ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย จงรักภักดี, 28 เมษายน 2009.

  1. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    เมื่อควันไฟเผาประเทศจางลงหลักฐานทุกอย่างดังภาพ..ก็เผยหมดสิ้น!!
    <SCRIPT type=text/javascript><!--google_ad_client = "pub-4456041872909770";/* 468x15, created 10/2/08 */google_ad_slot = "9870858794";google_ad_width = 468;google_ad_height = 15;//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
    http://www.udon108.com/board/index.php?topic=31924.0
    <SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>
     
  2. ทางสายธาตุ

    ทางสายธาตุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    2,922
    ค่าพลัง:
    +6,434
    คลิปนี้น่ารัก คลายเครียด และให้กำลังใจคนทำงาน นายก ศอฉ สู้ต่อไป ทาเคชิ

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=4yRB677kKt0&feature=player_embedded]YouTube - ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่หัวใจ[/ame]
     
  3. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    จากคุณนุ้ย สุจิรา ค่ะ.....

    ...
    นุ้ยอยากให้เขามองกลับไปตลอดชีวิตของเขา ตลอดชีวิตของทุกๆ คน ที่เกิดมาอยู่บนผืนแผ่นดินไทย มีความสุขหาเช้ากินค่ำได้ ไม่ต้องเป็นทาสใคร เงินทุกบาททุกสตางค์ที่เราจ่ายให้กับน้ำประปาไฟฟ้าที่ยังถูกอยู่ คุณคิดว่าเป็นเพราะใคร”

    “เวลาที่เราประสบน้ำท่วม ใครสร้างเขื่อน เราแล้งใครทำฝนเทียม แม่น้ำเน่าใครคิดขจัด โครงการแก้มลิงใครคิด ไม่ใช่พ่อของเราเหรอ ที่เราอยู่สุขสบายทุกวันนี้ ไม่ใช่เพราะเรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เหรอ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก เขารับรู้หมด และชื่นชมพระมหากษัตริย์ของเรา ที่ทรงมีพระปรีชาสามารถ”

    “เราต้องลองคิดดู ถ้าเรามีลูกเราต้องดูแลลูกจนกว่าลูกเราจะตาย แล้วท่านล่ะท่านดูแลทุกชีวิต ลูกแต่ละคนก็มีทั้งดีและไม่ดี ประเทศนี้มีลูกหลากหลายเป็นล้านๆ คน พ่อของเราก็เลยต้องทรงงานทุกวัน ถ้าเราทำงานทุกวันเราไหวเหรอ เราไหวไหม แล้วท่านจะต้องได้รับการตอบแทนแบบนี้เหรอ ไม่รู้เลยเหรอว่าอะไรเป็นอะไร”

    “กษัตริย์ทุกพระองค์ของเราทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติแค่ไหน เราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ทำไมคุณไม่มองดูประเทศอื่น อย่างเกาหลี ทำไมเขาถึงต้องมีการรวมน้ำใจเป็นหนึ่งเดียว และสามารถกันห้างจากต่างประเทศไม่ให้เข้ามาในประเทศเขา เพราะอะไรเขาเคยผ่านการถูกฆ่า ผู้หญิงถูกข่มขืน เขาเลยมีการรวมใจกันได้ ประวัติศาสตร์ของเขาหายไปหมด แม้แต่อาหารประจำชาติของเขา ก็ถูกประเทศที่มาครอบครองเอาไปเป็นอาหารของเขาด้วย อย่างต้นซากุระ เขายังเถียงกันเลยว่า เป็นของญี่ปุ่นหรือเป็นของเขา”

    “คนไทยเราโชคดีขนาดไหนแล้ว ที่ไม่ต้องมีเรื่องแบบนี้ ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ แล้วถ้าคุณบอกว่า โอ๊ย...ยังจนอยู่เลย จนเพราะอะไรล่ะ มันไม่ใช่ว่าคุณจะต้องมาพึ่งรัฐบาล พึ่งประเทศชาติ หรือพึ่งอะไร คุณต้องพึ่งตัวเองก่อน ในหลวงสอนเสมอว่า ขาของคุณแข็งแรง มือของคุณแข็งแรง บ้านของคุณมีธรรมชาติเป็นตู้กับข้าว เป็นซูเปอร์มาร์เก็ต คุณเองใช่ไหมเลือกที่จะเชื่อคำโฆษณาปลูกพืชเชิงเดี่ยว อะไรที่เขาว่าดีก็ไปซื้อเมล็ดเขามา แล้วก็ไปปลูกเกษตรเชิงเดี่ยว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับซูเปอร์มาร์เก็ตของคุณ ซูเปอร์มาร์เก็ตมันมีของขายอย่างเดียวไม่ได้ ผลมันก็เลยเป็นแบบนี้”

    “นุ้ยอยากให้ทุกคนได้พิจารณา ในหลวงของเราทรงเหนื่อยมามากแล้ว ทรงทำเพื่อเรามามากแล้ว ทำไมจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณทหารทุกคนด้วย ที่เสียสละปกป้องบ้านเมือง และนำความสงบสุขกลับคืนสู่สังคม”


    Entertainment - Manager Online
     
  4. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    การก่อความไม่สงบ - INSURGENCY

    เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน สมควรได้เรียนรู้และเข้าใจคำว่าการก่อ

    ความไม่สงบ ส่วนใครจะเข้าใจเลยไปว่า ก่อการร้าย ก็อนุโลมได้นะครับ...


    ท่ามกลางความขัดแย้งและแตกแยกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทยปัจจุบัน คงเป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายสำหรับคนไทยอีกหลายๆ คน ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจของโลกในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบมายังประเทศไทยด้วยแล้วนั้น ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเลือนลางที่ประเทศไทยจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ และก้าวผ่านไปเป็นประเทศที่คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดี สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คนที่ไม่มีสี1 หลายๆ คน นั้นเฝ้ามองว่า วันนี้คนไทยทุกคนมองไปที่ผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งหรือว่ามองที่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้งกันแน่ และสิ่งที่ยิ่งส่งผลให้สถานการณ์ต่างๆ เลวร้ายลง เมื่อต่างฝ่ายต่างพยายามปลูกฝังอุดมการณ์ความเชื่อในกลุ่มของตนผ่าน เทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information & Communication Tecnology : ICT) โดยเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถสื่อสารกกับประชาชนในทุกระดับได้อย่างรวดเร็วและทันที และถือได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการหล่อหลอมอุดมการณ์ที่นำไปสู่การโค่นล่มอำนาจฝ่ายตรงข้าม และการได้มาซึ่งอำนาจของฝ่ายตน การดำเนินการในลักษณะนี้จะเรียกว่าการก่อความไม่สงบ (Insurgency)
    เมื่อกล่าวถึงคำว่าการก่อความความไม่สงบแล้ว หลายคนมักจะนึกไปถึงการใช่ความรุนแรงและกองกำลังติดอาวุธเป็นเครื่องมือในการดำเนินการ แต่ความจริงแล้วการก่อความไม่สงบนั้นจะมีการดำเนินการในหลากหลายรูปแบบ คำว่าการก่อความไม่สงบนั้นมีความหมายในลักษณะต่างๆ ดังนี้
    พจนานุกรมศัพท์ทหาร ได้บัญญัติคำจำกัดความของสงครามก่อความไม่สงบ ไว้ดังนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ กับพวกก่อการไม่สงบที่ได้จัดตั้งขึ้นและได้รับการสนับสนุนเป็นประจำจากวงภายนอกให้ก่อการอย่างรุนแรงจากวงใน เพื่อต่อต้านกิจกรรมการเมือง การสังคม การเศรษฐกิจ การทหาร และงานด้านพลเรือน ทั้งนี้ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อก่อความพินาศให้แก่ทุกระบบภายในประเทศหรือจนกว่าจะโค่นล้มลงในที่สุด [1]
    โดยใน The Merriam-Webster Online Dictionary ได้ให้คำจำกัดความไว้ดังนี้ “a condition of revolt against a government that is less than an organized revolution and that is not recognized as belligerency” [2] ซึ่งสามารถถอดเป็นใจได้ดังต่อไปนี้ การก่อความไม่สงบหมายถึง เงื่อนไขที่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลกระทำการต่อต้านรัฐบาล โดยมีการจัดการในระดับที่น้อยกว่าการปฏิวัติ และ ยังมีลักษณะไม่เป็นภาวะสงคราม
    ในเว็บ Army-Technology.com ได้ให้ความหมายไว้ว่า A Insurgency is an operation that aims to overthrow an existing regime, often using guerilla tactics. [3] ซึ่งถอดใจความเป็นภาษาไทยได้ว่า การก่อความไม่สงบเป็นการปฏิบัติการที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อล้มล้างระบอบในปัจจุบัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักจะใช้ยุทธวิธีของกองโจร
    ส่วน Mark Monday และ Gary Stubblefield ได้กล่าวถึงคำว่า Insurgency ในบทความชื่อ Insurgency--What's in a Name? ดังนี้ An insurgency is usually directed at changing the policies of the governing authority, the personnel of the authority, or the governmental structure, by means not usually used in--or sanctioned by--the existing system. [4] ซึ่งถอดใจความเป็นภาษาไทยได้ว่า การก่อความไม่สงบโดยทั่วไปแล้วเป็นการกระทำที่มุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายของอำนาจรัฐ บุคคลที่มีอำนาจหน้าที่ของรัฐ หรือ โครงสร้างในการบริหารจัดการที่มีอยู่ของรัฐ โดยใช้เครื่องมือที่ไม่นิยมใช้ปฏิบัติกัน
    นอกจากความหมายของการก่อความไม่สงบแล้ว การกำหนดรูปแบบของการก่อความไม่สงบก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทรบ ในอดีตนั้นการก่อความไม่สงบจะมีรูปแบบในลักษณะของการใช้กองกำลังติดอาวุธเข้าก่อการ ดังจะเห็นได้จาก ใน คู่มือราชการสนามว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ พ.ศ.2540 (รส.100-20)2 ได้แบ่งรูปแบบการก่อความไม่สงบอออกเป็น 4 รูป [5] แบบได้แก่
    • การก่อความไม่สงบโดยการบ่อนทำลาย (Subversion Insurgency) : คือการแทรกซึมเข้าไปฝังตัวในโครงสร้างทางการเมืองของประเทศ องค์กรทางสังคมต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อหาทางการควบคุมโครงสร้างขององค์กรต่าง ๆ เหล่านั้น และใช้การโฆษณาชวนเชื่อทำการยุยงให้ องค์กรต่าง ๆ เกิดความขัดแย้ง และในบางองค์กรอาจก่อความไม่สงบขึ้น รวมถึงการชักจูงให้บุคคลระดับสูงขององค์กรเหล่านั้นให้มาเป็นพวก และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายแนวร่วมให้มากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายก่อความสงบที่ฐานการสนับสนุนทางการเมืองที่มั่นคงแล้ว จะเริ่มดำเนินการเรียกร้องต่อรัฐบาลในลักษณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถตอบสนองได้ จึงส่งผลให้การดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลมีความวุ่นวาย ไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ การก่อความไม่สงบในรูปแบบนี้มักจะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงโดยเปิดเผย
    • การก่อความไม่สงบโดยใช้แกนนำปฏิวัติ (Critical-Cell Insurgency) : คือการแทรกซึมไปในสถาบันต่าง ๆ ของรัฐบาลเพื่อทำลายโครงสร้างการบริหารภายในระบบ ทั้งในทางลับและเปิดเผย เพื่อสร้างเงื่อนไขการปฏิวัติให้เกิดขึ้น โดยดำเนินการบ่อนทำลายในทางทั้งในทางลับและเปิดเผย และใช้ความรุนแรงดำเนินการในทางลับ และเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย (รัฐบาลอ่อนแอและฝ่ายก่อความไม่สงบมีความเข้มแข็ง) ฝ่ายก่อความไม่สงบจะเข้าทำการยึดอำนาจโดยกำลังติดอาวุธ
    • การก่อความไม่สงบโดยมุ่งเน้นมวลชน (Mass-Oriented Insurgency) : คือการสร้างความขัดแย้งที่ยาวนานกับฝ่ายรัฐบาล โดยการจัดตั้งองค์กรมวลชนจากประชาชนส่วนใหญ่ ให้สนับสนุนการดำเนินงานของกลุ่มก่อความไม่สงบ การจัดตั้งองค์กรมวลชนของการก่อความไม่สงบรูปแบบนี้จะมีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน เพราะจะมีส่วนที่เป็นกองโจรติดอาวุธ และองค์กรมวลชนที่ใช้ในการต่อสู้กับรัฐบาล และมีการนำโดยการจัดตั้งรัฐบาลซ้อนขึ้นมา เพื่อพร้อมที่จะเข้าเป็นรัฐบาลแทนรัฐบาลในปัจจุบัน
    • การก่อความไม่สงบแบบดั้งเดิม (Traditional Insurgency) : มีรากฐานมาจากความไม่พอใจในรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายในเรื่อง ความแตกต่างในชาติพันธุ์ ศาสนา วัฒนธรรม และ ประวัติศาสตร์ ที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างชนกลุ่มที่เป็นกลุ่มน้อยต่าง ๆ กับชนกลุ่มใหญ่ การก่อความไม่สงบในรูปแบบนี้จะมุ่งเน้นในเรื่องของการแยกตัวจากการควบคุมของรัฐบาล การแบ่งแยกดินแดน เพื่อปกครองตนเอง โดยที่ไม่มีความต้องการที่จะครอบครองการปกครองทั้งหมดของประเทศ มักจะนิยมใช้ความรุนแรงในการดำเนินการ อย่างไรก็ตามการก่อความไม่สงบลักษณะนี้จะไม่มีโครงสร้างการจัดที่มีความชัดเจน และการก่อความไม่สงบรูปแบบนี้จะยุติลงเมื่อทางฝ่ายรัฐบาลยินยอมให้กลุ่มก่อความไม่สงบแบ่งแยกตนเองออกไปปกครองกันเองไม่ขึ้นกับการปกครองของรัฐบาล
    อย่างไรก็ดีกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ก่อเกิดมุมมองและการพัฒนารูปแบบของการก่อความไม่สงบ โดยขยายรูปแบบออกไปสู่การไม่ใช่ความรุนแรง และการไม่ใช้กองกำลังติดอาวุธหรือกองโจร เข้าทำการก่อความไม่สงบ ดังเช่น ในบทความ Insurgency--What's in a Name? ได้แบ่งรูปแบบของการก่อความไม่สงบออกเป็น 6 ประเภท [6] คือ.....

    รายละเอียดหาอ่านเพิ่มเติมที่ Tortaharn.net - Insurgency -
     
  5. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
     
  6. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ...การสร้างจิตสาธารณะ รศ.ดร.เสรี กล่าวว่า เราต้องเริ่มจากการปลูกฝัง จากนั้นต้องรณรงค์ให้ผู้คนรักบ้านรักเมือง รักประเทศ และต้องกตัญญูต่อแผ่นดิน พร้อมทั้งต้องต่อต้านคนไม่ดีด้วย นอกจากนี้ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือต้องใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยสติ อย่าเอาบุญคุณมาให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นปลวกหรือมอดไม่จบไม่สิ้น

    รศ.ดร.เสรี กล่าวต่อว่า เวลานี้ตนอยากให้เราหยุดหาว่าใครผิดใครถูก โดยหน้าที่นี้ขอให้เป็นดุลยพินิจของศาล ...


    เครดิต Politics - Manager Online
     
  7. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....ความเห็นผม "จุดแข็ง-จุดโต" ของประเทศไทยอยู่ที่ "เกษตร" และ "อุตสาหกรรมเกษตรสร้างมูลค่าเพิ่มจากการแปรรูป
    และการนำประเทศไปให้ถึงระบบเกษตร ต้องยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือที่รู้จัก "ด้วยเข้าใจ" กันไปแล้วทั่วโลกในคำว่า Sufficiency Economy ของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็นกุญแจไข
    ไม่ใช่เพราะเป็นปรัชญาของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" จึงดี จึงยกย่องกัน หากแต่นำไปใช้แล้ว ทดลองแล้ว ปฏิบัติตามแล้ว ปรากฏว่า "ได้ผล" พลิกจากอดอยาก มาเป็นมีกิน, พลิกจากมีกิน มาเป็นมีขาย-มีเก็บ, พลิกจากมีขาย-มีเก็บ มาเป็นมีร่ำ-มีรวย และมีแจกเพื่อนบ้าน
    เพราะจริงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ทั่วโลกจึงยอมรับ ไม่ใช่ยอมรับเพราะเห็นเป็นของ "ในหลวง"!
    ดูหนังในจอโทรทัศน์เห็นแล้วใช่มั้ย คุณลุง มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ปลูกเอง ทำเอง กินเอง เป็นนายกฯ เองนั่นปะไร เพราะน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ท่านจึงกลายเป็น "นายกฯ ตั้งเอง" ที่ยิ่งใหญ่ โดยที่ไม่มีใครไม่ซูฮก-ยกนิ้วให้.....


    เครดิต http://www.thaipost.net/news/260510/22537
     
  8. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    โปรดอย่าเครียด !!!

    ‘การเมืองเรื่องขำๆ’ ผ่าอารมณ์ขันและขี้ประชดของคนไทย

    ..........มีคนไอเดียบรรเจิดคิดคำขวัญประจำจังหวัดอันใหม่ให้กับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรด้วย คำขวัญดังกล่าวบอกว่า

    "กรุงเทพงามเลิศ ระเบิดมากมี ประเพณีชุมนุม ควบคุมด้วยทหาร สนุกสนานยิงกัน กำแพงกั้นเผายาง แม่นจับวางเอ็ม 79 หยุดงานยาว 9 วัน รื่นเริงสุขสันต์บุญบั้งไฟ ไป..เราไปปรองดองกัน"


    ...ข้ามมาที่สยามสแควร์ ภายใต้ซากปรักหักพังของโรงหนังสาม ด้านหน้ามีใบปิดหนังญี่ปุ่นเรื่อง ‘Oppai Volleyball’ ตั้งอยู่ ประจวบเหมาะที่นักแสดงสาวในภาพแสดงกิริยากรี๊ดอย่างไม่พอใจ...ไม่แปลกที่คนที่เดินผ่านไปมาจะทึกทักว่า เธอคงเสียใจที่สยามถูกเผา

    [​IMG]

    .....การเมืองในสนามจริงอาจดูดุเด็ดเผ็ดร้อนจนทำให้คนไทยปวดเศียรเวียนเกล้า แต่การยั่วล้อการเมืองในสื่อหลากรูปแบบคงทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเผลอยิ้มมุมปาก (บางคนอาจหัวเราะออกมาดังๆ) ช่วยบรรเทาอุณหภูมิการเมืองอันร้อนแรง และแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขัน และขี้ประชดประชันที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทยได้
    …......

    เครดิต Daily News - Manager Online
     
  9. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....จับเส้นทางเดินสังคม ชัดเจนว่าคนยุคนี้-สมัยนี้ที่เรียกว่า "หนุ่ม-สาวยุคใหม่" ไม่ได้เป็น-ไม่ได้เหลวไหล อย่างที่ผู้ใหญ่หลายต่อหลายท่านบ่นกันว่า "กายห่างวัด-ใจห่างธรรม" จะนำพาประเทศชาติไปสู่อนาคตใหม่ในเส้นทาง "สังคมทาสวัตถุ"
    ตรงกันข้าม หนุ่ม-สาวรุ่นใหม่ เขาโต ด้วยเรียนรู้ มีโลกทัศน์บนวิสัยทัศน์ มีแก่น-มีแกนวิเคราะห์สู่ฐานเชื่อ ถึงตอน กิน-เล่น-เที่ยว เขาก็สุดสวิงริงโก้ของเขาไป แต่ถึงคราวเป็นเรื่อง-เป็นราว พวกเขาเป็นหนุ่ม-สาวมีสาระ ไม่ยอมเชื่อตามๆ กันไปโดยไม่รู้จักค้นหา และไม่คั้นสาระจากความเป็นตัวของตัวเอง ...
    ............
    ทุกครั้งของการเปลี่ยนแปลงสังคม "เยาวชน-คนรุ่นใหม่" คือเข็มทิศ-ชี้ทาง!
    หมายความว่าเหตุการณ์ใด ถ้า "เยาวชน-คนรุ่นใหม่" ไม่เข้าไปเป็นส่วนร่วมด้วยแล้วละก็ ถึงเกิดเหตุ เหตุนั้นก็จะยังไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ
    แต่ถ้าเหตุนั้น มีเยาวชน-คนรุ่นใหม่ เข้าไปร่วมในฐานะแกนนำ หรือในฐานะมวลชนร่วม กระทั่งในฐานะมีปฏิกิริยาร่วมตอบสนอง เหตุการณ์นั้นจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม "สู่อนาคตใหม่" ค่อนข้างมาก...


    เครดิต http://www.thaipost.net/news/270510/22630
     
  10. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>พุทธทาสรำลึก</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย สิริอัญญา </TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>27 พฤษภาคม 2553 16:43 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>บทความวันนี้เป็นบทความแบบอาจารยะปูชาต่อท่านเจ้าคุณพุทธทาส ซึ่งครบวันคล้ายวันชาตกาลของท่านไปเมื่อวานนี้ แต่มาลงพิมพ์เอาในวันนี้ ก็เพราะต้องเป็นไปตามวาระที่จะลงได้ ซึ่งคงไม่ช้าเกินไป

    ขอท่านทั้งหลายที่มีความสนใจในธรรม ในพระศาสนา ลองคิดพิจารณาปฏิปทาของท่านเจ้าคุณโดยแยบคายเถิด ก็ย่อมบังเกิดประโยชน์ใหญ่ทั้งแก่ตน แก่ท่านเป็นแน่แท้

    ท่านเจ้าคุณพุทธทาสล่วงลับดับขันธ์ไปนานแล้ว แต่ท่านเจ้าคุณยังไม่ตาย ซึ่งเมื่อครั้งที่ท่านเจ้าคุณยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็พร่ำสอนเป็นอันมากว่าเกิดมาเป็นคนทั้งทีอย่ากลัวตาย ต้องพยายามตายเสียก่อนตาย

    ท่านเจ้าคุณสอนว่าร่างกายที่แตกดับสลายไปนั้นเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ แต่คนเราไปยึดถือและกลัวต่อความตายก็เพราะไม่เข้าใจความจริง กระทั่งไม่ยอมคิดว่าตัวเองจะต้องตายในสักวันหนึ่ง

    เหตุที่คนกลัวตายก็เพราะว่ามีความยึดมั่นถือมั่นว่าร่างกายนี้เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงมีความรักห่วงหวงแหนไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บและไม่อยากตาย อยากให้เป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เสื่อมคลายไปนิรันดร แต่นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้เลย

    ท่านเจ้าคุณจึงพร่ำสอนว่า เมื่อใดละถอนความยึดมั่นถือมั่นเสียได้แล้ว เมื่อนั้นก็เป็นอันตายก่อนตาย ถึงแม้ตายก็จะยังไม่ตาย ตัวท่านเจ้าคุณเองก่อนจะดับขันธ์ก็ได้ฝากความไว้ทั้งในรูปคำสอนและบทกลอนว่าตัวท่านเจ้าคุณยังไม่ตาย และจะไม่มีวันตาย

    เพราะธรรมโฆษณ์ทั้งปวงอันท่านเจ้าคุณได้แสดงแล้วจะยังอยู่เป็นนิรันดร์ และยังเว้าวอนอีกว่าเมื่อท่านตายไปแล้วก็ให้ปฏิบัติกับท่านเหมือนหนึ่งว่าท่านยังอยู่ ให้มานั่งสนทนาธรรมกัน มีปัญหาทางธรรมก็มาเสวนาหาความจริงกัน เหมือนกับว่าท่านนั่งฟังอยู่ด้วย

    แม้ในงานเผาศพของท่าน ท่านก็ได้ฝากคำเทศน์ไว้เพื่อเทศนาให้กับสหธรรมิกและเพื่อนชาวพุทธทั้งหลายที่มีโอกาสได้ไปร่วมงานเผาศพนั้น ก็เป็นคำเทศน์เรื่องความตาย

    และเมื่อวานนี้เอเอสทีวีผู้จัดการก็ได้ทำเป็นรายการพิเศษ พรรณนาประวัติและงานของท่านเจ้าคุณ รวมทั้งได้เอาวิดีโองานเผาศพท่านเจ้าคุณมาฉายให้ดู ฉายให้เห็นในขณะที่เพลิงกำลังลุกไหม้รอบๆ โลงที่ใส่สังขารท่านเจ้าคุณไว้

    แล้วก็มีเสียงเทศน์ของท่านเจ้าคุณเหมือนกับว่าท่านเจ้าคุณยังอยู่จริงๆ และได้เทศน์สอนพุทธบริษัททั้งหลาย โดยให้ดูตัวอย่างของจริงจากศพของท่านที่กำลังถูกเผาด้วยเปลวเพลิงที่โชติช่วงอยู่นั้น

    ก็ต้องบอกว่ารายการพิเศษดังกล่าวเป็นรายการพิเศษที่ดีเลิศรายการหนึ่งของเอเอสทีวีผู้จัดการเท่าที่ได้เห็นมาในปีนี้ และน่าที่จะได้ทำเป็นแผ่นซีดีจำหน่ายจ่ายแจกให้ผู้สนใจได้นำไปดูและศึกษาหาความรู้จากความจริงอันนั้น

    เขียนมาถึงตอนนี้ก็ต้องขอร้องผู้คนในกองบรรณาธิการว่าอย่าได้ตัดความออกเสีย ด้วยหวังว่าเมื่อผู้บริหารได้พบได้เห็นแล้วก็อาจจะช่วยคิดพิจารณาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น

    รายการพิเศษดังกล่าวถือได้ว่ามีผลต่อการเจริญมรณานุสติอย่างหนึ่ง ทำให้คนไม่ตั้งอยู่ในความประมาท และอาจส่งผลให้คนไม่กล้าทำผิดคิดชั่วหรือฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดิน เพียงเท่านี้ก็จะบังเกิดประโยชน์ใหญ่แก่ประเทศชาติและประชาชนแล้ว

    เคยถามพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งได้เดินทางไปร่วมงานวันล้ออายุในปีที่ท่านเจ้าคุณดับขันธ์ว่าแท้จริงแล้วท่านเจ้าคุณดับขันธ์ในวันที่ 27 พฤษภาคม หรือว่าวันหลังจากนั้นกันแน่

    เหตุที่ต้องถามอย่างนั้นก็เพราะว่าได้เขียนบทความไว้ล่วงหน้าก่อนวันล้ออายุนั้นราวๆ ครึ่งเดือน ถึงเรื่องราวที่ท่านเจ้าคุณเคยป่วยหนักแล้วคณะแพทย์หลวงได้อัญเชิญรับสั่งในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปอาราธนาท่านเจ้าคุณ ว่าอย่าเพิ่งดับขันธ์ ขอให้อยู่ช่วยจรรโลงพระศาสนาต่อไปก่อน

    ในกาลนั้นท่านเจ้าคุณได้รับอาราธนา โดยมีเงื่อนไขว่าจะดำรงขันธ์อยู่ตราบเท่าที่สังขารจะอำนวยได้ หลังจากนั้นอาการป่วยหนักก็หาย และท่านเจ้าคุณก็ได้กลับมาประกาศพระศาสนาสืบต่อมาอีกหลายปี

    กระทั่งถึงปีหนึ่งใกล้จะสิ้นปี และเป็นห้วงเวลาก่อนจะถึงวันงานล้ออายุของท่านเจ้าคุณประมาณ 5 เดือน มีงานและมีการเทศนาที่สวนโมกข์

    ในครานั้นจู่ๆ ท่านเจ้าคุณก็ปรารภต่อพุทธบริษัททั้งหลายว่า ได้รับอาราธนาพระเจ้าอยู่หัวไว้ว่าจะยังไม่ตาย แต่บัดนี้ล่วงมาหลายปี สังขารชำรุดทรุดโทรมมาก และกิจอันพึงทำก็ได้ทำหมดแล้ว จะขออำลาท่านทั้งหลายแล้ว

    สิ้นเสียงท่านเจ้าคุณก็มีสายลมเย็นยะเยือกพัดปกคลุมทั่วทั้งสวนโมกข์ ใบไม้ ดอกไม้ร่วงเกรียวกราวปลิวไปตามสายลม พุทธบริษัททั้งนั้นพากันร่ำไห้

    เพราะเข้าใจตามประสาชาวพุทธว่า คำพูดอย่างนั้นในยามนั้นมิได้เป็นการพูดเล่นหรือเป็นความหมายอย่างอื่น หากเป็นการปลงอายุสังขาร ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันกับที่ปรากฏในมหาปรินิพพานสูตร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ปลงอายุสังขารสามเดือนก่อนที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน

    แต่ปรากฏว่าหลังจากท่านเจ้าคุณปรารภอย่างนั้นแล้ว สุขภาพพลานามัยของท่านเจ้าคุณก็ยังคงเป็นปกติดี ทั้งผิวพรรณก็ผ่องใสกว่าแต่กาลก่อนด้วยซ้ำไป จนใกล้ถึงวันงานล้ออายุ หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวกันเกรียวกราวถึงการเตรียมงานครั้งใหญ่ ซึ่งใครต่อใครก็จะพากันไปร่วมงานสำคัญนั้น

    ช่วงก่อน 15 วันที่จะถึงวันล้ออายุ ก็ได้เขียนบทความบทหนึ่งว่าก็แลเมื่อท่านเจ้าคุณได้ปลงอายุสังขารแล้ว เห็นจะไม่ดำรงขันธ์ไว้นาน อย่างมากที่สุดก็จะไม่เกินวันอันเป็นชาตกาลคือวันที่ 27 พฤษภาคม

    ทั้งยังเขียนอีกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเคยตรัสไว้ว่าผิวกายของผู้บรรลุธรรมขั้นสูงนั้นจะผ่องใสใน 3 กาล คือเวลาที่ตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมกาลหนึ่ง ในเวลาที่ประกาศพระสัทธรรมเป็นครั้งแรกกาลหนึ่ง และในยามที่จะดับขันธ์อีกกาลหนึ่ง อาการของท่านเจ้าคุณที่กลับคืนแข็งแรงและมีผิวพรรณผุดผ่องเปล่งปลั่งกว่าแต่ก่อนนั้นก็เป็นอาการที่จะดับขันธ์นั่นเอง

    และปรากฏว่าเมื่อถึงวันงานล้ออายุ ท่านเจ้าคุณก็รู้สึกไม่สบายเป็นปัจจุบัน ท่านได้ล้วงกุญแจตู้ต่างๆ ออกจากสบง แล้วมอบให้กับพระอุปัฏฐาก พร้อมกับสั่งว่าป่วยคราวนี้ไม่ต้องไปรักษาแล้ว ท่านเจ้าคุณบอกว่าจะตายเหมือนกับการปิดสวิตช์ไฟฟ้า คือปิดปุ๊บก็ดับปั๊บ

    หลังจากนั้นท่านก็หมดสติ แต่คนทั้งหลายไม่ยอมให้ท่านตาย พาไปส่งโรงพยาบาล ไปปั๊มหัวใจ ใส่ออกซิเจนและทำอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ซึ่งเป็นการฝืนคำสั่งของท่านเจ้าคุณทั้งสิ้น และในที่สุดก็มีการประกาศการดับขันธ์ของท่านเจ้าคุณหลังจากวันที่ 27 พฤษภาคม ไปแล้วหลายวัน

    เหตุนั้นจึงได้ถามพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งได้ไปร่วมงานขณะนั้นด้วย เพราะมีโอกาสที่จะถามเนื่องจากปีนั้นพลตรีจำลอง ศรีเมือง เดินทางมาหาเสียงเลือกตั้งถึงสำนักงาน

    ก็ได้ถามกันตรงๆ ว่าในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง รู้เรื่องขันธ์ห้าเป็นอันดี ก็อยากจะทราบว่าท่านเจ้าคุณดับขันธ์ในวันไหนแน่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ยืนยันว่าท่านเจ้าคุณดับขันธ์ในวันที่ 27 พฤษภาคม แต่ที่ถูกนำส่งไปโรงพยาบาลนั้นเป็นแต่เพียงร่างที่ไม่ประกอบด้วยขันธ์ห้าครบแต่ประการใด จึงต้องถือว่าท่านเจ้าคุณดับขันธ์ในวันที่ 27 พฤษภาคม นั่นเอง

    ท่านเจ้าคุณเป็นพระมหาเถระที่ฉลาดในการสอน ว่ากันว่าท่านเจ้าคุณบรรลุถึงอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์และมีลีลาท่วงทำนองการสอนเช่นเดียวกับพระสารีบุตร พระอัครสาวกฝ่ายขวาในสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    คนทั้งหลายเข้าใจแต่เพียงว่าท่านเจ้าคุณชำนาญเฉพาะการปริยัติ แต่แท้จริงแล้วท่านเจ้าคุณถึงพร้อมด้วยสิกขาทั้งสาม ทั้งสองมิติ คือถึงพร้อมด้วยปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ และปัญญา มีความบริสุทธิ์งดงามหมดจดในพระธรรมวินัยของพระอริยเจ้าทุกประการ

    น้อยนักที่จะมีคนรู้ว่าท่านเจ้าคุณนั้นแม้ได้บรรลุธรรมขั้นสูงโดยหนทางปัญญาวิมุต แต่ด้วยการปฏิบัติอย่างหนักหน่วงเนิ่นนานปี พลังอำนาจแห่งจิต สมาธิ ฌานและอิทธิบาทก็ได้เจริญงอกงามขึ้นตามธรรมดาธรรมชาติของการปฏิบัติในพระศาสนานี้

    ในระหว่างที่ท่านเจ้าคุณปฏิบัติธรรมอย่างอุกฤษฏ์อยู่ในป่าพุมเรียง สุราษฎร์ธานีนั้น แต่ละวันท่านจะสำรวจและบันทึกภาวะจิตว่ามีราคะ โทสะ โมหะหรือไม่ ลดน้อยถอยลงเป็นอย่างไร และทุกวันหลังจังหันแล้ว ท่านจะเอาบาตรไปล้างที่ลำธาร เอามือกวาดข้าวจุ่มลงไปในน้ำ ฝูงปลาก็มากินข้าวในมือด้วยอานุภาพแห่งเมตตาอันหาประมาณมิได้

    วันหนึ่งท่านเจ้าคุณนึกอยากทดลองผลการปฏิบัติในวิชชาบางประการที่พระบรมศาสดาทรงสอนไว้ จึงทำสมาธิเพ่งฌานเจริญอิทธิบาท ตั้งความปรารถนาแล้วก็ยื่นมือไปในอากาศ ปรากฏเป็นฝูงปลามาปรากฏอยู่ในมือเป็นที่อัศจรรย์

    ท่านเจ้าคุณได้สัมผัสกับวิชชาอันมีมาในพระศาสนาแล้ว ก็เจริญตามรับสั่งพระบรมศาสดาที่ไม่ทรงสรรเสริญการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ตั้งปณิธานแต่บัดนั้นว่าได้สัมผัสกับอิทธิปาฏิหาริย์แบบกระจุ๋มกระจิ๋มแล้วแต่ไม่เห็นประโยชน์ จึงปฏิญาณว่าจักไม่ทำเช่นนี้อีกต่อไป

    ดังนั้นท่านเจ้าคุณจึงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ และได้ประพฤติปฏิบัติอย่างบริบูรณ์สมคำปฏิญาณอีกประการหนึ่งที่ว่าจะเป็นพุทธทาสคือทาสของพระพุทธเจ้าดังนี้.


    Daily News - Manager Online


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right height=10>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ....ทำไมเราไปให้ความสำคัญกับสื่อมวลชนต่างประเทศมากเกินไป จนกระทั่งเราลืมนึกถึงตัวของเราเอง และความสำคัญของพวกเรา สำคัญมากนะครับ

    หลายๆ ท่านนั้นโกรธนายแดน ริเวอร์ ผู้สื่อข่าว CNN ซึ่งเป็นคนซึ่งให้สัมภาษณ์ออกมา ออกข่าวที่ผิดพลาดหลายๆ อย่าง และเป็นข่าวซึ่งคนไทยที่รักความเป็นธรรม รักความเป็นจริง ทนไม่ได้ จนกระทั่งมีทนายความสาวคนหนึ่ง ชื่อคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร ซึ่งจบเศรษฐศาสตร์เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาฯ แล้วไปต่อได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ทางกฎหมาย ที่อังกฤษ เขียนจดหมายไปต่อว่า CNN ผมไม่มีโอกาสที่จะเอาจดหมายนั้นมาให้อ่านหรืออธิบายความ แต่ว่าคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร ได้ทำหน้าที่ที่สมบูรณ์แบบของคนไทยคนหนึ่งที่รักชาติรักแผ่นดิน ใช้ความรู้ความสามารถที่เป็นนักกฎหมาย ใช้ความรู้ความสามารถในเรื่องภาษาที่เขียนได้สละสลวยคมเข้มไม่มีที่ติ เป็นตัวแทนของคนไทย ทำด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีใครมาสั่ง แต่แสดงออกเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

    ณ วันนี้ ผมอยากจะประกาศเกียรติคุณให้กับคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร ให้พวกเราได้รับทราบกันว่า ในแผ่นดินนี้ก็ยังมีคนที่ดีๆ อย่างนี้อยู่ ยังมีคนหนุ่มคนสาว คุณนภัสยังเป็นคนสาวอยู่ ยังไม่ได้อายุมาก เรียนจบมาจากต่างประเทศ กฎหมาย เกียรตินิยมอันดับ 1 เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ ...

    Politics - Manager Online


    ในฐานะคนไทยคนหนึ่งขอชื่นชมและขอบคุณ คุณนภัส ณ ป้อมเพชร ไว้ ณ
    โอกาสนี้ด้วย
     
  12. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ... กล่าวสำหรับแดน ริเวอร์สนั้น โดยข้อเท็จจริง ต้องบอกว่า เป็นผู้สื่อข่าวของ CNN ประจำประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ใช่ผู้สื่อข่าวหน้าใหม่ที่ไร้เดียงสา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงย่อมเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นของขบวนการก่อการร้ายเสื้อแดงว่า เป็นเช่นไร เป็นการชุมนุมด้วยความสงบ สันติและอหิงสาจริงหรือไม่ หรือเป็นขบวนการก่อการร้ายที่มีเป้าหมายเพื่อช่วย นช.ทักษิณเป็นสำคัญ แต่เขากลับไม่ทำหน้าที่ตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพที่ควรจะเป็น

    แต่เมื่อตรวจสอบประวัติย้อนหลังก็ไม่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะว่ากันว่า แดน ริเวอร์สผู้นี้นั้นมีความสัมพันธ์ที่สามารถใช้คำว่า “ลึกซึ้ง” เกินคำว่าเพื่อนกับ “เจ๊เพ็ญ” หรือ “นายจักรภพ เพ็ญแข” ชนิดที่ผู้คนในวงการปิดข่าวกันให้แซ่ดเลยทีเดียว รวมกระทั่งถึง “ปีศาจหูกระต่าย” ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันยิ่ง

    หางของแดน ริเวอร์ส ยิ่งปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้น เมื่อเขารายงานข่าวโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างตั้งใจ ยิ่งเมื่อนำคลิปการเสนอข่าวของ CNN มาเปรียบเทียบกับสำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Al jazeera และ France 24 ก็ยิ่งเห็นเป้าหมายของแดน ริเวอร์ชัดเจนขึ้น

    เริ่มจากเหตุการณ์ที่อนุสรณ์สถานวันที่ 28 เม.ย. และเหตุการณ์กระชับวงล้อม ที่ CNN เสนอข่าวในมุมของม็อบเสื้อแดงฝ่ายเดียวว่า ถูกทหารใช้ความรุนแรง ขณะที่สำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ ได้รายงานตรงกันว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ และยิงมาที่ฝ่ายทหารหลายครั้ง จนเหมือนมีเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนจนกลายเป็นกระบอกเสียงที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มคนเสื้อแดง

    ที่สำคัญการรายงานข่าวของแดน ริเวอร์สนั้นเป็นการรายงานบน “อพาร์ทเมนท์” ของตัวเอง โดยไม่ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบสถานการณ์แต่อย่างใด

    “การทำงานของ CNN เหมือนเป็นการทำงานเพื่อเติมเต็มจินตนาการของชาติตะวันตกที่จะออกมาในลักษณะว่าประชาชนต่อต้านเผด็จการทหาร และมักมีจินตภาพว่า "ทหารต้องฆ่าประชาชน" โดยไม่หาความจริงว่าการเมืองไทยมีความซับซ้อนอย่างไร การทำงานของนายแดน เหมือนคนขี้เกียจทำการบ้าน โดยคนไทยที่มีความรู้ภาษาอังกฤษต้องช่วยกันนำเสนอความจริงผ่าน social network ต่างๆ เพื่อนำเสนอความจริงอีกด้านให้นานาชาติได้รู้เกี่ยวกับสถานการณ์จริงในไทยโดยต้องตอบโต้อย่างทันท่วงที”นายสมเถา สุจริตกุล คอลัมนิสต์อิสระวิจารณ์การทำงานของนายแดนอย่างตรงไปตรงมา

    เช่นเดียวกับ รศ.ดร.พรจิต สมบัติพานิช คณบดีคณะวารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ระบุว่า การเสนอข่าวของ CNN โดยนายแดน ริเวอร์ส ซึ่งส่วนมากไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่นการรายงานข่าวในห้องตนเอง หรือการไปนั่งข้าง ๆ ทหารว่าตนเองทำอะไรอยู่คือไม่ได้มีการตรวจสอบหรือไปหาแหล่งข่าวจริง ๆ ใช้ตัวเองเป็นตัวตัดสินว่าเป็นการรายงานข่าวจริงๆ แต่มีการบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงมีมากพอสมควร

    ทั้งนี้ ในเวทีระดมความเห็นเรื่อง “การนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศ” ซึ่งจัดโดยคณะวารสารศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ทั้งสองคนร่วมแสดงความคิดเห็นมีข้อมติร่วมกันว่า จะมีการทำหนังสือถึงสำนักข่าว CNN เพื่อรายงานให้ทราบถึงการทำงานของนายแดน ริเวอสร์ ที่นำเสนอข่าวอย่างขาดความน่าเชื่อถือ ทั้งที่อยู่ในเมืองไทยมาหลายปี

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อดรนทนไม่ได้กับการทำหน้าที่ที่บิดเบือนของนายแดนไม่ได้มีแค่นายสมเถา สุจริตกุลและรศ.ดร.พรจิต สมบัติพานิชเท่านั้น หากแต่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้เช่นเห็นชาติและลุกขึ้นมาตอบโต้การทำงานของนายแดน

    ยกตัวอย่างเช่น นายกมล สุโกศล แคลปป์ (สุกี้) อดีตผู้บริหารและผู้ก่อตั้งเบเกอรี่ มิวสิก ที่ทนไม่ได้กับการบิดเบือนข้อมูลของนายแดนจนตัดสินใจเขียนอีเมลส่งไปยัง CNN เพื่อประท้วงการทำหน้าที่ที่ไร้ซึ่งจรรยาบรรณครั้งนี้

    "ในจุดที่ แดน ไปยืนรายงาน ก็เป็นจุดเดียวกับที่ผมเองก็ไปยืนอยู่เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าเขาโกหก เป็นนักข่าวต้องมีจรรยาบรรณสิ ผมเองไปยืนอยู่กับทหารถึง 2 ชม. เลยรู้ว่าทางทหารไม่ได้ยิงปืนเลยสักนัด ฝั่งผู้ชุมนุม ก็ไม่ได้ยิง แต่มีจุดประทัด แต่แดนกลับทำเป็นสถานการณ์น่ากลัว ถ้าเป็นนักข่าวที่เขาเพิ่งลงเครื่องบินมาทำข่าว ผมจะไม่ว่า แต่นี่เขาอยู่เมืองไทย รับรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมันคืออะไร สำนักข่าวที่คนทั่วโลกเชื่อถือ แต่คุณกลับเสนอภาพผิดๆ ออกมา”

    “ แล้วผมก็ยิ่งรับไม่ได้ใหญ่ คือมีรายการหนึ่งที่อยู่ในเครือของ CNN ที่ออกอากาศที่อเมริกา ซึ่งมีพิธีกรเป็นผู้หญิงสวยๆ มานั่งพูดถึงในหลวงของเราออกไปในแนวบันเทิง อันนี้ผมรู้สึกกระทบความรู้สึกมาก เขาไม่เข้าใจในวัฒนธรรมไทย ไม่เข้าใจว่าในหลวงสำคัญกับเรายังไง"สุกี้ให้ข้อมูล

    หรือ “นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์” ที่เขียนจดหมายถึง CNN เกี่ยวกับการรายงานข่าวของ CNN กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย โดยเฉพาะการรายงานข่าวของ แดน ริเวอร์l และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ที่ได้มีการรายงานข่าวด้านเดียวจากฝ่ายของผู้ชุมนุม โดยการให้ข่าวของแกนนำ และผู้ชุมนำที่ได้มีการเรียกร้องให้เกิดความเห็นใจ กล่าวหารัฐบาลได้ทำร้าย และข่มเหง ผู้ชุมนุม

    ส่วนหนึ่งของจดหมายฉบับนี้ระบุว่า “ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลาย ๆ ครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะเจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆ ตึกอพาร์ทเมนท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 24 เม.ย.”

    “สัก กอแสงเรือง” นายกสภาทนายความกล่าวถึงกรณี CNN ว่า “การเสนอข่าวของ CNN ต้องเสนอข่าวที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ไม่มีอคติ ไม่ให้ร้ายป้ายสีประเทศไทย และรัฐบาลควรดำเนินการตอบโต้ชี้แจง ฟ้องร้องดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายเพื่อมิให้เกิดการกระทำความผิดเช่นนี้อีก......


    Daily News - Manager Online
     
  13. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ...สอนมวยเป็นสำนักข่าวระดับโลกควรมีความเป็นมืออาชีพให้มากกว่านี้ พร้อมเรียกร้องคนไทยเลิกกราบไหว้คนรวยยกย่องคนชั่ว ลั่นคนพวกนี้หนักแผ่นดินต้องประณาม

    นอกจาก “สุกี้ กมล สุโกศล แคลปป์” นักดนตรีชื่อดัง และผู้บริหารค่ายเพลงเลิฟอิส จะออกมาประณามสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นที่นำเสนอข่าวด้านเดียวจนโดนด่าไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว “ดีเจภูมิ” ภูมิใจ ตั้งสง่า แห่งค่ายเวอร์จิ้นก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่เขียนอีเมลล์ไปที่ซีเอ็นเอ็นเช่นกัน เนื่องจากทนไม่ได้ที่ผู้ดำเนินรายการของซีเอ็นเอ็นพูดถึงในหลวงในเชิงล้อเล่น ทั้งที่ในหลวงเป็นที่เทิดทูนของปวงชนชาวไทย งานนี้หนุ่มนักเรียนนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษอย่างดีเจภูมิ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะเป็นหัวหอกนำขบวนซัดซีเอ็นเอ็น

    “เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้วมีคลิปข่าวรายการของซีเอ็นเอ็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองบ้านเราและมีการพาดพิงไปถึงพ่อหลวงด้วย ทำให้หลายคนในโลกไซเบอร์ไม่พอใจกับคลิปนี้ ซึ่งคลิปนี้จะพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองและพูดว่าไปถึงไหนแล้ว และผู้รายงานก็พูดว่า มีอยู่หนึ่งท่านที่สามารถจะยุติสถานการณ์บ้านเมืองเราได้ก็คือในหลวง แต่ว่าวิธีการที่เขาพูดถึงในหลวงเป็นแบบทำการบ้านมาไม่ดี”.....
    ...........

    มีการมาวิเคราะห์กันว่า ทำไมท่านถึงไม่ออกมายุติสถานการณ์ และก็พูดพาดพิงไปถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในอดีตว่า เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วท่านก็ออกมาพูดเหตุการณ์ก็ยุติ และทำไมครั้งนี้ท่านไม่ออกมาพูดอีก การที่เขาพูดถึงท่านแบบเล่นๆ แบบนั้นและมีการพูดเปรียบเทียบทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ พี่แอนดรูว์ เป็นคนแรกๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งเขาเป็นฝรั่งแท้ๆ เขายังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และผมก็เห็นคนโพสต์ด่าว่าคลิปนี้เยอะผมก็เลยกดเข้าไปดู พอเห็นปุ๊บมันก็เลยทำให้เข้าใจว่าทำไมใครๆ ถึงได้โกรธ ผมเองก็ไม่พอใจที่เขาหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องเล่นๆ ซึ่งผมเองโตที่เมืองนอกผมก็พอรู้ว่า วัฒนธรรมมันแตกต่างกัน ผมไม่ได้โกรธแต่อยากจะให้ความรู้เขามากกว่า”

    “การที่ผมเขียนอีเมลล์ไปหาเขา ผมไม่ได้ไปด่าว่าเขาแต่เป็นการเขียนเพื่อชี้แจง และผมยังบอกในทวิตเตอร์ด้วยว่า ถ้าใครอยากจะอีเมลล์ไปหาซีเอ็นเอ็นกรุณาอย่าใช้คำหยาบคาย คือถ้าเราอยากจะสื่อสารกับคน เราต้องใช้คำสุภาพที่สุดและใช้เหตุผลให้มากที่สุด แล้วข้อความของเราจะเข้าไปอยู่ในใจของเขา แต่ถ้าเราไปเขียนด่าเขา เขาไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเรา เขาไม่ฟังหรอก คลิกขึ้นมาเห็นตัวอักษรด่าเขา เขาก็จะปิดเมลล์เราทิ้งแล้ว ผมคิดว่าเราควรไปชี้แจงและให้ความรู้เขาดีกว่า ครั้งหน้าเขาจะได้ไม่ทำแบบนี้อีก ไม่จำเป็นต้องไปด่าอะไรเขามากมายหรอก แต่ผมว่าคนก็คงเขียนจดหมายไปหาเขาเยอะแล้วแหละ และส่วนใหญ่ก็คงจะด่าไปแล้ว”

    “ผมก็ชี้แจงไปว่า สิ่งที่คุณทำเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนไทยอ่านแล้วไม่สบายใจ แต่ก็เข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ในฐานะที่คุณเป็นสำนักงานข่าวอันดับต้นๆ ของโลก คุณน่าจะมีความเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ การรายงานข่าวน่าจะศึกษาปูมหลังหน่อย อย่างน้อยที่มีภาพขึ้นมา 5 – 6 คนเนี่ย คุณน่าจะรู้ว่า ใครที่เป็นกษัตริย์ในประเทศของไอ ไม่ใช่มานั่งคาดเดากันเล่น ถ้าไม่รู้ก็น่าจะศึกษาหรือโทรหาคนที่รู้ เอามาหัวเราะขำกันเล่นแบบนี้ทำให้คนไทยที่ดูทั้งประเทศไม่พอใจ”

    “จากนั้นผมก็อธิบายว่า ทำไมในหลวงถึงได้มีความสำคัญกับคนไทยมาก ผมเคยอยู่ที่อังกฤษเขาก็มีระบบสถาบันเหมือนกัน แต่ที่นั่นเขาไม่ได้รักและเคารพเทิดทูนเหมือนคนไทย เพราะบทบาทของราชวงศ์ที่อังกฤษไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนที่ในหลวงทำ ในหลวงทำทุกสิ่งอย่างเพื่อคนไทย หาความรู้เอามาสอนและพัฒนาประเทศไทย นอกจากนั้นแล้วท่านเป็นเหมือนไอดอลของทุกคน ท่านเก่งทุกอย่างทั้งเรื่องกีฬา ดนตรี ศิลปะ การถ่ายรูป เรือใบ ผมอธิบายไปเยอะพอสมควร พยายามชี้แจงให้เขาเข้าใจว่าทำไมเราถึงรักในหลวง”

    “คือท่านไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดี ที่ใครจะมาว่าหรือตำหนิท่านได้เลย คนไทยทุกคนรักและเคารพท่าน คุณไม่เคยอยู่ตรงนั้นจู่ๆ ก็มาพูดซี้ซั้วเอามาขำกัน มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ นี่คือสิ่งที่ผมอธิบายให้เขาฟังว่า ทำไมในอนาคตถึงไม่ควรทำแบบนี้”

    “และหลังจากที่ผมส่งอีเมลล์ไปสักพักหนึ่ง เขาก็มีการดึงเอาคลิปนั้นออกจากเว็บบอร์ดซีเอ็นเอ็น แต่ว่ายังมีอยู่ในยูทูป ส่วนตัวนักข่าวเองก็ออกมาขอโทษ แต่เป็นการขอโทษที่ไม่น่าพึงพอใจ เขาจะเขียนว่า Wow so sorry ไม่รู้มาก่อนว่าคนไทยเคารพในหลวงถึงขนาดนั้น เขาสร้างคุณูปการในประวัติศาสตร์ของกษัตริย์เลยเหรอ มันเป็นการขอโทษในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ มันหยอกล้อเล่นเกินไปหน่อย คือผมไม่ได้ต้องการอะไรที่เป็นทางการมีตราจากซีเอ็นเอ็นหรอก แต่อย่างน้อยก็ควรจะชี้ให้เห็นว่า คุณเข้าใจแล้วนะว่าทำไมคนไทยเป็นร้อยๆ พันๆ คนถึงได้เขียนจดหมายไปหาคุณ คุณเข้าใจแล้วนะว่าทำไมเราถึงรักในหลวง ไม่ใช่ขึ้นต้นมาก็ว้าว เหรอ ปกครองประเทศมานานขนาดนี้เคารพๆ”

    “นอกจากนั้นแล้วผมก็ยังอธิบายให้เขาฟังว่า ทำไมครั้งนี้ในหลวงถึงไม่ออกมา คือครั้งนั้น(พฤษภาทมิฬ) ประชาชนเขาออกมาโดยสันติวิธีจริงๆ แต่ครั้งนี้สถานการณ์มันขยายวง จนกลายเป็นมีผู้ก่อการร้ายแอบแฝงในผู้ชุมนุมทำให้บ้านเมืองเสียหาย รวมไปถึงชีวิตของประชาชนที่บริสุทธิ์ที่เกิดอันตราย คือสถานการณ์มันต่างกัน”

    “ผมก็พูดในมุมของผมว่า ประเทศเราพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง ตอนนี้มีนักการเมืองหลายคนพยายามที่จะดึงท่านลงมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มีเว็บไซท์หลายอย่างที่พยายามจะล้มสถาบัน และการที่ท่านไม่ได้ลงมาผมคิดว่า ประเทศไทยควรที่จะเริ่มเรียนรู้การแก้ปัญหาเอง มันหลายครั้งหลายคราแล้วที่เกิดปัญหาที่เราให้ท่านออกมาช่วยชี้แนะช่วยแก้ แต่ผมคิดว่า ถ้าเราไม่รู้จักที่จะแก้เองเนี่ย ปัญหามันก็จะเกิดขึ้นๆ และให้ท่านช่วยแก้ไปนานแค่ไหน ท่านก็เหนื่อยแล้วอายุมากแล้ว ท่านไม่ควรจะต้องมาเดือดร้อนกับเกมส์การเมืองที่มันสกปรกของคนไม่กี่คน”
    .............


    Entertainment - Manager Online


    ให้กำลังใจและชื่นชม "ดีเจภูมิ" ครับ
     
  14. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    ขอคัดลอก e-mail ที่ได้รับจากน้องสาวที่ได้เคยไปศึกษาต่างประเทศ

    เป็นข้อความการให้สัมภาษณ์ของบุคคลสำคัญของโลก ดังมีสาระสำคัญ

    ที่ปรากฎดังนี้

    > 1.นักข่าวสัมภาษณ์ท่านดาไลลามะผู้นำทางจิตวิญญาณทิเบตว่าคิดว่าผู้นำหรือใครที่เป็นตัวแทนเพื่อการอุทิศตัวเพื่อผู้อื่น
    > 2.
    ดาไลลามะตอบว่า"ถ้าเอาข้าพเจ้าเทียบกับคนผู้นี้ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กเพิ่งหัดเดินไปเลย
    > 3.
    กับสิ่งที่คนผู้นี้ทำให้กับคนของเขาด้วยความรักและศรัทธาในสิ่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม"
    > 4.
    นักข่าวถามต่อว่าคนผู้นี้คือใคร ดาไลลามะตอบเพียงสั้นๆว่า "มหาราชาภูมิพล"

     
  15. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205


    จดหมายของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่ส่งถึงช่องข่าว CNN โดยมีเนื้อหาในจดหมายดังนี้
    Dear Sirs/Madams,
    Recently, CNN Thailand Correspondents Dan Rivers and Sarah Snider have made me seriously reconsider your agency as a source for reliable and accurate unbiased news. As of this writing, over thousands of CNN’s viewers have already begun to question the accuracy and dependability of its reporting as regards events in <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:COUNTRY-REGION w:st="on">Afghanistan</ST1:COUNTRY-REGION>, <ST1:COUNTRY-REGION w:st="on">Haiti</ST1:COUNTRY-REGION>, <ST1:COUNTRY-REGION w:st="on">Iraq</ST1:COUNTRY-REGION>, <ST1:COUNTRY-REGION w:st="on">Iran</ST1:COUNTRY-REGION>, etc., in addition to <ST1:CITY w:st="on"><ST1:pLACE w:st="on">Bangkok</ST1:pLACE></ST1:CITY>.
    เร็ว ๆ นี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย ทั้ง แดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าข่าวของสำนักข่าวของคุณเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ มีผู้เสพข่าวของ CNN กำลังตั้งคำถามถึงความแม่นยำและแหล่งข่าวในการนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน เป็นต้น .. เพิ่มเติมจากการเสนอข่าวในกรุงเทพมหานคร
    As a first-rate global news agency, CNN has an inherent professional duty to deliver all sides of the truth to the global public who have faithfully and sincerely placed their trust and reliance in you. Your news network, by its longtime transnational presence and extensive reach, has been put in a position of trust and care; CNN’s journalists, reporters, and researchers have a collective responsibility to follow the journalist's code and ethics to deliver and present facts from all facets of the story, not merely one-sided, shallow and sensational half-truths. The magnitude of harm or potential extent of damage that erroneous and fallacious news reporting can cause to (and exacerbate), not only a country’s internal state of affairs, economic well-being, and general international perception, but also the real lives and livelihood of the innocent and voiceless people of that nation, is enormous. CNN should not negligently discard its duty of care to the international populace by reporting single-sided or unverified facts and distorted truths drawn from superficial research, or display/distribute biased images which capture only one side of the actual event.
    ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน้าที่ในการเสนอข่าวอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของความจริงต่อประชาชนทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจอย่างสุจริตต่อการเสนอข่าวของสำนักข่าวของท่าน เครือข่ายข่าวนานาชาติของท่านยังดำรงอยู่และเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยพื้นฐานของการนำเสนออย่างระมัดระวังและไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ; นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว ในอันที่จะนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และความจริงเพียงครึ่งเดียว ความเสียหายและโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจากความเข้าใจผิดหรือการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องอาจจะเกิดขึ้นได้ (และถูกทำให้แย่ลง) ไม่เพียงแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีปากเสียงของประเทศนั้น ๆ ด้วย นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โต CNN ไม่ควรจะเพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในในการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวในประชาคมโลก หรือการที่ไม่ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข่าว และแม้แต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างคร่าว ๆ ผิวๆ เผิน ๆ หรือการนำเสนอ / แจกจ่ายรูปภาพที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของความจริงทั้งหมดในภาพรวม

    ..........................

    จดหมายของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ส่งถึงช่องข่าว CNN | เว็บไซต์ทีวีไทยเน็ตเวิร์ก www.tvthainetwork.com
     
  16. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ...........

    Mr. Rivers and Ms. Snider have NOT done their best under these life-threatening circumstances because many other foreign correspondents have done better. All of Mr. Rivers and Ms. Sniders' quotes and statements seem to have been solely taken from the anti-government protest leaders or their followers/sympathizers. Yet, all details about the government’s position have come from secondary resources. No direct interviews with government officials have been shown; no interviews or witness statements from ordinary <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:CITY w:st="on"><ST1:pLACE w:st="on">Bangkok</ST1:pLACE></ST1:CITY> residents or civilians unaffiliated with the protesters, particularly those who have been harassed by or suffered at the hands of the protesters, have been circulated.
    คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่อาจจะเกิดการคุกคามชีวิต เพราะผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอื่น ๆ ทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์กล่าวถึงและเขียนถึง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำมาจากแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้าน หรือผู้ชุมนุมที่ฟูมฟายเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับทางฝ่ายรัฐบาลล้วนได้มาจากแหล่งข่าวรอง ๆ ทั้งสิ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐโดยตรง หรือการเข้าไปรับทราบการรายงานจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องการการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งถูกคุกคามและต้องทนทุกข์จากการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วง แล้วนำมารายงานข่าว
    Why the discrepancy in source of information? Why the failure to report all of the government’s previous numerous attempts to negotiate or invitations for protesters to go home? Why no broadcasts shown of the myriad ways the red protesters have terrorized and harmed innocent civilians by burning their shops, enclosing burning tyres around apartment buildings, shooting glass marbles at civilians from high altitudes, attacking civilians in their cars, and worst of all, obstructing paramedics and ambulances carrying civilians injured by M79 grenade blasts during the Silom incident of April 24, 2010, thereby resulting in the sole civilian casualty? The entire timeline of events that have forced the government to take this difficult stance has been hugely and callously ignored in deference to the red ‘underdogs’.
    ทำไมจึงมีความแตกต่างในการนำเสนอข่าว (สองมาตรฐาน – ผู้แปล) ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลาย ๆ ครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะเจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการมากมายหลายอย่างที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆตึกอพาร์ทเมนท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2010 ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับได้บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ในฐานะที่ยากลำบากที่จะต้องเมินต่อกลุ่มคนเสื้อแดง
    Mr. Rivers and Ms. Snider’s choice of sensational vocabulary and terminology in every newscast or news report, and choice of images to broadcast, has resulted in law-abiding soldiers and the heavily-pressured Thai government being painted in a negative, harsh, and oppressive light, whereas the genuinely violent and law-breaking arm of the anti-government protesters - who are directly responsible for overt acts of aggression not only against armed soldiers but also against helpless, unarmed civilians and law-abiding apolitical residents of this once blooming metropolis (and whose actions under American law would by now be classified as terrorist activities) – are portrayed as righteous freedom fighters deserving of worldwide sympathy and support. This has mislead the various international Human Rights watchdogs to believe the Thai government are sending trigger-happy soldiers out to ruthlessly murder unarmed civilians without just cause.
    สิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นภาษา คำศัพท์ หรือภาพที่กินใจในการนำเสนอข่าว ล้วนเป็นเรื่องของทหารที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอย่างสูง ฝ่ายรัฐบาลได้รับการป้ายสี วาดภาพในด้านลบ หยาบกระด้าง และปกครองอย่างกดขี่ ในขณะที่พวกที่มีความรุนแรงที่แท้จริงและละเมิดกฎหมายของกลุ่มคนที่ประท้วงรัฐบาล ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการกระทำที่เกินเลยและก้าวร้าว ไม่เพียงกระทำต่อทหารที่มีอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่สิ้นหวัง ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ครั้งหนึ่งเป็นเขตที่รุ่งเรืองของมหานครแห่งนี้ (ซึ่งการปฏิบัติตนเช่นที่กล่าวมานี้ หากเป็นกฎหมายของอเมริกา จะถูกจัดเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายทันที) – แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิบัติตนเสมือนว่ามีอิสระที่จะต่อสู่ และได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากประชาคมโลก นี่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิด ๆ ในกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลไทยกำลังส่งทหารที่มีอาวุธเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่มีเหตุอันควร

    ..............................

    จดหมายของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ส่งถึงช่องข่าว CNN | เว็บไซต์ทีวีไทยเน็ตเวิร์ก www.tvthainetwork.com
     
  17. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    ..................

    As a current resident of "war zone" Bangkok who has experienced the effect of the Red protests first hand and is living in a state of constant terror and anxiety as to whether her family, friends, and home would get bombed or attacked by the hardcore anti-government vigilantes/paramilitary forces - I appeal to CNN's professional integrity to critically investigate and scrutinize the misinformed news reporting of your above-named correspondents. If they are incapable of obtaining genuine, authentic facts from any other source except the Red Protest leaders and red-sympathizing Thai translators or acquaintances, or from fellow non-Thai-speaking journalists who are similarly ignorant of Thai language, culture, history, and society, then perhaps CNN should consider reassigning field correspondents to <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:COUNTRY-REGION w:st="on"><ST1:pLACE w:st="on">Thailand</ST1:pLACE></ST1:COUNTRY-REGION>.
    ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน "เขตสงคราม" ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีการข่มขู่อย่างต่อเนื่อง เรามีความกังวลว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล กองกำลังต่าง ๆ ดิฉันอยากจะขอร้องให้ CNN ใช้จริยธรรมของวิชาชีพในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และพินิจพิเคราะห์ข่าวที่บิดเบือนจกการนำเสนอโดยผู้สื่อข่าวที่ได้พูดถึงข้างต้น หากพวกเขาไม่มีความสามารถในการหาข่าวที่เป็นจริงจากแหล่งข่าวอื่น ๆ นอกเหนือไปจากแกนนำคนเสื้อแดง และคนแปลที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายเสื้อแดง หรือจากนักข่าวที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรม เมินเฉยต่อประวัติศาสตร์ และสภาวะทางสังคม และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ CNN น่าจะหาผู้สื่อข่าวคนอื่นเข้ามาทำข่าวในประเทศไทย

    I implore and urge you to please take serious action to correct or reverse the grave injustice that has been done to the Thai nation, her government, and the majority of law-abiding Thai citizens and expatriate residents by having endorsed and widely circulated poorly researched and misrepresented news coverage of the current ongoing political unrest and escalating violence in Thailand.

    ดิฉันขออ้อนวอนและขอให้สำนักข่าวของท่านลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยการรายงานข่าวและงานวิจัยแย่ ๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น รวมถึงการรายงานความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเกินเลยเกินความเป็นจริง
    Copies of this open letter have also been distributed to other local as well as international news media and social networks for public information. Please feel free to contact me further should you require any additional concrete and reputable evidence in substantiation and corroboration of my complaints and claims stated hereinabove.
    สำเนาของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะมีการแจกจ่ายในประเทศไทย และในประชาคมโลก รวมถึงในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนทั่วไป กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อหากท่านต้องการข้อมูลเฉพาะเพิ่มเติม หรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมดข้างต้น

    Thank you.

    Yours faithfully,
    Napas Na Pombejra, B.A., LL.B. (Lond.)
    <ST1:pLACE w:st="on"><ST1:CITY w:st="on">Bangkok</ST1:CITY>, <ST1:COUNTRY-REGION w:st="on">Thailand</ST1:COUNTRY-REGION></ST1:pLACE>

    May 17, 2010


    จดหมายของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ส่งถึงช่องข่าว CNN | เว็บไซต์ทีวีไทยเน็ตเวิร์ก www.tvthainetwork.com
     
  18. ศรัทธา_พิสุทธิ์

    ศรัทธา_พิสุทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +205
    [​IMG]

    สำหรับ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี 2005 จากนั้น นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ และได้รับเกียรตินิยม เมื่อปี 2008<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    ashitastudioclub.ning.com



    ***ขอขอบคุณhttp://www.tvthainetwork.com/forum/id/539<O:p></O:p>
     
  19. Fort_GORDON

    Fort_GORDON เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +488
    สูตรธรรมะเยียวยาใจ


    <!-- main-content-block --><!-- 5 มิถุนายน 2553 - 00:00 -->
    5 มิถุนายน 2553 - 00:00


    ฟังข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเด็กจากนายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตี หัวหน้าคลินิกเพื่อนวัยทีน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ออกมาเปิดเผยว่า เด็กไทยมีสุขภาพจิตแย่ลง ครอบครัวมีปัญหามากขึ้น โดยกว่า 62% ของครอบครัวไทยต้องเผชิญทั้งปัญหาความแตกแยก ครอบครัวไม่อบอุ่น มีปัญหาสุขภาพจิต
    ขณะที่พ่อแม่ก็เหนื่อยกับการเลี้ยงลูก เครียดกับการเรียนของลูก และการสอบแข่งขันต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้พ่อแม่มือใหม่ไม่อยากมีลูก ส่งผลให้ขนาดของครอบครัวเล็กลง แต่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2568 ไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มจาก 7.4 ล้านคน เป็น 14,400,000 คนทีเดียว ซึ่งอนาคตจะมีปัญหาอย่างแน่นอน
    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เอง ก็พยายามให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมของเครือข่ายภาคีต่างๆ อย่างเช่น เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการเปิดตัวโครงการ "บัตรเดียว เที่ยวยกครัว (Happy Family Day Card)" ทัวร์ฟรีรอบกรุง เสริมการเรียนรู้ของเด็ก สานสัมพันธ์ครอบครัวขึ้นในเขตแหล่งเรียนรู้เขตกรุงเทพฯ จำนวน 100 แห่ง และปริมณฑล จำนวน 100 แห่ง ซึ่งมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์เข้าร่วม 71 แห่ง ห้องสมุด 3 แห่ง สวนสาธารณะและตลาดน้ำ 10 แห่ง และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ในศาสนสถานอีก 16 แห่ง
    เร็วๆ นี้ บัตรนี้ยังสามารถใช้ในการเดินทางของ MRT BTS และเรือด่วนเจ้าพระยาได้ฟรีอีกด้วย เป็นของขวัญให้แก่ครอบครัวไทยตลอดปี 2553 บัตร 1 ใบใช้ได้กับสมาชิกในครอบครัวไม่เกิน 4 คน ใครสนใจแวะเข้าไปดูรายละเอียดที่ www.thaihealth.or.th และ www.happyfamilyday.com
    ใช้ธรรมะเลี้ยงลูก
    แม้ว่าการสร้างสรรค์โครงการต่างๆ ขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อในการทำให้ครอบครัวลดความเครียดในการเลี้ยงดูบุตรหลานจะได้ผลอยู่บ้าง แต่ปัจจัยลึกๆ กว่านั้นคงต้องมองลงให้ตรงไปที่เหตุผลเป็นหลัก จะว่าไปแล้ว จากประสบการณ์ดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นตัวเครื่องมือในการช่วยเลี้ยงลูกได้ดีที่สุดนั้น เห็นจะไม่มีอะไรเกินไปกว่า "ธรรมะ" จำได้ว่าเคยนั่งอ่านหนังสือของท่านปัญญานันทภิกขุเรื่อง "รักลูกให้ถูกทาง" ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนไว้นานมากแล้ว แต่ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม ข้อแนะนำในหนังสือเล่มนี้ก็ยังมิเคยล้าสมัย
    ท่านบอกว่า
    "ความเป็นพ่อแม่โดยสมบูรณ์
    ไม่ใช่เป็นภาระที่เบาและง่ายๆ เลย
    ไม่ใช่มีภาระเพียงว่า
    สร้างลูกให้เกิดมาในโลกกับเขาได้นั้น
    ท่านจะนึกเพียงแต่ว่า "มีบ้านให้อยู่ มีอู่ให้นอน
    มีหมอนให้หนุน มีคุณให้พึ่ง
    และ "มีข้าวให้กิน มีสินให้ใช้" เท่านั้น
    ว่าเพียงพอแล้ว
    หาถูกต้องสมบูรณ์ไม่
    ปัญหาที่สำคัญยิ่งยวดขึ้นอยู่ที่ว่า
    ท่านได้สร้างแนวทางชีวิตแห่งลูกของท่าน
    ให้รู้สึกว่า "มีอนาคตที่แจ่มใส" แล้วหรือยัง?...."
    เปลี่ยนวิธีคิด ทำบ้านให้เป็นโรงเรียน
    แทนที่จะเครียดกับการเลี้ยงลูก ท่านปัญญานันทภิกขุแนะนำว่า ให้คนที่เป็นพ่อแม่คิดเสียใหม่ว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า "มารดาบิดาเป็นครูคนแรกของบุตรธิดา" เพราะเมื่อพิจารณากันดูแล้วจะเห็นว่าบุตรธิดาได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่มากที่สุก
    เด็กคนใดอยู่ใกล้พ่อ รักพ่อมากกว่า เขาก็ถ่ายทอดกิริยาอาการของพ่อไว้ได้เกือบหมด
    ถ้าอยู่ใกล้แม่ รักแม่มากกว่าพ่อ เขาก็ถ่ายทอดกิริยาอาการของแม่ไว้ได้มากเช่นเดียวกัน โดยไม่ได้ตั้งใจ
    พ่อแม่จึงกลายเป็นครูของลูกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
    การที่พ่อแม่เป็นครูไปโดยไม่ได้ตั้งใจมักจะเสียหายได้ เพราะผู้ที่เป็นครูอยู่โดยหน้าที่ไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นครูของเด็กๆ อาจจะเผลอทำอะไรในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรแก่การเป็นตัวอย่างของเด็กไปบ้างก็ได้ จึงใคร่เตือนพ่อแม่ว่า ท่านเป็นครูของลูกก่อนครูคนใดๆ ทั้งหมด เมื่อท่านเป็นครูก็ควรสำนึกถึงหน้าที่ของท่านไว้ให้มาก ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของท่านเป็นการถ่ายทอดแบบ
    ไปให้ลูกของท่านเสมอ
    อีกประการหนึ่ง ถ้าพูดกันโดยฐานะเป็นหน้าที่กันแล้ว พ่อแม่ก็มีหน้าที่อันสมบูรณ์ในอันที่จะให้การศึกษาแก่ลูกๆ โดยการห้ามมิให้กระทำความชั่ว ให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี ให้มีการศึกษาศิลปวิทยาตาสมควรแก่ฐานะของครอบครัว นี่เป็นหลักใหญ่สำหรับสร้างให้เด็กมีความก้าวหน้าทั้งกายทั้งใจ บ้านของเด็กจึงเป็นโรงเรียนไปในตัว
    บ้านเป็นโรงเรียนที่มีการปิด-เปิดอยู่ตลอดเวลา ครูผู้สอนก็ทำการสอนตลอดเวลา ผู้เรียนก้เรียนกันตลอดเวลา แต่เป็นการสอนการเรียนที่เป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่มีผลมากเหลือเกิน มากกว่าการเรียนภายในโรงเรียนเสียอีก
    รากฐานของชีวิตเด็กขึ้นอยู่กับชีวิตภายในบ้านของตนนั่นเอง ถ้าหากเราดูเด็กว่าเป็นผู้มีความประพฤติเป็นอย่างไร ก็ส่อถึงความเป็นอยู่ของเด็กภายในบ้านนั้นทันที จึงมีความจำเป็นเหลือเกินที่มารดาบิดาจะต้องปรับปรุงในบริเวณบ้าน คนภายในบ้าน รวมทั้งตัวของบิดามารดา อันเป็นประมุขของบ้านให้เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกๆ ไว้เสมอ ตัวอย่างเป็นโรคติดต่อกันเร็วมาก ไม่ว่าด้านดี ด้านร้าย
    ...ในการชี้ทาง ชักจูงเด็กให้สนใจในการศึกษาเล่าเรียนนั้น ถ้าจำเป็นต้องใช้เครื่องล่อบ้างก็ควรทำ เช่น เอาหนังเข้าล่อบ้าง โดยบอกว่าถ้าหนูทำเลขถูกเรียบร้อยทุกข้อ แม่จะพาหนูไปดูหนังในวันเสาร์นี้ ถ้าเด็กอยากไปก็คงตั้งหน้าตั้งตาเรียนเป็นการใหญ่
    ในการสอนเด็กอบรมเด็กนั้นต้องเข้าใจไว้อีกประการหนึ่งคือ อย่าทำให้เป็นเรื่องหนักสำหรับเด็ก ควรทำให้เป็นเรื่องสนุกด้วย ได้คติสอนใจไปด้วยในตัว ให้เขาได้รับโดยไม่รู้สึกตัว อย่าบังคับในเรื่องนั้นๆ เพราะเด็กมิใช่ทหาร ที่พอรับประทานอาหารแล้วก็เข้าห้องประชุมฟังการอบรม อบรมกันจนหลับเป็นแถว
    ท่านปัญญานันทภิกขุยังบอกด้วยว่า ทุกโอกาสที่มีช่องทางจะแทรกความคิดความเห็นอะไรลงไปในสมองของเด็กๆ แล้ว ขออย่าได้ละโอกาสนั้นเสียเป็นอันขาด จงบอกให้เขาเข้าใจเรื่องนั้นว่าดีหรือเสียไว้เสมอ เป็นการพร่ำสอนเมื่อควรจะสอนจะเตือน การพร่ำสอนนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำแก่สาวกของพระองค์เสมอ ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พระองค์ต้องพร่ำสอนสาวกทันที เรื่องนี้ควรนำมาใช้ในครอบครัวได้ และถ้าทำได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวของท่านมาก
    เมื่อเปลี่ยนความคิดได้ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรยากเย็นเกินไปที่จะเปลี่ยน
    ความเครียด ความเหนื่อยในครอบครัวจะหายไปได้เช่นกัน.


    สูตรธรรมะเยียวยาใจ | ไทยโพสต์
     
  20. จงรักภักดี

    จงรักภักดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,229
    ค่าพลัง:
    +2,466
    อนุโมทนา สาธุ กับคุณฟอร์ท ครับ

    ในยามที่ชาติบ้านเมืองประสบกับความเดือดร้อนวุ่นวายจากเหตุการณ์จลาจล

    ประชาชนคนไทยแต่ละครอบครัวเปรียบเสมือนเซลล์เล็กๆของชาติ ครอบครัว

    หนึ่งก็เป็นเซลล์หนึ่งที่เป็นพื้นฐานก่อให้เกิดเป็นชาติเป็นประเทศ ถ้าเป็นเซลล์

    ที่ดีก็เป็นคุณประโยชน์ ถ้าเป็นในทางกลับกันก็ย่อมจะเกิดผลในทางตรงกันข้าม

    จากข้อมูล

    ..."สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ออกมาเปิดเผยว่า เด็กไทยมีสุขภาพจิตแย่ลง ครอบครัวมีปัญหามากขึ้น โดยกว่า 62% ของครอบครัวไทยต้องเผชิญทั้งปัญหาความแตกแยก ครอบครัวไม่อบอุ่น มีปัญหาสุขภาพจิต
    ขณะที่พ่อแม่ก็เหนื่อยกับการเลี้ยงลูก เครียดกับการเรียนของลูก และการสอบแข่งขันต่างๆ เพิ่มมากขึ้น.."

    เป็นสิ่งที่บ่งบอกที่เตือนให้ตระหนักว่าหลายๆครอบครัวที่เปรียบเสมือนเซลล์

    ของประเทศกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่สู้จะสมบูรณ์แข็งแรง

    ..ท่านปัญญานันทภิกขุแนะนำว่า ให้คนที่เป็นพ่อแม่คิดเสียใหม่ว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า "มารดาบิดาเป็นครูคนแรกของบุตรธิดา" เพราะเมื่อพิจารณากันดูแล้วจะเห็นว่าบุตรธิดาได้รับอิทธิพลจากพ่อแม่มากที่สุด...


    ...พ่อแม่จึงกลายเป็นครูของลูกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
    การที่พ่อแม่เป็นครูไปโดยไม่ได้ตั้งใจมักจะเสียหายได้ เพราะผู้ที่เป็นครูอยู่โดยหน้าที่ไม่รู้ว่าตนกำลังเป็นครูของเด็กๆ อาจจะเผลอทำอะไรในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรแก่การเป็นตัวอย่างของเด็กไปบ้างก็ได้ จึงใคร่เตือนพ่อแม่ว่า ท่านเป็นครูของลูกก่อนครูคนใดๆ ทั้งหมด เมื่อท่านเป็นครูก็ควรสำนึกถึงหน้าที่ของท่านไว้ให้มาก ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของท่านเป็นการถ่ายทอดแบบ
    ไปให้ลูกของท่านเสมอ
    อีกประการหนึ่ง ถ้าพูดกันโดยฐานะเป็นหน้าที่กันแล้ว พ่อแม่ก็มีหน้าที่อันสมบูรณ์ในอันที่จะให้การศึกษาแก่ลูกๆ โดยการห้ามมิให้กระทำความชั่ว ให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี ให้มีการศึกษาศิลปวิทยาตามสมควรแก่ฐานะของครอบครัว นี่เป็นหลักใหญ่สำหรับสร้างให้เด็กมีความก้าวหน้าทั้งกายทั้งใจ บ้านของเด็กจึงเป็นโรงเรียนไปในตัว
    บ้านเป็นโรงเรียนที่มีการปิด-เปิดอยู่ตลอดเวลา ครูผู้สอนก็ทำการสอนตลอดเวลา ผู้เรียนก้เรียนกันตลอดเวลา แต่เป็นการสอนการเรียนที่เป็นไปโดยมิได้ตั้งใจ หากแต่มีผลมากเหลือเกิน มากกว่าการเรียนภายในโรงเรียนเสียอีก
    รากฐานของชีวิตเด็กขึ้นอยู่กับชีวิตภายในบ้านของตนนั่นเอง ถ้าหากเราดูเด็กว่าเป็นผู้มีความประพฤติเป็นอย่างไร ก็ส่อถึงความเป็นอยู่ของเด็กภายในบ้านนั้นทันที จึงมีความจำเป็นเหลือเกินที่มารดาบิดาจะต้องปรับปรุงในบริเวณบ้าน คนภายในบ้าน รวมทั้งตัวของบิดามารดา อันเป็นประมุขของบ้านให้เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกๆ ไว้เสมอ ตัวอย่างเป็นโรคติดต่อกันเร็วมาก ไม่ว่าด้านดี ด้านร้าย...

    ...ท่านปัญญานันทภิกขุยังบอกด้วยว่า ทุกโอกาสที่มีช่องทางจะแทรกความคิดความเห็นอะไรลงไปในสมองของเด็กๆ แล้ว ขออย่าได้ละโอกาสนั้นเสียเป็นอันขาด จงบอกให้เขาเข้าใจเรื่องนั้นว่าดีหรือเสียไว้เสมอ เป็นการพร่ำสอนเมื่อควรจะสอนจะเตือน การพร่ำสอนนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำแก่สาวกของพระองค์เสมอ ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พระองค์ต้องพร่ำสอนสาวกทันที เรื่องนี้ควรนำมาใช้ในครอบครัวได้ และถ้าทำได้ก็จะเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวของท่านมาก
    เมื่อเปลี่ยนความคิดได้ ทุกอย่างก็ไม่มีอะไรยากเย็นเกินไปที่จะเปลี่ยน
    ความเครียด ความเหนื่อยในครอบครัวจะหายไปได้เช่นกัน.




    ปล.คัดลอกบางตอนจาก "สูตรธรรมะเยียวยาใจ " ที่คุณฟอร์ทได้กรุณานำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...