปะเขมรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย และปราสาทอิฐหลังที่ 4 อยู่ต่อจากปราสาทประธานมาทางใต้ ปัจจุบันเหลือเพียงฐานเท่านั้น
    ณ ที่แห่งนี้มีตำนานการก่อสร้างกล่าวถึง กษัตริย์ขอมองค์หนึ่งได้สร้างเมืองลับไว้กลางป่า ชื่อว่าปราสาทภูมิโปน ต่อมาเมื่อเมืองหลวงเกิดความไม่สงบมีข้าศึกมาประชิตเมือง กษัตริย์ขอมจึงส่งพระราชธิดาพร้อมไพร่พลจำนวนหนึ่งมาหลบซ่อนลี้ภัยที่ภูมิโปนพระราชธิดานั้นมีพระนามว่า พระนางศรีจันทร์ หรือ เนียง ด็อฮฺ ธม แต่คนทั่วไปมักเรียกนางว่า พระนางนมใหญ่ แต่ด้วยกิตติศัพท์ความงามของนางเป็นที่โจษขานไปทั่ว จึงเป็นที่หมายปองของพระราชาเมืองต่างๆ ที่ต้องการพระนางมาเป็นพระชายา แต่แล้วก็มีชายหนุ่มเพียง 2 คน คือเจ้าชายโฮลมา แห่งเมืองโฮลมา และนายบุญจันทร์ ทหารคนสนิท ที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดและสร้างสายสัมพันธ์กับพระนาง สุดท้ายแล้วพระนางศรีจันทร์ จะเลือกชายใดเป็นสามี และปริศนาของต้นลำเจียกที่ไม่เคยออกดอก จนเกิดเป็นตำนานปราสาทภูมิโปน “เนียง ด็อฮฺ ธม” ที่เล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
    จังหวัดสุรินทร์โดยอำเภอสังขะ ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอำเภอสังขะ และองค์การบริหารส่วนตำบลดม จึงจัดงาน “ประเพณีสืบสานตำนานปราสาทภูมิโปน” ครั้งที่ 11 ขึ้นในวันที่ 9-10 เมษายน 2553 ณ บริเวณปราสาทภูมิโปน กิจกรรมภายในงานได้แก่ การบวงสรวงองค์ปราสาท การเซ่นไหว้พระภูมิเจ้าที่และสิ่งศักดิสิทธิ์ การประกวดพานบายศรี การแข่งขันชกมวยมรดกโลก การเดินแบบแฟชั่นผ้าไหม การแสดงแสง สี เสียง ตำนานเนียง ด็อฮฺ ธม และมินิคอนเสิร์ต พิเศษสุดในปีนี้ ท่านจะได้ชมการแสดงแสง สี เสียง ตำนานเนียง ด็อฮฺ ธม ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ตระการตาโดยมี ตั๊ก บงกช คงมาลัย รับบทพระนางศรีจันทร์ และออกแบบเครื่องแต่งกายโดย อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ผู้คิดค้นประดิษฐ์ลวดลายผ้าไหมยกทองโบราณ บ้านท่าสว่าง ที่มีลวดลายวิจิตรงดงาม ซึ่งมีการออกแบบจากภาพจำหลักของปราสาทภูมิโปน
    สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
    - ที่ทำการปกครองอำเภอสังขะ โทร.0 4457 1247
    - องค์การบริหารส่วนตำบลดม โทร.0 4414 8266 ͺ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04777.JPG
      DSC04777.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.2 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC04778.JPG
      DSC04778.JPG
      ขนาดไฟล์:
      483.5 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC04781.JPG
      DSC04781.JPG
      ขนาดไฟล์:
      480.7 KB
      เปิดดู:
      36
    • DSC04761.JPG
      DSC04761.JPG
      ขนาดไฟล์:
      409.9 KB
      เปิดดู:
      50
    • DSC04762.JPG
      DSC04762.JPG
      ขนาดไฟล์:
      633.4 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC04771.JPG
      DSC04771.JPG
      ขนาดไฟล์:
      452.2 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC04791.JPG
      DSC04791.JPG
      ขนาดไฟล์:
      440.6 KB
      เปิดดู:
      55
    • DSC04792.JPG
      DSC04792.JPG
      ขนาดไฟล์:
      434.9 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC04803.JPG
      DSC04803.JPG
      ขนาดไฟล์:
      429.4 KB
      เปิดดู:
      50
    • DSC04909.JPG
      DSC04909.JPG
      ขนาดไฟล์:
      409.6 KB
      เปิดดู:
      46
    • DSC04912.JPG
      DSC04912.JPG
      ขนาดไฟล์:
      505.2 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC04913.JPG
      DSC04913.JPG
      ขนาดไฟล์:
      592.5 KB
      เปิดดู:
      49
    • DSC04919.JPG
      DSC04919.JPG
      ขนาดไฟล์:
      570.9 KB
      เปิดดู:
      49
    • DSC04921.JPG
      DSC04921.JPG
      ขนาดไฟล์:
      588 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC04927.JPG
      DSC04927.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.4 KB
      เปิดดู:
      56
    • DSC04934.JPG
      DSC04934.JPG
      ขนาดไฟล์:
      451 KB
      เปิดดู:
      44
    • DSC04935.JPG
      DSC04935.JPG
      ขนาดไฟล์:
      465.3 KB
      เปิดดู:
      43
    • DSC04767.JPG
      DSC04767.JPG
      ขนาดไฟล์:
      522 KB
      เปิดดู:
      52
  3. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อยุธยายศล่มแล้ว โดย วิษณุ เครืองาม
    ก่อนเสียกรุงในปี 2310 ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์นั้น บ้านเมืองวิกฤติแตกแยกหนัก
    พงศาวดารใช้คำว่า "เป็นทุรยุค" หรือ "ทุรยศ" ภาษาแต่ก่อนนี้ใช้คำกินใจไพเราะ
    อย่างคำว่า "รู้รักสามัคคี"ท่านใช้ว่า "เสพสามัคคีรส" ฟังดูน่ารักและอร่อยแท้
    คราวกรุงจะแตกนั้น พม่าสมัยพระเจ้าอังวะ ยกทัพมาตีเชียงใหม่ก่อนตั้งแต่ พ.ศ.2304
    เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้ ผู้คนก็มีวัฒนธรรมคล้ายกัน ครั้งนั้นเองพรานป่าชาวลำปางชื่อหนานทิพย์ช้าง
    ได้รวบรวมผู้คนต่อต้านพม่าจนชนะ หลานปู่คนหนึ่งชื่อกาวิละจงรักภักดีต่อไทยและได้ขึ้นเป็น
    กษัตริย์ครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทหารนับถือมาก จึงตั้งชื่อค่ายและอนุสาวรีย์พระเจ้ากาวิละเป็น
    เกียรติมาจนบัดนี้
    เมื่อพระเจ้าอังวะสิ้นพระชนม์ น้องชายชื่อมังระได้ครองราชย์แทน มังระตั้งมังมหานรธาเป็นแม่ทัพ
    ใหญ่บุกเข้ามาตีชายแดนไทย ขณะนั้นกรมหมื่นเทพพิพิธ พระราชโอรสพระเจ้าบรมโกศทรง"ซ่า"
    มากอยากมีอำนาจบ้าง แต่ก็ถูกเนรเทศไปอยู่ลังกา จนไปได้ยินข่าวลือว่าอยุธยาเพลี่ยงพล้ำแล้ว
    จึงแอบเข้ามาหวังเป็นใหญ่ กลับถูกจับได้และให้ไปอยู่แถวชายแดนเขมร
    พม่าตีได้ทวาย ตะนาวศรี และรุกไล่เข้ามาจนเผาเมืองชุมพรวอดวาย คราวนี้กำเริบได้คืบจะเอาศอก
    คิดจะบุกเข้าตีกรุงศรีอยุธยา ว่าแล้วก็ตีโอบจากเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี จนถึงธนบุรี ทั้งยังได้ทัพ
    พม่าจากเชียงใหม่ยกลงมาสมทบ กรุงธนบุรีแตกแล้วพม่าจึงลุยต่อไปถึงนนทบุรี สามโคก บางไทร
    วิเศษชัยชาญ สิงห์บุรี ชาวบ้านบางระจันลุกขึ้นฮึดสู้ ภราดร ศรีชาพันธุ์โผล่มาตอนนี้แหละ แต่บางระ
    จันก็แตก
    กรมหมื่นเทพพิพิธนั้น ใครเขากำลังยุ่งก็จะขอมีเอี่ยวด้วยทุกทีไปตามประสาคนเคยมีอำนาจแล้วทนสูญ
    เสัยอำนาจไม่ได้ แต่เมื่อคนไม่เอาด้วยก็หนีไปอยู่โคราช ตั้งตนเป็นหัวหน้าก๊กเจ้าพิมาย ภายหลังถูก
    พระเจ้าตากปราบและโปรดให้ประหารเสีย
    ที่ว่ากรุงศรีอยุธยาเป็นทุรยศก็ตรงนี้เอง ขณะที่พม่ากำลังปฏิบัติการ "หม่องทั้งแผ่นดิน" คนไทยใจ
    ทรามพวกหนึ่งก็ล่อกันเองด้วยการจุดไฟเผาเมือง ไฟไหม้ตั้งแต่ท่าทราย ป่ามะพร้าว ป่าถ่าน จนถึง
    วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ เรียกว่าเกือบครึ่งกรุง ทั้งพวกเอาแต่พูดยังปากดีทุ่มเถียงวิจารณ์สารพัด
    แต่ไม่มีใครเอาจริงสักราย จังหวะนั้นจีนคลองสวนพลู 400 คนบุกขึ้นไปปล้นพระพุทธบาทสระบุรี
    ลอกเอาเงินหุ้มพื้น ทองหุ้มพระมณฑปไปหมดสิ้น
    ความวินาศของไทยนั้นอย่าไปโทษพม่าฝ่ายเดียว พวกเรากันเองก็ไม่ใช่ย่อย
    พม่าใช้แผน "ดาวฤกษ์" เข้าล้อมเกาะอยุธยาจุดไฟเผาเพนียดคล้องช้าง........(ราย
    ละเอียดจะได้นำเสนอในโอกาสต่อไป ท่านใดอยากทราบล่วงหน้า หาอ่านได้จากเดลินิวส์ ฉบับวันที่
    12 เมษายน คือวันนี้ครับ )
     
  4. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อยุธยายศล่มแล้ว (ต่อจากตอนที่แล้ว) โดย วิษณุ เครืองาม
    พม่าใช้แผน "ดาวฤกษ์" เข้าล้อมเกาะอยุธยาจุดไฟเผาเพนียดคล้องช้าง แล้วตั้งค่ายนอนเกาสะดือ
    รออยู่ตามวัดนอกเกาะ ปล่อยให้ชาวอยุธยาลำบาก หวังใช้ชาวบ้านและพ่อค้าวาณิชกดดันรัฐบาลอีกทีให้
    ยอมแพ้ เรือแพติดอยู่ตามแม่น้ำขยับไปทางไหนไม่ได้ ชาวอยุธยาอดโซปล้นฆ่ากันเองไม่เว้นแต่ละวัน
    บางคนทนไม่ไหวหนีออกไปขอต่อท่อน้ำเลี้ยงจากพม่าก็มี ยอมเปลี่ยนสีเข้าด้วยกับพม่าก็ไม่น้อย
    ระหว่างนั้นพม่าเร่งสร้างสะพานข้ามแม่น้ำ และขุดอุโมงจากวัดแม่นางปลื้ม วัดศรีโพธิ์ นอกเกาะ ลอด
    ใต้แม่น้ำเข้าไปเชื่อมกับตัวเกาะ วันดีคืนดีก็ยิงปืนใหญ่ ขนาดน้องๆ เอ็ม 79 จากวัดหน้าพระเมรุ ข้าม
    ไปถล่มขวัญคนไทยเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาเล่นอย่างนั้นแหละ
    พระยาตาก (สิน) เจ้าเมืองตากได้รับคำสั่งให้ไปเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรแล้วแต่ยังไม่ทันเดินทาง
    ก็ต้องยกทัพลงไปช่วยอยุธยา แต่พอเห็นวิธีการสู้ของรัฐบาลอยุธยาแล้วสุดเซ็ง จะยิงปืนสู้พม่าก็ต้องขอ
    อนุญาต ทั้งเห็นว่าพม่ายกมาครั้งนี้มีท่อน้ำเลี้ยงพร้อมท่าจะอยู่ได้เป็นปีๆ ข้างรัฐบาลก็หน่อมแน้ม
    กล้าๆกลัวๆ พวกทหารที่มีหน้าที่ก็ไม่ยอมรบ บางคนกอบโกยเตรียมจะหนี พระยาตากจึงนำทหารไทยจีน
    พันเศษหนีออกไปอยู่ที่จันทบุรี
    ด้านรัฐบาลก็เริ่มเปิดการเจรจากับพม่า.........ลงท้ายการเจรจาก็ล้มเหลว
    พม่าเคลื่อนพลไปชุมนุมที่วัดไชยวัฒนารามได้ 9 วันก็ตีค่ายไทยแตก.......
    บัดนี้แผนป่าล้อมเมืองหรือพม่าล้อมเกาะได้ผล 100 % แล้วถึงวันอังคาร เดือน 5 ข้น 9 ค่ำปีกุน
    จุลศักราช 1129 ตรงกับเทศกาลสงกรานต์เดือนเมษายน พ.ศ. 2310 คนไทยกำลังรำเถิด
    เทิง รดน้ำสงกรานต์อยู่แถวประตูข้าวเปลือกบ้าง ถนนข้าวสารบ้าง เวลาบ่าย 4 โมง พม่าเริ่มระดมยิงกระ
    สุนจากวัดท่าการ้อง วัดแม่นางปลื้มเข้าไปถล่มกรุงศรีอยุธยา......
    ในที่สุดพม่าตีกรุงแตกในตอนดึกนั้นเอง พม่าจุดไฟเผาวัดพระศรีสรรเพชญ และพระราชวังยับเยินป่นปี้ ท้อง
    ฟ้าแดงเดือดดังเลือดนกควันไฟตลบทั่วพระนครถึง 7 วัน 7 คืน
    อยุธยาเป็นอันถึงแก่กาลอวสาน อยุธยายศล่มแล้ว .......
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อยุธยายศล่มแล้ว (ตอนสุดท้าย) โดยวิษณุ เครืองาม
    คนไทยนับหมื่นๆคน ถูกจับเป็นเชลย พม่าเจาะเอ็นข้อเท้าใช้หวายร้อยผูกโยงกันแล้วให้เดินเท้าไปพม่า
    แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร ซึ่งสละราชสมบัติให้พระเจ้าเอกทัศน์ผู้เป็นพี่ชายแล้ว ท่านเองออกบวชก็ถูก
    เกณฑ์เป็นเชลยเดินเท้าไปพม่าจนสวรรคตที่นั่น
    พระเจ้าเอกทัศน์หลบหนีโซซัดโซเซไปสวรรคตที่เชิงกำแพงพระนคร ว่ากันว่าอาหารมื้อสุดท้ายที่เสวยประทัง
    ชีวิตคือข้าวมันส้มตำที่ชาวบ้านหาให้ตามมีตามเกิด
    เดือนเมษายนเป็นหน้าร้อน...........

    คนไทยสมัยก่อนพอถึงเดือนเมษายนก็จะนั่งน้ำตาไหลนึกถึงเหตุการณ์ครั้งกรุงแตก เห็นเอ็นร้อยหวายที่ข้อเท้า
    ตัวแล้วนึกถึงปู่ย่าตาทวดที่ถูกเกณฑ์ไปพม่า สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ มเหสีรัชกาลที่ 1 นั้น เป็นชาวอัมพวา
    ทรงตกทุกข์ได้ยากคราวกรุงแตก จึงจัดผักดอง ปลาเค็ม ของแห้ง ข้าวสารใส่กระทายวางไว้ข้างที่บรรทมจน
    สวรรคต ตรัสว่าเผื่อข้าศึกยกมาอีก จะได้ฉวยหนีทัน คราวก่อนคว้าอะไรไม่ทัน คนไทยครั้งต้นกรุงเทพบางคน
    ไม่ยอมกินข้าวมันส้มตำด้วยซ้ำ

    เราเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเมื่อวันสงกรานต์เดือนเมษายน 243 ปีมาแล้ว เหตุหนึ่งเพราะบ้านเมืองเป็นทุรยศ และคนไทยไม่เสพสามัคคีรสกัน จำไว้ให้
    ดีนะครับ
    วิษณุ เครืองาม

    wis.k@hotmail.com


    ขอขอบพระคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม และเดลินิวส์ ครับ
     
  6. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เขาแห่กันมาที่สีลมเมื่อสักครู่นี้ พร้อมกับตะโกนว่านายกสั่งฆ่าประชาชน นายกสั่งฆ่าประชาชน

    ในสายตาคนที่รับข่าวสารหลายด้านแม้แต่พวกด้านเสื้อสีก็รับอย่างทางสายธาตุ ตรองแล้วก็ยังไม่เชื่อว่านายกสั่งฆ่าประชาชนสักนิด นายกพยายามปฎิบัติแบบสุภาพบุรุษประชาธิปไตยมาก มากเสียจนเราเองเสียอีกว่าท่านนายกสู้เขาบ้างนะ อย่ามัวแต่พับเพียบปราบจราจล จนเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เห็นนายกเริ่มสู้แล้วก็ยังให้กำลังใจกันต่อไป

    นายกอย่าท้อนะคะ บ้านเมืองเป็นของเราทุกคน เราจะช่วยกันพยุงไว้ค่ะ

    พวกเราต้องมีสติกันให้มากๆนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2010
  7. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    ส่วนสรุปสุดท้ายที่คิดจะไม่เอามาเขียนที่นี่ แต่แล้วขอนำมาลงค่ะ เป็นส่วนที่ทางสายธาตุเชื่อมั่นอย่างมีวัตถุพยานว่า เจ้าแม่วัดดุสิต (กรมพระเทพามาตย์) ทรงเป็นต้นของราชวงศ์จักรีนั้น พระองค์เป็นพระราชธิดาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชค่ะ

    วัตถุพยานที่อ้างถึงคือ สัญญลักษณ์เสาสี่ต้นที่วัดชุมพลนิกายาราม และเจดีย์ทรงพระปรางค์องค์น้อยๆของเจ้าแม่วัดดุสิตที่วัดไชยวัฒนาราม

    อันพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์นั้นมิได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากเป็นพระมหาบารมีที่สะสมกันมาหลายชั่วอายุคนแห่งพระราชวงศ์ของพระองค์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 เมษายน 2010
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ...จากปูมวันสงกรานต์ดังกล่าว สำหรับปีนี้กลับมีห้วงเวลาคาบเกี่ยวอันน่าพิศวง ที่เมื่อสัมพันธ์กับการในฟ้าอากาศแล้ว จะมีความสุดโต่งสองขั้วเกิดขึ้นในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

    ช่วงวันที่ 14-21 เมษายน 2553 พระอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศีเมษเป็นมหาอุจม์ แต่เป็นกาลกิณีจร ทับลัคนาดวงเมือง ต้องด้วยบทพยากรณ์ว่ากาลีอุจจาวิหายะติ แปลความว่าจะเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในบ้านเมือง มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในบ้านเมือง

    ครั้นล่วงถึงวันที่ 21 เมษายน 2553 พระอาทิตย์จรเปลี่ยนคุณสมบัติจากกาลีจร กลายมาเป็นมนตรีจร เปลี่ยนสภาพจากโทษอนันต์เป็นคุณมหันต์ในพริบตา พระสยามเทวาธิราชจะแผ่พระบารมี ระงับดับกลียุคและทุกข์เข็ญในบ้านเมือง

    แต่จะเป็นรูปแบบใดและวิธีใด มนุษย์เดินดินอย่างเราท่านไหนเลยจะไขลิขิตแห่งสวรรค์ได้!


    ด้วยเดชะลิขิตแห่งสรวงสวรรค์ ขออนุโมทนาสาธุการ
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"พระราชินี"ตรัสต่อภรรยา พ.อ.ร่มเกล้า เสียดายทหารดี-ตั้งใจปกป้องบ้านเมือง</TD><TD vAlign=baseline align=right width=85>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>12 เมษายน 2553 22:35 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีรับสั่งแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากกลุ่มคนเสื้อแดง ทรงเสียดายที่สูญเสียทหารดีและตั้งใจทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมือง

    นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยา พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ผู้เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติการขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 กล่ายภายหลังการเฝ้ารับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในการเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.อ.ร่มเกล้า ว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีรับสั่งแสดงความเสียใจต่อครอบครัว ถือเป็นการสูญเสียนายทหารที่ดี และมีความตั้งใจทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองตั้งแต่เริ่มเข้ารับราชการด้วยความจงรักภักดี

    สำหรับในส่วนของครอบครัวถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และเชื่อว่าเมื่อ พ.อ.ร่มเกล้ารับรู้คงปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด เนื่องจาก พ.อ.ร่มเกล้า มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งใด และย้ำเสมอว่า ชีวิตนี้เกิดมาเพื่อรับใช้แผ่นดิน

    สำหรับการดำเนินพิธีกรรมทางศาสนาจะมีพิธีสวดอภิธรรมศพตั้งแต่วันที่ 12 - 19 เมษายน 2553 ยกเว้นวันที่ 13 เม.ย.และในวันที่ 20 – 22 เม.ย. จะมีการประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ คาทอลิก ที่โบสถ์เซนต์หลุยส์ เนื่องจากครอบครัวของ พ.อ.ร่มเกล้านับถือศาสนาคริสต์ แต่ในส่วนของ พ.อ.ร่มเกล้ามีความสนใจและศึกษาในหลักของศาสนาพุทธด้วย ดังนั้น จึงจัดให้มีการประกอบพิธีกรรมทั้งสองศาสนา และจะมีพิธีฝังที่สุสานสันติคาม จังหวัดนครปฐม



    เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    .............

    คน (ดีแต่) พูดนั้น ไม่เหมือนคนทำ ฉะนั้น เราอย่ายึดเพียงความหวังดีแล้วตำหนิตำรวจ-ทหาร-รัฐบาลที่เขาทำหน้าที่รักษาความสงบให้บ้านเมือง ข้อจำกัด และสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมันมีมาก ไม่เหมือนพวกกบฏในราชอาณาจักรซึ่งจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้น
    อย่าตอกย้ำให้คนทำงานต้องช้ำใจ และเสียความรู้สึกกันไปให้มากกว่านี้
    อย่าไปทำให้เกิดภาพว่า "รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ" แตกกัน เพราะจริงๆ แล้ว รัฐบาล-ทหาร-ตำรวจ เขาร้อนใจ และหนักใจกว่าเราระดับชาวบ้านเป็นล้านเท่า และอย่าจับคำพูดแบบ "ตัดหัว-ตัดท้าย" เอาเฉพาะบางคำไปโพนทนาให้เกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นในวงกว้าง ..................


    ตัดตอนมาด้วยเห็นว่าเป็นคำเตือนให้สติที่ดีมากในยามนี้ ท่านใดสนใจเพิ่มเติม
    ก็ตามนี้ครับ "การเมืองแก้การเมือง"แล้วการก่อการร้าย...ใครแก้? | ไทยโพสต์
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ในหลวง-ราชินี" พระราชทานค่ารักษาผู้บาดเจ็บ-ค่าใช้จ่ายทำศพ เหตุปะทะ 10 เมษาฯ</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>13 เมษายน 2553 12:19 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานค่ารักษาผู้บาดเจ็บ-ค่าใช้จ่ายทำศพผู้เสีชีวิต จากเหตุการณ์ปะทะ เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ และค่าใช้จ่ายในการทำศพผู้เสียชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่ และประชาชน ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งทางสำนักราชเลขาธิการ ได้อัญเชิญพระราชกระแสแจ้งให้กับโรงพยาบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อที่จะดำเนินการต่อไป
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สาวฝรั่งใจหาญ ถือพระบรมฉายาลักษณ์ฯ ประจันหน้า...</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>14 เมษายน 2553 02:45 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=430 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=430>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ภาพหญิงสาวชาวต่างชาติอายุประมาณ 20 ปี ยืนอยู่กลางถนนราชปรารภ พร้อมถือปฏิทินที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เผชิญหน้ากับขบวนรถจักรยานยนต์ของเสื้อแดงที่ขับรถวิ่งผ่านไป ภาพดังกล่าวไม่ระบุวันเวลาที่ถ่าย แต่โพสต์อยู่ในเฟซบุ๊กของ Salary Man ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    การฝึกตนให้มีสติควบคุมจิต

    โดยพระอาจารย์ ประสิทธิ์ ปุญญมากโร

    วัดป่าหมู่ใหม่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่


    การฝึกตนให้มี สติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม เป็นสิ่ง สำคัญต่อการดำรงชีวิต

    ผู้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา จะเป็นผู้ได้ รับประโยชน์ การกระทำกิจการใดๆ ก็ลุล่วงไปด้วยดี ไม่ี่ค่อย มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น

    ๑. มีสติรู้ตัว รู้ลมหายใจเข้า-ออก
    มีสติอยู่รู้ว่า ขณะนี้ หายใจเข้ายาว-หายใจออกยาว ก็รู้อยู่
    หายใจเข้าสั้น-หายใจออกสั้น ก็รู้อยู่
    อาจจะ ใช้คำภาวนาในใจ อย่างใดกำกับตามไปด้วยก็ได้

    ๒. มีสติรู้ตัว ตามรู้จิต
    เมื่อมีสติ รู้ลมหายใจอยู่ ก็ตามรู้จิต
    ธรรมชาติของจิต มีความหลุกหลิก กลิ้งกลอกอ่อนไหว ว่องไว คิดเรื่อยเปื่อยไปได้ทั้งดีและชั่ว ต้องใช้สติต่างเชือกมัดจิตไว้กับหลัก คือลมหายใจให้ได้ จิตคิดวิ่งไปที่ไหน ก็ใช้สติระลึกรู้ตาม ไปประคองจิตไว้ไม่ให้คิดในเรื่องชั่ว อันเป็น บาปทุจริต ประคอง จิตไว้ให้คิดในเรื่องดี อันเป็นบุญสุจริต เท่านั้น ความผ่องใส ในจิตจะเกิดเพิ่มขึ้น ความทุกข์ก็จะค่อยสิ้นไป

    ๓. มีสติรู้ตัวทุกอิริยาบถของร่างกาย
    มีสติระลึก รู้ตัวตั้งแต่ตื่น นอนลืมตาขึ้นมาว่า ตื่นแล้วกำลังจะลุกขึ้นนั่ง ย่างก้าวเดินเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน อาบน้ำ ขับถ่าย ๆลๆ มีสติระลึกรู้ตัวไปทั่วทุกสิ่ง ทั่วทุกอิริยาบถ เคลื่อนไหว ยืน เดิน นั่ง นอน เหลียวซ้าย แลขวา ก้าวหน้า ถอยหลัง ก็ทำสติตามรู้ทุกอย่างไป แม้จะยังไม่บริบูรณ์ ด้วยจิตหนีหายหลบไป เมื่อรู้ตัวก็กำหนดสติต่อไป จะเกิดผล เป็นผู้มีพลัง สติคุมจิต ตั้งมั่นเกิดสมาธิ

    ๔. มีสติรู้ตัวพิจารณาให้เห็นความจริง มีสติพิจารณา ในความเป็น ธรรมชาติ ที่มีเห็นอยู่ รอบๆ ตัวเรานี้ ล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยง คงทนถาวรอยู่ไม่ได้ตลอดไป เกิดมีขึ้นแล้ว ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่หยุดนิ่ง แล้วก็ดับหายตายจากไป ไม่เราจากสิ่งนั้นไปก่อน สิ่งนั้น ก็ จากเราไปก่อน ไม่มีใครจะยึดเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้ เป็น ธรรมชาต ิที่เลื่อนไหลไปอยู่อย่างนั้นเป็นธรรมดาอย่ายึดถือไว้เป็ีนความทุกข์

    ๕. มีสติรู้ตัว ถอนความยึดถือ ในตัวตนเสีย มีสติพิจารณา ดูลงไป ที่ตัวเราเองว่า มีอะไรบ้าง หรือที่เราบังคับได้บ้าง ร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดมา มีแต่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่ง เกิดมาได้อย่างไร ไม่รู้ตัว เลย(หรือใครรู้ตัวบ้างช่วยบอกที) มารู้ตัวเอาก็ต่อเมื่อเติบโตพอจำความได้แล้ว ก็มีความเปลี่ยนแปลง ไม่หยุดยั้ง แล้วก็ต้องตายไป ทำพิธีต่ออาย ุสืบชะตาอย่างไร ก็ต้องตายทุกคน แล้วจะยึดถือว่าเป็นตัวเรา ของเราได้อย่างไร ตายแล้วไม่เผาได ก็ฝังดินเท่านั้นเอง มันเป็นเพียงธรรมชาิติ ที่เกิด ขึ้นแล้วก็ดับไป เราเพียงยืมใช้ได้อาศัยศึกษา รักษาไว้เป็นพาหนะ ให้ทำความดี เพื่อข้ามวัฎสงสารเท่้านั้น

    ๖. มีสติรู้ตัว พูดจาให้น้อยลง พูดเท่าที่จำเป็น จะต้องพูด ด้วยความมีสติรู้ตัวอยู่ การพูดมากมีโอกาสพูดผิดได้มาก ไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเป็นโทษอีกด้วย เป็นผู้ฟังแล้วตามคิด เลือกจำสิ่งดีๆ มาใช้จะได้ประโยชน์ กว่าคนพูดมาก มักขาดสติง่าย เป็นผู้ฟังที่โทษน้อย หรือไม่มีเลย แต่เป็นผู้ได้รู้มากกว่าผู้พูด

    ทั้ง ๖ ข้อนี้ ที่กล่าวมาแล้วนี้

    เป็นสิ่งที่ควรสนใจฝึกอบรมสติ ควบคุมจิต ให้เกิดพลังจิตที่มีประสิทธิภาพ ที่ควรแก่การงาน การกระทำกิจการงานใดๆ จะมีความสำเร็จ ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เป็นพื้นฐานที่ถูกต้องต่อการดำรงชีวิต
    และการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า เจริญสู่ขั้นสูงได้ง่าย ต่อไป การฝึกฝนตนเอง ด้วยการมีสติควบคุมจิต ต้องใช้ความเพียรอย่างมาก เพียงใดก็ตาม ก็ อย่า ได้มีความท้อถอย ที่ใดมีความตั้งใจจริง เพียรพยายามอยู่ ความสำเร็จย่อมมี ตามมาอย่างมิสงสัย

    นำมาจาก

    http://www.dhammajak...pic.php?t=13099
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขับไล่จิตตก

    ช่วงเวลาที่สถานการณ์รอบกายน่าเป็นห่วงเช่นนี้ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศย่อมรู้สึกไม่สบายใจ เเมื่อจิตใจไม่เบิกบาน หลายคนก็พานไม่อยากทำอะไร ซึมเศร้า หดหู่ ภาวะแบบนี้ไม่สร้างสรรค์ค่ะ แถมยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม
    จากบรรณาธิการฉบับนี้ ดิฉันจึงขอยกถ้อยคำบางตอนจากหนังสือเรื่อง “ความน่ากลัวของสิ่งที่เรียกว่าสุข” ที่เขียนโดยอุบาสิกา คุณรัญจวน อินทรกำแหง มาฝากผู้อ่านค่ะ
    ถีนมิทธะเป็นลักษณะของจิตที่ตก กำลังของจิตนี่มันตก มันเปลี้ยลงไป ตกลงไป ดิ่งลิ่วๆ ลงไปเลย ถ้าปล่อยให้มันเป็นมากๆ จนหมดความอยากได้ใคร่ดี ไม่อยากทำอะไร...ถีนมิทธะเกิดขึ้น มักจะไม่ค่อยมีแรง...ฉะนั้นท่านก็แนะนำ ถ้าอาการถีนมิทธะเกิดขึ้นในจิต สิ่งแรกที่ควรทำคือหยุด หยุดคิดถึงตัวเอง คนที่มีอาการของถีนมิทธะคือหดหู่ เหี่ยวแห้ง เพราะมันไม่สมหวัง จนรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่มีอะไร โดดเดี่ยว อ้างว้าง ซึมเซา หงอยเหงา เพราะฉะนั้นจงหยุดคิดถึงตัวเอง แล้วก็แข็งใจลุกขึ้น ลุกขึ้นยืนให้ได้... ฉะนั้นด้วยความรักและใส่ใจสุขภาพอยู่เป็นทุน ผู้อ่านชีวจิตจึงไม่น่าจะนิ่งดูดาย ควรลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ
    เมื่อสุขภาพกายดี สุขภาพใจก็ปกติ เราก็จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมรอบกายได้ต่อไป


    แหล่งที่มา : นิตยสารชีวจิต 1 เม.ย. 53
     
  15. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466

    [​IMG]
    รายการ “เจาะใจ” วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายนนี้ นำเสนอเรื่องราวของฝรั่งหัวใจไทย 2 คน ที่รักเมืองไทย และทำอย่างเพื่อเมืองไทย ทั้งที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง คนแรกคือ อลัน เบท อดีต นักปั่นจักรยานทีมชาติอังกฤษ กับภารกิจยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตด้วยการปั่นจักรยานระยะทาง 29,500 กิโลเมตรรอบโลกผ่าน 109 เมืองสำคัญ ใน 19 ประเทศทั่วโลก เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า...“ผมรักในหลวง” ส่วนเป้าหมายในอนาคตคือ เปิดพิพิธภัณฑ์จักรยาน ทำสถาบันฝึกสอนการขี่จักรยาน เพื่อให้เยาวชนไทยไประดับโลก
    ฝรั่งหัวใจไทยอีกคนคือ แพททริก กิลล็อค เขาแสดงความรักต่อเมืองไทยด้วย “หมวกกันน็อค” จนได้ฉายาว่า "ฝรั่งติ๊งต๊อง" เขาเป็นหัวหอกในการรณรงค์เรื่องหมวกกันน็อคให้ความรู้เรื่องการขับขี่อย่างปลอดภัยในหลายๆ จังหวัด นอกจากนี้เขายังส่งลูกคนเก็บขยะเรียนจนจบ
    รายการคืนนี้จะมาเจาะใจฝรั่งหัวใจไทยทั้งสองคนว่าอะไรทำให้พวกเขารักเมืองไทยถึงขนาดยอมทิ้งอนาคต ความสะดวกสบายที่ประเทศตัวเองมาอยู่เมืองไทยและมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อเมืองไทย...ในขณะที่คนไทยด้วยกันเองกำลังทำร้ายประเทศชาติ ติดตามชมได้ในรายการ “เจาะใจ” วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน เวลา 22.20 น. ทางททบ. 5 และสามารถชมรายการย้อนหลังได้ที่ johjai.manytv.com
     
  16. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อลัน เบท อดีตนักปั่นจักรยานสัญชาติอังกฤษระดับท็อปเท็นของโลก ที่หลงรักเมืองไทยและจงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างสูงสุด เปิดเผยว่า "ตลอดระยะเวลากว่า 5 ปีที่ผมย้ายมาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ผมได้เห็น ได้ซึมซับ และได้มีโอกาสเรียนรู้พระจริยวัตรอันงดงามของพระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เห็นพระปรีชาในศาสตร์หลายๆ ด้าน และพระราชกรณียกิจที่เป็นไปเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทยอย่างแท้จริง พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นแรงบันดาลใจให้ผมฝ่าฟันความยากลำบากมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้ผมจะขี่จักรยานรอบโลก เพื่อประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงความรักที่คนไทยมีต่อพระองค์ท่านและผมมุ่งมั่นที่จะสร้างสถิติโลกใหม่ ซึ่งผมจะพยายามทำให้สำเร็จให้ได้ เพราะทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงสถิติที่ผมจะสร้างใหม่นี้ ทั้งโลกจะได้รับรู้ถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านทรงมีต่อชาวไทยและสังคมโลกตราบนานเท่านาน"




    ในการสร้างสถิติใหม่ที่จะบันทึกไว้ใน กินเนส บุ๊ค ออฟ เวิล์ดเรคคอร์ด อลันได้เตรียมตัวอย่างหนักมาเป็นเวลานานถึง 3 ปี และจะเริ่มออกเดินทางในวันที่ 31 มีนาคม 2553


    จากลานพระบรมรูปทรงม้า มุ่งหน้าลงใต้ เพื่อจะผ่านไปยังประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ก่อนจะข้ามไปยังทวีปออสเตรเลีย อเมริกเหนือ อเมริกาใต้ยุโรป ก่อนจะวกกลับเข้าเอเชีย กลับมายังประเทศไทยทาง อ.เชียงของ จ.เชียงราย และสิ้นสุดการเดินทางที่กรุงเทพฯ รวมทั้งสิ้น 19 ประเทศ เป็นระยะทาง 29,500 กิโลเมตร ภายในเวลาน้อยกว่า 165 วัน ซึ่งเป็นสถิติปัจจุบันที่ จูเลียน ซาเยอร์ นักปั่นชาวอังกฤษ ทำไว้เมื่อปีที่แล้วที่ 29,000 กิโลเมตร เส้นทางที่อลันเลือกในครั้งนี้ มีความท้าทายมากกว่า และระยะทางไกลกว่า โดยอลันตั้งเป้าที่จะทำให้ได้ภายใน 149 วันซึ่งมีเลข 9 สื่อถึงรัชกาลที่ 9


    "
     
  17. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    พอลุกขึ้นได้ก็กระโดดโลดเต้น ออกกำลังกายและวิ่งเพื่อให้เลือดมันเดิน มันจะได้มีความกระฉับกระเฉงว่องไวขึ้นภายในใจ แล้วก็สามารถไปออกกำลังกาย
    ได้ จะไปว่ายน้ำไปตีแบด หรือจะไปทำอะไรก็แล้วแต่หรือหางานหาการทำ ฟัน
    ดินเข้า ทำสวนเข้า อะไรที่ต้องใช้การออกกำลังกายเพื่อขับไล่ความหดหู่ เหี่ยว
    แห้ง ไม่มีแรงออกไป...ทำให้จิตหมองมัวอยู่ตลอดเวลาออกไป จนเป็นจิตใจที่
    ใสสะอาดได้

    ปล.เพิ่มเติมข้อความเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์ครับ
    หมายเหตุ: เคยได้ยินเด็กนักเรียนจากจังหวัดนครสวรรค์ ที่ครูอาจารย์พามาฟัง
    ธรรมและคำสอนจากพระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช ตอบพระอาจารย์อย่าง
    ฉาดฉานว่า "อะไรมันก็ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป"
     
  18. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    นี่คือคำตอบ "อนุพงษ์" หายไปไหน?


    แทบจะทุกท่านอาจจะมีหลายๆคำถามอยู่ในใจแต่ไม่รู้จะหันหน้าไปถามไถ่จากใคร แล้วก็คงอยากจะทราบคำตอบข้างต้น (ขอออกตัวกันไว้เสียก่อนว่าเรื่องนี้
    ไม่เกี่ยวข้องกับสีไหนๆเด็ดขาด)...................
    ...................................
    ขอให้ท่านทั้งหลายสบายใจเถอะ "เหนือฟ้ายังมีฟ้า" แต่ฟ้าที่เหนือฟ้านั้น ยังมีอีกชั้นที่เหนือกว่า คือ...คุณธรรม!..............
    ....................................


    ครับ...ท่านอ่านจบแล้วใช่มั้ย เมื่อจบแล้วตอบกับตัวเองได้หรือยังว่า "ถ้าเราเป็นนาย" จะกล้าหายหัวมั้ยในเมื่อ...ลูกน้องก็ตาย นายก็ยังไม่ทำหน้าที่?!


    ขอขอบคุณ: http://www.thaipost.net/news/160410/20898
     
  19. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    .....ผมบอกไว้วานนี้ เหนือฟ้า-มีฟ้า และจากฟ้าที่เหนือฟ้า นั่นคือ "คุณธรรม" ผมพูดในสิ่งที่ท่านไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อ แต่จงรู้ไว้เถอะว่า...นั่นคือนิจจังแห่งสัจจะฟ้า-ดิน
    "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระภูมิพลอดุลยเดชมหาราชเจ้า"
    ผมเอ่ยพระนามแห่งพระองค์ท่านไว้ "ด้วยชีวิต" และจะไม่ขยายความอะไรตรงนี้อีก เพราะผมทราบ ทุกท่าน...ที่ประหนึ่งพลังเงียบของแผ่นดิน แต่วันนี้แต่ละท่านก้าวออกมารวมกัน "ใจท่าน" ตอบ "ใจท่าน" ได้เองมิใช่หรือว่า
    ใครที่คิดร้ายต่อแผ่นดิน ใครที่คิดหยามหมิ่นองค์แห่งพระสมมุติเทพผู้ทรงทศพิธราชธรรม ผู้มีขันติและเมตตาบารมีเป็นตบะที่ทรงบำเพ็ญแล้วแก่กล้า กระทั่งว่าองค์อินทร์ยังต้องเหินองค์ลงอภิวันทานั้น
    อันธพาล คือ ผู้มีใจมืดบอดทั้งหลาย สุดท้าย...จุดที่หยุด "ความเคลื่อนไหว" ของพวกเขา จะสยดสยองใจ ชนิดคิดไม่ถึง!?
    การทำดี ต้องไม่มีคำว่า "เดี๋ยว" ถ้าจะมีคำว่า "เดี๋ยว" ก็ต้องมีได้ประการเดียวคือ
    เดี๋ยวนี้!
    ......................


    ขอขอบคุณแหล่งที่มา: สภาพแท้จริง "ประเทศไทย" วันนี้ http://www.thaipost.net/news/170410/20928
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ทหารไทย- เขมรปะทะเดือด!! 2 ระลอกเช้านี้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>17 เมษายน 2553 11:31 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> เช้านี้ (17 เม.ย.) เกิดเหตุยิงปะทะกันระหว่างทหารพรานกองร้อยจู่โจมที่ 2608 กับกองร้อย ตชด.ที่ 402 กัมพูชา บริเวณหลักเขตที่ 13-14 ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งเหตุเกิดขณะที่ทหารไทยกำลังออกลาดตระเวนและพบกับกองกำลัง ตชด.กัมพูชา จึงถูกฝ่ายกัมพูชาใช้อาวุธสงครามยิงใส่ ทำให้เกิดการปะทะกันขึ้นนานเกือบ 30 นาที ซึ่งหลังเกิดการปะทะกองกำลังทั้ง 2 ฝ่าย ได้เสริมกำลังเข้าไปในพื้นที่อีก
    ทั้งนี้ เมื่อเวลา 09.30 น. เกิดการยิงปะทะขึ้นอีกครั้ง โดยฝ่ายกัมพูชาใช้ทั้งปืน ค. อาร์พีจี และปืนกลจากรถยิงใส่ฝ่ายไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานการสูญเสียของทั้ง 2 ฝ่าย


    -ชาวไทยทุกท่านคงจะจดจำประวัติศาสตร์กันได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...